CU-CP สานพลังจากนวัตกรรมหน้ากาก 'POR-DEE' สู่ภารกิจใหญ่บุก จ.น่าน สู้วิกฤตหมอกควัน PM 2.5-สร้างอาชีพ หนุนเกษตรกรเลิกเผา

CU - CP สานพลัง จากนวัตกรรมหน้ากาก 'POR-DEE' สู่ภารกิจใหญ่บุก จ.น่าน สู้วิกฤตหมอกควัน PM 2.5 - สร้างอาชีพ หนุนเกษตรกรเลิกเผา

ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ยังคงเป็นความท้าทายสำคัญที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ตามแนวคิดของ ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ว่า “เมื่อสังคมมีปัญหา จุฬาฯ มีคำตอบ” ความร่วมมือระหว่างจุฬาฯ โดยคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ที่มี รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธ์ เป็น คณบดี ฯ และเครือซีพีจึงเกิดขึ้นเพื่อพัฒนา 'POR-DEE' หน้ากากป้องกันฝุ่น PM 2.5 ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษให้พอดีกับใบหน้าคนไทย มีประสิทธิภาพในการป้องกันฝุ่น PM 2.5 เพื่อให้นำไปจำหน่ายในราคาที่ย่อมเยา โดยรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจะถูกนำไปบริจาคให้กับโรงพยาบาลจุฬาฯ และคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ตามเจตนารมณ์ของนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือซีพี 

โดยล่าสุด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำโดย ศ.นพ.รังสรรค์ ฤกษ์นิมิตร ผู้ช่วยอธิการบดี ด้านนวัตกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมทางการแพทย์ฯ คณะแพทยศาสตร์ พร้อมด้วย ศ.นพ.สมชาย ธนวัฒนาเจริญ คณบดี สำนักวิชาการทรัพยากรการเกษตร จุฬาฯ  และผู้บริหาร คณาจารย์จากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และ เครือเจริญโภคภัณฑ์ นำโดย ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ประธานคณะผู้บริหาร ด้านความยั่งยืนองค์กร และการพัฒนากลยุทธ์  พร้อมด้วย นายจอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหาร ด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์  และ นายภูมิชัย ตรัยดลานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี โซเชียลอิมแพคท์ จำกัด ได้จับมือกันลงพื้นที่จังหวัดน่าน มอบหน้ากากป้องกันฝุ่น PM 2.5 'POR-DEE' ให้บุคลากร นิสิต นักศึกษา ของจุฬาฯ จ.น่าน และประชาชนในพื้นที่ หลังพบว่า น่านเป็นหนึ่งในจังหวัดภาคเหนือที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวต่อฤดูร้อน

นอกจากนี้ยังมีการศึกษาดูงานในพื้นที่พัฒนาของทั้งสองหน่วยงาน  เริ่มจาก โครงการสบขุ่นโมเดล ที่ อ.ท่าวังผา จ.น่าน  ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาต้นแบบที่ซีพีดำเนินการมากว่า 5 ปี เพื่อส่งเสริมการปลูกกาแฟทดแทนข้าวโพดที่ต้องใช้วิธีการเผาเพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูก ในขณะที่ จุฬาฯ นำซีพีศึกษาดูงานการส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อของสำนักวิชาการทรัพยากรการเกษตร จุฬาฯ น่าน ที่ อ.ภูเพียง จ.น่าน ซึ่งดำเนินการขึ้นมาเพื่อสร้างอาชีพทางเลือกที่มั่นคงให้แก่เกษตรกรในจังหวัดน่าน พร้อมกันนี้ยังมีการจัดเวทีสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เพื่อสานพลัง แลกเปลี่ยน เรียนรู้ เกี่ยวกับแนวทางแก้ปัญหาฝุ่นละอองอย่างเป็นระบบ ซึ่งได้ต่อยอดความร่วมมือไปสู่การพัฒนาและบูรณาการภาคเกษตรไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ศ.นพ.รังสรรค์ ฤกษ์นิมิตร ผู้ช่วยอธิการบดี ด้านนวัตกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมทางการแพทย์ฯ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ เปิดเผยว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย ศูนย์นวัตกรรมทางการแพทย์ฯ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ลงพื้นที่จังหวัดน่าน มอบหน้ากากป้องกันฝุ่น PM 2.5 'POR-DEE' ให้ประชาชนในพื้นที่ เนื่องจากน่านเป็นหนึ่งในจังหวัดภาคเหนือที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษฝุ่นละอองขนาดเล็ก โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวต่อฤดูร้อน  ซึ่งหน้ากากอนามัยทั่วไปไม่สามารถป้องกันฝุ่น PM 2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่หน้ากาก N95 แม้จะป้องกันได้ดีแต่มีราคาสูงและสวมใส่ไม่สบาย ศูนย์นวัตกรรมทางการแพทย์ฯ จึงพัฒนา 'POR-DEE' หน้ากาก 4 ชั้น ที่สามารถกรองฝุ่น PM 2.5 ได้ถึง 99% กระชับใบหน้า ใส่สบาย และหายใจสะดวก เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงอุปกรณ์ป้องกันที่มีคุณภาพมากขึ้น โดยในครั้งนี้คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และซีพี ได้มอบหน้ากากป้องกันฝุ่น PM 2.5 ให้แก่สำนักวิชาการทรัพยากรการเกษตร จุฬาลงกรณ์ จ.น่าน เพื่อนำไปแจกจ่ายแก่บุคลากร นิสิต นักศึกษาของจุฬาฯที่ จ.น่าน รวมถึงพี่น้องประชาชนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่น PM 2.5

ทั้งนี้นอกจากการมอบหน้ากากป้องกันฝุ่น จุฬาฯ และเครือซีพียังร่วมศึกษาทางออกระยะยาวในการลดปัญหา PM 2.5 โดย ศ.นพ.รังสรรค์ และคณะอาจารย์จากจุฬาฯ ได้ลงพื้นที่เรียนรู้ 'สบขุ่นโมเดล' ซึ่งดำเนินการพัฒนาโดยเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพี เป็นโครงการสนับสนุนเกษตรกรปลูกกาแฟแทนการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของปัญหาหมอกควันและโลกร้อน โดยซีพีให้การสนับสนุนตั้งแต่กระบวนการต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตั้งแต่การให้ความรู้แก่เกษตรกร การเพาะปลูก ไปจนถึงการจัดจำหน่าย ซึ่งเป็นแนวทางที่ช่วยลดการเผาพื้นที่การเกษตรที่ก่อให้เกิดฝุ่นพิษและยังสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับชุมชน

“เราเห็นความตั้งใจของเครือซีพีในการสนับสนุนเกษตรกรและลดปัญหาฝุ่นอย่างเป็นรูปธรรม ในอนาคตจุฬาฯ พร้อมร่วมมือผลักดันให้ชุมชนสบขุ่นมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยการสนับสนุนช่องทางการจำหน่ายเมล็ดกาแฟผ่านเครือข่ายของจุฬาฯ ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจให้ชาวบ้านหันมาปลูกกาแฟมากขึ้น แทนการทำไร่ข้าวโพดที่ก่อให้เกิดมลพิษ” ศ.นพ.รังสรรค์กล่าว 

