เตือนภัย! มิจฉาชีพอ้างเป็นกรมสรรพากร หลอกลวงผ่าน SMS-อีเมล-LINE-โทรศัพท์

กรมสรรพากรแจ้งเตือนประชาชนให้ระมัดระวังมิจฉาชีพที่แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร หลอกลวงประชาชนให้กดลิงก์ปลอมหรือดำเนินการธุรกรรมทางภาษีในลักษณะต่างๆผ่าน SMS, Email, แอปพลิเคชัน LINE และทางโทรศัพท์ โดยกรมสรรพากรขอยืนยันว่าไม่มีนโยบายติดต่อประชาชนผ่านช่องทางดังกล่าวแต่อย่างใด

เมื่อวันที่ 18 มี.ค.68 นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า “ในขณะนี้อยู่ในช่วงการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและการขอคืนภาษี มิจฉาชีพอาศัยโอกาสนี้ในการหลอกลวงประชาชนด้วยหลากหลายวิธี โดยมักแอบอ้างชื่อหน่วยงานภาครัฐ เช่น กรมสรรพากร เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และใช้ช่องทางต่างๆ ในการล่อลวง โดยพฤติกรรมที่พบได้บ่อยมี ดังนี้

1.มิจฉาชีพใช้เบอร์ 02-272-8000 ส่ง SMS เพื่อหลอกเอาเงินจากผู้เสียหาย 

2.ใช้บัญชี LINE ปลอม โดยใช้รูปผู้บริหารกรมสรรพากรเป็นภาพประจำตัว เพื่อหลอกประชาชนให้หลงเชื่อ และกดลิงก์ที่มิจฉาชีพส่งมาให้

3.ส่ง Email ปลอม อ้างเป็นฝ่ายสนับสนุนลูกค้าของกรมสรรพากรหลอกให้ผู้เสียหายกดลิงก์ เพื่อรับสิทธิประโยชน์ e-Tax

4.ส่งข้อความผ่านทาง SMS หรือ Email โดยแอบอ้างเป็นกรมสรรพากร หลอกให้ผู้เสียหายกดลิงก์ เพื่อดำเนินการต่างๆเช่น การส่งเอกสารเพิ่มเติม การยืนยันสิทธิ์ขอคืนภาษี หรือการให้ข้อมูลส่วนบุคคล

5.โทรศัพท์ติดต่อผู้เสียหายโดยตรง แจ้งได้รับสิทธิ์ในการขอคืนภาษี และหลอกให้ดำเนินการธุรกรรมต่างๆผ่านตู้ ATM ตามขั้นตอนที่กำหนด

โดยในอนาคต มิจฉาชีพอาจใช้เทคนิคการหลอกลวงรูปแบบใหม่ ทำให้ประชาชนหลงเชื่อได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยอาศัยเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ หรือใช้วิธีการต่างๆ ในการล่อลวงและขโมยข้อมูลสำคัญของประชาชน”

อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “กรมสรรพากรไม่มีนโยบายติดต่อหาประชาชน หรือผู้เสียภาษี เพื่อขอข้อมูลส่วนตัว หรือให้ดำเนินธุรกรรมทางภาษีผ่านช่องทาง และวิธีการดังกล่าว หากได้รับข้อความหรือการติดต่อในลักษณะนี้ ขอให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูลกับกรมสรรพากรโดยตรงที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161 หรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่ทั่วประเทศก่อนดำเนินการใดๆ เพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ” 

#มิจฉาชีพ #กรมสรรพากร #SMS #สยามรัฐ ##สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้

 

 

“ดีอี” เตือน “มิจฉาชีพ” ปล่อยข่าวปลอม “รีบยืนยันตัวตนรับเงินดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3 ก่อนโดนตัดสิทธิ์”

ดีอี เตือน “มิจฉาชีพ” ปล่อยข่าวปลอม “รีบยืนยันตัวตนรับเงินดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3 ก่อนโดนตัดสิทธิ์” เสี่ยงสูญข้อมูลส่วนบุคคล- ทรัพย์สิน

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ตรวจพบข่าวปลอมรายสัปดาห์ ที่ประชาชนให้ความสนใจสูงสุดอันดับที่ 1 เรื่อง “รีบยืนยันตัวตนรับเงินดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3 ก่อนโดนตัดสิทธิ์” รองลงมาคือเรื่อง “เพจใบขับขี่ออนไลน์ทุกชนิด ลดราคาใบขับขี่ ผู้ใช้งานใหม่ 1,500 บาท” โดยขอให้ประชาชน อย่าหลงเชื่อข่าวปลอม เลือกเชื่อ เลือกแชร์ ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ อาจทำให้สูญเสียทรัพย์สิน และข้อมูลส่วนบุคคล รวมทั้งสร้างความเข้าใจผิด ความสับสนในสังคม

นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (BDE) ในฐานะโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวถึงผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ระหว่างวันที่ 7 – 13 มีนาคม 2568 พบข้อความที่เข้ามาทั้งหมด 831,525 ข้อความ โดยมีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ (Verify) ทั้งสิ้น 655 ข้อความ

สำหรับช่องทางที่มีการพบเบาะแสมากที่สุด คือ ข้อความที่มาจาก Social Listening จำนวน 617 ข้อความ ตามมาด้วยการแจ้งเบาะแสผ่าน Line Official จำนวน 36 ข้อความ และผ่านชองทาง Facebook จำนวน 2 ข้อความ รวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด 206 เรื่อง และจากการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับผลการตรวจสอบกลับมาแล้ว 79 เรื่อง

ทั้งนี้ กระทรวงดีอี ได้แบ่งข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจเป็น 5 กลุ่ม ประกอบด้วย

กลุ่มที่ 1 : นโยบายรัฐบาล ข่าวสารทางราชการ ความสงบเรียบร้อยของสังคม ขัดศีลธรรมอันดี และความมั่นคงภายในประเทศ จำนวน 102 เรื่อง

กลุ่มที่ 2 : ผลิตภัณฑ์สุขภาพ วัตถุอันตราย เครื่องสำอาง รวมถึงสินค้าและบริการที่ผิดกฎหมายจำนวน 63 เรื่อง

