EN Name: 
Woman

Coffee World เปิดตัว Flagship Store แห่งใหม่ใจกลางเมือง

ครั้งแรกกับการเปิดตัว Flagship Store แห่งใหม่ของ Coffee World แบรนด์กาแฟพรีเมียมในเครือ PTG ตั้งอยู่ภายในอาคารสำนักงาน CW Tower ใจกลางรัชดา ย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ ความพิเศษของสาขานี้ไม่ได้อยู่แค่เพียงการนำเสนอเมนูสุด Exclusive เท่านั้น แต่ยังถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเพื่อเป็นพื้นที่พักผ่อนและจุดนัดพบแห่งใหม่ ที่ผสานความอบอุ่นของบรรยากาศกับความสะดวกสบายสำหรับคนทำงานและคนรุ่นใหม่ได้อย่างลงตัว

​​​​​​

คุณปกรกานต์ รัชกิจประการ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท จีเอฟเอ คอร์ปอเรชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า “Coffee World ยังคงยึดมั่นในมาตรฐานกาแฟพรีเมียมที่คัดสรรวัตถุดิบคุณภาพจากทั่วโลก พร้อมพัฒนาเมนูใหม่ที่ทันสมัยสอดรับเทรนด์สุขภาพและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดย Flagship Store แห่งนี้ จะมีเมนูอาหารและเครื่องดื่มเฉพาะสาขา ที่ร่วมสร้างสรรค์กับพาร์ทเนอร์ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาแบรนด์อาหารชื่อดัง พร้อมเสิร์ฟเมนูแซนด์วิชสูตรพิเศษ Exclusive เฉพาะสาขานี้เท่านั้น เช่น Sourdough และ Flatbread รวมถึงเมนู Plant Based และ Vegetarian สำหรับสายรักสุขภาพ”

การออกแบบร้านแบ่งเป็นสองโซนหลัก คือ Café ที่ตอบโจทย์กลุ่มพนักงานออฟฟิศที่ต้องการความรวดเร็ว พร้อมบริการแบบ Speed Bar และโซน Restaurant ที่เหมาะสำหรับการนั่งพบปะพูดคุยหรือประชุม พร้อมเมนูอาหารกลางวัน - เย็น ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์กลุ่มคนทำงานในอาคารสำนักงานข้างเคียง

“ปัจจุบัน Coffee World มีสาขาทั้งสิ้น 28 แห่งทั่วประเทศในทำเลยุทธศาสตร์ต่างๆ ได้แก่ ศูนย์การค้า 16 สาขา โรงพยาบาล 4 สาขา สนามบิน 4 สาขา และสถาบันการศึกษา 2 สาขา รวมถึงสถานีบริการน้ำมัน 2 สาขา โดยดำเนินธุรกิจในรูปแบบ Company-Owned Company-Operated (COCO) 25 สาขา และ Franchise (FC) 3 สาขา นอกจากนี้ Coffee World ยังเดินหน้าสร้างสรรค์คอลเลกชันสินค้าร่วมกับแบรนด์ในเครืออย่างพันธุ์ไทย ซับเวย์ และ Maxbit แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ได้จัดแคมเปญพิเศษที่สาขา CW Tower ด้วยการมอบบัตร Maxbit Plus หรือบัตรส่วนลดค่าธรรมเนียมการเทรด 50% ให้ทุกออเดอร์ ซึ่งได้รับเสียงตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมายังได้จับมือกับ SW. Smiley World ออก Merchandise สุดน่ารัก 10 แบบ และในไตรมาส 4 ของปีนี้มีโปรเจกต์คอลแลปกับแบรนด์ระดับโลก เพื่อให้เข้าถึงน้องๆ กลุ่มเจน Z มากขึ้น” คุณปกรกานต์ กล่าวเสริม

ความภาคภูมิใจของ Coffee World คือการคว้าชัยชนะใน GCC Signature Espresso Championship Thailand 2025 และเป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันในระดับนานาชาติที่กรุงโซล ด้วยเมนู Espresso Shot และเมนู Signature ที่รู้จักกันในชื่อ CW Royal โดยแบรนด์เตรียมจัดกิจกรรม Open House (Omakase Workshop) ในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เพื่อเปิดโอกาสให้คอกาแฟได้เรียนรู้ศิลปะการชงกาแฟอย่างใกล้ชิดจากแชมป์บาริสต้า เช่น หลักสูตร Latte Art และ Drip

Coffee World Flagship Store สาขา CW Tower ตั้งอยู่ชั้น 2 ติดกับทางเดินเชื่อม The Street Ratchada เปิดให้บริการทุกวันจันทร์ - เสาร์ ตั้งแต่เวลา 07.00 - 18.00 น. พร้อมเสิร์ฟเมนูเครื่องดื่มหลากหลาย ดื่มด่ำกับกาแฟพรีเมียม ตั้งแต่กาแฟเกอิชาเมล็ดสายพันธุ์พรีเมียมระดับโลก ช็อกโกแลต มัทฉะ วาฟเฟิล เบเกอรี่ แซนด์วิช อิ่มอร่อยกับอาหารหลากสไตล์ทั้งแบบเอเชียและตะวันตกได้ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ รวมถึงเมนูกรีกโยเกิร์ตสุขภาพจาก Pleased Yoghurt Bar ในบรรยากาศสบายๆ ที่ผสมผสานไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ นอกจากนี้ยังสามารถรับสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก Max Card Plus ซื้อเครื่องดื่มลด 50% ถึง 10 แก้วต่อเดือน อีกด้วย

 

 

 

 

 

 

 

ล้างสมองด้วยลมหายใจ

เคยรู้สึกเหมือนหัวสมองเต็มไปด้วย “ขยะความคิด” ทั้งความกังวล ความรู้สึกผิด หรือเสียงลบๆที่คอยดังวนเวียนอยู่ไม่หยุดไหม ..  หนังสือ "ล้างสมองด้วยลมหายใจ" เล่มนี้อาจเป็นคำตอบที่คุณกำลังมองหา

ผู้เขียนเปรียบเทียบจิตใจกับ “ห้องรกๆ” ที่เต็มไปด้วยสิ่งของกระจัดกระจาย จนเราแทบไม่รู้จะเริ่มเก็บตรงไหนก่อน ซึ่งหนังสือเล่มนี้ได้หยิบยื่น “คู่มือจัดระเบียบจิตใจ” ที่เรียกว่า หลักการ BLOOM  ประกอบด้วย

- Breathe : หายใจเพื่อเติมพลัง

- Link : ใช้ร่างกายสร้างการตระหนักรู้

- Observe : เพ่งดูความคิดและจิตใจอย่างเข้าใจ

- Organize : จัดระเบียบความคิดให้ชัดเจน

- Mindful Action : ลงมือทำด้วยสติ

วิธีทั้งหมดเรียบง่ายไม่ได้ซับซ้อน เหมือนค่อยๆจัดห้องทีละมุม เมื่อทำไปเรื่อยๆ ใจที่เคยวุ่นวายก็จะค่อยๆ สงบและชัดเจนขึ้น

หนังสือเล่มนี้ไม่ได้แค่สอนให้เราหายใจ แต่สอนให้เรารู้จัก “อยู่กับลมหายใจ” และใช้เป็นเครื่องมือปลดล็อกความยุ่งเหยิงในใจ จนกลายเป็นพื้นที่ว่างให้ความสงบเข้ามาแทนที่

เริ่มต้นดูแลใจของตัวเองด้วยวิธีง่ายๆแค่จัดระเบียบจิตใจ .. จัดระบบความคิด !!!

