เช็คที่นี่! "EXIM BANK" ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ SMEs กลุ่มเปราะบาง ปิดหนี้ได้ไว ไปต่อได้เร็ว

"EXIM BANK" ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ SMEs กลุ่มเปราะบาง ปิดหนี้ได้ไว ไปต่อได้เร็ว

เมื่อวันที่ 13 ม.ค.68 ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ SMEs ของธนาคารในกลุ่มเปราะบางที่มีหนี้วงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาทให้สามารถรักษาทรัพย์สินหลักประกันเป็นสถานประกอบการไว้ได้ ซึ่งเป็นการปรับโครงสร้างหนี้แบบลดค่างวดและลดภาระดอกเบี้ย ช่วยให้ SMEs ปิดหนี้ได้ไว ไปต่อได้เร็ว ภายใต้โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ด้วยมาตรการ “จ่ายตรง คงทรัพย์” ตามนโยบายของรัฐบาลโดยกระทรวงการคลังร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดังนี้

1.แพ็กเกจเอ็กซิมใจดี ช่วย SMEs “Move On”
คุณสมบัติลูกหนี้ที่สามารถเข้าร่วมมาตรการได้
• เป็นลูกหนี้ SMEs (ทั้งบุคคลและนิติบุคคล) ของ EXIM BANK ที่มีวงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท
• เป็นสินเชื่อที่ทำสัญญาก่อนวันที่ 1 มกราคม 2567
• สถานะหนี้ ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้
- หนี้ค้างชำระ (นับจากวันที่ครบกำหนดชำระ) เกินกว่า 30 วัน แต่ไม่เกิน 365 วัน
- เคยปรับโครงสร้างหนี้ (ปรับหนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 จากการค้างชำระเกิน 30 วัน) แต่ปัจจุบันต้องไม่ค้างชำระหรือค้างชำระไม่เกิน 30 วัน

รูปแบบการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้
• ลูกหนี้จ่ายค่างวดน้อยลงเป็นระยะเวลา 3 ปี โดยชำระค่างวดลดลงตามลำดับ ปีที่ 1 ชำระ 50% ปีที่ 2 ชำระ 70% และปีที่ 3 ชำระ 90% ของค่างวดเดิม
• ภาระดอกเบี้ยลดลง พักดอกเบี้ยระหว่างเข้าร่วมมาตรการ และธนาคารจะยกดอกเบี้ยที่พักไว้ให้ หลังสิ้นสุดมาตรการ 3 ปี
• ภาระหนี้ลดลง ปิดจบหนี้ได้เร็ว ค่างวดที่จ่ายระหว่างเข้าร่วมมาตรการจะนำไปตัดเงินต้นทั้งหมด
• สามารถขยายระยะเวลาผ่อนสูงสุด 7 ปี โดยจัดสรรวงเงินให้สอดคล้องกับระยะเวลาที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้คืนของลูกค้าแต่ละราย

ช่องทางและระยะเวลาการลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการ
ลงทะเบียนได้ที่เว็บไซต์ ธปท. www.bot.or.th/khunsoo ตั้งแต่บัดนี้ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568 (สิ้นสุดเวลา 23.59 น.) หรือตามที่ ธปท. ประกาศเปลี่ยนแปลง

2.แพ็กเกจเอ็กซิมใจดี ช่วย SMEs “Move Together” สำหรับลูกหนี้ของธนาคารที่เข้าร่วมมาตรการ “จ่ายตรง คงทรัพย์” ธนาคารมอบสิทธิพิเศษให้แก่ลูกหนี้ที่ผ่อนชำระตามมาตราการครบ 3 ปีโดยไม่ผิดนัดชำระหนี้ (จ่ายดี มีวินัย) สามารถขอวงเงินเพื่อใช้หมุนเวียนในกิจการ 30% ของยอดผ่อนที่ชำระเสร็จสิ้นในช่วง 3 ปีที่เข้าร่วมมาตรการ ทั้งนี้ เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

EXIM BANK มุ่งดำเนินภารกิจการพัฒนาอย่างยั่งยืน พร้อมช่วยเหลือลูกหนี้ SMEs ที่ประสบปัญหาในการชำระหนี้ให้สามารถปิดหนี้ได้ไว สร้างการเติบโตทางธุรกิจต่อไปได้และแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน ลงทะเบียนสมัครเข้าร่วมมาตรการและชำระหนี้ตามเงื่อนไขได้ที่ www.exim.go.th สอบถาม EXIM Contact Center โทร. 0-2169 -9999

#EXIMBANK #ข่าววันนี้ #เอสเอ็มอี #กลุ่มเปราะบาง #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

"EXIM BANK" ออก 3 มาตรการของขวัญพิเศษปีใหม่ 2568 “ชีวิตดี มีความสุข ดีต่อใจ” ผู้ประกอบการไทยในเวทีการค้าโลก

"EXIM BANK" ออกมาตรการของขวัญพิเศษปีใหม่ 2568 ส่ง 3 แพ็กเกจ “ชีวิตดี มีความสุข ดีต่อใจ” ผู้ประกอบการไทยในเวทีการค้าโลก