ขณะเดียวกัน ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ประธานคณะผู้บริหาร ด้านความยั่งยืนองค์กรและการพัฒนากลยุทธ์ เครือซีพี  เปิดเผยว่า  ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่กำลังเป็นวิกฤตในประเทศไทยไม่ได้เกิดจากการเผาพื้นที่การเกษตรเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีสาเหตุจากการเผาป่า รวมถึงฝุ่นที่เกิดจากการจราจร โรงงานอุตสาหกรรม และความกดอากาศต่ำ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อหาทางแก้ไขอย่างยั่งยืน สำหรับเครือซีพีในฐานะองค์กรที่ดำเนินธุรกิจด้านการเกษตร ได้กำหนดนโยบายที่ชัดเจนในการไม่รับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มาจากการเผาแปลงเกษตรหรือการบุกรุกป่า โดยนำระบบตรวจสอบย้อนกลับด้วยเทคโนโลยีดาวเทียมมาติดตามจุดความร้อนแบบเรียลไทม์ หากพบว่าเกษตรกรมีการเผาหรือบุกรุกป่า จะไม่สามารถจำหน่ายผลผลิตให้กับเครือซีพีได้ นอกจากนี้เครือซีพียังส่งเสริมเกษตรกรให้ปลูกพืชทางเลือกแทนการเผา โดยเฉพาะกาแฟ ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่สามารถสร้างรายได้สูงและช่วยลดปัญหามลพิษทางอากาศ 'สบขุ่นโมเดล' เป็นหนึ่งในโครงการนำร่องที่เครือซีพีริเริ่มขึ้นในปี 2558 ภายใต้การผลักดันของซีอีโอ-ศุภชัย เจียรวนนท์ เพื่อเปลี่ยนพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดเชิงเดี่ยวให้กลายเป็นแหล่งเพาะปลูกกาแฟที่มีมูลค่าสูงขึ้น โครงการนี้ไม่เพียงช่วยลดการเผาพื้นที่เกษตร แต่ยังเป็นการสร้างรายได้ที่มั่นคงให้แก่เกษตรกรในพื้นที่

นายจอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหาร ด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) เผยถึงการทำงานเชิงรุกในจังหวัดน่านของซีพี ระบุว่า  ซีพีได้จัดตั้งสำนักงานด้านความยั่งยืนและพัฒนาชุมชน จ.น่าน ขึ้นมาในปี 2562 เพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและพัฒนาคุณภาพชีวิตเกษตรกร โดยดำเนินโครงการ สบขุ่นโมเดล เพื่อฟื้นฟูภูเขาหัวโล้น ด้วยการสนับสนุนเกษตรกรปลูกกาแฟแทนการทำไร่ข้าวโพด โดยให้การสนับสนุนครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เนื่องจากกาแฟเป็นพืชเศรษฐกิจมูลค่าสูง โดย 1 ไร่ของกาแฟให้รายได้เทียบเท่ากับข้าวโพด 7 ไร่ ลดการใช้พื้นที่เกษตรและเพิ่มมูลค่าอาชีพ โดยเกษตรกรรวมตัวเป็นวิสาหกิจชุมชน พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูป เช่น กาแฟคั่ว กาแฟสำเร็จรูป ปุ๋ยหมัก และชาดอกกาแฟ และยังเปิดร้านกาแฟบ้านสบขุ่น บริหารโดยคนในชุมชน  ทั้งนี้พบว่า สบขุ่นโมเดลช่วยให้พื้นที่ป่ากลับคืนมา 60% หรือกว่า 5,551 ไร่ และสามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกรในพื้นที่ได้มากกว่า 1.6 ล้านบาท

นอกจากนี้ทั้งสองหน่วยงาน คือ จุฬาฯ และ ซีพี ยังได้เยี่ยมชมฟาร์มโคเนื้อในโครงการพัฒนาเครือข่ายธุรกิจชุมชนร่วมโคเนื้อ ต.เมืองจัง อ.ภูเพียง จ.น่าน ซึ่งเป็นโครงการภายใต้การสนับสนุนของสำนักวิชาการทรัพยากรการเกษตร จุฬาฯ ที่มุ่งพัฒนาการเลี้ยงโคเนื้อของเกษตรกรให้สามารถผลิตโคเนื้ออย่างมีคุณภาพตรงตามความต้องการของตลาด และสามารถสร้างรายได้ที่ดีให้กับเกษตรกรเพื่อนำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้สำนักวิชาการทรัพยากรการเกษตรฯได้นำเสนอการวิจัยเพื่อสร้างอาชีพทางเลือกให้กับเกษตกร จ.น่าน อีก 2 เรื่อง คือ การพัฒนาและยกระดับธุรกิจเมล็ดโกโก้ โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการท้องถิ่นให้มีองค์ความรู้ในการแปรรูปโกโก้จากโกโก้ผลสดเป็นเมล็ดโกโก้แห้งที่มีมาตรฐานตามความต้องการของตลาด  และอีกโครงการคือการผลิตถ่านชีวภาพ (biochar) เพื่อลดคาร์บอน โดยจุฬาฯ และเครือซีพีจะดำเนินการต่อยอดโครงการดังกล่าวในอนาคตร่วมกันต่อไป

ทั้งนี้ ศ.นพ.สมชาย ธนวัฒนาเจริญ คณบดี สำนักวิชาทรัพยากรการเกษตร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในเร็ว ๆ นี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะยกระดับสำนักวิชาการทรัพยากรการเกษตร ฯ ให้เป็น “คณะเกษตรบูรณาการ” เพื่อสร้างเกษตรกรรุ่นใหม่ให้เป็นผู้ประกอบการ ต่อยอดสร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้กับภาคการเกษตรกรไทย  การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างจุฬาฯ และเครือซีพีในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่สามารถต่อยอดไปสู่การพัฒนานวัตกรรม การขยายผลงานวิจัย และการพัฒนาแนวทางการทำเกษตรที่ยั่งยืน เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับเกษตรกรไทย

นอกจากการบรรเทาผลกระทบจากฝุ่น PM 2.5 และส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืนแล้ว ความร่วมมือนี้ยังเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรอย่างเป็นระบบ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและเครือซีพีมุ่งมั่นที่จะสานต่อความร่วมมือผ่านการวิจัย การพัฒนานวัตกรรมด้านเกษตรและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการส่งเสริมการเรียนรู้ให้กับเกษตรกรและชุมชน เพื่อสร้างเศรษฐกิจสีเขียวที่ยั่งยืน ต่อยอดการพัฒนาสู่ระดับประเทศ และเป็นต้นแบบให้กับพื้นที่อื่น ๆ ที่ประสบปัญหาเดียวกัน พร้อมทั้งเตรียมความพร้อมในการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างซีพีและคณะเกษตรบูรณาการ เพื่อขับเคลื่อนพัฒนาภาคเกษตรกรรมของไทยในระยะยาวอย่างเป็นรูปธรรม   

 

เช้านี้ อากาศกรุงเทพฯสดใส เพียง 11 เขต มีค่าฝุ่น PM2.5 ระดับสีเหลือง

วันที่ 17 ก.พ.68 กระทรวง อว. โดย GISTDA เกาะติดสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ด้วยข้อมูลจากดาวเทียมแบบรายชั่วโมงผ่านแอปพลิเคชัน “เช็คฝุ่น” รอบเวลา 07:00 น. ของวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 พบ เพียง 11 เขตของกรุงเทพมหานครมีค่าฝุ่น PM2.5 ปานกลาง ระดับสีเหลือง โดยสูงสุดอยู่ที่ #หนองจอก 37.3 ไมโครกรัม ในขณะที่อีก 39 เขต มีค่าคุณภาพอากาศระดับดี

ด้านของภาพรวมประเทศไทยในรอบเวลาเดียวกัน พบ 27 จังหวัดที่มีค่าฝุ่น PM2.5 ที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพและระบบทางเดินหายใจ ซึ่ง ส่วนใหญ่ กระจายอยู่ใน พื้นที่ภาคเหนือ

แอปพลิเคชัน “เช็คฝุ่น” ยังคาดการณ์ปริมาณฝุ่น PM 2.5 ในอีก 3 ชั่วโมงข้างหน้า พื้นที่ในกรุงเทพฯมีค่าฝุ่น PM 2.5 ระดับสีเหลือง ส่วนภาพรวมของประเทศยังมีค่าฝุ่น PM2.5 ระดับสีส้ม เช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ทางภาคเหนือ

ข้อมูลบนแอปพลิเคชัน “เช็คฝุ่น” มีการใช้เทคโนโลยีดาวเทียมร่วมกับ AI (Artificial intelligence) ในการวิเคราะห์ค่าฝุ่น PM 2.5 แบบรายชั่วโมงในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ร่วมกับการใช้ข้อมูลการตรวจวัด PM 2.5 จากกรมควบคุมมลพิษ, ข้อมูลสภาพอากาศ จากกรมอุตุนิยมวิทยา รวมถึงข้อมูลของแหล่งกำเนิดฝุ่น เช่น จุดความร้อน และข้อมูลที่เกี่ยวข้องอีกจำนวนมาก มานำเสนอให้ในรูปแบบข้อมูลตัวเลขและค่าสีในระดับต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าใจสถานการณ์ได้ง่ายยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ประชาชนควรสวมหน้ากากตลอดเวลาเมื่ออยู่ในที่โล่งแจ้ง เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจตามมาโดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ

รู้ค่าฝุ่น PM2.5 ทุกๆ ชั่วโมงจากแอปพลิเคชัน "เช็คฝุ่น" เพียงพิมพ์คำว่า เช็คฝุ่น ใน App Store สำหรับระบบ iOS และ Google Play สำหรับระบบ Android ได้แล้ววันนี้

#GISTDA #อว #เช็คฝุ่น #คุณภาพชีวิต #วิเคราะห์ข้อมูล #มลพิษทางอากาศ #คุณภาพอากาศ #สุขภาพ #ระบบทางเดินหายใจ #กรุงเทพมหานคร #PM2POINT5 #เทคโนโลยีดาวเทียม #ข้อมูลจากดาวเทียม

ค่าฝุ่น PM2.5 เช้านี้ เกินมาตรฐานสีส้ม สูงสุด #หนองจอก อีก 40 เขตมีระดับสีเหลือง

วันที่ 15 ก.พ.68 กระทรวง อว. โดย GISTDA เกาะติดสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ด้วยข้อมูลจากดาวเทียมแบบรายชั่วโมงผ่านแอปพลิเคชัน “เช็คฝุ่น” รอบเวลา 08:00 น. ของวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 พบ 10 เขตของกรุงเทพมหานครมีค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐานระดับสีส้มที่เริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพและระบบทางเดินหายใจ โดยสูงสุดอยู่ที่ #หนองจอก 44.3 ไมโครกรัม ในขณะที่อีก 40 เขตมีค่าฝุ่น PM 2.5 ในระดับสีเหลือง

ด้านของภาพรวมประเทศไทยในรอบเวลาเดียวกัน พบค่าฝุ่น PM2.5 ที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพและระบบทางเดินหายใจ ระดับสีแดง 1 จังหวัด

แอปพลิเคชัน “เช็คฝุ่น” ยังคาดการณ์ปริมาณฝุ่น PM 2.5 ในอีก 3 ชั่วโมงข้างหน้า พื้นที่ในกรุงเทพฯมีค่าฝุ่น PM 2.5 ระดับสีส้ม ส่วนภาพรวมของประเทศยังมีค่าฝุ่น PM2.5 ระดับสีแดงและสีส้ม เช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ทางภาคกลาง ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ข้อมูลบนแอปพลิเคชัน “เช็คฝุ่น” มีการใช้เทคโนโลยีดาวเทียมร่วมกับ AI (Artificial intelligence) ในการวิเคราะห์ค่าฝุ่น PM 2.5 แบบรายชั่วโมงในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ร่วมกับการใช้ข้อมูลการตรวจวัด PM 2.5 จากกรมควบคุมมลพิษ, ข้อมูลสภาพอากาศ จากกรมอุตุนิยมวิทยา รวมถึงข้อมูลของแหล่งกำเนิดฝุ่น เช่น จุดความร้อน และข้อมูลที่เกี่ยวข้องอีกจำนวนมาก มานำเสนอให้ในรูปแบบข้อมูลตัวเลขและค่าสีในระดับต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าใจสถานการณ์ได้ง่ายยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ประชาชนควรสวมหน้ากากตลอดเวลาเมื่ออยู่ในที่โล่งแจ้ง เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจตามมาโดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ

รู้ค่าฝุ่น PM2.5 ทุกๆ ชั่วโมงจากแอปพลิเคชัน "เช็คฝุ่น" เพียงพิมพ์คำว่า เช็คฝุ่น ใน App Store สำหรับระบบ iOS และ Google Play สำหรับระบบ Android ได้แล้ววันนี้

#GISTDA #อว #เช็คฝุ่น #คุณภาพชีวิต #วิเคราะห์ข้อมูล #มลพิษทางอากาศ #คุณภาพอากาศ #สุขภาพ #ระบบทางเดินหายใจ #กรุงเทพมหานคร #PM2POINT5 #เทคโนโลยีดาวเทียม #ข้อมูลจากดาวเทียม

ยังส้มอยู่! เช้านี้ กทม. ค่าฝุ่น PM 2.5 เกินมาตรฐานทั้ง 50 เขต สูงสุด #หนองจอก

วันที่ 14 ก.พ.68 กระทรวง อว. โดย GISTDA เกาะติดสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ด้วยข้อมูลจากดาวเทียมแบบรายชั่วโมงผ่านแอปพลิเคชัน “เช็คฝุ่น” รอบเวลา 07:00 น. ของวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 พบ 50 เขตของกรุงเทพมหานครมีค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐานระดับสีส้มที่เริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพและระบบทางเดินหายใจ โดยสูงสุดอยู่ที่ #หนองจอก 74.1 ไมโครกรัม

ด้านของภาพรวมประเทศไทยในรอบเวลาเดียวกัน พบค่าฝุ่น PM2.5 ที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพและระบบทางเดินหายใจ ระดับสีแดง 7 จังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคกลาง

แอปพลิเคชัน “เช็คฝุ่น” ยังคาดการณ์ปริมาณฝุ่น PM 2.5 ในอีก 3 ชั่วโมงข้างหน้า พื้นที่ในกรุงเทพฯมีค่าฝุ่น PM 2.5 ระดับสีส้ม ส่วนภาพรวมของประเทศยังมีค่าฝุ่น PM2.5 ระดับสีแดงและสีส้ม เช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ทางภาคกลาง

