EXIM BANK อัดฉีด 10,000 ล้าน เสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการไทย ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ-ภูมิรัฐศาสตร์โลก

EXIM BANK อัดฉีด 10,000 ล้าน เสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการไทย ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ-ภูมิรัฐศาสตร์โลก

วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ภาคการส่งออกไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ทั้งจากมาตรการภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ ที่ประกาศเมื่อเดือนเมษายน 2568 ที่ผ่านมา ความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ตลอดจนสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างอิหร่านและอิสราเอล ซึ่งส่งผลให้อิหร่านอาจปิดช่องแคบฮอร์มุซ (Strait of Hormuz) ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงและโดยอ้อมต่อผู้ประกอบการไทย อาทิ การลดลงของคำสั่งซื้อ การล่าช้าในการส่งมอบสินค้า และการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการดำเนินธุรกิจในการบรรเทาผลกระทบและสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปอย่างมั่นคง EXIM BANK ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบเพิ่มเติม รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) โดยครอบคลุมการเติมทุน ยืดระยะเวลาชำระหนี้ ลดต้นทุนทางการเงิน ด้วยกรอบวงเงินรวมกว่า 10,000 ล้านบาท ประกอบด้วย

มาตรการระยะสั้น วงเงินรวม 4,000 ล้านบาท ให้ความช่วยเหลือเร่งด่วน โดยขยายระยะเวลาการชำระเงินสูงสุด 365 วัน และปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงสูงสุด 20% จากอัตราเดิม

มาตรการระยะกลางและระยะยาว วงเงินรวม 6,000 ล้านบาท จะประกาศใช้ภายในต้นเดือนกรกฎาคมนี้ ประกอบด้วย 3 ส่วนสำคัญ ดังนี้

• วงเงิน 2,000 ล้านบาท สนับสนุนผู้ประกอบการหาตลาดใหม่ทดแทนตลาดเดิม ด้วยสินเชื่อเพื่อการร่วมงานแสดงสินค้า โดยความร่วมมือระหว่าง EXIM BANK กับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และสินเชื่อเพื่อการส่งออก อัตราดอกเบี้ยพิเศษ พร้อมความคุ้มครองความเสี่ยงกรณีผู้ซื้อไม่ชำระเงินค่าสินค้า อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 3.99% ต่อปี (Prime Rate -2.16% ต่อปี) พิเศษสำหรับผู้ถือกรมธรรม์ประกันการส่งออกกับ EXIM BANK ยกเว้นค่าวิเคราะห์ข้อมูลผู้ซื้อสูงสุด 5 รายต่อกรมธรรม์

• วงเงิน 1,000 ล้านบาท สนับสนุนผู้ประกอบการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนการดำเนินงาน อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 3.5% ต่อปีใน 2 ปีแรก ระยะเวลากู้ 3-10 ปี

• วงเงิน 3,000 ล้านบาท สนับสนุนเงินกู้ระยะยาว ร่วมกับสำนักงานประกันสังคม เพื่อช่วยผู้ประกอบการให้สามารถรักษาการจ้างงานได้ อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.00% ต่อปีคงที่ 3 ปี

ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ย Prime Rate (สำหรับลูกค้าทั่วไปและลูกค้า SMEs) ของ EXIM BANK ในปัจจุบันเท่ากับ 6.15% ต่อปี

นอกจากนี้ EXIM Export Clinic ที่ EXIM BANK ได้จัดตั้งขึ้นมาเป็นกรณีพิเศษ ดำเนินการติดต่อลูกค้าที่ได้รับผลกระทบเพื่อให้คำปรึกษาและนำเสนอมาตรการระยะสั้นไปแล้ว และพร้อมให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ส่งออกที่ยังไม่ได้รับการติดต่อหรือยังไม่ได้รับความช่วยเหลือ ซึ่งสามารถติดต่อได้ที่ EXIM BANK สำนักงานใหญ่ สาขาทั้ง 9 แห่งทั่วประเทศ และสำนักงานผู้แทนในต่างประเทศ 4 แห่งใน CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) รวมถึงช่องทางออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง

EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง พร้อมเป็นกลไกสำคัญในการช่วยเหลือ เยียวยา และส่งเสริมผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการค้าระหว่างประเทศและการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน แม้เผชิญกับความผันผวนและความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจโลก

#EXIMBANK #ข่าววันนี้ #เสริมสภาพคล่อง #ผู้ประกอบการไทย #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

EXIM BANK จับมือ SINOSURE หนุนผปก.ไทย-จีน ขยายส่งออก-ลงทุนระหว่างประเทศในบริบทโลกใหม่

