MEA เตือนภัย! มิจฉาชีพส่ง Email ปลอม หลอกปชช.ค้างค่าไฟ ใช้บริการ MEA e-Service ปลอดภัย

MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง ขอแจ้งเตือนตามที่มีประชาชนได้รับข้อความ หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Email) แอบอ้างหน่วยงาน MEA เพื่อหลอกลวงโดยอ้างว่าผู้ใช้ไฟฟ้าค้างชำระค่าไฟฟ้า และหากไม่รีบชำระในเวลาที่กำหนด จะดำเนินการตัดไฟฟ้า จนอาจจะมีความเสี่ยงทำให้ประชาชนเสียทรัพย์สินนั้น จึงขอเน้นย้ำว่า MEA ส่งใบแจ้งค่าไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ทาง Email ทางการของ MEA เท่านั้น MEA e-bill (ebill@mea.or.th)

MEA แนะให้ฉุกคิดก่อนจะทำธุรกรรมใด ๆ ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนทุกครั้ง และปลอดภัยจากมิจฉาชีพ เลือกใช้บริการจาก 3 ช่องทางของ MEA ดังนี้

> แอปพลิเคชัน MEA Smart Life ดาวน์โหลดฟรีที่ App Store หรือ Play store เท่านั้น

> LINE OA "MEA Connect" เพิ่มเพื่อน ค้นหา @meathailand ของแท้ต้องมีโล่เขียวหน้าชื่อบัญชีเท่านั้น

> เว็บไซต์ https://www.mea.or.th 

MEA e-Service แค่คลิก ก็ครบ จบทุกเรื่องไฟฟ้า การไฟฟ้านครหลวง ในมือคุณ

ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ได้ที่ Facebook: การไฟฟ้านครหลวง MEA, Line: MEA Connect (@MEAthailand) สัญลักษณ์โล่สีเขียวนำหน้าชื่อบัญชีทางการ เลือกเมนู ติดต่อ MEA Call Center Online 1130 และศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ไฟฟ้าการไฟฟ้านครหลวง ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

“หมายศาลหรือหมายปลอม? หลอกกันถึงหน้าบ้าน!”

ตือนภัย! มิจฉาชีพปลอมหมายศาลหลอกเงินเหยื่อ อย่าหลงเชื่อก่อนอ่านสิ่งนี่

เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2568 "ทนายเกิดผล แก้วเกิด" ทนายความชื่อดัง โพสต์ข้อความระบุว่า "ปัจจุบันมีมิจฉาชีพทำการปลอมแปลงหมายศาล รวมทั้งแอบอ้างชื่อผู้พิพากษาเพื่อหลอกประชาชนให้เสียทรัพย์

หากท่านได้รับหมายศาลและมีข้อสงสัยว่าเป็นของจริงหรือไม่ ขอให้ท่านตั้งสติ ให้ดี อย่าพึ่งตกใจตื่นกลัว เพราะหมายศาลเช่นนี้เป็นคดีแพ่ง

คดีอาญา หมายจะมาหา พร้อมตำรวจ ไม่ได้ส่งหมายมาแบบนี้

ถ้าตั้งสติได้แล้ว ให้โทรศัพท์สอบถามไปยังส่วนบริการประชาชนและประชาสัมพันธ์ของศาลที่ระบุในหมายศาลดังกล่าว โดยสามารถค้นหาหมายเลขโทรศัพท์ของศาลได้ที่หน้าเว็บไซต์ของศาลยุติธรรม

#หมายศาล #มิจฉาชีพ #เตือนภัย

ระวัง! สแกน QR Code รับเงินคืนอาจเสียเงินหมดบัญชี

เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2568 ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center Thailand) ได้ออกประกาศเตือนภัยประชาชนให้ระวังกลโกงใหม่ของมิจฉาชีพที่ใช้การสแกน QR Code เป็นเครื่องมือในการหลอกลวง โดยอาศัยความคุ้นชินของคนในปัจจุบันที่นิยมใช้การชำระเงินผ่านระบบดิจิทัล

จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า มิจฉาชีพมักจะใช้กลวิธีโทรศัพท์หาเหยื่อโดยอ้างตัวว่าเป็นร้านค้าที่เหยื่อเคยซื้อสินค้าด้วย พร้อมทั้งให้รายละเอียดที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับสินค้าที่มีปัญหา จากนั้นจะเสนอให้คืนเงินและขอให้เหยื่อเพิ่มเพื่อนในแอปพลิเคชัน Line เพื่อติดต่อกับ "ฝ่ายบัญชี"

เมื่อเหยื่อหลงเชื่อและให้ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ-นามสกุล และเลขบัญชีธนาคาร มิจฉาชีพจะโทรกลับมาสอบถามยอดเงินในบัญชี เพื่อนำไปสร้าง QR Code ที่มีจำนวนเงินตรงกับยอดเงินในบัญชีของเหยื่อ แล้วส่งรูปภาพ QR Code ดังกล่าวให้ โดยอ้างว่าเป็น "QR Code สำหรับรับเงินคืน"

ในระหว่างที่เหยื่อกำลังสแกน มิจฉาชีพจะชวนคุยเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ทำให้เหยื่อสับสนและเผลอกดปุ่มยืนยันการโอนเงินโดยเข้าใจผิดว่าเป็นการรับเงินคืน ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นการโอนเงินออกจากบัญชีของตนเองไปยังบัญชีของมิจฉาชีพ

ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมจึงขอเน้นย้ำให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวัง และแนะนำข้อควรปฏิบัติเพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อ ดังนี้

ตรวจสอบที่มา: หากมีการติดต่อเพื่อคืนเงิน ควรตรวจสอบกับร้านค้าหรือบริษัทโดยตรงก่อนทุกครั้ง

ระวัง QR Code แปลกปลอม: โปรดจำไว้ว่าการรับเงินคืนไม่มีการสแกน QR Code สำหรับโอนเงินเข้าบัญชี