เมื่อวันที่ 27 ธ.ค.67 ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK มอบของขวัญปีใหม่ 2568 สร้าง “ชีวิตดี มีความสุข ดีต่อใจ” ให้แก่ผู้ประกอบการไทยในเวทีการค้าโลก ดังนี้

1.แพ็กเกจ “ชีวิตดี” ช่วยลูกหนี้ SMEs ให้สามารถปิดหนี้ได้ไว ไปต่อได้เร็ว ตามโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ด้วยมาตรการ “จ่ายตรง คงทรัพย์” เป็นการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เน้นการลดภาระผ่อนชำระและลดดอกเบี้ย 
• ลูกหนี้จ่ายค่างวดน้อยลงเป็นระยะเวลา 3 ปี โดยชำระค่างวดลดลงตามลำดับ ปีที่ 1 ชำระ 50% ปีที่ 2 ชำระ 70% และ ปีที่ 3 ชำระ 90% ของค่างวดเดิม
• ภาระดอกเบี้ยลดลง พักดอกเบี้ยระหว่างเข้ามาตรการ และธนาคารจะยกดอกเบี้ยที่พักไว้ให้หลังสิ้นสุดมาตรการ 3 ปี
• ภาระหนี้ลดลง ปิดจบหนี้ได้เร็ว ค่างวดที่จ่ายระหว่างเข้ามาตรการจะนำไปตัดเงินต้นทั้งหมด
• สามารถขยายระยะเวลาผ่อนสูงสุด 7 ปี จัดสรรวงเงินให้สอดคล้องกับระยะเวลาที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้คืนของลูกค้าแต่ละราย

2.แพ็กเกจ “มีความสุข” EXIM BANK สนับสนุนเงินลงทุนระยะยาว อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นเหลือเพียง 3.50% ต่อปีใน 2 ปีแรก (ปรับลดจากอัตราปกติ 4.85% ต่อปี อ้างอิง Prime Rate -1.50% ต่อปี จากอัตรา Prime Rate ณ 1 ธันวาคม 2567 เท่ากับ 6.35%) วงเงินกู้สูงสุด 40 ล้านบาท ระยะเวลากู้สูงสุด 10 ปี สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องการขยายกำลังการผลิต ซื้อเครื่องจักร ต่อเติมโรงงาน ติดตั้งระบบ Solar เพื่อใช้ในกิจการ หรือยกระดับการดำเนินงานด้าน ESG

3.แพ็กเกจ “ดีต่อใจ” EXIM BANK สนับสนุนเงินทุนและเครื่องมือบริหารจัดการความเสี่ยงทางการค้าอย่างครบวงจรแก่ผู้ประกอบการ 
• “เงินทุนอุ่นใจ” ด้วยวงเงินเสริมสภาพคล่องในกิจการ อนุมัติสูงสุด 200 ล้านบาท พร้อมรับฟรีวงเงิน Forward Contract สูงสุด 1 เท่าของวงเงินสินเชื่อ หรือวงเงินกู้อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นเหลือเพียง 3.25% ต่อปีใน 2 ปีแรก และสามารถผ่อนชำระสูงสุด 5 ปี  
• “ประกันสบายใจ” เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากการไม่ได้รับชำระเงินค่าสินค้าจากผู้ซื้อในต่างประเทศสำหรับผู้ประกอบการที่มีมูลค่าการส่งออกไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อปี โดยมีวงเงินรับประกันสูงสุด 2 ล้านบาทต่อกรมธรรม์ ฟรี! ค่าเบี้ยประกันการส่งออกสำหรับผู้ซื้อ 1 ราย (วงเงินรับประกัน 300,000 บาท)

ทั้งนี้ EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐที่มุ่งดำเนินภารกิจการพัฒนาอย่างยั่งยืน ขอร่วมส่งความสุขปีใหม่ 2568 ให้แก่ผู้ประกอบการให้สามารถสร้างการเติบโตทางธุรกิจ ยกระดับความสามารถในการแข่งในตลาดโลกได้อย่างต่อเนื่อง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง www.exim.go.th หรือติดต่อ EXIM Contact Center โทร. 0 2169-9999 

#EXIMBANK #ข่าววันนี้ #ปีใหม่ #รักษ์วรกิจโภคาทร #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

EXIM BANK ชี้แนวโน้ม ศก.-ส่งออกไทยปี 68 แตะระดับ 3% เดินหน้าพัฒนานวัตกรรมทางการเงิน ยกระดับธุรกิจไทยแข่งขันได้ในเวทีโลก

