EXIM BANK หนุน "ยิ้มสู้คาเฟ่" สร้างรายได้ผู้บกพร่องทางการได้ยิน

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) นำผู้บริหารและพนักงาน EXIM BANK ร่วมอุดหนุนสินค้า “ยิ้มสู้คาเฟ่” ร้านกาแฟจำหน่ายโดยผู้บกพร่องทางการได้ยิน ภายใต้มูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ ณ โรงอาหาร EXIM BANK สำนักงานใหญ่

โดย EXIM BANK จัดพื้นที่จำหน่ายสินค้าชา กาแฟ โกโก้ และขนมเบเกอรี่ ให้ผู้บริหารและพนักงาน รวมถึงผู้ที่สนใจในชุมชนอารีย์ ได้มีส่วนร่วมสนับสนุนและส่งเสริมการสร้างอาชีพให้ผู้พิการสามารถพึ่งพาตนเองได้ ภายใต้โครงการ “ปันยิ้มคืนสุข” ซึ่งจำหน่ายทุกวันพฤหัสบดี ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป 

EXIM BANK แถลงผลงานครึ่งแรกปี 66 ปล่อยสินเชื่อ 2 หมื่นล้าน เพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนผู้ประกอบการทุกขนาด

EXIM BANK แถลงผลการดำเนินงานครึ่งแรกปี 2566 เพิ่มทุนผู้ประกอบการไทยเพิ่มขึ้น 5.02% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นำไปสู่ยอดคงค้างสินเชื่อ 161,216 ล้านบาท โดยเพิ่มบทบาทพัฒนาประเทศด้วยสินเชื่อการลงทุนที่เป็นสัดส่วน 73% หรือ 117,133 ล้านบาท และเพิ่มกลไกความยั่งยืนสู่สินเชื่อสนับสนุนธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็น 28% หรือ 45,544 ล้านบาท รวมทั้งเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนแก่ผู้ประกอบการทุกขนาด ส่งผลให้มีจำนวนลูกค้าเพิ่มเป็น 6,260 ราย นอกจากนี้ ได้เพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการไทยทั้งด้านการเงินและไม่ใช่การเงินสะสมรวมกว่า 26,000 ราย โดยเพิ่มความช่วยเหลือเป็นวงเงินรวมกว่า 91,600 ล้านบาท

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) แถลงผลการดำเนินงานเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ว่า ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่กำลังฟื้นตัวจากการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นสำคัญ ขณะที่การส่งออกสินค้าหดตัวในระยะสั้น และกำลังปรับดีขึ้นในระยะข้างหน้าสอดคล้องกับเศรษฐกิจโลก EXIM BANK ยังคงเดินหน้าภารกิจส่งเสริมเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็งตั้งแต่ฐานราก เพื่อนำไปสู่การพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมคู่ขนานกัน โดย ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 EXIM BANK มีวงเงินอนุมัติสินเชื่อใหม่ 20,068 ล้านบาท โดยเป็นวงเงินของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จำนวน 5,869 ล้านบาท ยอดสินเชื่อคงค้าง 161,216 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7,708 ล้านบาท หรือ 5.02% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ด้วยความมุ่งมั่นดำเนินบทบาท “Green Development Bank” สนับสนุนการพัฒนาประเทศควบคู่กับการคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 EXIM BANK มียอดคงค้างสินเชื่อเพื่อการลงทุน 117,133 ล้านบาท อันเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน พลังงาน โลจิสติกส์ และภาคอุตสาหกรรมของประเทศ โดยเฉพาะการสนับสนุนเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Economy) โดยที่ยอดคงค้างสินเชื่อที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมีจำนวน 45,544 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 28.25% ของสินเชื่อคงค้างทั้งหมด เพิ่มขึ้น 4.55% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

นอกจากนี้ EXIM BANK มุ่งทำหน้าที่เป็นธนาคารผู้นำ (Lead Bank) สานพลังกับเครือข่ายพันธมิตรที่กว้างขวาง นำพาธุรกิจไทยขยายการค้าการลงทุนไปตลาดต่างประเทศ ทำให้ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 EXIM BANK มียอดคงค้างสินเชื่อโครงการระหว่างประเทศทั้งสิ้น 60,464 ล้านบาท เมื่อจำแนกเป็นรายตลาดที่สำคัญ EXIM BANK ยังสนับสนุนธุรกิจไทยให้ขยายไปกลุ่มประเทศ CLMV และตลาดใหม่ (New Frontiers) ที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 2 ของปี 2566 มีสินเชื่อคงค้างในกลุ่ม CLMV และ New Frontiers 49,435 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 30.66% ของสินเชื่อคงค้างทั้งหมด

ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจโลก EXIM BANK เร่งเสริมสร้างความมั่นใจและภูมิคุ้มกันความเสี่ยงแก่ผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยผ่านบริการประกันการส่งออกและการลงทุน โดย ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 EXIM BANK มีปริมาณธุรกิจด้านการรับประกันการส่งออกและการลงทุนเท่ากับ 96,409 ล้านบาท


การมุ่งสนับสนุนผู้ประกอบการทั้งด้านสินเชื่อและประกันของ EXIM BANK ส่งผลให้ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 มีจำนวนลูกค้า 6,260 ราย เพิ่มขึ้นถึง 14.32% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในจำนวนนี้เป็นลูกค้า SMEs มากถึง 84.07% สะท้อนการให้ความสำคัญและอยู่เคียงข้าง SMEs ไม่ทิ้งคนตัวเล็ก ดูแลช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันได้ในเวทีการค้าโลกยุคใหม่ภายใต้มาตรฐานการค้าโลกที่สูงขึ้น อาทิ ออกสินเชื่อเอ็กซิมยกระดับมาตรฐานยางพาราไทย (EXIM Better Rubber Export Financing) เงินทุนหมุนเวียนในการรับซื้อยางและเสริมสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยางพารา อันเป็นการสนับสนุนการส่งออกอุตสาหกรรมดังกล่าวให้ขยายตัวมากขึ้น นอกจากนี้ EXIM BANK ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรจัดอบรมหลักสูตรครบวงจร TOP X Executive Program รุ่นที่ 2 สร้างผู้นำธุรกิจระหว่างประเทศ เจาะลึกแนวทางกำหนดและดำเนินกลยุทธ์บริหารธุรกิจในโลกการค้ายุคใหม่ โดยให้ความสำคัญกับการเข้าถึงตลาดใหม่ เช่น ซาอุดีอาระเบียและประเทศอื่น ๆ ในตะวันออกกลาง เตรียมความพร้อมในการปรับตัวของผู้ประกอบการไทยเพื่อตอบสนองเทรนด์โลกการค้ายุคใหม่ การดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance : ESG) รวมทั้งการส่งเสริมการค้าออนไลน์ให้ SMEs ค้าขายข้ามพรมแดนได้มากขึ้น ตลอดจนการฝึกอบรม จับคู่ทางธุรกิจ และให้คำปรึกษาด้านการเงิน โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายนของปี 2566 EXIM BANK ได้ช่วยเหลือทั้งด้านการเงินและไม่ใช่การเงินแก่ผู้ประกอบการกว่า 26,000 ราย วงเงินรวมกว่า 91,600 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน EXIM BANK ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทางการเงินเพื่อความยั่งยืน โดยมีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จำนวน 5,861 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 เท่ากับ 3.64% และมีค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss) จำนวน 13,509 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง คิดเป็นอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Coverage Ratio) 230.47% ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 EXIM BANK มีกำไรก่อนสำรอง 1,591 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.62% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ในครึ่งปีหลังของปี 2566 EXIM BANK ยังคงขับเคลื่อนการพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืนในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ด้วยการมุ่งเสริมสร้างธุรกิจ ESG อย่างต่อเนื่อง ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงตามความต้องการ เช่น สินเชื่อ EXIM Green Start กระตุ้นให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ยกระดับธุรกิจให้พร้อมเข้าสู่มาตรฐานสิ่งแวดล้อม ร่วมบรรเทาปัญหาสิ่งแวดล้อมโลกและพลิกโฉมภาคการส่งออกไทยให้แข่งขันได้อย่างยั่งยืน โดย EXIM BANK เป็นสถาบันการเงินที่เริ่มนำวัตถุประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อมของร่าง Thailand Taxonomy มาปรับใช้ในการพิจารณาสินเชื่อเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานของประเทศ อีกทั้งยังมุ่งมั่นเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทยให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนและเครื่องมือ/นวัตกรรมทางการเงินอย่างครบวงจร (Total Solution) ตอกย้ำบทบาท Green Development Bank มุ่งยกระดับศักยภาพการแข่งขันของธุรกิจไทยในตลาดโลกอย่างยั่งยืน

8 สิงหาคม 2566

"EXIM BANK" สนับสนุนทางการเงิน AMATA City Lao สร้างเมืองอุตสาหกรรมอัจฉริยะใน สปป.ลาว

EXIM BANK สนับสนุนทางการเงิน AMATA City Lao สร้างเมืองอุตสาหกรรมอัจฉริยะใน สปป.ลาว

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) และนายวรงค์ ตังประพฤทธิ์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อมตะซิตี้ ลาว จำกัด (AMATA City Lao) ร่วมลงนามในสัญญาสนับสนุนทางการเงินของ EXIM BANK จำนวน 150 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินทุนสำหรับซื้อที่ดินและพัฒนาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม อมตะ สมาร์ท แอนด์ อีโค ซิตี้ นาเตย ในแขวงหลวงน้ำทาทางตอนเหนือของ สปป.ลาว โดยมีนายอาสา สารสิน ประธานกรรมการ AMATA City Lao นายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานกรรมการ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) (AMATA) และนายอิทธิพล เลิศศักดิ์ธนกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ อาคารกรมดิษฐ์ 

EXIM BANK สนับสนุน AMATA City Lao ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม AMATA ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมใน สปป.ลาว ด้วยความเล็งเห็นในศักยภาพของผู้ประกอบการไทยในการสร้างเมืองอัจฉริยะ (Smart City) และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยนโยบายการปล่อยของเสียเป็นศูนย์ (Zero Waste Discharge) ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะ สมาร์ท แอนด์ อีโค ซิตี้ นาเตย มุ่งสู่การเป็นเมืองคาร์บอนต่ำ (Low Carbon City) ในระยะยาว บนพื้นฐานของการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามปรัชญา “ALL WIN” ของกลุ่ม AMATA สอดคล้องกับบทบาทของ EXIM BANK ในการทำหน้าที่ธนาคารเพื่อการพัฒนา มุ่งส่งเสริมการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมสู่อนาคตและความยั่งยืน ขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล รวมถึงความกินดีอยู่ดีของประชาชนในชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรม ทั้งนี้ AMATA City Lao ได้เข้าไปพัฒนานิคมอุตสาหกรรมใน สปป.ลาวแล้ว 2 แห่ง ประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมอมตะ สมาร์ท แอนด์ อีโค ซิตี้ นาเตย ในแขวงหลวงน้ำทา และนิคมอุตสาหกรรมอมตะ สมาร์ท แอนด์ อีโค ซิตี้ นาหม้อ ในแขวงอุดมไซ

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) กล่าวว่า การสนับสนุนทางการเงินในครั้งนี้ เพื่อต่อยอดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง โดยส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพอย่าง AMATA City Lao ได้นำพาผู้ประกอบการ SMEs ของไทยและ สปป.ลาว เข้าไปอยู่ใน Supply Chain ที่สามารถสร้าง Ecosystem ที่ขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมสู่อนาคต ประกอบด้วยพื้นที่วิจัยและพัฒนา เทคโนโลยีแห่งโลกอนาคต ผสมผสานกับการดำรงอยู่ของสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ต่อเนื่องกับการสนับสนุนของ EXIM BANK ในปี 2561 ในโครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(EEC) ของกลุ่ม AMATA จำนวนหลายโครงการด้วยมูลค่าวงเงินกว่า 5,670 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศ โดยส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่เศรษฐกิจ สอดรับกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

“EXIM BANK ดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับในทุกมิติ ทั้งสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลที่ดี (Environmental, Social and Governance : ESG) ภายใต้เป้าหมายการเป็น ‘Green Development Bank’ จึงสานพลังกับภาครัฐและภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการค้าและการลงทุนทั้งในและต่างประเทศที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ รวมทั้งขยายผลการพัฒนาไปยังภูมิภาคอาเซียน รวมถึง CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตของภาคธุรกิจในทุกระดับ ตั้งแต่รายย่อยไปจนถึงรายกลางและรายใหญ่ตลอดทั้ง Supply Chain ให้มีความพร้อมที่จะยกระดับประสิทธิภาพการผลิตและพัฒนาธุรกิจการค้าและลงทุนของไทยและภูมิภาคอาเซียนให้มีความแข็งแกร่ง ต่อยอดการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในระดับภูมิภาคและโลกโดยรวม” ดร.รักษ์กล่าว

EXIM BANK ปรับกลยุทธ์เชิงรุก ‘รับมือ ช่วยเหลือ เติมกำลังใจ’ ลูกค้า SMEs รับมือความท้าทายและความผันผวนของเศรษฐกิจ

EXIM BANK ปรับกลยุทธ์สายงานธุรกิจ SMEs ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 เน้นทำงานเชิงรุกด้วยกลยุทธ์ “รับมือ ช่วยเหลือ เติมกำลังใจ” สานพลังกับหน่วยงานพันธมิตรภาครัฐและเอกชนในการแสวงหาลูกค้าใหม่ เยี่ยมเยียนและเช็กสุขภาพลูกค้าเดิม เติมเงินทุน ออกผลิตภัณฑ์การเงินที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า บริหารความเสี่ยงในทุกมิติอย่างเหมาะสม มุ่งยกระดับประสิทธิภาพของภาคธุรกิจตลอดทั้ง Supply Chain อย่างเป็นมืออาชีพ โดยสอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงและมีความท้าทายรอบด้าน

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) มอบนโยบายและประชุมร่วมกับผู้บริหารและพนักงานสาขาและธุรกิจ SMEs ของ EXIM BANK ณ EXIM BANK สำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2566 โดยบอกเล่าภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันว่า จากจำนวน SMEs ไทยกว่า 3 ล้านราย ในจำนวนนี้มีเพียง 1 ล้านรายเท่านั้นที่เข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ และกลายเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) จำนวน 7.4% และมีบริษัทอีกจำนวนหนึ่งที่แม้ยังไม่ปิดกิจการแต่เริ่มมีสัญญาณที่จะไม่สามารถชำระหนี้ได้หรือที่เรียกว่า Zombie Firms และหากสถานการณ์เศรษฐกิจยังคงอึมครึมเช่นนี้ คาดว่าในสิ้นปีนี้ จำนวน NPLs และ Zombie Firms จะเพิ่มสัดส่วนขึ้นอีก ดังนั้น EXIM BANK จึงต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานให้ “รบอย่างมีกลยุทธ์” ช่วยผู้ประกอบการ SMEs ต่อสู้กับความท้าทายและความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย อีกทั้งยังเป็นช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น โดยดูแลทั้งลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่อย่างเต็มที่ และนำเสนอทางแก้ไขปัญหาธุรกิจอย่างครบวงจร (Total Solutions) ภายใต้บทบาทธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ทั้งนี้ท่ามกลางปัจจัยท้าทายต่าง ๆ นโยบายของ EXIM BANK ต่อลูกค้า SMEs คือ การ ‘รับมือ ช่วยเหลือ เติมกำลังใจ’ โดยเจ้าหน้าที่ EXIM BANK ต้องออกเยี่ยมลูกค้า SMEs ทุกราย เพื่อตรวจเช็กสุขภาพธุรกิจและสอบถามความต้องการที่จะให้ EXIM BANK ช่วยเหลือ โดยเฉพาะลูกค้าที่เก่งและดี EXIM BANK พร้อมสนับสนุนการขยายธุรกิจและให้วงเงินสินเชื่อเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม การให้สินเชื่อต้องอยู่บนหลักเกณฑ์ที่ถูกต้อง เงื่อนไขและหลักประกันเหมาะสม มีการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม มุ่งยกระดับประสิทธิภาพของภาคธุรกิจตลอดทั้ง Supply Chain อย่างเป็นมืออาชีพ ทั้งนี้ EXIM BANK จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ ๆ สำหรับลูกค้า SMEs อย่างต่อเนื่องโดยสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า นำผลที่ได้รับจากออกไปเยี่ยมเยียนลูกค้ามาวิเคราะห์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้สอดคล้องกัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการทำการตลาดของธนาคารในการเพิ่มจำนวนลูกค้าใหม่และสนับสนุนช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มเดิมให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างโอกาสในการเข้าถึงและสนับสนุน SMEs ไทยที่มีศักยภาพให้เติบโตและขยายธุรกิจสู่ตลาดโลกได้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขับเคลื่อนการเติบโตของภาคการส่งออกและเศรษฐกิจไทยในปี 2566
 

EXIM BANK จับมือ SME D Bank เติมเต็มบริการ ติดปีก SMEs ไทยสู่ตลาดโลก

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) และนางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการ SME D EXIM ARI CONNEXT “เติมทุน เสริมทักษะ ยกระดับ SMEs ไทยสู่เวทีโลก” ณ  SME D Bank สำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2566 เพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อในการเติมความรู้ เติมโอกาส เติมเงินทุนอย่างครบวงจรและตอบทุกโจทย์ (Total Solutions) ของผู้ประกอบการ SMEs ไทยตลอด Supply Chain ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เชื่อมโยงไปสู่ Supply Chain การค้าโลก

โดยภายใต้ความร่วมมือ ผู้ประกอบการไทยจะได้รับอบรมบ่มเพาะโดย EXIM BANK ร่วมกับ SME D Bank และพันธมิตรภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนและเครื่องมือบริหารความเสี่ยงทางการค้าระหว่างประเทศจากทั้งสองธนาคาร เพื่อให้สามารถเริ่มต้นหรือขยายธุรกิจการค้าภายในประเทศและส่งออกได้ โดยเฉพาะผู้ส่งออกที่ต้องการเงินทุนเกิน 50 ล้านบาทจะได้รับการสนับสนุนโดย EXIM BANK เพื่อยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของ SMEs ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการพัฒนาอย่างยั่งยืน

EXIM BANK ชี้แจงกรณีเงินกู้บริษัทลูกของ STARK

ตามที่ปรากฏข่าว EXIM BANK ปล่อยกู้บริษัท เฟ้ลปส์ ดอด์จ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (STARK) นั้น

ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ขอชี้แจงว่า EXIM BANK ได้ปล่อยกู้ให้แก่บริษัทลูกของ STARK ดังกล่าวโดยสอดคล้องกับพันธกิจของธนาคาร เพื่อสนับสนุนวงเงินนำเข้าวัตถุดิบสำหรับผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิลทั้งที่จำหน่ายในประเทศไทยเพื่อการพัฒนาประเทศและส่งออก ซึ่งที่ผ่านมาการใช้วงเงินเป็นปกติ เมื่อบริษัทแม่ประสบปัญหา ธนาคารจึงอยู่ระหว่างการติดตามและประชุมหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาต่อไป รวมทั้งธนาคารได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การจัดชั้นและการกันเงินสำรองของสถาบันการเงินเฉพาะกิจครบถ้วนแล้ว

EXIM BANK หนุนการเงินกลุ่ม ซี.เอ.เอส. รุกตลาด CLMV เพิ่มธุรกิจกระดาษและบรรจุภัณฑ์ครบวงจร

วันที่ 27 มิ.ย. 2566 ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) และนายสุรพล ดารารัตนโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี.เอ.เอส. เปเปอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทภายใต้กลุ่มบริษัท ซี.เอ.เอส. ร่วมลงนามในสัญญาสนับสนุนทางการเงินของ EXIM BANK จำนวน 350 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินธุรกิจกระดาษและบรรจุภัณฑ์ครบวงจร รวมทั้งเพิ่มศักยภาพกระบวนการผลิตสินค้าของบริษัทให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น ลดการสร้างขยะจากอุตสาหกรรม รองรับการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะในตลาดใหม่ (New Frontiers) รวมถึง CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม)

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) กล่าวว่า EXIM BANK สนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนให้แก่กลุ่มบริษัท ซี.เอ.เอส. ในครั้งนี้เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่มุ่งสู่การเป็น Green Development Bank โดยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยพัฒนากระบวนการผลิตตามหลักเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Economy) และเพิ่มศักยภาพการผลิตเพื่อขยายการส่งออกสินค้าไปตลาดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ ทั้งนี้ กลุ่มบริษัท ซี.เอ.เอส. เติบโตจากธุรกิจเกี่ยวกับการพิมพ์ครบวงจรในนามบริษัท เจริญอักษร จำกัด การสนับสนุนในครั้งนี้จะช่วยเสริมศักยภาพและขยายกำลังการผลิตของธุรกิจกระดาษและบรรจุภัณฑ์กระดาษ ต่อยอดจากการส่งออกไม้สับสำหรับทำเยื่อกระดาษ ซึ่งปัจจุบันกลุ่มบริษัท ซี.เอ.เอส. เป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของไทยที่ดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม นำเศษเปลือกไม้มาหมักเป็นปุ๋ยเพื่อให้เกิด Zero Waste พร้อมทำแปลงสาธิตส่งเสริมความรู้ให้กับชุมชนใกล้เคียง รองรับความต้องการใช้กระดาษและบรรจุภัณฑ์ของลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจบริการทั้งในและต่างประเทศได้มากยิ่งขึ้น 

"EXIM BANK พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการทุกขนาดธุรกิจและทุกอุตสาหกรรมให้มีความพร้อมที่จะขยายกิจการรองรับโอกาสและมาตรฐานการค้าโลกยุคใหม่ ด้วยจุดยืน "กล้า พัฒนาเพื่อคนไทย" ขับเคลื่อนการพัฒนาองค์กรและสังคมให้เติบโตอย่างยั่งยืนในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม"

EXIM BANK จับมือ NEXI คุ้มครองความเสี่ยงผู้ประกอบการไทย-ญี่ปุ่น ขยายการค้า-ลงทุนในประเทศเป้าหมายอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง

EXIM BANK จับมือ NEXI คุ้มครองความเสี่ยงให้ผู้ประกอบการไทย-ญี่ปุ่น ขยายการค้าการลงทุนระหว่างไทยกับญี่ปุ่นและประเทศเป้าหมายในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง

ดร.พสุ โลหารชุน ประธานกรรมการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) พร้อมด้วยนายโอบะ ยูอิจิ อุปทูตรักษาสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เป็นประธานในพิธีเปิดงานสัมมนา “EXIM Thailand and NEXI Collaboration: A New Chapter Begins” จัดโดย EXIM BANK ร่วมกับองค์กรรับประกันแห่งประเทศญี่ปุ่น (Nippon Export and Investment Insurance : NEXI) เพื่อสนับสนุนความรู้ โอกาส และเครื่องมือทางการเงินทั้งสินเชื่อและเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง โดยมีผู้ประกอบการไทยและญี่ปุ่นจำนวนกว่า 100 คน เข้าร่วมงาน ทั้งสองหน่วยงานจะร่วมกันสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยและญี่ปุ่นเข้าถึงโอกาสใหม่ ๆ ด้านการค้าและการลงทุนในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง โดยมี ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และนางอารดา เฟื่องทอง รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ร่วมเป็นวิทยากร ณ โรงแรมคาเพลลา กรุงเทพ เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2566

ประธานกรรมการ EXIM BANK เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง โดยเฉพาะ สปป.ลาว กัมพูชา และเวียดนาม เป็นตลาดใหม่ (New Frontiers) ที่มีศักยภาพสูงด้านการค้าและการลงทุน ด้วยอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากความพร้อมในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะแรงงานราคาถูก ทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ จำนวนผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น การขยายตัวของชุมชนเมืองและการพัฒนาอุตสาหกรรม เสถียรภาพทางการเมือง และข้อตกลงการค้าเสรีระดับทวิภาคีและพหุภาคี ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดผู้ประกอบการจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกให้หลั่งไหลเข้าไปลงทุนเพื่อการพัฒนาประเทศ รวมถึงใช้ประเทศเหล่านี้เป็นฐานการผลิตสินค้าและดำเนินธุรกิจบริการ รองรับการอุปโภคบริโภคภายในประเทศและส่งออกไปยังประเทศที่สาม อาทิ จีนและอินเดีย โดยมีผู้ประกอบการไทยและญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่เข้าไปเติมเต็มและเชื่อมโยงกับ Supply Chain การค้าโลก

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า ก้าวใหม่ความร่วมมือระหว่าง EXIM BANK และ NEXI ในโลกการค้ายุคใหม่มุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนข้อมูลและความร่วมมือในการพัฒนาเครื่องมือทางการเงิน ทั้งบริการประกันการส่งออกและการลงทุน และการรับประกันต่อ เพื่อคุ้มครองความเสี่ยงทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศให้แก่ผู้ประกอบการไทยและญี่ปุ่น ขยายผลสู่การขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศในภูมิภาคเอเชียร่วมกัน ครอบคลุมการยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค การพัฒนาทักษะและฝีมือแรงงาน ตลอดจนการถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยี

โดยทั้งสองหน่วยงานจะส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยและญี่ปุ่นมีความพร้อมที่จะเริ่มต้นหรือขยายธุรกิจระหว่างประเทศได้มากขึ้นอย่างมั่นใจ โดยเฉพาะในตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ อาทิ ประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงซึ่งมีความคุ้นเคยกับวัฒนธรรมและพฤติกรรมผู้บริโภคในเอเชียที่คล้ายคลึงกัน EXIM BANK จะใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญของธนาคารในการส่งเสริมการส่งออกและการลงทุน โดยการเติมความรู้ โอกาสทางธุรกิจ และเงินทุน ตลอดจนเครื่องมือบริหารความเสี่ยงทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ

ทั้งนี้จากการคาดการณ์ขององค์กรรับประกันชั้นนำของโลก โควิด-19 และสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนได้ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ ทำให้ธุรกิจล้มละลายเพิ่มสูงขึ้นกว่า 14% จากปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะ SMEs ซึ่งมีอำนาจการต่อรองต่ำและเงินทุนหมุนเวียนไม่มากนัก จึงควรต้องบริหารความเสี่ยงจากการไม่ได้รับชำระเงินค่าสินค้า โดยกระจายตลาดส่งออกไปยังตลาดที่ยังเติบโตหรือมีกำลังซื้อสูง เช่น ตลาดใหม่ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เอเชียใต้ เป็นต้น และใช้เครื่องมือทางการเงินในการบริหารจัดการความเสี่ยงดังกล่าว

ทั้งนี้ EXIM BANK ได้ดำเนินธุรกิจให้บริการประกันการส่งออกตั้งแต่เปิดดำเนินงานอย่างเป็นทางการในปี 2537 มีปริมาณธุรกิจรับประกันการส่งออกสะสมจำนวน 1.82 ล้านล้านบาท ยอดจ่ายค่าสินไหมทดแทนจำนวนรวมประมาณ 1,400 ล้านบาท โดย 76% เกิดจากกรณีผู้ซื้อในต่างประเทศปฏิเสธการชำระเงินค่าสินค้า รองลงมาประมาณ 23% เกิดจากผู้ซื้อล้มละลาย และอีก 1% เกิดจากผู้ซื้อปฏิเสธการรับมอบสินค้า ประเทศที่มีมูลค่ายื่นขอรับสินไหมทดแทนสูงสุด ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหรัฐอเมริกา และสิงคโปร์ สินค้าที่มีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนสูงสุด ได้แก่ ข้าว อัญมณีและเครื่องประดับ และอะลูมิเนียม

“ความร่วมมือกับ NEXI ในครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งภารกิจของ EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลังที่มุ่งดำเนินบทบาทธนาคารเพื่อการพัฒนา โดยขยายความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ ติดอาวุธให้ผู้ประกอบการไทยสามารถพัฒนาเป็นนักรบเศรษฐกิจในตลาดโลกได้มากขึ้น ขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาคเอเชีย ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม” ดร.รักษ์กล่าว

 

"EXIM BANK" ออกพันธบัตร SME Green Bond อายุ 3 ปีวงเงิน 3.5 พันล้านบาท

EXIM BANK ประสบความสำเร็จในการเสนอขายพันธบัตรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อ SMEs (SME Green Bond) ครั้งแรกภายใต้กรอบการระดมทุนเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance Framework) อายุ 3 ปี มูลค่ารวม 3,500 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้สนับสนุนสินเชื่อโครงการพลังงานสะอาดให้แก่ผู้ประกอบการกลุ่ม SMEs โดยมีธนาคารออมสินเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายพันธบัตร และธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจำหน่ายพันธบัตร และนายทะเบียนพันธบัตร ซึ่งนักลงทุนชั้นนำในประเทศไทยตอบรับเป็นอย่างดีด้วยยอดการจองซื้อสูงกว่าวงเงินที่เสนอขายถึง 2.5 เท่า ทำให้ระดมทุนได้ในอัตราดอกเบี้ยที่ดี ท่ามกลางตลาดการเงินที่มีความผันผวนและภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น ตอกย้ำบทบาทการเป็นผู้นำด้านการเงินสีเขียว เติมเต็ม Green Financial Ecosystem ให้ครบวงจรมากขึ้น

นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK ออก SME Green Bond เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2566 โดยเสนอขายให้แก่นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ ในรูปแบบพันธบัตรประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน อายุ 3 ปี ครบกำหนดไถ่ถอน ปี 2569 อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.71% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก 6 เดือนตลอดอายุพันธบัตร มูลค่ารวม 3,500 ล้านบาท พันธบัตร SME Green Bond ที่เสนอขายในครั้งนี้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับ AAA โดยบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด สะท้อนถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและมั่นคงของ EXIM BANK ต่อเนื่องจากการเสนอขาย Green Bond ในปี 2565 และในปี 2566 ยังคงได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุนชั้นนำในประเทศไทยด้วยยอดการจองซื้อสูงกว่าวงเงินที่เสนอขายถึง 2.5 เท่า ทำให้ EXIM BANK สามารถระดมทุนได้เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ และได้อัตราดอกเบี้ยที่ดีในช่วงที่ตลาดการเงินมีความผันผวนและอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น

โดยที่ผ่านมา EXIM BANK ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Economy) ไปแล้วประมาณ 30% ของพอร์ตสินเชื่อรวมของธนาคาร หรือประมาณ 50,000 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายจะขยายสินเชื่อ BCG ของธนาคารเป็น 100,000 ล้านบาทภายในปี 2570 สนับสนุนการนำพลังงานสะอาดมาใช้พัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อรองรับการอุปโภคบริโภคและการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ ลดปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ การออกพันธบัตรในครั้งนี้จึงตอกย้ำความมุ่งมั่นของ EXIM BANK ในการบริหารจัดการการเงินอย่างมีความรับผิดชอบตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ขยายผลความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนให้ดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ นำไปสู่ความร่วมมือระดับชุมชน สังคม และนานาประเทศเพื่อสร้างโลกที่สะอาดและเติบโตอย่างสมดุลในทุกมิติ  

ทั้งนี้ EXIM BANK ได้รับรางวัล Best Green Bond ประเภทสถาบันการเงินจากเวทีระดับโลก The Asset Triple A Awards 2022 จัดโดย The Asset นิตยสารการเงินชั้นนำแห่งเอเชีย และรางวัล State Owned Enterprise ESG Bond of the Year จากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (The Thai Bond Market Association : ThaiBMA) จากการออกพันธบัตรเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) จำนวน 2 รุ่น มูลค่ารวม 5,000 ล้านบาท ในปี 2565

“ด้วยเป้าหมายสู่การเป็นธนาคารเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน EXIM BANK มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจที่สร้างผลตอบแทนให้แก่ทุกภาคส่วนอย่างยั่งยืน สร้างผลลัพธ์ที่เป็นเลิศให้แก่ลูกค้าผู้ประกอบการ ตลอดจนสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งต่ออนาคตที่ดีสู่คนรุ่นหลัง ธนาคารจึงพัฒนารูปแบบการดำเนินธุรกิจและผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เป็นการลงทุนในระยะยาวเพื่อความยั่งยืนของภาคธุรกิจ เสริมสร้างการพัฒนาสังคมและแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญและจุดแข็ง ตลอดจนเครือข่ายพันธมิตร ในการบริหารจัดการการเงินและดำเนินธุรกิจที่นำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศไทยและโลกโดยรวม”นายรักษ์กล่าว

 

EXIM BANK ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% มีผล 6 มิ.ย.นี้ คงจุดยืนอัตรา ดบ.เงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีต่ำสุดในระบบ

EXIM BANK ประกาศปรับอัตราดอกเบี้ย 0.25% มีผล 6 มิ.ย.66 คงจุดยืนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีต่ำที่สุดในระบบ

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.75% เป็น 2.00% ต่อปี อันเนื่องมาจากเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน ขณะที่การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ประกอบกับแนวโน้มเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง เพื่อให้การดำเนินงานของ EXIM BANK สอดคล้องกับทิศทางของเศรษฐกิจและแนวโน้มเงินเฟ้อและสนับสนุนการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งจะช่วยให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเป็นไปอย่างมีเสถียรภาพ EXIM BANK จึงประกาศปรับอัตราดอกเบี้ย Prime Rate 0.25% ต่อปี จาก 6.25% ต่อปี เป็น 6.50% ต่อปี ซึ่งยังคงเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีที่ต่ำที่สุดในระบบ มีผลตั้งแต่วันที่ 6 มิถุนายน 2566 เป็นต้นไป

“EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีภารกิจขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ยังดำเนินบทบาทธนาคารเพื่อการพัฒนาโดยไม่ทิ้งคนตัวเล็ก ดูแลช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs และกลุ่มเปราะบางด้วยมาตรการและโปรโมชันพิเศษอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนให้สามารถปรับตัวและรับมือกับสภาวะเศรษฐกิจและแข่งขันได้ในเวทีการค้าโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยโอกาสใหม่ ๆ และปัจจัยท้าทายที่ต้องบริหารจัดการอย่างรู้เท่าทันด้วยเครื่องมือทางการเงินครบวงจร” ดร.รักษ์ กล่าว