ตั้งสติและรอบคอบ: ตรวจสอบรายละเอียดการทำธุรกรรมทุกครั้งก่อนกด "ยืนยัน" และสังเกตข้อความแจ้งเตือนว่าเป็น "การโอนเงิน" หรือ "การรับเงิน"

ทั้งนี้ หากประชาชนพบเบาะแสการกระทำความผิดในลักษณะดังกล่าว สามารถแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเร็วที่สุด

ดีอี เตือนภัย “มิจฉาชีพ” เปิดเพจปลอม อ้าง “กรมขนส่งฯ” รับทำใบขับขี่ ระวังหลอกโอนเงิน - ดึงข้อมูลส่วนบุคคล

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ตรวจพบข่าวปลอมรายสัปดาห์ ที่ประชาชนให้ความสนใจสูงสุดอันดับที่ 1 เรื่อง “กรมการขนส่งทางบก รับทำใบขับขี่ทุกชนิดไม่ต้องสอบเอง ผ่านเพจ มาราตรี” รองลงมาคือเรื่อง “เบต้ากลูแคนรักษาอาการบวมน้ำหรือลดสารพิษตกค้างในร่างกาย” โดยขอให้ประชาชน อย่าหลงเชื่อข่าวปลอม อาจทำให้สูญเสียทรัพย์สิน และข้อมูลส่วนบุคคล รวมทั้งทำให้เกิดความเข้าใจผิด สับสนตื่นตระหนก และวิตกกังวลในสังคม โดยขอให้เลือกเชื่อ เลือกแชร์ ข้อมูลที่เป็นประโยชน์

นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (BDE) ในฐานะโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวถึงผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ระหว่างวันที่ 22 – 28 สิงหาคม 2568 พบข้อความที่เข้ามาทั้งหมด 973,310 ข้อความ โดยมีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ (Verify) ทั้งสิ้น 793 ข้อความ

สำหรับช่องทางที่มีการพบเบาะแสมากที่สุด คือ ข้อความที่มาจาก Social Listening จำนวน 767 ข้อความ ตามมาด้วยการแจ้งเบาะแสผ่าน Line Official จำนวน 11 ข้อความ ช่องทาง Website จำนวน 15 ข้อความ รวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด 191 เรื่อง และจากการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับผลการตรวจสอบกลับมาแล้ว 74 เรื่อง

ทั้งนี้ กระทรวงดีอี ได้แบ่งข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจเป็น 5 กลุ่ม ประกอบด้วย

กลุ่มที่ 1 : นโยบายรัฐบาล ข่าวสารทางราชการ ความสงบเรียบร้อยของสังคม ขัดศีลธรรมอันดี และความมั่นคงภายในประเทศ จำนวน 119 เรื่อง

กลุ่มที่ 2 : ผลิตภัณฑ์สุขภาพ วัตถุอันตราย เครื่องสำอาง รวมถึงสินค้าและบริการที่ผิดกฎหมายจำนวน 17เรื่อง

กลุ่มที่ 3 : ภัยพิบัติ จำนวน 12 เรื่อง

กลุ่มที่ 4 : เศรษฐกิจ จำนวน 0 เรื่อง

กลุ่มที่ 5 : กลุ่มอาชญากรรมออนไลน์ จำนวน 43 เรื่อง

นายเวทางค์ กล่าวต่อว่า เมื่อพิจารณาจากข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจในลำดับต้นๆ ในสัปดาห์นี้ส่วนใหญ่เป็นข่าวเกี่ยวกับการให้บริการของหน่วยงานรัฐ ความมั่นคงระหว่างประเทศไทย และกัมพูชา

นอกจากนี้ยังพบข่าวที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์สุขภาพรวมอยู่ด้วย ซึ่งทั้งหมดมีผลกระทบต่อสังคมส่วนใหญ่ อาทำให้สูญเสียทรัพย์สิน  หรือ ข้อมูลส่วนบุคคล รวมทั้งทำให้เกิดความเข้าใจผิด สับสน ตื่นตระหนก และวิตกกังวลได้ โดยข่าวที่ได้รับความสนใจจากประชาชนมากที่สุด 10 อันดับ ได้แก่

อันดับที่ 1 : เรื่อง กรมการขนส่งทางบก รับทำใบขับขี่ทุกชนิดไม่ต้องสอบเอง ผ่านเพจ มาราตรี

อันดับที่ 2 : เรื่อง เบต้ากลูแคนรักษาอาการบวมน้ำหรือลดสารพิษตกค้างในร่างกาย

อันดับที่ 3 : เรื่อง ธนาคารกรุงไทย ประกาศยกเลิกหนี้เสียทุกประเภท ติดเครดิตบูโร และแบล็กลิสต์ ลงทะเบียนกู้ใหม่ได้ ผ่านบัญชี Tiktok ktb.bank027

อันดับที่ 4 : เรื่อง ไทย วางลวดหนามรุกล้ำพื้นที่ ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง

อันดับที่ 5 : เรื่อง เพจเฟซบุ๊ก ปทิตตา เปิดรับทำใบขับขี่ สำหรับบุคคลที่ไม่เคยมีใบขับขี่มาก่อน

อันดับที่ 6 : เรื่อง เฟซบุ๊ก พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2

อันดับที่ 7 : เรื่อง ตม. ไทย เปิดด่านให้ชาวกัมพูชาเข้ามาใช้บริการโรงพยาบาลได้ตามปกติแล้ว

อันดับที่ 8 : เรื่อง กองทัพภาคที่ 2 เปิดเพจเฟซบุ๊กใหม่ชื่อ ข่าวกองทัพภาคที่ 2

อันดับที่ 9 : เรื่อง ธนาคารกรุงไทย ปล่อยสินเชื่อวงเงิน 2 ล้านบาท ผ่านบัญชี TikTok kbankgdvbvb

อันดับที่ 10 : เรื่อง แม่ทัพภาค 1 และฝ่ายความมั่นคง เสนอมอบสัญชาติไทยให้ชาวกัมพูชา บ้านหนองจาน