กลุ่มที่ 3 : ภัยพิบัติ จำนวน 14 เรื่อง

กลุ่มที่ 4 : เศรษฐกิจ จำนวน 4 เรื่อง

กลุ่มที่ 5 : กลุ่มอาชญากรรมออนไลน์ จำนวน 23 เรื่อง

นายเวทางค์ กล่าวต่อว่า เมื่อพิจารณาจากข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจในลำดับต้นๆ ในสัปดาห์นี้ พบว่าเป็นข่าวเกี่ยวกับโครงการของรัฐ โดยเฉพาะโครงการดิจิทัล วอลเล็ต การให้บริการของหน่วยงานภาครัฐ การรับสมัครงาน ซึ่งมีผลกระทบต่อสังคมส่วนใหญ่ ทำให้เกิดความเข้าใจผิด สับสน และวิตกกังวลได้ รวมทั้งอาจเกิดความเสียหายต่อข้อมูลส่วนบุคคล และทรัพย์สิน โดยข่าวที่ได้รับความสนใจจากประชาชนมากที่สุด 10 อันดับ ได้แก่

อันดับที่ 1 : เรื่อง รีบยืนยันตัวตนรับเงินดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3 ก่อนโดนตัดสิทธิ์

อันดับที่ 2 : เรื่อง เพจใบขับขี่ออนไลน์ทุกชนิด ลดราคาใบขับขี่ ผู้ใช้งานใหม่ 1,500 บาท

อันดับที่ 3 : เรื่อง ธ.ออมสิน ปล่อยกู้รายละ 800,000 บาท ดอกเบี้ย 0.5% ต่อเดือน เปิดลงทะเบียนถึงวันที่ 31 มี.ค. 68

อันดับที่ 4 : เรื่อง เรือนจำไทย มีขาใหญ่ นช.สมเด็จ ดูแลนักโทษ เงินหมุนเวียน เข้าบัญชีม้า 10-20 ล้านบาท

อันดับที่ 5 : เรื่อง ธนาคารออมสิน เปิดให้กู้ทุกอาชีพ วงเงิน 100,000 บาท ติดต่อผ่าน TikTok amy1994_16

อันดับที่ 6 : เรื่อง รับสมัครงานเกษตร ประเทศออสเตรเลีย ติดต่อผ่านเพจ บริษัทจัดหางานเอกชน

อันดับที่ 7 : เรื่อง สามารถติดต่อ กฟภ. ได้ผ่านช่องทาง Line ID pea214414

อันดับที่ 8 : เรื่อง เพจชนิชา /รับทำใบอนุญาตขับรถทุกชนิด พื้นที่.4 รับทำใบขับขี่ผ่านระบบออนไลน์ เฉพาะผู้ที่ไม่สะดวกมาขนส่ง

อันดับที่ 9 : เรื่อง ปลอมอีเมลกระทรวงดิจิทัลแจ้งออกใบอนุญาตก่อตั้งกาสิโนอย่างถูกกฎหมาย

อันดับที่ 10 : เรื่อง กฟภ. เปิดให้บริการออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ https://pea-th.com/

“เมื่อพิจารณาจากข่าวปลอมที่ประชาชนสนใจมากที่สุด จาก 10 อันดับข้างต้น พบว่าเป็นข่าวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องโครงการของรัฐ โดยเฉพาะโครงการดิจิทัล วอลเล็ต การให้บริการทำใบขับขี่ของกรมขนส่งทางบก การรับสมัครงาน ซึ่งทั้งหมดมีผลกระทบต่อประชาชน โดยในส่วนของข่าวปลอมที่เกี่ยวข้องกับโครงการดิจิทัล วอลเล็ต และการให้บริการทำใบขับขี่ออนไลน์นั้น ขอให้ประชาชนระมัดระวัง การแอบอ้างของมิจฉาชีพ ซึ่งอาจมีความเสี่ยงทำให้สูญเสียข้อมูลส่วนบุคคล และทรัพย์สินได้ โดยหากมีการแชร์ส่งต่อกันไปในสังคม มีผลทำให้ประชาชนเกิดความสับสน ส่งผลกระทบกับประชาชนทั่วประเทศเป็นวงกว้าง” นายเวทางค์ กล่าว

สำหรับอันดับ 1 เรื่อง “รีบยืนยันตัวตนรับเงินดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3 ก่อนโดนตัดสิทธิ์” กระทรวงดีอี ได้ประสานงานร่วมกับ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) หรือ DGA สำนักนายกรัฐมนตรี

ตรวจสอบพบว่า เป็นข้อมูลเท็จ โดยขอชี้แจงว่า การยืนยันตัวตนของประชาชนบนแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” สามารถทำได้ถึงวันที่ 15 กันยายน 2567 เท่านั้น ทั้งนี้หากประชาชนเข้า “แอปฯ ทางรัฐ” และกดลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ แล้วมีหน้าจอยืนยันตัวตนแสดงขึ้นมา อาจเกิดจากการไม่ได้เข้าแอปฯ เป็นเวลานาน หรือเคยลบแอปฯ ไปหลังจากลงทะเบียนและยืนยันตัวตนเรียบร้อยภายในระยะเวลาที่กำหนด แต่ไม่สามารถยืนยันตัวตนใหม่ได้

ในส่วนข่าวปลอมอันดับ 2 เรื่อง “เพจใบขับขี่ออนไลน์ทุกชนิด ลดราคาใบขับขี่ ผู้ใช้งานใหม่ 1,500 บาท”กระทรวงดีอี ประสานงานร่วมกับ กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม ตรวจสอบพบว่าเป็นข้อมูลเท็จ โดยขอชี้แจงว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลปลอมที่เชื่อถือไม่ได้

โดยการขอรับใบอนุญาตขับรถทุกชนิดมีมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ คือ ผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถจะต้องดำเนินการด้วยตนเองทุกขั้นตอนที่สำนักงานขนส่ง ตั้งแต่การตรวจสอบเอกสาร การทดสอบสมรรถภาพของร่างกาย การอบรม การทดสอบข้อเขียน การทดสอบขับรถ และการถ่ายรูปเพื่อออกใบอนุญาตขับรถ

ทั้งนี้ขอเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อ และอย่าให้ข้อมูลส่วนตัวโดยเด็ดขาด

อย่างไรก็ตาม ดีอี มีความห่วงใยประชาชน เรื่องความตระหนักรู้เท่าทันข่าวปลอมที่ถูกแพร่กระจายบนสื่อออนไลน์ โซเชียล ซึ่งหากขาดความรู้เท่าทันส่งต่อข้อมูลข่าวปลอม ทำให้เกิดการหลงเชื่อ สร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เกิดความวิตกกังวล หรืออาจสร้างความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน หรือข้อมูลส่วนบุคคล และอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนในสังคมเป็นวงกว้าง ดังนั้นจึงควรตรวจสอบข้อเท็จจริงของข่าวหรือลิงก์เว็บไซต์ให้แน่ชัด

สามารถแจ้งเบาะแส ข่าวปลอม และอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ โทรสายด่วน 1111 (24 ชม.)