ข้อมูลบนแอปพลิเคชัน “เช็คฝุ่น” มีการใช้เทคโนโลยีดาวเทียมร่วมกับ AI (Artificial intelligence) ในการวิเคราะห์ค่าฝุ่น PM 2.5 แบบรายชั่วโมงในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ร่วมกับการใช้ข้อมูลการตรวจวัด PM 2.5 จากกรมควบคุมมลพิษ, ข้อมูลสภาพอากาศ จากกรมอุตุนิยมวิทยา รวมถึงข้อมูลของแหล่งกำเนิดฝุ่น เช่น จุดความร้อน และข้อมูลที่เกี่ยวข้องอีกจำนวนมาก มานำเสนอให้ในรูปแบบข้อมูลตัวเลขและค่าสีในระดับต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าใจสถานการณ์ได้ง่ายยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ประชาชนควรสวมหน้ากากตลอดเวลาเมื่ออยู่ในที่โล่งแจ้ง เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจตามมาโดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ

รู้ค่าฝุ่น PM2.5 ทุกๆ ชั่วโมงจากแอปพลิเคชัน "เช็คฝุ่น" เพียงพิมพ์คำว่า เช็คฝุ่น ใน App Store สำหรับระบบ iOS และ Google Play สำหรับระบบ Android ได้แล้ววันนี้

#GISTDA #อว #เช็คฝุ่น #คุณภาพชีวิต #วิเคราะห์ข้อมูล #มลพิษทางอากาศ #คุณภาพอากาศ #สุขภาพ #ระบบทางเดินหายใจ #กรุงเทพมหานคร #PM2POINT5 #เทคโนโลยีดาวเทียม #ข้อมูลจากดาวเทียม

 

 

"แลนดี้ โฮม" รุกปฏิวัติวงการรับสร้างบ้านปี 68 ยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยด้วยบ้านป้องกัน PM 2.5 หนุนยอดขายแตะ 2,700 ล้าน

แลนดี้ โฮม ประกาศวิสัยทัศน์ปี 68  ปฏิวัติอุตสาหกรรมรับสร้างบ้านของประเทศไทย ส่งเสริมนวัตกรรมบ้านป้องกันฝุ่น PM 2.5 ตั้งมาตรฐานใหม่ ที่ทุกบ้านในเมืองไทยต้องมี รับมือวิกฤตฝุ่นพิษ พร้อมเดินหน้าสร้าง Ecosystem ธุรกิจรับสร้างบ้านอย่างสมบูรณ์ยกระดับการใช้ชีวิตของคนไทย ปรับกลยุทธ์ ชู 3 แบรนด์เรือธงรุกตลาดปีนี้  ผลักดันยอดขายปี 2568 ทะยานสู่ 2,700 ล้านบาท

ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในปี 2567 ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์โดยรวม แต่สำหรับ แลนดี้ โฮม ผู้นำตลาดรับสร้างบ้านของเมืองไทย ยังคงรักษาทิศทางการเติบโตและตอกย้ำความเป็นเบอร์ 1 ด้วยการสร้างความแตกต่างเหนือคู่แข่ง ด้วยนวัตกรรมบ้านป้องกันฝุ่น PM 2.5 ที่ช่วยยกระดับมาตรฐานการอยู่อาศัย พร้อมเดินหน้าสร้าง Ecosystem ธุรกิจรับสร้างบ้านอย่างครบวงจร ตั้งแต่ธุรกิจโรงงานผลิตโครงสร้างสำเร็จรูป,ธุรกิจ Interior ภายใต้แบรนด์ “Rudolf”,ธุรกิจพลังงานสะอาด และธุรกิจระบบเติมอากาศ Fresh Air สร้างบ้านแรงดันบวกป้องกัน PM 2.5 เข้าบ้าน ภายใต้แบรนด์ CAP+ (แคพ พลัส)  เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและสร้างความแตกต่างจากบริษัทรับสร้างบ้านทั่วไป  พร้อมยกระดับการใช้ชีวิตของคนไทย ให้มีบ้านที่อยู่อาศัยที่ส่งเสริมสุขภาพที่ดี

เมื่อวันที่ 13 ก.พ.68 น.ส.พรรัตน์ มณีรัตนะพร ผู้อำนวยการฝ่ายขายและพัฒนาธุรกิจ บริษัท แลนดี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมา ธุรกิจรับสร้างบ้านในภาพรวมได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง แต่บริษัทยังสามารถรักษาการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคง ด้วยกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่ง และความสามารถในการปรับตัว ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน โดยบริษัทสามารถสร้างยอดขายรวมที่ 2,200 ล้านบาทในปี 2567 สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจและความไว้วางใจจากลูกค้า โดยมีสัดส่วนยอดขายในแต่ละแบรนด์ ดังนี้

-Landy Grand (บ้านระดับ Luxury ราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป) คิดเป็น 30% ของยอดขาย

-Landy Home (บ้านขนาดกลาง ราคา 8-20 ล้านบาท) คิดเป็น 45% ของยอดขาย

-Trendy Home (บ้านขนาดเล็ก ราคาไม่เกิน 8 ล้านบาท) คิดเป็น 25% ของยอดขาย

“ในปี 2567 ที่ผ่านมา ธุรกิจรับสร้างบ้านได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก ทำให้ตลาดรวมหดตัวลง โดยคิดเป็นมูลค่าประมาณ 11,000 ล้านบาท ลดลงจาก 12,000 ล้านบาท ซึ่งมาจากปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า ปัญหาหนี้ครัวเรือน ที่ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค รวมถึงความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ประกอบกับราคาบ้านปรับตัวสูงขึ้นจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น สำหรับแลนดี้ โฮม ได้เตรียมพร้อมปรับตัวเพื่อรองรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงการนำเทคโนโลยี AI ระบบการประมวลผลที่ช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการออกแบบ พัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกัน” นางสาว พรรัตน์กล่าว

ปฏิวัติอุตสาหกรรมรับสร้างบ้านด้วย AI

แลนดี้ โฮม มุ่งสร้างแรงขับเคลื่อนสำคัญในการปฏิวัติอุตสาหกรรม ด้วยการสร้าง Ecosystem ธุรกิจรับสร้างบ้านที่ครบวงจรที่สุด โดยใช้ AI Design System เพื่อออกแบบบ้านที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้าได้อย่างแม่นยำ พร้อมนำเสนอนวัตกรรมล้ำสมัย เช่น CAP+ ระบบเติมอากาศบริสุทธิ์ ป้องกันฝุ่น PM 2.5 และ CJ Sun พลังงานแสงอาทิตย์ ที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและรองรับการอยู่อาศัยที่ยั่งยืน พร้อมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมให้ก้าวไปสู่ยุคดิจิทัลและการก่อสร้างที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ภายใต้แนวคิด “Green Living & ESG” เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมที่อยู่อาศัยอย่างแท้จริง

โดยเตรียมแผนขยายกำลังการผลิต โรงงาน NOVA Modular ยกระดับมาตรฐานการก่อสร้าง ด้วยโครงสร้างสำเร็จรูปที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัย ช่วยลดปริมาณวัสดุเหลือทิ้ง,ลดการปล่อยฝุ่นละอองจาการก่อสร้าง,ลดปัญหาขาดแคลนแรงงาน เพิ่มความแม่นยำและลดระยะเวลาก่อสร้าง  ปัจจุบัน NOVA Modular มีโรงงาน 2 แห่ง ได้แก่ พระราม 2 และวิหารแดง จังหวัดสระบุรี พร้อมแผนขยายสู่ภูมิภาคต่าง ๆ ในอนาคตอันใกล้ รองรับการผลิตได้ถึง 250,000 ชิ้นต่อปี เพื่อตอบสนองความต้องการสร้างบ้านในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ

ปรับกลยุทธ์ ชู 3 แบรนด์เรือธงรุกตลาดปี 68

โดยแนวโน้มธุรกิจรับสร้างบ้านในปี 2568 คาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาล ทั้งการลดอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อสนับสนุนให้ทุกคนมีบ้าน แลนดี้ โฮม ยังมุ่งมั่นพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งด้วยกลยุทธ์การขยายตลาดและพัฒนาแบรนด์ในเครือ โดยเฉพาะ 3 แบรนด์หลัก ได้แก่ Trendy Home, Landy Home และ Landy Grand ให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการที่แตกต่างของผู้

-Trendy Home มุ่งเน้น Rebrand ใหม่ให้ทันสมัย ภายใต้แนวคิด “Trendy Home Live in Trend” โดยจะเปิดตัวบ้านแบบใหม่ ในระดับราคาไม่เกิน 3.5 ล้านบาท เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงแบบบ้านสวยราคาคุ้มค่าได้ง่ายขึ้น และในระดับราคา 5 - 8 ล้านบาท ที่มีดีไซน์สวย นวัตกรรมทันสมัย คุณภาพพรีเมียม ในช่วงไตรมาส 1 ของปีนี้

-Landy Home พร้อมรุกตลาดหัวเมืองใหญ่ โดยเปิดตัวบ้านแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ รองรับทุกความต้องการที่หลากหลายทั้งบ้านชั้นเดียว, บ้าน 2 ชั้น และ 3 ชั้น พร้อมด้วยดีไซน์และฟังก์ชันใหม่ที่สามารถปรับแต่งได้ตามต้องการ

-Landy Grand  มุ่งขยายตลาดบ้านระดับ Luxury เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่มองหาบ้านพักตากอากาศและ Home Office พร้อมเปิดตัวแบบบ้านใหม่ล่าสุด ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมียม อาทิ แบบบ้าน ORIGAMI บ้านหรู 3 ชั้นกลิ่นอายญี่ปุ่น และแบบบ้าน OMOTESANDO ที่ได้แรงบันดาลใจจากย่านแฟชั่นสุดหรูของญี่ปุ่น  

โดยในปีนี้ “Landy Grand ” ยังมุ่งขยายตลาดเจาะกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์ที่ต้องการบ้านหรูดีไซน์เฉพาะตัว Exclusive Customize Design  ได้แก่ กลุ่มนักธุรกิจและดารา ที่มองหางานออกแบบระดับพรีเมียม ชูจุดเด่น “ออกแบบและก่อสร้างครบวงจร” พร้อมด้วยทีม Luxury Designer ที่ปรึกษาส่วนตัวดูแลทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกแบบดูแลการก่อสร้างจนถึงส่งมอบบ้าน พร้อมมาตรฐานโครงสร้างแข็งแรง มั่นใจได้ว่าทุกดีไซน์จะทั้งสวยหรู ปลอดภัย คุ้มค่า ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ

“แลนดี้ โฮม ยังคงเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมและขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดรับสร้างบ้านของประเทศไทย และขับเคลื่อนอุตสาหกรรมให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยคาดว่าจะมียอดขายไม่ต่ำกว่า 2,700 ล้านบาทในปีนี้” นางสาวพรรัตน์ กล่าวทิ้งท้าย

ยังหนักหนา! ฝุ่นจิ๋ว PM2.5 เช้านี้ กทม. แดงทุกเขต

วันที่ 13 ก.พ.68 กระทรวง อว. โดย GISTDA เกาะติดสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ด้วยข้อมูลจากดาวเทียมแบบรายชั่วโมงผ่านแอปพลิเคชัน “เช็คฝุ่น” รอบเวลา 07:00 น. ของวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 พบ 50 เขตของกรุงเทพมหานครมีค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐานระดับสีแดงที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและระบบทางเดินหายใจ ซึ่งในจำนวนนี้ยังพบว่าทั้ง 34 เขตมีค่าฝุ่นเกินกว่า 100 ไมโครกรัม โดยสูงสุดอยู่ที่ #หนองจอก 112.2 ไมโครกรัม

ด้านของภาพรวมประเทศไทยในรอบเวลาเดียวกัน พบค่าฝุ่น PM2.5 ที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพและระบบทางเดินหายใจ ระดับสีแดง 26 จังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก

แอปพลิเคชัน “เช็คฝุ่น” ยังคาดการณ์ปริมาณฝุ่น PM 2.5 ในอีก 3 ชั่วโมงข้างหน้า พื้นที่ในกรุงเทพฯมีค่าฝุ่น PM 2.5 ระดับสีแดงและสีส้ม ส่วนภาพรวมของประเทศยังมีค่าฝุ่น PM2.5 ระดับสีแดงและสีส้ม เช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ทางภาคกลาง

ข้อมูลบนแอปพลิเคชัน “เช็คฝุ่น” มีการใช้เทคโนโลยีดาวเทียมร่วมกับ AI (Artificial intelligence) ในการวิเคราะห์ค่าฝุ่น PM 2.5 แบบรายชั่วโมงในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ร่วมกับการใช้ข้อมูลการตรวจวัด PM 2.5 จากกรมควบคุมมลพิษ, ข้อมูลสภาพอากาศ จากกรมอุตุนิยมวิทยา รวมถึงข้อมูลของแหล่งกำเนิดฝุ่น เช่น จุดความร้อน และข้อมูลที่เกี่ยวข้องอีกจำนวนมาก มานำเสนอให้ในรูปแบบข้อมูลตัวเลขและค่าสีในระดับต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าใจสถานการณ์ได้ง่ายยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ประชาชนควรสวมหน้ากากตลอดเวลาเมื่ออยู่ในที่โล่งแจ้ง เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจตามมาโดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ

รู้ค่าฝุ่น PM2.5 ทุกๆ ชั่วโมงจากแอปพลิเคชัน "เช็คฝุ่น" เพียงพิมพ์คำว่า เช็คฝุ่น ใน App Store สำหรับระบบ iOS และ Google Play สำหรับระบบ Android ได้แล้ววันนี้

#GISTDA #อว #เช็คฝุ่น #คุณภาพชีวิต #วิเคราะห์ข้อมูล #มลพิษทางอากาศ #คุณภาพอากาศ #สุขภาพ #ระบบทางเดินหายใจ #กรุงเทพมหานคร #PM2POINT5 #เทคโนโลยีดาวเทียม #ข้อมูลจากดาวเทียม

"กทม. แจ้งเตือน 13-16 ก.พ. ค่าฝุ่น PM2.5 พื้นที่กรุงเทพฯ เป็นสีส้ม

วันที่ 12 ก.พ.68 เพจเฟซบุ๊ก กรุงเทพมหานคร โพสต์ข้อความระบุว่า ...