สำหรับอันดับ 1 เรื่อง “กรมการขนส่งทางบก รับทำใบขับขี่ทุกชนิดไม่ต้องสอบเอง ผ่านเพจ มาราตรี” กระทรวงดีอี ได้ประสานงานร่วมกับ กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม ตรวจสอบแล้วพบว่า เป็นข้อมูลเท็จ โดยขอชี้แจงว่า กรมการขนส่งฯ ไม่มีบริการรับทำใบขับขี่ผ่านช่องทางออนไลน์หรือสื่อโซเชียลใดๆ ทั้งสิ้น

และไม่สามารถฝากให้ผู้อื่นดำเนินการแทนได้ ซึ่งหากประชาชนต้องการทำใบขับขี่หรือต่ออายุใบขับขี่ต้องมาดำเนินการด้วยตนเองที่กรมการขนส่งฯ เท่านั้น โดยประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสผู้กระทำผิดมายังกรมการฯขนส่งได้โดยตรง หรือโทรสายด่วน 1584 ตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้นหากเห็นโพสต์รับทำใบขับขี่ในออนไลน์ ให้ตั้งข้อสงสัยว่าเป็นมิจฉาชีพไว้ก่อน

ด้านข่าวปลอมอันดับ 2 เรื่อง “เบต้ากลูแคนรักษาอาการบวมน้ำหรือลดสารพิษตกค้างในร่างกาย” กระทรวงดีอี ประสานงานร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข พบว่าเป็นข้อมูลเท็จ โดยขอชี้แจงว่า เบต้ากลูแคนเป็นสารที่พบได้ทั่วไปในธรรมชาติ เช่น ยีสต์ ธัญพืช (ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์) และเห็ด จากการศึกษาพบว่าเบต้ากลูแคนจากข้าวโอ๊ตและข้าวบาร์เลย์ มีส่วนช่วยลดการดูดซึมคอเลสเตอรอลได้ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีหลักฐานที่เพียงพอในการระบุถึงประสิทธิภาพของเบต้ากลูแคนในการรักษาอาการบวมน้ำหรือลดสารพิษตกค้างในร่างกาย ทั้งนี้ เบต้ากลูแคนมิใช่ยา จึงไม่มีฤทธิ์ในการบำบัด บรรเทา หรือรักษาโรคใด ๆ

อย่างไรก็ตาม ดีอี มีความห่วงใยประชาชน เรื่องความตระหนักรู้เท่าทันข่าวปลอมที่ถูกแพร่กระจายบนสื่อออนไลน์ โซเชียล ซึ่งหากขาดความรู้เท่าทันส่งต่อข้อมูลข่าวปลอม ทำให้เกิดการหลงเชื่อ สร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เกิดความวิตกกังวล หรืออาจสร้างความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน หรือข้อมูลส่วนบุคคล และอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนในสังคมเป็นวงกว้าง ดังนั้นจึงควรตรวจสอบข้อเท็จจริงของข่าวหรือลิงก์เว็บไซต์ให้แน่ชัด

หากประชาชน พบข่าวน่าสงสัย ข้อมูลบิดเบือน สามารถแจ้งเบาะแส และตรวจสอบข่าวปลอมได้ที่ โทรสายด่วน 1111 ต่อ 87 (24 ชม.) หรือที่

| เว็บไซต์ www.antifakenewscenter.com

| Line ID: @antifakenewscenter

| Facebook : Anti-Fake News Center Thailand

| X : @AFNCThailand

| TikTok : @antifakenewscenter

| IG : afnc_thailand/

เตือนประชาชน! บัญชีปลอมระบาด หลอกโอนเงินช่วยทหารชายแดน โทษจำคุกสูงสุด 5 ปี

ย้ำเตือน ปชช.ระวัง “คนร้ายเปิดบัญชีหลอกรับเงินบริจาคช่วยทหารชายแดน” เสี่ยงสูญเงิน – ข้อมูลส่วนบุคคล ระวังเผยแพร่ข้อมูลเท็จ มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เมื่อเวลา 08.00 น.วันที่ 21 ส.ค.68 นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย (Anti-Fake News Center : AFNC) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ตรวจสอบพบข่าวที่เกี่ยวข้องประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาเป็นจำนวนมาก จากสถิติตั้งแต่วันที่ 1 - 15 สิงหาคม 2568 ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ ได้ทำการคัดกรองจำนวนข้อความทั้งหมด 2,133,333 ข้อความ โดยมีจำนวนข้อความที่เข้าเกณฑ์การตรวจสอบ 222,679 ข้อความ ทั้งนี้ มีเรื่องที่ส่งตรวจสอบ จำนวน 459 เรื่อง ได้รับการตรวจสอบแล้ว จำนวนทั้งหมด 447 เรื่อง โดยสามารถแยกเป็นเรื่องนโยบายรัฐบาล และความมั่นคงของประเทศ 129 เรื่อง ได้แก่ (1) ข่าวปลอม จำนวน 29 เรื่อง (2) ข่าวจริง จำนวน 85 เรื่อง (3) ข่าวบิดเบือน จำนวน 15 เรื่อง (4) ข้อมูลไม่เพียงพอ จำนวน 0 เรื่อง

“ปัจจุบันมีการเผยแพร่ข่าวปลอม และข้อมูลบิดเบือนที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงมากถึง 44 เรื่อง และพบมิจฉาชีพฉวยโอกาสในการเผยแพร่ข่าวปลอมแอบอ้างเป็นกองทัพหรือหน่วยงานทหารขอรับการบริจาคเงิน และสิ่งของเพื่อนำไปให้ความช่วยเหลือแก่หน่วยทหารในพื้นที่ชายแดนได้  ขอให้ประชาชนตรวจสอบที่มาของแหล่งข่าว โดยเลือกเชื่อ – แชร์ข่าว และข้อมูลจากแหล่งข่าวที่เป็นทางการเท่านั้น” นายอนุกูล ระบุ

