EN Name: 
Woman

เกร็ดตำรับหมอหลุยส์ 106 สูตรภูมิปัญญาไทย

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่สนใจการดูแลสุขภาพด้วยแพทย์ทางเลือกและเชื่อมั่นในภูมิปัญญาไทย หนังสือเล่มนี้ถือเป็นตัวเลือกที่ไม่ควรพลาด

"เกร็ดตำรับหมอหลุยส์ 106 สูตรภูมิปัญญาไทย" เขียนโดย หมอหลุยส์ (พยุกรณ์ สร้อยเสนามีน) แพทย์แผนไทยที่มีชื่อเสียงในโลกออนไลน์ โดยแชร์สูตรสมุนไพรที่ใช้จริง พร้อมถ่ายทอดจากประสบการณ์ตรงและการบอกเล่าของคนไข้ จนได้รับความนิยมมีผู้ติดตามจำนวนมากทั้งใน Tiktok และ Youtube 

ในเล่ม หมอหลุยส์ ได้ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการใช้สมุนไพรไทยในชีวิตประจำวันที่มีความหลากหลาย โดยแบ่งตามอาการ 106 สูตร   เนื้อหาเข้าใจง่าย เหมาะกับทุกคนที่ต้องการดูแลสุขภาพด้วยวิธีธรรมชาติ

หนังสือเล่มนี้จึงไม่ใช่แค่ตำรับสมุนไพร แต่ยังเป็นคู่มือในการดูแลสุขภาพกายใจ ด้วยวิถีธรรมชาติที่ทุกคนเข้าถึงได้  วางจำหน่ายที่ ศูนย์หนังสือจุฬาฯทุกสาขา (ราคา 495 บาท) หรือที่ www.chulabook.com  

 

“ดอกไม้ไหว” การอนุรักษ์และสืบสานภูมิปัญญาพื้นถิ่นเพื่อต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์

หากเอ่ยถึง “ดอกไม้” ในสังคมไทยและล้านนา ภาพแรกที่มักปรากฏในใจของผู้คนคือความงามอันบริสุทธิ์ สดชื่น และหอมละมุนที่ธรรมชาติรังสรรค์ขึ้น แต่สำหรับคนโบราณแล้ว ดอกไม้หาได้มีเพียงคุณค่าทางความงามเท่านั้น หากยังเป็นสื่อกลางที่เชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับโลกแห่งความเชื่อและมิติทางจิตวิญญาณที่ลึกซึ้งกว่า โดยเฉพาะในวัฒนธรรมล้านนา ที่การใช้ดอกไม้ในวิถีชีวิตประจำวันถือเป็นสิ่งที่แฝงไปด้วยนัยทางพิธีกรรมและคติความเชื่ออันลึกซึ้ง  แต่เดิมสตรีล้านนาจะนิยมเกล้าผมมวย และเหน็บดอกไม้สดที่มีกลิ่นหอมไว้บนศีรษะ อันเป็นการกระทำที่เรียกว่า “บูชาขวัญหัว” เพราะในคติความเชื่อของกลุ่มชาวไท/กะได  เชื่อว่ามนุษย์เรามี 32 ขวัญ ซึ่งแต่ละขวัญเป็นพลังชีวิตที่หล่อเลี้ยงร่างกายและจิตใจ ขวัญหัวจึงถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุด การประดับดอกไม้หอมบนเกล้ามวยผมจึงไม่ใช่เพียงการเสริมความงดงามทางกายภาพ หากยังเป็นการแสดงออกถึงการดูแลพลังชีวิต สร้างสิริมงคล และความร่มเย็นให้แก่ผู้ประดับ การเหน็บดอกไม้จึงเป็นทั้งการชื่นชมความงามของธรรมชาติ และการสื่อสารกับมิติทางจิตวิญญาณไปพร้อมกัน

แบรนด์ “มาลากาญจน์” ออกแบบและสร้างสรรค์ดอกไม้ไหว  ถวายแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัลยา เนื่องในวโรกาสให้คณะบุคคล เข้าเฝ้าทูลละอองพระบาท เนื่องในงานประชุม APEC 2022 ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง

เมื่อกาลเวลาผ่านไป ค่านิยมและรสนิยมทางสังคมก็เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย การใช้ดอกไม้สดซึ่งร่วงโรยไปตามกาลเวลา จึงได้รับการต่อยอดและแปรเปลี่ยนเป็นการประดิษฐ์ดอกไม้ไหวประดับมวยผม ที่ทำจากวัสดุอันคงทนและทรงคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นทองเหลือง เงิน ทอง หรือโลหะมีค่าอื่น ๆ ดอกไม้โลหะเหล่านี้มิได้มีเพียงความงามเทียมธรรมชาติ แต่ยังสื่อถึงรสนิยม ฐานะ และความหรูหราของผู้ครอบครอง จึงเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นสูง เจ้านาย หรือคหบดีผู้มั่งคั่ง ยิ่งเมื่อมีการประดับด้วยแก้ว พลอย หรืออัญมณี ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงศิลปะความงามที่ผสมผสานกับการแสดงออกถึงสถานะทางสังคม ในบรรดางานประดิษฐ์เหล่านี้ “ดอกไม้ไหว” ถือเป็นตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนการพัฒนาต่อยอดจากรากฐานทางวัฒนธรรม สู่การสร้างสรรค์ใหม่ในเชิงโลหะศิลป์และหัตถศิลป์ ดอกไม้ไหวไม่เพียงแต่เป็นดอกไม้โลหะที่แข็งกระด้าง หากแต่ผ่านกระบวนการเชิงช่างอันประณีต ทั้งการตัด การดัด การจีบ และการดุนโลหะ ให้กลายเป็นรูปทรงที่อ่อนช้อย พริ้วไหวดั่งมีชีวิต เมื่อเคลื่อนไหวตามแรงลม หรือเมื่อผู้ประดับเคลื่อนกาย ดอกไม้โลหะก็พลิ้วไหวเสมือนมีชีวิตชีวา

ถ่ายทอดความงามละเมียดละไมของภูมิปัญญาไทยให้ประจักษ์แก่สายตาชาวโลก

ความงามนี้ไม่ได้หยุดอยู่ที่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น หากยังแฝงไปด้วยนัยทางนามธรรม การที่ดอกไม้โลหะสามารถเคลื่อนไหวได้ดั่งสิ่งมีชีวิต เปรียบได้กับการสะท้อน “พลังชีวิต” ที่ยังคงดำรงอยู่ ดอกไม้ไหวจึงเป็นสัญลักษณ์ของการเคลื่อนไหว ความมีชีวิตชีวา และการดำรงอยู่ของมนุษย์ในสภาวะที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ในอีกมิติหนึ่ง ดอกไม้ไหวเป็นตัวอย่างอันงดงามของการนำ “ทุนทางวัฒนธรรม” มาต่อยอดให้สอดคล้องกับโลกสมัยใหม่ ตอบสนองต่อแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่มุ่งเน้นการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาสร้างมูลค่าเพิ่ม ไม่ว่าจะในเชิงเศรษฐกิจหรือสังคม ที่ธำรงรักษาความหมายทางวัฒนธรรมให้ยังคงอยู่ในวิถีชีวิตร่วมสมัย หากมองอย่างละเอียด ดอกไม้ไหวได้ทำหน้าที่เสมือนสะพานที่เชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบัน ดอกไม้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพียงสิ่งธรรมชาติที่สตรีเหน็บไว้เพื่อบูชาขวัญหัว ได้ถูกตีความใหม่ผ่านฝีมือเชิงช่าง และกลายเป็นงานศิลป์ที่มีคุณค่าทั้งในฐานะเครื่องประดับ ของตกแต่ง และมรดกทางวัฒนธรรม การมีอยู่ของดอกไม้ไหวในโลกปัจจุบันเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความงามที่ไม่รู้โรยรา หากยังสะท้อนให้เห็นถึงพลังแห่งการตีความใหม่ที่ช่วยให้ภูมิปัญญาโบราณยังคงหายใจอยู่ในโลกสมัยใหม่