 

ผู้เขียน ดร.ศักดิ์สิทธิ์ สธนพงศ์
ราคา 195 บาท


จัดจำหน่ายโดย ศูนย์หนังสือจุฬาฯ  www.chulabook.com  

 

ซีเอ็ด ร่วมฉลอง 75 ปี “Snoopy” ในงานนิทรรศการระดับโลก “How Do You Do, Snoopy? 75 Years: A Journey of Friendship Through Art”

บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ซีเอ็ด ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ เนื่องในโอกาสครบรอบ 75 ปีของการ์ตูนระดับตำนาน Peanuts™ และเจ้าหมาน้อยขวัญใจแฟน ๆ ทั่วโลก “Snoopy” ผ่านงานนิทรรศการ “How Do You Do, Snoopy? 75 Years: A Journey of Friendship Through Art” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6 กันยายน – 7 ธันวาคม 2568 ณ RCB Galleria 1–2 ชั้น 2 ริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก

ซีเอ็ด ในฐานะผู้ได้รับลิขสิทธิ์อย่างเป็นทางการในการจัดพิมพ์หนังสือและผลิตสินค้า Peanuts Snoopy ภายในประเทศไทย ได้เข้าร่วมงานในครั้งนี้โดยมี นายรุ่งกาล ไพสิฐพานิชตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน) นำทีมผู้บริหารร่วมงาน เพื่อร่วมแสดงความยินดีและตอกย้ำบทบาทของซีเอ็ดในการเป็นผู้นำด้านความรู้และวัฒนธรรมการอ่าน พร้อมส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับคนไทยทุกวัย

นิทรรศการครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มีการจัดแสดงผลงานกว่า 100 ชิ้นสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ครอบคลุมทั้งผลงานของศิลปินไทยและต่างประเทศกว่า 25 คน พร้อมด้วยความร่วมมือจากแบรนด์แฟชั่นระดับโลกกว่า 24 แบรนด์ ตลอดจนผลงานต้นฉบับจากคอมิกและแอนิเมชัน Peanuts กว่า 50 ชิ้น โดยแบ่งออกเป็น 4 โซนหลัก ถ่ายทอดเรื่องราวของมิตรภาพ ศิลปะ แฟชั่น และวัฒนธรรม ที่สะท้อนเสน่ห์เหนือกาลเวลาของ Snoopy และผองเพื่อนในมุมมองใหม่

การที่ ซีเอ็ด ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานเฉลิมฉลอง 75 ปี Snoopy ไม่เพียงตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการสร้างสรรค์สื่อการอ่านที่มีคุณภาพ แต่ยังสะท้อนถึงบทบาทในการเชื่อมโยงแรงบันดาลใจระหว่างศิลปะ วัฒนธรรม และการเรียนรู้ เพื่อสร้างคุณค่าร่วมแก่สังคมไทย

“มาดามหยก กชพร” ร่วมงาน Miss International Queen 2025 Gala Night สร้างแรงบันดาลใจระดับโลก

“มาดามหยก กชพร” ร่วมงาน Miss International Queen 2025 Gala Night ย้ำพลังความงามหลากหลาย สร้างแรงบันดาลใจระดับโลก

ค่ำคืนวันที่ 9 กันยายน 2568 จังหวัดเชียงใหม่ได้จัดงาน Miss International Queen 2025 Gala Night อย่างยิ่งใหญ่ ณ โรงแรมดิเอ็มเพรส โดยมีทั้งแขกผู้มีเกียรติ ศิลปิน และบุคคลจากหลากหลายวงการเข้าร่วม ร่วมตอกย้ำบทบาทของไทยในฐานะผู้นำการจัดเวทีนางงามทรานส์เจนเดอร์ระดับโลก ภายใต้คอนเซ็ปต์ Culture Chic ที่ผสานแฟชั่นร่วมสมัยเข้ากับเสน่ห์วัฒนธรรมล้านนา

หนึ่งในแขกกิตติมศักดิ์ที่ได้รับความสนใจอย่างมาก คือ “มาดามหยก คุณกชพร เวโรจน์” ประธานชมรม Change Together & Indy Team ซึ่งได้เข้าร่วมงานในฐานะผู้สนับสนุนความเท่าเทียมและความงามที่หลากหลาย มายาวนาน

มาดามหยกเผยถึงความรู้สึกหลังงานว่า “การได้เข้าร่วม Miss International Queen 2025 Gala Night ไม่ใช่แค่การชมความงามบนเวที แต่คือการได้เห็นพลังของความฝันและความกล้าที่จะเป็นตัวเอง ดิฉันเชื่อว่างานนี้คือแรงบันดาลใจให้สังคมเปิดกว้างและยอมรับความหลากหลายมากขึ้น ที่สำคัญยังเป็นโอกาสสำคัญในการเผยแพร่ Soft Power ของไทยให้ทั่วโลกได้เห็น”

เธอยังกล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดงานในเชียงใหม่ครั้งนี้ช่วยสะท้อนศักยภาพของจังหวัด ทั้งด้านการท่องเที่ยว ศิลปวัฒนธรรม และความเป็นมิตรต่อชุมชน LGBTQ+ “เชียงใหม่คือเมืองที่พร้อมต้อนรับทุกคนด้วยหัวใจ และงานนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าเราสามารถสร้างความภาคภูมิใจให้คนไทย และสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนทั้งโลกได้”

การปรากฏตัวของ มาดามหยก จึงไม่เพียงเพิ่มความหรูหราให้ค่ำคืนพิเศษ แต่ยังสะท้อนถึงพลังใหม่ของผู้หญิงไทยที่พร้อมยืนเคียงข้างเวทีนานาชาติ ในฐานะตัวแทนของการสนับสนุนความงดงามในทุกรูปแบบ

#มาดามหยก #IndyTeam #MissInternationalQueen2025 #LGBTQFriendly #CultureChic #นางงามทรานส์เจนเดอร์ #ThailandSoftPower

Melissa x Nodaleto ถ่ายทอดแรงบันดาลใจจากพระอาทิตย์ขึ้นและตกในฤดูร้อน สะท้อนความเฟมินินมิติใหม่

melissa (เมลิสซ่า) แบรนด์รองเท้ารักษ์โลกจากบราซิล ภายใต้การบริหารของ ยัสปาล กรุ๊ป ในประเทศไทย ที่มีความเป็นไอคอนิคแห่งวงการแฟชั่น ด้วยรองเท้าเจลลี่ที่ผลิตจากวัสดุ Melflex® สามารถรีไซเคิลได้ 100% เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ภูมิใจนำเสนอคอลลาบอเรชั่นครั้งสำคัญกับ Nodaleto แบรนด์รองเท้าลักชัวรีสัญชาติฝรั่งเศสที่โด่งดังในหมู่แฟชั่นนิสต้า โดดเด่นด้วยดีไซน์เชิงสถาปัตยกรรมและการออกแบบร่วมสมัย

ในครั้งนี้ melissa ได้เดินหน้าร่วมงานกับแบรนด์ที่มีวิสัยทัศน์เพื่อยกระดับความคิดสร้างสรรค์ โดยคอลเลกชั่นสุดพิเศษ melissa x Nodaleto นี้ ได้นำรองเท้าเจลลี่ที่เป็นซิกเนเจอร์ของ melissa ผสานเข้ากับความขี้เล่นในสไตล์ลักชัวรีของ Nodaleto ถ่ายทอดผลงานที่เปี่ยมด้วยพลัง และสะท้อนภาพลักษณ์ของความเป็นผู้หญิงยุคใหม่ โดดเด่นด้วยโทนสีเกรเดียนต์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากพระอาทิตย์ขึ้นและตกในฤดูร้อน ถ่ายทอดอารมณ์โรแมนติกที่ทั้งคลาสสิกและร่วมสมัยในเวลาเดียวกัน ประกอบด้วยรุ่น Ruby Ballet Flats และ Possession Sandal ที่ผลิตจากวัสดุ Melflex® อันเป็นเอกลักษณ์ มอบสัมผัสที่ผสมผสานทั้งความล้ำสมัย ความสบาย และความหรูหราในทุกย่างก้าว

melissa x Nodaleto แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัดในการออกแบบรองเท้า และผสมผสานระหว่างสุนทรียศาสตร์อันโดดเด่นเข้ากับ DNA อันเป็นเอกลักษณ์ของทั้งสองแบรนด์ ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้ได้ผสานนวัตกรรม สไตล์ และความเข้าถึงง่าย ไว้ได้อย่างกลมกลืน สะท้อนถึงสีสันที่มีชีวิต ซึ่งสีส้มอมแดงรวมเข้ากับเทคโนโลยีรองเท้าพลาสติกที่ล้ำสมัย กลายเป็นรองเท้าแฟชั่นที่สวมใส่ได้จริง ผ่านการถ่ายทอดเรื่องราวของความคิดสร้างสรรค์และความสนุกสนานในทุกย่างก้าว

พร้อมสัมผัสกับคอลเลกชั่นใหม่สุดพิเศษ melissa x Nodaleto ที่ถ่ายทอดผ่านนิยามความเฟมินินในมิติใหม่ วัสดุพิเศษและดีไซน์ที่ทรงพลัง วางจำหน่ายแล้ววันนี้ที่ร้าน melissa ทุกสาขา หรือช้อปออนไลน์ได้ที่ www.melissa.co.th