|  Line ID: @antifakenewscenter | เว็บไซต์ www.antifakenewscenter.com

อย่าหลงเชื่อ! มิจฉาชีพแอบอ้าง ธ.ก.ส.ปล่อยสินเชื่อบน TikTok

ธ.ก.ส. แจ้งเตือนระวังมิจฉาชีพแอบอ้างชื่อ ตราสัญลักษณ์ธนาคารเป็นชื่อบัญชีบน TikTok และใช้ภาพผู้บริหาร ธ.ก.ส. โดยใช้คำให้หลงเชื่อ อาทิ ธนาคาร ธ.ก.ส. ลงมติแล้ว “พร้อมช่วยเหลือทุกครัวเรือน” ไม่เช็คเครดิตบูโร แบล็คลิสต์ พร้อมช่วยเหลือลูกหนี้ ปิดบ้าน ปิดรถ ปิดหนี้นอกระบบ ครัวเรือนละ 300,000 บาท ยืนยัน! ธ.ก.ส.ใช้บัญชี TikTok ชื่อ baacthailand เท่านั้น โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำหลอกลวงดังกล่าวและไม่มีนโยบายให้สินเชื่อผ่านสื่อสังคมออนไลน์ พร้อมเตรียมดำเนินการแจ้งความเอาผิดผู้หลอกลวง ต่อไป

เมื่อวันที่ 12 มี.ค.68 นายไพศาล หงษ์ทอง รองผู้จัดการและโฆษกธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามที่มีกลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างชื่อและตราสัญลักษณ์ธนาคาร รวมถึงการใช้ภาพผู้บริหาร ธ.ก.ส. ในการนำเสนอข้อมูลที่เป็นเท็จในลักษณะที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยสินเชื่อ อาทิ ธ.ก.ส. พร้อมให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ โดยไม่ต้องใช้คนค้ำหรือหลักประกันไม่เช็คเครดิตบูโร ดอกเบี้ยต่ำ และให้ผู้สนใจติดต่อขอรายละเอียดหรือส่งเอกสารส่วนตัวเพื่อยื่นคำขอกู้ผ่านทางแอปพลิเคชัน TikTok หรือช่องทางออนไลน์อื่นๆ นั้น ธ.ก.ส. ขอเรียนว่าบัญชีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลและการกระทำในลักษณะดังกล่าว ไม่ใช่บัญชีของ ธ.ก.ส. โดยธนาคารใช้บัญชี TikTok อย่างเป็นทางการใน ชื่อ baacthailand เพียงบัญชีเดียวเท่านั้น พร้อมยืนยันว่า ธ.ก.ส. ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าว และไม่มีนโยบายในการให้บริการสินเชื่อ หรือมีการอนุมัติสินเชื่อผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ จึงขอให้เกษตรกรลูกค้าและประชาชนทั่วไปอย่าหลงเชื่ออย่างเด็ดขาด เพราะอาจถูกกลุ่มมิจฉาชีพหลอกให้โอนเงินหรือขอข้อมูลส่วนตัวจนทำให้ได้รับความเสียหาย ซึ่งธนาคารจะดําเนินการรวบรวมข้อมูลและดำเนินการเอาผิดตามขั้นตอนทางกฎหมายกับผู้ที่     แอบอ้างในลักษณะดังกล่าวต่อไป

พร้อมกันนี้ ธ.ก.ส. ขอย้ำเตือนให้ลูกค้าเพิ่มความระมัดระวังในการติดต่อหรือทำธุรกรรมออนไลน์ เนื่องด้วยปัจจุบันมิจฉาชีพมีรูปแบบการหลอกลวงที่หลากหลาย หากไม่แน่ใจในข้อมูลที่ได้รับมา โปรดติดต่อธนาคารโดยตรง หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ BAAC ศูนย์รับแจ้งเหตุภัยทางการเงินจากมิจฉาชีพ Call Center : 02 555 0555 กด 111 ได้ตลอด 24 ชม. และติดตามข้อมูลและข่าวสารด้านผลิตภัณฑ์และบริการผ่านช่องทางการสื่อสารหลักของธนาคาร ได้แก่ เว็บไซต์ www.baac.or.th Facebook Page “ธกส BAAC Thailand” LINE Official    : @baacfamily และ TikTok: baacthailand

#มิจฉาชีพ #ข่าววันนี้ #ธกส #TikTok #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #สินเชื่อ

 

Whoscall เปิดสถิติปี 67 สายมิจฉาชีพทางโทรศัพท์-ข้อความ SMS หลอกลวงในไทยพุ่ง 168 ล้านครั้ง สูงสุดในรอบ 5 ปี

บริษัท โกโกลุก ประเทศไทย ในฐานะผู้ให้บริการเทคโนโลยี เพื่อความเชื่อมั่นชั้นนำ (TrustTech) และผู้ให้บริการแอปพลิเคชัน Whoscall เปิดรายงานประจำปี 2567 วิเคราะห์สถานการณ์กลโกงของมิจฉาชีพในประเทศไทยตลอดปีที่ผ่านมา ผ่านการรายงาน มิจฉาชีพจากสายโทรศัพท์ ข้อความ SMS ลิงก์ต่างๆ และฟีเจอร์ตรวจสอบข้อมูลรั่วไหล พร้อมสำรวจกลลวงมิจฉาชีพที่ใช้หลอกลวงประชาชน เพื่อกระตุ้นให้คนไทยตระหนักถึงภัยกลโกงและลดความเสี่ยง จากการตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพในรูปแบบต่างๆ

เมื่อวันที่ 24 ก.พ.68 นายแมนวู จู ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โกโกลุก ประเทศไทย กล่าวว่า “นับตั้งแต่ที่บริษัท เริ่มเผยแพร่รายงานประจำปีตั้งแต่ปี 2563 เราได้ติดตามสถานการณ์การหลอกลวงของมิจฉาชีพ ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในเกือบทุกๆตลาดหลักที่ Whoscall ให้บริการอย่างใกล้ชิด สำหรับประเทศไทย ในปี 2567 เราสามารถระบุสายโทรศัพท์และข้อความหลอกลวงได้สูงสุดในรอบ 5 ปี ถึง 168 ล้านครั้ง เพราะปัจจุบันมิจฉาชีพได้นำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการหลอกลวงอย่างแพร่หลาย ทำให้กลโกงมีความ ซับซ้อนมากขึ้นและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยแนวโน้มการหลอกลวงที่ต้องจับตามอง ได้แก่ การแอบอ้างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน การฉ้อโกงทางการเงินในหลากหลายรูปแบบ ทั้งผ่านการโทรศัพท์ ข้อความ SMS ลิงก์อันตราย รวมถึง การรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้น อย่างน่ากังวล”

