EN Name: 
Woman

divana “Wellness Community Hub” แก้ปัญหาสุขภาพคนเมือง

ในยุคที่คนเมืองเผชิญความเครียดเรื้อรัง การนอนหลับไม่เพียงพอ ภาวะเบิร์นเอาต์ และความโดดเดี่ยวจากสังคมดิจิทัล divana ในฐานะแบรนด์ลัคชัวรีสปาและผลิตภัณฑ์น้ำหอม เครื่องหอมชั้นนำ เชื่อว่าความสุขและสุขภาพที่ยั่งยืนต้องเริ่มจากการดูแลแบบองค์รวม วันนี้ประกาศตัวพร้อมสำหรับการเป็นผู้นำและก้าวสู่บทใหม่ด้วยการเปิดตัว “Wellness Community Hub” ด้านการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมเพื่อการมีชีวิตยืนยาวอย่างมีคุณภาพ

ล่าสุดจัดงาน Open House ในคอนเซ็ปต์ “Full Moon Balance & Lunar Energy” ขึ้น ณ divana สาขา Scentuara Spa ซอยสมคิด ระหว่างวันที่ 29 -30 กันยายน 2568 เชิญชวนคนเมืองที่ใส่ใจสุขภาพมาร่วมค้นหาสมดุลชีวิตผ่านประสบการณ์ Wellness Lifestyle แบบครบวงจร

นายพัฒนพงษ์ รานุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท ดีวานา เวลเนส จำกัด เปิดเผยว่า “divana อยากให้ Wellness เป็นสิ่งที่จับต้องได้ เข้าถึงได้ และเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน งาน Open House ครั้งนี้คือจุดเริ่มต้นของการสร้างพื้นที่เรียนรู้ แลกเปลี่ยน และสร้างแรงบันดาลใจสำหรับทุกคน”

ไฮไลต์ของงานคือความร่วมมือกับ แอน - มนัสนันท์ นาคลดา กูรูฟิตเนสสายฟิตแอนด์เฟิร์ม ที่มาร่วมทำกิจกรรมฟิตแอนด์เฟิร์มและเวิร์กชอป Morning Energy Body Fit by Ann กิจกรรมออกกำลังกายเสริมสร้างพลังงานในตอนเช้า เน้นการเคลื่อนไหวเพื่อกระตุ้นระบบไหลเวียน เพิ่มความแข็งแรง ปรับสมดุลร่างกายผ่านท่วงท่า ลมหายใจ และการเคลื่อนไหวแบบใกล้ชิด นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมไฮไลต์ตลอดงาน อาทิ

·    Fullmoon Balance Yoga โยคะที่ได้รับแรงบันดาลใจจากพระจันทร์เต็มดวง ด้วยท่วงท่าที่อ่อนโยนและการหายใจลึก เพื่อคลายความตึงเครียดและรีเซ็ตพลังงาน

·    Office Syndrome Care บริการนวดแก้ออฟฟิศซินโดรม 15 นาที พร้อมตรวจประเมินร่างกายโดยแพทย์แผนไทย เพื่อแนะนำแนวทางการดูแลเฉพาะบุคคล

·    Sand Mandala Art of Release + Scent Creation of Restart สร้างสรรค์ศิลปะมณฑลทรายเพื่อสัญลักษณ์แห่งการปล่อยวาง ผสานกลิ่น Restart เพื่อเริ่มต้นพลังใหม่

·    Migraine Roller Ritual ประสบการณ์โรลเลอร์สูตรพิเศษของ divana ผสานศาสตร์กดจุดและกลิ่นบำบัด ช่วยผ่อนคลายความเครียดและบรรเทาอาการปวดศีรษะ

·    Aromatic Inhaler for Energy Restart การทำอโรม่าสูดดมส่วนบุคคล ฟื้นฟูความสดชื่นและเพิ่มพลังระหว่างวัน

·    Element Balance Miang-Kam Thai Cuisine เส้นทางชิม “เมี่ยงคำ” ที่ผสานสมดุลธาตุทั้งสี่ (ดิน น้ำ ลม ไฟ) ผ่านรสชาติและสมุนไพรไทยโบราณ

·    Personalize Scent Creation - Scent Sachet / Oil Perfume / Body Oil ปิดท้ายด้วยการสร้างสรรค์น้ำหอมออยล์, ถุงหอม, และบอดี้ออยล์เฉพาะตัว เพื่อพกพาพลังการเริ่มต้นใหม่กลับบ้าน

“ไม่ว่าปัญหาสุขภาพของคนเมืองจะซับซ้อนเพียงใด ล้วนสามารถคลี่คลายและทุเลาได้ หากเราเริ่มต้นลงมือ ดูแลตั้งแต่วันนี้ เพราะทุกการเริ่มต้นคือก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่” พัฒนพงศ์กล่าว

Pain Point → Solution Mapping

• Stress & Burnout → Sound Healing, Sand Mandala, Aromatherapy Restart

• Sleep Problem → Full Moon Balance Yoga & Aroma Rituals for Deep Sleep

• Digital Fatigue → Mindfulness & Breathwork Circle

• Loneliness / Disconnection → Community Sharing & Circle Healing

• Aging & Preventive Health → Longevity Integrative Program

นายธเนศ จิระเสวกดิลก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาดและผู้ร่วมก่อตั้ง divana กล่าว “divana ไม่ได้สร้าง Hub เพื่อแบรนด์ตัวเอง แต่เพื่อวางรากฐานให้สังคมไทยเข้าสู่ Longevity Lifestyle จึงวางบทบาทตนเองเป็น Thailand’s First Wellness Community Hub for Longevity Lifestyle พร้อมตั้งเป้าสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ที่เสริมทั้ง Spa และ Retail เข้าด้วยกัน

“การจัดงานครั้งนี้ divana ตั้งเป้ายอดขายกว่า 20 ล้านบาท พร้อมผลักดันการสมัครสมาชิกและสร้างเครือข่าย Wellness Community Hub ที่รวมลูกค้า สมาชิก และพันธมิตรที่ต้องการส่งเสริมสุขภาพและกิจกรรมดี ๆ ให้กับพนักงาน”

หลังงานเปิดตัว Wellness Community Hub ครั้งนี้ divana เตรียมจัดกิจกรรมเวิร์กชอปอย่างต่อเนื่อง ทั้งในช็อปรีเทลและทุกสาขาสปา รวมถึงการจัดอีเวนต์เพื่อคนรักสุขภาพ เพื่อยกระดับประสบการณ์ Wellness Lifestyle และสร้างแรงบันดาลใจให้คนเมืองได้ใช้ชีวิตอย่างสมดุลในระยะยาว

“เป้าหมายของ divana คือการยกระดับ Wellness จากการพักผ่อนให้เป็นการลงทุนในสุขภาพและความสุขตลอดชีวิต และทำให้ประเทศไทยก้าวสู่ศูนย์กลาง Wellness ของเอเชีย” -- ธเนศกล่าวปิดท้าย

สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.divanawellness.com

#divana #LuminousFullMoon #WellnessCommunityHub

 

DIESEL เปิดสโตร์ใหม่ที่สยามพารากอน พร้อมแคมเปญเดนิมสุดไอคอนิก “Your Life in D”

DIESEL (ดีเซล) แฟชั่นแบรนด์ดังสัญชาติอิตาลี โดยมี ยัสปาล กรุ๊ป เป็นตัวแทนจัดจำหน่ายในประเทศไทย ได้เปิดตัวสโตร์ใหม่ล่าสุด ณ ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน พร้อมนำเสนอเสื้อผ้าและแอคเซสเซอรี่จากคอลเลกชั่นล่าสุด DIESEL Fall-Winter 2025 ที่สะท้อนถึงนวัตกรรมและดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ รวมทั้งแคมเปญสุดไอคอนิค “Your Life in D” ถ่ายทอดเสน่ห์ของคอลเลกชั่นเดนิมอย่างเต็มรูปแบบ