ปิ่นดอกไม้ไหวแซมเกล้า

ปิ่นดอกไม้ไหวแซมเกล้า

ปิ่นดอกไม้ไหวแซมเกล้า เครื่องประดับสไตล์ล้านนา

ดอกไม้ไหว ประดับกระจกเกรียบ (แก้วจืน)

การจัดแสดงสินค้าในงาน “อัตลักษณ์แห่งสยาม ครั้งที่ 16” โดยสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน)

การตระหนักถึงคุณค่าของดอกไม้ไหว จึงมิใช่เพียงการชื่นชมความงามเท่านั้น แต่คือการเห็นคุณค่าของภูมิปัญญาและการสืบทอดทางวัฒนธรรมที่มีความหมาย การประดับดอกไม้ไหวไว้บนเกล้ามวยผม หรือแม้แต่การจัดวางไว้เป็นของตกแต่งในบ้าน ล้วนเป็นการสื่อสารกับอดีต เชื่อมโยงกับรากเหง้า และย้ำเตือนให้ผู้คนในสังคมเห็นถึงพลังของความเชื่อและศิลปะที่ผสมผสานกันอย่างงดงาม ดังนั้น “ดอกไม้ไหว” จึงไม่ใช่เพียงเครื่องประดับ หากแต่เป็นสัญลักษณ์แห่งการสืบทอดภูมิปัญญา เป็นการบอกเล่าเรื่องราวของคนรุ่นก่อนที่เชื่อมโยงสู่คนรุ่นหลัง และเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ที่ยังคงหยั่งรากอยู่บนผืนวัฒนธรรมไทยและล้านนา ถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่า ซึ่งคนรุ่นหลังควรตระหนัก อนุรักษ์ และต่อยอดให้ก้าวต่อไปอย่างยั่งยืน

สร้างสรรค์ต่อยอดผลิตภัณฑ์ในรูปแบบพวงมาลัย แรงบันดาลใจจากดอกไม้ตามธรรมชาติ

การจัดแสดงสินค้าในงาน “อัตลักษณ์แห่งสยาม ครั้งที่ 16” โดยสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน)

ในยุคที่กระแสแห่งการอนุรักษ์และต่อยอดภูมิปัญญาพื้นถิ่นกำลังเบ่งบานอย่างแข็งแกร่ง ชื่อของ คุณนวภัสร์ ตันติคุณาวงศ์  Creative Director แบรนด์ "มาลากาญจน์" ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนงานหัตถศิลป์ "ดอกไม้ไหว" สู่มิติใหม่แห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ผสานความงามแบบดั้งเดิมเข้ากับสุนทรียภาพร่วมสมัย เพื่อให้ดอกไม้ไหวกลับมามีชีวิตชีวาและเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้อีกครั้ง

ต้นไม้ทอง สำหรับใช้เป็นเครื่องสักการะบูชา

ในรูปแบบที่แปลกใหม่และทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบให้มีขนาดเล็กลง เหมาะสำหรับการประดับผมในชีวิตประจำวันหรือในโอกาสพิเศษที่ไม่ต้องการความโอ่อ่าจนเกินไป การประยุกต์ใช้ดอกไม้ไหวเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องประดับอื่นๆ เช่น ต่างหู เข็มกลัด หรือแม้กระทั่งสร้อยคอ ทำให้ดอกไม้ไหวสามารถใช้ได้หลากหลายสถานการณ์มากขึ้น นอกจากนี้ การเลือกใช้สีสันและอัญมณีที่ช่วยเพิ่มความน่าสนใจและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีรสนิยมหลากหลายอีกด้วย

คุณนวภัสร์ ตันติคุณาวงศ์  Creative Director แบรนด์ “มาลากาญจน์”

ความสำเร็จของ "มาลากาญจน์" ในการขับเคลื่อนดอกไม้ไหวสู่ตลาดร่วมสมัย ส่วนหนึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือ SACIT ซึ่งมีภารกิจสำคัญในการอนุรักษ์และส่งเสริมคุณค่าของงานศิลปหัตถกรรมไทย SACIT ได้เข้ามามีบทบาทในการผลักดัน "มาลากาญจน์" ผ่านโครงการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้คำปรึกษาด้านการออกแบบ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การสร้างแบรนด์ และการเปิดช่องทางการตลาดใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ การสนับสนุนนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ "มาลากาญจน์" เป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่ยังเป็นการยืนยันถึงคุณค่าของ "ดอกไม้ไหว" ในฐานะมรดกทางวัฒนธรรมที่สามารถต่อยอดสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้อย่างเป็นรูปธรรม

มูลนิธิรามาธิบดีฯ ส่งต่อความสุขไม่สิ้นสุด ผ่านของที่ระลึกสุดน่ารักกระต่ายน้อย “Miffy”

ในโลกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ความน่ารักไร้เดียงสาคือพลังที่ช่วยปลอบประโลมหัวใจได้อย่างน่าอัศจรรย์ มูลนิธิรามาธิบดีฯ ซึ่งยึดมั่นในพลังแห่ง “คำว่าให้...ไม่สิ้นสุด” มาโดยตลอด จึงได้ถ่ายทอดเจตนารมณ์ของการให้ ผ่านคอลเลกชันของที่ระลึกการกุศลชุดพิเศษ “Miffy” โดยนำคาแรกเตอร์กระต่ายน้อยแก้มป่องสีขาว “มิฟฟี่” (Miffy) ที่ครองใจผู้คนทั่วโลกมายาวนานเกือบ 70 ปี มาแปลงโฉมเป็นของที่ระลึกดีไซน์สุดน่ารักหลากหลายไอเทม เพื่อเป็นสื่อกลางให้ทุกคนได้ร่วมส่งต่อพลังใจและความสุขผ่านการให้ที่ไม่สิ้นสุด

 

พรรณสิรี คุณากรไพบูลย์ศิริ ผู้จัดการมูลนิธิรามาธิบดีฯ เผยว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้นำคาแรกเตอร์ระดับโลกอย่าง ‘มิฟฟี่’ มาร่วมสร้างสรรค์คอลเลกชันพิเศษในครั้งนี้ มิฟฟี่เป็นตัวแทนของความสุข ความอบอุ่น และการมองโลกในแง่ดี ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของมูลนิธิฯ ที่ต้องการส่งมอบพลังบวกและความหวังให้แก่ผู้ป่วยและสังคม เราตั้งใจนำความน่ารักของมิฟฟี่มาถ่ายทอดลงบนของใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อให้ทุกครั้งที่หยิบขึ้นมาใช้ จะเป็นเครื่องเตือนใจถึงความสุขของการให้ และได้ระลึกว่าตนเองได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือผู้อื่น ทุกการสนับสนุนจากแฟนๆ ของมิฟฟี่และผู้มีจิตศรัทธา จะถูกนำไปใช้ในการช่วยเหลือผู้ป่วยและสนับสนุนโครงการต่างๆ ของโรงพยาบาลรามาธิบดีให้เกิดประโยชน์สูงสุด”  

พรรณสิรี คุณากรไพบูลย์ศิริ

คอลเลกชันของที่ระลึกการกุศล “Miffy” ได้รับแรงบันดาลใจจากความเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยพลังบวกของ “มิฟฟี่” ตัวละครที่สร้างสรรค์โดย ดิ๊ก บรูนา (Dick Bruna) นักเขียนและนักวาดภาพประกอบชาวดัตช์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1955 เอกลักษณ์ของมิฟฟี่คือลายเส้นที่ชัดเจน รูปทรงเรขาคณิตที่ไม่ซับซ้อน และการใช้สีสันสดใส ทำให้มิฟฟี่เป็นที่รัก

และจดจำได้ง่ายของผู้คนทุกเพศทุกวัย ของที่ระลึกทุกชิ้นในคอลเลกชันจึงได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถัน โดยเน้นการใช้โทนสีม่วง ขาว เหลือง เขียว และน้ำเงิน เพื่อถ่ายทอดความสดใสและเป็นมิตรของมิฟฟี่ ซึ่งนอกจากจะสวยงามน่าสะสมและใช้ได้ในชีวิตประจำวันแล้ว คอลเลกชันนี้ยังเป็นตัวแทนของความปรารถนาดี เพราะรายได้จากการสนับสนุนจะนำไปสมทบทุนจัดซื้อเครื่องมือแพทย์และช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ต่อไป