แจ้งเตือน 13-16 ก.พ. 68 นี้

ค่าฝุ่น PM2.5 พื้นที่กรุงเทพฯ เป็นสีส้ม

กทม. แนะนำการปฏิบัติตัว เพื่อป้องกันฝุ่น PM2.5

ใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง ทุกครั้งที่ออกนอกอาคาร

หลีกเลี่ยง การทำกิจกรรมกลางแจ้ง

กลุ่มเสี่ยงด้านสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์ หากมีอาการไอ หายใจลำบาก แน่นหน้าอก ตาอักเสบ

ตรวจสอบค่าฝุ่น ผ่านแอป AirBKK

แจ้งเบาะแสรถควันดำและการเผาในพื้นที่ ได้ที่ @TraffyFondue

 

อ่วมทั้งกรุงเทพฯ ฝุ่นพิษ PM2.5 แดงทุกเขต เกินกว่า 100 ไมโครกรัม สูงสุด #ยานนาวา

วันที่ 12 ก.พ.68 กระทรวง อว. โดย GISTDA เกาะติดสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ด้วยข้อมูลจากดาวเทียมแบบรายชั่วโมงผ่านแอปพลิเคชัน “เช็คฝุ่น” รอบเวลา 07:00 น. ของวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 พบ 50 เขตของกรุงเทพมหานครมีค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐานระดับสีแดงที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและระบบทางเดินหายใจ นอกจากนี้ยังพบว่าทุกเขตมีค่าฝุ่นเกินกว่า 100 ไมโครกรัม โดยสูงสุดอยู่ที่ #ยานนาวา 142 ไมโครกรัม

ด้านของภาพรวมประเทศไทยในรอบเวลาเดียวกัน พบค่าฝุ่น PM2.5 ที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพและระบบทางเดินหายใจ ระดับสีแดง 26 จังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันตก

แอปพลิเคชัน “เช็คฝุ่น” ยังคาดการณ์ปริมาณฝุ่น PM 2.5 ในอีก 3 ชั่วโมงข้างหน้า พื้นที่ในกรุงเทพฯมีค่าฝุ่น PM 2.5 ระดับสีแดงและสีส้ม ส่วนภาพรวมของประเทศยังมีค่าฝุ่น PM2.5 ระดับสีแดงและสีส้ม เช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ทางภาคกลาง

ข้อมูลบนแอปพลิเคชัน “เช็คฝุ่น” มีการใช้เทคโนโลยีดาวเทียมร่วมกับ AI (Artificial intelligence) ในการวิเคราะห์ค่าฝุ่น PM 2.5 แบบรายชั่วโมงในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ร่วมกับการใช้ข้อมูลการตรวจวัด PM 2.5 จากกรมควบคุมมลพิษ, ข้อมูลสภาพอากาศ จากกรมอุตุนิยมวิทยา รวมถึงข้อมูลของแหล่งกำเนิดฝุ่น เช่น จุดความร้อน และข้อมูลที่เกี่ยวข้องอีกจำนวนมาก มานำเสนอให้ในรูปแบบข้อมูลตัวเลขและค่าสีในระดับต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าใจสถานการณ์ได้ง่ายยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ประชาชนควรสวมหน้ากากตลอดเวลาเมื่ออยู่ในที่โล่งแจ้ง เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจตามมาโดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ

รู้ค่าฝุ่น PM2.5 ทุกๆ ชั่วโมงจากแอปพลิเคชัน "เช็คฝุ่น" เพียงพิมพ์คำว่า เช็คฝุ่น ใน App Store สำหรับระบบ iOS และ Google Play สำหรับระบบ Android ได้แล้ววันนี้

#GISTDA #อว #เช็คฝุ่น #คุณภาพชีวิต #วิเคราะห์ข้อมูล #มลพิษทางอากาศ #คุณภาพอากาศ #สุขภาพ #ระบบทางเดินหายใจ #กรุงเทพมหานคร #PM2POINT5 #เทคโนโลยีดาวเทียม #ข้อมูลจากดาวเทียม

เช้านี้ กทม.ฝุ่นส้ม 67 พื้นที่ ควรใส่หน้ากากป้องกัน PM2.5

วันที่ 12 ก.พ.68 สรุปผลการตรวจวัด PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ประจำวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 05.00-07.00 น. (3 ชั่วโมงล่าสุด)

- ตรวจวัดได้ 34.1-69.8 มคก./ลบ.ม.

- ค่าเฉลี่ยของกรุงเทพมหานคร 49.6 มคก./ลบ.ม.

- ค่า PM2.5 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เกินมาตรฐาน อยู่ในระดับสีส้ม เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ จำนวน 67 พื้นที่

ทั้งนี้ ณ เวลา 07.00 น. ตรวจวัดค่าฝุ่นละออง PM2.5 ได้ในช่วง 34.4 - 69.8 มคก./ลบ.ม. โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับเมื่อวานในช่วงเวลาเดียวกัน

ข้อแนะนำสุขภาพ:

คุณภาพอากาศระดับสีส้ม: เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ

ประชาชนทั่วไป: ใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง เช่น หน้ากากป้องกัน PM2.5 ทุกครั้งที่ออกนอกอาคาร จำกัดระยะเวลาในการทำกิจกรรมหรือการออกกำลังกายกลางแจ้งที่ใช้แรงมาก ควรสังเกตอาการผิดปกติ เช่น ไอ หายใจลำบาก ระคายเคืองตา

ประชาชนกลุ่มเสี่ยง: ใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง เช่น หน้ากากป้องกัน PM2.5 ทุกครั้งที่ออกนอกอาคาร เลี่ยงการทำกิจกรรมหรือการออกกำลังกายกลางแจ้งที่ใช้แรงมาก ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ หากมีอาการผิดปกติให้รีบไปพบแพทย์

สำหรับพื้นที่ที่เกินมาตรฐานอยู่ในระดับสีส้ม (มาตรฐานไม่เกิน 37.5 มคก./ลบ.ม.) จำนวน 67 พื้นที่ คือ

1.เขตบางขุนเทียน ภายในสำนักงานเขตบางขุนเทียน : มีค่าเท่ากับ 69.8 มคก./ลบ.ม.

2.เขตหนองแขม สามแยกข้างป้อมตำรวจ ถนนมาเจริญ เพชรเกษม 81 : มีค่าเท่ากับ 66.2 มคก./ลบ.ม.

3.เขตบางนา บริเวณหน้าห้าง สรรพสินค้าบิ๊กซี บางนา : มีค่าเท่ากับ 65.6 มคก./ลบ.ม.

4.เขตลาดกระบัง ด้านหน้าโรงพยาบาลนคราภิบาล : มีค่าเท่ากับ 64.8 มคก./ลบ.ม.

5.เขตมีนบุรี สวนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ตรงข้ามสำนักงานเขตมีนบุรี : มีค่าเท่ากับ 63.2 มคก./ลบ.ม.

6.เขตหนองจอก บริเวณหน้าสำนักงานเขตหนองจอก : มีค่าเท่ากับ 63.0 มคก./ลบ.ม.

7.เขตบางกอกน้อย บริเวณหน้าสถานีตำรวจรถไฟบางกอกน้อย : มีค่าเท่ากับ 59.2 มคก./ลบ.ม.

8.เขตวัฒนา ตรงข้าม noble Reveal(ข้าง MK gold restaurants) : มีค่าเท่ากับ 58.4 มคก./ลบ.ม.

9.เขตพระโขนง ภายในสำนักงานเขตพระโขนง : มีค่าเท่ากับ 58.2 มคก./ลบ.ม.

10.สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา เขตบางคอแหลม : มีค่าเท่ากับ 57.7 มคก./ลบ.ม.