สรุปข้อมูลสำคัญจากรายงาน

-ในปี 2567 ประเทศไทยมีจำนวนการตรวจพบสายโทรศัพท์และข้อความ SMS หลอกลวงเพิ่มขึ้น ประมาณ 168 ล้านครั้ง สูงสุดในรอบ 5 ปี

-Whoscall สามารถปกป้องผู้ใช้จากการถูกหลอกลวงผ่านการโทรและข้อความ SMS ได้ถึง 460,000 ครั้งใน 1 วัน  

-กลวิธีหลอกลวงใน SMS ที่พบอย่างแพร่หลาย ได้แก่ การชักชวนเล่นพนัน การปลอมเป็นบริษัท ขนส่งพัสดุ การแอบอ้างเป็นธนาคาร สถาบันการเงิน องค์กร และหน่วยงานรัฐ

-ระวัง! ลิงก์อันตรายอาจนำไปสู่ เว็บไซต์ปลอม, เว็บพนันผิดกฎหมาย, และเว็บที่แอบติดตั้งมัลแวร์ เพื่อดักจับข้อมูลส่วนตัว เป็นต้น

-ฟีเจอร์ ID security ของ Whoscall เตือนภัยข้อมูลส่วนตัวคนไทย 41% รั่วไหลไปบนดาร์กเว็บ 

-ตรวจพบสายโทรศัพท์และข้อความหลอกลวงเพิ่มขึ้นในประเทศไทย

ในปี 2567 Whoscall ตรวจพบ สายโทรศัพท์และข้อความ SMS หลอกลวงสูงถึง 168 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้นกว่า 112% จาก 79.2 ล้านครั้งในปี 2566 และถือเป็นยอดที่สูงสุดในรอบ 5 ปีของประเทศไทย ในส่วนของจำนวนการโทรหลอกลวงเพิ่มขึ้นเป็น 38 ล้านครั้ง จาก 20.8 ล้านครั้งในปี 2566 ขณะที่จำนวนข้อความ SMS หลอกลวงพุ่งสูงถึงเกือบ 130 ล้านครั้ง จาก 58.3 ล้านครั้งในปี 2566 กลโกงที่พบมากที่สุด ได้แก่ การหลอกขายบริการและสินค้าปลอม การแอบอ้างตัวเป็นหน่วยงาน และหลอกว่ามีเงินกู้อนุมัติง่าย การหลอกทวงเงิน การหลอกว่าเป็นหนี้

มิจฉาชีพใช้กลลวงเกี่ยวกับการเงิน และแอบอ้างองค์กรเพิ่มสูงขึ้น

ในปีที่ผ่านมา บริการ  Smart SMS Assistant หรือ ผู้ช่วย SMS อัจฉริยะที่ช่วยตรวจสอบข้อความ จากหมายเลขที่ไม่รู้จัก พบว่ามีข้อความ SMS ที่เข้าข่ายการ หลอกลวง มากถึง 130 ล้านครั้ง ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้สำคัญว่ากลุ่มมิจฉาชีพยังคงใช้การส่งข้อความเป็นช่องทางหลักในการหลอกลวง 

ข้อความ SMS หลอกลวงที่แนบลิงก์ฟิชชิง เช่น  ข้อความ SMS ที่หลอกให้กู้เงิน และโฆษณาการพนัน ยังคงพบมากที่สุด นอกจากนี้กลุ่มมิจฉาชีพยังเปลี่ยนกลยุทธ์มาแอบอ้างหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน มากขึ้น เช่น แอบอ้างเป็นบริการจัดส่งสินค้า รวมไปถึงการปลอมเป็นหน่วยงานสาธารณูปโภค เพื่อส่งข้อความชวนเชื่อที่สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐเกี่ยวกับมาตรการลดค่าไฟฟ้า คืนค่าประกัน มิเตอร์ไฟฟ้า มาตรการคนละครึ่ง และดิจิทัล วอลเล็ต

การแพร่กระจายของลิงก์อันตรายแปลกปลอม

Whoscall พัฒนาฟีเจอร์อย่างเช่น Web Checker[1] ที่ผู้ใช้สามารถตรวจสอบลิงก์ที่น่าสงสัยและอันตราย บนเว็บบราวเซอร์ในระหว่างการใช้งานโทรศัพท์มือถือ  ในปีที่ผ่านมาฟีเจอร์นี้ช่วยปกป้อง ผู้ใช้งานจากการคลิกลิงก์อันตราย แปลกปลอมหลากหลายประเภท โดยประเภทลิงก์อันตรายที่พบมาก ที่สุดเป็นลิงก์ฟิชชิงที่มีวัตถุประสงค์เพื่อดูดเงิน หรือล้วงข้อมูลส่วนบุคคล 40% ส่วนลิงก์ อันตราย ที่เหลือเป็นลิงก์ ที่เชื่อมโยงกับการพนันออนไลน์ผิดกฎหมาย 30% และลิงก์อันตรายที่หลอกให้เหยื่อ ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันที่มีมัลแวร์เพื่อขโมยข้อมูลสำคัญจากอุปกรณ์อีก 30%

ปัญหาการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น

ในรายงานประจำปีครั้งนี้ยังได้เปิดเผยถึงปัญหาการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลโดยตรวจสอบผ่านฟีเจอร์ "ID Security" ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบความปลอดภัยของข้อมูล ส่วนบุคคลของตนเองได้ ในปีที่ผ่านมา ฟีเจอร์ ID Security กลายเป็นตัวช่วยสำคัญที่ช่วยเพิ่ม ความระมัดระวังความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล โดยผลการวิเคราะห์พบว่าข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ 41% รั่วไหลไปยังที่ต่างๆเช่น ดาร์กเว็บ และดีพเว็บ ในบรรดาข้อมูลส่วนตัวที่รั่วไหลพบว่า 97% เป็น อีเมล และ 88% เป็นเบอร์โทรศัพท์ ซึ่งอาจมีข้อมูลเช่น วันเดือนปีเกิด ชื่อนามสกุล พาสเวิร์ด รวมถึงข้อมูลอื่นๆหลุดร่วมไปด้วย

Whoscall มุ่งพัฒนาแอปพลิเคชัน ร่วมปกป้องผู้ใช้งานและธุรกิจอย่างครอบคลุม

รายงานฉบับนี้สะท้อนให้เห็นว่าใน 1 วัน Whoscall ช่วยปกป้องคนไทยจากมิจฉาชีพได้มากกว่า 460,000 ครั้ง เรามุ่งมั่นในการนำเทคโนโลยี AI มาพัฒนาแอปพลิเคชันให้มีประสิทธิภาพเพื่อตอบโจทย์ทุกความ ต้องการของผู้ใช้งานในการป้องกันภัยมิจฉาชีพ เพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของกลโกงออนไลน์ ที่เพิ่มขึ้นในทุกรูปแบบ นอกจากนี้ประชาชนควรตื่นตัวและใช้มาตรการเชิงรุกเพื่อปกป้องตนเอง เช่น :