นายอนุกูล ย้ำเตือนประชาชนไม่ควรสแกน QR Code หรือดาวน์โหลดลิงก์ต่างๆ ที่ต้องสงสัย หรือยังไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจน เพราะอาจเป็นการติดตั้งแอปฯ ดูดเงิน และข้อมูลส่วนตัวโดยไม่ตั้งใจ รวมทั้งหากนำข้อมูลไปเผยแพร่โดยไม่มีการตรวจสอบ อาจเป็นการเผยแพร่ข้อมูลเท็จเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากประชาชน พบข่าวน่าสงสัย ข้อมูลบิดเบือน สามารถแจ้งเบาะแส และตรวจสอบข่าวปลอมได้ที่ โทรสายด่วน 1111 ต่อ 87 (24 ชม.) หรือที่ เว็บไซต์ www.antifakenewscenter.com

ธปท.สั่งแบงก์คุม "โอนเงิน-ชำระเงิน" ไม่เกิน 5 หมื่น/วัน บล็อคมิจฉาชีพหลอก

ธปท. เปิดยอดถูกหลอกผ่านมิจฉาชีพยังพุ่ง เตรียมคลอดมาตรการลดความเสียหายจากการถูกหลอก กำชับแบงก์กำหนดการโอนเงิน หรือ ชำระเงินขั้นต่ำไม่เกิน 5 หมื่นบาทต่อวัน

วันที่ 20 สิงหาคม 2568 นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงิน และคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ด้วยแนวโน้มการถูกมิจฉาชีพ หรือแก็งคอลเซนเตอร์ หลอกลวงให้โอนเงินต่างๆ ยังอยู่ระดับสูง ดังนั้นเพื่อป้องกันความเสียหายจากการที่ประชาชนถูกหลอกลวงจากมิจฉาชีพ ในการหลอกให้โอนเงินผ่านบัญชีม้า ซึ่งมาตรการที่ ธปท.จะทำในระยะข้างหน้าคือ การจำกัดความเสียหายจากการโอนเงิน ก่อนที่เหยื่อหรือผู้โอนจะรู้ตัว โดย ธปท.จะออกมาตรการ การจำกัดวงเงินการโอนเงิน หรือการชำระเงิน ได้แก่  1. จำกัดไม่ให้มิจฉาชีพสามารถโอนเงินออกจากบัญชีได้ครั้งละจำนวนมาก เพื่อป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพถ่ายโอนเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดได้เร็ว ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสที่จะกักเงินของผู้เสียหายไว้ได้ทัน

และ 2. จำกัดความเสียหายของประชาชนที่อาจตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก และผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของมิจฉาชีพ โดยธนาคารจะพิจารณากำหนดวงเงินการโอน และชำระเงินต่อวันให้เหมาะสมกับความเสี่ยง และพฤติกรรมการทำธุรกรรมในอดีตของลูกค้า โดยวงเงินเริ่มต้นอยู่ที่ไม่เกิน 50,000 บาทต่อวัน ซึ่งการจำกัดการโอนเงิน และการชำระเงินนั้น จะถูกจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง เช่นอายุเกิน 65 ปี และอายุต่ำกว่า 15 ปี ที่จะจำกัดการโอนเงิน เพื่อช่วยปกป้องไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ หรือเมื่อตกเป็นเหยื่อ และมีการโอนเงินออกไปแล้ว ไม่ให้เสียหายมากเกินไป 

ทั้งนี้การจำกัดหรือกำหนดการโอนเงิน หรือชำระเงินต่อวันลดลง สำหรับลูกค้าบางคน จะต้องขึ้นอยู่กับความเหมาะสม และการทำธุรกรรมของลูกค้าแต่ละคนด้วย และการจะไปกำหนดวงเงินไม่ให้ออกจากบัญชีเกิน 5 หมื่นบาท เป็นสิ่งสำคัญมาก ที่แบงก์ต้องดูตามความเหมาะสม เช่น หากเป็นลูกค้าที่ไม่เคยเปิดบัญชีมาก่อน กลุ่มนี้แบงก์อาจกำหนดการโอนเงินขั้นต่ำไว้ก่อนที่ไม่เกิน 5 หมื่นบาทต่อวันสำหรับทุกกลุ่ม แต่หากเขาใช้ไปสักพัก และแบงก์มองว่าเป็นลูกค้าปกติ อาจให้กลุ่มนี้ออกจากกลุ่มเสี่ยงที่ต้องสงสัยได้ แล้วอาจกำหนดวงเงินขึ้นไปเพิ่มเติมได้ 

อย่างไรก็ตาม สำหรับการลดวงเงินการโอนเงินนั้น ธนาคารจะเป็นผู้แจ้งให้กับลูกค้ารับทราบล่วงหน้า ซึ่งการกำหนดวงเงินการโอน และชำระเงินจะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแบงก์ที่จะพิจารณา โดยดูจากพฤติกรรม และการทำธุรกรรมการเงินในอดีต 

ทั้งนี้ ธปท.ก็ตระหนักว่าธุรกรรมดังกล่าว อาจกระทบต่อการทำธุรกรรมสำหรับลูกค้าบางคน หรือบางกลุ่มได้ ดังนั้นการกำหนดวงเงินการโอนเงิน จะขึ้นอยู่การพิจารณาของแบงก์ โดยดูจากพฤติกรรม และธุรกรรมการเงินในอดีตร่วมด้วย ซึ่งหากเป็นคนที่เคยโอนเงินปกติในระดับดังกล่าว แบงก์ก็อาจขยายวงเงินการโอนเงินเพิ่มขึ้นได้ โดยอาจไม่ต้องโทรศัพท์หาคอลเซนเตอร์ หรือขอเอกสารเพิ่มเติม แต่บางกลุ่มที่ต้องการขยายวงเงินจากวงเงินขั้นต่ำที่กำหนด อาจต้องมีการติดต่อคอลเซนเตอร์เพื่อขยายวงเงินชั่วคราว หรือแบงก์อาจขอเอกสารเพิ่มเติม ถึงความจำเป็นในการโอนเงินได้ 