ของที่ระลึกการกุศลในคอลเลกชันใหม่ “Miffy” ได้รับออกแบบขึ้นเพื่อเป็นไอเทมไลฟ์สไตล์สุดน่ารักให้แฟนๆ ได้สะสม พร้อมเป็นสื่อกลางในการส่งต่อคุณค่าแห่งการให้ โดยมีผลิตภัณฑ์หลากหลายในราคาที่เข้าถึงได้ ดังนี้ หมวดเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย หลากหลายสไตล์,  ดีไซน์สวย สวมใส่ได้ทุกโอกาส ทั้ง เสื้อยืด , หมวดกระเป๋า  ตอบโจทย์ทุกการใช้งานด้วยกระเป๋าดีไซน์น่ารัก  และหมวดของใช้และของตกแต่ง

ร่วมส่งต่อความสุขและพลังใจผ่านของที่ระลึกการกุศลคอลเลกชัน “RAMA X Miffy” ที่ทุกชิ้นคือการให้...ไม่สิ้นสุด เริ่มวางขายแล้ววันนี้เป็นต้นไป สามารถสั่งซื้อได้แล้วที่มูลนิธิรามาธิบดีฯ (โรงพยาบาลรามาธิบดี และสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ จ.สมุทรปราการ) สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0-2201-2222 (ในวันและเวลาราชการ) ติดตามข่าวสารได้ที่ FB • IG • LINE @RAMAFOUNDATION

หรือสั่งออนไลน์ที่ : www.ramafoundation.or.th ,  LINE @RAMAFOUNDATION หรือ LINE SHOPPING และ Robinhood

SCINTILLA GIOIELLI เปิดตัว FOPE 2025 พร้อม Friend of FOPE คนแรกในไทย ‘เอมมี่-มรกต’

FOPE (โฟเป้) แบรนด์เครื่องประดับชั้นสูงจากอิตาลีที่สืบทอดตำนานงานฝีมือมาเกือบศตวรรษ ได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญให้กับวงการจิวเวลรีในประเทศไทย จัดงานเปิดตัว FOPE 2025 Collection สุดเอ็กซ์คลูซีฟ ภายใต้คอนเซปต์ ‘FLEXIBLE LUXURY’ สะท้อนนิยามใหม่แห่งความหรูหรา ผสานความยืดหยุ่นและความงดงามเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ณ Curvistan Bangkok ท่ามกลางบรรยากาศอันหรูหราและเหล่าแขกคนสำคัญ อาทิ โธมัสโซ่ ฟอร์ราสโซ่ ทายาทรุ่นที่ 5 และ ผู้บริหาร FOPE (โฟเป้), พิชชา ธนาลงกรณ์, ทัตวร สุกัณศีล, เจนธิรา อรรถสกุลชัย, นันทิสา ตันยงค์เวช, ธนวลัย วัชรพล, สิริผกา วัชรพล, ณัฐพนธ์ สหวัฒน์, พิตต้า ณ พัทลุง, อีตั้น-ศักดิเดช ศศิประภา และ เจมม่า-ดาราทิพย์ ลิฝอิง  มาร่วมสัมผัส 4 คอลเลกชันล่าสุดที่เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณแห่งนวัตกรรมและความงามร่วมสมัย พร้อมสร้างความประทับใจสูงสุดด้วยการประกาศแต่งตั้งนักแสดงและไอคอนด้านสไตล์ชื่อดัง ‘เอมมี่-มรกต แสงทวีป’ ขึ้นแท่น Friend of FOPE คนแรกของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ

     โธมัสโซ่ ฟอร์ราสโซ่, สรีนา ธีระวิทยภิญโญ      

งานครั้งนี้จัดขึ้นโดย Scintilla Gioielli (ชินติล่า โจแยลลี่) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายอิตาเลียนไฟน์จิวเวลรี มากกว่า 20 แบรนด์ โดย สรีนา ธีระวิทยภิญโญ ผู้คร่ำหวอดในวงการและมีสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับ FOPE แบรนด์เครื่องประดับสะท้อนนิยาม ความหรูหราที่เรียบง่ายและร่วมสมัย ก่อตั้งขึ้น ณ เมืองวิเซนซา ประเทศอิตาลี ในปี 1929 จากเวิร์กช็อปทองคำของครอบครัว สู่การเป็นแบรนด์เครื่องประดับระดับโลกที่ผสานมรดกงานช่างฝีมือเข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัยได้อย่างลงตัว หัวใจแห่งอัตลักษณ์ของ FOPE คือสองนวัตกรรมที่ปฏิวัติวงการจิวเวลรี ได้แก่ Novecento Mesh ดีไซน์การถักทอเส้นทองให้กลายเป็นตาข่ายเนื้อนุ่มดุจแพรไหม และ Flex’it System สิทธิบัตรหนึ่งเดียวที่ซ่อนสปริงทองคำขนาดจิ๋วไว้ภายในโครงสร้าง ทำให้เครื่องประดับทุกชิ้น ทั้งสร้อยข้อมือ แหวน หรือสร้อยคอ สามารถยืดหยุ่น สวมใส่ง่ายและมอบความสบายสูงสุดในทุกการเคลื่อนไหว

‘เอมมี่-มรกต แสงทวีป’ ขึ้นแท่น Friend of FOPE คนแรกของประเทศไทย

สรีนา ธีระวิทยภิญโญ ได้กล่าวถึงความร่วมมืออันยาวนานและเหตุผลเบื้องหลังการเลือก Friend of FOPE คนแรกของไทยว่า "Scintilla Gioielli เป็นพาร์ทเนอร์กับ FOPE มานานกว่า 15 ปี ด้วยความโดดเด่นของแบรนด์ทั้งในด้านคุณภาพ งานฝีมือ และสำคัญที่สุดคือความก้าวล้ำด้านนวัตกรรม และเหตุผลที่เลือกคุณเอมมี่เพราะเธอเป็นแฟนตัวยงของ Scintilla และ FOPE มาโดยตลอด คุณเอมมี่มีความคุ้นเคยกับตัวแบรนด์และยังชื่นชมงานจิวเวลรีอย่างแท้จริง ตั้งแต่ Scintilla ลองแนะนำ FOPE เธอก็ตกหลุมรักทั้งแบรนด์และด้านเทคนิค Flex’it จึงใส่ FOPE มานานหลายปี ด้วยความทนทานและความยืดหยุ่นของชิ้นงาน เข้ากับไลฟ์สไตล์ประจำวันของเธอเลยทีเดียว" การประกาศแต่งตั้ง เอมมี่-มรกต ในครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงการร่วมงานกันในเชิงธุรกิจ แต่เป็นการสะท้อนถึงความผูกพันที่แท้จริงระหว่างผู้หญิงยุคใหม่ที่มีรสนิยมกับแบรนด์ที่ตอบโจทย์ทั้งความสง่างามและการใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ทัตวร สุกัณศีล, สรีนา ธีระวิทยภิญโญ, พิตต้า ณ พัทลุง, พิชชา ธนาลงกรณ์

นิยามใหม่แห่งความหรูหราผ่าน 4 คอลเลกชันล่าสุดจาก FOPE

หัวใจสำคัญของงานในครั้งนี้ คือการเปิดตัว 4 คอลเลกชันจิวเวลรีประจำปี 2025 พร้อมให้เลือกสรรในสามเฉดสีทอง 18k ทั้ง White Gold, Yellow Gold และ Rose Gold ที่สะท้อนปรัชญาของ FOPE ในแง่มุมที่แตกต่างกัน แต่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของนวัตกรรม Flex’it และงานถักทอทองคำที่ไม่มีใครเทียบได้