ดาวน์โหลดแอป Whoscall : ฟีเจอร์ Caller ID จะยังเป็นแนวป้องกันแรกที่สามารถระบุตัวตนของหมายเลขที่ไม่รู้จักแบบเรียลไทม์ ช่วยเตือนภัย สายเรียกเข้าหลอกลวง และสายสแปมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล: ประชาชนควรใช้ความระมัดระวังเมื่อแชร์ข้อมูลส่วนตัวทางออนไลน์ และระวังลิงก์ หรือคำขอที่น่าสงสัย โดยสามารถทดลองใช้ฟีเจอร์ ID Security เพื่อตรวจสอบว่า ข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหลไปที่ไหนแล้วหรือไม่ เพื่อเพิ่มความระมัดระวังในการติดต่อผ่านช่องทางต่างๆเช่น อีเมล เบอร์โทรศัพท์ และข้อความ SMS 

ตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งทางการ

สำหรับผู้บริโภค: บริการ Auto Web Checker บนแอปพลิเคชัน Whoscall จะช่วยแจ้งเตือน เมื่อผู้ใช้งานคลิกลิงก์จากข้อความ SMS หรือเว็บบราวเซอร์ เข้าไปยัง เว็บไซต์ที่อาจเป็นอันตราย

สำหรับธุรกิจ: Whoscall Verified Business Number หรือ VBN จะช่วยยืนยัน เบอร์โทรศัพท์ของธุรกิจ เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจในความถูกต้องของสายโทรเข้า ธุรกิจ สามารถใช้โซลูชันนี้เพื่อเสริมสร้างการสื่อสารกับลูกค้า ปกป้องภาพลักษณ์ของแบรนด์ และป้องกันความเสียหายต่อชื่อเสียงจากการถูกแอบอ้าง

“ด้วยสถานการณ์กลโกงที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง Whoscall ยืนหยัดที่จะใช้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี AI ที่มี่ประสิทธิภาพมายกระดับการป้องกันภัยจากการหลอกลวง เพื่อสร้างเครือข่ายป้องกันภัยจากอาชญกรรมทางไซเบอร์ให้ครอบคลุมทุกภาคส่วนของสังคมไทย เราพร้อมทำงานร่วมกับภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาชนอย่างใกล้ชิดในการลดอัตราการหลอกลวงจากมิจฉาชีพ สร้างความตระหนัก รู้เกี่ยวกับการหลอกลวงดิจิทัล  รวมถึงออกบริการใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI เพื่อปกป้องทั้งผู้ใช้ และองค์กรในทุกช่องทาง” นายแมนวู จูกล่าวสรุป

หลังจากเผยแพร่รายงาน บริษัท โกโกลุก ประเทศไทย จะส่งรายงานฉบับนี้ไปยังหน่วยงานภาครัฐ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนมาตรการรักษาความปลอดภัยสาธารณะ และสร้างสรรค์แคมเปญการสื่อสาร ให้แก่ประชาชนต่อไป สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Whoscall ได้ฟรีจาก App Store และ Google Play Store ที่ลิงก์ https://app.adjust.com/1fh6zchh สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Whoscall และฟีเจอร์ที่มีให้บริการ ได้ที่ https://whoscall.com/th หรือ https://www.facebook.com/whoscall.thailand

แอปพลิเคชัน Whoscall เครื่องมือป้องกันการหลอกลวงทางดิจิทัลส่วนบุคคล ถูกออกแบบมาเพื่อปกป้องผู้ใช้ จากการหลอกลวงในสถานการณ์ต่าง ๆ ตั้งแต่ การสื่อสารที่เป็นอันตรายและน่าสงสัย รวมถึงสายโทรเข้า ข้อความ และลิงก์ ด้วยยอดการดาวน์โหลดมากกว่า 100 ล้านครั้งทั่วโลก  Whoscall มีฐานข้อมูลที่ครอบคลุมมากที่สุดในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครอบคลุมหมายเลขโทรศัพท์ มากกว่า 2.6 พันล้านเลขหมาย และรวมข้อมูลจากพันธมิตรอย่าง ScamAdviser เพื่อสร้างฐานข้อมูลต่อต้านการหลอกลวงทางดิจิทัลชั้นนำ ทีมงาน Whoscall ทุ่มเทพัฒนาเทคโนโลยีต่อต้านการหลอกลวงมานานกว่าทศวรรษ โดยใช้เทคโนโลยี AI วิเคราะห์ และจำลองรูปแบบการหลอกลวง เพื่อป้องกันเชิงรุก ต่อการหลอกลวงที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว Whoscall เดินหน้าอย่างแข็งขัน ในการสร้างกลไกการทำงานร่วมกัน ในชุมชนของผู้ใช้ร่วมมีบทบาทในการสร้างผลลัพธ์ ทางสังคมด้วยบริการต่อต้านการฉ้อโกงทางดิจิทัล ตั้งแต่ การให้ความรู้ การสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ไปจนถึงสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ Whoscall ได้รับการยอมรับและความร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไต้หวัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ แห่งชาติ (สกมช.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย ศูนย์สืบสวนและประสานงานอาชญากรรมทางไซเบอร์ ของฟิลิปปินส์และรัฐบาลท้องถิ่นในญี่ปุ่น สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: https://whoscall.com/th

ปคม.ตามรวบบัญชีม้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกเหยื่อ 2 ล้าน รับได้ค่าจ้าง 300 บาท

ปคม.ตามรวบบัญชีม้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกเหยื่อ 2 ล้าน รับได้ค่าจ้าง 300 บาท ตรวจประวัติพบเคยถูกจับคดีเสพยา-ลักทรัพย์-เล่นพนัน

เมื่อวันที่ 19 ก.พ. พล.ต.ต.ทรงกลด เกริกกฤตยา ผบก.ปคม. สั่งการ พ.ต.อ.ก่อเกียรติ วุฒิจำนงค์ ผกก.1 บก.ปคม. พ.ต.ท.สุรศักดิ์ หญีตบึ้ง สว.กก.1 บก.ปคม. นำกำลังจับกุม นายสมประสงค์ อายุ 28 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 405/2568 ลงวันที่ 21 ม.ค.68 ข้อหา “เปิดหรือ ยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก หรือบัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ของตนเอง โดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดอาญาอื่น”  ได้ ริมถนนฝั่งตรงข้ามสนามกีฬา ต.บ้านหมอ อ.บ้านหมอ จ.สระบุรี 