“มาตรการนี้เราก็ตระหนัก และไม่ให้กระทบลูกค้าดีมากเกินไป ดังนั้น ธปท.จึงกำหนดมาตรการดังกล่าวสำหรับลูกค้าปัจจุบันภายในสิ้นปี 2568 แต่สำหรับลูกค้าใหม่ มาตรการนี้จะมีผลบังคับใช้ทันที เพื่อคุ้มครองลูกค้าได้เร็วขึ้น ทั้งนี้ทั้งหมดนี้หากธนาคารใดมีความพร้อมสามารถดำเนินมาตรการดังกล่าวได้ทันที" 

สำหรับแนวโน้มการถูกทุจริตการเงิน พบว่า ความเสียหายจากการถูกหลอกโอนเงินยังอยู่ระดับสูง โดยยังไม่ได้ลดลงหากเทียบกับอดีต โดยเฉพาะการถูกหลอกให้โอนเงินให้มิจฉาชีพเอง ที่พบว่าความเสียหาย ในไตรมาสที่ 2 ยังอยู่ระดับสูงที่ 6,000 ล้านบาท เฉลี่ย 2,000 ล้านต่อเดือน ลดลงจากไตรมาส 2/2567 มีมูลค่าความเสียหาย 8,590 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน ณ เดือนกรกฎาคม 2568 สามารถระงับบัญชี 3 ล้านบัญชี คิดเป็นรายชื่อม้า 1.77 แสนรายชื่อ ทั้งนี้หากดูข้อมูลความเสียหายจากการหลอกลวงในเดือนมิถุนายน 2568 มีจำนวนความเสียหาย 24,500 เคส ความเสียหายรวม 2,800 ล้านบาท เฉลี่ย 114,000 บาทต่อเคส โดยยอดโอนเงินสูงสุดอยู่ที่ 4.9 ล้านบาท และหากดูธุรกรรมที่เหยื่อโอนเข้าบัญชีม้ามูลค่าสูงกว่า 5 หมื่นบาท โอนเงินภายใน 3 นาที ประมาณ 50% ของมูลค่าความเสียหาย โดยที่เหยื่อจะแจ้งข้อมูลเข้าระบบภายใน 19-25 ชั่วโมง
 

ดีอี เตือน “มิจฉาชีพ” เปิดเพจปลอม “การบินไทย” หลอกลงทุนซื้อ-ขายหุ้น ระวังสูญเงิน - ข้อมูลส่วนบุคคล

ก.ดีอี ตรวจพบข่าวปลอมรายสัปดาห์ที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งประชาชนให้ความสนใจสูงสุดอันดับที่ 1 เรื่อง “การบินไทย เปิดให้ซื้อขายหุ้นอีกครั้ง เริ่มต้น 3,000 บาท รับปันผล 930 บาท/วัน” รองลงมาคือเรื่อง “PTT ส่งลิงก์ สุ่มแจกของขวัญวันแม่ ลุ้นรับเงิน 10,000 บาท” โดยขอให้ประชาชน อย่าหลงเชื่อข่าวปลอม หวั่นสร้างความเสียหายทั้งข้อมูลส่วนบุคคล ทรัพย์สิน และอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนในสังคมเป็นวงกว้าง ขอให้เลือกเชื่อ-แชร์ ข้อมูลที่เป็นประโยชน์

วันที่ 17 สิงหาคม 2568 นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (BDE) ในฐานะโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวถึงผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ระหว่างวันที่ 8 – 14 สิงหาคม 2568 พบข้อความที่เข้ามาทั้งหมด 986,493 ข้อความ โดยมีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ (Verify) ทั้งสิ้น 815 ข้อความ

สำหรับช่องทางที่มีการพบเบาะแสมากที่สุด คือ ข้อความที่มาจาก Social Listening จำนวน 795 ข้อความ ตามมาด้วยการแจ้งเบาะแสผ่าน Line Official จำนวน 14 ข้อความ ช่องทาง Facebook จำนวน 2 ข้อความ และช่องทาง Twitter จำนวน 1 ข้อความ รวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด 184 เรื่อง และจากการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับผลการตรวจสอบกลับมาแล้ว 92 เรื่อง โดยในจำนวนนี้เป็นข่าวปลอมเกี่ยวกับอาชญากรรมออนไลน์ที่ได้รับความสนใจจากประชาชนมากที่สุด 10 อันดับ ได้แก่

อันดับที่ 1 : เรื่อง การบินไทย เปิดให้ซื้อขายหุ้นอีกครั้ง เริ่มต้น 3,000 บาท รับปันผล 930 บาท/วัน

อันดับที่ 2 : เรื่อง PTT ส่งลิงก์ สุ่มแจกของขวัญวันแม่ ลุ้นรับเงิน 10,000 บาท

อันดับที่ 3 : เรื่อง ธ.ออมสิน ปล่อยสินเชื่อ ผ่าน TikTok ชื่อ centershop

อันดับที่ 4 : เรื่อง ธนาคารออมสิน ปล่อยกู้สินเชื่อสวัสดิการ ผ่านเพจ สิnเชื่อ เงินด่วน-GSB Loans

อันดับที่ 5 : เรื่อง SET เปิดสอนคอร์สเรียนปูพื้นฐานหุ้นฟรี 21 วัน

อันดับที่ 6 : เรื่อง ให้คำปรึกษาด้านการลงทุนผ่าน LINE โดยทีมผู้เชี่ยวชาญ ภายใต้การรับรองจากสำนักงาน ก.ล.ต.