สุวิตา สิงห์สัจจเทศ ผู้จัดการทั่วไปแบรนด์ DIESEL ยัสปาล กรุ๊ป

โดยมี 4 นักแสดงสุดฮอตจากซีรี่ย์ GELBOYS ได้แก่ นิว-ชยภัค ตันประยูร, ไป๊ป-มนธภูมิ สุมนวรางกูร, พีเจ-มหิดล พิบูลสงคราม และ เลออน เซ็ค และ จิงจิง-วริศรา ยู นางแบบสาวสุดเท่ เป็นตัวแทนของเหล่า Gen Z ที่มาร่วมงานด้วยลุคเท่ทรงพลังของดีไซน์จาก DIESEL Fall-Winter 2025 โดยแต่ละลุคไม่เพียงสะท้อนตัวตนและดึงสไตล์อันโดดเด่นของแต่ละคน แต่ยังถ่ายทอด DNA ความเป็น DIESEL ได้อย่างชัดเจน ผ่านโททัลลุคที่ผสานความเท่และความร่วมสมัยไว้ในทุกอณู

(จากซ้าย) ไป๊ป-มนธภูมิ /นิว-ชยภัค/ จิงจิง วริศรา /เลออน เซ็ค /พีเจ-มหิดล

DIESEL เป็นแบรนด์แฟชั่นดังระดับโลกที่ก่อตั้งในปี 1978 โดย Renzo Rosso มีชื่อเสียงจากนวัตกรรมเดนิมที่ล้ำสมัยและดีไซน์ที่กล้าแสดงออก DIESEL มีปรัชญา "For Successful Living" ที่กระตุ้นให้ผู้คนสร้างสรรค์และใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง ที่สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการแฟชั่น โดยมีโลโก้ตัว ‘D’ ที่อยู่บนกระเป๋า เสื้อผ้า หมวกหรือแม้กระทั่งเข็มขัด ล้วนเป็นไอเทมที่ได้รับความนิยมจากเหล่าเซเลบริตี้ทั่วโลก

(จากซ้าย) ไป๊ป-มนธภูมิ  / จิงจิง วริศรา / นิว-ชยภัค

โดยแคมเปญแฟชั่นล่าสุด “Your Life in D” สำหรับคอลเลกชั่น Fall-Winter 2025 นำเสนอความหมายใหม่ของการใช้ชีวิตผ่านเดนิมตลอดทุกช่วงวัยและประสบการณ์ชีวิต ด้วยไอเทมเด่นอย่างกางเกงยีนส์ทรงใหม่ D-Sent Denim Fit, Double-D Bag และ 1DR Twin Bag ที่โดดเด่นด้วยดีไซน์จัดจ้าน สะท้อนความเป็นตัวตนอย่างอิสระ แคมเปญนี้ตอกย้ำแนวคิด “For Successful Living” ของแบรนด์ ด้วยอารมณ์ของความเป็นอิสระ การแสดงออกตัว ความเซ็กซี่ และความหลากหลาย พร้อมสะท้อนทัศนคติอย่างจัดจ้านของแบรนด์ที่ว่า “For there are guarantees in life, except Death and Denim”

อัปเดตเทรนด์แฟชั่นระดับไอคอนนิกได้ที่ DIESEL ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน และทุกสาขาทั่วประเทศ

อัปเดตข่าวสารและเทรนด์แฟชั่นล่าสุดของ “DIESEL” เพิ่มเติมได้ที่

Instagram: @dieselthailandofficial

LINE Official Account: @dieselth

ชวนส่องนาฬิกา Rolex สัญลักษณ์ Statement Piece ที่ไม่มีวันเก่า!

เมื่อพูดถึงแบรนด์นาฬิกาหรูมาพร้อมประสิทธิภาพการทำงานชั้นเลิศ แน่นอนว่า Rolex คงเป็นชื่อแรกๆ ที่หลายคนนึกถึง ด้วยแนวคิดของ Rolex ที่ต้องการรังสรรค์เครื่องมือที่มีความน่าเชื่อถือสูงและคงทนชั่วนิรันดร์ เพื่อให้สามารถส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นได้ และไม่ใช่เน้นแค่ ‘ฟังก์ชันการบอกเวลา’ ที่แม่นยำเท่านั้น แต่ในด้านดีไซน์ภาพลักษณ์ภายนอก Rolex ก็ให้ความสำคัญไม่แพ้กัน จนถูกยกให้เป็นสัญลักษณ์ Statement Piece ที่สามารถเสริมความภูมิฐาน และสะท้อนตัวตนของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นสายแฟชั่น ชอบแต่งตัวจัดเต็ม หรือรักความคลาสสิก วินเทจ ทุกครั้งที่สวมใส่นาฬิกา Rolex จะทำให้ลุคธรรมดาๆ กลายเป็นลุคที่ “สมบูรณ์แบบ” ได้โดยไม่ต้องพยายามเลย และวันนี้เราจะพาทุกคนไปส่องความพิเศษของนาฬิกา Rolex ในฐานะสัญลักษณ์ Statement Piece นี้กัน

นาฬิกา Rolex กับพลังแฟชั่นที่สะท้อนสไตล์ตัวเอง

Rolex คือสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จและรสนิยม การใส่นาฬิกาหรูไม่ใช่เพียงแค่เรื่องการบอกเวลา แต่ยังเป็นเครื่องมือสื่อสารตัวตนให้คนรอบข้างรับรู้ถึงความมั่นใจ ความภูมิฐาน และสไตล์ที่ไม่ซ้ำใคร ไม่ว่าจะสวมใส่สูทสำหรับวันทำงาน หรือเสื้อยืด-กางเกงยีนส์สำหรับวันสบายๆ Rolex ก็ทำให้ทุกลุคดู มีพลังและมีคลาส ในทันที เสริมความโดดเด่นและเป็น Finishing Touch ที่ขาดไม่ได้เลย

เลือกนาฬิกา Rolex อย่างไรให้ตรงกับสไตล์ตัวเอง

ในฐานะสัญลักษณ์ Statement Piece แน่นอนว่า Rolex มีหลายดีไซน์ หลายคอลเลกชันให้เลือก การเลือกนาฬิกา Rolex ให้ตรงกับสไตล์ตัวเองมากที่สุดเลยต้องพิจารณาจากไลฟ์สไตล์หลัก และโอกาสในการสวมใส่ลองมาดูกันว่า เราเป็นไลฟ์สไตล์สายไหน และเหมาะกับหยิบยก Rolex คอลเลกชันไหนมาสวมใส่ 

- สายสปอร์ต เท่ คล่องตัว พร้อมลุย

สำหรับคนรักความเท่และไลฟ์สไตล์แอคทีฟ Rolex Sport อย่าง Submariner คือเรือนที่ตอบโจทย์ได้ครบทุกด้าน ทั้งความสวยงามและฟังก์ชันการใช้งาน ใส่ได้ทั้งลุคแคชชวล อย่างเสื้อยืด-ยีนส์ หรือเชิ้ตสบายๆ สำหรับวันชิลๆ และยังเข้ากับลุคแอคทีฟที่เหมาะกับการออกทริปกลางแจ้ง ดำน้ำ หรือกีฬาแนว Adventure เพราะมีความแข็งแรง ทนทาน และกันน้ำได้ดี นอกจากความคล่องตัวและฟังก์ชันที่ครบครัน การใส่ Submariner ยังช่วยเพิ่ม Energy ให้กับลุค ผู้ชายจะดูเท่และภูมิฐานขึ้น ส่วนผู้หญิงจะได้ลุคคูลๆ มีสไตล์ โดยไม่ต้องพยายามมาก ทำให้ลุคธรรมดากลายเป็น เท่แบบ Effortless ได้ทันที

- สายแฟชั่น ดีไซน์สวยหรู เพิ่มสีสัน

สำหรับคนรักแฟชั่น Rolex Oyster Perpetual สีสด คือเรือนที่จะช่วยสร้างความโดดเด่นและเพิ่มลูกเล่นให้กับทุกลุค ไม่ว่าจะเป็นลุคทำงาน ลุค Casual หรือโอกาสพิเศษ สีสันและดีไซน์ของนาฬิกา Rolex สามารถสะท้อน ความสนุกและบุคลิกเฉพาะตัวได้ ใส่แล้วไม่จำเจ เพิ่มความมีสไตล์และความมั่นใจให้ทุกคนรอบตัวเห็น ไม่ว่าเพศไหนก็แมทช์ได้อย่างลงตัวตามแฟชั่นและรสนิยมของตัวเอง