ทั้งนี้เมื่อกลางปี 2566 ได้มีแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรมาหาผู้เสียหายโดยอ้างตัวเป็นตำรวจและเจ้าหน้าที่ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ก่อนออกอุบายว่า ผู้เสียหายถูกนำบัตรประจำตัวประชาชนไปเปิดบัญชีม้าเพื่อใช้ในการฟอกเงินที่ได้จากการกระทำความผิด จากนั้นได้ให้ผู้เสียหาย โอนเงินเข้าบัญชีของกลุ่มผู้ต้องหาเพื่อตรวจสอบแล้วจะโอนคืนให้ เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของ นายสมประสงค์ ผู้ต้องหารายนี้ จำนวน 4 ครั้ง เป็นเงินจำนวน 2,200,000 บาท สุดท้ายกลับติดต่อใครไม่ได้ เมื่อรู้ว่าถูกหลอกลวงจึงเข้าแจ้งความพนักงานสอบสวน สน.บางเขน จนศาลออกหมายจับไว้ กระทั่งเจ้าหน้าที่ตามจับกุมได้ขณะหนีไปทำงานรับจ้างเฝ้าร้านจำหน่ายพระเครื่องของเพื่อนในพื้นที่ จ.สระบุรี

สอบสวน ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ก่อนหน้านี้ได้พบประกาศรับซื้อบัญชีธนาคารผ่านทางเพจออนไลน์ ในราคาบัญชีละ 300 บาท ซึ่งขณะนั้นตนมีปัญหาด้านการเงินจึงเปิดบัญชีธนาคาร พร้อมหมายเลขโทรศัพท์ขายให้กับกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์  โดยไม่คิดว่าบัญชีธนาคารที่ขายไปนั้นจะมียอดรับโอนเงินถึง 2 ล้านบาท อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบประวัติพบว่ามีประวัติเกี่ยวข้องกับคดียาเสพติด คดีลักทรัพย์ และการพนันรวม 5 คดี จึงนำส่ง สน.บางเขน ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

เด้ง 'ผู้การตาก' บกพร่องปล่อยนักท่องเที่ยวถูกมิจฉาชีพหลอกลวงมาที่ไทย ก่อนหายตัวบริเวณชายแดน

เด้ง 'ผู้การตาก' บกพร่องปล่อยนักท่องเที่ยวถูกมิจฉาชีพหลอกลวงมาที่ไทย ก่อนหายตัวบริเวณชายแดน

เมื่อวันที่ 11 ก.พ.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. คำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 64 /2568 เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจช่วยราชการและรักษาราชการแทน

ด้วย สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับรายงานกรณีที่ปรากฏข่าวสารในสื่อมวลชนต่างๆเผยแพร่ข่าวนักท่องเที่ยวถูกมิจฉาชีพหลอกลวงมาที่ประเทศไทยแล้วหายตัวไปบริเวณชายแดนประเทศเมียนมา อีกทั้งมีการลักลอบข้ามชายแดนทางช่องทางธรรมชาติในเขตพื้นที่อำเภอแม่สอดและอำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก

กรณีดังกล่าวอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ โดยบริเวณที่เกิดเหตุอยู่ในพื้นที่ของสถานีตำรวจภูธรแม่สอด สถานีตำรวจภูธรแม่ระมาดและสถานีตำรวจภูธรพบพระ จังหวัดตาก ที่อยู่ในความรับผิดชอบของ พลตำรวจตรี สัมฤทธิ์ เอมกมล ผู้บังคับการ ตำรวจภูธรจังหวัดตาก ซึ่งตำรวจภูธรภาค 6 ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวและมีคำสั่งให้ข้าราชการตำรวจระดับผู้กำกับการของ 3 สถานีตำรวจดังกล่าว ช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 6 โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งเดิมแล้ว

ต่อมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง พลตำรวจตรี สัมฤทธิ์ เอมกมล เพื่อให้ให้ได้รายละเอียดข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเพียงพอสำหรับการพิจารณาพฤติการณ์และหลักฐานในเบื้องต้นว่ากรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าข้าราชการตำรวจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดวินัยหรือไม่ประการใด

เนื่องจากเป็นกรณีที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกทั้งมีกรณีเป็นที่สงสัยว่าข้าราชการตำรวจได้ประพฤติบกพร่องต่อหน้าที่ หรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่ากระทำความผิดทางวินัยหรืออาญา หากให้ปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเดิมอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้

ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ และมีให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 63 และมาตรา 105 แห่งพระราชบัญญัติ ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ประกอบระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2566 จึงสั่งการ ดังนี้

1.ให้พลตำรวจตรี สัมฤทธิ์ เอมกมล ผู้บังคับการ ตำรวจภูธรจังหวัดตาก ช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อาคาร 1 ชั้น 20 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบหมาย เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ทั้งนี้ ให้ยกเว้นหลักเกณฑ์กรณีการไปช่วยราชการสิ้นสุดลงตามข้อ 11 ของระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2566

2.ให้ พลตำรวจตรี ระวีพรรษ อมรมุนีพงศ์ รองผู้บัญชาการ ตำรวจภูธรภาค 6 รักษาราชการแทนผู้บังคับการ ตำรวจภูธรจังหวัดตาก อีกหน้าที่หนึ่ง อนึ่ง บรรดาคำสั่งหรือการมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่อื่นใดที่ขัดหรือแย้งกับคำสั่งนี้ ให้ยกเลิกในส่วนที่ขัดหรือแย้งและใช้คำสั่งนี้แทน ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง สั่ง ณ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2568

“รบ.”เตือนช่วง“วันวาเลนไทน์”ระวัง“มิจฉาชีพ”หลอกสูญเงิน

ระวัง! "มนต์รักออนไลน์" ในช่วงวันวาเลนไทน์ รวม 8 ข้อยอดฮิตจากมิจฉาชีพ เผยตัวเลขอาชญากรรมออนไลน์ ลดฮวบปี 67 ลดลง 21.74% คาดปีนี้ต้องลดให้ได้อย่างน้อย 70%

เมื่อวันที่ 9 ก.พ.68 นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ช่วงเดือนแห่งความรักและช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์ รัฐบาลห่วงใยประชาชนถูกมิจฉาชีพหลอกลวงให้รัก และหลอกลวงให้สูญเสียเงิน ผ่านสื่อออนไลน์ และแอปพลิเคชันต่าง ๆ รวมทั้งจากข้อความผ่านSMS  เป็นต้น  โดยขอให้ประชาชนระมัดระวัง อย่าหลงกล ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ และอย่าให้ข้อมูลส่วนตัวกับคนแปลกหน้า หากมีการเชิญชวนให้โหลดแอปพลิเคชัน เล่นเกมผ่านเว็บไซต์ต่าง ๆ รวมถึงหากต้องการซื้อช่อดอกไม้จากร้านค้าออนไลน์ช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์ ขอให้ตรวจสอบแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ และร้านดอกไม้ที่น่าเชื่อถือ ก่อนจะชำระเงินหรือโอนเงินไปยังปลายทาง เพื่อป้องกันความเสียหายในการชำระเงินไปยังบัญชีของมิจฉาชีพ