EXIM BANK และ China Export & Credit Insurance Corporation : SINOSURE จัดสัมมนา “EXIM Thailand and SINOSURE : A Further Step of Business Partnership 2025” เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางการค้าระหว่างไทย-จีน ท่ามกลางความท้าทายและโอกาสใหม่ในเศรษฐกิจโลก โดยมีผู้ประกอบการจากทั้งสองประเทศกว่า 120 รายเข้าร่วมงาน

วันที่ 25 มิถุนายน 2568 นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองโลกที่มีความไม่แน่นอนสูง ทั้งความขัดแย้งทางการค้า ภูมิรัฐศาสตร์ ความผันผวนด้านอัตราแลกเปลี่ยน ราคาพลังงาน และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องวางแผนและบริหารความเสี่ยงทางธุรกิจอย่างรอบด้าน เพื่อรักษาสภาพคล่องและความต่อเนื่องในการขยายธุรกิจ การใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยง เช่น ประกันการส่งออกและประกันความเสี่ยงการลงทุน จึงเป็นสิ่งจำเป็น โดย EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง ให้บริการประกันการส่งออกและประกันความเสี่ยงการลงทุนเพียงรายเดียวในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2538 ครอบคลุมการคุ้มครองความเสียหายจากการไม่ได้รับชำระค่าสินค้า การปฏิเสธรับมอบสินค้า หรือคู่ค้าล้มละลาย อีกทั้งกรมธรรม์ยังสามารถใช้เป็นหลักประกันขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยไม่ต้องกังวลกับความเสี่ยงจากการไม่ได้รับชำระเงินค่าสินค้าจากผู้ซื้อในต่างประเทศ กล้าตัดสินใจขยายมูลค่าค้าขายกับคู่ค้ารายเดิมหรือคู่ค้าใหม่ในตลาดที่ไม่คุ้นเคยได้อย่างมั่นใจ

นายบัณฑิต กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ จีนยังเป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะในโลกการค้ายุคดิจิทัล เนื่องจากจีนเป็นตลาด E-commerce ที่ใหญ่ที่สุดในโลกและมีผู้บริโภคจำนวนมากหันมาซื้อสินค้าทางออนไลน์ การเข้าใจพฤติกรรมชาวจีนและใช้ช่องทางการตลาดที่เหมาะสมจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยเจาะตลาดจีนได้อย่างประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ จีนยังคงเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยติดต่อกัน 11 ปีตั้งแต่ปี 2556 ด้วยมูลค่าการค้าปี 2567 กว่า 1.16 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นและยังมีโอกาสขยายความร่วมมือในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป ยานยนต์ไฟฟ้า ดิจิทัล และพลังงานสะอาด ที่ผ่านมารัฐบาลจีนและไทยมีความร่วมมือทางการค้าระหว่างกันในการส่งเสริมความเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมสำคัญ อาทิ เซมิคอนดักเตอร์ แบตเตอรี่ไฟฟ้า ยานยนต์ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ตลอดจนส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างภาคธุรกิจ โดยเฉพาะการเข้าร่วมงานแสดงสินค้า การจับคู่ธุรกิจบนพื้นฐานของการส่งเสริมและรักษาการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรม ซึ่งที่ผ่านมาทั้งสองฝ่ายได้สนับสนุนการค้าทวิภาคีโดยการเปิดตลาดระหว่างกันมากขึ้นเป็นลำดับ ส่งเสริมให้เกิดการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงและการขยายความร่วมมือด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรมในหลายโครงการ

นับตั้งแต่เปิดให้บริการประกันการส่งออกตั้งแต่ปี 2538 EXIM BANK มีปริมาณธุรกิจรับประกันการส่งออกสะสมจำนวน 2.18 ล้านล้านบาท มีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนทั้งสิ้นประมาณ 1,500 ล้านบาท โดย 76% เกิดจากกรณีผู้ซื้อในต่างประเทศปฏิเสธการชำระเงินค่าสินค้า รองลงมาประมาณ 23% เกิดจากผู้ซื้อล้มละลาย และอีก 1% เกิดจากผู้ซื้อปฏิเสธการรับมอบสินค้า ประเทศที่มีมูลค่ายื่นขอรับสินไหมทดแทนสูงสุด ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหรัฐฯ และสิงคโปร์ ขณะที่สินค้าที่มีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนสูงสุด ได้แก่ ข้าว อัญมณีและเครื่องประดับ และอะลูมิเนียม  