11.เขตจอมทอง ภายในสำนักงานเขตจอมทอง : มีค่าเท่ากับ 57.7 มคก./ลบ.ม.

12.เขตคลองสามวา ภายในสำนักงานเขตคลองสามวา : มีค่าเท่ากับ 57.5 มคก./ลบ.ม.

13.เขตคลองเตย ภายในสำนักงานเขตคลองเตย : มีค่าเท่ากับ 56.8 มคก./ลบ.ม.

14.เขตทวีวัฒนา ทางเข้าสนามหลวง 2 : มีค่าเท่ากับ 56.7 มคก./ลบ.ม.

15.เขตบางบอน ใกล้ตลาดบางบอน : มีค่าเท่ากับ 56.6 มคก./ลบ.ม.

16.สวนธนบุรีรมย์ เขตทุ่งครุ : มีค่าเท่ากับ 56.5 มคก./ลบ.ม.

17.เขตทุ่งครุ หน้ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี : มีค่าเท่ากับ 56.4 มคก./ลบ.ม.

18.เขตภาษีเจริญ หน้ามหาวิทยาลัยสยาม(ประมาณซอยเพชรเกษม 36) ทางเข้ามหาวิทยาลัย : มีค่าเท่ากับ 56.1 มคก./ลบ.ม.

19.เขตธนบุรี ริมป้ายรถเมล์บริเวณแยกมไหศวรรย์ : มีค่าเท่ากับ 55.8 มคก./ลบ.ม.

20.เขตบางคอแหลม บริเวณป้อมตำรวจสี่แยกถนนตก : มีค่าเท่ากับ 55.8 มคก./ลบ.ม.

21.เขตบางแค ภายในสำนักงานเขตบางแค : มีค่าเท่ากับ 55.7 มคก./ลบ.ม.

22.สวนหนองจอก เขตหนองจอก : มีค่าเท่ากับ 55.5 มคก./ลบ.ม.

23.เขตยานนาวา ใกล้ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สำนักงานใหญ่ : มีค่าเท่ากับ 55.2 มคก./ลบ.ม.

24.สวนบางแคภิรมย์ เขตบางแค : มีค่าเท่ากับ 55.1 มคก./ลบ.ม.

25.เขตราษฎร์บูรณะ ภายในสำนักงานเขตราษฎร์บูรณะ : มีค่าเท่ากับ 54.9 มคก./ลบ.ม.

26.สวน 60 พรรษาสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เขตลาดกระบัง : มีค่าเท่ากับ 54.6 มคก./ลบ.ม.

27.เขตสาทร สี่แยกหน้าสำนักงานเขตสาทร ซอย ถนนเซนต์หลุยส์ : มีค่าเท่ากับ 54.1 มคก./ลบ.ม.

28.เขตบางกอกใหญ่ บริเวณสี่แยกท่าพระ แขวงวัดท่าพระ : มีค่าเท่ากับ 53.8 มคก./ลบ.ม.

29.เขตคลองสาน บริเวณหน้าห้องสมุดใต้สะพานสมเด็จพระเจ้าตากสิน : มีค่าเท่ากับ 52.8 มคก./ลบ.ม.

30.เขตสวนหลวง ด้านหน้าสำนักงานเขตสวนหลวง : มีค่าเท่ากับ 52.6 มคก./ลบ.ม.

31.เขตบึงกุ่ม ภายในสำนักงานเขตบึงกุ่ม : มีค่าเท่ากับ 52.4 มคก./ลบ.ม.

32.เขตบางรัก ข้างป้อมตำรวจหน้าลานบางรักเลิฟลี่ พลาซ่า : มีค่าเท่ากับ 52.1 มคก./ลบ.ม.

33.สวนทวีวนารมย์ เขตทวีวัฒนา : มีค่าเท่ากับ 52.0 มคก./ลบ.ม.

34.เขตตลิ่งชัน ถนนพุทธมณฑลสาย 1 ตัดกับถนนบรมราชชนนี : มีค่าเท่ากับ 51.8 มคก./ลบ.ม.

35.เขตคันนายาว บริเวณปากทางถนนสวนสยามตัดกับถนนรามอินทรา : มีค่าเท่ากับ 51.5 มคก./ลบ.ม.

36.เขตประเวศ ด้านหน้าห้างสรรพสินค้าซีคอน สแควร์ : มีค่าเท่ากับ 51.3 มคก./ลบ.ม.

37.เขตวังทองหลาง ด้านหน้าปั๊มน้ำมัน บางจาก ซ.ลาดพร้าว 95 : มีค่าเท่ากับ 50.6 มคก./ลบ.ม.

38.สวนพระนคร เขตลาดกระบัง : มีค่าเท่ากับ 50.2 มคก./ลบ.ม.

39.อุทยานเบญจสิริ เขตคลองเตย : มีค่าเท่ากับ 49.9 มคก./ลบ.ม.

40.สวนเสรีไทย เขตบึงกุ่ม : มีค่าเท่ากับ 49.8 มคก./ลบ.ม.

41.เขตบางเขน ภายในสำนักงานเขตบางเขน : มีค่าเท่ากับ 49.2 มคก./ลบ.ม.

42.สวนหลวง ร.9 เขตประเวศ : มีค่าเท่ากับ 49.1 มคก./ลบ.ม.

43.สวนเบญจกิติ เขตคลองเตย : มีค่าเท่ากับ 48.5 มคก./ลบ.ม.

44.เขตสายไหม ป้ายรถเมล์ด้านหน้าสำนักงานเขตสายไหม : มีค่าเท่ากับ 48.3 มคก./ลบ.ม.

45.เขตพญาไท หน้าแฟลตทหารบกใกล้โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ตรงข้ามกระทรวงการคลัง : มีค่าเท่ากับ 47.9 มคก./ลบ.ม.

46.เขตบางกะปิ ข้าง ป้อมตำรวจตรงข้ามสำนักงาน เขตบางกะปิ : มีค่าเท่ากับ 47.8 มคก./ลบ.ม.

47.เขตสะพานสูง ภายในสำนักงานเขตสะพานสูง : มีค่าเท่ากับ 47.4 มคก./ลบ.ม.

48.เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ด้านหน้าสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ : มีค่าเท่ากับ 47.1 มคก./ลบ.ม.

49.สวนรมณีย์ทุ่งสีกัน เขตดอนเมือง : มีค่าเท่ากับ 47.0 มคก./ลบ.ม.

50.เขตปทุมวัน หน้าห้างสามย่านมิตรทาวน์ : มีค่าเท่ากับ 46.8 มคก./ลบ.ม.

51.สวนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เขตบางกอกน้อย : มีค่าเท่ากับ 46.5 มคก./ลบ.ม.

52.เขตบางซื่อ ภายในสำนักงานเขตบางซื่อ : มีค่าเท่ากับ 46.4 มคก./ลบ.ม.

53.เขตพระนคร ภายในสำนักงานเขตพระนคร : มีค่าเท่ากับ 45.5 มคก./ลบ.ม.

54.เขตดอนเมือง ด้านข้างสำนักงานเขตดอนเมือง : มีค่าเท่ากับ 45.5 มคก./ลบ.ม.

55.เขตสัมพันธวงศ์ บริเวณหน้าหัวมุม ซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ (วงเวียนโอเดียน) : มีค่าเท่ากับ 45.4 มคก./ลบ.ม.

56.เขตลาดพร้าว ภายในสำนักงานเขตลาดพร้าว : มีค่าเท่ากับ 45.0 มคก./ลบ.ม.