EXIM BANK ชี้แนวโน้มเศรษฐกิจและส่งออกไทยปี 68 แตะระดับ 3% เดินหน้าพัฒนานวัตกรรมทางการเงิน ยกระดับธุรกิจไทยแข่งขันได้ในเวทีโลกอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.67 ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวที่ 3% ด้วยแรงขับเคลื่อนจากอุปสงค์ในประเทศที่ฟื้นตัวต่อเนื่องจากการใช้จ่ายภาครัฐ การลงทุน และการบริโภค ควบคู่กับความต้องการจากต่างประเทศในภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกซึ่งมีแนวโน้มขยายตัว เป็นผลจากเศรษฐกิจโลกขยายตัวต่อเนื่อง  โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกปี 2568 จะขยายตัว 3.2% (เท่ากับปี 2567) และการค้าโลกปี 2568 จะขยายตัว 3.4% (สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ราว 2.8%) ตลาดที่มีศักยภาพ ได้แก่ ตลาดเกิดใหม่ อาทิ อินเดีย CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) อาเซียน 5 ประเทศ และตะวันออกกลาง ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2568 สูงถึง 6.5%, 5.3%, 4.5% และ 3.8% ตามลำดับ ทำให้คาดว่าการส่งออกไทยปี 2568 จะขยายตัว 3% สินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดโลก ได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ สินค้าเกษตรและอาหาร และสินค้าไลฟ์สไตล์ เช่น เครื่องสำอาง อาหารสัตว์เลี้ยง อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ต้องจับตา ได้แก่ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะในตะวันออกกลางที่อาจส่งผลให้ค่าระวางและราคาน้ำมันผันผวน ความผันผวนของค่าเงิน และสงครามการค้ารอบใหม่ (Trade War 2.0) เป็นผลจากนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าจากประเทศต่าง ๆ ของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า ในปี 2568 EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง จะเป็นผู้นำผู้ประกอบการไทยรุกตลาดการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ  โดยส่งเสริมการส่งออกและการลงทุนในธุรกิจที่ไทยมีศักยภาพ สอดรับกับเทรนด์ผู้บริโภคในโลกการค้ายุคใหม่ ได้แก่ 1.สินค้าตอบโจทย์ความมั่นคงด้านอาหาร (Food for Security) ซึ่งประเทศไทยอยู่ในอันดับ 10 ของประเทศผู้ผลิตอาหารต่อคนมากที่สุดในโลก สินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดโลก ได้แก่ ทูน่ากระป๋องและไก่แปรรูป น้ำตาลทราย และซาร์ดีนกระป๋อง 2.สินค้ารักษ์โลก (Good for Planet) สินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดโลก ได้แก่ เม็ดพลาสติกชีวภาพ (Polylactic Acid : PLA) และแผงโซลาร์เซลล์ 3.สินค้าและบริการที่สร้างความสุขหรือประสบการณ์ใหม่ (Mood for Joy) สินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดโลก ได้แก่ อาหารสัตว์เลี้ยง เครื่องประดับเงิน เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว ธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ นอกจากนี้ สินค้าที่มีโอกาสเติบโตในปี 2568 ได้แก่ สินค้าที่ได้รับผลดีจากนโยบายของว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้แก่ สินค้าเครื่องปรับอากาศและหม้อแปลงไฟฟ้าที่ไทยอาจสามารถกลับมาช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ได้เพิ่มขึ้น หากสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนและประเทศอื่นๆเพิ่มขึ้นตามที่ได้เคยประกาศนโยบายไว้

ดร.รักษ์ กล่าวอีกว่า ในปี 2568 EXIM BANK จะเดินหน้าบทบาท Green Development Bank นำทัพผู้ประกอบการไทยขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำและสร้างโลกที่ยั่งยืน มุ่งสู่เป้าหมายเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อสนับสนุนธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Environmental, Social, and Governance : ESG) เป็น 40% ภายในปี 2568 พร้อมเปิดตัวบริการใหม่ด้านวาณิชธนกิจ เป็นที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ จัดหาเงินทุนสำหรับโครงการ รวมถึงค้ำประกันหุ้นกู้ (Bond Guarantee) แก่ผู้ประกอบธุรกิจที่คำนึงถึง ESG ขณะเดียวกัน EXIM BANK สนับสนุนธุรกิจส่งออกและการลงทุนที่ขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน นำพาธุรกิจไทยทุกขนาดเข้าสู่ Green Export Supply Chain และมุ่งสู่เป้าหมายธนาคารด้านความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2570 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2593 โดยสอดคล้องกับความต้องการของโลกในการสนับสนุนทางการเงินเพื่อจัดการกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Finance) ซึ่งประเมินว่าสูงถึง 8.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี แต่ตัวเลข Climate Finance ปี 2565 มีอยู่เพียง 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี เท่ากับว่ายังขาดเม็ดเงินอีกมูลค่ามหาศาลในการจัดการกับปัญหาดังกล่าว

โดยในการดำเนินบทบาท Green Development Bank ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2567 EXIM BANK มียอดสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพัน 179,316 ล้านบาท และคาดว่าจะสูงกว่า 190,000 ล้านบาทภายในสิ้นปี 2567 เพิ่มขึ้น 6.8% จาก 177,932 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2566 ขณะที่สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) คาดว่าจะอยู่ที่ 3.49% ลดลงถึง 1.2% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน เป็นผลจากการติดตามคุณภาพสินเชื่ออย่างใกล้ชิดของธนาคาร ทำให้คาดว่า ณ สิ้นปี 2567 EXIM BANK จะสามารถทำกำไรสุทธิได้สูงกว่า 1,000 ล้านบาท

