"วราวุธ" ประณามมิจฉาชีพในคราบ จนท.เทศบาล ปลอมบัตรคนกลุ่มเปราะบาง กดเงินสูญ 2 ล้าน

”วราวุธ“ ประณาม มิจฉาชีพในคราบ จนท. เทศบาลพิจิตร ปลอมบัตรคนกลุ่มเปราะบาง-กดเงิน สูญ 2 ล้าน วอนสังคมช่วยสอดส่อง อย่าซ้ำเติม

เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) กล่าวถึงกรณีตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) จับกุมเจ้าหน้าที่เทศบาล 3 ราย ในจังหวัดพิจิตร เนื่องจากร่วมกันทำเอกสารปลอมจากบัตรประจำตัวประชาชนของกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ คนพิการ ผู้ป่วยติดเตียง ผู้มีรายได้น้อย แล้วปลอมแปลงเอกสารเพื่อออกหนังสือรับรองเงินเดือนอ้างเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐ ประกอบการขออนุมัติบัตรสินเชื่อเงินสด เพื่อกดเงินสดออกมาใช้จ่ายส่วนตัว พบความเสียหายประมาณ 2 ล้านบาทนั้น ในฐานะที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มีหน้าที่ให้การช่วยเหลือดูแลพี่น้องกลุ่มเปราะบาง ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงที่จะตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพ ขอประณามการกระทำดังกล่าว ผู้ก่อเหตุขาดมนุษยธรรมเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งเป็นการกระทำความผิดฐานปลอมเอกสาร ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ต้องระวางโทษสูงสุดทั้งจำทั้งปรับ 

เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้มีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นซ้ำ ขอให้คนในครอบครัวของพี่น้องกลุ่มเปราะบาง พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ช่วยกันเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น ตรวจสอบบุคคลหรือหน่วยงานที่มาขอเอกสารประจำตัว อาทิ บัตรประจำตัวประชาชน บัตรคนพิการ เพื่อนำไปประกอบการทำธุรกรรม สัญญากู้กับสถาบันการเงิน รวมถึงการมอบให้ผู้อื่นไปทำธุรกรรมแทน การเซ็นรับรอบเอกสารทุกประเภท พร้อมขอให้สังคมช่วย สอดส่องเป็นหูเป็นตา ไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำเติมกับคนกลุ่มเปราะบาง ทั้งนี้ หากพี่น้องกลุ่มเปราะบางที่มีข้อสงสัย ได้รับความเสียหาย ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน ขอให้โทรแจ้ง ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) ผ่านสายด่วน พม. โทร. 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง 
 

"เคนโด้ช่วยด้วย" แจ้งความถูกมิจฉาชีพแอบอ้างรูป หลอกทำภารกิจโอนเงิน เสียหายหลายราย

"เคนโด้ช่วยด้วย" แจ้งความถูกมิจฉาชีพแอบอ้างรูป หลอกทำภารกิจโอนเงิน เสียหายหลายราย

วันที่ 3 มิถุนายน 2568 ที่ สน.ทองหล่อ นายเกรียงไกรมาศ พจนสุนทร หรือ "เคนโด้" เจ้าของเพจดัง "เคนโด้ช่วยด้วย" ได้เดินทางเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ หลังพบว่ารูปถ่ายของตนเองถูกกลุ่มมิจฉาชีพนำไปใช้แอบอ้างในกลุ่มแอปพลิเคชัน LINE เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในการหลอกลวงให้ประชาชนร่วมลงทุนทำภารกิจโอนเงิน โดยมีผู้เสียหายหลายรายหลงเชื่อ

นายเกรียงไกรมาศ เปิดเผยว่า ตนได้รับข้อมูลจากแฟนคลับว่ามีการนำรูปโปรไฟล์ของตนไปใช้ในกลุ่ม LINE โดยอ้างว่าเป็นทีมงานของ LINE ประเทศไทย พร้อมเชิญชวนให้สมาชิกทำภารกิจเพื่อสร้างรายได้ ซึ่งหนึ่งในแฟนคลับของตนได้ทดลองลงทุนไป แต่กลับไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่กล่าวอ้าง เมื่อทวงถามกลับถูกบ่ายเบี่ยงและบล็อกช่องทางในที่สุด 

ด้วยความสงสัย แฟนคลับจึงติดต่อมาสอบถามนายเกรียงไกรมาศโดยตรงว่ากลุ่ม LINE ดังกล่าวเป็นของตนจริงหรือไม่ เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่ารูปโปรไฟล์ของตนปรากฏอยู่ในกลุ่ม LINE นั้นจริง 

นายเกรียงไกรมาศจึงตัดสินใจเข้าแจ้งความดำเนินคดี เพราะเห็นว่าเป็นการหลอกลวงและแอบอ้าง สร้างความเสียหายต่อประชาชนผู้ไม่รู้เท่าทัน โดยมั่นใจว่ากลุ่ม LINE ดังกล่าวน่าจะเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมาสร้างความน่าเชื่อถือ

อึ้ง! มิจฉาชีพฉวยโอกาสรับเงินบริจาคช่วยกองทัพเขมร

“ฮุน เซน” ปั่นกระแสรักชาติพ่นพิษ! มิจฉาชีพฉวยโอกาสแฝงตัวรับเงินบริจาคชาวเขมร อ้างช่วยกองทัพกัมพูชารบทหารไทย

เมื่อวันที่ 3 มิ.ย.68 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ทางการกัมพูชา ออกมาเตือนประชาชนให้ระวังมิจฉาชีพ ฉวยโอกาสที่เกิดกระแสรักชาติ ขอรับเงินบริจาค โดยอ้างว่า เพื่อช่วยเหลือกองทัพกัมพูชา ในการเผชิญหน้ากับทหารไทย ในพื้นที่แนวหน้าชายแดน