57.เขตดุสิต ริมสวนหย่อมตรงข้ามสำนักงานเขตดุสิต : มีค่าเท่ากับ 44.7 มคก./ลบ.ม.

58.สวนหลวงพระราม 8 เขตบางพลัด : มีค่าเท่ากับ 43.2 มคก./ลบ.ม.

59.เขตดินแดง ริมถนนวิภาวดีรังสิต : มีค่าเท่ากับ 42.7 มคก./ลบ.ม.

60.เขตห้วยขวาง ภายในสำนักงานเขตห้วยขวาง (ด้านข้างโรงเพาะชำ) ถนนประชาอุทิศ : มีค่าเท่ากับ 42.0 มคก./ลบ.ม.

61.เขตจตุจักร บริเวณด้านหน้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ : มีค่าเท่ากับ 42.0 มคก./ลบ.ม.

62.เขตหลักสี่ ภายในสำนักงานเขตหลักสี่ : มีค่าเท่ากับ 41.1 มคก./ลบ.ม.

63.สวนกีฬารามอินทรา เขตบางเขน : มีค่าเท่ากับ 40.7 มคก./ลบ.ม.

64.สวนสันติภาพ เขตราชเทวี : มีค่าเท่ากับ 40.5 มคก./ลบ.ม.

65.เขตราชเทวี ภายในสำนักงานเขตราชเทวี : มีค่าเท่ากับ 40.2 มคก./ลบ.ม.

66.สวนลุมพินี เขตปทุมวัน : มีค่าเท่ากับ 38.8 มคก./ลบ.ม.

67.สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ เขตจตุจักร : มีค่าเท่ากับ 38.0 มคก./ลบ.ม.

1. ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง(คาดการณ์แนวโน้มสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบต่อฝุ่นPM2.5 โดยสภาพทางอุตุนิยมวิทยา)

ในช่วงวันที่ 12 ก.พ. 68 การระบายอากาศอยู่ในเกณฑ์ "ไม่ดี" ขณะมีอินเวอร์ชั่นใกล้ผิวพื้น ทำให้มลพิษทางอากาศแพร่กระจายได้อย่างจำกัด ส่งผลให้ความเข้มข้นของฝุ่นละอองมีแนวโน้มทรงตัวถึงเพิ่มขึ้น สำหรับวันที่ 13-20 ก.พ. การระบายอากาศส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ "อ่อน-ดี" ประกอบกับชั้นบรรยากาศใกล้ผิวพื้นมีลักษณะเปิดสลับปิด ทำให้ความเข้มข้นของฝุ่นละอองมีแนวโน้มทรงตัวถึงลดลง และคาดการณ์วันนี้ อากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า โดยมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน

2. จากการตรวจสอบข้อมูลจุดความร้อน (hotspot) ผ่านดาวเทียม จากหน่วยงาน NASA พบจุดความร้อนที่ดาวเทียมตรวจพบค่าความร้อนสูงผิดปกติจากค่าความร้อนบนผิวโลกบริเวณพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยพบจุดความร้อน ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 จำนวน 1 จุด เวลา 13.52 น. แขวงลำผักชี เขตหนองจอก (เป็นเหตุเพลิงไหม้หญ้า ขณะนี้เพลิงสงบแล้ว)

3. แจ้งเตือนรวมถึงประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูลคุณภาพอากาศก่อนออกจากบ้าน ผ่านทาง

- แอปพลิเคชัน AirBKK

- www.airbkk.com

- https://greener.bangkok.go.th

- www.pr-bangkok.com

- FB: สำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร

- FB: กองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง สำนักสิ่งแวดล้อม

- FB: กรุงเทพมหานคร

- LINE ALERT

ทั้งนี้ กรณีประชาชนพบเห็นแหล่งกำเนิดมลพิษสามารถแจ้งเบาะแส ผ่านทาง Traffy Fondue

รายงานข้อมูลโดย: ทีมโฆษกศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร

แหล่งข้อมูล: ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร กรมอุตุนิยมวิทยา และสํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ

 

10 โมงเช้านี้ กทม. ค่าฝุ่น PM2.5 แดงทะลุ 48 เขต

วันที่ 11 ก.พ.68 กระทรวง อว. โดย GISTDA เกาะติดสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ด้วยข้อมูลจากดาวเทียมแบบรายชั่วโมงผ่านแอปพลิเคชัน “เช็คฝุ่น” รอบเวลา 10.00 น. ของวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 พบ 48 เขตของกรุงเทพมหานครมีค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐานระดับสีแดง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพและระบบทางเดินหายใจ โดยสูงสุดอยู่ที่ #พญาไท 100.3 ไมโครกรัม ส่วนอีก 2 เขตที่เหลือคือ #ลาดกระบัง และ #หนองจอก เกินมาตรฐานเช่นกัน แต่อยู่ในระดับสีส้ม

ด้านของภาพรวมประเทศไทยในรอบเวลาเดียวกัน พบค่าฝุ่น PM2.5 ที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพและระบบทางเดินหายใจ ระดับสีแดง 2 จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร และนนทบุรี ในขณะที่อีกหลายจังหวัดกำลังเผชิญกับค่าฝุ่น PM2.5 ในระดับสีส้ม ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

แอปพลิเคชัน “เช็คฝุ่น” ยังคาดการณ์ปริมาณฝุ่น PM 2.5 ในอีก 3 ชั่วโมงข้างหน้า พื้นที่ในกรุงเทพฯมีค่าฝุ่น PM 2.5 ระดับสีแดงและสีส้ม ส่วนภาพรวมของประเทศยังมีค่าฝุ่น PM2.5 ระดับสีส้ม ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ทางภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ข้อมูลบนแอปพลิเคชัน “เช็คฝุ่น” มีการใช้เทคโนโลยีดาวเทียมร่วมกับ AI (Artificial intelligence) ในการวิเคราะห์ค่าฝุ่น PM 2.5 แบบรายชั่วโมงในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ร่วมกับการใช้ข้อมูลการตรวจวัด PM 2.5 จากกรมควบคุมมลพิษ, ข้อมูลสภาพอากาศ จากกรมอุตุนิยมวิทยา รวมถึงข้อมูลของแหล่งกำเนิดฝุ่น เช่น จุดความร้อน และข้อมูลที่เกี่ยวข้องอีกจำนวนมาก มานำเสนอให้ในรูปแบบข้อมูลตัวเลขและค่าสีในระดับต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าใจสถานการณ์ได้ง่ายยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ประชาชนควรสวมหน้ากากตลอดเวลาเมื่ออยู่ในที่โล่งแจ้ง เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจตามมาโดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ

รู้ค่าฝุ่น PM2.5 ทุกๆ ชั่วโมงจากแอปพลิเคชัน "เช็คฝุ่น" เพียงพิมพ์คำว่า เช็คฝุ่น ใน App Store สำหรับระบบ iOS และ Google Play สำหรับระบบ Android ได้แล้ววันนี้

#GISTDA #อว #เช็คฝุ่น #คุณภาพชีวิต #วิเคราะห์ข้อมูล #มลพิษทางอากาศ #คุณภาพอากาศ #สุขภาพ #ระบบทางเดินหายใจ #กรุงเทพมหานคร #PM2POINT5 #เทคโนโลยีดาวเทียม #ข้อมูลจากดาวเทียม