- ลุคทำงาน เพิ่มความภูมิฐาน 

การใส่ Rolex ในวันทำงานไม่เพียงแต่ช่วยบอกเวลา แต่ยังเสริม Authority ให้ดูภูมิฐานและดู Professional เพิ่มความมั่นใจในทุกการประชุมและการพบปะลูกค้า อีกทั้งยังเป็น Accessory ที่ช่วยยกระดับลุค ให้ดูมีรสนิยมโดยไม่ต้องพยายามมาก การแมทช์นาฬิกา Rolex กับชุดทำงานควรเลือกโทนโลหะหรือสายหนังให้เข้ากับสีของชุด เช่น สายเงินเข้ากับสูทสีเข้ม หรือสายทองเข้ากับชุดโทนอุ่น และแนะนำให้ใส่เพียงเรือนเดียวเพื่อให้เป็นจุดเด่นของลุค ไม่ว่าจะเพศไหนก็ดูหรูหราและมั่นใจได้ในทุกโอกาส

- ลุควันสบายๆ ก็แมตช์นาฬิกา Rolex ได้

แม้จะเป็นวันสบายๆ Rolex ก็สามารถยกระดับลุคได้ ไม่จำกัดเพศหรือโอกาส ไม่ว่าจะใส่กับเสื้อยืด-ยีนส์ หรือเสื้อเชิ้ตผ้าลินินเพื่อสร้างลุคแคชชวลที่ดูพรีเมียมและมีคลาส เพิ่มสไตล์ให้เรียบง่ายแต่ดูหรูด้วยการจับคู่กับ กางเกงชิโน่หรือเดรสเรียบๆ สำหรับผู้หญิงทำให้ลุคออกมาเป็น Effortless Luxury ที่สะท้อนสไตล์เฉพาะตัวโดยไม่ต้องใส่เครื่องประดับเยอะ ทั้งผู้หญิงและผู้ชายสามารถแมตช์ Rolex กับวันสบายๆ ได้อย่างลงตัว 

- โอกาสสำคัญ พิเศษให้สุดกับนาฬิกา Rolex ที่ใช่

สำหรับงานดินเนอร์ งานเลี้ยง หรืออีเวนต์พิเศษ การเลือกใส่ Rolex ที่ดู สง่าและหรูหรา เช่น รุ่นประดับเพชรหรือตัวเรือนทอง จะช่วยยกระดับลุคให้โดดเด่นและเหมาะสมกับโอกาสสุดพิเศษ Rolex กลายเป็น Finishing Touch ที่ทำให้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายดูสมบูรณ์แบบในทุกโอกาส ไม่ว่าจะเป็นงานแต่ง งานกาล่า หรืองานเปิดตัวสำคัญ การใส่นาฬิกาหรูช่วยสร้างความมั่นใจและทำให้ทุกลุคออกมาดูพรีเมียม  

Rolex คือการลงทุนด้านสไตล์และการใช้งานที่คุ้มค่า เพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน นาฬิกาแต่ละคอลเลกชัน แต่ละรุ่นของ Rolex ก็จะยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งรสนิยมและความสำเร็จที่ไม่มีวันเก่า สำหรับใครที่ต้องการผู้ช่วยบอกเวลาสุดแม่นยำ หรือ Statement Piece เพื่อเสริมลุค นำสว่าง - Nam Swang ตัวแทนจำหน่าย Rolex อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ยินดีต้อนรับและให้คำปรึกษาทุกการเลือกซื้่อของลูกค้า พร้อมมอบประสบการณ์อันมิอาจลืมเลือน ทำให้ทุก ๆ การมาเยือน ณ บูติกของเราคือการเดินทางสู่โลกของความล้ำเลิศแห่งเครื่องบอกเวลาอย่างแท้จริง! 



 

“อาหารคลีน” ก็ทำให้อ้วนได้! กับดักสุขภาพเสี่ยงฮอร์โมนพังไม่รู้ตัว

กินคลีนแล้วทำไมยังอ้วน? คำถามยอดฮิตที่ยังไม่มีคำตอบสำหรับใครหลายคน ในยุคที่ผู้คนใส่ใจสุขภาพมากขึ้น การหันมากินอาหารคลีนกลายเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย แต่ในขณะเดียวกัน หลายคนกลับตั้งคำถามว่า "ทั้งที่กินคลีน ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ทำไมน้ำหนักถึงไม่ลดลง หรือบางรายกลับน้ำหนักเพิ่มขึ้น?" คำถามนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนความไม่เข้าใจในเรื่องโภชนาการเท่านั้น แต่ยังเปิดเผยถึงความซับซ้อนของระบบเผาผลาญในร่างกายที่ยังถูกมองข้ามอีกด้วย

เทรนด์สุขภาพมาแรง แต่โรคอ้วนยังคงพุ่งไม่หยุด แม้พฤติกรรมการบริโภคของคนไทยจะเริ่มเปลี่ยนไป โดยหันมากินอาหารคลีน คุมแคลอรี หรือการเลือกวัตถุดิบไขมันต่ำ โปรตีนสูง แต่ข้อมูลทางสถิติกลับแสดงให้เห็นแนวโน้มที่สวนทาง โดยอัตราการเกิดโรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคกลุ่มอาการเมตาบอลิก (Metabolic Syndrome) กลับยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นี่คือความย้อนแย้งที่สะท้อนว่าพฤติกรรมสุขภาพแบบ “ดูดีภายนอก” อาจไม่เพียงพอ หากไม่ได้เข้าใจกลไกภายในอย่างลึกซึ้ง การลดน้ำหนักไม่ใช่แค่เรื่องพลังงานเข้า-ออก แต่คือ “สมดุลของฮอร์โมน”

นพ.พิจักษณ์ วงศ์วิศิษฎ์

นพ.พิจักษณ์ วงศ์วิศิษฎ์ แพทย์เวชศาสตร์ป้องกันและฟื้นฟูสุขภาพ W9 Wellness Center ให้ข้อมูลว่า การควบคุมน้ำหนักอย่างยั่งยืนนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพียงแค่การคำนวณพลังงานที่รับเข้าและพลังงานที่ใช้ออกไปเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับ “สมดุลของฮอร์โมน” หลายชนิดในร่างกาย เช่น อินซูลิน คอร์ติซอล เอสโตรเจน หรือเลปติน ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อระบบเผาผลาญ ความหิว ความอิ่ม และการเก็บสะสมไขมัน โดยเฉพาะผู้ที่เคยลดน้ำหนักหลายครั้ง ระบบฮอร์โมนมักถูกปรับเปลี่ยนจนทำให้การลดน้ำหนักครั้งต่อไปยากยิ่งขึ้น

กับดักของอาหารคลีน เมื่อของดีอาจไม่ดีอย่างที่คิด โดยอาหารคลีนในยุคนี้มักมาในรูปแบบอาหารสำเร็จรูป อาหารกล่องแช่แข็ง หรือของว่างสุขภาพอย่างกราโนล่าบาร์ หรือโยเกิร์ตไขมันต่ำ หลายชนิดมีการเติมสารให้ความหวานทดแทน หรือสารปรุงแต่งรสเพื่อให้รับประทานง่ายขึ้น แม้มีพลังงานต่ำ แต่สารเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อสมดุลฮอร์โมน โดยเฉพาะฮอร์โมนอินซูลิน และสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อระบบเผาผลาญ อีกทั้งบรรจุภัณฑ์และกระบวนการผลิต อาจพบสารปนเปื้อนได้ เช่น สาร BPA, Phthalates ที่พบในพลาสติก ซึ่งเป็นสารรบกวนฮอร์โมน (Endocrine disruptor) ทำให้การทำงานของฮอร์โมนเพศและไทรอยด์ผิดปกติ ทั้งยังเป็นสารก่อโรคอ้วน (Obesogens) โดยตรง มีงานวิจัยเชื่อมโยงกับโรคอ้วนและภาวะดื้อต่ออินซูลิน โดยส่งผลกระทบต่อฮอร์โมนอินซูลินและเลปติน ทำให้การควบคุมความหิว-อิ่มผิดปกติ ส่วนไมโครพลาสติก เริ่มพบในอาหารที่ผ่านกระบวนการบรรจุและเก็บนาน งานวิจัยใหม่ชี้ว่าอาจกระตุ้นการอักเสบเรื้อรังและมีผลต่อระบบเผาผลาญ