“ปี 2568 เป็นปีที่เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบคู่ที่ทำงานพร้อมกันทั้งจากอุปสงค์ภายในและภายนอกประเทศ ขณะที่โอกาสของธุรกิจไทยยังมีอยู่อีกมากในตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะธุรกิจที่สามารถพัฒนาสินค้าหรือบริการตอบโจทย์เทรนด์ของตลาดโลกได้ EXIM BANK จึงเร่งเดินหน้าขับเคลื่อนการส่งออก ด้วยนวัตกรรมทางการเงินที่จะช่วยเสริมหรือติดอาวุธให้ผู้ประกอบการแข่งขันได้มากขึ้นในเวทีโลก นำพาธุรกิจไทยสู่ความยั่งยืน ท่ามกลางความไม่แน่นอนในตลาดการค้าโลกปัจจุบัน”  ดร.รักษ์กล่าว

#EXIMBANK #ส่งออก #ข่าววันนี้ #นวัตกรรมการเงิน #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

EXIM BANK จัดกิจกรรมบริจาคโลหิตเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) พร้อมด้วยผู้บริหารและพนักงาน EXIM BANK ร่วมบริจาคโลหิตให้กับศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้า ใน “โครงการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่และรับบริจาคโลหิตเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567” ณ EXIM BANK สำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567

"EXIM BANK" ได้รับการคงอันดับเครดิตสากลที่ Baa1 (Stable Outlook) จาก Moody’s เทียบเท่าอันดับเครดิตของประเทศไทย ต่อเนื่องปีที่ 16

EXIM BANK ได้รับการคงอันดับเครดิตสากลที่ Baa1 (Stable Outlook) จาก Moody’s เทียบเท่าอันดับเครดิตของประเทศไทย ต่อเนื่องเป็นปีที่ 16

เมื่อวันที่ 14 พ.ย.67 ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า บริษัท มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส (Moody’s Investors Service : Moody’s) บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลก ประกาศคงอันดับเครดิตสากลสกุลเงินตราต่างประเทศระยะยาว และอันดับเครดิตตราสารหนี้ไม่ด้อยสิทธิสกุลเงินต่างประเทศของ EXIM BANK ที่ ‘Baa1’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) เทียบเท่าอันดับเครดิตของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 16 ตอกย้ำความเชื่อมั่นที่มีต่อสถานะทางการเงินของ EXIM BANK รวมถึงสะท้อนบทบาท Green Development Bank และภารกิจของ EXIM BANK ในการเป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง ดำเนินภารกิจส่งเสริมและสนับสนุนการค้าและการลงทุนที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ

“EXIM BANK เดินหน้าสนับสนุนผู้ประกอบการไทยอย่างต่อเนื่อง โดยสานพลังกับเครือข่ายพันธมิตรภาครัฐและภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมทั้งดูแลธุรกิจกลุ่มเปราะบางซึ่งได้รับผลกระทบอย่างมากจากภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นและปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พลิกโฉมประเทศไทยสู่เศรษฐกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี หรือ ESG ตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของภาครัฐและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม” ดร.รักษ์ กล่าว

#EXIMBANK #อันดับเครดิตสากล #ข่าววันนี้ #สยามรัฐออนไลน์ #สยามรัฐ #มูดี้ส์

"EXIM BANK" ประเมินเมื่อ "โดนัลด์ทรัมป์" กลับมาจะพาโลกและไทยไปทางไหน

"EXIM BANK" ประเมินเมื่อ "โดนัลด์ทรัมป์" กลับมาจะพาโลกและไทยไปทางไหน

เมื่อวันที่ 7 พ.ย.67 ฝ่ายวิจัยธุรกิจธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ระบุผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ อย่างไม่เป็นทางการ ค่อนข้างแน่ชัดว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ มีแนวโน้มดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนถัดไป โดยแนวนโยบายของทรัมป์ที่สำคัญ ได้แก่ (1) การค้า : เก็บภาษีสินค้านำเข้าทั้งหมดจากจีนเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 60% และประเทศอื่นเพิ่มเป็น 10% (2) การลงทุน : ดึงดูดการลงทุนกลับสู่สหรัฐฯ โดยใช้มาตรการจูงใจทางภาษี (3) นโยบายสีเขียว : อาจถอนตัวจากข้อตกลง Paris Agreement และอาจชะลอร่างกฎหมาย Clean Competition Act ซึ่งเป็นการเก็บภาษีคาร์บอนกับสินค้าที่มีการปล่อยคาร์บอนสูง และ (4) การเมืองโลก : สนับสนุนอิสราเอลชัดเจน ซึ่งโดยรวมนโยบายของทรัมป์จะส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนต่อทิศทางการค้าการลงทุนโลกในหลายด้าน ซึ่งผู้ประกอบการไทยควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อเตรียมพร้อมรับมืออย่างทันท่วงที ทั้งนี้ ในเบื้องต้น สามารถประเมินผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากแนวนโยบายของทรัมป์ ดังนี้