Love Nest: บทบันทึกแห่งความหรูหราคลาสสิกที่ถูกนำมาตีความใหม่อย่างวิจิตร Love Nest bracelet with diamond อันหรูหราเหนือกาลเวลา คอลเลกชันนี้ได้แรงบันดาลใจจากสายสร้อย ‘Novecento’ อันเป็นซิกเนเจอร์ที่ถือกำเนิดขึ้นในยุค ’80s โดดเด่นด้วยข้อโซ่โครงถักที่โค้งมนและมันวาว หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะตกแต่งด้วยเพชรสีขาวที่ตัวอักษร “o” ของโลโก้ ไปจนถึงเวอร์ชันล้ำค่ามากยิ่งขึ้นที่ประดับเพชรแบบ Pavé อย่างปราณีต เปรียบดั่ง Statement Piece ที่สะกดทุกสายตา Love Nest คือการกลับสู่รากเหง้าของแบรนด์ที่ผสานความงามดั้งเดิมเข้ากับสัมผัสแห่งยุคสมัยใหม่ได้อย่างไร้ที่ติ 

Eka: จุดเปลี่ยนแห่งประวัติศาสตร์และจุดกำเนิดของความร่วมสมัย Eka bracelet รุ่นใหม่ที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรม คำว่า "Eka" ในภาษาสันสกฤตหมายถึง 'หนึ่ง' ซึ่งสื่อถึงการเป็นคอลเลกชัน ‘แรก’ ที่ได้นำเทคโนโลยี Flex’it มาใช้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับการสวมใส่เครื่องประดับทองที่ยืดหยุ่นได้โดยไม่ต้องมีตัวล็อก ดีไซน์โดดเด่นด้วยเม็ดทอง ที่เรียงร้อยบนโครงถักราวกับกำลัง ‘โอบกอด’ กันและกัน มาพร้อมดีไซน์หลายรูปแบบให้เลือก ตั้งแต่แบบคลาสสิกที่ตกแต่งด้วยเพชรสีขาวที่ตัวอักษร “o” ของโลโก้ ไปจนถึงการประดับด้วยเพชรสองแถว เข้าคู่กับสร้อย Eka Necklace โดดเด่นด้วยดีเทลหัวเข็มขัดทรงโค้งมน และเพิ่มความหรูด้วยเพชร รวมถึงไลน์จิวเวลรี High end อย่าง Eka Ice เป็นกำไลที่มาพร้อม Rondelle ดีไซน์ใหม่ ประดับด้วยเพชรสีขาวขนาดใหญ่ ตอกย้ำเอกลักษณ์ความร่วมสมัยและความประณีตอันเป็น เอกลักษณ์ของ FOPE ที่สะท้อนความหรูหราเหนือกาลเวลา

ศักดิเดช ศศิประภา, ดาราทิพย์ ลิฝอิง

Aria: ดั่งสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิที่บางเบาและสดชื่น Aria necklace สร้อยคอดีไซน์เก๋ที่มาพร้อมตัวล็อกแบบปรับระดับได้ ซึ่งจะช่วยเติมเต็มทุกลุคให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น คอลเลกชันนี้นำเสนอโครงสร้างตาข่ายทอง 18k ที่ละเอียดและบางเบาที่สุดของ FOPE มอบสัมผัสที่นุ่มนวลและยืดหยุ่นอย่างน่าทึ่ง ตอบโจทย์รสนิยมของคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบความเรียบง่ายแต่แฝงด้วยรายละเอียดอันซับซ้อน เอกลักษณ์ที่สำคัญคือสร้อยคอสไตล์ Lariat และ Y-shape ที่มาพร้อมตัวล็อกประดับเพชรซึ่งสามารถเลื่อนปรับระดับได้ มอบอิสระให้ผู้สวมใส่ได้สร้างสรรค์สไตล์ที่เป็นของตัวเองได้อย่างไม่รู้จบ

Panorama: ความหรูหราที่สะกดทุกสายตาด้วย Panorama Ring และ Panorama Bracelet ซึ่งโดดเด่นด้วย Flex’it และองค์ประกอบการออกแบบใหม่ ตัวเพชรถูกประดับลงบนข้อโครงถัก Novecento อันเป็นเอกลักษณ์ทุกข้อ มีลักษณะแบนราบราวกับริบบิ้นที่กำลังพลิ้วไหวไปกับทุกท่วงท่า เปลี่ยนทุกวันธรรมดาให้กลายเป็นวันแสนพิเศษ

ร่วมสัมผัสประสบการณ์ความหรูหราและนวัตกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของ FOPE ได้แล้ววันนี้ที่ Scintilla Gioielli Boutique ชั้น M ศูนย์การค้า Siam Paragon และชมคอลเลกชันพิเศษได้ตั้งแต่วันที่ 19 - 30 กันยายน 2568 หรือช่องทางออนไลน์ที่ www.scintillagioielli.com พร้อมติดตามข่าวสารและอัปเดตเทรนด์จิวเวลรีล่าสุดได้ทาง Instagram: @scintilla_gioielli และ Line OA: @scintillabkk

 

กองประกวดกุลสตรีศรีรัตนโกสินทร์ ร่วมปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะ ทำบุญตักบาตร “ยลวิถีลาวเวียง” ครั้งที่ 6

กองประกวดกุลสตรีศรีรัตนโกสินทร์เข้าร่วมโครงการเข้าวัดปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะ ศรัทธาอิ่มบุญ อุดหนุนชุมชน "ทำบุญตักบาตร ยลวิถีลาวเวียง" ครั้งที่ 6 และพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ถวายพระกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา วันจันทร์ที่ 15 กันยายน 2568 ณ วัดคีรีวัน ตำบลศรีนาวา อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก โดยได้รับเกียรติจาก นายชานน วาสิกศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก เป็นประธานในพิธี

พร้อมด้วย นายภูมิวัชร์ อุดมทรัพย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก และผู้เข้าถวายไทยธรรม นายชานน วาสิกศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก,นายภูมิวัชร์  อุดมทรัพย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก, หัวหน้าสำนักงานจังหวัดนครนายก,  นายอำเภอเมืองนครนายก, พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครนายก, ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดนครนายก, ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครนายก, ปศุสัตว์จังหวัดนครนายก, นายกองค์การบริหารส่วนตำบลศรีนาวา และ Brand Ambassador กุลสตรีศรีรัตนโกสินทร์ 2568 นางสาว วิสุตาภา สาระกุล เข้าร่วมงานในครั้งนี้ 

​​​​​​​

โดยความร่วมมือจาก กรมการศาสนา, Chamuang The forest Resort, Chan Wang Restaurant,  Nairobi Hua Cafe, Lakkama, วัฒนธรรมจังหวัดนครนายก, ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดนครนายก

"สถานทูตเม็กซิโก–สยามพิวรรธน์" เชิญชม Mariachi วงดนตรีหญิงล้วนครั้งแรก! 24 ก.ย.นี้ ที่สยามพารากอน

สถานทูตเอกอัครราชทูตเม็กซิโก ประจำประเทศไทย ร่วมกับ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เชิญชม “Mariachi Performance” การแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านของประเทศเม็กซิโก ซึ่งเป็นการแสดงมรดกทางวัฒนธรรมระดับโลกโดยวงดนตรีหญิงล้วนครั้งแรก! ของทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องในโอกาสฉลองความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศเม็กซิโกและประเทศไทยครบรอบ 50 ปี

สำหรับการแสดงสุดพิเศษเป็นการแสดงดนตรี Mariachi โดยวง “Bonitas” ซึ่งเป็นวงเครื่องสายหญิงล้วนระดับโลก ด้วยนักดนตรีหญิงมากความสามารถ 9 คน นำเสนอความงดงามและมีชีวิตชีวาของมรดกทางดนตรีเม็กซิกันผ่านเสียงของดนตรีเครื่องสายอันทรงพลังอย่าง ไวโอลิน วิโอลา วีฮูลา กีตาร์ ผสานกับเสียงร้องอันไพเราะนำจิตวิญญาณและมนต์เสน่ห์ของเม็กซิโกมาสู่ใจกลางมหานครกรุงเทพฯ ให้ได้รับชมและรับฟังเป็นครั้งแรก โดยจะเปิดการแสดงให้ประชาชนทั่วไปชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ในวันที่ 24 กันยายน 2568 เวลา 18.00-19.30 น. ณ SCBX Next Stage ชั้น 4 สยามพารากอน ที่นั่งจำนวนจำกัด!