ในงานสัมมนาครั้งนี้ EXIM BANK และ SINOSURE ร่วมกันเสริมสร้างความรู้ โอกาส และเงินทุน เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทย-จีนพร้อมวางแผนธุรกิจ รับมือกับความท้าทายในโลกการค้าที่มีความผันผวนสูงทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ท่ามกลางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศที่ผันผวนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากทั้งไทยและจีน ประกอบด้วย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน และอุปนายกและเลขาธิการสมาคมส่งเสริมการลงทุนและการค้าไทย-จีน นายอภิพงษ์ คุณากรบดินทร์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ประจำกรุงปักกิ่งและนครกวางโจว นายสุริยัน วิจิตรเลขการ ผู้อำนวยการสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง นายหลิว ฉวนเล่ย ประธานสมาคมการค้าวิสาหกิจไทย-จีน (CEA) นายเฉิง เจียหมิน ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์รับประกัน SINOSURE นางสาวหลี่ จิง ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาการตลาดและบริการลูกค้าประจำภูมิภาค SINOSURE และนายอภินัทธ์ จาตุศรีพิทักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และปฏิบัติการรับประกัน จาก EXIM BANK พร้อมด้วยนายเจียง เหว่ย อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจและการพาณิชย์ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เข้าร่วมงาน 

“EXIM BANK มุ่งเสริมสร้างบทบาทในการผลักดันยุทธศาสตร์การค้าและการลงทุนของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนในเวทีโลก โดยเดินหน้าขยายความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินให้ตอบโจทย์ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนธุรกิจไทยในห่วงโซ่อุปทานโลก ผลักดันให้ธุรกิจทุกระดับเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ เป็นฐานรากที่เข้มแข็งในการขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน” นายบัณฑิต กล่าว

 

EXIM BANK เตือนส่งออกไทยไตรมาส 3 เสี่ยงชะลอหนัก จากสงครามการค้าสหรัฐฯที่ยังไร้ข้อสรุป

EXIM BANK เตือนส่งออกไทยไตรมาส 3 เสี่ยงชะลอหนัก จากสงครามการค้าสหรัฐฯที่ยังไร้ข้อสรุป

วันที่ 5 มิถุนายน 2568 ฝ่ายวิจัยธุรกิจ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เผยว่า ดัชนีชี้นำการส่งออกของไทยในช่วง 3 เดือนข้างหน้าหรือ EXIM Index ล่าสุด ณ ไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ 100.5 ลดลงจากระดับ 102.5 ในไตรมาส 1 และถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 6 ไตรมาส สะท้อนการส่งออกไทยไตรมาส 3 ปี 2568 มีแนวโน้มชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญจากเศรษฐกิจและการค้าโลกที่เผชิญแรงกดดันจากมาตรการภาษีของทรัมป์ ภาคการผลิตไทยที่ยังซบเซา ราคาส่งออกและความเชื่อมั่นผู้บริโภคทั่วโลกที่ลดลง ทั้งนี้ ต้องติดตามคำตัดสินของศาลการค้าระหว่างประเทศและศาลอุทธรณ์ของสหรัฐฯ เกี่ยวกับมาตรการภาษี ขณะเดียวกันต้องติดตามความคืบหน้าการเจรจาทางการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด หากไทยสามารถบรรลุข้อตกลงภาษีในอัตราที่ไม่สูงไปกว่าคู่แข่ง ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) คาดว่า การส่งออกไทยปี 2568 จะยังขยายตัวได้ที่ 0.5-1.5%

ทั้งนี้แม้ล่าสุดสงครามการค้าจะเริ่มมีสัญญาณดีขึ้น หลังสหรัฐฯ และจีนมีการเจรจาพักรบกันชั่วคราว โดยต่างฝ่ายต่างปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าลงฝ่ายละ 115% เป็นเวลา 90 วัน (สหรัฐฯ เก็บภาษีจีนเหลือ 30% และจีนเก็บภาษีสหรัฐฯ เหลือ 10%) อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอนสูง และพร้อมจะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ส่งผลให้ Downside Risks ยังคงปกคลุมการส่งออกของไทยตลอดช่วงครึ่งหลังของปี 2568 สะท้อนได้จากดัชนีชี้นำการส่งออกของไทย (EXIM Index) ล่าสุด ณ ไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ 100.5 ต่ำสุดในรอบ 6 ไตรมาส จากปัจจัยกดดันใน 4 มิติ ดังนี้

มิติที่ 1 : เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญเริ่มชะลอลง (ดัชนีด้านอุปสงค์อยู่ที่ 100.7 ต่ำสุดในรอบ 6 ไตรมาส)