รายงานข่าวแจ้งว่า กระแสรักชาติดังกล่าว เกิดขึ้นภายหลังจากนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภาของกัมพูชา ได้กล่าวปลุกกระแสรักชาติกัมพูชา พร้อมทั้งเรียกร้องให้ชาวกัมพูชาทุกคนบริจาคเงินช่วยเหลือแก่ทหารที่ประจำการอยู่ในแนวหน้า ซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับทหารไทย เพื่อแสดงออกถึงความเป็นเอกภาพของประชาชนในประเทศ

พร้อมกันนี้ รายงานข่าวเผยว่า ได้มีผู้มีฐานะดีและมีชื่อเสียงชาวกัมพูชาหลายคน ประกาศบริจาคเงินให้แก่กองทัพ เช่น นายกิ๊ต เม็ง ประธานหอการค้ากัมพูชา และดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอของบริษัทรอยัลกรุ๊ป บริจาคเงินให้แก่กองทัพกัมพูชา จำนวน 500,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นสกุลเงินกัมพูชา จำนวนราว 1.99 พันล้านเรียลกัมพูชา (คิดเป็นเงินไทยราว 16.5 ล้านบาท)

ทั้งนี้ รายงานข่าวเผยว่า ได้มีผู้ใช้งานเพจเฟซบุ๊กที่เป็นตัวตนปลอมเป็นจำนวนมากในกัมพูชา ประกาศขอรับเงินบริจาคโดยอ้างว่า เพื่อช่วยเหลือแก่ทหารกัมพูชาในแนวหน้าหลายบัญชีผู้ใช้งานด้วยกัน จนทางการกัมพูชา ต้องออกมาประกาศแจ้งเตือน ให้ประชาชนระมัดระวังการบริจาคเงินดังกล่าว

ประเด็นร้อนเศรษฐกิจรอบวัน 23 พฤษภาคม 2568 

ประเด็นร้อนเศรษฐกิจรอบวัน 23 พฤษภาคม 2568 

-วันที่ 23 พฤษภาคม 2568  ผู้ใช้บริการทรู 48 ล้านเลขหมาย ทยอยได้รับ SMS แจ้งชดเชยระบบล่ม โดยข้อความระบุว่า ทรู ขออภัยอย่างสูงในความไม่สะดวกจากการใช้บริการวันที่ 22 พฤษภาภาคม และขอชดเชยด้วยการเน็ตฟรี 10 GB พร้อมโทรฟรีทุกเครือข่าย 100 นาที ใช้ได้ 24 ชั่วโมง และให้กดรับสิทธิ์ ภายใน 24 พฤษภาคมนี้ มีรายงานว่า กสทช.ได้สั่งให้ ทรู ทบทวนมาตรการเยียวยาใหม่ หลังพบว่า ผู้ใช้บริการไม่น่าพอใจกับมาตรการเยียวยา โดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้แพ็คเก็จเน็ตอัลลิมิเต็ด ต่อมา ทรู แจ้งว่า กำลังหารือถึงมาตรการเยียวยาใหม่ เมื่อได้ข้อสรุปจะแจ้งให้ทราบ มีรายงานว่า ในวันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม 2568 กสทช.จะประชุมร่วมกับ ทรูเพื่อสรุปการเยียวบา

-กรมบัญชีกลางเผยตรวจสอบพบข้อคลาดเคลื่อนในการโอนเงินเข้าบัญชีของผู้รับบำนาญผ่านธนาคารกรุงไทยวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ซึ่งมีผู้รับบำนาญบางรายได้รับเงินซ้ำ บางรายไม่ได้รับเงิน ขณะนี้ธนาคารกรุงไทยอยู่ระหว่างดำเนินการโอนเงินให้แก่ผู้ที่ยังไม่ได้รับเงินเป็นลำดับแรก สำหรับผู้ที่ได้รับเงินซ้ำ ธนาคารจะดึงเงินกลับโดยระบบ ซึ่งไม่ต้องดำเนินการใดๆ ทั้งนี้จะไม่มีการโทรศัพท์ติดต่อหาผู้รับบำนาญโดยตรง หากได้รับโทรศัพท์ติดต่อขอให้โอนเงินคืนขออย่าหลงเชื่อ และไม่ดำเนินการใดๆ

 -ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แจ้งเตือนลูกค้าหลังพบมิจฉาชีพแฝงตัวเข้ากลุ่มแพลตฟอร์มออนไลน์ในการหารายได้พิเศษต่างๆ เพื่อชักจูงลูกค้าธนาคารให้เปิดบัญชีใหม่ โดยมีข้อความการเสนอผลตอบแทนที่สูง ปัจจุบันพบว่าบัญชีเงินฝากลูกค้าบางรายเข้าข่ายถูกใช้ทำธุรกรรมที่เกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บัญชีม้า) ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อลูกค้าเป็นจำนวนมาก ขอให้เกษตรกรลูกค้าและประชาชนทั่วไปอย่าหลงเชื่อเปิดบัญชี

-ความคืบหน้าของการดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของกระทรวงการคลังที่ร่วมกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ผลการดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566 – 22 พฤษภาคม 2568 มีประชาชนที่เป็นหนี้นอกระบบได้รับอนุมัติให้ความช่วยเหลือทางการเงินไปแล้วจำนวน 77,929 ราย ยอดอนุมัติรวมทั้งสิ้น 2,400.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากผลการดำเนินการ ณ วันที่ 7 พฤษภาคม 2568 จำนวน 2,406 ราย และมียอดอนุมัติเพิ่มขึ้น 53.02 ล้านบาท