การเลือกบริโภคเวย์โปรตีนเป็นหลักแทนแหล่งโปรตีนจากอาหารหลัก เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ ถั่ว หรือปลา อาจสะดวกและดูเป็นทางเลือกสุขภาพที่ดีสำหรับหลายคน โดยเฉพาะผู้ที่ออกกำลังกายหรือควบคุมน้ำหนัก แต่การพึ่งเวย์โปรตีนเป็นหลักแทนโปรตีนจากอาหารปกติ ก็มีข้อเสียและสร้างความเสี่ยงหลายประการที่ควรระวัง เช่น เวย์โปรตีนเป็นอาหารแปรรูปที่อาจมีสารเติมแต่งอย่างสารให้ความหวานเทียม สารแต่งกลิ่น หรือสารกันบูด ซึ่งอาจไปรบกวนสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารไม่สมดุล เกิดอาการท้องอืด ท้องเสีย หรือการดูดซึมสารอาหารลดลง และแม้ว่าเวย์โปรตีนจะไม่มีน้ำตาล แต่มีงานวิจัยพบว่าเวย์โปรตีนสามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินได้มากพอ ๆ กับคาร์โบไฮเดรตบางชนิด ซึ่งอาจไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก หรือมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin Resistance) นอกจากนั้น เวย์โปรตีนบางชนิดอาจมีสารกระตุ้นที่แฝงอยู่ เช่น สารเร่งดูดซึม หรือฮอร์โมนจากกระบวนการผลิตในนมวัว ซึ่งอาจไปรบกวนฮอร์โมนเพศชายหรือหญิงได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีความผิดปกติของระบบฮอร์โมนอยู่เดิม เมื่อรู้สึกว่าเวย์โปรตีนสะดวก รวดเร็ว หลายคนจึงเริ่มละเลยการเตรียมอาหาร และลดการกินผัก ผลไม้ หรือโปรตีนจากธรรมชาติ ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว

ฮอร์โมนคือปัจจัยสำคัญที่ควบคุมทั้งความหิว ความอิ่ม และการสะสมไขมัน หากสมดุลถูกรบกวน แม้กินน้อยหรือเลือกทานอาหารคลีนก็ยังไม่สามารถลดน้ำหนักได้ ตัวอย่างเช่น ฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความเครียดที่ผลิตจากต่อมหมวกไต ทำหน้าที่หลักในการตอบสนองต่อความเครียด ช่วยให้ร่างกายมีพลังงานเพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน และยังควบคุมวงจรการตื่น-หลับของร่างกาย โดยจะหลั่งมากที่สุดในตอนเช้าเพื่อให้ร่างกายตื่นตัวและลดลงในตอนกลางคืน เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่การนอนหลับ หากคอร์ติซอลสูงเรื้อรัง จะเพิ่ม ความอยากอาหาร โดยเฉพาะอาหารหวาน มัน เค็ม และส่งผลต่ออินซูลิน ทำให้ดื้อต่ออินซูลิน และเพิ่มการสะสมไขมันในช่องท้อง (viceral fat)

“การลดน้ำหนักไม่ใช่เรื่องของการนับแคลอรีเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการรักษาสมดุลฮอร์โมนด้วย ขณะเดียวกันการเลือกแต่อาหารคลีน ขณะที่ฮอร์โมนกลับถูกรบกวน ก็อาจทำให้ลดน้ำหนักไม่ลง ซึ่งปัจจุบันเราพบเคสดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น” นพ.พิจักษณ์ กล่าว

W9 Wellness Center แนะนำให้ผู้ที่ใส่ใจสุขภาพเลิกมองเพียงแค่ “ปริมาณหรือแคลอรี” ของอาหาร แต่หันมาทำความเข้าใจผลของอาหารที่มีต่อฮอร์โมนและระบบเผาผลาญ “ปัญหาน้ำหนักเกิน” ไม่ได้มาจากแค่แคลอรี่ แต่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนที่ไม่สมดุล ด้วยวิธีเลี่ยงกับดักอาหารคลีน โดยเลือกอาหารที่บรรจุในกล่องแก้ว แทนภาชนะพลาสติก หลีกเลี่ยงการอุ่นอาหารในกล่องพลาสติก โดยเฉพาะในไมโครเวฟ เพราะความร้อนเพิ่มการปล่อยสารเคมี ทานอาหารให้หลากหลาย สมดุลสารอาหารให้ดี ไม่กินอาหารซ้ำ เช่น บางคนกินแต่อกไก่กับผักลวก เป็นหลัก แต่ขาดไขมันดีและคาร์บเชิงซ้อน จะทำให้ระบบเผาผลาญช้าลงและอ่อนเพลียได้ เลือกอาหารคลีนที่สดใหม่ ไม่เก็บนาน ไม่แช่แข็ง หากทำอาหารคลีนทานเองได้จะสามารถควบคุมคุณภาพวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ได้ดีที่สุด

แนวทางที่ยั่งยืนคือ เลือกรับประทานอาหารจากพืชที่ผ่านการแปรรูปน้อยที่สุดเป็นหลัก (Whole food Plant-based diet) ลดอาหารแปรรูป อาหารแช่แข็ง ออกกำลังกายให้เหมาะสมกับสภาพความพร้อมของร่างกาย ให้ความสำคัญกับการนอนหลับที่มีคุณภาพ และบริหารจัดการความเครียด การตรวจสุขภาพฮอร์โมนและเมตาบอลิซึมเชิงลึกอาจให้ข้อมูลเพิ่มเติมในเคสที่ร่างกายเสียสมดุล เพื่อเป็นประโยชน์ในการวางแผนโภชนาการ การเสริมวิตามิน–โภชนเภสัช เพื่อปรับสมดุลและการดูแลสุขภาพที่ออกแบบเฉพาะบุคคล โปรแกรม “Personalized Weight & Hormone Balance” ของ W9 Wellness Center ถูกออกแบบมาเพื่อเป้าหมายนี้โดยเฉพาะ ช่วยให้ผู้ที่แม้จะ “กินคลีน” แต่ยังลดน้ำหนักไม่ได้ สามารถกลับมาฟื้นสมดุลร่างกายและจัดการปัญหาได้ตรงจุด

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือนัดหมายตรวจสุขภาพเชิงลึกได้ที่ W9 Wellness Center ทั้ง 2 สาขา สาขารพ.พระรามเก้า และ สาขาเพลินจิตเซ็นเตอร์

GSK ร่วมรณรงค์ "วันหัวใจโลก" เตือนภัย RSV เสี่ยงกระทบสุขภาพหัวใจ

เนื่องในวันที่ 29 กันยายนของทุกปี เป็น “วันหัวใจโลก (World Heart Day)” ซึ่งจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Don’t Miss a Beat” เน้นถึงความสำคัญคือการดูแลหัวใจและสุขภาพอย่างต่อเนื่อง การดูแลเชิงรุกจึงเป็นเรื่องจำเป็น โดยเฉพาะโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งสามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่อสุขภาพ

ประเทศไทยพบผู้ป่วยสะสมด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดมากกว่า 2.5 แสนราย และเสียชีวิต ด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดมากถึง 4 หมื่นราย เฉลี่ยชั่วโมงละ 5 คน โดยหนึ่งในผลกระทบที่หลายคนอาจไม่เคยรู้ คือ ผู้ป่วยในจำนวนนี้มีล้วนมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินหายใจที่รุนแรงขึ้น เช่น โรคปอดอักเสบจากไวรัสอาร์เอสวี อาร์เอสวีเป็นไวรัสในระบบทางเดินหายใจที่พบได้บ่อยและสามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน อาจก่อให้เกิดอาการที่รุนแรงมากขึ้นในผู้ที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด วันหัวใจโลกจึงเป็นการตอกย้ำเพื่อสร้างความตระหนักถึงความเสี่ยงและการดูแลสุขภาพเชิงรุกเพื่อปกป้องสุขภาพหัวใจของทุกคนเพื่อให้หัวใจ ไม่พลาดจังหวะ (Don’t Miss a Beat)