กิจกรรมทางเศรษฐกิจของหลายประเทศส่งสัญญาณชะลอลง โดยเฉพาะสหรัฐฯ และจีน ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งหลักของสงครามการค้าครั้งนี้ และเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 และ 2 ของไทย (สัดส่วนเกือบ 1 ใน 3 ของมูลค่าส่งออกรวม) สะท้อนได้จากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (Manufacturing PMI) ณ เดือนเมษายน 2568 ของทั้งสองประเทศปรับลดลงมาอยู่ในโซนหดตัวพร้อมกันครั้งแรกในรอบ 7 เดือน ประกอบกับหากพิจารณา GDP ไตรมาส 1 (q-o-q) ของสหรัฐฯ ล่าสุดที่ออกมาหดตัวครั้งแรกในรอบ 12 ไตรมาสที่ 0.2% นอกจากนี้ การส่งออกของหลายประเทศในเอเชีย รวมถึงไทยไปสหรัฐฯ เร่งตัวขึ้นแบบ Front-Load ในไตรมาส 1 ปี 2568 ต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 2 หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเลื่อนการเก็บภาษีในอัตราสูงสุดกับประเทศส่วนใหญ่และจีนออกไป 90 วัน สิ้นสุด ณ วันที่ 9 กรกฎาคม 2568 และ 12 สิงหาคม 2568 ตามลำดับ ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า หลังช่วงเวลาดังกล่าวคำสั่งซื้อจะชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงครึ่งหลังของปี หลังจากที่มีการเร่งนำเข้าในช่วงก่อนหน้าไปแล้ว

มิติที่ 2 : ภาคการผลิตไทยยังไม่กระเตื้อง (ดัชนีด้านอุปทานอยู่ที่ 99.4 ต่ำสุดในรอบ 2 ไตรมาส)

เมื่อพิจารณาด้านอุปทานยังมีความน่ากังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการผลิตของไทยที่ยังคงซบเซาต่อเนื่อง โดยดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (MPI) ณ เดือนมีนาคม 2568 ยังหดตัว 5 เดือนติดต่อกัน เช่นเดียวกับอัตราการใช้กำลังการผลิตที่อยู่ต่ำกว่า 60% เป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจด้านภาวะส่งออกใน 3 เดือนข้างหน้าก็หดตัวครั้งแรกในรอบ 6 เดือน จากความกังวลเรื่องภาษีของทรัมป์ ประกอบกับหลายอุตสาหกรรมของไทยยังเผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากสินค้าจีนที่เข้ามาตีตลาดในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งสร้างแรงกดดันทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อภาคการผลิตและการส่งออกของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs 
นอกจากนี้ ผู้ส่งออกไทยอาจเผชิญกับต้นทุนโลจิสติกส์ที่เร่งตัวขึ้นระยะสั้น หลังค่าระวางเรือทั่วโลก โดยเฉพาะเส้นทางจากจีนไปสหรัฐฯ ขยับขึ้นตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม 2568 จากความต้องการตู้คอนเทนเนอร์ที่เพิ่มขึ้น สะท้อนได้จากยอดจองตู้คอนเทนเนอร์จากจีนไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 150% ในช่วงเวลาดังกล่าว เนื่องจากมีการเร่งส่งออกอีกครั้งหลังสหรัฐฯ กับจีนพักรบกันชั่วคราว ขณะเดียวกันในระยะถัดไป สหรัฐฯ ยังเตรียมเก็บค่าธรรมเนียมเรือที่สร้างในจีนและ/หรือเรือสัญชาติจีนในเดือนตุลาคม 2568 เพิ่มเติมอีกด้วย ไม่เพียงเท่านี้ผู้ส่งออกทางเรืออาจเผชิญข้อจำกัดด้านเวลาในการขนส่งให้ทันวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 ก่อนที่ทรัมป์อาจกลับมาขึ้นภาษีกับไทยที่ 36% ทำให้การส่งออกหลังจากนี้อาจชะลอลงเพื่อรอความชัดเจนในการเจรจาก่อน 

มิติที่ 3 : ราคาส่งออกถูกกดดันจาก Demand ที่ไม่สดใสและ Supply ในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น (ดัชนีด้านราคาอยู่ที่ 99.8 ต่ำสุดในรอบ 6 ไตรมาส)

ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงต่อเนื่องจนอยู่ต่ำกว่า 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 4 ปี จากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอลง และการเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรโลกก็มีแนวโน้มลดลงตั้งแต่ต้นปี 2568 จากอุปทานในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนหลายประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญโดยเฉพาะอินเดียกลับมาส่งออกข้าวอีกครั้งตั้งแต่ปลายปี 2567 กดดันให้ราคาข้าวในตลาดโลกลดลงอย่างมาก ปัจจัยข้างต้นมีส่วนทำให้ดัชนีราคาส่งออกของไทยเดือนมีนาคม 2568 ขยายตัวต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี ทั้งนี้ สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) และธนาคารโลกคาดว่า ราคาน้ำมันและราคาสินค้าเกษตรโลกปี 2568 มีแนวโน้มลดลงจากปีก่อนราว 20% และ 4% ตามลำดับ สิ่งที่เกิดขึ้นแม้จะทำให้ต้นทุนการผลิตและต้นทุนขนส่งของผู้ประกอบการบางส่วนลดลง แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ส่งผลกดดันให้มูลค่าส่งออกสินค้าเกษตร (สัดส่วนราว 10% ของส่งออกรวม) และสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับราคาน้ำมัน (สัดส่วนราว 10% ของส่งออกรวม) ปรับลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