 

อัปเดตข่าวสารและเทรนด์แฟชั่นล่าสุดของ “melissa” เพิ่มเติมได้ที่

Instagram: melissa_thailand

Facebook: melissa

LINE Official Account: @melissathailand

 

 

ศูนย์ฯ สิริกิติ์ สร้างชื่อเวทีโลก จากโครงการ “ไม่เหลือทิ้ง อิ่มใจกว่า” ยกระดับสู่ศูนย์ประชุม Zero Food Waste

ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สร้างชื่อในเวทีโลก ยืนหนึ่งความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนของศูนย์ประชุมไทย ด้วยการคว้ารางวัล AIPC Innovation Award 2025 –Winner Delegate’s Choice จากการโหวตของศูนย์ประชุมทั่วโลกที่เป็นสมาชิกของสมาคม ศูนย์ประชุมระหว่างประเทศ (AIPC- International Association of Convention Centres) และชนะเข้ารอบสุดท้าย (Finalist) รางวัล UFI Operations  & Services Award 2025 ของสมาคมอุตสาหกรรมการจัดนิทรรศการระดับโลก (UFI- The Global Association of the Exhibition Industry)  จากโครงการ  “ไม่เหลือทิ้ง อิ่มใจกว่า (Waste Not, Delight More)” ยกระดับศูนย์ฯ สิริกิติ์ สู่ศูนย์ประชุม Zero Food Waste

โครงการ “Waste Not, Delight More”

โครงการ “Waste Not, Delight More” เป็นโครงการนวัตกรรมการบริหารจัดการขยะเศษอาหารอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ของศูนย์ฯ สิริกิติ์ ที่ริเริ่มเมื่อปี 2566 โดยมุ่งเน้นการจัดการขยะอาหารให้เป็นศูนย์ (Zero Food Waste) ด้วยการใช้เทคโนโลยี ในการสั่งอาหารล่วงหน้า การออกแบบเมนูโดยเน้นการใช้วัตถุดิบท้องถิ่นอย่างคุ้มค่า การสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรในการกำจัดขยะอาหารให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ไม่เพียงสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้เข้าร่วมงานทั้งเรื่องรสชาติ คุณภาพ ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่ยังสร้างความภูมิใจ ในการเป็นส่วนหนึ่งที่ได้ช่วยรักษ์โลก เพราะอาหารทุกจานไม่เพียงแต่สร้างความสุข แต่ยังไม่ทิ้งขยะไว้เบื้องหลัง และช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

                                                   

จากการส่งโครงการดังกล่าวเข้าประกวดในเวทีโลก และได้รับรางวัล AIPC Innovation Award 2025 ซึ่งเป็นรางวัลระดับโลกที่ยกย่องศูนย์ประชุมที่มีนวัตกรรม และแนวทางบริหารจัดการที่สร้างสรรค์ ครอบคลุมการดำเนินงาน การตลาด และการบริการ โดยรางวัลประเภท Winner Delegate’s Choice มาจากการโหวตของศูนย์ประชุมทั่วโลกที่เป็นสมาชิกของสมาคมฯ เพื่อยกย่องผลงานที่โดดเด่น และน่าประทับใจที่สุด


รางวัล AIPC Innovation Award 2025
                                               

นอกจากนี้ศูนย์ฯ สิริกิติ์ ยังชนะเข้ารอบ 4 หน่วยงานสุดท้าย (Finalist) จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการจัดแสดงสินค้าทั่วโลกที่ประกวดรางวัล UFI Operations & Services Award 2025  จากสมาคม UFI – The Global Association of the Exhibition Industry                                                            

ภายใต้หัวข้อ “Revolutionising the F&B Experience in Exhibitions: Sustainable, Engaging, and Adaptive Solutions” ซึ่งเป็นรางวัลที่ยกย่องแนวปฏิบัติ  ด้านการบริหารจัดการ  และการให้บริการด้านอาหารที่โดดเด่นในเรื่องความยั่งยืน 

สุรพล อุทินทุ พร้อมรางวัล AIPC และทีมงาน

สุรพล อุทินทุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กล่าวว่า “การได้รับรางวัลด้านความยั่งยืนระดับโลกในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่สร้างชื่อเสียงให้กับศูนย์ฯ สิริกิติ์ ในเวทีโลก แต่ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความตั้งใจ และความมุ่งมั่นของเราที่ได้รับการยอมรับทั้งในด้านการพัฒนานวัตกรรมเพื่อจัดการขยะอาหารให้เป็นศูนย์ รวมถึงการใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการนำเสนออาหารและเครื่องดื่ม แต่ยังคงไว้ซึ่งความยั่งยืน  รางวัลดังกล่าว จะเป็นทั้งกำลังใจ และแรงผลักดันให้เรามุ่งมั่นในการพัฒนาเรื่องความยั่งยืน สู่เป้าหมาย Net Zero หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมเป็นศูนย์”

ศูนย์ฯ สิริกิติ์ ในฐานะผู้นำด้านความยั่งยืนของศูนย์ประชุมไทย พร้อมเดินหน้า เป็นแรงบันดาลใจให้กับองค์กรอื่น ๆ และร่วมพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ไทยสู่มาตรฐานสากลอย่างยั่งยืน โดยสะท้อนให้เห็น     จากการที่ผู้จัดงานชั้นนำเลือกมาจัดงานด้านความยั่งยืนที่ศูนย์ฯ สิริกิติ์ อาทิ งาน Mae Fah Luang Foundation Sustainability Forum 2025 (วันที่ 22 กันยายน 2025), งาน Sustainability Expo 2025 (วันที่ 26 กันยายน – 5 ตุลาคม2025), งาน Thailand Smart City Expo 2025 (วันที่ 5-7 พฤศจิกายน 2025) และงานประชุมวิชาการนานาชาติ International Conference on Biodiversity: IBD2025 (วันที่ 5 – 7 พฤศจิกายน 2025) ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในมาตรฐาน และศักยภาพ ด้านความยั่งยืนของศูนย์ฯ สิริกิติ์ อย่างชัดเจน

 

“หมอผิง ธิดากานต์” ชวนถอดรหัสโชค ผ่านหนังสือ “ฝึกสมองให้เรียกโชค”

ในยุคที่โลกธุรกิจเต็มไปด้วยความผันผวน (VUCA World) ความสำเร็จอาจไม่ได้วัดกันที่ความสามารถหรือความขยันเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ยังรวมถึงความสามารถในการมองเห็นและคว้าจับ "จังหวะ" และ "โอกาส" ที่ผ่านเข้ามา ซึ่งหลายคนมักเรียกสิ่งนี้ว่า "โชค" แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหาก "โชค" ไม่ใช่เรื่องของความบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์ของกระบวนการที่สามารถ "ฝึกฝน" และ "สร้างขึ้น" ได้?

นี่คือแก่นแนวคิดสำคัญที่ แพทย์หญิงธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล หรือ ‘หมอผิง’ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ กลุ่มเครือโรงพยาบาลสมิติเวชและบีเอ็นเอช, รองผู้อำนวยการ โรงพยาบาลสมิติเวชสุขุมวิท, CEO SkinX แอปพลิเคชันหาหมอผิวหนังออนไลน์, พอร์ดแคสเตอร์และนักเขียนเบสต์เซลเลอร์ กำลังจะถ่ายทอดผ่านหนังสือเล่มล่าสุดในรอบหลายปีของเธอ "ฝึกสมองให้เรียกโชค" ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงหนังสือฮาวทูสร้างพลังบวก แต่คือคู่มือเชิงกลยุทธ์ที่ผสมผสานหลักการทางวิทยาศาสตร์ จิตวิทยา และประสบการณ์จริง เพื่อให้ผู้อ่านสามารถ "ออกแบบชีวิตให้โชคดี" ได้ด้วยตัวเอง

จากป้ายบิลบอร์ดสู่แรงบันดาลใจ: เมื่อ "ความโชคดี" คือภาพสะท้อนของเส้นทางชีวิต

หมอผิงเล่าถึงจุดเริ่มต้นที่จุดประกายให้เธอกลับมาจับปากกาอีกครั้งว่าเกิดขึ้นในวันธรรมดาวันหนึ่งขณะรถติด เธอสังเกตเห็นป้ายบิลบอร์ดของโรงเรียนอนุบาล ที่มีภาพเด็ก ๆ พร้อมอาชีพในฝันหลากหลาย ตั้งแต่หมอ อินฟลูเอนเซอร์ ไปจนถึง CEO เมื่อไล่นับดู เธอพบว่าอาชีพส่วนใหญ่บนป้ายนั้น คือสิ่งที่เธอเคยได้ลงมือทำมาหมดแล้ว

"ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้ทำอะไรหลากหลาย ได้เจอผู้คนมากมาย มันเป็นจุดที่ทำให้เราอยากจะถ่ายทอดเรื่องราวว่า ทำไมเราถึงโชคดี และความโชคดีนั้นมันสร้างขึ้นมาได้อย่างไร"

แรงผลักดันยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อทีมงานในบริษัทอยากฟัง "สตอรี่" เบื้องหลังความสำเร็จของเธอ มากกว่าแค่ Hard Skill ทางธุรกิจ ทำให้เธอตกผลึกว่า ประสบการณ์ที่สั่งสม ทั้งจากการทำงาน การทำพอดแคสต์ การพบปะผู้คน หรือแม้แต่การอ่าน คือสิ่งที่สามารถนำมาสร้างประโยชน์ให้ผู้อื่นที่ต้องการมีชีวิตที่มีความสุขและรู้สึกโชคดีได้

"Lucky Mindset": โชคไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ แต่คือ Mindset + Skill Set

แม้ชื่อหนังสือจะชวนให้นึกถึงเรื่องราวสายมูหรือการ Manifest แต่หมอผิงยืนยันว่าแก่นแท้ของมันคือ

"Lucky Mindset" ซึ่งเป็นแนวคิดที่จับต้องได้และมีหลักการทางวิทยาศาสตร์รองรับ "จริง ๆ แล้วหนังสือเล่มนี้พูดถึง Mindset และ Skill Set ของคนที่จะใช้ชีวิตแล้วรู้สึกว่าตัวเองโชคดี ซึ่งก็คือการมีความสุขกับชีวิต มันไม่ได้แปลว่าคุณต้องประสบความสำเร็จขั้นสุดยอด มีเงินพันล้าน แต่คือการเข้าใจว่าความโชคดีในชีวิตคืออะไร"

หมอผิง อธิบายว่า Manifestation หรือ ความเชื่ออย่างแรงกล้าว่าจะประสบความสำเร็จ เป็นเพียง "จิ๊กซอว์" ตัวหนึ่งในภาพใหญ่ทั้งหมด การจะประสบความสำเร็จได้ต้องอาศัยองค์ประกอบอื่นอีกมาก ทั้งวิธีคิดที่ถูกต้อง (Mindset) และทักษะที่จำเป็น (Skill Set)

เธอยกตัวอย่างการทดลองเล็ก ๆ เกี่ยวกับนักกอล์ฟสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งถูกบอกว่าลูกกอล์ฟที่ใช้เป็น
“ลูกกอล์ฟพิเศษ” ผลคือพวกเขาทำผลงานได้ดีกว่ากลุ่มที่คิดว่าตัวเองได้ลูกกอล์ฟธรรมดา ทั้งที่จริง ๆ แล้วไม่มีความแตกต่างเลย สะท้อนให้เห็นว่าแค่ "ความเชื่อ" เพียงอย่างเดียวก็สามารถส่งผลต่อประสิทธิภาพได้อย่างมหาศาล “เพียงเพราะความเชื่อมั่นในใจ ก็สามารถเปลี่ยนผลลัพธ์ได้แล้ว” หมอผิงอธิบาย

สมการสร้างโชค: ความเชื่อ + การเตรียมตัว = โชคดีที่สร้างขึ้น

หมอผิงได้แยกความแตกต่างระหว่าง "โชคดีแบบบังเอิญ" และ "โชคดีที่สร้างขึ้น" ไว้อย่างชัดเจนโชคดีแบบบังเอิญ: เกิดขึ้นเมื่อเรามีความเชื่อ แต่ขาดการลงมือทำหรือการเตรียมความพร้อม

โชคดีที่สร้างขึ้น: คือผลลัพธ์ของสมการ "ความเชื่อ + การเตรียมตัว"

"ถ้าเราแค่อยากจะโชคดีแต่ไม่ทำอะไรเลย มันก็อาจจะเกิดขึ้นแบบฟลุคๆ แต่ถ้าเราต้องการสร้างมันขึ้นมา เราต้องมีความเชื่อมั่นในเป้าหมาย และที่สำคัญคือต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมอยู่เสมอ"

หมอผิงได้ยกประสบการณ์การเป็นนักเขียนของตัวเองมาเป็นกรณีศึกษา "หมอมีความฝันอยากเป็นนักเขียนตั้งแต่เด็ก มีความเชื่อว่าวันหนึ่งหนังสือของเราจะอยู่บนชั้น Best Seller แต่ความเชื่ออย่างเดียวไม่พอ หมอเตรียมตัวด้วยการเขียนมาตลอด 10 กว่าปี ตั้งแต่ทำวารสารโรงเรียน เขียนบล็อก จนกระทั่งเมื่อ 'จังหวะ' ที่เหมาะสมมาถึง คือเทรนด์สุขภาพกำลังเป็นที่นิยม เราจึงพร้อมที่จะคว้าโอกาสนั้นไว้ได้ทันที"

 

เทคนิคเปลี่ยนชีวิตที่เริ่มได้ทันที: จากวิธีคิดสู่การลงมือทำ

หนังสือ "ฝึกสมองให้เรียกโชค" ไม่ได้หยุดอยู่แค่แนวคิด แต่ยังมอบเครื่องมือที่นำไปปรับใช้ได้จริง
ซึ่งหมอผิงได้แชร์เทคนิคสำคัญที่ผู้อ่านสามารถเริ่มต้นได้ทันที

1.เลิกพูดคำว่า "รู้งี้"

คำพูดนี้คือกับดักทางความคิดที่นำไปสู่การโทษตัวเองและสร้างพลังงานลบ คนที่มี Lucky Mindset
จะเปลี่ยนมุมมองต่อความผิดพลาด โดยจะตั้งคำถามแทนว่า "เรื่องนี้มีข้อดีอะไรซ่อนอยู่?"
หรือ "เราจะเปลี่ยนเรื่องร้ายนี้ให้กลายเป็นดีได้อย่างไร?" ซึ่งเป็นการฝึกสมองให้มองหาโอกาสในทุกวิกฤต

2. ใช้เทคนิค "Box Pomodoro"

สำหรับคนทำงานในยุค Multitasking ที่มีสิ่งเร้ารอบตัว หมอผิงแนะนำเทคนิคการบริหารเวลาที่เธอพัฒนาขึ้นเองจากการผสมผสาน Time Boxing (การกำหนดกรอบเวลาให้งานแต่ละชิ้น) และ Pomodoro (การทำงาน 25 นาที สลับพัก 5 นาที) โดยการแบ่งโปรเจกต์ใหญ่เป็นทาสก์ย่อย ๆ และกำหนดจำนวน Pomodoro ให้แต่ละทาสก์ วิธีนี้จะช่วยให้สามารถทำงานเสร็จตามเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่เกิดภาวะ Burnout

3. Press Release Technique

หนึ่งในเคล็ดลับที่หมอผิงใช้กับการสร้างธุรกิจแอปพลิเคชัน SkinX คือการ “เขียนข่าวความสำเร็จล่วงหน้า” ราวกับสิ่งนั้นเกิดขึ้นจริง เพื่อสร้างภาพปลายทางที่ชัดเจนให้ทีมงานเห็นร่วมกัน และทำให้ทุกคนเดินไปในทิศทางเดียวกัน

ทำไม "การฝึกสมองให้เรียกโชค" ถึงเป็นทักษะสำคัญของผู้นำยุคนี้?

ในโลกธุรกิจที่การแข่งขันสูงและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การมี Mindset ที่พร้อมเปิดรับโอกาสจึงเป็นความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ หมอผิงชี้ว่าแนวคิดนี้สำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้นำและองค์กร เพราะมันช่วยในมิติสำคัญ ๆ อย่าง การตัดสินใจ (Decision Making) ผู้นำที่เชื่อว่าสามารถสร้างโชคได้ จะมองเห็นทางเลือกและมีความกล้าที่จะตัดสินใจได้ดีกว่า

การมองภาพใหญ่ (Big Picture) การฝึกมองหาโอกาสในอุปสรรค ช่วยให้ผู้นำสามารถวางกลยุทธ์
ระยะยาวและนำพาองค์กรผ่านพ้นวิกฤตได้ และการสร้างวัฒนธรรมองค์กร ผู้นำสามารถปลูกฝัง Lucky Mindset ให้กับทีมงาน สร้างบรรยากาศของการมองโลกในแง่ดี และกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ

หมอผิง เน้นย้ำว่าแนวคิดในหนังสือเล่มนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคนทำงานในยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง เพราะการมี Mindset ที่พร้อมเติบโตและปรับตัวจะช่วยให้สามารถรับมือกับปัญหาและสร้างโอกาสใหม่ ๆ ได้

ความโชคดีที่เราออกแบบได้

เพราะหัวใจของชีวิตที่โชคดีและมีความสุขที่แท้จริงประกอบด้วยการได้ทำงานที่รัก การดูแลความสัมพันธ์ที่ดี การจัดสรรเวลาให้ตัวเอง และการสร้างความทรงจำดี ๆ ให้กับชีวิต ท้ายที่สุด หมอผิงอยากให้ผู้อ่าน “ฝึกสมองให้เรียกโชค” เห็นว่าความโชคดีไม่ใช่ของหายาก แต่คือสิ่งที่ทุกคนสามารถออกแบบและฝึกได้  

“ความสำเร็จไม่ใช่แค่เรื่องของความสามารถ แต่คือการเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ เพื่อเมื่อจังหวะและโอกาสมาถึง เราจะเป็นคนที่พร้อมที่สุดที่จะคว้ามันไว้" หมอผิงกล่าวทิ้งท้าย

หนังสือเล่มนี้จึงเป็นเหมือนเครื่องมือในการออกแบบชีวิต ให้ผู้อ่านไม่เพียงแต่ “โชคดี” แต่ยัง “มีความสุข” ในแบบที่ตนเองกำหนดได้ ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทายใบนี้

                                                  

 

"โอปอล สุชาตา" เปิดใจทั้งน้ำตา! ความสำเร็จแลกด้วยความโดดเดี่ยว

เปิดเบื้องหลังคว้ามงฟ้า โอปอล สุชาตา ที่หลายคนไม่เคยรู้ เคยร้องไห้หน้ากระจกนับครั้งไม่ถ้วน เล่าเคล็ดลับ Manifest ชีวิตจนได้ Miss World 2025 และปมในใจหลังคว้ามง เสียความสัมพันธ์แต่ไม่เสียความฝัน ในรายการ WOODY FM

Feeling ตอนนี้กับชีวิตเป็นยังไงบ้าง ?

โอปอ : ความจริงหนูยังรู้สึกเหมือนเดิมนะคะ เพราะด้วยความที่เราอยู่ในวงการนางงามแล้ว เราทำงานจริงจังมาตั้งแต่ตอนเริ่มต้นตั้งแต่ปีแรกค่ะ เลยรู้สึกว่ายังคงเป็นการทำงานเหมือนเดิม เพียงแค่ว่าทำงานกับองค์กรใหม่ ก็อาจจะมีหลาย ๆ อย่างที่เราต้องปรับแล้วเป็นระดับโลกด้วย ก็อาจจะมี work culture หลาย ๆ อย่างที่เราค่อนข้างชินกับการทำงานกับทีมในไทย พอไปโน้นแล้วก็ไม่ว่าจะเป็นในมุมที่แบบต้องดูแลตัวเองต้องจัดการทุกอย่างเอง หรือจะเป็นการทำงานกับต่างชาติแล้วแต่ละประเทศที่เราไปไม่เหมือนกันเลย ก็จะเป็นในเรื่องนั้นมากกว่าที่แบบเปลี่ยนไปคล้ายๆ culture shock

คำถามที่ทุกคนจะถามคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า และรู้สึกว่าทุกคนจะถามคุณตลอดไป คำถามนั้นคืออะไร ?

โอปอล : How are you doing? This is the reason why ค่ะ คือถ้าเกิดว่าหนูจะไปทุกที่แล้วทุกคนจะถามคำถามนี้ทุกที่ มันมีหลายมุมมาก หนึ่งคือเพราะเรารู้ว่าช่วงชีวิตนี้เราจะเจออะไรเยอะมาก อย่างน้อยการที่เขาถามคำถาม simple แบบว่า how you doing ค่ะ I could answer it in so many ways ที่เราอัปเดตว่าเป็นยังไงมาบ้างกับชีวิตนี้ คำถามนี้มันช่วยเราได้ด้วยนะคะ เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าแบบช่วงนี้แบบ I holding on ไม่ไหวแล้ว sometimes แค่คำถามว่าแบบ how you doing มันเหมือนแบบกำลังเจออะไรอยู่แล้วพอถาม  It's just simple as that จะตอบออกมาก็ได้ว่า ชีวิตมาแบบนี้ ๆ หรืออาจจะตอบแค่ว่าช่วงนี้ไม่ไหว I need someone to talk to แล้วมันเป็นคำถามที่ถามเมื่อไหร่ในชีวิตมัน Pull you up ได้ค่ะ แต่เป็นคำถามที่เราทุกคนควรจะถามกันทุกวัน

เชื่อว่าคำถามนี้เป็นคำถามที่มันเป็นการเช็กอุณหภูมิของตัวเราเองด้วย ?

โอปอล : ใช่ค่ะ I say it's okay เราต้องเปิดโอกาสให้คนแบบ honest กับความรู้สึกตัวเองมากขึ้น เพราะว่าย้อนไปตั้งแต่คำถามเลย โลกมันไปไวมาก รายการเสร็จ we always on to something จนบางทีเราไม่ได้แบบว่าคนรอบข้างว่าเขาโอเคไหม หรือแม้กระทั่งตัวเราเองโอเคไหม

ถ้าคุณต้องการใครสักคนที่จะคุยด้วยที่สามารถบอกได้เลยว่าตอนนี้รู้สึกยังไง มันมีหลายระดับและเรายังสามารถเจาะลึกลงไปได้อีกว่าเพราะอะไร แค่เพียงการที่ได้ฟังกันและกัน ก็ช่วยทำให้ความรู้สึกนั้นเบาลงได้แล้ว

โอปอล : ใช่ค่ะ เพราะเหมือนกับว่าคุณได้พูดมันออกมา

ตอนนี้อายุ 21 ใช่ไหม ?

โอปอล : ใช่ค่ะ

คุณผ่านอะไรมามากจริง ๆ กว่าจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้ มันสะท้อนให้เห็นถึงงานหนักที่คุณทำมาตลอดหลายปี ได้ค้นพบคุณค่าของตัวเอง แล้วสำหรับตลอดหลายปีที่ผ่านมามันเป็นอย่างไรบ้าง?

โอปอล : เป็นการเดินทางที่หนักหนาสาหัสจริง ๆ บอกตามตรงนะคะ เพิ่งรู้คุณค่าของตัวเอง รู้ว่าเรามีศักยภาพ รู้ว่าเรามี ศักยภาพและความหมายในชีวิต มันหายากมากนะคะ โอปอดีใจมากที่เรามาอยู่บนเส้นทางนี้ แล้วเจอ value part หนึ่งของชีวิต เหมือนที่เราพูดใน Homecoming Spech มันออกจากใจจริง ๆ ไม่มีอะไรที่จะพูดเลยนอกจากขอบคุณที่ให้โอกาสเราในการทำให้ชีวิตตัวเองมีคุณค่า เพราะว่าแค่อายุ 21 ยังมีอะไรอีกมากมายในชีวิตให้ได้เจอ เพิ่งใช้ชีวิตมาแค่นี้ แล้วก็ยังรู้สึกว่าอยากให้อายุไขมนุษย์มันนานกว่านี้ จะได้มีเวลาสร้างคุณค่าให้ตัวเองได้เยอะ ๆ  รู้สึก appreciate มาก เพราะว่าวันก่อนเพิ่งคุยกับพี่ที่รู้จัก แล้วเขาพูดกับเราว่า ดีใจแทนโอปอพอจังเลยที่ได้มายืนอยู่ตรงจุดที่ตัวเองอยากยืนด้วยระยะเวลาเพียงเท่านี้ เพราะว่าเราเคยคุยด้วยกันตอนนั้นก็คือไปแบบงานเปิดร้านของพี่ที่รู้จักแล้วเราก็นั่งคุยกับเขาแล้วอธิบายเพราะว่าปอวางแผนเราคุยกับเขาเลยว่า ตอนอายุเท่านี้ช่วงนี้เราจะเรียนแล้ว จะเบรกไปทำอันนี้เมื่อเราสำเร็จ รู้สึกว่าอันนี้จะเป็นพื้นฐานในการไปต่ออาชีพในฝันที่เราอยากเป็น ก็คือลิสต์ให้เขาเลยว่าเข้ามหาลัยถึงปีนี้ โอปอจะมาประกวดนางงามใหม่ จะไประดับโลก จะได้รับตำแหน่งไม่ได้ตำแหน่งแล้วก็กลับมา จะมาสานต่อเรื่องนี้ ๆ แล้วชีวิตโอปอรันแบบนั้น เป๊ะ ๆ เลย แล้วเขารู้สึกแบบว่าดีใจแทน ก็เลย realiz ว่า I'm so fortunate ที่เรามีโอกาสได้ทำในสิ่งที่รักแล้วก็อยากทำ แล้วชีวิตมันไปตามนั้นจริง ๆ แต่ว่าเราก็กลับมานั่งคิดว่า It's not just luck ก็ประเมินตัวเองเหมือนกันแล้วก็เป็นความโชคดีที่ประเมินชีวิตตัวเองได้ค่อนข้าง accurate so far

อยากจะขอแสดงความยินดี ที่คุณสามารถคว้ามงกุฎ Miss World ได้ในวัยเพียง 21 ปี ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ใครหลายคนใฝ่ฝัน รวมถึงพี่ด้วย

โอปอล : จริงหรือเปล่าคะ

ในวันนั้นในชีวิต เราไม่ได้คิดถึงเรื่องเพศหรือมุมมองอะไรเลยแค่มองว่ามันช่างงดงาม มันคือการเฉลิมฉลองของชีวิต ทุกคนต่างใฝ่ฝันถึงสิ่งนั้นและคุณก็ทำมันสำเร็จได้ตั้งแต่อายุเพียง 21 ปี

โอปอล: มันช่างเหลือเชื่อจริง ๆ ที่อยู่ใน position นี้ค่ะ คุณไม่รู้หรอกว่าฉันร้องไห้หน้ากระจกมากี่ครั้งแล้ว เพราะต้องแกล้งทำเป็นว่าฉันชนะ ร้องไห้ทุกครั้งที่เล่นแบบนั้นแบบว่าทุกครั้งที่เราเทรนเสร็จทุกครั้งที่เราอ่านหนังสือเสร็จ ทุกครั้งที่เตรียมตัวเสร็จก่อนนอนทุกครั้ง I can't help myself กระโดดออกมาจากเตียงแล้วก็ไปยืนหน้ากระจกแล้วก็เปิด soundtrack ที่เขาจะเปิดเวลาเขาจะ announce ค่ะ แล้วพอมันถึงพีคของ soundtrack ก็จะแบบ imagine ว่าเขาพูดชื่อไทยแล้ว แต่บางที It gets so serious เพราะว่าเราแบบอินมาก ๆ กับสิ่งนี้ แล้วเรามันพอย้อนกลับไปมันทำให้เห็นว่า I really wanted this

ทำแบบนี้นานขนาดไหน ?

โอปอล : ตั้งแต่ even before เข้าวงการอีกมั้งคะ เพราะว่าเราก็เห็นรุ่นพี่เขามีโมเมนต์ของเขามาเหมือนกัน Just like when you saw พี่ปุ๋ย แล้วทำทุกครั้งกลับมาจากโรงเรียน แต่มันแค่บ่อยขึ้น ตอนช่วงที่เราได้อยู่ในเส้นทางนี้จริง ๆ เพราะว่าเราไม่ได้เห็นแค่ว่าแบบชนะแล้วก็ no มันคือคุณเห็นเส้นทางก่อนที่ยูจะชนะด้วยแล้ว เห็นว่ามันเหนื่อยแค่ไหนแล้วมันแบบ rewarding มัน deserving แค่ไหน ก็เลยมีน้ำตาแห่งความภาคภูมิใจแบบออกมา Manifestation

แปลว่าคุณได้มโนภาพ ตั้งใจสร้างมันมาตลอดเลยใช่ไหม ?

โอปอ : ใช่ค่ะ

คุณได้ใช้ชีวิตเป็นตัวเองอย่างแท้จริงในทุกวันนี้ Manifestation คืออะไร ?

โอปอล : ตอนที่โอปอรู้จักกับคำนี้ครั้งแรก ก็คิดเหมือนกันว่าจะเวิร์คเหรอ จะทำได้เหรอ เอาง่ายๆเลยหรือแม้กระทั่งสวดมนต์ โอปอเป็นชาวพุทธ แล้วเราก็เข้าวัดแล้วก็สวดมนต์ แต่ว่าอันนั้นมันก็ปล่อยให้ไปในเรื่องของความเชื่อ แต่สิ่งหนึ่งที่โอปอจับจุดได้เหมือนกันระหว่างสวดมนต์กับ manifestation เราไม่รู้หรอกว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่พาเราไปอยู่ตรงจุดนั้น มันเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น หรือว่ามันเป็นพลัง หรือว่ามันเป็นโชคดี หรือเป็นอะไรก็แล้วแต่ แต่โอปอรู้ว่าทุกๆครั้งที่ manifest แล้วทุกครั้งที่เราสวดมนต์ แล้วขอพรว่าอยากได้อะไร That's a reminder ว่าขอเสร็จแล้ว ลุกไปทำอะไร You manifest นั่งอยู่หรือแบบฝันเห็นตัวเอง แต่ว่าพอวาดฝันนั้นเสร็จแล้ว ก็จะมานั่งคิดกับตัวเองว่าเราต้องทำยังไง ให้ไปอยู่ตรงนั้น ต้องใช้ชีวิตยังไงให้ไปอยู่ตรงนั้น มันเป็นการเตือนตัวเองว่า you can't just sit around ขออย่างเดียว คุณต้องรู้ด้วยว่าจะไปทำอะไรต่อ

สิ่งที่ต้องแลกมากับการมาถึงจุดนี้คือเรื่องเวลา คุณจัดการเวลาให้กับเพื่อน ๆ และคนรอบข้างที่คุณรักยังไง ?

โอปอล : คิดว่าไม่เก่งเรื่องนี้เลย แย่มากจริง ๆ รู้สึกว่าห่างไกลค่ะ แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองคิดไปเองไหมหรือว่าเพื่อนก็คิดเหมือนกัน แต่รู้สึกว่าเราไม่ดีพอกับการให้เวลาแล้วก็ความสนใจกับคนรอบข้าง แล้วก็บางครั้งก็รู้สึกว่าเหมือนต้องโทษตัวเองว่าเราโฟกัสกับสิ่งที่ชีวิตอยากจะทำมากเกินไปหรือเปล่า และก็มักจะบอกกับผู้คนอยู่เสมอว่า คุณต้องรู้จักขอบคุณในสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิต เพราะว่าฉันก็มีเพื่อนบางคนที่บอกว่าอยากจะเป็นอยากจะเป็นแบบโน้นนี่นั่นแล้วก็ work hard เราไปบอกเขา แต่ว่าเราต้องดูด้วยนะว่าระหว่างทางถ้าเกิดว่าเราเอาแต่ทำงานแล้วมันขาดการใช้ชีวิตไป แล้วยูไม่ได้รู้จักเห็นคุณค่าแม้กระทั่งดอกไม้เล็ก ๆ ที่เห็นระหว่างทางที่มันเติบโตตามธรรมชาติ ตอนนี้คือแล้วฉันจะมีสิทธิ์อะไรไปพูดแบบนั้น รู้สึกอายมากที่ไปบอกเขาแบบนั้น เพราะว่าเราเป็นแบบนั้น คือหนูทำงานตั้งแต่ 18 ใช่ไหมคะ ซึ่งรู้สึกว่าบางอย่างที่รู้สึกตอนนี้ มันก็ไม่ได้ใหญ่มากเทียบกับหลาย ๆ คนที่เขาก็จะต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเองอายุน้อยกว่าปออีก แต่มันเป็นสิ่งที่เรา value เหมือนกัน เราบ้างานตั้งแต่อายุ 18 เลิกเรียนแล้วเพื่อนไปคาราโอเกะ เราเลือกที่จะไปทำงานแล้วก็ไม่ได้สร้าง relationhip กับเพื่อนหรือใครที่เรา consider ว่าเพื่อน แต่สิ่งที่โอปอรู้สึกว่าทำพลาดคือ relationhip ที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ เราไม่ได้ตั้งใจรักษามันไว้  คือตอนนี้ก็ยังเป็นเพื่อนกันแต่รู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่ในแบบไซเคิลของเขา ไม่รู้ว่าตอนนี้เพื่อนเป็นยังไง แล้วเพื่อนก็ไม่กล้าทักมาหา เราก็รู้สึกห่างกับเพื่อนไป เคยถามเพื่อนว่าเรายังเหมือนเดิมกันไหม เพราะรู้สึกเหมือนไม่ได้เจอเพื่อนเลยเราห่างเพื่อนมาก เราอาจจะไม่ได้สนิทกันเหมือนเดิมหรือเปล่า เพื่อนบอกมาว่าพวกเขารู้หมดว่าเกิดอะไรขึ้นในชีวิตเรา  We know what's going on แต่ว่าเลือกที่จะไม่ interfere เพราะกลัวว่าเขาจะมาขัดกับการเติบโตของเรา  (น้ำตาไหล)

คิดถึงอะไรอยู่ ?

โอปอล : เพราะว่าวันก่อนเพื่อนทักมาถามว่าอยู่ไหน โอปอบอกว่าอยู่อังกฤษกำลังจะกลับไทยแล้วเขาก็บอกว่าจะกลับไทยเหมือนกันเผื่อได้นัดกัน แล้วเพื่อนเขาก็พูดมาคำหนึ่งว่าไม่กล้าทักไป เพราะว่าไม่อยากรบกวน รู้สึกว่าเราเป็นเพื่อนภาษาอะไร เพื่อนถึงไม่กล้าทักมา อยากให้ทักค่ะ เพราะว่าคือก็เป็นเพื่อนกัน แต่ว่าในขณะเดียวกันอีกใจหนึ่งก็รู้ว่าถึงให้เพื่อนทักมาชวนเราก็ไม่ว่างไป เราไม่อยากปฏิเสธเพื่อนแต่ว่าในขณะเดียวกันรู้สึกว่าเราเป็น bad friend ไม่มีคุณสมบัติเพื่อนที่รู้สึกว่าเขาสามารถทักมาได้

เคยกำหนดวันเพื่อนหรือยัง แบบเดือนละครั้งหรือสองเดือนครั้ง ?

โอปอล : ไม่เคยเลยค่ะ ใช่อันนี้เป็นสิ่งที่หนูรู้สึกว่าทำพลาด เพราะว่าไม่สามารถที่จะ balance เรื่องงานกับชีวิตส่วนตัวได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าเราทุ่มเทและเต็มไปด้วยแพสชั่นทั้งกับชีวิตและสิ่งที่ทำอยู่กลัวว่าเราจะไม่สามารถที่จะยืนด้วยตัวเองได้ หรือว่าดูแลครอบครัวได้ ดูแลคุณพ่อคุณแม่ได้ มันเลยทำให้เราทำงานๆ แล้วเลือกที่จะงาน over สิ่งเหล่านี้ เพราะรู้สึกว่ามันไม่สำคัญ รู้สึกว่ามันมีอยู่ตรงนั้นตลอด ตอนแรกคือโอปอรู้สึกว่าจะไม่ทำตรงนี้แล้ว เพราะรู้สึกว่าค่อนข้างที่จะเจ็บเยอะ แล้วก็บางครั้งก็นั่งถามตัวเองว่าทำไมต้องมาเจออะไรที่มันบั่นทอน แทนที่เราจะไปทำอย่างอื่นอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ของตัวเอง

หมายถึงว่าช่วงนี้ก่อนหน้านี้ ?

โอปอล : ช่วงก่อนหน้านี้ค่ะ แล้วรู้สึกว่าเข้าใจนะว่าอยากทำความฝันตรงนี้ให้เป็นจริง แต่มัน is it worth it ที่จะเสียสภาพจิตใจหรือว่าเหนื่อย หรือว่าทำอะไรกับตรงนี้ จนได้มาทำจริง ๆ รู้สึกว่ามันคุ้มที่จะแลก ย้อนกลับไปก็ภูมิใจในตัวเอง สุดท้ายแล้วคือเราเรียนรู้จากทุก ๆ อย่าง ถ้าให้ย้อนกลับไปได้ก็คงทำเหมือนเดิมอยู่ดี ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสตรงนี้ ถ้าเราไม่ได้เลือกเส้นทางนี้ก็คงใช้เวลาอีกเยอะมากในชีวิตแล้วก็เสียหลาย ๆ อย่างที่เราอยากจะทำ เพราะว่าเรารู้ตัวตั้งแต่เด็กว่าเป็นคนอยากทำหลาย ๆ อย่างในชีวิต รู้สึกว่าอันนี้เป็นอีกหนึ่ง factor ที่ทำให้เรารู้สึกมีคุณค่ากับการเกิดมาในครั้งนี้ ถ้าไม่ได้ทำรู้สึกว่าเสียดายชีวิต ถ้าชีวิตนี้ไม่ทำอันนี้แล้ววันหนึ่งเราหายไปจากโลกนี้เสียดาย ถ้าเป็นคนอื่นคงด่าว่าเสียโควต้าการเกิด

สามารถติดตาม Woody FM ได้ที่ช่องทาง Podcast : WOODY FM , Facebook: Woody, Youtube: Woody ทุกวันพุธ เวลา 18.00 น.

คลิกชมย้อนหลัง :  https://www.youtube.com/watch?v=oxDdo68knoQ

 

“The Heart of Sharing – หัวใจแห่งการแบ่งปัน” กาล่าดินเนอร์การกุศล ฉลองครบรอบ 22 ปี HiSoParty

กว่า 2 ทศวรรษ “HiSoParty” สื่อไลฟ์สไตล์ชั้นนำ ภายใต้การบริหารของ ครอบครัวธนวิสุทธิ์ นำโดย อินทิรา, พัฒพงษ์ และปรียามล ธนวิสุทธิ์ ได้สะท้อนแนวคิดและแรงบันดาลใจของเซเลบริตี้และนักธุรกิจ ผู้ประสบความสำเร็จทั่วฟ้าเมืองไทย พร้อมให้ความสำคัญกับการตอบแทนสังคมมาโดยตลอด และในโอกาสครบรอบ 22 ปี บริษัท เวบ พับบลิชชิ่ง จำกัด ผู้ผลิตเว็บไซต์ HiSoParty Official และนิตยสาร HiSoParty จึงจัดงานกาลาดินเนอร์การกุศลสุดยิ่งใหญ่ “The Heart of Sharing – หัวใจแห่งการแบ่งปัน” ณ ห้องบอลรูม โรงแรมโฟร์ซีซันส์ กรุงเทพฯ แอท เจ้าพระยาริเวอร์ เมื่อวันอังคารที่ 9 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา

พัฒน์พงษ์ ธนวิสุทธิ์ , อินทิรา ธนวิสุทธิ์และปรียามล ธนวิสุทธิ์

ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นไปด้วยเหล่าเซเลบริตี้ชั้นนำของเมืองไทย อาทิ ปานัดฌา ไทยเศรษฐ์, เกรียงศักดิ์ ตันติพิภพ, ชญาดา ลิ่วเฉลิมวงศ์, พ.อ.กฤชพล เศวตนันทน์ , ศ.ดร.บังอร เบ็ญจาธิกุล, ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์, นันทมาลี ภิรมย์ภักดี, ม.ล.พลอยนภัส ลีนุตพงษ์,  กรณ์ ณรงค์เดช , วทานิกา ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา ฯลฯ ที่ต่างพร้อมใจกันมาร่วมแสดงความยินดี และร่วมกิจกรรมประมูลเข็มกลัด “ผึ้งไทยรักชาติ” จาก Beauty Gems ผลงานชิ้นพิเศษจาก ABEILLE COLLECTIONS ถ่ายทอดความงดงามของธงชาติไทยผ่านเพชร ไพลิน และทับทิม งานศิลป์อันทรงคุณค่าที่สามารถสวมใส่ได้ทั้งเข็มกลัดและจี้คอ โดยได้แรงบันดาลใจจาก “ความรัก และความภาคภูมิใจในความเป็นไทย” ซึ่งรายได้ทั้งหมดมอบให้แก่ มูลนิธิพิทักษ์และคุ้มครองเด็ก เพื่อช่วยเหลือ พิทักษ์และต่อต้านการล่วงละเมิดสิทธิเด็กและเยาวชน ทั้งทางร่างกายและจิตใจ และกองทัพบก เพื่อช่วยเหลือทหารที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ชายแดน