อันดับที่ 7 : เรื่อง ปปง. เปิดให้ลงทะเบียนขอทรัพย์สินคืนจากมิจฉาชีพ ผ่านเพจ Victim screening office

อันดับที่ 8 : เรื่อง ลงทะเบียนแอปฯ Digital Pension สำหรับข้าราชการเกษียณ ผ่านบัญชีไลน์ บำเหน็จบำนาญ

อันดับที่ 9 : เรื่อง PTT เปิดให้ลงทุนระยะสั้นและระยะยาว มีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลตลอดการลงทุน ผ่านไลน์ PTT Ord Shs official

อันดับที่ 10 : กรมการขนส่ง เปิดทำใบขับขี่ออนไลน์ ทำได้ทุกจังหวัด ถูกต้องตามกฎหมาย ผ่านเพจ อมรรัตน์

“เมื่อพิจารณาจากข่าวปลอมที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งประชาชนสนใจมากที่สุด จาก 10 อันดับข้างต้น พบว่าเป็นข่าวที่เกี่ยวกับการชักชวนให้ลงทุนโดยอ้างชื่อหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ การให้บริการของหน่วยงานรัฐ การให้บริการสินเชื่อของธนาคารรัฐ ซึ่งมีผลกระทบต่อทั้งตัวบุคคลที่เชื่อและแชร์ข้อมูลส่งต่อกันไปเป็นวงกว้าง ทำให้ประชาชนอาจตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ สร้างความเสียหายทั้งทรัพย์สินและข้อมูลส่วนบุคคลได้” นายเวทางค์ กล่าว 

สำหรับอันดับ 1 เรื่อง “การบินไทย เปิดให้ซื้อขายหุ้นอีกครั้ง เริ่มต้น 3,000 บาท รับปันผล 930 บาท/วัน” กระทรวงดีอี ได้ประสานงานร่วมกับ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กระทรวงคมนาคม ตรวจสอบพบว่าเป็นข้อมูลเท็จ โดยขอชี้แจงว่า เพจเฟซบุ๊กดังกล่าวเป็นเพจปลอมที่มิจฉาชีพสร้างขึ้น เพื่อใช้ในการหลอกลวงประชาชนและนักลงทุน ซึ่งได้มีการชักชวนร่วมลงทุนหรือซื้อขายหุ้นการบินไทย (THAI) ผ่านเพจเฟซบุ๊ก โดยทางบริษัทฯ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเพจดังกล่าวแต่อย่างใด และขอย้ำเตือนประชาชน หากพบเพจในลักษณะดังกล่าว อย่าหลงเชื่อ อย่ากดลิงก์ใด ๆ อย่าโอนเงิน หรือทำธุรกรรมใด ๆ เพื่อความปลอดภัยในทรัพย์สิน

นอกจากนี้กระทรวงดีอี ขอเตือนประชาชนว่าการให้ข้อมูลหรือติดตั้งแอปพลิเคชันใดๆ ที่ไม่ได้มาจากช่องทางอย่างเป็นทางการ อาจมีความเสี่ยงต่อการถูกขโมยข้อมูล หรือเงินในบัญชีธนาคารได้

อย่างไรก็ตาม ดีอี มีความห่วงใยประชาชน เรื่องความตระหนักรู้เท่าทันข่าวปลอมที่ถูกแพร่กระจายบนสื่อออนไลน์ โซเชียล ซึ่งหากขาดความรู้เท่าทัน ส่งต่อข้อมูลข่าวปลอม ทำให้เกิดการหลงเชื่อ สร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สิน หรือข้อมูลส่วนบุคคล และอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนในสังคมเป็นวงกว้าง ดังนั้นจึงควรตรวจสอบข้อเท็จจริงของข่าวหรือลิงก์เว็บไซต์ให้แน่ชัด

หากประชาชน พบข่าวน่าสงสัย ข้อมูลบิดเบือน สามารถแจ้งเบาะแส และตรวจสอบข่าวปลอมได้ที่ โทรสายด่วน 1111 ต่อ 87 (24 ชม.) หรือที่
| เว็บไซต์ www.antifakenewscenter.com
| Line ID: @antifakenewscenter
| Facebook : Anti-Fake News Center Thailand
| X : @AFNCThailand
| TikTok : @antifakenewscenter
| IG : afnc_thailand/

ระวัง!! กลโกงรูปแบบใหม่ “ส่งคลิปนักข่าวแนบลิงก์หลอกให้กด ให้สแกนคิวอาร์โค๊ด” หลอกดูดเงิน

ระวัง!! กลโกงรูปแบบใหม่ “ส่งคลิปนักข่าวแนบลิงก์หลอกให้กด ให้สแกนคิวอาร์โค๊ด” อย่ากด อย่าสแกน อันตราย มิจฉาชีพหลอกดูดเงิน

วันนี้ (15 สิงหาคม 2568) นายอนุกูล พฤกษนุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ด้วยปัจจุบันแก๊งมิจฉาชีพมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบกลโกงในการหลอกลวงประชาชนอยู่เสมอ แม้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการกวดขัน ปราบปรามแก๊งมิจฉาชีพอย่างต่อเนื่อง แต่มิจฉาชีพยังใช้กลอุบายในรูปแบบต่าง ๆ ที่แยบยลทำให้ประชาชนหลงเชื่อ ตกเป็นเหยื่อสูญเสียข้อมูลส่วนตัวและสูญเสียเงิน รัฐบาลขอเน้นย้ำให้ประชาชน ระวังรูปแบบภัยอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ มากยิ่งขึ้นเพื่อเป็นการเสริมสร้างเกราะป้องกันภัยให้ประชาชน จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

นายอนุกูล กล่าวว่า จากข้อมูลของตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) พบพฤติการณ์การกระทำของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีการดูดคลิปวิดีโอของนักข่าว และผู้ประกาศข่าว ที่มีเนื้อหาเตือนภัยกลโกงมิจฉาชีพ รวมถึงการให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับวิธีการขอรับเงินคืน

กรณีได้รับความเสียหายจากการถูกหลอกลวง โดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้นำ QR Code ซึ่งอ้างว่าเป็น “ศูนย์ยื่นสิทธิเฉลี่ยทรัพย์” หรือ “ทนายที่ปรึกษาด้านกฎหมาย” มาแนบไว้ในคลิปดังกล่าว พร้อมแนบช่องทางการติดต่อผ่านทางแอปพลิเคชันไลน์ โดยระบุข้อความ “ให้ติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อขอยื่นสิทธิรับเงินคืน” ซึ่งการกระทำของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในลักษณะนี้ ทำให้ประชาชนหรือผู้ที่เห็นคลิปเข้าใจว่า ช่องทางดังกล่าวสามารถช่วยเหลือผู้เสียหายจากการถูกหลอกลวงได้จริง จนทำให้มีประชาชนหลายรายหลงเชื่อ สแกนคิวอาร์โค๊ดติดต่อเข้ากลุ่มไลน์ของมิจฉาชีพได้รับความเสียหาย

“ขอประชาสัมพันธ์เตือนภัยประชาชน หากพบคลิปในลักษณะข้างต้น อย่าหลงเชื่อสแกน QR code หรือ แอดไลน์ใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากช่องทางดังกล่าวเป็นกลวงที่มิจฉาชีพสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกลวงซึ่งจะนำไปสู่การหลอกให้โอนเงินจนทำให้ได้รับความเสียหาย ขอแนะนำประชาชนที่ต้องการขอรับเงินคืนในกรณีที่ได้รับความเสียหายจากการถูกหลอกลวง

ขอให้ท่านตรวจสอบข้อมูลก่อนว่า คดีมีสิทธิยื่นเฉลี่ยทรัพย์คืนหรือไม่ โดยสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ที่ เว็บไซต์ www.amlo.go.th สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ป.ป.ง. หากพบว่ามีสิทธิในการขอเฉลี่ยทรัพย์คืนตามข้างต้น ให้ติดต่อและดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ ป.ป.ง. โดยตรง หรือติดต่อผ่านเว็บไซต์ของ ป.ป.ง. เท่านั้น สำหรับประชาชนท่านใดที่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพทางออนไลน์ หรือต้องการปรึกษาปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ สามารถโทรติดต่อได้ที่ ศูนย์ AOC 1441” นายอนุกูล เน้นย้ำ

สาวพิษณุโลกถูกหลอก 1.8 ล้าน! มิจฉาชีพแอบอ้างเป็น “เสี่ยเป้ บางกรวย” ลวงลงทุนเทรดทองผ่านไลน์

สาวพิษณุโลกช้ำ ถูกมิจฉาชีพปลอมโปรไฟล์ “เป้ บางกรวย” แชทจีบตีสนิท ก่อนหลอกลงทุนเทรดทองหมดตัวสูญเงิน 1.8 ล้าน 

วันที่ 24 ก.ค.68 ที่ เวลา 10.00 น. ที่สภ.บางกรวย จ.นนทบุรี น.ส.พร (นามสมมุติ) อายุ 54 ปี หญิงสาวจากจังหวัดพิษณุโลก ต้องสูญเงินสะสมกว่า 1,851,108 บาท  หลังถูกมิจฉาชีพใช้รูปและชื่อของ “เสี่ยเป้ บางกรวย” เจ้าของอู่รถเบนซ์และผู้ก่อตั้งเพจ “เป้ บางกรวย - นนทบุรีไม่ทิ้งกัน” แอบอ้างตัวตีสนิทผ่านแอปพลิเคชันไลน์ ก่อนลวงให้ร่วมลงทุนเทรดหุ้นทองคำ อ้างผลตอบแทนสูง ได้เงินครั้งแรกจริงจนหลงเชื่อ สุดท้ายหมดเงินเก็บ ขายทอง 17 บาท และยังไม่พอ ต้องโอนเงินเพิ่มอีกหลายรอบ จนมารู้ตัวว่าโดนหลอก ล่าสุดเจ้าตัวเดินทางมาที่ สภ.บางกรวย พร้อมเสี่ยเป้ตัวจริงเพื่อลงบันทึกประจำวันยืนยันความบริสุทธิ์ และขอให้ตำรวจเร่งติดตามจับกุมผู้แอบอ้าง โดยน.ส.พร แจ้งความไว้ที่สภ.บางระกำ จ.พิษณุโลก 

น.ส.พร ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.68  ที่ผ่านมาได้มีบุคคลหนึ่งทักมาทางไลน์โดยอ้างว่าทักผิด แต่ใช้ชื่อและภาพโปรไฟล์ของ “เสี่ยเป้ บางกรวย”  โดยตั้งชื่อในไลน์ว่า “เป้ สจ.บางกรวย” พร้อมอ้างว่าเป็นเจ้าของอู่ซ่อมรถหรู ได้ทักมาบอกตนว่า “ให้ไปเอารถเพราะซ่อมเสร็จแล้ว” ตนจึงรู้สึกแปลกใจเพราะไม่เคยรู้จักหรือใช้บริการอู่รถดังกล่าว จึงตอบกลับไปว่า “ทักผิดคนแล้ว” แต่ทางตัวเขากลับทักคุยเรื่อยๆ ก่อนจะอ้างว่าให้ไปคุยส่วนตัวอีกไลน์หนึ่งที่โปรไฟล์เป็นเสี่ยเป้ บางกรวยเช่นเดียวกัน  หลังจากเขาทักมาต่อก็มีการพูดคุยทุกวันและโทรหา ทั้งเช้า กลางวัน เย็น ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบเสมือนคนรู้ใจ ส่งภาพขณะออกกำลังกาย ลงพื้นที่ช่วยเหลือชาวบ้านชาว ประชุมงานต่างๆ  และกิจกรรมอื่นๆอีกมากมาย  ทำให้เริ่มไว้ใจโดยไม่รู้ตัว