นายอนุกูล กล่าวว่า ปัจจุบันการกระทำผิดบนสื่อออนไลน์ของมิจฉาชีพมีหลากหลายรูปแบบ ถึงแม้รัฐบาลได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีการเฝ้าระวัง ติดตาม และป้องกันการกระทำผิดของมิจฉาชีพผ่านสื่อออนไลน์อย่างเข้มงวด รวมถึงเฝ้าระวังและติดตามกลโกงของสื่อรักผ่านออนไลน์ หรือ Romance Scam ซึ่งเป็นการหลอกให้รัก เพื่อหวังแสวงหาผลประโยชน์จากความเชื่อใจของเหยื่อ สำหรับกลอุบายของมิจฉาชีพที่เข้ามาหลอกลวงมักจะมาด้วยกลอุบาย ดังต่อไปนี้ 1. หลอกให้รักแล้วชวนลงทุน (Hybrid scam) ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ปลอมด้วยการโอนเงินหรือลงทุนในรูปแบบสินทรัพย์ดิจิทัล  2. หลอกให้รักแล้วกดลิงก์/ดาวน์โหลดแอปรีโมท (Remote access scam) ควบคุมสมาร์ตโฟนและทำการดูดเงินในบัญชี 3. หลอกให้รัก ให้ถ่ายรูปลับส่วนตัว แล้วแบล็กเมล์ (Sextortion) ขู่กรรโชกทางเพศ ด้วยการชวนทำกิจกรรมทางเพศผ่านทางออนไลน์ แล้วนำภาพหรือวิดีโอมาขู่เรียกค่าไถ่ หรือบีบบังคับให้กระทำการอื่นๆ 4. มิจฉาชีพที่เป็นชาวต่างชาติจะทำทีมาจีบและให้ความหวังว่าอยากจะมาแต่งงานที่เมืองไทย และส่งทรัพย์สินให้ แต่ต้องชำระเงินค่าภาษีก่อน และขอให้ท่านช่วยชำระภาษีให้ก่อน  5. มิจฉาชีพแสดงตัวว่าได้รับมรดกเป็นเงินมหาศาล แต่ต้องชำระภาษีมรดก ขอให้ท่านช่วยชำระภาษี 6. ป่วยหนัก แต่ประกันยังเบิกจ่ายไม่ได้ 7. ส่งของรางวัลราคาแพงมาให้ แต่ติดอยู่ที่ด่านตรวจ ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมก่อน ขอให้ท่านโอนเงินเพื่อจ่ายค่าธรรมเนียมรางวัลก่อน และ 8. เป็นนักธุรกิจชาวต่างชาติที่จะมาลงทุน แต่ต้องการให้ร่วมทุนด้วย

“รัฐบาลย้ำเตือนให้ประชาชนตระหนักรู้เท่าทัน ภัยออนไลน์จากมิจฉาชีพ อย่าหลงเชื่อ หากท่านใดได้รับความเดือดร้อนจากแก๊งค์มิจฉาชีพ หรือถูกหลอกลวงออนไลน์ต่าง ๆ หรือพบเห็นการกระทำความผิด สามารถแจ้งเบาะแสได้ทางสายด่วนโทร 1212 ตลอด 24 ชั่วโมง หากโดนหลอกออนไลน์ โทรแจ้งดำเนินการ ระงับ อายัดบัญชี AOC 1441 และสามารถแจ้งเบาะแส ข่าวปลอม และอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ โทรสายด่วน 1111 (24 ชม.)” นายอนุกูล ระบุ

ด้าน นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า  จากรายงานสรุปสถิติการรับแจ้งเรื่องร้องเรียนปัญหาออนไลน์ โดยศูนย์ช่วยเหลือและจัดการปัญหาออนไลน์ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) พบว่า ปี 2567 (ม.ค.-ธ.ค.) มีเรื่องร้องเรียนปัญหาออนไลน์ ทั้งหมด 35,358 เรื่อง ลดลง 21.74% จากปี 2566 ที่พบทั้งหมด 45,190 เรื่อง

สำหรับ กลโกงที่เหล่ามิจฉาชีพ  5 อันดับแรก ที่ถูกร้องเรียนเข้ามามากที่สุด คือ 1.ปัญหาการซื้อขายออนไลน์ (ได้ของไม่ตรงปก ไม่ได้รับสินค้า สินค้าปลอม) มากถึง 15,050 เรื่อง คิดเป็น 42.56% 2.ปัญหาเว็บไซต์ผิดกฎหมาย (เว็บพนัน เว็บดูดเงิน แอบอ้าง/ปลอมแปลงตัวตน หลอกขายสินค้า) จำนวน 11,371 เรื่อง คิดเป็น 32.16% 3.ปัญหาอื่นๆ หรือสอบถามข้อสงสัย (ข้อมูลทั่วไป การถูกข่มขู่หรือคุกคาม) จำนวน 3,039 เรื่อง คิดเป็น 8.59% 4.ปัญหาหลอกลงทุน และทำงานออนไลน์ (ลงทุนเพื่อทำงานออนไลน์ หลอกให้กู้เงิน แต่ไม่ได้เงิน หลอกลงทุนคริปโทฯ) จำนวน 1,564 เรื่อง คิดเป็น 4.42% 5.ปัญหาภัยคุกคามทางไซเบอร์ (ความผิดทางคอมพิวเตอร์ แอปพลิเคชันดูดเงิน โปรแกรมไม่พึงประสงค์) จำนวน 1,311 เรื่อง คิดเป็น 3.71%

นางสาวศศิกานต์ กล่าวต่อว่า รัฐบาลโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มุ่งส่งเสริมให้คนไทยทำธุรกรรมออนไลน์อย่างปลอดภัยภายใต้กฎหมาย DPS (Digital Platform Services) ที่ไม่เพียงกำหนดให้ธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลเข้ามาแจ้งข้อมูลเพื่อยืนยันตัวตนก่อนให้บริการเท่านั้น แต่ยังต้องมีมาตรการในการดูแลเยียวยาผู้ใช้บริการที่สอดคล้องตามกฎหมายอีกด้วย

นอกจากนี้ ยังยกระดับมาตรฐานบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ทุกคนวางใจได้ ด้วยการใช้เครื่องหมายรับแจ้ง “ETDA DPS NOTIFIED” ที่จะเป็นช่องทางในการตรวจสอบแหล่งที่ตั้งของผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม เพื่อให้มั่นใจได้ว่า บริการแพลตฟอร์มที่เลือกใช้มีตัวตนจริง ติดต่อได้ พร้อมเสริมบทบาทให้ศูนย์ 1212ETDA เป็นศูนย์กลางรับเรื่องร้องเรียนที่เกิดจากการให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการจัดการปัญหาให้เร็วที่สุด โดยเป้าหมายของรัฐบาลต้องลดอาชญากรรม ประเภทนี้ทุกรูปแบบ โดยปีนี้ได้ออกพระราชกำหนดและมาตรการขั้นเด็ดขาดต่าง ๆ ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถลดอาชญากรรมประเภทนี้ได้ไม่น้อยกว่า 70%

“รัฐบาลดำเนินการเชิงรุกเพื่อปราบกลโกงจากมิจฉาชีพอย่างต่อเนื่อง ด้วยการผนึกกำลังทุกภาคส่วน สนับสนุนการนำกฎหมายดิจิทัลมาปรับใช้ เพื่อให้แพลตฟอร์มมีมาตรการป้องกันและเยียวยา  ทั้งนี้ ผู้ถูกหลอกลวงทางออนไลน์ สามารถร้องเรียนและขอรับคำปรึกษา ได้ที่สายด่วน 1212 หรือ Line : @1212ETDA ตลอด  24 ชั่วโมง หรือที่ เพจเฟซบุ๊ก ETDA Thailand” นางสาวศศิกานต์ ย้ำ

เตือนภัย! มิจฉาชีพระบาด แนะลูกค้าออมสินเปิดแอป “MyMo Secure Plus” ป้องกันเงินถูกดูดจากบัญชี

รบ.เตือนภัย! มิจฉาชีพระบาด แนะลูกค้าออมสินเปิดแอป “MyMo Secure Plus” ป้องกันเงินถูกดูดจากบัญชี


วันนี้ (8 กุมภาพันธ์ 2568) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ปัจจุบันเล่ห์เหลี่ยมมิจฉาชีพมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งที่สวมรอยเป็นคอลเซนเตอร์หน่วยงานต่าง ๆ โทรแอบอ้างทางโทรศัพท์ การออกจดหมายปลอม ส่งข้อความล่อลวงให้กดลิงก์เว็บไซต์ปลอม ซึ่งหากหลงเชื่อทำตามจะทำให้มิจฉาชีพเข้าถึงบัญชีเงินฝาก และถอนหรือโอนเงินออกไปโดยไม่รู้ตัว  ทำให้ประชาชนหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อสูญเสียเงินจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ต้องสูญเสียเงินฝากก้อนสุดท้ายโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์


รัฐบาล โดยธนาคารออมสิน แนะนำลูกค้าให้ใช้บริการทำธุรกรรมผ่านแอปพลิเคชันของธนาคาร  MyMo Secure Plus  ซึ่งเป็นโหมดให้บริการบนแอป MyMo ที่ช่วยลดความเสียหายจากการสูญเสียทรัพย์ของประชาชนและลูกค้าของธนาคารออมสิน โดยกดเลือกใช้โหมด MyMo Secure Plus บนแอป MyMo จะไม่สามารถโอนเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคารออมสินของตน ไปยังบัญชีผู้อื่นได้ทั้งสิ้น ช่วยลดความสูญเสียได้ในกรณีที่เกิดพลาดกดลิงก์ที่แนบมากับข้อความใด ๆ หรือกรณีโทรศัพท์มือถือโดนแฮก หรือโดนรีโมตควบคุมจากระยะไกล


ทั้งนี้ ประชาชน ที่เลือกใช้โหมด MyMo Secure Plus ยังคงสามารถใช้บริการ Mobile Banking อื่น ๆ ได้เช่นเดียวกับแอป MyMo โหมดปกติ และยังสามารถโอนเงินไปยังบัญชีชื่อตนเองที่มีอยู่กับธนาคารอื่นได้เมื่อมีเหตุจำเป็นต้องใช้เงิน หรือเมื่อได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบและระมัดระวังที่สุดแล้ว 


”โหมด MyMo Secure Plus เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่เงินฝากระยะยาว ที่ไม่มีความจำเป็นต้องทำธุรกรรมโอนเงินเข้า-ออกเป็นประจำ หรือไม่มีการชำระค่าสินค้าและบริการทาง Mobile Banking ทั้งนี้ สามารถกดเปิดโหมด MyMo Secure Plus บนแอป MyMo ได้ด้วยตนเอง ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป“ นางสาวศศิกานต์ ระบุ

จับอีกราย! ตำรวจไซเบอร์รวบ ‘ผู้หมวด’ กองร้อยปอยเปต แถลงข่าวพรุ่งนี้

เมื่อวันที่ 5 ก.พ.68 เพจ  ตำรวจไซเบอร์ – บช.สอท.  โพสต์ข้อความระบุว่า "ตร.ไซเบอร์จับอีกราย! ผู้หมวดกองร้อยปอยเปต อ้างชื่อตร.มุกดาหาร วิดีโอคอลหลอกโอนเงิน เตรียมแถลงพรุ่งนี้ 9 โมง"

ขอบคุณ เพจ ตำรวจไซเบอร์ – บช.สอท.

 

เตือนภัย! ลวงติดตั้งแอปฯ Digital Pension

วันที่ 5 ก.พ.68 เพจ ตำรวจไซเบอร์ – บช.สอท.  โพสต์ข้อความระบุว่า ปัจจุบันมิจฉาชีพมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบในการหลอกลวงอย่างต่อเนื่อง ขอให้อย่าหลงเชื่อทำตาม ไม่คุย ไม่บอกข้อมูลส่วนตัว ไม่ต้องดำเนินการใด ๆ ตามที่มิจฉาชีพแจ้ง หากพบไลน์ปลอมหรือไลน์ที่ไม่น่าเชื่อถือ รวมทั้งได้รับ sms ที่ส่งลิงก์ต่าง ๆ มาให้กดรับ หากไม่แน่ใจ ห้ามคลิกโดยเด็ดขาด

กรมบัญชีกลางไม่มีนโยบายให้เจ้าหน้าที่ติดต่อหาผู้รับบำนาญหรือทายาท เพื่อให้ดำเนินการต่างๆ เกี่ยวกับการขอเบิกจ่ายเงินบำเหน็จบำนาญแต่อย่างใด

หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ call center ของกรมบัญชีกลาง หมายเลขโทรศัพท์ 0 2270 6400 ในวันและเวลาทำการ

ขอบคุณ เพจ ตำรวจไซเบอร์ – บช.สอท.