จิม ทอมป์สัน บุกแลนด์มาร์กดัง เผยโฉมสโตร์แห่งใหม่ ณ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค

จิม ทอมป์สัน แบรนด์ไอคอนิกไลฟ์สไตล์ระดับโลกจากเมืองไทย ที่โด่งดังจากผ้าไหมคุณภาพสูงและงานฝีมือเปี่ยมเอกลักษณ์ สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้วงการไลฟ์สไตล์กับการเปิดตัวสโตร์สาขาใหม่ ณ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค โครงการมิกซ์ยูสระดับโลกซึ่งเป็นสุดยอดไลฟ์สไตล์เดสติเนชันใจกลางกรุงเทพฯ สะท้อนความมุ่งมั่นของจิม ทอมป์สัน ในการนำเสนอเสน่ห์แห่งวัฒนธรรมไทยในบริบทร่วมสมัยสู่สายตาคนทั่วโลก


สโตร์แห่งใหม่นี้ตั้งอยู่ที่ชั้น 1 ของศูนย์การค้าเซ็นทรัล พาร์ค ครอบคลุมพื้นที่กว่า 110 ตารางเมตร นำเสนอคอนเซปต์รีเทลที่สวยงามและทันสมัย ที่ออกแบบมาให้เข้ากับศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ที่คึกคักที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ พร้อมการเดินทางที่สะดวกด้วยรถไฟฟ้า BTS สถานีศาลาแดง ทางออก 5 และ MRT สถานีสีลม ทางออก 2 โดยสโตร์แห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ บนทำเลระดับ Super Core CBD

การออกแบบภายในได้แรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมไทยดั้งเดิม ใช้โทนสีเเดงชาดอันเป็นเอกลักษณ์ของบ้านไทยของจิม ทอมป์สัน หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือแชนเดอเลียร์ในดีไซน์สุดชิคที่ประดับประดาด้วยหมอนอิงทำจากผ้าไหมหลากสีสัน พร้อมเล่าเรื่องราววัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของแบรนด์ผ่านทุกรายละเอียดการตกแต่ง

ภายในร้านจัดวางสินค้าเป็นหลายโซนที่เดินช้อปได้อย่างสนุกสนาน ชวนให้ลูกค้าเพลิดเพลินกับการเลือกชมสินค้าแฟชั่นหลากหลายคอลเลกชัน ตั้งแต่ไอเทมสำหรับผู้หญิง-ผู้ชาย กระเป๋า เครื่องประดับ ไปจนถึงสินค้าตกแต่งบ้าน ทุกไอเทมคัดสรรมาให้ตอบโจทย์ลูกค้าสายไลฟ์สไตล์รุ่นใหม่จากทั่วโลก


นันท์นภัส เวโรจนวัฒน์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด จิม ทอมป์สัน กล่าวว่า "ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค นับเป็นไลฟ์สไตล์เดสติเนชันที่สำคัญของกรุงเทพฯ โดดเด่นทั้งการนำเสนอความเป็นไทยและทำเลที่เดินทางได้อย่างสะดวกสบาย การเปิดสโตร์จิม ทอมป์สัน ที่นี่เป็นอีกก้าวสำคัญของแบรนด์ในการรังสรรค์ประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ระดับโลก พร้อมให้คนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติได้มาสัมผัสสโตร์แสนงดงามที่ผสานมรดกวัฒนธรรมไทยเข้ากับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ได้อย่างลงตัว"

ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค คือโครงการมิกซ์ยูสที่ผนึกธุรกิจโรงแรม ที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงานพรีเมียม และสวนลอยฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทยไว้ในที่เดียว และยังมีร้านค้ากว่า 550 ร้าน ทั้งแบรนด์แฟชั่น ร้านอาหาร และบริการด้านสุขภาพ

จิม ทอมป์สัน ฉลองการเปิดสโตร์แห่งใหม่ด้วยโปรโมชันพิเศษ ลูกค้าที่ซื้อสินค้าราคาปกติครบ 10,000 บาท จะได้รับของขวัญเป็นกระเป๋าผ้าจิม ทอมป์สัน จำนวน 1 ใบ (ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ตุลาคม 2568 หรือจนกว่าสินค้าจะหมด)


สัมผัสสโตร์แห่งใหม่ของจิม ทอมป์สัน ได้แล้ววันนี้ที่ชั้น 1 ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค เดินทางสะดวกด้วย BTS สถานีศาลาแดง ทางออก 5 หรือ MRT สถานีสีลม ทางออก 2

#JimThompson #JimThompsonDusitCentralPark

อยากฟิตแค่ไหนก็ต้องเช็คหัวใจ!

การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพและช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังหลายชนิด แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่า หากหัวใจของเราไม่แข็งแรงเพียงพอ การออกกำลังกายหนักเกินไปอาจกลายเป็นอันตรายได้ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยกลางคนหรือผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ ซึ่งบทความโดย พญ.ณหทัย ฉัตรสิงห์ (ว.36429) อายุรศาสตร์โรคหัวใจ ประจำศูนย์โรคหัวใจและทรวงอก โรงพยาบาลนวเวช ได้อธิบายถึงการเตรียมความพร้อมเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพหัวใจก่อนออกกำลังกาย เพราะในบางกรณี ผู้ที่ดูเหมือนจะมีสุขภาพแข็งแรง กลับเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวหรือหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันขณะออกกำลังกายอย่างหนัก ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดจากภาวะหัวใจที่แฝงอยู่โดยไม่รู้ตัว การตรวจเช็กสภาพหัวใจก่อนเริ่มออกกำลังกายอย่างจริงจัง จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

พญ.ณหทัย ฉัตรสิงห์ (ว.36429)

หัวใจต้องพร้อมก่อนร่างกาย

ก่อนเริ่มโปรแกรมออกกำลังกายที่เข้มข้น เช่น การวิ่งมาราธอน ปั่นจักรยานระยะไกล หรือฝึกเวทเทรนนิ่งอย่างหนัก ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพโดยเฉพาะการตรวจประเมินสภาพหัวใจ ซึ่งอาจรวมถึงการซักประวัติ การตรวจร่างกาย วัดความดันโลหิต การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) หรือการทดสอบสมรรถภาพหัวใจด้วยการวิ่งสายพาน (Exercise Stress Test) การตรวจอัลตราซาวน์หัวใจ( Echocardiogram) การตรวจ CT หรือ MRI ในคนที่มีความเสี่ยงบางอย่างหรือตรวจพบความผิดปกติจากการตรวจเบื้องต้น

การตรวจเหล่านี้ช่วยให้แพทย์สามารถประเมินได้ว่าหัวใจของคุณทำงานได้ดีในภาวะปกติและขณะออกแรงมากน้อยเพียงใด อีกทั้งการประเมินช่วยให้คุณรู้ว่าควรออกกำลังกายระดับใดจึงเหมาะและปลอดภัยกับคุณ โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการผิดปกติ เช่น เหนื่อยง่าย ใจสั่น แน่นหน้าอก หรือเป็นลมขณะออกกำลังกายหรือใช้แรงเยอะ ควรรีบปรึกษาแพทย์ก่อนจะฝืนออกกำลังกายอย่างหนัก

รู้จักฟังร่างกายตัวเอง

แม้จะตรวจหัวใจและได้รับคำแนะนำแล้ว การรู้จักฟังสัญญาณจากร่างกายก็เป็นสิ่งสำคัญ การค่อย ๆ เพิ่มระดับความหนักของการออกกำลังกายอย่างเป็นขั้นตอน และมีช่วงเวลาอบอุ่นร่างกาย (warm up) และคลายกล้ามเนื้อ (cool down) อย่างเหมาะสม จะช่วยลดภาระต่อหัวใจและป้องกันภาวะฉุกเฉินได้ดี ผู้ที่ออกกำลังกายควรสังเกตอาการผิดปกติ เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ แน่นหน้าอก หายใจไม่ทัน หรือรู้สึกหน้ามืด ควรหยุดกิจกรรมนั้นทันทีและไปพบแพทย์

สุขภาพดีเริ่มจากความเข้าใจ

การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างต่อเนื่อง แต่อย่าลืมว่าการดูแลหัวใจก่อนจะเริ่มออกแรงอย่างจริงจัง เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหัวใจคือกล้ามเนื้อที่ทำงานหนักและสำคัญไม่แพ้อวัยวะอื่นๆ ในร่างกาย และการดูแลให้พร้อมก่อนเสมอ จะทำให้คุณออกกำลังกายได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย

ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มต้นออกกำลังกายแบบสายสุขภาพ หรือเป็นนักกีฬาที่ออกกำลังกายมาอย่างต่อเนื่องและจริงจัง การตรวจสุขภาพหัวใจก่อนออกกำลังกายหนัก เป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงของอาการหัวใจขาดเลือดหรือภาวะฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด อย่าให้ความตั้งใจในการดูแลสุขภาพต้องสะดุดเพราะละเลยหัวใจของตัวเอง

ทั้งนี้ ศูนย์หัวใจและทรวงอก (Cardiology Center)  โรงพยาบาลนวเวช พร้อมด้วยทีมบุคลากรทางการแพทย์เฉพาะทางด้านหัวใจที่มากประสบการณ์ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจ อย่างครบวงจรในทุกขั้นตอนตั้งแต่การป้องกันการเกิดโรคหัวใจ การวินิจฉัยระยะเริ่มต้น การรักษา การสวนหัวใจ และการผ่าตัด รวมถึงการฟื้นฟูสมรรถภาพของหัวใจ ด้วยทีมอายุรแพทย์โรคหัวใจผู้ชำนาญการเฉพาะทางควบคู่กับเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย พร้อมได้รับการรับรองมาตรฐาน AACI (American Accreditation Commission International) ค.ศ.2025 ISO 7101:2023 – Health Care Organization Management และ ISO 9001:2015 – Quality Management Systems ที่ให้ความสำคัญกับ คุณภาพการรักษา และมาตรฐานการให้บริการ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดและขอรับคำปรึกษาได้ที่ โรงพยาบาลนวเวช โทร. 1507 I Line: @navavej

กลุ่มวันสยาม ชูความเป็นเลิศด้านการบริการด้วยนวัตกรรมดิจิทัล พร้อมเปิดตัวยูนิฟอร์มใหม่ดีไซน์โดย POEM

นางสรัลธร อัศเวศน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Customer Centricity & Relationship บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า "ภายใต้ปรัชญาการมุ่งมั่นสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมาย เราได้พัฒนาการให้บริการเหนือระดับอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อสร้างความพึงพอใจในทุกมิติให้แก่ลูกค้าและครองความเป็นที่หนึ่งในใจของผู้บริโภคอย่างยั่งยืน

กลุ่มวันสยาม ได้ดึงจุดแข็งด้านการให้บริการในแบบเฉพาะบุคคล และความเป็นเลิศในการให้บริการของทีมพนักงาน Customer Engagement มาพัฒนาและยกระดับการให้บริการ ล่าสุดได้ดำเนินการตามกลยุทธ์ Customer-Centric Experience ที่สอดรับกับแนวโน้มการตลาดรีเทลระดับโลก เราไม่ได้แค่ปรับปรุง แต่เรารีโวลูชัน ประสบการณ์ของลูกค้าแบบ 360 องศา ได้แก่

Personalized Service การบริการเหนือระดับด้วย Hyper-Personalized Service ขับเคลื่อนด้วย Real-time Data Intelligence และ Personalized Engagement ที่ "Anticipate Customer Needs" เราเข้าใจคุณ... ก่อนที่คุณจะรู้ตัวเอง! ด้วยการนำเอาข้อมูลเชิงลึก เช่น พฤติกรรมของลูกค้าใน touchpoint ต่างๆ และข้อมูลการซื้อสินค้าและบริการ มาวิเคราะห์โดยใช้เทคโนโลยีอย่าง AI และ Machine Learning มาช่วย เพื่อคาดการณ์พฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าแต่ละคนได้แม่นยำมากขึ้น และสามารถนำเสนอสินค้าและบริการได้ตรงใจดีขึ้น อาทิ การส่งข้อมูลสินค้า บริการ และโปรโมชั่นตามความสนใจและพฤติกรรมการใช้จ่ายเฉพาะบุคคลส่งตรงถึงลูกค้าแบบ real time

World-Class Service for All โดยใช้กลยุทธ์ Market Penetration เพื่อเข้าถึง Untapped Segments และสร้าง Customer journey Experience by segment และยังเสริมกลยุทธ์ Market Penetration เพื่อเข้าถึง ลูกค้าทั้งที่เป็นสมาชิกและยังไม่ได้เป็นสมาชิกที่มาจับจ่ายภายในศูนย์ฯ เพื่อสร้าง Inclusive Premium Experience นอกจากนี้ ยังหมายรวมถึงการมอบ Memorable Service มุ่งมั่นสร้าง “Meaningful Moments” เพื่อยกระดับความพึงพอใจและประทับใจในทุก Touchpoint ผ่าน World-Class Service Standards ที่ครอบคลุมทั้ง Customer Journey

Exclusive Service/Privileges for Member มอบสิทธิพิเศษเหนือระดับครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ ทั้งภายในศูนย์การค้าและนอกศูนย์การค้า ทั้งในและต่างประเทศ การมอบประสบการณ์ที่หาซื้อไม่ได้ หรือ Extraordinary & Money Can’t buy Experiences อาทิ Priority access, สิทธิพิเศษร่วมมหกรรมอีเว้นท์และโปรโมชั่นที่จัดขึ้นภายในศูนย์การค้าต่างๆ ตลอดทั้งปี นอกจากนี้ยังมี Global Privilege ที่ร่วมกับ 12 พันธมิตร ใน 10 ประเทศและเขตปกครองพิเศษ พร้อมนำร่องสร้าง Luxury Ecosystem ในปลายปีนี้ แบบ 360 องศา ผ่าน Strategic Global Partnerships ยกระดับเป็น Top-of-Mind Destination สำหรับทั้งลูกค้าชาวไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

Innovation Service โดยการริเริ่มนำ AI-Powered Customer Service Kiosk ระบบปฏิบัติการบริการที่ผสาน AI Intelligence กับ Human Touch ซึ่งรองรับถึง 7 ภาษาหลัก ได้แก่ ไทย, อังกฤษ, จีน, เกาหลี, ญี่ปุ่น, รัสเซีย, และอาหรับ เพื่อสร้าง Seamless Multilingual Experience ที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และการบริการที่ใช้ข้อมูลจากทุก Touchpoint ของลูกค้ามาศึกษาเพื่อพัฒนาการบริการให้ดียิ่งขึ้น

ปัจจุบันเทรนด์การตลาดรีเทลโลกคือ Combination of Customer + Data + AI ซึ่งส่วนหนึ่งในแผนงานที่เราใช้ คือการใช้  AI-Driven Customer Intelligence แต่การนำเทคโนโลยี AI มาใช้เพื่อเข้าใจลูกค้าในระดับลึกและสร้างกลยุทธ์การตลาดได้แม่นยำนั้น จำเป็นต้องผสานการทำงานในรูปแบบ Omnichannel Experience Excellence  เพื่อส่งมอบประสบการณ์เหนือระดับและสร้างความพึงพอใจสูงสุด เหนือสิ่งอื่นใดประสบการณ์ที่สามารถครองใจลูกค้าทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ คือ การได้รับการบริการระดับเวิลด์คลาสของทีม Customer Engagement ที่มุ่งมั่นในการรักษามาตรฐานในระดับสูงมาโดยตลอด พร้อมเรียนรู้และพัฒนาตนเอง ใช้ประโยชน์จาก Data Hub และครองความเป็นผู้นำในตลาดกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงสุดในประเทศไทย

กลุ่มวันสยามได้จัดทัพทีม Customer Engagement เพื่อให้การบริการลูกค้าในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย ที่มีความเฉพาะตัว โดยแบ่งกลุ่มลูกค้าเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ Luxury Loyalist , Luxury Aspirational, Mall Lover  และ Lifestyle Regular เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าทุกกลุ่มจะได้รับการบริการที่เหนือความคาดหวัง การดูแลอย่างใกล้ชิด และประสบการณ์ที่สร้างความพึงพอใจในทุกมิติ

ทั้งนี้ ในปี พ.ศ. 2568 กลุ่มวันสยามได้ Refresh ยูนิฟอร์มภาพลักษณ์ใหม่สำหรับพนักงานทีม Customer Engagement ที่มีหน้าที่รับผิดชอบแตกต่างกันเพื่อตอบสนองความต้องการและให้บริการลูกค้าได้อย่างเหมาะสม การยกระดับภาพลักษณ์ใหม่นี้มุ่งเน้นทีมบริการแนวหน้าที่ให้บริการลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ด้านการบริการลูกค้า โดยได้รับเกียรติจาก POEM แบรนด์แฟชั่นไทยชั้นนำมาร่วมสร้างสรรค์ชุดยูนิฟอร์มให้กับองค์กรเป็นครั้งแรก เพื่อสร้างความประทับใจแรกพบ หรือ First Impression ให้แก่ลูกค้าผู้มาใช้บริการ และเสริมสร้างภาพลักษณ์รวมถึงความน่าเชื่อถือให้กับศูนย์การค้าต่างๆ ภายในกลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์

การเปลี่ยนรูปโฉมยูนิฟอร์มพนักงานใหม่เป็น Visual Identity สร้างประสบการณ์ใหม่แบบ Emotional Branding อย่างครบวงจร ที่มีการคอลลาบอเรชั่นร่วมกันระหว่างต่างอุตสาหกรรม หรือ Cross-Industry Collaboration ระหว่าง Retail x Fashion

นายชวนล ไคสิริ ดีไซเนอร์เจ้าของแบรนด์ POEM ผู้สร้างสรรค์ยูนิฟอร์มภาพลักษณ์ใหม่ กล่าวว่า “ในฐานะที่ผมเติบโตมากับศูนย์การค้ากลุ่มสยามพิวรรธน์ตั้งแต่วัยเด็ก ภาพความทรงจำในแต่ละยุคของสยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ และไอคอนสยาม ได้หล่อหลอมแรงบันดาลใจในการออกแบบครั้งนี้ ผมตีความความทันสมัยและความล้ำสมัยที่ได้ส่งต่อมาตลอด ถ่ายทอดผ่านสีและดีไซน์ที่สะท้อนตัวตนขององค์กร สร้าง Professional Credibility ผ่านการออกแบบแฟชั่นที่สะท้อนภาพลักษณ์องค์กรและเป็น First Touch Point กับลูกค้า

ดีไซน์ใหม่นี้ ผ่านการออกแบบจากการพูดคุยกับทีมพนักงานผู้สวมใส่ที่ใช้งานจริง เราเน้นฟังก์ชันและความคล่องตัว โดยปรับซิลูเอตให้เหมาะกับการทำงานจริง มีทั้งกระโปรงทรงเอและกางเกงเพื่อเป็นทางเลือก เพิ่มความมั่นใจด้วยคัตติ้งและแพทเทิร์นแบบเทเลอร์เมด ซึ่งเป็นลายเซ็นของแบรนด์ POEM ผสานโทนสีเทาที่เป็นสีแห่งความก้าวหน้า โดยสีเทาที่ใช้ คือ Neutral Grey ที่ให้ความสุภาพและเป็นกลาง โดยในชุดของพนักงานที่ทำงานภายใน สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่ จะใช้ผ้าสีเทานี้ มาทำหน้าที่เป็นพื้นให้สีม่วงซึ่งเป็นสีหลักของสยามพิวรรธน์ สำหรับไอคอนสยาม จะใช้สีเทาจับคู่กับสีทองซึ่งเป็นสีอันเป็นเอกลักษณ์ของไอคอนสยาม นอกจากนี้ ยังได้ทำการดีไซน์ชุดของทีมงานต่างๆ ที่แม้มีความแตกต่าง แต่ก็มีความเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน และมีความโดดเด่นมีระดับ”

นางสรัลธร อัศเวศน์ กล่าวเสริมว่า “เราไม่ได้เป็นเพียงศูนย์การค้า แต่เป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตที่หลากหลายของผู้คนในทุกเจนเนอเรชั่น พร้อมมอบประสบการณ์แปลกใหม่และสร้างแรงบันดาลใจในระดับโลก เราพัฒนาและยกระดับ Customer Engagement ไปอีกขั้นที่เป็นที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศบนเวทีโลก โดยล่าสุดทีมลูกค้าสัมพันธ์ได้เข้ารอบ Finalist ของเวทีประกาศรางวัลด้านบริการระดับโลกที่จัดขึ้นที่ประเทศอังกฤษ คือ People in Retail Awards สาขา Customer Service Team of the Year ซึ่งเป็นรางวัลที่จัดขึ้นเพื่อเชิดชูบุคลากรในอุตสาหกรรมค้าปลีกที่มีผลงานยอดเยี่ยม และเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจด้านวัฒนธรรมองค์กรและการบริการลูกค้า โดยเราเป็นกลุ่มศูนย์การค้าเดียวของเอเชียที่ได้เข้าชิงรางวัลสุดยอดบริการระดับโลกนี้”  

PIAGET TIMELESS TURQUOISE

Sixtie, Essentia และ Swinging Sautoirs…ล้วนเป็นคอลเลกชั่นนาฬิกาไอคอนนิคของเมซง Piaget ที่สะท้อนจิตวิญญาณแห่งความกล้าและความคิดสร้างสรรค์อันแตกต่างเหนือกาลเวลาได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอด้านรูปทรงอันโดดเด่นมีความเป็นเอกลักษณ์ ควบคู่กับการเลือกใช้สีสันที่สดใสสำหรับการตกแต่ง

 

ปีนี้ Piaget ได้แปลงโฉมนาฬิกาทั้ง 3 คอลเลกชั่น สู่สัมผัสแห่งเสน่ห์ครั้งใหม่ ด้วยการหยิบเอา “เทอร์ควอยซ์” อัญมณีเก่าแก่ที่สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้คนและอารยธรรมมายาวนานกว่าพันปี ผสานเข้ากับฝีมือช่างอันเลื่องชื่อของเมซงที่เชี่ยวชาญด้านสีสันและการเล่นกับรูปทรงในแบบเฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นเส้นสายอันอ่อนช้อยของนาฬิกา Sixtie รุ่นใหม่, รูปทรงอันเป็นธรรมชาติของนาฬิกากำไลข้อมือ Essentia ไปจนถึงรูปทรงระย้าอันงดงามของนาฬิกาสร้อยคอ Swinging Sautoirs ที่ต่างได้รับการแต่งแต้มด้วยโทนสีฟ้าครามอย่างมีชีวิตชีวา

 

หลายศตวรรษที่ผ่านมา เทอร์ควอยซ์ ได้รับการยกย่องในความงามของสีฟ้าอันเจิดจรัส โดยชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่าเทอร์ควอยซ์มีพลังแห่งการฟื้นฟู ขณะที่ชาวแอซเท็กเรียกหินล้ำค่าชนิดนี้ว่า “หินแห่งเหล่าทวยเทพ” สำหรับ Piaget เฉดสีฟ้าของเทอร์ควอยซ์ ได้สร้างความหลงใหลอย่างลึกซึ้งที่ชวนให้นึกถึง เฟรนช์ ริเวียร่า ทัศนียภาพ อันงดงามของชายฝั่งทะเล ที่สะท้อนวิถีชีวิตอันหรูหราและมีศิลปะ ด้วยอารมณ์ที่สะท้อนผ่านสีสันดังกล่าว ทำให้ Piaget นำเอาเทอร์ควอยซ์มาใช้ในการสร้างสรรค์พื้นหน้าปัดนาฬิกาตั้งแต่ปี 1963 และจับคู่กับกลไกนาฬิกาบางเฉียบอันล้ำสมัย การผสมผสานกันอย่างกล้าหาญระหว่างความเป็นศิลปะและความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคนี้
ได้พลิกโฉมวงการนาฬิกาหรู และส่งให้ Piaget ได้ก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้ผลิตนาฬิกาแถวหน้า ก่อนที่จะเป็นที่รู้จัก
ในฐานะผู้ผลิตเครื่องประดับอัญมณีในยุคที่ยกย่องความคิดสร้างสรรค์เสรีเหนือสิ่งอื่นใด

 

DAZZLING TIMES

คอลเลกชั่น Sixtie เรือนเวลาที่เปี่ยมด้วยความท้าทายและความล้ำสมัย ถ่ายทอดแนวคิดของเมซงที่เกิดขึ้นในช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 ในการทลายขีดจำกัดขนบการผลิตนาฬิกาแบบเดิมๆ สู่นิยามใหม่ของเรือนเวลาที่ “เล่นกับรูปทรง” ผ่านดีไซน์ตัวเรือนทรงสี่เหลี่ยมคางหมูซึ่งไม่เคยมีใครนำเสนอมาก่อน การเปิดตัวนาฬิกา Sixtie รุ่นใหม่ได้มีขึ้นครั้งแรกช่วงต้นปีที่ผ่านมาที่งาน Watches and Wonders Geneva 2025 การสร้างสรรค์คอลเลกชั่น Sixtie


ถือเป็นการแสดงความคารวะต่อคอลเลกชั่น 21st Century ที่เผยโฉมในปี 1969 จากวิสัยทัศน์ของ Jean-Claude Gueit นักออกแบบที่พา Piaget ก้าวออกจากพรมแดนของการผลิตนาฬิกาสู่โลกแห่งแฟชั่น เกิดเป็นการนำเสนอความสง่างามใหม่ของรูปทรงที่สร้างความประทับใจตั้งแต่แรกเห็น ดีไซน์ของนาฬิการุ่นนี้เต็มไปด้วยเส้นสายแห่งเรขาคณิต สะท้อนศิลปะและการออกแบบแนวเรโทรเข้ากับความเชี่ยวชาญด้านช่างทองและด้านสีสันของเมซงได้เป็นอย่างดี ในวันนี้ คอลเลกชั่น Sixtie ได้กลับมาอีกครั้งในแคปซูลคอลเลกชั่นที่รังสรรค์ร่วมกับเทอร์ควอยซ์

ตัวเรือนรูปทรงสี่เหลี่ยมคางหมูพร้อมขอบตัวเรือนสลักแบบกาดรูน (gadroon) ที่มีลักษณ์คล้ายขั้นบันได เผยเสน่ห์อันโดดเด่นด้วยสีฟ้าอมเขียวของเทอร์ควอยซ์ เปิดพื้นที่ให้ชื่นชมอย่างเต็มตาโดยปราศจากการจัดวางอินเด็กซ์บอกเวลาใดๆ คงไว้เพียงชื่อแบรนด์และเข็มนาฬิกาสองเข็มเรียบง่าย สวมใส่คู่สายทองที่มีความโปร่ง ซึ่งนอกจากรุ่นนาฬิกาข้อมือแล้ว Sixtie ยังปรากฏในรูปแบบนาฬิกาสร้อยคอที่ผสมผสานเข้ากับคอลเลกชั่น Swinging Sautoirs ด้วยเช่นกัน

Sixtie Swinging Sautoir (G0A50351) คือนิยามของมรดกแห่งการสร้างสรรค์นาฬิกาในแนวอาวองการ์ดและ ความเชี่ยวชาญด้านสีสันของ Piaget ซึ่งผลงานชิ้นใหม่นี้ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพสเก็ตช์ต้นแบบบนหน้านิตยสารแฟชั่นในอดีต อันเป็นภาพของหญิงสาวที่สวมใส่สร้อยสีทองพร้อมจี้ที่เป็นนาฬิกาหน้าปัดสีฟ้าเทอร์ควอยซ์ ซึ่งภาพดังกล่าววาดโดยดีไซเนอร์ของเมซง ก่อนที่จะรังสรรค์เป็นสร้อยคอยาวประดับนาฬิกาหน้าปัดเทอร์ควอยซ์ทรงสี่เหลี่ยมคางหมู สะท้อนเสน่ห์แห่งความงามหรูหราอย่างเป็นธรรมชาติของยุคสมัยนั้น เส้นสายทองคำที่บิดเกลียวด้วยมือและประดับเพชร เรียงร้อยลงมาอย่างอ่อนช้อย คล้ายระลอกคลื่นอันอ่อนโยนบนผิวน้ำ ขับให้ชิ้นงานดูมีชีวิตชีวายิ่งขึ้นเมื่อพู่เพชรและทองสะท้อนประกายระยิบระยับพลิ้วไหวไปตามแสง

อีกหนึ่งผลงานที่มาร่วมเติมเต็มคอลเลกชั่นอย่างน่าหลงใหลคือ Swinging Sautoir (G0A50061) รุ่นตำนานที่โอบอุ้มหน้าปัดเทอร์ควอยซ์ทรงสี่เหลี่ยมคางหมูไว้ด้วยเส้นทองบิดเกลียวราวกับเชือกที่นำมาผูกให้เกิดเป็นปมแสนเรียบง่าย ซึ่งแท้จริงแล้วเต็มไปด้วยรายละเอียดงานฝีมืออันประณีตในแบบฉบับของ Piaget ผลงานชิ้นนี้ได้ทลายเส้นแบ่งระหว่างความเป็นเครื่องประดับและนาฬิกา เกิดเป็นการผสมผสานสองการสร้างสรรค์ที่ลงตัว ตอกย้ำปรัชญาของเมซงที่เชื่อว่า “นาฬิกา” ไม่ได้มีไว้เพียงบอกเวลา แต่คืองานศิลปะที่พร้อมจะประดับทั้งบนข้อมือและเรือนกายด้วยความสง่างามเหนือกาลเวลา

ความคิดสร้างสรรค์อันเปี่ยมชีวิตชีวาและเสน่ห์เย้ายวนของ Piaget ได้ถ่ายทอดออกมาอย่างงดงามใน Essentia นาฬิกาที่มาพร้อมตัวเรือนทรงอิสระไม่สมบูรณ์แบบตามขนบ แต่กลับเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์เฉพาะ สำหรับนาฬิการุ่นใหม่นี้โดดเด่นด้วยหน้าปัดหินเทอร์ควอยซ์ที่อัดแน่นไปด้วยมิติของสีสันและอัตลักษณ์อันเป็นธรรมชาติล้อมกรอบด้วยทองคำและเพชรที่ขัดเงาอย่างประณีตจนสะท้อนประกายดุจงานศิลป์ ตัวเรือนรูปโค้งเว้าดั่งระลอกคลื่นต่อเนื่องเข้าสู่สายนาฬิกาทองคำที่สานเป็นข้อเล็กใหญ่รับกับข้อมือ โอบกระชับเสมือนเครื่องรางล้ำค่า ถ่ายทอดงานหัตถศิลป์การผลิตสายโซ่อันเป็นเอกลักษณ์ของเมซง เข้าคู่กับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติที่เปี่ยมด้วยพลังและชีวิตชีวา นี่คืองานสร้างสรรค์ที่กล้าหาญและเปี่ยมสุขที่สุดของ “jewellery-watchmaking” หรือการประดิษฐ์นาฬิกาประดับอัญมณี — ราวกับเป็นโอต์กูตูร์สำหรับข้อมือ

แต่ละชิ้นงานในคอลเลกชั่นนี้ ได้เปล่งประกายความเป็นศิลปะของ Piaget ไว้ในทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นความเข้มข้นของเฉดสีฟ้าบนหน้าปัดเทอร์ควอยซ์ ประกายระยิบระยับที่เกิดจากการเล่นแสงที่ตกกระทบลงบนขอบตัวเรือนสลักร่องแบบกาดรูน และประกายสะท้อนบนข้อสายขัดเงา หรือแม้แต่พื้นผิวทองคำที่ผ่านการรังสรรค์อย่างพิถีพิถัน ทุกชิ้นล้วนเป็นบทพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นอันยืนยงของ Piaget ที่มีต่อหัตถศิลป์ ความคิดสร้างสรรค์ และการใช้สีสันอย่างกล้าท้าทาย รากฐานที่ถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ทศวรรษแห่งจิตวิญญาณเสรีในยุค 1960 และถูกตีความใหม่อย่างร่วมสมัยเพื่อมอบแรงบันดาลใจแก่เหล่านักสะสมและผู้หลงใหลงานศิลป์รุ่นใหม่