มิติที่ 4 : ความเชื่อมั่นผู้บริโภคทั่วโลกยังเปราะบาง สะท้อนทิศทางการค้าโลกมีแนวโน้มซบเซา (ดัชนีด้านความเชื่อมั่นอยู่ที่ 100.1 ต่ำสุดในรอบ 8 ไตรมาส)

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของหลายประเทศทั่วโลกปรับลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2568 ทั้งจีน ยุโรป และญี่ปุ่น โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่แม้จะเร่งขึ้นระยะสั้นแต่ยังอยู่ในเกณฑ์แย่ลง (ต่ำกว่า 100) โดยผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะ Stagflation (เศรษฐกิจชะลอตัว+เงินเฟ้อสูง) จากความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีของทรัมป์ สะท้อนทิศทางการค้าโลกในระยะข้างหน้าที่มีแนวโน้มชะลอลง

แม้ล่าสุดตัวเลขการส่งออกของไทยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 จะขยายตัวได้ 14% จากการเร่งนำเข้าของสหรัฐฯ ก่อนการปรับขึ้นภาษีแบบตอบโต้ของทรัมป์ แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการส่งออกไทยช่วงไตรมาส 3 ปี 2568 จะเผชิญความท้าทายมากขึ้นและถือเป็นห้วงเวลา Turning Point สำคัญ สอดคล้องกับทิศทางของ EXIM Index ที่ลดลงจากทั้ง 4 มิติที่กล่าวข้างต้น โดยเฉพาะหากหลัง 90 วันของการเลื่อนการขึ้นภาษีสินค้าจากไทยสิ้นสุดลงในวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 ไทยยังเจรจาไม่สำเร็จ ส่งผลให้ภาษีกลับมาอยู่ในระดับสูงสุดที่ 36% ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศ รวมถึงจีนที่ถูกเก็บภาษีในอัตรา 30% จนถึงวันที่ 12 สิงหาคม 2568 ปัจจัยดังกล่าวทำให้ผู้ส่งออกไทยเสียเปรียบคู่แข่งเพิ่มเติม กดดันคาดการณ์ส่งออกในครึ่งปีหลัง และทำให้ทั้งปีขยายตัวเหลือ 0.5-1.5% 

ท่ามกลางความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีทรัมป์ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องเตรียมตัวรับมือประกอบด้วย 4 แนวทาง ได้แก่ 1) เข้าถึงคู่ค้าของตนเอง ด้วยการติดต่อประสานงานกับคู่ค้าอย่างใกล้ชิดเพื่อยืนยันการรับสินค้าและตกลงเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้านภาษี 2) เข้าถึงเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนและการประกันการส่งออก 3) เข้าสู่ตลาดใหม่ ด้วยการแสวงหาตลาดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพเพื่อกระจายความเสี่ยง และ 4) เข้าใจและติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพื่อนำมาใช้ประเมินผลกระทบและปรับกลยุทธ์ให้ได้อย่างทันท่วงที

ปัจจุบัน EXIM BANK ได้เร่งออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าอย่างครบวงจร ตั้งแต่การเปิด Export Clinic ให้คำปรึกษาแนวทางในการปรับตัว มาตรการช่วยเหลือทางการเงินทั้งการยืดหนี้ เสริมสภาพคล่อง และกระจายตลาดใหม่ๆ ตลอดจนบริการเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงรอบด้าน เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถฝ่าฟันสงครามการค้าครั้งนี้ และกลับมาเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป

#EXIMBANK #ข่าววันนี้ #ส่งออกไทย #สงครามการค้า #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ภาษีทรัมป์

 

EXIM BANK จัดเต็มโปรโมชันผู้ส่งออกใน Money Expo 2025 เสริมสินเชื่อ-ประกันการส่งออก

EXIM BANK จัดเต็มโปรโมชันผู้ส่งออกใน Money Expo 2025 เสริมสินเชื่อ-ประกันการส่งออก

วันที่ 13 พฤษภาคม 2568 ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) จัดเต็ม บริการทางการเงิน พร้อมโปรโมชันพิเศษ ในงานมหกรรมการเงินกรุงเทพ ครั้งที่ 25 (Money Expo 2025 Bangkok) ระหว่างวันพฤหัสบดีที่ 15-วันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม 2568 ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 2-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี หมายเลขบูท G5 ภายใต้แนวคิด “Empowering Toward a Sustainable Wealth เสริมพลัง เพื่อสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน”

โปรโมชันพิเศษ เสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทยก้าวผ่านทุกความท้าทาย เติบโตอย่างแข็งแกร่ง