อย่ามองข้ามอาการหวัด — เพราะอาจเจอ โรคปอดอักเสบจากไวรัสอาร์เอสวี ที่ส่งผลต่อหัวใจ

โรคปอดอักเสบจากไวรัสอาร์เอสวีเป็นไวรัสตามฤดูกาลที่ติดต่อได้ง่าย โดยทั่วไปทำให้เกิดอาการคล้ายหวัดที่ไม่รุนแรง ในแต่ละปีทั่วโลก มีผู้สูงอายุราว 470,000 คน ที่ติดเชื้ออาร์เอสวีจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ข้อมูลในประเทศไทยชี้ให้เห็นว่า ผู้ใหญ่ที่ติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวีจนเกิดปอดอักเสบ มีอัตราเสียชีวิตประมาณ 12 รายต่อผู้ป่วย 100 ราย ขณะที่ในเด็ก อัตราการเสียชีวิตต่ำกว่ามาก เพียงราว 0.12% เท่านั้น  โรคปอดอักเสบจากไวรัสอาร์เอสวีสามารถทำให้เกิดการอักเสบในปอด ซึ่งส่งผลให้หัวใจทำงานหนักขึ้น และอาจทำให้อาการของโรคหัวใจและหลอดเลือด (CVD) ที่มีอยู่เดิมแย่ลง เมื่อร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อ ความดันโลหิตจะสูงขึ้น เสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดเพิ่มขึ้น และหัวใจอาจบวมและเกิดพังผืดได้

ความเสี่ยงสำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด (CVD) มีอะไรบ้าง?

ผู้สูงอายุที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีโรคหัวใจและหลอดเลือด มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบจากโรคปอดอักเสบจากไวรัสอาร์เอสวีที่รุนแรงเพิ่มขึ้น รวมถึงผู้ที่มีหลอดลมฝอยอักเสบหรือปอดอักเสบ ผู้ที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว มีความเสี่ยงต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจาก โรคปอดอักเสบจากไวรัสอาร์เอสวี สูงกว่าผู้ที่ไม่มีภาวะนี้ถึง 8 เท่า โรคปอดอักเสบจากไวรัสอาร์เอสวีอาจทำให้อาการของโรคหัวใจและหลอดเลือดทรุดหนักลงได้ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและมีโรคหัวใจและหลอดเลือดอยู่เดิม ซึ่งจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจเฉียบพลัน เช่น เจ็บหน้าอกจากภาวะหัวใจขาดเลือด หัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง หรือภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

พญ.บุษกร มหรรฆานุเคราะห์ ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ บริษัท แกล็กโซสมิทไคล์น (ประเทศไทย) จำกัด หรือ GSK กล่าวว่า “เนื่องในวันหัวใจโลกการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ผู้คนมีสุขภาพร่างกายและหัวใจที่แข็งแรง ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ หนึ่งในนั้นคือ โรคปอดอักเสบจากไวรัสอาร์เอสวี ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดา แต่แท้จริงแล้วโรคนี้สามารถแพร่กระจายได้ง่ายและรวดเร็ว ผ่านการหายใจเอาละอองเสมหะของผู้ป่วย หรือสัมผัสกับสารคัดหลั่งที่ปนเปื้อนตามสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็ก ซึ่งมักมีการแพร่เชื้อจากโรงเรียนและนำเชื้อกลับมาแพร่สู่คนในบ้าน รวมถึงผู้สูงอายุและผู้ปกครอง แม้โรคนี้จะเกิดได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ แต่กลับมีอาการรุนแรงในผู้สูงอายุมากกว่า โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหัวใจขาดเลือด หรือโรคเบาหวาน ซึ่งความรุนแรงอาจนำไปสู่ภาวะปอดติดเชื้อ ระบบหายใจล้มเหลว หรือร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้”

พญ.บุษกร ย้ำว่า “เชื้ออาร์เอสวีสามารถแพร่กระจายได้ง่ายและเร็วกว่าเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ และเชื้อโควิด ผู้ติดเชื้อ 1 คน สามารถแพร่กระจายไปได้ถึง 3 คน อาการเริ่มต้นของโรคปอดอักเสบจากไวรัสอาร์เอสวีจะคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ ไอ น้ำมูก และเสมหะ แต่หากอาการรุนแรงขึ้น ผู้ป่วยจะมีอาการหอบเหนื่อยและหายใจมีเสียงหวีด ซึ่งถือเป็นสัญญาณอันตราย ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคปอดอักเสบจากไวรัสอาร์เอสวีโดยเฉพาะ ผู้ใหญ่ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่มักไม่ได้รับการวินิจฉัยและเป็นการรักษาตามอาการ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนได้ในที่สุด”

การสังเกตสัญญาณเตือน: เมื่อใดควรขอความช่วยเหลือ

สำหรับผู้ที่มีโรคหัวใจและหลอดเลือด อาการของโรคปอดอักเสบจากไวรัสอาร์เอสวีอาจรุนแรงขึ้นได้ สัญญาณที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่:

- ไอรุนแรงหรือมีอาการไอมากขึ้น

- หายใจเร็ว หายใจติดขัด หรือหายใจลำบาก

- มีเสียงผิดปกติขณะหายใจ เช่น เสียงดังหรือเสียงหวีดชัดเจน

- เบื่ออาหาร รับประทานได้น้อย

- สับสน มึนงง หรือมีภาวะรับรู้ลดลง

- หากมีโรคหัวใจและหลอดเลือด และมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้น ควรรีบพบแพทย์ทันที

- ปกป้องหัวใจของคุณในวันหัวใจโลก

 

ในวันหัวใจโลก ควรพิจารณาถึงความเสี่ยงต่อโรคปอดอักเสบจากไวรัสอาร์เอสวี และทำความเข้าใจว่าโรคประจำตัวอาจทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรงมากขึ้นได้อย่างไร

ขั้นตอนง่าย ๆ ที่มีประสิทธิภาพเพื่อปกป้องตนเองและคนรอบข้าง:

- รักษาสุขอนามัย: ล้างมือด้วยสบู่และน้ำอย่างน้อย 20 วินาทีบ่อย ๆ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าโดยไม่จำเป็น

- ปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำ: วัคซีนช่วยลดความเสี่ยงของโรคปอดอักเสบจากไวรัสอาร์เอสวีได้ ปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อายุ 50 ปีขึ้นไป หรือมีโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ

- ลดการสัมผัสเชื้อ: หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ที่อาจติดเชื้อ และพิจารณาสวมหน้ากากอนามัยในสถานที่ปิดหรือแออัด โดยเฉพาะช่วงที่โรคระบาด ซึ่งมักเกิดระหว่างเดือนกรกฎาคม–พฤศจิกายน

- พักผ่อนอยู่บ้านเมื่อรู้สึกไม่สบาย: หากเริ่มมีอาการ ควรเลี่ยงการพบปะที่ไม่จำเป็น เพื่อลดการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง

- รู้จักอาการของตนเอง: สังเกตสัญญาณของโรคที่อาจรุนแรงขึ้น และรีบพบแพทย์หากมีความกังวล การรักษาแต่เนิ่น ๆ สำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยง

ในวันหัวใจโลก มาร่วมกันปกป้องหัวใจจากภัยคุกคามอย่างโรคปอดอักเสบจากไวรัสอาร์เอสวีด้วยการเข้าใจความเสี่ยงและดูแลสุขภาพป้องกันเชิงรุก ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการส่งเสริมสุขภาพหัวใจที่แข็งแรงขึ้นได้

เซ็นทรัลเวิลด์ x Vogue เปิดเวที Casting Call 2025 ปั้น Rising Stars แฟชั่นไทย พร้อมเซอร์ไพรส์ T-POP Dice

“centralwOrld x Vogue Casting Call 2025 ปั้น Rising Stars แฟชั่นไทย เจอเซอร์ไพรส์ T-POP Dice 26 ก.ย. นี้!”

ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ไลฟ์สไตล์เดสติเนชันระดับโลกใจกลางเมือง ตอกย้ำความเป็นแลนด์มาร์กแฟชั่นระดับโลกของไทย จัดแคมเปญแฟชั่นแห่งปี "centralwOrld fashion citizens" เดินหน้ารัน Fashion Happening แห่งปี Vogue Casting Call 2025 รอบชี้ชะตา Final Cast Fashion Show จับมือนิตยสารแฟชั่นระดับโลก Vogue Thailand เนรมิตพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ ให้เป็นรันเวย์แห่งปี เพื่อค้นหานางแบบหน้าใหม่ หลังจากคัดเลือกผู้สมัครจากทั่วประเทศ จนเหลือเพียง 20 คนสุดท้าย ที่จะขึ้นรันเวย์ประชันความสามารถต่อสายตาแฟชั่นนิสต้าไทยและนานาชาติ พร้อมต้อนรับเหล่า Fashion Citizens จากวงการแฟชั่นเมืองไทย รวมตัวกันสร้าง Fashion Community ที่แข็งแกร่ง พร้อมผลักดันอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยให้ก้าวสู่เวทีโลก ผ่าน Fashion Ecosystem ที่สนับสนุนคนรุ่นใหม่ ดีไซเนอร์ ไปจนถึงการเชื่อมโยงแบรนด์แฟชั่นระดับโลก  

ภายในงาน นำโดย คุณนภพรรษ ฤดีสุนันท์ Head of Marketing (Asset Group 1) บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ร่วมแสดงความยินดีกับ คุณสิรี อุดมฤทธิรุจ ประธานกรรมการบริหาร โว้กประเทศไทย พร้อมด้วยผู้บริหารเซ็นทรัลพัฒนา ได้แก่ คุณชนะศักดิ์ นิยะถิรกุล Head of Regional Marketing – CentralWorld คุณอภิญญา มุทาวัน Head of B2C Marketing centralwOrld นอกจากนี้ยังมี Fashion People อย่าง คุณมีมี่-มิลิน ยุวจรัสกุล เจ้าของแบรนด์ Milin and Founder Feline, คุณมาร์ค กิ่งโพยม Founder Muse Academy, คุณโม-จิรัชยา ศิริมงคลนาวิน คุณเตยยี่-ประภัสสร กาญจนสูตร และแฟชั่นนิสต้าร่วมงานมากมาย 

โดยรอบ Final ได้รับการสนับสนุนจากแบรนด์แฟชั่นชั้นนำที่ร่วมกันนำเสนอคอลเลกชันสุดพิเศษบนรันเวย์ อาทิ CALVIN KLEIN, CC DOUBLE O, CHAMPION, GENTLEWOMAN, JASPAL, KATE SPADE NEW YORK, KLOSET, LACOSTE, LEVI'S, LULULEMON, LYN AROUND, MANGO, MARITHÉ + FRANÇOIS GIRBAUD, MATTER MAKERS, MICHAEL KORS, MLB, POLO RALPH LAUREN, POMELO, QUINN, TOMMY HILFIGER และ URBAN REVIVO

อีกหนึ่งไฮไลต์ที่สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ร่วมงาน คือการปรากฏตัวของ 9 หนุ่มศิลปินวง DICE ที่มาพร้อมโชว์บนรันเวย์สุดยิ่งใหญ่ของโว้กเป็นครั้งแรก นำโดย มิน, อเล็กซ์, เจย์, อาโป, โอโบ, ชีส, แมดดอค, อ็อตโต้ และ เฟรม ที่มาเพิ่มสีสันและสะท้อนบทบาทใหม่ในโลกแฟชั่น การขึ้นรันเวย์


ครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของ DICE ที่ถ่ายทอดเสน่ห์และพลังของ Young Generation ผ่านของการแสดงออกบนเวทีแฟชั่นระดับอินเตอร์ ในงาน Vogue Casting Call 2025 ครั้งนี้ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ได้อย่างน่าประทับใจ

#centralwOrld #Centralpattana #Voguecastingcall2025 #VogueThailand
 

วัน แบงค็อก ชูแนวคิดการพัฒนาเมืองที่ให้ความสำคัญกับชุมชนหลากหลายมิติ ในงาน Sustainability Expo 2025

วัน แบงค็อก โครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ที่ครบครันใจกลางกรุงเทพฯ พัฒนาโดย บริษัท ทีซีซี แอสเซ็ทส์ (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด กลับเข้าร่วมอีกครั้งเป็นปีที่หกในงาน Sustainability Expo 2025 (SX2025) มหกรรมด้านความยั่งยืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์  ในฐานะ “เมืองกลางใจ” ใจกลางกรุงเทพฯ ที่มุ่งมั่นสร้างคุณค่าอันยั่งยืนให้กับผู้คนและชุมชนในวงกว้าง โดยนำเสนอต้นแบบในการสร้างสรรค์เมืองที่เติบโตอย่างไม่หยุดนิ่ง ผ่านแนวคิดการออกแบบซึ่งมุ่งเน้นผู้คนเป็นศูนย์กลาง

วรวรรต ศรีสอ้าน รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส โครงการ วัน แบงค็อก

ภายในงาน วัน แบงค็อก ได้จัดแสดงแนวคิดริเริ่มต่าง ๆ ซึ่งสะท้อนถึงการออกแบบเมืองที่มุ่งเน้นชุมชนเป็นศูนย์กลางและการส่งเสริมความมีส่วนร่วมของผู้คนและชุมชนในรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อร่วมสร้างสรรค์อนาคตที่สดใสและยั่งยืนให้กับกรุงเทพฯ ซึ่งสอดคล้องกับหลัก 3 ประการในการสร้างคุณค่าทางสังคมของ กลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อันประกอบด้วย ชุมชนที่เปิดกว้าง (Inclusive Community) สุขภาวะแบบองค์รวม (Holistic Well-being) และการสร้างโอกาส (Enabling Opportunity) จากรากฐานดังกล่าว วัน แบงค็อก จึงมุ่งมั่นเสริมสร้างโครงสร้างทางสังคมของเมืองให้แข็งแกร่ง ด้วยความตระหนักถึงบทบาทสำคัญของ ‘พื้นที่ที่สาม’ (Third Space) หรือพื้นที่นอกเหนือจากบ้านและสถานที่ทำงาน ซึ่งจากงานวิจัยของ Journal of Urban Design ชี้ให้เห็นว่าสามารถส่งเสริมการสร้างปฏิสัมพันธ์ การเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน และสุขภาวะที่ดีได้

นายวรวรรต ศรีสอ้าน รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส โครงการ วัน แบงค็อก กล่าวว่า “งาน Sustainability Expo 2025 เป็นเวทีสำคัญในการผลักดันวิสัยทัศน์สู่การลงมือปฏิบัติเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน หลังจากที่ วัน แบงค็อก เปิดตัวอย่างเป็นทางการมาเกือบหนึ่งปี เราได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วถึงผลลัพธ์อันเป็นรูปธรรมจากความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์พัฒนาเมืองที่ยังยืน เราได้เห็น Third Space ที่ออกแบบพัฒนาขึ้นอย่างพิถีพิถันแห่งนี้มีส่วนส่งเสริมการเชื่อมโยงในชุมชนได้อย่างจริงจัง โครงการเพื่อชุมชนต่าง ๆ ของเราช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนเมืองอย่างชัดเจนและวัดผลได้ ขณะเดียวกัน โครงการด้านวัฒนธรรมของเราก็ช่วยเติมเต็มชีวิตประจำวันของผู้คนจำนวนมาก จุดมุ่งหมายของเราไม่ใช่เพียงการสร้างโครงการที่เป็นแลนด์มาร์ค แต่เป็นการส่งมอบระบบนิเวศซึ่งสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนสำหรับทุกคนและทุกชุมชนที่เกี่ยวข้อง ช่วงเวลาเกือบปีที่ผ่านมาคือสิ่งยืนยันถึงความมุ่งมั่นของเราในการเป็น “เมืองกลางใจ” ของกรุงเทพฯ อย่างแท้จริง”

ในงาน SX2025 วัน แบงค็อก นำเสนอเนื้อหาในการพัฒนาเมืองไปพร้อมกับคุณภาพชีวิตผู้คน ในแง่มุมต่างๆ ดังนี้