 ดร.อุษณีย์ มหากิจศิริ , ปรียามล ธนวิสุทธิ์ , สุธัญญา บุญสูงและพิมพ์ใจ ลี้อิสสระนุกูล

ปรียามล ธนวิสุทธิ์ ผู้บริหาร บริษัท เวบ พับบลิชชิ่ง จำกัด เผยว่า “กว่า 22 ปีที่ผ่านมา HiSoParty ไม่เพียงเป็นนิตยสารหรือแพลตฟอร์มไลฟ์สไตล์ที่เป็นนิตยสารออนไลน์เจ้าแรกในประเทศไทย แต่ยังเป็นเวทีที่สะท้อนเรื่องราวของผู้คนที่ประสบความสำเร็จ และส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับสังคม HiSoParty เติบโตขึ้นเคียงคู่กับสังคมไทย โดยยังคงรักษาเจตนารมณ์สำคัญคือ ‘การแบ่งปัน’ ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการทำงานมาโดยตลอด พร้อมกันนี้ยังได้จัดทำ HiSoParty Special Edition ครบรอบ 22 ปี เดือนสิงหาคม 2568 อีกด้วย”

. ธำรง มหาดำรงค์กุล,เมย์ มหาดำรงค์กุล,อรชุมา ดุรงค์เดช,ฐิตินันท์ เกียรติไพบูลย์,กลอเรีย มหาดำรงค์กุล,เกรซ มหาดำรงค์กุลและนันทมาลี ภิรมย์ภักดี

สำหรับ HiSoParty Special Edition ครบรอบ 22 ปี โดดเด่นด้วยโปรเจกต์ “22 Young Visionaries” ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของคนรุ่นใหม่ 22 คนที่น่าจับตามองและเปี่ยมไปด้วยวิสัยทัศน์ พวกเขาคือตัวแทนของความคิดสร้างสรรค์ ความสามารถ และแรงบันดาลใจ ที่พร้อมส่งต่อพลังบวกให้กับคนรุ่นเดียวกันและรุ่นถัดไป ได้แก่ น้องแพรว และ น้องพราว ธนวิสุทธิ์, น้องเทมส์ - ฑีฆรี ศิลปอาชา, น้องลูกจรรย์ - บุญยวีร์ ภาคย์วิศาล, น้องลูกตาล - ภัทรนันท์ สุขวิมล, น้องเบลล์ - วรดา โสคติยานุรักษ์, น้องเชอร์รี่ - เกษลดา ลือนาม, น้องอิสรีย์ และอัญญ่า มหากิจศิริ ลีโอณีโอ, น้องไอจัง – ยิ่งปิยา ใบหยก, น้องเบลล่า กุญช์จารี จีระแพทย์, น้องอนิกา จาติกวณิช, น้องมิว – เอลิลน์ และน้องมาย - นฐนน ศิริมงคลสกุล, น้องมินนี่ - ณัฐนิช สมิตชาติ, น้องไหม - พิชชา กิจเจริญวงศ์, น้องแอสตร้า - พรน์รพรรทฐ์ และ น้องออสตินน์ - ปุณณภณ นครศรี, น้องต้า - พนิต พานารถ,น้องไอแซค - ชินดนัย อัครวงศ์วริศ, น้องพีท - กษิดิศ ประสิทธิ์รัตนพร และน้องอิชานท์ มาฟ

ธำรง-กลอเรีย-เมย์-เกรซ มหาดำรงค์กุล

โดยโปรเจกต์ “22 Young Visionaries” ได้ทายาทเจเนอเรชันใหม่ของ HiSoParty แพรว ธนวิสุทธิ์ และ พราว ธนวิสุทธิ์ เข้ามามีบทบาทสำคัญ โดย แพรว ลูกสาวคนโต รับหน้าที่ดูแลด้านการออกแบบการวางคอนเทนต์ และโซเชียลมีเดีย ขณะที่ พราว ลูกสาวคนกลาง ดูแลด้านคอนเซปต์ การถ่ายแบบและการตลาด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการส่งต่อเจตนารมณ์การทำงานจากรุ่นสู่รุ่น เพื่อให้ HiSoParty ยังคงเป็นสื่อ
ที่สะท้อนความคิดสร้างสรรค์ และหัวใจแห่งการแบ่งปันสู่สังคมต่อไป

แขกผู้มีเกียรติถ่ายภาพร่วมกัน

ภายในงานยังจัดชมนิทรรศการ “The Heart of Sharing-หัวใจแห่งการแบ่งปัน” ผ่านภาพถ่ายเซเลบริตี้ชั้นนำ ที่จะได้ร่วมค้นหาความหมายของการแบ่งปัน ผ่านภาพถ่าย คำบอกเล่า และนิยามที่เต็มไปด้วยเจตนารมณ์จริงใจ เพื่อทำให้โลกใบนี้งดงามและน่าอยู่มากยิ่งขึ้น สำหรับไฮไลต์สำคัญของงานกับการประมูลเข็มกลัด “ผึ้งไทยรักชาติ” จำนวน 2 ชิ้น ผลงานชิ้นพิเศษจาก Beauty Gems โดย สุริยน ศรีอรทัยกุล ซึ่งเปิดประมูลในราคาเริ่มต้น 250,000 บาท และได้รับความสนใจอย่างคับคั่ง จนในที่สุด ศ.ดร.บังอร เบ็ญจาธิกุล และ ปานัดฌา ไทยเศรษฐ์ ผู้ชนะการประมูลทั้ง 2 ท่าน สามารถคว้าผลงานชิ้นล้ำค่าไปครองในราคาชิ้นละ 300,000 บาท

จุฬารัตน์ อรรถสารประสิทธิ์, ม.ล.รดีเทพ เทวกุล, ม.ล.คฑาทอง ทองใหญ่, ม.ล.ขวัญกมล ทองใหญ่ และม.ล.อรดิศ สนิทวงศ์

 อภิชาติ ลีนุตพงษ์,ม.ล.พลอยนภัส ลีนุตพงษ์,ฐิตินันท์ เกียรติไพบูลย์,ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์และม.ล.อรดิศ สนิทวงศ์

นอกจากนี้ สุริยน ศรีอรทัยกุล ยังได้มอบรายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายเข็มกลัด “ผึ้งไทยรักชาติ” รุ่นพิเศษภายในงาน ร่วมสมทบทุนเพื่อการกุศลครั้งนี้ด้วย

ปัญญ์ชลี เพ็ญชาติ และ มณฑ์ลัชชา สกุลไทย

ร่วมอัปเดตไลฟ์สไตล์ของเหล่าคนดังในแวดวงสังคมไทยได้ที่ https://www.hisopartyofficial.com/หรือ Instagram: @hisopartyofficial, Fanpage Facebook: @HiSoPartyMagazine, TikTok: hisopartyofficial

@hisopartyofficial

#HiSoParty22ndAnniversaryGala #HiSoParty22ndAnniversary #TheHeartofSharing #HiSoParty

สุดยิ่งใหญ่! งาน  Networking Reception บางกอกเจมส์ครั้งที่ 72

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ผู้จัดงานหลักร่วมกับ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (GIT) ผู้ร่วมจัดงาน ได้จัดกิจกรรม Networking Reception ในงานแสดงสินค้า “Bangkok Gems and Jewelry Fair” ครั้งที่ 72  ในวันที่ 9 กันยายน 2568 ณ ห้องเพลนารี ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีนักธุรกิจในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยและทั่วโลกเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง กิจกรรม Networking Reception นับว่าเป็นไฮไลท์สำคัญของงานบางกอกเจมส์ เพื่อสร้างโอกาสพบปะ พูดคุยและเจรจาธุรกิจกับผู้ซื้อจากทั่วโลก

อีกทั้งยังสร้างเครือข่ายทางการค้าท่ามกลางบรรยากาศสบายๆ พร้อมชมเครื่องประดับระดับมาสเตอร์พีซจากผู้แสดงสินค้าที่คัดสรรมาจัดกแสดงในงานนี้โดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังเป็นการตอกย้ำว่างานบางกอกเจมส์เป็นศูนย์กลางในการเสริมสร้างเครือข่ายการค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่สำคัญอีกด้วย งานบางกอกเจมส์ ครั้งที่ 72 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-13 กันยายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์