 

 

 

ธ.ก.ส.เตือนอย่าหลงเปิดบัญชีม้า เสี่ยงถูกมิจฉาชีพใช้ข้อมูลส่วนตัวก่ออาชญากรรม

ธ.ก.ส.เตือนอย่าหลงเปิดบัญชีม้า เสี่ยงถูกมิจฉาชีพใช้ข้อมูลส่วนตัวก่ออาชญากรรม

วันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แจ้งเตือนลูกค้าหลังพบมิจฉาชีพแฝงตัวเข้ากลุ่มแพลตฟอร์มออนไลน์ในการหารายได้พิเศษต่าง ๆ เพื่อชักจูงลูกค้าธนาคารให้เปิดบัญชีใหม่ โดยมีข้อความการเสนอผลตอบแทนที่สูง ซึ่งปัจจุบันพบว่าบัญชีเงินฝากลูกค้าบางรายเข้าข่ายถูกใช้ทำธุรกรรมที่เกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บัญชีม้า) ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อลูกค้าเป็นจำนวนมาก จึงขอให้เกษตรกรลูกค้าและประชาชนทั่วไปอย่าหลงเชื่ออย่างเด็ดขาด รวมถึงไม่เปิดบัญชีธนาคารในนามตนเองให้บุคคลอื่นไม่ว่าจะเป็นเพื่อน คนรู้จักหรือบุคคลที่ไม่คุ้นเคย และระมัดระวังในการให้ข้อมูลส่วนตัวในสื่อออนไลน์หรือเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ พร้อมทั้งไม่ให้เอกสารสำคัญ เช่น บัตรประชาชน สมุดบัญชีธนาคาร เพราะอาจถูกกลุ่มมิจฉาชีพหลอกให้เปิดบัญชีม้าและนำข้อมูลส่วนตัวไปใช้ในทางมิชอบจนทำให้ได้รับความเสียหาย ซึ่งธนาคารจะดําเนินการรวบรวมข้อมูลและดำเนินการเอาผิดตามขั้นตอนทางกฎหมายกับผู้ที่แอบอ้างในลักษณะดังกล่าวต่อไป

พร้อมกันนี้ ธ.ก.ส. ขอย้ำเตือนให้ลูกค้าเพิ่มความระมัดระวังในการติดต่อหรือทำธุรกรรมออนไลน์ เนื่องด้วยปัจจุบันมิจฉาชีพมีรูปแบบการหลอกลวงที่หลากหลาย หากไม่แน่ใจในข้อมูลที่ได้รับมา โปรดติดต่อธนาคารโดยตรง หรือสอบถาม รายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ BAAC ศูนย์รับแจ้งเหตุภัยทางการเงินจากมิจฉาชีพ Call Center : 02 555 0555 กด 111  ได้ตลอด 24 ชม. และติดตามข้อมูลและข่าวสารด้านผลิตภัณฑ์และบริการผ่านช่องทางการสื่อสารหลักของธนาคาร ได้แก่เว็บไซต์www.baac.or.th Facebook Page “ธกส BAAC Thailand” LINE Official: @baacfamily และTikTok: baacthailand

#ระวังบัญชีม้า #เตือนภัยออนไลน์ #มิจฉาชีพ #บัญชีม้า #อาชญากรรมทางไซเบอร์ #ห้ามเปิดบัญชีแทนคนอื่น #อย่าหลงเชื่อ #ข่าวเตือนภัย #BAAC #ธกส #ข่าววันนี้

"เคทีซี" แนะ 4 วิธีไม่เป็นเหยื่อมิจฉาชีพ ตรวจสอบข้อมูลทุกครั้ง-โอนอย่างมีสติ-สอบถามก่อนคลิก-อย่าตื่นตระหนก

ในยุคที่การทำธุรกรรมทางการเงินสะดวกรวดเร็วเพียงปลายนิ้ว ความเสี่ยงที่มาพร้อมความสะดวกนั้นก็เพิ่มสูงขึ้นไม่แพ้กัน “ภัยไซเบอร์” หรือการหลอกลวงผ่านช่องทางดิจิทัล กลายเป็นหนึ่งในปัญหาหลักที่คนไทยต้องเผชิญทุกวันไม่เว้นแม้กระทั่งเด็ก เยาวชน คนทำงาน และผู้สูงอายุ ที่ล้วนตกเป็นเป้าหมายของมิจฉาชีพที่พัฒนากลโกงหลอกลวงอย่างต่อเนื่อง

วันที่ 19 พฤษภาคม 2568 นายไรวินทร์ วรวงษ์สถิต ผู้บริหารสูงสุดสายงานควบคุมงานปฏิบัติการและปฏิบัติการร้านค้า “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เคทีซี ในฐานะผู้ให้บริการบัตรเครดิตได้ศึกษาและพัฒนาระบบบริหารการป้องกันภัยทุจริตให้มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูลสมาชิกเป็นสำคัญ พร้อมระบุว่ากลโกงในปัจจุบันไม่ได้อาศัยเพียงเทคโนโลยีขั้นสูงเท่านั้น แต่ใช้อารมณ์ของเหยื่อเป็นเครื่องมือสำคัญโดยกลโกงที่พบบ่อย ได้แก่

-เว็บไซต์ปลอม (Phishing): หลอกให้กรอกข้อมูลส่วนตัว เช่น บัญชีธนาคาร รหัส OTP (One Time Password) หรือข้อมูลบัตรเครดิต โดยอ้างว่าเป็นหน่วยงานรัฐ ธนาคาร หรือแพลตฟอร์มยอดนิยม