ผ่านไปเกือบเดือนครึ่ง เสี่ยเป้ตัวปลอมเริ่มชักชวนให้ร่วมลงทุนในเพจเทรดหุ้นทองคำ โดยส่งภาพสลิปผลกำไรให้ดูเป็นระยะ พร้อมโทรศัพท์มาอธิบายขั้นตอนการลงทุน จนสุดท้ายตนตัดสินใจโอนเงินครั้งแรก 50,000 บาท และสามารถถอนกำไรได้จริง 6,000 บาท จึงเริ่มหลงเชื่อ

จากนั้นอีกฝ่ายได้ชวนให้เข้ากลุ่ม “วีไอพี” โดยอ้างว่าต้องลงทุนก้อนใหญ่ ตนจึงโอนเงินไปอีก 400,000 บาท และมีผลตอบแทนกลับมาบ้าง แต่เมื่อจะถอนเงิน กลับถูกบอกว่าต้องชำระ “ภาษี” ก่อนเบิกเงิน ตนจึงโอนเพิ่มอีก 400,000 กว่าบาท รวมเป็นเงินกว่า 800,000 บาท

แต่เรื่องยังไม่จบ มิจฉาชีพอ้างว่าตนกรอกเลขบัญชีผิด ต้องโอนเงินค้ำประกันอีกครั้งละ 400,000 บาท และบางครั้ง 500,000 บาท โดยล่อหลอกว่าหากโอนครบ จะสามารถเบิกเงินรวมกับกำไรทั้งหมดได้ถึง 2 ล้านบาท ทำให้ตนต้องขายทองคำที่สะสมไว้นานถึง 17 บาท และใช้เงินเก็บที่มีอยู่จนหมด  รวมยอดเงินที่สูญไปทั้งสิ้น 1,851,108 บาท  ทั้งนี้ตนยังได้มีการนำรถยนต์ 1 คัน ไปเข้าไฟแนนซ์เพื่อหาเงินมาให้มิจฉาชีพเพิ่มแต่โชคดีที่ทำเรื่องไม่ผ่าน

จุดแตกหักเกิดขึ้นเมื่อมิจฉาชีพโทรกลับมาอ้างว่า เงินของตนที่มียอดรวม 2 ล้านกว่าบาทนั้น เข้าข่ายการฟอกเงิน และต้องโอนเงินเพิ่มอีก 400,000 บาทเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ ตนเริ่มสงสัยว่าถูกหลอก แต่คนร้ายยังส่งรูปการลงพื้นที่ของเสี่ยเป้กับนายสาโรจน์ นาคสุขปาน ปลัด อบต.บางขนุน มาให้ดู เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ตนจึงส่งภาพนั้นให้แฟนน้องสาวดู  ปรากฏว่าแฟนของน้องสาวรู้จักกับท่านปลัดจริงๆจึงทำการติดต่อไปยังปลัดสาโรจน์ จึงทราบว่าถูกหลอก ก่อนทางท่านปลัดจะติดต่อเสี่ยเป้ตัวจริงและจึบได้มีการพูดคุยจนเข้าใจกันว่า มีคนแอบอ้างใช้ชื่อ และภาพมาหลอกตน

ตนได้เข้าแจ้งความไว้ที่ สภ.บางระกำ จ.พิษณุโลก เมื่อวันที่ 15 ก.ค.68 เพื่อดำเนินคดีกับมิจฉาชีพที่หลอกลวงตน และในวันนี้ ได้เดินทางมายัง สภ.บางกรวย พร้อมกับเสี่ยเป้ตัวจริง และปลัด อบต.บางขนุน เพื่อแจ้งความซ้ำอีกครั้งและยืนยันว่าเสี่ยเป้ตัวจริงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการหลอกลวงในครั้งนี้ 

ด้านนายโชติอนันต์ หรือ“เสี่ยเป้ บางกรวย” เปิดเผยว่า ตนรู้สึกเสียใจอย่างมากที่มีคนเดือดร้อนเพราะมีบุคคลนำชื่อและภาพตนไปใช้หลอกลวง โดยที่ผ่านมาเคยถูกแอบอ้างมาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่เคยรู้ว่ามีผู้เสียหายต้องสูญเงินสูงขนาดนี้ ตนยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องใด ๆ ทั้งสิ้น และวันนี้เดินทางมาด้วยตนเองเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ พร้อมจะติดตามคดีนี้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ  ยุคนี้ภัยออนไลน์มาในทุกรูปแบบ อยากฝากเตือนพี่น้องประชาชนว่าอย่ารีบ อย่าเชื่อ อย่าโอน ตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนจะตัดสินใจทำธุรกรรมกับใคร ทั้งนี้อยากฝากถึง ”เสี่ยเป้“ ตัวปลอมว่า “หากยังไม่หยุด เดี๋ยวเราคงได้เจอกันแน่

ระวังมิจฉาชีพ! สร้างบัญชี TikTok ปลอม แอบอ้างกรุงไทยปล่อยกู้ หลอกขอข้อมูลส่วนตัว/การเงินและให้โอนเงินเพื่อทำธุรกรรม

"กรุงไทย" ระวังมิจฉาชีพ! สร้างบัญชี TikTok ปลอม แอบอ้างกรุงไทยปล่อยกู้ หลอกขอข้อมูลส่วนตัว/การเงินและให้โอนเงินเพื่อทำธุรกรรม

วันที่ 23 ก.ค.68 ธนาคารกรุงไทย แจ้งเตือนระวังมิจฉาชีพ! สร้างบัญชี TikTok ปลอม แอบอ้างกรุงไทยปล่อยกู้ หลอกขอข้อมูลส่วนตัว/การเงินและให้โอนเงินเพื่อทำธุรกรรม

Social Media ธนาคารกรุงไทยของจริง สังเกตได้จากสัญลักษณ์ verified และจำนวนผู้ติดตาม

ลูกค้ากรุงไทยสอบถามหรือแจ้งเหตุได้ที่ โทร. 02-111-1111 กด 108 ตลอด 24 ชั่วโมง

#Krungthai #กรุงไทย #ทันมุกทุกมิจ #มิจฉาชีพ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้