• สินเชื่อ Green X Transformation สินเชื่อระยะยาวเพื่อยกระดับภาคการผลิตสู่ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพิ่มความสามารถในการแข่งขันและเติบโตได้อย่างยั่งยืน วงเงินกู้สูงสุด 100 ล้านบาทต่อราย สำหรับผู้ประกอบการ SMEs อัตราดอกเบี้ยพิเศษ SMEs เริ่มต้นเพียง 3.50% ต่อปีคงที่ 2 ปีแรก ระยะเวลาผ่อนชำระคืนสูงสุด 10 ปี

• สินเชื่อเอ็กซิมดอกเบี้ยต่ำ Soft Loan GSB Boost Up สินเชื่อระยะยาวสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อเสริมสภาพคล่องในกิจการ วงเงินกู้สูงสุด 40 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ย 3.25% ต่อปีคงที่ 2 ปีแรก ระยะเวลาผ่อนชำระคืนสูงสุด 5 ปี

• บริการประกันการส่งออก EXIM for Small Biz บริหารความเสี่ยงจากการไม่ได้รับชำระเงินค่าสินค้าจากผู้ซื้อต่างประเทศ วงเงินคุ้มครองสูงสุด 2 ล้านบาท พร้อมสิทธิประโยชน์ในงาน รับฟรี! ความคุ้มครอง 300,000 บาท สำหรับผู้ซื้อรายแรก (ค่าเบี้ยประกัน 1,800 บาท)

นอกจากนี้ EXIM BANK ยังเปิด “EXIM Export Clinic” ให้คำปรึกษาเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ ทั้งผู้นำเข้าและส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ รวมทั้งให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับนโยบายภาษีแบบตอบโต้ ตลอดจนผลกระทบและแนวทางการบริหารจัดการธุรกิจ

#EXIMBANK #ข่าววันนี้ #MoneyExpo2025 #ประกันการส่งออก #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

EXIM BANK ปรับลดดอกเบี้ย Prime Rate เหลือ 6.15% หนุนภาคธุรกิจ-SMEs รับมือเศรษฐกิจชะลอ

EXIM BANK ขานรับนโยบายรัฐแบ่งเบาภาระภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate เหลือ 6.15% ต่อปี ต่ำที่สุดในระบบ

นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK ปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate เหลือ 6.15% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ใช้สำหรับลูกค้าทั่วไปและลูกค้า SMEs เทียบเท่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีหรือ MRR ของธนาคารพาณิชย์ นับเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีที่ต่ำที่สุดในระบบ มีผลตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการในการดำเนินธุรกิจท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินโลกที่ปรับสูงขึ้นจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าประเทศเศรษฐกิจหลักและแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย รวมทั้งช่วยกระตุ้นการเติบโตของภาคธุรกิจไทย 

นอกเหนือจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate ในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate เป็นครั้งที่ 5 ติดต่อกันนับตั้งแต่ปี 2567 EXIM BANK ยังมอบสิทธิประโยชน์แก่ลูกค้าชั้นดีที่ร่วมเติบโตมากับ EXIM BANK ด้วยส่วนลดอัตราดอกเบี้ยพิเศษถึง 1.00% ต่อปี เริ่มต้น 3.10% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่แสดงความจำนงภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 และเบิกกู้ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม 2568 พร้อมกันนั้น EXIM BANK ยังคงดำเนินโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระหนี้และต้นทุนทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ให้สามารถปรับโครงสร้างหนี้ได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ EXIM BANK ได้จัดตั้ง Export Clinic เพื่อให้คำปรึกษาและข้อมูลแก่ผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการ Reciprocal Tariffs โดยสอดคล้องกับพันธกิจของ EXIM BANK ในการส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจการค้าและการลงทุนที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน มีสภาพคล่องเพียงพอในการดำเนินธุรกิจ สามารถปรับตัวรับมือกับปัจจัยท้าทายและแข่งขันได้ในเวทีการค้าโลกอย่างยั่งยืน

#EXIMBANK #ข่าววันนี้ #ลดดอกเบี้ย #เอสเอ็มอี #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ภาษีทรัมป์

 

EXIM BANK แถลง Q1 ปี 68 หนุนส่งออกไทย เติบโตท่ามกลางสงครามการค้าโลก

EXIM BANK แถลงผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 หนุนผู้ประกอบการไทยเพิ่มความแข็งแกร่งสู่ตลาดโลก ท่ามกลางความท้าทายจากสงครามการค้าที่ร้อนระอุ

วันที่ 7 พฤษภาคม 2568 นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) แถลงผลการดำเนินงานของ EXIM BANK ในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ยังเติบโตอย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่ง โดย EXIM BANK เดินหน้าสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันได้บนเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและความท้าทายจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยเฉพาะผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนการค้าและกฎระเบียบระหว่างประเทศที่เข้มงวดมากขึ้น EXIM BANK ได้ออกมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบจากนโยบายภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ เช่น จัดตั้งคลินิกผู้ประกอบการ (Export Clinic) ให้คำปรึกษาและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง และแนวทางการบริหารจัดการธุรกิจ รวมทั้งสนับสนุนผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs ให้ขยายตลาดไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ

โดย ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2568 EXIM BANK มีวงเงินอนุมัติสินเชื่อใหม่อยู่ที่ 10,961 ล้านบาท และมีสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพัน 189,928 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 9.03% ในจำนวนนี้ เป็นสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพันเพื่อการลงทุน 137,636 ล้านบาทหรือคิดเป็นสัดส่วน 72.47% ของสินเชื่อรวมทั้งหมด โดยเป็นสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพันในโครงการระหว่างประเทศ 44,503 ล้านบาท สะท้อนบทบาทด้านการส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชนไทยในตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เมื่อจำแนกเป็นรายตลาดที่สำคัญ EXIM BANK ยังสนับสนุนธุรกิจไทยให้ขยายไปกลุ่มประเทศ CLMV และตลาดใหม่ (New Frontiers) ที่มีศักยภาพ โดยมีสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพันในกลุ่ม CLMV และ New Frontiers จำนวน 39,654 ล้านบาท

ทั้งนี้ EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลังยังคงดำเนินบทบาทธนาคารเพื่อการพัฒนาภายใต้หลักการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (ESG) ด้วยการส่งเสริมและสนับสนุนโครงการ/กิจกรรมของผู้ประกอบการไทยทั้งในประเทศและต่างประเทศตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Export Supply Chain) ด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย อาทิ ผลิตภัณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม เช่น สินเชื่อระยะยาว Sustainability Linked Loan ที่สนับสนุนการดำเนินธุรกิจที่มีการกำหนดเป้าหมายด้านความยั่งยืน สินเชื่อ EXIM Green Goal เพื่อผู้ประกอบการทุกขนาดที่จะต้องการขยายธุรกิจหรือปรับปรุงไปสู่ความยั่งยืน สินเชื่อ EXIM Green Start สำหรับ SMEs เป็นต้น ส่งผลให้ EXIM BANK มีสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพันเพื่อความยั่งยืนสูงถึง 77,387 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 40.75%

ขณะที่ด้านสังคม EXIM BANK เดินหน้าช่วยเหลือและเป็นที่พึ่งของผู้ประกอบการไทยในทุกห้วงเวลา ทั้งภาวะวิกฤตและช่วงฟื้นตัว โดยออกมาตรการช่วยเหลือทางการเงินแบบเฉพาะกลุ่ม อาทิ มาตรการช่วยเหลือสำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหว มาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ SMEs ที่ประสงค์ปรับปรุงโครงสร้างหนี้เชิงป้องกัน (มาตรการ Pre-emptive) เพื่อให้ลูกหนี้ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารอย่างตรงจุดและทันท่วงที และมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ SMEs ในกลุ่มเปราะบางที่มีหนี้วงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาทให้สามารถ “ปิดหนี้ได้ไว ไปต่อได้เร็ว” ตามโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” มาตรการ “จ่ายตรง คงทรัพย์” ด้วยภาระดอกเบี้ยที่ลดลง รวมถึงสนับสนุนเงินทุนเพื่อเสริมสภาพคล่องและจัดการความเสี่ยงได้อย่างครบวงจร

ส่วนอีกบริการสำคัญที่ EXIM BANK เป็นธนาคารแห่งเดียวในไทยที่ให้บริการโดยตรง คือ บริการประกันการส่งออกและการลงทุน เพื่อช่วยบริหารจัดการความเสี่ยงและบรรเทาผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความมั่นคงในภูมิภาคต่าง ๆ โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 EXIM BANK มีปริมาณธุรกิจสะสมบริการประกันเท่ากับ 53,271 ล้านบาท ทั้งนี้ จากการขยายบทบาททั้งด้านสินเชื่อและประกันของ EXIM BANK ในการเป็นเสาหลักสนับสนุนผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยทุกขนาด ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2568 EXIM BANK มีจำนวนลูกค้า 5,201 ราย ในจำนวนนี้เป็นลูกค้า SMEs มากถึง 78.97% อีกทั้งได้เติมความรู้และเสริมศักยภาพผู้ประกอบการ ซึ่งมียอดสะสมถึง 22,493 ราย ผ่านการจัดหลักสูตรอบรม กิจกรรมจับคู่ทางธุรกิจ และให้คำปรึกษาทางการเงิน สะท้อนการอยู่เคียงข้างผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs เพื่อให้แข่งขันได้ในเวทีการค้าโลกที่มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