-ปลอมเป็นเจ้าหน้าที่: โทรมาอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานรัฐ แจ้งบัญชีผิดปกติ หรือ มีปัญหา พร้อมเร่งให้โอนเงินเพื่อเคลียร์ปัญหา

-ลิงก์หลอกให้โอน: ส่งข้อความแจ้งปัญหาให้ผู้เสียหายกดลิงก์เข้าไปแก้ไข แต่กลายเป็นการกรอกข้อมูลให้มิจฉาชีพไปใช้ต่อ

ยกตัวอย่าง เคสผู้สูงอายุได้รับข้อความมีพัสดุตกค้าง และต้องกดลิงก์เพื่อตรวจสอบจากนั้นถูกหลอกให้กรอกข้อมูลบัตรเครดิต และรหัส OTP เพียงไม่กี่นาทีเงินในบัญชีถูกดูดออกไปทันทีเกือบ 50,000 บาท

นายไรวินทร์ ย้ำว่า ปัจจุบันรหัส OTP นอกจากตัวเลข 6 หลักแล้วยังมีรายละเอียดอื่นๆเช่น การบอกที่มาว่าเป็นค่าใช้จ่ายอะไร เรียกเก็บจากร้านค้าที่ไหน และราคาเท่าไหร่ ดังนั้นอยากให้ตรวจสอบข้อมูลที่ถูกต้องก่อนกรอกรหัส OTP ทุกครั้ง และหากพบข้อความหรือรายการที่น่าสงสัยไม่ควรรีบโอนเงินหรือกดลิงก์ใดๆ และติดต่อกลับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันทีเพื่อความปลอดภัยของทรัพย์สิน

อีกกรณีที่พบคือ ผู้ใช้งานรายหนึ่งทำธุรกรรมออนไลน์กับผู้ไม่รู้จัก ปลายทางส่งลิงก์อ้างว่าเป็นสลิปโอนเงิน เมื่อกดลิงก์กลับเป็นเว็บไซต์ปลอมที่หลอกขอข้อมูลบัญชีทำให้เงินหายไปกว่า100,000 บาทภายในไม่กี่นาที ดังนั้นสิ่งที่อยากเน้นย้ำและแนะนำให้ทุกคนปฏิบัติตาม 4 วิธีดังนี้

1.อย่ากรอกข้อมูลใดๆ ผ่านลิงก์ที่ส่งมาทาง SMS หรือ LINE

หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์ที่แนบมาในข้อความหรือทางแชทโทรศัพท์มือถือ โดยเฉพาะจากแหล่งที่ไม่น่าไว้วางใจหรืออ้างเป็นธนาคาร หน่วยงานราชการ เพราะอาจนำไปสู่การถูกขโมยข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลทางการเงิน

2.ตรวจสอบชื่อบัญชีปลายทางก่อนโอนเสมอ

ทุกครั้งที่ทำการโอนเงิน ควรตรวจสอบชื่อบัญชีปลายทางว่าตรงกับหน่วยงาน หรือ บุคคลที่เชื่อถือได้หรือไม่ หากชื่อแปลก ไม่คุ้น ต้องหยุดและพิจารณาทันทีก่อนกดโอน

3.โทรหาหน่วยงานโดยตรงเพื่อยืนยันข้อมูล

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับบัญชีหรือการทำธุรกรรม อย่าตอบกลับหรือโทรกลับเบอร์โทรศัพท์ที่ผู้หลอกส่งมา แต่ให้ติดต่อสถาบันการเงินหรือหน่วยงานต้นทางโดยตรงเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง

4.อย่าตื่นตระหนก อย่าทำอะไรเร็วเกินไป

ความเร่งรีบและความตกใจเป็นจุดอ่อนที่มิจฉาชีพใช้เป็นเครื่องมือ ดังนั้นต้องตั้งสติ และตรวจสอบก่อนตัดสินใจอย่างสม่ำเสมอ

การรู้เท่าทัน และมีสติทุกครั้งในการทำธุรกรรมถือเป็นเกราะชั้นแรกที่จะช่วยให้เรารอดพ้นจากกลโกงของมิจฉาชีพ เพราะปัจจุบันมิจฉาชีพไม่ได้ใช้เทคโนโลยีหลอกลวงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังอาศัยความเร่งรีบ และความกลัวของเหยื่อเป็นเครื่องมือในการหลอกลวงด้วย ดังนั้นการมีสติอยู่กับตัวเสมอ คิดให้รอบคอบ และตรวจสอบข้อมูลให้ครบถ้วนก่อนดำเนินการทุกครั้งเป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำ

“อย่าให้เพียงเสี้ยววินาทีของความใจร้อน กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความเสียหายที่ต้องใช้เวลานับเดือนในการแก้ไข”

หากพบข้อสงสัยเกี่ยวกับบัตรเครดิตเคทีซี สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC PHONE โทรศัพท์ 02-123-5000 หรือ https://www.ktc.co.th สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีสามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ 

 

ตำรวจท่องเที่ยวขอนแก่นรวบสาวมิจฉาชีพ อ้างชื่อ "ดร.นิเวศน์" กูรูเทรดหุ้น หลอกเหยื่อสูญเงิน 34 ล้าน

ตำรวจท่องเที่ยวขอนแก่นรวบสาวมิจฉาชีพ อ้างชื่อ "ดร.นิเวศน์" กูรูเทรดหุ้น หลอกเหยื่อสูญเงิน 34 ล้าน

เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 16 พ.ค.2568 พ.ต.อ.แมน รถทอง ผกก.สืบสวน บช.ทท. พร้อมด้วย พ.ต.ท.เจษฎา ทองทา รอง ผกก.สืบสวน บช.ทท. , พ.ต.ท.ปิยะพงษ์ รักษา รอง ผกก.สืบสวน บช.ทท. และ พ.ต.ท.ณัฐภัทร สุขชื่น สว.กก.สืบสวน บช.ทท.  นำกำลัง เข้าจับกุม น.ส.ธนภรณ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 152  ม.1 ต.สร้างคอม อ.สร้างคอม จ.อุดรธานี ตามหมายจับศาลจังหวัดขอนแก่น ที่ 857/2567 ฐานความผิดฐานสนับสนุนการกระทำความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นเท็จสนับสนุนฟอกเงิน เปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ของตนโดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้อง โดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด

พ.ต.อ.แมน รถทอง ผกก.สืบสวน บช.ทท. กล่าวว่า ตามนโยบายของ  พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผบช.ทท. , พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รอง ผบช.ทท. ดำเนินการสืบสวนสอบสวนผู้ต้อวหาตามหมายจับและการกระทำผิดต่างๆในพื้นที่จนกระทั่งสืบทราบว่าช่วงระหว่างเดือน ธ.ค.2566 ถึงเดือน มี.ค.2567 มีผู้เสียหายซึ่งได้ใช้งานโทรศัพท์มือถือของตน ไปพบเฟซบุ๊กคลิปสอนการลงทุนเทรดหุ้นของอาจารย์ นิเวศน์ เหมวชิราวรากร (ตัวปลอม) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงในเรื่องการแนะนำการลงทุนเทรดหุ้น โดบซึ่งผู้เสียหายเคยเห็นคลิปสอนการลงทุนของบุคคลดังกล่าวมาก่อน จึงติดตามดูเฟซดังกล่าวได้ระยะหนึ่ง ยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะเข้าร่วมลงทุน 

"กระทั่งวันที่ 11 ธ.ค.256 เกิดความเชื่อมั่นจึงสมัครลงทะเบียนโอนเงินลงทุนโดยมีแอพพลิเคชั่นไลน์ชื่อ นรินทร์ อินทร โปรไฟล์เป็นรูปหญิงหน้าตาดี แซทไลน์คุยแล้วเชิญเข้ากลุ่มไลน์ชื่อว่า “ทีมซื้อขายสมิท VIP1” ซึ่งภายในกลุ่มจะมีไลน์โปรไฟล์รูปอาจารย์นิเวศน์ฯ กับไลน์สมาชิกอยู่ในกลุ่มอีกประมาณ 100 คนขึ้นไป ซึ่งในช่วงเวลากลางคืนจะมีวีดีโอคลิปอาจารย์นิเวศน์ สอนการลงทุนเทรดหุ้นทุกคืนและแนะนำให้สมาชิกไปทดลองเทรดดู ทำให้หลงเชื่อยิ่งขึ้น ในแต่ละวันอาจารย์นิเวศน์ฯ (ตัวปลอม) จะระบุชื่อหุ้นส่งลงในกลุ่ม พร้อมแนะนำการซื้อ ส่วนการขายจะมีแอดมิน นรินทร์ฯ ลงข้อความแจ้งให้ทราบ เมื่อสมาชิกสนใจ แอดมินที่ชื่อนรินทร์ส่งลิงค์ลงในกลุ่มให้สมาชิกสมัครลงทะเบียน เมื่อกดลิงค์จะเข้าไปในกลุ่มไลน์ Enreal มีภาพข้อความเชิญชวนลงทุนเทรดหุ้นว่า ตลาดโลกที่เต็มไปด้วยโอกาส ต้นทุนทำธุรกรรมต่ำมากสำหรับหุ้นทั่วโลก/ดัชนีหุ้นทองคำ/ฯลฯ ของขวัญในเวลาจำกัด การฝากและถอนเงินตลอด 24 ชั่วโมง และที่มุมด้านล่างบอกช่องทางกดติดตาม Android และ ios เพื่อสมัครลงทะเบียน โดยมี แอดมินแนะนำการลงทะเบียนพร้อมส่งตัวอย่างที่การสมัครลงทะเบียนสำเร็จแล้วมาให้ดู ผู้เสียหายหลงเชื่อได้โอนเงินไปที่บัญชีของกลุ่มคนร้ายหลายครั้ง แล้วไม่สามารถถอนเงินได้ รวมมูลค่าความเสียหาย จำนวน 34,267,217 บาท"

พ.ต.อ.แมน กล่าวต่ออีกว่า ผู้เสียหายจึงได้เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ดำเนินคดีกับคนร้าย ชุดสืบสวนจึงได้สืบสวนสอบสวนจนสืบทราบว่า น.ส.ธนภรณ์ (สงวนนามสกุล) เป็นผู้ร่วมขบวนการของแก๊งมิจฉาชีพที่หลอกลวงผู้เสียหาย ทำหน้าที่เปิดบัญชีม้า จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลออกหมายจับ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน กก.สืบสวน บช.ทท. ได้ลงพื้นที่สืบสวนทราบว่า น.ส.ธนภรณ์ ผู้ต้องหาตามหมายจับดังกล่าว ได้หลบหนีมากบดานอยู่ ใน อ.สร้างคอม จ.อุดรธานี จึงได้เดินทางมาตรวจสอบ พบ น.ส.ธนภรณ์ ผู้ต้องหา อยู่บริเวณหน้าบ้านหลังดังกล่าว จึงได้ควบคุมตัวมาสอบสวนที่ ตำรวจท่องเที่ยวขอนแก่นจากการตรวจสอบยังพบว่า น.ส.ธนภรณ์ ยังมีหมายจับของศาลจังหวัดลพบุรีฐาน ร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น โดยมิได้กระทำต่อประชาชนแต่เป็นการกระทำต่อบุคคลใด บุคคลหนึ่ง , ร่วมกันฉ้อโกง , ผู้ใดเปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ของตนโดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้อง หรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้หรือยืมใช้หมายเลขโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตน ทั้งนี้ โดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด ก่อนที่จะควบคุมตัวนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองขอนแก่นเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