สุขภาวะที่ดีสำหรับผู้คนและสถานที่ทำงาน – วัน แบงค็อก กำหนดนิยามใหม่ของสถานที่ทำงาน ที่มุ่งสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมให้ทุกคนสามารถโฟกัสกับการทำงาน จุดประกายความคิดสร้างสรรค์ และให้ความสำคัญกับสุขภาวะแบบองค์รวมของคนทำงาน มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพในรูปแบบต่าง ๆ เช่น โยคะ คลับนักวิ่ง และการออกกำลังกายแบบ HIIT (การออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นสูงในระยะเวลาสั้นๆ สลับกับการพัก)  ส่งเสริมไลฟ์สไตล์รักสุขภาพ ลดความเครียด ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพในการทำงาน สร้างสมดุลชีวิต และมีส่วนร่วมกับสังคมในที่ทำงาน

เสริมพลังเยาวชนด้วยโครงการ One Bangkok Football Camp – นับตั้งแต่ปี 2562 วัน แบงค็อก ได้ร่วมมือกับ ThaiBev Football Academy จัดโครงการ One Bangkok Football Camp โดยร่วมมือกับ 6 ชุมชนใกล้เคียง เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเยาวชนด้วยการออกกำลังกาย ส่งเสริมการทำงานเป็นทีม และสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมที่ดีต่อกัน ปัจจุบัน มีเยาวชนหลายร้อยคนเข้าร่วมโครงการ หลายคนมีโอกาสก้าวไปสู่ลีกเยาวชนระดับภูมิภาค ได้ศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

เพลิดเพลินกับงานศิลปะ เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของพื้นที่ สู่การเชื่อมโยงชุมชนอันหลากหลาย – วัน แบงค็อก ผสานศิลปะและวัฒนธรรมให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันอย่างลงตัวผ่าน Art Loop เส้นทางเดินระยะทาง 2 กิโลเมตร ที่จัดแสดงผลงานศิลปะสาธารณะชิ้นเอกทั้งจากศิลปินไทยและต่างประเทศ ควบคู่ไปกับการจัดกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมอันหลากหลายต่อเนื่อง ซึ่งช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตผู้คน เติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิตในเมือง และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน

คอลเลกชันงานศิลปะสาธารณะ – รวบรวมผลงานศิลปะระดับโลกมากมายที่ให้ทุกคนชื่นชมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งประกอบด้วย ประติมากรรม ภาพจิตรกรรมฝาผนัง งานศิลปะดิจิทัลที่ล้ำสมัย และเฟอร์นิเจอร์สาธารณะที่ออกแบบอย่างพิถีพิถัน

The Wireless House One Bangkok– โครงการอนุรักษ์อาคารสถานีวิทยุโทรเลขแห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งเป็นการเก็บรักษาประวัติศาสตร์ที่สำคัญของไทย รวมทั้งใช้เป็นพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการทางวัฒนธรรมและศูนย์การศึกษา เชื่อมโยงคนรุ่นใหม่สู่อดีตอันรุ่งเรืองของกรุงเทพฯ ซึ่งมีผู้เข้าชมแล้วเกือบ 100,000 คนนับตั้งแต่เปิดทำการ

ปอดขนาดใหญ่ใจกลางเมือง พื้นที่เปิดโล่งขนาดใหญ่เพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ – วัน แบงค็อก จัดสรรพื้นที่กว่าครึ่งหนึ่งของโครงการให้เป็นพื้นที่สีเขียวและพื้นที่เปิดโล่ง รายล้อมด้วยต้นไม้ ดอกไม้นานาพันธุ์ และมุมพักผ่อนตามจุดต่าง ๆ ทั่วทั้งโครงการ เชิญชวนผู้คนให้ออกไปเดินสูดอากาศบริสุทธิ์ ร่วมกิจกรรมสร้างสรรค์และออกกำลังกาย อีกทั้งยังทำหน้าที่เป็นที่พักพิงสาธารณะสำหรับทุกคนในยามฉุกเฉิน

วัน แบงค็อก ยังได้จัดเตรียมฟอรั่มพิเศษ ในหัวข้อ “The Climate and Tech Shift: Adapting to a Rapidly Changing World” ในวันที่ 3 ตุลาคม 2568 เวลา 10:00 ถึง 12:00 น. ณ SX Grand Plenary Hall ชั้น G โดยมีการกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Building Adaptation and Resilience for a Thriving Planet” โดย  Dr. Youssef Nassef, Director of the Adaptation Programme at the United Nations Framework Convention on Climate Change (UNFCCC) หลังจากนั้น จะมีการเสวนาในหัวข้อ “The Intersection of Climate Crisis and Technology: Building a Resilient Future” นำโดย ปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด

วิสัยทัศน์ของ วัน แบงค็อก ก้าวไปไกลเกินกว่าการรังสรรค์สถาปัตยกรรมอันโดดเด่นเป็นไอคอนของกรุงเทพฯ  แต่ยังมุ่งสร้างสรรค์พื้นที่ซึ่งมีคุณค่า และสร้างประโยชน์ต่อสังคมในวงกว้าง ด้วยการผสานแนวคิดในการสร้างสุขภาวะที่ดีอย่างเหนือชั้น ประสบการณ์ทางวัฒนธรรมที่ชวนตื่นตาตื่นใจ และมอบพื้นที่สีเขียวเปิดโล่งสาธารณะขนาดใหญ่ ให้กับเมือง  วัน แบงค็อก จะยังคงเดินหน้าพัฒนาประสบการณ์การใช้ชีวิตในฐานะ “เมืองกลางใจ” ที่หล่อเลี้ยงผู้คนและอนาคตของกรุงเทพฯต่อไปอย่างไม่หยุดยิ่ง

สัมผัสอนาคตของการใช้ชีวิตในเมืองอย่างยั่งยืนได้ที่งาน Sustainability Expo 2025 ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน ถึง 5 ตุลาคม 2568 ที่บูธ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้  โซน Better Community ฮอลล์ 4 ชั้น G  ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ชวนเรียนรู้การปรับตัวสู่ความยั่งยืน ในงาน Sustainability Expo 2025

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ชวนค้นหาคำตอบการปรับตัวสู่ความยั่งยืน ผ่านนิทรรศการรับมือวิกฤตภูมิอากาศ ในงาน Sustainability Expo 2025

เมื่อภัยธรรมชาติที่คาดเดาไม่ได้ และภูมิอากาศที่ผันผวนกว่าที่เคย กำลังท้าทายการดำรงอยู่ของมนุษยชาติ การ “ปรับตัว” และ “ร่วมมือ” จึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือเงื่อนไขของความอยู่รอด มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ขอเชิญชวนประชาชนร่วมสำรวจอนาคตที่เราทุกคนต้องเผชิญ และค้นหาหนทางสู่ความยั่งยืน ผ่านนิทรรศการถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์จริงจากการทำงานของ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศได้อย่างสมดุล ทั้งการปรับตัวของชุมชน การรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ การพัฒนาเศรษฐกิจที่ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลง การทำความเข้าใจกับกลไกคาร์บอนเครดิต ไปจนถึงการเตรียมเยาวชนให้พร้อมรับอนาคตที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วกว่าที่เคยและการสร้างความร่วมมือทุกภาคส่วน เพื่อจุดประกายการตระหนักรู้และการมีส่วนร่วมของสังคมไทยในการเผชิญหน้ากับความท้าทายที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้น

​​​​​​​

พบกับบูธมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จัดแสดงในโซน SEP Inspiration – PROLOGUE ชั้น G ภายในงาน Sustainability Expo 2025 ตั้งแต่วันนี้ – 5 ต.ค.68 เวลา 10:00 – 20:00 น. ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และพิเศษสำหรับผู้ที่มาเยี่ยมชมบูธมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ พร้อมร่วมกิจกรรมที่กำหนด รับสิทธิ์เข้าร่วมการคัดเลือกเพื่อรับ Gift Vouchers สำหรับใช้ซื้อสินค้าภายในร้านดอยตุงไลฟ์สไตล์ (ทุกสาขาที่เข้าร่วมรายการ) 

ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์คและสเปลล์ ฉลองครบ 30 ปี ปักหมุดแลนด์มาร์กสุดคิ้วท์ FUTUREPARK X SHEWSHEEP 2025

ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์คและสเปลล์ ฉลองครบรอบ 30 ปี เดินหน้าสร้างรอยยิ้มแห่งความสุขอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แนวคิด “วันธรรมดาที่แสนพิเศษ” ประกาศจับมือศิลปินไทยสุดอาร์ต ป๊อป-สุมิตร สีมากุล ดีไซเนอร์เจ้าของคาแรคเตอร์ SHEWSHEEP (ชูชีพ) เจ้าแกะจอมกินเก่งผู้โด่งดังจากเพจ Eat All Day ที่มีเหล่าแฟนคลับติดตามมากมายทั้งไทยและต่างประเทศ ร่วมส่งมอบประสบการณ์พิเศษให้กับลูกค้า ด้วยการออกแบบคาแรกเตอร์ใหม่สุดเอ็กซ์คลูซีฟเพื่อฟิวเจอร์พาร์คและสเปลล์โดยเฉพาะ เริ่มตั้งแต่แคมเปญ Art Toy & Sneaker ต่อด้วย Foodie Tubbie

และล่าสุด Installation Art ผลงาน Collaborate กับความน่ารักของ “SHEWSHEEP” หรือ “ชูชีพ” นำมาเชื่อมโยงไลฟ์สไตล์กับมาสคอตฟิวเจอร์พาร์คและสเปลล์ “น้องฟิวและน้องเปล” สุดคิ้วท์ได้อย่างลงตัว โดยเนรมิตสีสันความสุขบนก้อนเมฆแห่งจินตนาการ ส่งต่อแรงบันดาลใจ พร้อมออกตามหาความสุขผ่านของกินแสนอร่อย ทั่วทั้งศูนย์การค้าฯ ตั้งแต่วันนี้ - 28 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์คและสเปลล์

คุณสุมิตร สีมากุล  ดีไซเนอร์เจ้าของคาแรคเตอร์ SHEWSHEEP  (ชูชีพ) -  กัลยา กมลรัตน์  ผอ.ด้านการตลาด ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์คและสเปลล์

 

นางสาวกัลยา กมลรัตน์ ผู้อำนวยการด้านการตลาด ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์คและสเปลล์ กล่าวว่า ในโอกาสครบรอบ 30 ปี ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์คและสเปลล์ ตอกย้ำการเป็นมากกว่าศูนย์การค้าฯ ก้าวสู่จุดหมายปลายทางแห่งการ Shopping, Lifestyle & Community ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในย่านกรุงเทพฯ ตอนเหนือ พร้อมส่งต่อความประทับใจและสร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกเจนเนอเรชั่นอย่างแท้จริง โดยได้ร่วมมือกับศิลปินไทยที่มากไปด้วยความสามารถ POPTODAY สุมิตร สีมากุล ร่วมถ่ายทอดเรื่องราวของคาเร็คเตอร์แกะชูชีพสุดน่ารัก สร้างสรรค์เป็นผลงานสุดคิวท์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Extraordinary Day เปลี่ยนวันธรรมดาให้แสนพิเศษ ทั่วทั้งศูนย์การค้าฯ พร้อมให้ทุกคนได้ค้นหาความสุขแบบเต็มอิ่ม ณ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์คและสเปลล์

 

สุมิตร สีมากุล   ดีไซเนอร์เจ้าของคาแรคเตอร์ SHEWSHEEP  (ชูชีพ)

 

ด้าน นายสุมิตร สีมากุล ดีไซเนอร์เจ้าของคาแรคเตอร์ SHEWSHEEP (ชูชีพ) เผยว่า รู้สึกดีใจและเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์คและสเปลล์ มอบพื้นที่และร่วมสนับสนุนศิลปินไทย ให้มีโอกาสแสดงผลงานของตัวเองใน Online สู่ On-ground ได้พบปะเหล่าแฟนคลับของ SHEWSHEEP (ชูชีพ) ตัวจริง ซึ่งการสร้างสรรค์ผลงานในครั้งนี้ ได้นำความโดดเด่นของคาเร็คเตอร์เจ้าชูชีพจอมกิน มาเล่าเรื่องผ่านจินตนาการรอบตัวที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เหมือนก้อนเมฆบนท้องฟ้าที่มีลักษณะรูปร่างแตกต่างกันในทุกวัน เกิดเป็นไอเดียนำเสนอเป็นความสนุกสนานของชูชีพที่โลดแล่นบนก้อนเมฆแห่งสีสันและความตื่นเต้น สะท้อนความสุขที่ไม่ธรรมดาของศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์คและสเปลล์ ที่ทุกคนต้องมาสัมผัสด้วยตัวเอง

 

พบความน่ารักสุดทะเล้นของ SHEWSHEEP (ชูชีพ) แกะสีเหลืองจอมกินและผองเพื่อน บนก้อนเมฆแห่งจินตนาการ แบบไม่เคยแสดงที่ไหนมาก่อน เปลี่ยนวันธรรมดาให้แสนพิเศษไปด้วยกัน กับบรรยากาศจุดถ่ายรูปสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ถ่ายมุมไหนก็ชิคจนอยากแชร์ ทั่วทั้งศูนย์การค้าฯ วันนี้ - 28 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์คและสเปลล์

 

#FutureParkxShewsheep

#FuturePark30YearsAnniversary

#FutureParkandZpell

ดอยคำ จับมือภาคีเครือข่าย สร้าง “ฝายดอยคำ” สืบสานพระราชปณิธานด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2568 บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด นำโดย นายพิพัฒพงศ์ อิศรเสนา ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ พร้อมด้วย นายรมร ธนะโสภณ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่สายการผลิต และฅนดอยคำประจำโรงงานหลวงฯ ที่ 1 (ฝาง) ร่วมกับอำเภอฝาง หน่วยจัดการต้นน้ำแม่เผอะ (อ่างข่าง) อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก องค์การบริหารส่วนตำบลแม่งอน บก.ผาดำ ฉก.กิจไชยยานุภาพ กกล.ผาเมือง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านยาง โรงเรียนอัลเอี๊ยะห์ซาน บ้านยาง และชุมชนบ้านยาง จัดทำ “ฝายดอยคำ” จำนวน 4 ตัว บริเวณป่าชุมชนรอบโรงงานหลวงฯ ที่ 1 (ฝาง) จังหวัดเชียงใหม่

“ฝายดอยคำ” เป็นแนวชะลอน้ำธรรมชาติ โดยจะเลือกพื้นที่สร้างในบริเวณแนวร่องเขาที่เป็นทางน้ำหลาก รองรับน้ำหลากในฤดูฝน ลดความรุนแรงของน้ำป่าไหลหลาก ป้องกันความเสียหายแก่ชุมชนและโรงงานหลวงฯ ควบคู่กับการเพิ่มความชุ่มชื้นให้หน้าดิน กักเก็บน้ำในชั้นดิน ฟื้นฟูระบบนิเวศ เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ และช่วยลดความเสี่ยงการเกิดไฟป่าในฤดูแล้ง

โครงสร้างของ “ฝายดอยคำ” ใช้วัสดุจากธรรมชาติ ได้แก่ ไม้ไผ่และหญ้าแฝก จัดเรียงเป็นชั้น ๆ เพื่อยึดเกาะดินและชะลอน้ำ เมื่อไม้ไผ่เสื่อมสภาพตามกาลเวลา หญ้าแฝกยังคงทำหน้าที่รักษาคันดินไว้ ส่งผลให้พื้นที่โดยรอบมีความอุดมสมบูรณ์ และสามารถใช้ประโยชน์ในการเพาะปลูกได้อย่างต่อเนื่อง

โครงการนี้สะท้อนถึงเจตนารมณ์ของ “ดอยคำ” ที่มุ่งมั่นเคียงข้างชุมชน สร้างคุณค่าทางสังคม และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมตามแนวทาง การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ตอกย้ำบทบาทองค์กรธุรกิจเพื่อสังคม ที่ยืนหยัดบนความสมดุลระหว่าง เกษตรกรรม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม