เตือนภัย! มิจฉาชีพหลอกซื้อเสื้อผ้ามือสอง อ้างขอเหมาแล้วลวงให้ขายผ่านกลุ่ม Open Chat

วันที่ 26 เม.ย.68 เพจเฟซบุ๊ก ตำรวจสอบสวนกลาง โพสต์ข้อความระบุว่า...

 เตือนภัยมิจฉาชีพ ในรูปแบบ ‘ร้านรับซื้อเสื้อผ้ามือสอง’

พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ หรือผู้ที่สนใจขายเสื้อผ้ามือสองต้องระวัง มิจฉาชีพรูปแบบใหม่ หลอกรับซื้อเสื้อผ้ามือสอง อ้างขอรับซื้อจำนวนมาก ซื้อแบบเหมา จากนั้นลวงเหยื่อให้เข้ากลุ่ม Open chat ลงขายสินค้าเองในกลุ่ม

เมื่อเหยื่อหลงเชื่อลงขายสินค้าในกลุ่ม จะมีทีมหน้าม้าทักมาบอกสนใจ จากนั้นจะขอรหัสร้านค้ากับเหยื่อ อ้างจำเป็นต้องใช้ในการสั่งซื้อ โดยจะเเนะให้เหยื่อไปลงทะเบียนกับแอดมินกลุ่มเพื่อขอรหัส และให้จ่ายค่าลงทะเบียนหลักร้อย พร้อมยืนยันว่าถอนเงินออกได้ในภายหลัง

ต่อมาเมื่อตกลงซื้อขายสินค้ากับทีมหน้าม้าได้แล้ว ทีมหน้าม้าจะโอนเงินเข้าไปในระบบของมิจฉาชีพ ไม่โอนให้เหยื่อโดยตรง ภายหลังเมื่อเหยื่อต้องการถอนเงินออกจากระบบ แอดมินจะอ้างสารพัด บอกให้เหยื่อเปิดการมองเห็นด้วยการซื้อสินค้าของมิจฉาชีพ หรือให้ทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อหลอกให้เหยื่อโอนเงินไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายเมื่อเหยื่อโอนเงินสูงขึ้น มิจฉาชีพจะบล็อคช่องทางการติดต่อ และหนีหายไปทันที

ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ขอเตือนภัยประชาชน การซื้อขายสินค้าผ่านทางออนไลน์ ขอให้ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของร้านค้า หรือระบบการซื้อขายต่างๆ ให้ดีก่อนทุกครั้ง และหากพบรูปแบบการซื้อขายในลักษณะข้างต้น ให้เอ๊ะใจไว้ก่อน และอย่าหลงเชื่อโดยเด็ดขาด

#รับซื้อเสื้อผ้ามือสอง #มิจฉาชีพ #สืบสวนคดีอาญา #CIB #ตำรวจสอบสวนกลาง

สกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ดีอีผนึก 16 พันธมิตร เซ็น MOU แพลตฟอร์ม "DE fence" ป้องกันโทร-SMS หลอกลวง เปิดใช้ 1 พ.ค.68

สกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ดีอีผนึก 16 พันธมิตร เซ็น MOU แพลตฟอร์ม "DE fence" ป้องกันโทร-SMS หลอกลวง เปิดใช้ 1 พ.ค.นี้ 

วันที่ 26 เมษายน 2568 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า กระทรวงดีอี ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมลงนาม MOU สนับสนุนโครงการ “DE-fence platform” (แพลตฟอร์มกันลวง) เพื่อป้องกัน “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” โทรหรือส่ง SMS หลอกลวงประชาชน

โดยจากสถิติการรับแจ้งความคดีออนไลน์ของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 – 31 มีนาคม 2568 พบว่า มีการรับแจ้งความออนไลน์คดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จำนวนทั้งสิ้น 5.19 แสนคดี หรือคิดเป็นมูลค่าความเสียหายมากกว่า 5.07 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นความเสียหายรุนแรงที่เกิดขึ้นกับประชาชน และปัจจุบันยังคงเกิดการหลอกลวงโดย “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” อยู่อย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการที่มิจฉาชีพได้พัฒนาการก่อเหตุโดยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ และปรับเปลี่ยนรูปแบบการหลอกลวงไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการหลอกลวงผ่านการโทรศัพท์และส่ง SMS ถึงผู้เสียหาย

ทั้งนี้ จากการหารือแนวทางการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ระหว่างกระทรวงดีอี กสทช. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) สมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยฯ สมาคมธนาคารไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 ที่ประชุมได้เห็นชอบในการดำเนินโครงการพัฒนาแพลตฟอร์มป้องกันการโทรหลอกลวง “DE-fence platform” เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มป้องกันการโทรหลอกลวง รวมทั้ง ส่ง SMS หลอกลวง โดยเป็นแพลตฟอร์มที่ใช้ในการแจ้งเตือนประชาชน ช่วยในการคัดกรองสายเรียกเข้า และข้อความสั้น ของคนร้าย รวมถึงช่วยยืนยันเบอร์โทรจากหน่วยงานสำคัญ เช่น ตำรวจ หรือ สถาบันการเงิน เป็นต้น ภายใต้ชื่อ “DE-fence platform” (แพลตฟอร์มกันลวง) ซึ่งจะเป็นแพลตฟอร์มสำคัญในการใช้งานป้องกันปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

สำหรับ DE-fence platform เป็นการบูรณาการการทำงานของผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด ทั้งกลุ่มผู้ให้บริการโทรคมนาคม กสทช. ผู้บังคับใช้กฎหมาย อาทิ ตำรวจ และ กระทรวงดีอี เพื่อสอดรับกับนโยบายภาครัฐที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และข้อความสั้น (SMS) หลอกลวง

นายประเสริฐ กล่าวอีกว่า มาตรการนี้ เป็นการป้องกันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ใช้การโทรและ ส่ง SMS หลอกลวงประชาชน ควบคู่กับมาตรการลงทะเบียนผู้ให้บริการส่ง SMS แนบลิงก์ใหม่ทั้งระบบ และต้องมีการลงทะเบียนทุกๆ ปี เพื่อให้สามารถระบุว่า ผู้ให้บริการ และ ผู้ส่ง SMS คือใคร รวมทั้งการลงทะเบียนการส่ง SMS แนบลิงก์ จะต้องระบุรายละเอียดของข้อความ และลิงก์ เพื่อให้ผู้ให้บริการเครือข่าย ตรวจสอบลิงก์ ก่อนที่จะส่ง SMS ไปยังผู้ใช้บริการ (End user)

“การคัดกรองแยกหมายเลขโทรศัพท์ “Blacklist” และ “Whitelist” ออกจากกัน จะเกิดขึ้นไม่ได้หากหลายภาคส่วนไม่ร่วมมือกัน ไม่ว่าสถาบันการเงิน ค่ายมือถือ กสทช. ตลอดจน ปปง. โดยมาตรการ “DE-fence platform” นี้ เป็น 1 ในหลายๆมาตรการ ที่กำหนดขึ้นเพื่อการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งก่อเหตุหลอกลวงข้อมูลส่วนบุคคล และทรัพย์สินของประชาชน ร่วมกับการบังคับใช้ พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 และ พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 โดยเชื่อว่าจะทำให้ความเดือดร้อนของประชาชนลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ” รองนายกประเสริฐ กล่าว

ด้านนายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (สดช.) หรือ BDE กล่าวว่า ตามที่รองนายกฯ ประเสริฐ ได้สั่งการให้ สดช. หรือ BDE เร่งพัฒนา DE-fence platform ให้พร้อมใช้ในกลางปี 2568

สำหรับจุดเด่น ของ DE-fence platform คือ การเชื่อมต่อฐานข้อมูลระหว่างผู้ประกอบการโทรคมนาคม เพื่อให้ได้ข้อมูลเลขหมายที่เป็นปัจจุบันมากที่สุด รวมถึงการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลของ ตร. ปปง. ศูนย์ AOC 1441 และ กระทรวงดีอี เพื่อใช้ในการเตือนประชาชน ทำให้ประชาชนทราบข้อมูลของผู้โทรเข้าว่า เป็นมิจฉาชีพหรือไม่ ความเสี่ยงของเบอร์โทรอยู่ระดับใด ก่อนรับสายหรืออ่านข้อความ SMS รวมถึงสามารถตรวจหาความผิดปกติของ Link ที่แนบมากับ SMS ได้ เมื่อผู้รับต้องการตรวจสอบ

นอกจากนี้ยังมีระบบการแจ้งความออนไลน์ และการแจ้งอายัดบัญชีคนร้าย ผ่านโทรสายด่วน AOC 1441 พร้อมระบบการยืนยันตัวตนของผู้ใช้งาน เพื่อส่งข้อมูลให้กับ ตร. ทั้งนี้ระบบจะมีการทำงานแบบ Real time เพื่อเป็นข้อมูลให้กับ ตร. และ หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ในการวิเคราะห์และวางแผนในการปราบปรามและป้องกันการหลอกลวงได้อย่างมีประสิทธิภาพและดำเนินการปราบปรามการกระทำผิดของมิจฉาชีพได้ทันที

สำหรับ DE-fence platform จะใช้หลักการในการแบ่งสายโทรเข้า รวมถึง SMS ที่ได้รับ เป็น 3 กลุ่ม คือ

1.Blacklist หรือ สีดำ ซึ่งเป็นหมายเลขการติดต่อจากคนร้ายที่ได้รับการยืนยันจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว และแนะนำให้ผู้ใช้บริการเลือก Block หรือ ปิดกั้นแบบอัตโนมัติ

2.Greylist หรือ กลุ่มต้องสงสัย เป็นการติดต่อจากหมายเลขที่ต้องสงสัย อาทิ การติดต่อจากอินเตอร์เน็ต การติดต่อจากต่างประเทศ หรือ หน่วยงานเกี่ยวข้อง หรือ ประชาชนทั่วไปแจ้งว่าเป็นเบอร์ต้องสงสัย โดยระบบจะแจ้งเตือนให้ผู้ใช้บริการได้รู้ถึงระดับความเสี่ยงของสายโทรเข้า หรือ SMS ดังกล่าว

3.Whitelist หรือ สีขาว เป็นหมายเลขหน่วยงานที่ลงทะเบียนถูกต้อง และได้รับการยืนยันจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าเป็นหมายเลขของหน่วยงานรัฐ หมายเลขโทร 3 – 4 หลัก เช่น 1111

อย่างไรก็ตามการพัฒนา DE-fence platform ในระยะแรกจะเน้นที่เบอร์โทร และ SMS ก่อน โดยเฉพาะ whitelist ที่เป็นของหน่วยงานรัฐ ที่คนร้ายมักใช้ในการหลอกลวงประชาชนก่อน และในระยะต่อไปจะขยาย whitelist ให้ครอบคลุมหน่วยงานและบริษัทมากขึ้น พร้อมทั้งขยายการป้องกันและแจ้งเตือน ขณะนี้ DE fence อยู่ระหว่างการทดสอบความปลอดภัยและสามารถรองรับผู้ใช้จำนวนมาก เนื่องจากประเมินว่าจะมีผู้ใช้ประจำ (active users) กว่า 1 ล้านคน

สำหรับการเปิดให้บริการ DE fence แพลตฟอร์ม (BETA version หรือ ระยะทดลอง) จะเริ่มในวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ประชาชนหรือผู้สนใจสามารถ download ได้ จากชื่อ "DE-fence" ผ่านทาง google play store และ apple store

#คอลเซ็นเตอร์ #DEfence #ข่าววันนี้ #มิจฉาชีพ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

"ดีอี" เตือนภัยสงกรานต์! มิจฉาชีพสร้างเพจปลอมอ้างชื่อ OR หลอกขายหุ้น-ดูดเงินเหยื่อ

ดีอี เตือนภัยช่วงสงกรานต์ “โจรออนไลน์” สร้างเพจปลอม “OR เสนอขายหุ้นผู้ลงทุนทั่วไป เริ่มต้นจอง 1,000 บาท ผลตอบแทน 390 บาทต่อวัน” หลอกดูดเงิน-ข้อมูลส่วนบุคคล

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ตรวจพบข่าวปลอมรายสัปดาห์ที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งประชาชนให้ความสนใจสูงสุดอันดับที่ 1 เรื่อง “OR เสนอขายหุ้นผู้ลงทุนทั่วไป เริ่มต้นจอง 1,000 บาท ผลตอบแทน 390 บาทต่อวัน” รองลงมาคือเรื่อง “เปิดทำใบขับขี่ออนไลน์ผ่านเพจ Departme online 67” โดยขอให้ประชาชน อย่าหลงเชื่อข่าวปลอม เลือกเชื่อ-แชร์ ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ หวั่นสร้างความสูญเสียทั้งข้อมูลส่วนบุคคล ทรัพย์สิน และอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนในสังคมเป็นวงกว้าง

นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (BDE) ในฐานะโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวถึงผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ระหว่างวันที่ 4 - 10 เมษายน 2568 พบข้อความที่เข้ามาทั้งหมด 838,297 ข้อความ โดยมีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ (Verify) ทั้งสิ้น 518 ข้อความ

สำหรับช่องทางที่มีการพบเบาะแสมากที่สุด คือ ข้อความที่มาจาก Social Listening จำนวน 498 ข้อความ ตามมาด้วยการแจ้งเบาะแสผ่าน Line Official จำนวน 19 ข้อความ และช่องทาง Facebook จำนวน 1 ข้อความ รวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด 175 เรื่อง และจากการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับผลการตรวจสอบกลับมาแล้ว 74 เรื่อง โดยในจำนวนนี้เป็นข่าวปลอมเกี่ยวกับอาชญากรรมออนไลน์ที่ได้รับความสนใจจากประชาชนมากที่สุด 10 อันดับ ได้แก่

อันดับที่ 1 : เรื่อง OR เสนอขายหุ้นผู้ลงทุนทั่วไป เริ่มต้นจอง 1,000 บาท ผลตอบแทน 390 บาทต่อวัน

อันดับที่ 2 : เรื่อง เปิดทำใบขับขี่ออนไลน์ผ่านเพจ Departme online 67

อันดับที่ 3 : เรื่อง CIB ส่งมอบเงิน 33 ล้านให้ ปปง. คืนผู้เสียหายจากคอลเซ็นเตอร์ ลงทะเบียนรับเงินคืนได้ทางเฟซบุ๊ก

อันดับที่ 4 : เรื่อง ไปทำงานออสเตรเลียแบบถูกต้องตามกฎหมายผ่านกรมแรงงาน กับเพจ Work Australia agency 14

อันดับที่ 5 : เรื่อง กฟภ. เปิดช่องทางการติดต่อผ่านไลน์ ฝ่ายมิเตอร์ไฟฟ้า

อันดับที่ 6 : เรื่อง รับงานพับถุงกระดาษที่บ้าน รายได้ 3,000+/สัปดาห์ สมัครผ่านเพจ “ไทยมีงานทำ”!

อันดับที่ 7 : เรื่อง ออมสินเปิดเพจเฟซบุ๊กใหม่ชื่อ กองทุนเพื่อประชาชนไทย

อันดับที่ 8 : เรื่อง ปปง. เปิดให้ผู้เสียหายติดต่อเพื่อเฉลี่ยคืนทรัพย์สิน ผ่านเพจ Help check and fix problems online

อันดับที่ 9 : เรื่อง กรมปศุสัตว์เปิด TikTok ใหม่ เพื่ออัปเดตข่าวสาร

อันดับที่ 10 : เรื่อง ธ.ก.ส. เปิด TikTok baac.bank391 ใหม่เพื่อแจ้งข่าวสาร

“เมื่อพิจารณาจากข่าวปลอมที่ประชาชนสนใจมากที่สุด จาก 10 อันดับข้างต้น พบว่าเป็นข่าวการให้บริการและให้ความช่วยเหลือประชาชนของหน่วยงานต่างๆ และการชักชวนลงทุนร่วมกับหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ และการหารายได้พิเศษ ซึ่งอาจทำให้ประชาชนที่สนใจเกิดความเข้าใจผิด มีผลกระทบต่อทั้งตัวบุคคลที่เชื่อและแชร์ข้อมูลส่งต่อกันไปเป็นวงกว้าง เกิดความสับสน โดยประชาชนอาจตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ สร้างความเสียหายทั้งทรัพย์สินและข้อมูลส่วนบุคคลได้” นายเวทางค์ กล่าว

สำหรับอันดับ 1 เรื่อง “OR เสนอขายหุ้นผู้ลงทุนทั่วไป เริ่มต้นจอง 1,000 บาท ผลตอบแทน 390 บาทต่อวัน” กระทรวงดีอี ได้ประสานงานร่วมกับบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR พบว่า เป็นข้อมูลเท็จ และขอชี้แจงว่า โฆษณาเชิญชวนลงทุนข้างต้นนั้นเป็นข้อมูลปลอม โดย OR ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง รวมถึงไม่มีนโยบายเสนอขายหุ้นในรูปแบบดังกล่าว และไม่มีการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อเชิญชวนให้ลงทุนในลักษณะนี้แต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ดีอี มีความห่วงใยประชาชน เรื่องความตระหนักรู้เท่าทันข่าวปลอมที่ถูกแพร่กระจายบนสื่อออนไลน์ โซเชียล ซึ่งหากขาดความรู้เท่าทัน ส่งต่อข้อมูลข่าวปลอม ทำให้เกิดการหลงเชื่อ สร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สิน หรือข้อมูลส่วนบุคคล และอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนในสังคมเป็นวงกว้าง ดังนั้นจึงควรตรวจสอบข้อเท็จจริงของข่าวหรือลิงก์เว็บไซต์ให้แน่ชัด

สามารถแจ้งเบาะแส ข่าวปลอม และอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ โทรสายด่วน 1111 (24 ชม.)

|  Line ID: @antifakenewscenter | เว็บไซต์ www.antifakenewscenter.com

ร้านเพชร Queen Diamond เมืองแพร่ เตือนภัย ถูกมิจฉาชีพปลอมเพจ หลอกลูกค้า โอนเงิน เสียหายนับ 10 ราย

ร้านเพชร Queen Diamond เมืองแพร่ เตือนภัยถูก มิจฉาชีพปลอมเพจ หลอกลูกค้า โอนเงิน เสียหายนับ 10 ราย

ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดแพร่ว่า นางจีรพรรณ ตรีเทพชาญชัย กรรมการผู้จัดการ Queen Diamond Thailand  ร้านจำหน่ายเพชร ที่ดำเนินกิจการมานานกว่า 25 ปี เปิดเผยว่า ทางร้านนอกจากจะมีหน้าร้านสองสาขา คือ Queen Diamon ที่จังหวัดขอนแก่น และ Queen Diamond สาขาแพร่  มีหน้าร้าน และ ไลฟ์สด ทางออนไลน์ ได้ถูกมิจฉาชีพ ปลอมเพจ อย่างเนียนจนแทบ ไม่รู้ว่าอันไหนเพจจริง และปลอม แต่จะมีข้อแตกต่างที่สังเกตุได้คือ ผู้ติดตามและผู้เข้าชม ขณะไลฟ์สด ให้ลูกค้า ได้ เอฟสินค้า  ซึ่งมีลูกค้าบางท่านไม่ได้สังเกตุ เมื่อเข้าไปประมูลสินค้า และมีการบิดราคาปิดจบ หลักหมื่น ทั้งที่สินค้ามีมูลค่าหลักแสน  จึงได้รีบโอนเงินทันทีซึ่งมีลูกค้า ได้รับความเสียหาย นับ 10 ราย สูญเงินไปจำนวนมาก 

"ขณะทาง ทางQueen Diamond  ได้ดำเนินการแจ้งความ ที่ สภ เมืองแพร่ ให้เจ้าหน้าที่ ได้ดำเนินคดี ในการตรวจสอบ บช ที่โอน ไปยังปลายทางแล้ว  ผู้เสียหายส่วนใหญ่เป็นลูกค้าของควีนไดมอนด์ ที่เข้ามาประมูลเพชร ที่ทางร้านได้จัดกิจกรรม ทางออนไลน์ ทำให้เป็นช่องทางของมิจฉาชีพ ฉวยโอกาส สร้างเพจปลอม ขึ้นมา ซึ่งทางร้านควีนไดมอนด์ ได้ ขอให้ลูกค้าที่เข้ามาร่วมกิจกรรม ออนไลน์ ก่อนจะโอนเงิน ให้โทรสอบถามเลข บช ชื่อผู้รับปลายทางก่อนทุกครั้ง ที่หมายเลข สาขาแพร่ 054-522440  เพื่อความมั่นใจ และปลอดภัย  อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดี ติดตามผู้กระทำผิด มาชดใช้แก่ผู้เสียหาย ซึ่งมีความคืบหน้าและทราบข้อมูลบ้างแล้ว" นางจีรพรรณ กล่าว

ตำรวจไซเบอร์เตือน! มิจฉาชีพสร้าง “เพจที่พักปลอม” อ้างดีลสงกรานต์ราคาถูก หลอกโอนเงินแล้วเชิดหนี

เมื่อวันที่ 6 เม.ย.68 เพจ ตำรวจไซเบอร์ กองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ออกประกาศเตือนภัยประชาชนให้ระวังกลุ่มมิจฉาชีพสร้าง เพจเฟซบุ๊กปลอมแอบอ้างเป็นที่พักชื่อดัง โดยอ้างว่าเป็น "ที่พักหลุดจอง" หรือ "ดีลพิเศษช่วงสงกรานต์" พร้อมเสนอราคาถูกผิดปกติ เพื่อหลอกให้เหยื่อโอนเงินมัดจำก่อนจะหายตัวไป ไม่สามารถติดต่อได้อีก

รูปแบบการหลอกลวง
1.สร้างเพจเลียนแบบรีสอร์ตหรือโรงแรมชื่อดัง

2.ใช้ภาพจริงจากที่พัก พร้อมเสนอ “โปรโมชันราคาพิเศษ”

3.หลอกว่า “ห้องหลุดจอง” ต้องรีบโอนจองด่วน

4.ติดต่อได้ช่วงแรก แต่จะบล็อกหรือปิดเพจหลังได้เงิน

วิธีป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ
1.จองผ่านแพลตฟอร์มทางการ หรือแอปจองที่เชื่อถือได้

2.ตรวจสอบชื่อเพจ ชื่อที่พัก และวันที่สร้างเพจ อย่างละเอียด

3.เพจต้องมีข้อมูลติดต่อครบถ้วน และมีเครื่องหมายยืนยันตัวตน (ถ้ามี)

4.โทรสอบถามกับที่พักโดยตรง ก่อนโอนเงินทุกครั้ง

5.หลีกเลี่ยงการโอนเข้าบัญชีบุคคลธรรมดา หากไม่มีหลักฐานชัดเจน

6.ระวังโฆษณาที่ราคาถูกผิดปกติ หรือรีวิวเวอร์เกินจริง

7.ตรวจสอบชื่อบัญชีผู้รับเงิน ผ่านเว็บไซต์ www.anti-scam.or.th หรือแอปพลิเคชัน Cyber Check

เตือน “ปชช.” ระวังตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ สร้างสลิปปลอมสมจริง แนะค้าขายเช็กยอดบัญชี อย่าหลงกลมิจฉาชีพ

เตือน ปชช. ระวังตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ สร้างสลิปปลอมสมจริง แนะค้าขายเช็กยอดบัญชีเสมอ อย่าหลงกลมิจฉาชีพ

วันนี้ (3 เมษายน 2568) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เตือนภัยมิจฉาชีพ ใช้เครื่องมือ AI ยอดฮิต Chat GPT สร้างสลิปโอนเงินปลอมได้ แนะประชาชนคนทำงาน คนทำธุรกิจ ร้านค้าดูให้ดี เช็กยอดเงินเข้าในบัญชีทุกครั้งที่มีการโอน ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยี AI เข้ามาตอบสนองความต้องการ และมีบทบาทต่อการใช้ชีวิตเป็นอย่างมาก เช่น ChatGPT หรือ OpenAI GPT ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายและถูกนำไปประยุกต์ใช้ในหลากหลายวงการ เนื่องจากความสามารถในการสื่อสารและให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว

นายคารม กล่าวว่า ChatGPT เป็น AI ที่มีความสามารถในการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing - NLP) ได้อย่างรวดเร็ว และเข้าใจภาษาของมนุษย์ ออกแบบมาเพื่อการสนทนาโต้ตอบกับผู้ใช้ สามารถตอบคำถาม ให้ข้อมูล สร้างสรรค์ข้อความ และสนทนาในรูปแบบต่าง ๆ ได้รับการฝึกฝนด้วยข้อมูลจำนวนมหาศาล ทำให้มีความรู้ในหลากหลายหัวข้อ และสามารถสร้างข้อความที่คล้ายกับมนุษย์เขียนสามารถใช้ในการตอบคำถามทั่วไป แก้ปัญหา เขียนโค้ด สร้างสรรค์เนื้อหา เช่น บทความ บทกวี เรื่องตลก เป็นต้น โดยโมเดลล่าสุดของ ChatGPT อย่างโมเดล GPT-40 มีความสามารถในการสร้างภาพ (Image Generation) ให้มีความสมจริงได้ กำลังถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือใหม่ของเหล่ามิจฉาชีพทำสลิปโอนเงินปลอม ทั้งในรูปแบบข้อความภาษาอังกฤษและภาษาไทย ซึ่งไม่เพียงแต่สลิปโอนเงินปลอมของธนาคาร แต่ยังสามารถปลอมใบรับรองแพทย์ หรือเอกสารราชการต่าง ๆ ได้เสมือนจริงแทบจะแยกจากของจริงไม่ได้ สร้างความเสียหายในวงกว้างเป็นอย่างมาก

“แนะเช็กยอดเงินโอนทุกครั้ง เตือนการปลอมแปลงเอกสารทางการเงินหรือเอกสารราชการ ถือเป็นความผิดทางกฎหมายที่มีโทษร้ายแรง และหากมีการนำไปใช้หลอกลวงผู้อื่นจนได้รับความเสียหายจะยิ่งมีความผิดซ้อนหลายกระทง ตามบทบัญญัติในความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอมตาม ป.อ. มาตรา 264 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 และมาตรา 268 วรรคแรก” นายคารม ย้ำ

ระวัง! มิจฉาชีพ ฉวยโอกาสเหตุแผ่นดินไหว หลอกขอรับบริจาคเงิน

วันที่ 1 เม.ย.68 เพจเฟซบุ๊ก ตำรวจสอบสวนกลาง โพสต์ข้อความระบุว่า...

จากเหตุแผ่นดินไหวในประเทศไทย สิ่งหนึ่งที่เราต้องพึงระวังพอๆ กับวิธีการรับมือเหตุแผ่นดินไหว คือ เหล่ามิจฉาชีพ ที่มักจะฉวยโอกาสบนความเดือดร้อนของประชาชน หลอกขอรับบริจาคเงิน อ้างจะนำเงินไปช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหว

ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) จึงขอฝากให้ประชาชนพิจารณาช่องทางการเปิดรับบริจาคให้ดีก่อนทุกครั้ง หากต้องการจะโอนเงินเพื่อไปบริจาคยังมูลนิธิ หรือองค์กรใดๆ ควรเช็คบัญชีปลายทางให้ดีก่อนทุกครั้ง

สำหรับจุดสังเกตมิจฉาชีพหลอกรับบริจาคเงิน มักจะใช้บัญชีปลายทางในนามบุคคล หรือชื่อบัญชีที่ไม่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือผู้ประสบภัยแต่อย่างใด

#แผ่นดินไหว #มิจฉาชีพ #ขอรับบริจาค #ตำรวจสอบสวนกลาง #CIB

 

เตือนระวัง! SMS ปลอมอ้างแผ่นดินไหว หลอกแชร์-หลอกคลิก แนะเช็กข้อมูลจริงผ่าน cofact.org

เตือนระวัง SMS ข่าวปลอม “แผ่นดินไหว” แนะ ปชช. ตรวจสอบข่าวผ่านแพลตฟอร์ม cofact.org เช็กข่าวชัวร์ก่อนแชร์ ป้องกัน ไม่ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ

วันที่ 31 มี.ค.68 นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำเตือนประชาชน ระวังมิจฉาชีพส่ง SMS ดูดข้อมูลส่วนตัว อย่าหลงเชื่อข่าวปลอมบนออนไลน์ อ้างเหตุการณ์แผ่นดินไหว หลังพบประชาชนเข้าแพลตฟอร์ม cofact.org ของสำนักงานสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เพื่อตรวจสอบข่าวเหตุการณ์ภัยพิบัติเป็นจำนวนมาก

นายคารม กล่าวว่า จากกรณีการเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย ทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้ง ทำให้ประชาชนมีภาวะเครียด วิตกกังวล และต้องเผชิญภัยหลอกลวงจากมิจฉาชีพ เนื่องจากหลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ในโลกออนไลน์ได้มีการแชร์ข่าวปลอมจำนวนมาก สอดคล้องกับรายงานสถิติผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม cofact.org เพื่อตรวจสอบข่าวลวง พบมีประชาชนเข้าระบบตรวจสอบข่าวเกี่ยวกับการรายงานเหตุการณ์ภัยพิบัติ อาคารสูงที่มีรอยร้าวจากแผ่นดินไหว สอบถามข้อเท็จจริงผู้รับเหมาอาคารที่ตึกถล่ม กว่า 7,832 ราย นอกจากนี้ ยังพบอีกว่ามิจฉาชีพอาศัยสถานการณ์ดังกล่าว ส่งลิงก์ผ่าน SMS และโพสต์ลิงก์ข่าวปลอม โดยอ้างว่าเป็นการแจ้งเตือนเหตุการณ์แผ่นดินไหว หากประชาชนรู้ไม่เท่าทันและเผลอกดลิงก์ดังกล่าว จะส่งผลให้มิจฉาชีพสามารถเข้าควบคุมเครื่องโทรศัพท์จากทางไกลได้ นำมาสู่ความไม่ปลอดภัยในทรัพย์สินและข้อมูลส่วนตัว ส่งผลทำให้เกิดความสูญเสียตามมา

“เพื่อป้องกันการสับสนของข้อมูล และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ขอให้ประชาชนรับฟังข้อมูลจากส่วนราชการเท่านั้น เช่น สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย หรือ NBT กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) และศูนย์บัญชาการเหตุการณ์กรุงเทพมหานคร กรณีเกิดแผ่นดินไหว ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อข่าวปลอมของมิจฉาชีพ รัฐบาลขอเชิญชวนร่วมกันใช้แพลตฟอร์ม “cofact.org” เพื่อตรวจสอบข่าวให้ชัวร์ ก่อนแชร์ ขอให้ประชาชน “อย่าเพิ่งเชื่อ อย่าเพิ่งแชร์ อย่าเพิ่งโอน” ป้องกันไม่ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ” นายคารม กล่าว

“ผบ.ตร.”ย้ำทุกหน่วยเร่งช่วยปชช.เหตุแผ่นดินไหว คุมเข้มอาชญากรรม-ป้องกันมิจฉาชีพซ้ำเติมทุกรูปแบบ

“ผบ.ตร.”ย้ำทุกหน่วยเร่งช่วยปชช.เหตุแผ่นดินไหว คุมเข้มอาชญากรรม-ป้องกันมิจฉาชีพซ้ำเติมทุกรูปแบบ พร้อมส่งชุดปฏิบัติการพิเศษร่วมค้นหาผู้รอดชีวิต เปิดหน่วยนิติเวช ตรวจDNA เปรียบเทียบ

วันนี้ (30 มีนาคม 2568) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงความคืบหน้ามาตรการดูแลพี่น้องประชาชนหลังเหตุภัยพิบัติแผ่นดินไหว ว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้สั่งการทุกหน่วยยังคงความเข้มในการดำเนินการบูรณาการร่วมหน่วยงานเกี่ยวข้อง ในการช่วยเหลือ อำนวยความสะดวกการจราจร ตลอดจนการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน หลังเหตุภัยพิบัติแผ่นดินไหวที่ผ่านมา โดยให้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) และศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า (ศปก.สน.) ของกองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อบริหารจัดการร่วมกับหน่วยต่างๆ  ดังนี้

1) การช่วยค้นหาช่วยเหลือผู้ประสบภัยเหตุตึกถล่ม และการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล : ได้สั่งการให้หน่วยปฏิบัติการพิเศษ ส่งกำลังพลชุดปฏิบัติการเข้าร่วมช่วยเหลือ ทั้งในส่วนของกองบัญชาการตำรวจนครบาล , กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน , ตำรวจภูธร รวมทั้งมีสุนัขตำรวจ และโดรนตรวจจับความร้อน ร่วมหน่วยเกี่ยวข้องสำรวจช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่ในภายในตึก ซึ่งขณะนี้ยังร่วมทำงานเข้มข้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังสั่งการให้สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ทำการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล พร้อมขอฝากประชาสัมพันธ์ญาติผู้ได้รับผลกระทบสูญหายจากเหตุอาคารถล่มเนื่องจากแผ่นดินไหว ให้มาตรวจเก็บ DNA เพื่อตรวจเปรียบเทียบได้ที่สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ 

2) การดูแลอำนวยการจราจร : ได้สั่งระดมตำรวจจราจรทุกพื้นที่ออกให้การจราจรดูแลพี่น้องประชาชน มีกองบังคับการตำรวจจราจรเป็นหน่วยงานในการบริหารจัดการจราจร  มีการจัดกำลังเป็นชุดปฏิบัติรถนำรถพยาบาล ขนย้ายผู้ป่วย ขนย้ายเครื่องมือ กำลังพล เพื่อให้สามารถช่วยเหลือเหตุได้อย่างรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ ขณะนี้ภาพรวมการจราจรเริ่มสู่สถานการณ์ปกติ เหลือเพียงจุดด่วนดินแดงที่ยังปิดให้บริการ ซึ่งได้ประสานงานกับเอกชน เพื่อให้สามารถเปิดการจราจรให้เร็วที่สุดและต้องปลอดภัยที่สุดด้วย

3) การดูแลความปลอดภัย : ได้สั่งการให้ทุกสถานีตำรวจนครบาลที่มีการเปิดสวนสาธารณะ หรือสถานที่อื่นๆ ให้เป็นที่พักชั่วคราวของประชาชน ต้องจัดสายตรวจดูแลความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งการเพิ่มความเข้มป้องกันมิจฉาชีพที่จะฉวยโอกาสซ้ำเติมพี่น้องประชาชน โดยจะต้องเพิ่มวงรอบตรวจตรามากขึ้น รวมทั้งการปฏิบัติการทางสื่อโซเชียล ออนไลน์ โดยมอบหมายให้ตำรวจไซเบอร์เฝ้าระวังการส่ง SMS หรือกลลวงต่างๆ ที่จะไปหลอกหลวงประชาชน หากพบให้รีบดำเนินการจับกุม มิให้เป็นเยี่ยงอย่าง

นอกจากนี้ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ผบ.ตร.ได้เน้นย้ำกับกำลังพลทุกภาคส่วน “ทุกวินาทีมีค่า” ตำรวจจะต้องทำงานอย่างหนักและต่อเนื่องในห้วงนี้ ร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้อง เร่งสนับสนุน ช่วยเหลือค้นหาผู้ประสบภัย รักษาชีวิต จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย รวมทั้งการปกป้องรักษาความปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชน การดูแลอำนวยความสะดวกการจราจรอย่างเต็มกำลัง รวมทั้งได้สั่งการให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้น ลงไปตรวจสอบดูแลอาคาร ที่พัก ความปลอดภัยของข้าราชการตำรวจ ดูแลสวัสดิการความเป็นอยู่ของผู้ใต้บังคับบัญชา และช่วยเหลือทุกด้าน

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนต้องการความเหลือสามารถติดต่อที่หมายเลข 191 หรือ 1599 หรือติดต่อสอบถามการจราจรที่สายด่วนกองบังคับการตำรวจจราจรกลาง 1197 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

รู้ไว้ไม่ถูกหลอก! เช็ก “สลิปโอนเงินจริง-ปลอม” ง่ายๆแค่สแกน QR Code ผ่านแอปฯ Krungthai NEXT

รู้ไว้ไม่ถูกหลอก! เช็ก “สลิปโอนเงินจริง-ปลอม” ง่ายๆแค่สแกน QR Code ผ่านแอปฯ Krungthai NEXT

วันที่ 27 มีนาคม 2568 กระทรวงการคลังโพสต์โพสต์เฟสบุคระบุว่า

รู้ไว้ไม่ถูกหลอก สลิปจริงหรือปลอม เช็กได้ง่ายๆแค่สแกน QR บนแอปฯ Krungthai NEXT ขั้นตอนไม่ยากทำตามได้เลย

1.เข้าแอปฯ Krungthai NEXT  กด “สแกน” 
2.กดเลือกสลิปโอนเงินที่ต้องการตรวจสอบ
3.ตรวจสอบข้อมูลการยืนยันรายการ ที่สำคัญได้เลย เช่น
ชื่อผู้โอน , ผู้รับโอน , จำนวนเงิน และวันที่โอนเงิน

แนะนำตัวช่วยดีๆไม่พลาดทุกสลิป สมัครและลงทะเบียน LINE Krungthai Connext แจ้งเตือน เงินเข้า - ออก และทุกความเคลื่อนไหวของบัญชี

"เงินอยู่ในกระเป๋าเรา อย่าปล่อยให้ใครเอาไป กดแชร์เพื่อไม่ให้ใครโดนหลอกอีกต่อไป"

ลูกค้ากรุงไทยสอบถามหรือแจ้งเหตุได้ที่ โทร. 02-111-1111 กด 108 ตลอด 24 ชั่วโมง

#Krungthai #กรุงไทย #ทันมุกทุกมิจ #มิจฉาชีพ #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์