CIB เตือนภัยมิจฉาชีพชักชวนเข้ากลุ่มร้านค้าปลอม หลอกทำภารกิจ

CIB เตือนภัยมิจฉาชีพชักชวนเข้ากลุ่มร้านค้าปลอม หลอกทำภารกิจ

ปัจจุบันมีมิจฉาชีพได้ทำทีเป็นตัวกลางในการรวมกลุ่มผู้ค้าที่อยากจะขายของทางออนไลน์ โดยเริ่มจากติดต่อไปสั่งซื้อสินค้ากับผู้ค้า มีการโอนเงินให้จริงเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ก่อนชักชวนให้เข้ากลุ่มของแอปพลิเคชันไลน์ ที่จะมีหน้าม้าติดต่อซื้อขายของกันในกลุ่มดังกล่าว เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อ และทำการโพสต์ขายสินค้าในกลุ่ม ก็จะมีหน้าม้าทักขอซื้อสินค้า แต่ก่อนจะโอนเงินให้ จะมีมิจฉาชีพทำทีเป็นแอดมินทักมาให้ผู้เสียหายลงทะเบียนเพื่อเปิดร้านค้าสำหรับขายของ โดยคิดค่าธรรมเนียม

เมื่อผู้เสียหายหลงกลลงทะเบียนเปิดร้านค้า ทางแอดมินจะเริ่มชักชวนให้ทำภารกิจ และให้โอนเงินในจำนวนที่มากขึ้น โดยสร้างแพลตฟอร์มปลอมขึ้นมา พร้อมสร้างตัวเลขที่อ้างว่าเป็นรายได้เข้ามาในระบบ จึงยิ่งทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินร่วมทำภารกิจอยู่อย่างต่อเนื่อง กว่าจะรู้ตัวว่าถูกหลอก ก็เสียเงินตั้งแต่หลักหมื่นถึงหลักล้าน

ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) จึงขอเตือนภัย อย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพในลักษณะดังกล่าว และก่อนการเข้าร่วมกลุ่มร้านค้า หรือโอนเงินเพื่อทำภารกิจใดๆ ต้องมีสติ ควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือ และความเป็นไปได้ให้ดีก่อนทุกครั้ง ทั้งนี้หากตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพทางออนไลน์สามารถติดต่อ สายด่วนศูนย์ AOC โทร. 1441 หรือ www.thaipoliceonline.go.th

-ขอขอบคุณเพจตำรวจสอบสวนกลาง (CIB)

#มิจฉาชีพ #หลอกทำภารกิจ #ตำรวจสอบสวนกลาง #CIB #ข่าววันนี้ #สยามรัฐออนไลน์ #สยามรัฐ

เตือนภัย "ปอยเปตหน้าใหม่"! มิจฉาชีพ ตีเนียนผ่านวิดีโอคอล แอบอ้างตำรวจหลอกโอนเงิน

วันที่ 7 พ.ค.68 เพจเฟซบุ๊ก ตำรวจไซเบอร์ – บช.สอท. โพสต์ภาพ พร้อมข้อความระบุว่า...

ระวัง! ปอยเปตหน้าใหม่ ตีเนียนผ่านจอ วิดีโอคอลหลอกเหยื่อ

ตำรวจไซเบอร์แจ้งเตือนประชาชน ระวังมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ วิดีโอคอลหลอกเหยื่อว่ากระทำผิดกฎหมาย พร้อมข่มขู่ให้ตกใจ และเร่งรัดให้ตัดสินใจ เพื่อหลอกให้เหยื่อโอนเงิน

แนวทางป้องกัน

* อย่าหลงเชื่อวิดีโอคอลจากคนแปลกหน้าที่อ้างเป็นเจ้าหน้าที่

* ตำรวจจริงไม่มีการวิดีโอคอลเพื่อขอข้อมูลส่วนตัว และเรียกรับเงินในการช่วยเหลือทางคดี

* หากสงสัยว่าเป็นมิจฉาชีพ ให้บันทึกหลักฐานและแจ้งเบาะแสได้ที่ สายด่วน 1441 หรือสถานีตำรวจใกล้บ้าน

แจ้งความออนไลน์ได้ที่ www.thaipoliceonline.go.th

หากมีข้อสงสัย สอบถามได้ที่สายด่วน 1441 ตลอด 24 ชั่วโมง

#ตำรวจไซเบอร์ #cyberpolice #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #มิจฉาชีพ #กองร้อยปอยเปต

 

"ดีอี" ลุยเพิ่มประสิทธิภาพปราบ ‘โจรออนไลน์’ ยกระดับศูนย์ ‘AOC 1441' เร่งกำหนดมาตรการ ‘พ.ร.ก.ไซเบอร์ฉบับใหม่’

"ดีอี" ลุยเพิ่มประสิทธิภาพปราบ ‘โจรออนไลน์’ ยกระดับศูนย์ ‘AOC 1441' สู่ ‘ศปอท.’ ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เร่งกำหนดมาตรการ ‘พ.ร.ก.ไซเบอร์ฉบับใหม่’ บูรณาการช่วยเหลือประชาชนทุกมิติ 
 
วันที่ 26 เมษายน 2568 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยถึงการเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ครั้งที่ 3/2568 เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) , กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) , สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) , ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) , สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เข้าร่วมประชุมว่า รัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งมีผลกระทบต่อประชาชน โดยปัจจุบัน พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 และพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งหน่วยงานต่างๆ กำลังดำเนินการกำหนดมาตรการเพื่อให้เป็นไปตาม พ.ร.ก. ทั้ง 2 ฉบับอย่างเร่งด่วน

นายประเสริฐ กล่าวว่า ในการประชุมครั้งนี้ได้มีการพิจารณาผลดำเนินการและมาตรการเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์  8 เรื่องสำคัญ ที่มีผลการดำเนินงาน ถึง 31 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ได้แก่ 1.การปราบปรามจับกุมคดีอาชญากรรมออนไลน์ เดือนมีนาคม 2568 (ข้อมูลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ) มีการจับกุมคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี รวมทุกประเภท มีจำนวน 4,907 ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 96.67 เมื่อเทียบกับการจับกุมเฉลี่ย 2,495 คนต่อเดือน ในช่วงมกราคม - มีนาคม 2567 , การจับกุมคดีพนันออนไลน์ เดือนมีนาคม 2568 มีจำนวน 1,933 ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 81.67 เมื่อเทียบกับการจับกุมเฉลี่ย 1,064 คนต่อเดือน ในช่วงมกราคม - มีนาคม 2567 , การจับกุมคดีบัญชีม้า ซิมม้า และความผิดตาม พรก.ฯ เดือนมีนาคม 68 มีจำนวน 710 ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 195.83 เมื่อเทียบกับการจับกุมเฉลี่ย 240 คนต่อเดือน ช่วงมกราคม - มีนาคม 2567

2. การปิดโซเชียลมีเดีย เว็บผิดกฎหมาย และเว็บพนันออนไลน์ (ปีงบประมาณ 68 ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2567 – 31 มีนาคม 2568 มีการปิดกั้นเว็บไซต์พนันออนไลน์ จำนวน 43,195 (URLs) หลอกลวงออนไลน์ จำนวน 1,164 (URLs) และอื่นๆ 34,041 (URLs) รวม 78,400 (URLs) , มีการประสานแพลตฟอร์มเพื่อขอปิดกั้นเกี่ยวกับหลอกลวงออนไลน์ ที่มีคำสั่งศาล จำนวนแจ้งขอการปิดกั้น 8,692 (URLs) ที่ไม่มีคำสั่งศาล มีจำนวนแจ้งขอการปิดกั้น 25,643 (URLs) (เฉพาะในส่วนของกระทรวงดีอี)

3. การแก้ปัญหาบัญชีม้า เร่งอายัด ตัดตอนการโอนเงิน ผลการดำเนินงานที่สำคัญถึง 31 มีนาคม 2568 มีดังนี้ ศูนย์ AOC ได้ระงับบัญชีชั่วคราว จำนวน 359,763 บัญชี  และ ปปง. ทำการอายัดบัญชีไปแล้วจำนวน 753,373 บัญชี (ณ วันที่ 22 เมษายน 2568) 

4.การดำเนินการเรื่องเสาโทรคมนาคม สายสัญญาณอินเทอร์เน็ต และสายโทรศัพท์ที่ผิดกฎหมายตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน โดย กสทช. ได้ดำเนินมาตรการ ดังนี้ (1) มาตรการระงับการให้บริการ Wi-fi Calling ระบบเติมเงิน (ชั่วคราว) , (2) ตรวจสอบการลงทะเบียนใช้งาน SIM Card หลังการปรับปรุงระบบลงทะเบียนใช้งาน SIM Card , (3) มาตรการตรวจสอบความเป็นเจ้าของสายสัญญาณและตัดสายที่ลักลอบใช้งาน , (4) ระงับการให้บริการโทรคมนาคมกับคู่สัญญาที่พบการกระทำผิดและตรวจสอบการนำบริการโทรคมนาคมไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต , (5) มาตรการการจัดการบริการส่งข้อความสั้น (SMS) แบบ A2P โดยลงทะเบียนใช้งาน Sender Name และตรวจสอบความถูกต้องของ Link ก่อนส่งทั้งหมด , (6) มาตรการการลงทะเบียนใช้งาน SIM box หากไม่ลงทะเบียนภายในเดือนเมษายน 2568 จะปิดการใช้งาน , (7) มาตรการการห้ามลูกตู้รับลงทะเบียนเปิดใช้งานชิมการ์ด และ (8) มาตรการกำกับการใช้งาน e-SIM ห้ามจำหน่าย e-SIM ผ่านระบบ Online

สำหรับผลการดำเนินการตามมาตรการระงับ IP Address ซึ่ง กสทช. ได้แจ้งผู้ให้บริการะงับการให้บริการผู้ใช้ IP Address ที่มีการกระทำความผิดตามคำสั่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นการชั่วคราว ซึ่งเป็นของผู้รับใบอนุญาต จำนวน 10 ราย จำนวนทั้งสิ้น 465 IP ส่วนผลการดำเนินการตามมาตรการลงทะเบียน Sender Name การตรวจสอบ SMS แนบลิงก์ URL ประกอบด้วย (1) จำนวนผู้ให้บริการส่งข้อความสั้น จำนวน 43 ราย , (2) ผู้ให้บริการฯ ส่งข้อมูลลงทะเบียน Sender Name แล้ว จำนวน 28 ราย , (3) ผู้ให้บริการฯ แจ้งว่ายังไม่เปิดให้บริการ จำนวน 13 ราย และ (4) อยู่ระหว่างติดตามสถานะการเปิดให้บริการ จำนวน 2 ราย