• การค้า : ไทยได้ไม่คุ้มเสียจาก Trade War รอบใหม่ เนื่องจากโอกาสส่งออกสินค้าไทยไปแทนที่สินค้าจีนในตลาดสหรัฐฯ มีไม่มาก เพราะกลุ่มสินค้าที่ถูกเก็บภาษีใหม่ (ไม่เคยถูกเก็บจาก Trade War รอบแรก) ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Consumer Goods เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต เสื้อผ้า รองเท้า และเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งไทยไม่ได้เป็นฐานการผลิตที่สำคัญอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีขีดความสามารถในการแข่งขันต่ำกว่าประเทศอื่น อาทิ เวียดนาม และเม็กซิโก นอกจากนี้ นโยบายของทรัมป์ยังอาจทำให้สถานการณ์สินค้าจีนทะลักเข้าไทยรุนแรงขึ้น จากการระบายสินค้าส่วนเกินของจีน โดยเฉพาะในกลุ่ม Consumer Goods ไปยังประเทศอื่น

• การลงทุน : กระแสการย้ายไปลงทุนในประเทศที่วางตัวเป็นกลาง (Conflict-free Countries) ยังดำเนินต่อไป แต่อยู่ภายใต้ภาวะกดดันเพิ่มขึ้น เนื่องจากภายใต้การบริหารงานของทรัมป์มักดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้ากับประเทศต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้ประเทศที่จีนย้ายฐานลงทุนไปผลิตสินค้าเพื่อเลี่ยงสงครามการค้าเผชิญความเสี่ยงที่จะถูกใช้มาตรการทางการค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น

• นโยบายสีเขียว : กลไกการลดคาร์บอนโลกอาจสะดุด และส่งผลต่อการผลักดันเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำของไทยทางอ้อม เนื่องจากการที่สหรัฐฯ อาจชะลอกฎหมาย Clean Competition Act ลดแรงกดดันต่อธุรกิจส่งออกไทยในการปรับตัวเพื่อลดคาร์บอน ซึ่งอาจมองเป็นมุมบวกของภาคธุรกิจได้ในระยะสั้น เนื่องจากไม่ต้องเร่งลงทุนเพื่อปรับตัว แต่ก็จะส่งผลเสียต่อการผลักดันเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำของไทยในระยะถัดไป

• ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง : สถานการณ์อาจยกระดับความรุนแรงได้ง่ายขึ้น เนื่องจากอิสราเอลจะกล้าดำเนินมาตรการทางทหารเชิงรุกมากขึ้นหลังรู้ว่าจะมีสหรัฐฯ คอยหนุนหลังอย่างเต็มที่ ซึ่งอาจขยายวงความวุ่นวายในตะวันออกกลาง และจะส่งผลให้ราคาพลังงานและต้นทุนการขนส่งสินค้าปรับขึ้นรุนแรง

• เศรษฐกิจสหรัฐฯ : หวือหวาในระยะสั้น แต่จะเผชิญความเสี่ยงหลายด้านในระยะข้างหน้า โดยการมาของทรัมป์จะทำให้ภาคธุรกิจส่วนใหญ่ได้ประโยชน์จากนโยบายลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% เหลือ 15% และทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับขึ้นเพื่อขานรับนโยบาย แต่สหรัฐฯ อาจต้องเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อที่จะตามมาหลังการขึ้นภาษีนำเข้า และทำให้ Fed อาจพิจารณาชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2568 นอกจากนี้ นโยบายลดภาษีจะขยายการขาดดุลงบประมาณให้เพิ่มขึ้นถึง 7.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเวลา 10 ปี ซึ่งบั่นทอนเสถียรภาพทางการคลังและซ้ำเติมปัญหาหนี้สาธารณะที่สูงถึง 122% ต่อ GDP (ปี 2566)

• สถานการณ์ค่าเงินบาท : ผันผวนในทิศทางอ่อนค่า โดยในระยะสั้น เงินทุนมีแนวโน้มไหลกลับเข้าสหรัฐฯ เพื่อเก็งกำไรในตลาดหุ้นหลังรับรู้ผลการเลือกตั้ง ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นและเป็นปัจจัยกดดันให้เงินบาทผันผวนในทิศทางอ่อนค่า อย่างไรก็ตาม ในระยะถัดไป การชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในปี 2568 และปัจจัยทางเศรษฐกิจของไทย เช่น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล อาจทำให้ค่าเงินบาทกลับมาผันผวนในทิศทางแข็งค่าได้

เพื่อเตรียมรับมือกับทิศทางการค้า การลงทุน และการเมืองโลก ที่มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไป ไทยอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องรักษาสมดุลระหว่างสองประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีน โดยเน้นการรักษาความเป็นกลางเพื่อให้ไทยสามารถรักษาความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนกับทั้งสองประเทศได้อย่างเหมาะสม ขณะที่ภาคธุรกิจอาจต้องเตรียมพร้อมรับมือ โดยเน้นกลยุทธ์สำคัญ ดังนี้

• รุกเข้าตลาดหรือเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของซัพพลายเชนในประเทศที่เป็น Conflict-free Country ซึ่งได้ประโยชน์จากความขัดแย้ง เช่น อินเดีย และเวียดนาม ทั้งในแง่ของการค้าระหว่างประเทศ และการขยายการลงทุนไปยังประเทศดังกล่าว

• ลดความเสี่ยงจากความผันผวนด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำ Foreign Exchange Forward Contract เพื่อป้องกันความผันผวนของค่าเงิน แม้ว่าเงินบาทที่มีทิศทางอ่อนค่าอาจทำให้ผู้ส่งออกบางส่วนเล็งเห็นถึงประโยชน์จากส่วนต่างค่าเงินดังกล่าว แต่การส่งออกที่เน้นการเก็งกำไรค่าเงินถือว่าเสี่ยงเกินไปในภาวะที่โลกต้องเผชิญความผันผวนสูงในปัจจุบัน นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังควรพิจารณาการทำประกันการส่งออก (Export Credit Insurance) และประกันความเสี่ยงการลงทุน (Investment Insurance) เพื่อลดเหตุความไม่แน่นอนในประเทศคู่ค้าซึ่งอาจมีมากขึ้นจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่มีแนวโน้มรุนแรงภายใต้การดำเนินงานของทรัมป์

• รักษาแนวทางการดำเนินงานที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากการที่สหรัฐฯ อาจถอนตัวออกจากกลไกการลดโลกร้อน ยิ่งทำให้ประเทศต่าง ๆ รวมถึงไทย ต้องพยายามมากขึ้นในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ การผลิตสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือการดำเนินงานที่ลดคาร์บอนจะช่วยให้ธุรกิจสามารถรักษาตำแหน่งในห่วงโซ่อุปทานโลกยุคใหม่ได้มั่นคงยิ่งขึ้น

ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะประกาศอย่างเป็นทางการในเร็วๆนี้ พร้อมด้วยพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งที่จะมีขึ้นในเดือนมกราคม 2568 นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะส่งผลต่อทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก ดังนั้นในระหว่างนี้การติดตามประเด็นการเมืองสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิดจะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าใจและเตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบจากนโยบายต่างๆที่จะทยอยมีความชัดเจนมากขึ้นในระยะข้างหน้า

#โดนัลด์ทรัมป์ #ข่าววันนี้ #EXIMBANK #เลือกตั้งสหรัฐฯ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

EXIM BANK เผย Q3 ยอดสินเชื่อใหม่ช่วยผู้ส่งออก 3.42 หมื่นล้าน ปลดล็อกศักยภาพผู้ประกอบการไทยสู่เวทีโลก

EXIM BANK แถลงผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 ปี 67 เดินหน้าส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทยดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Environmental, Social, and Governance: ESG) มีสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพันในการสนับสนุนธุรกิจที่คำนึงถึง ESG 62,543 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 36.65% จากสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพันทั้งหมด 170,630 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 3,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีวงเงินอนุมัติสินเชื่อใหม่ 34,290 ล้านบาท

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 EXIM BANK มุ่งสนับสนุนการส่งออก-นำเข้า และการลงทุนในประเทศและต่างประเทศ ยกระดับและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืนโดย ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2567 EXIM BANK มีวงเงินอนุมัติสินเชื่อใหม่ 34,290 ล้านบาท และมีสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพัน 170,630 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 3,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในจำนวนนี้เป็นสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพันเพื่อการลงทุน 124,720 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 73.09% ของยอดทั้งหมด โดยเป็นสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพันในโครงการระหว่างประเทศ 44,850 ล้านบาท เมื่อจำแนกเป็นรายตลาดที่สำคัญ EXIM BANK สนับสนุนธุรกิจไทยให้ขยายไปกลุ่มประเทศ CLMV และ New Frontiers ที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง โดยมีสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพันในกลุ่ม CLMV และ New Frontiers 39,593 ล้านบาท

โดย EXIM BANK ภายใต้บทบาท Green Development Bank ได้พัฒนานวัตกรรมทางการเงินสีเขียว (Greenovation) อาทิ สินเชื่อ EXIM Green Start สำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพื่อสร้างระบบนิเวศการค้าและการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ สนับสนุนให้ธุรกิจไทยสามารถปรับตัวรับมือและปฏิบัติตามมาตรการทางการค้าด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างครบวงจรตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ส่งผลให้ EXIM BANK มีสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพันเพื่อความยั่งยืน (ESG) 62,543 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 36.65% ของยอดทั้งหมด

สำหรับในมิติสังคม EXIM BANK มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง อาทิ มาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ SMEs ที่ประสงค์ปรับปรุงโครงสร้างหนี้เชิงป้องกัน (มาตรการ Pre-emptive) เพื่อให้ได้รับการช่วยเหลือจากธนาคารอย่างตรงจุดและทันท่วงที สินเชื่อ EXIM Happy Export Credit เงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจส่งออกและที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อขับเคลื่อนภาคการส่งออกที่เป็นเสมือนเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งและทั่วถึง และบริการสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าในอัตราแลกเปลี่ยนพิเศษ (Happy Foreign Exchange Forward Contract) เพื่อเสริมสภาพคล่องและบริหารความเสี่ยงให้แก่ผู้ทำธุรกิจระหว่างประเทศ ท่ามกลางสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน รวมถึงมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย โดยมีระยะเวลาอนุมัติถึงเดือนธันวาคม 2567

ทั้งนี้ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอนและสถานการณ์ความไม่มั่นคงในภูมิภาคต่าง ๆ EXIM BANK เร่งเสริมสร้างความมั่นใจและภูมิคุ้มกันความเสี่ยงแก่ผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยผ่านบริการประกันการส่งออกและการลงทุน โดย ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 EXIM BANK มีปริมาณธุรกิจสะสมบริการประกัน เท่ากับ 161,285 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.66% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ส่วนการขยายบทบาทมุ่งสนับสนุนผู้ประกอบการไทยทั้งด้านสินเชื่อและประกันของ EXIM BANK เพื่อเป็นเสาหลักสนับสนุนธุรกิจทุกขนาด ทุกอุตสาหกรรม ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2567 EXIM BANK มีจำนวนลูกค้า 5,634 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ประกอบการ SMEs กว่า 80% นอกจากนี้ EXIM BANK สนับสนุนผู้ประกอบการอย่างครบวงจร ผ่านการบ่มเพาะ ให้ความรู้ จับคู่ธุรกิจ และให้คำปรึกษาทางการเงิน ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2567 EXIM BANK ได้ส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการสะสมกว่า 21,500 ราย สะท้อนถึงการอยู่เคียงข้างผู้ประกอบการไทยที่เป็นคนตัวเล็กและกลุ่มเปราะบางให้เติบโตและแข่งขันได้ในเวทีโลก รวมทั้งสามารถปรับตัวรับมือกับมาตรฐานการค้าโลกและกฏระเบียบต่างๆที่เข้มงวดขึ้นได้

ขณะเดียวกันมิติการกำกับดูแลกิจการที่ดี EXIM BANK ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทางการเงินเพื่อความยั่งยืน ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 EXIM BANK มีกำไรก่อนสำรอง 2,426 ล้านบาท มีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จำนวน 8,603 ล้านบาท และมีค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss) จำนวน 17,708 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง คิดเป็นอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Coverage Ratio) 205.83% เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจสูงขึ้นจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่กระทบการค้าการลงทุน

“EXIM BANK เดินหน้าบทบาท Green Development Bank สนับสนุนผู้ประกอบการไทยอย่างต่อเนื่อง โดยสานพลังกับเครือข่ายพันธมิตรภาครัฐและภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมสนับสนุนกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและพลิกโฉมประเทศไทยสู่เศรษฐกิจที่คำนึงถึง ESG ตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของภาครัฐและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม” ดร.รักษ์กล่าว

#EXIMBANK #ข่าววันนี้ #สินเชื่อใหม่ #ส่งออก #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

 

 

"EXIM BANK" ลดดอกเบี้ย Prime Rate 0.25% ต่อปี เหลือ 6.35% ต่อปี ต่ำที่สุดในระบบ บรรเทาภาระกลุ่มเปราะบาง-SMEs

EXIM BANK ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate 0.25% ต่อปี คงเหลือ 6.35% ต่อปี ต่ำที่สุดในระบบ บรรเทาภาระผู้ประกอบการกลุ่มเปราะบางและ SMEs

เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2567 ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate ลง 0.25% ต่อปี เหลือ 6.35% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ EXIM BANK ใช้สำหรับลูกค้าทั่วไปและลูกค้า SMEs เทียบเท่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีหรือ MRR ของธนาคารพาณิชย์ นับเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีที่ต่ำที่สุดในระบบ เพื่อให้ความช่วยเหลือและบรรเทาภาระผู้ประกอบการกลุ่มเปราะบาง และ SMEs สอดคล้องกับนโยบายกระทรวงการคลังและทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงบทบาทของ EXIM BANK ในการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้มีสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ สามารถปรับตัวรับมือปัจจัยท้าทายและแข่งขันได้ในเวทีการค้าโลกอย่างยั่งยืน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป

โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate ในครั้งนี้ เป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 3 ของปีนี้ ซึ่ง EXIM BANK ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องจากต้นปี 2567 รวม 0.40% ต่อปี ถือเป็นการดำเนินมาตรการของ EXIM BANK ในการให้ความช่วยเหลือและบรรเทาภาระหนี้และต้นทุนทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการต่อเนื่องจากมาตรการปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate 0.25% ต่อปี ตามนโยบายของกระทรวงการคลังเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2567 ซึ่งกำลังจะครบกำหนดมาตรการในวันที่ 31 ตุลาคม 2567

#EXIMBANK #ลดดอกเบี้ย #ข่าววันนี้ #กลุ่มเปราะบาง #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ส่งออก

 

"EXIM BANK" เร่งช่วยผู้ส่งออก SMEs ในสถานการณ์เงินบาทผันผวน

EXIM BANK ขานรับนโยบายกระทรวงการคลัง เร่งช่วยผู้ส่งออก SMEs ในสถานการณ์เงินบาทผันผวน

เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2567 ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ค่าเงินบาทที่ผันผวน ส่งผลกระทบต่อต้นทุนและรายได้ของผู้ประกอบการในภาคธุรกิจส่งออกไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ดังนั้น EXIM BANK จึงขานรับนโยบายกระทรวงการคลัง เดินหน้าช่วยเหลือผู้ส่งออก SMEs ไทยด้วยบริการครบวงจร ทั้งด้านการเงินและไม่ใช่การเงิน เพื่อเสริมสภาพคล่องและปิดความเสี่ยงทางการค้าระหว่างประเทศ ประกอบด้วย

1.EXIM Happy Export Credit สินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษ 2 ปีแรก 3.25% ต่อปี เพื่อนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจส่งออกและที่เกี่ยวเนื่อง

2.Happy Foreign Exchange Forward Contract บริการสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าในอัตราแลกเปลี่ยนพิเศษ รับ Happy FX Rate โบนัสเพิ่มอีก 3 สตางค์ จองได้สูงสุด 9 สกุลเงินหลัก ให้บริการผู้ส่งออกทั่วประเทศทั้งที่มีวงเงินสินเชื่อกับ EXIM BANK หรือสถาบันการเงินอื่น โดยไม่มีค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม

“ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งที่คาดเดายาก แต่บริหารจัดการได้ EXIM BANK จึงมีเครื่องมือปิดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนให้แก่ผู้ส่งออก พร้อมโบนัสพิเศษ Happy FX Rate และสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อช่วยให้ผู้ส่งออก SMEs มีสภาพคล่องเพิ่มมากขึ้น พร้อมจัดโครงการอบรมเติมความรู้ทางการเงิน โดยเฉพาะความรู้ด้านการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงนี้ที่เงินบาทผันผวน ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อช่วยให้ผู้ส่งออกไทยรับมือกับความเสี่ยงการค้าระหว่างประเทศได้อย่างเป็นมืออาชีพ” ดร.รักษ์กล่าว

ด้านการเติมความรู้ผู้ส่งออก EXIM BANK มีกำหนดจัดโครงการอบรม “ตีแตกตลาดส่งออก” ในวันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2567 เวลา 13.00-16.30 น. ณ ห้องประชุม ชั้น Lobby EXIM BANK สำนักงานใหญ่ เพื่ออัปเดตทิศทางและวิธีปิดความเสี่ยงทางการค้าระหว่างประเทศอย่างมืออาชีพ เทรนด์ตลาดและสินค้าส่งออก เคล็ดลับการปักหมุดตลาดเป้าหมายและค้นหารายชื่อผู้ซื้อในต่างประเทศตามประเภทสินค้า รวมถึงสิทธิพิเศษสำหรับผู้เข้าร่วมงาน ได้แก่ กรมธรรม์ประกันการส่งออก EXIM for Small Biz วงเงินคุ้มครองสูงสุด 2 ล้านบาทกรณีไม่ได้รับชำระเงินค่าสินค้าจากผู้ซื้อในต่างประเทศ นอกจากนี้ EXIM BANK ยังมีโครงการอบรมความรู้ทางการเงินเพื่อการส่งออก ณ EXIM BANK สำนักงานใหญ่ และออนไลน์ต่อเนื่องตลอดปี สนใจติดต่อ EXIM Contact Center โทร. 0 2169 9999

#EXIMBANK #ส่งออก #บาทแข็ง #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ดอกเบี้ยต่ำ

 

 

EXIM BANK โชว์สถานะทางการเงินแข็งแกร่ง คงอันดับเครดิตสูงสุดในประเทศ ระดับ AAA(tha) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 19

EXIM BANK โชว์สถานะทางการเงินแข็งแกร่ง คงอันดับเครดิตสูงสุดในประเทศ ระดับ AAA(tha) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 19 และอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวที่ BBB+ เท่ากับประเทศไทย ต่อเนื่องเป็นปีที่ 12

เมื่อวันที่ 23 ก.ย.67 ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ EXIM BANK ที่ 'AAA(tha)' แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 19 โดยอันดับเครดิตดังกล่าวเป็นอันดับเครดิตสูงที่สุด แสดงถึงโอกาสต่ำที่สุดในการผิดนัดชำระหนี้เมื่อเทียบกับธนาคารและบริษัทอื่นในประเทศ ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก ทั้งจากการชะลอตัวลงของภาคการส่งออกและอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงทั่วโลก นอกจากนี้ ฟิทช์ เรทติ้งส์ ยังประกาศคงอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวที่ ‘BBB+’ โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) เทียบเท่าอันดับเครดิตของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 สะท้อนถึงบทบาทและภารกิจที่สำคัญของ EXIM BANK ในการเป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่ผลักดันให้เกิดการค้าและการลงทุนที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศ มุ่งสู่บทบาท “Green Development Bank” ขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน

ฟิทช์ เรทติ้งส์ ระบุว่า EXIM BANK เป็นธนาคารเฉพาะกิจของรัฐที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ต่อการดำเนินนโยบายของภาครัฐในการส่งเสริมและสนับสนุนกิจกรรมการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศของไทย ขณะเดียวกัน EXIM BANK เป็นธนาคารเฉพาะกิจของรัฐเพียงแห่งเดียวที่ให้บริการประกันการส่งออกและการลงทุนระหว่างประเทศ เพื่อคุ้มครองผู้ส่งออกและนักลงทุนจากความเสี่ยงทางการค้าและการเมือง นอกจากนี้ การเพิ่มทุนล่าสุดในปี 2564 และ 2566 ได้เสริมความแข็งแกร่งให้แก่โครงสร้างเงินทุนของธนาคารและเตรียมพร้อมสำหรับการเติบโตในอนาคต