5. มาตรการ Mobile Cleansing มีความคืบหน้าการดำเนินมาตรการ Mobile Banking เมื่อมีการดำเนินการในระยะที่ 1 เสร็จสิ้นแล้วในวันที่ 30 เมษายน 2568 โดยธนาคารจะส่งข้อมูลผู้ใช้ Mobile Banking ที่เป็นปัจจุบันจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 ไปให้ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Operator) สำหรับในส่วนระยะที่ 2 โอเปอร์เรเตอร์ จะนำข้อมูลส่งผ่านระบบของ ปปง. เพื่อตรวจสอบกับข้อมูลลูกค้าว่าอยู่ในกลุ่มใด จากนั้นในเดือนพฤษภาคม 2568 ธนาคารส่งข้อมูลผู้เปิดใช้ Mobile Banking เพื่อให้โอเปอร์เรเตอร์ตรวจสอบอีกครั้ง และให้ธนาคารเริ่มดำเนินการตรวจสอบผลและเริ่มระงับการใช้บริการ Mobile Banking ในเดือน มิถุนายน 2568

6.การจัดตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) ซึ่งตามมาตรา 8/5 แห่งพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 กำหนดให้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) ซึ่งเป็นการยกระดับศูนย์ AOC 1441 โดย ‘ศปอท.’ จะเป็นกลไกหลักในการรับแจ้งเหตุ รับคำร้องทุกข์ สั่งระงับธุรกรรมทางการเงิน ประสานงานวิเคราะห์ข้อมูล และสามารถดำเนินคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้อย่างรวดเร็ว ครบวงจร และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้ 6.1 ปรับโครงสร้างศูนย์ AOC 1441 และเพิ่มบุคลากรให้เพียงพอและเหมาะสมต่อการปฏิบัติงาน และการแต่งตั้งหัวหน้า ศปอท. , 6.2 จัดทำระบบงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามมาตราต่าง ๆ ตาม พ.ร.ก. (ด้านการแสดงผลหรือสถานะ การสั่งการ การวิเคราะห์ การติดตาม และการรายงาน) , 6.3 แนวทางการดำเนินการภายในของหน่วยงาน และการดำเนินการของหน่วยงานอื่นที่มาปฏิบัติหน้าที่ ศปอท. กระบวนการขั้นตอนการสั่งการ หลักเกณฑ์ และวิธีดำเนินการ ตามอำนาจหน้าที่ของ ศปอท. , 6.4 การรับแจ้งเหตุของ ศปอท. ให้ถือเป็นการร้องทุกข์โดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ของผู้เสียหาย (การประสานงานข้อมูลร่วมกับ ตร. สอท. ในการปรับกระบวนการแจ้งความ) , 6.5 ประสานงานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดส่งผู้แทนเข้าร่วมปฏิบัติงาน ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ได้แต่งตั้ง นายเอกพงษ์ หริ่มเจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และเลขานุการ คณะกรรมการฯ ทำหน้าที่หัวหน้า ศปอท. ตามมาตรา 8/7

7.การเตรียมความพร้อมเพื่อบังคับใช้ พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ของ ปปง. ได้เตรียมจัดตั้งคณะทำงานยกร่างกฎกระทรวง เพื่อคืนเงินแก่ผู้เสียหาย ซึ่งออกตามความในมาตรา 8/1 และมาตรา 8/2 ของพ.ร.ก.ฯ และเตรียมจัดตั้งกองเพิ่มเติม เพื่อรองรับการตรวจสอบธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมออนไลน์ ที่ปัจจุบันพบว่ามีเงินค้างอยู่ในบัญชีที่มีการระงับช่องทางการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ไว้ จำนวนกว่า 80,000 บัญชี เป็นจำนวนเงินกว่า 2,500 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 22 เมษายน 2568) เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการเร่งเยียวยาเหยื่ออาชญากรรมออนไลน์โดยเร็ว

8.มาตรการกำกับดูแลแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลต่างประเทศ ซึ่งภายหลัง พ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัล (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 มีผลบังคับใช้ Binance Global ได้ประกาศเลิกให้บริการ P2P สำหรับเงินบาท เพื่อให้สอดคล้องกับ พ.ร.ก. โดย ก.ล.ต.จะเป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบ และส่งข้อมูลแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ได้รับอนุญาต เพื่อเป็นข้อมูลให้กระทรวงดีอี พิจารณาดำเนินการปิดกั้นช่องทางการเข้าถึงแพลตฟอร์ม

“ภายหลังที่ พ.ร.ก.ทั้ง 2 ฉบับมีผลบังคับใช้ กระทรวงดีอี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เร่งรัดการกำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับ พ.ร.ก. พร้อมบูรณาการยกระดับ ศูนย์ AOC 1441 เป็นศูนย์ ‘ศปอท.’ ซึ่งจะครอบคลุมในการดูแลให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอาชญากรรมออนไลน์ อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการเตรียมออกกฎกระทรวง เพื่อการบังคับใช้ในการกวาดล้างอาชญากรรมออนไลน์ บัญชีม้าและซิมม้า และเร่งการอายัดบัญชีธนาคาร ระงับบัญชีม้า ตัดเส้นทางการเงิน การปิดกั้นโซเชียลมีเดียหลอกลวงผิดกฎหมาย และเว็บพนันออนไลน์ รวมทั้งการเยียวยาผู้เสียหาย” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี กล่าว 

#โจรออนไลน์ #พรกไซเบอร์ฉบับใหม่ #ข่าววันนี้ #มิจฉาชีพ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์