สำหรับภายใต้การกำกับดูแลกิจการที่ดี EXIM BANK ยังให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทางการเงินเพื่อความยั่งยืน โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 EXIM BANK มีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จำนวน 6,822 ล้านบาท คิดเป็น NPL Ratio ที่ 3.83% และมีค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss) จำนวน 17,545 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง คิดเป็นอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Coverage Ratio) 257.18% เพิ่มเกราะป้องกันความเสี่ยงที่สูงขึ้นจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและปัญหาการตอบโต้ทางการค้า ส่งผลให้ EXIM BANK มีกำไรสุทธิ 427 ล้านบาท สูงกว่าที่กำหนดไว้ในแผนธุรกิจ และสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนถึง 223.20%ท่ามกลางความท้าทายที่ถาโถมเข้ามาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2568 EXIM BANK ยังคงอยู่เคียงข้างและช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยให้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโลกได้อย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการพัฒนาประเทศโดยเฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ที่สอดรับกับนโยบายรัฐและมาตรฐานสากล ด้วยผลิตภัณฑ์ บริการ และนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ เพื่อยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการและขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนต่อไป

#EXIMBANK #ข่าววันนี้ #สงครามการค้า #ภาษีทรัมป์ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์


            

 

ผู้ประกอบการไทยเร่งปรับตัว รับมือภาษีตอบโต้สหรัฐฯ หวั่นกระทบส่งออก-เศรษฐกิจ

ผู้ประกอบการไทยต้องเตรียมตัวอย่างไรเพื่อรับแรงกระแทกจาก Reciprocal Tariffs

วันที่ 6 พฤษภาคม 2568 ฝ่ายวิจัยธุรกิจ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เผยว่า EXIM BANK ประเมินแม้สหรัฐฯ เลื่อน Reciprocal Tariffs ออกไป 90 วัน แต่พบว่าระยะสั้น ตลาดการเงินยังแปรปรวน ส่วนตลาดส่งออกได้แรงบวกจาก Panic Buying ขณะที่ระยะถัดไป เศรษฐกิจและการค้าโลกเสี่ยงชะลอตัว ส่งผลต่อเนื่องถึงไทย ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยต้องพร้อมรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายที่อาจเกิดขึ้นผ่าน 4 แนวทางการปรับตัว ได้แก่ เข้าถึงคู่ค้าของตนเอง เข้าถึงเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง เข้าสู่ตลาดใหม่ และเข้าใจสถานการณ์ให้ถ่องแท้

ตลาดการค้าโลกบรรเทาจากภาวะตื่นตระหนกหลังสหรัฐฯ เลื่อนการบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ออกไป 90 วัน หรือถึงวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 เพื่อให้แต่ละประเทศมีเวลาเจรจาต่อรองผลประโยชน์กับสหรัฐฯ โดยตรง ก่อนที่สหรัฐฯ จะตัดสินใจอีกครั้งว่าจะใช้มาตรการดังกล่าวกับแต่ละประเทศอย่างไร โดยปัจจุบันไทยอยู่ระหว่างขั้นตอนติดต่อและเจรจา ซึ่งไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร ผู้ประกอบการไทยต้องพร้อมรับมือกับสถานการณ์เลวร้าย (Worst Case Scenario) ที่อาจเกิดขึ้น โดยสถานการณ์และผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นมีประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้

ระยะสั้น...ตลาดการเงินแปรปรวน แต่ตลาดส่งออกได้แรงบวกจาก Panic Buying

ตลาดการเงินอ่อนไหวและผันผวนจากความไม่มั่นใจในนโยบายของสหรัฐฯ ซึ่งมาตรการของสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมาสร้างความตื่นตระหนกกับตลาดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ตั้งแต่ตลาดหุ้น ค่าเงิน และสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำต้องเผชิญความผันผวน สังเกตได้จากดัชนีวัดความผันผวนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ (Volatility Index: VIX) ในช่วงต้นเดือนเมษายน 2568 ที่ปรับสูงขึ้นแตะระดับ 50 จุด สูงสุดในรอบ 31 เดือน ขณะที่ U.S. Dollar Index ซึ่งเป็นดัชนีวัดค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเทียบสกุลเงินหลักของโลก อ่อนค่าลงแตะระดับ 98 จุด ต่ำสุดในรอบ 3 ปี ส่งผลให้ผู้ส่งออกไทยจำเป็นต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นในการบริหารอัตราแลกเปลี่ยน  

ภาคส่งออกได้แรงบวกจากความต้องการซื้อสินค้าในภาวะตื่นตระหนกหรือ Panic Buying เนื่องจากผู้นำเข้าและผู้บริโภคเร่งซื้อสินค้าเพื่อกักตุนก่อนที่ราคาสินค้าจะปรับขึ้นหลัง Reciprocal Tariffs บังคับใช้ และทดแทนสินค้าจากจีนที่ถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นแล้วอย่างน้อย 145% ส่งผลให้การส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 1 ที่ขยายตัวถึง 25% อาทิ คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน และอุปกรณ์สื่อสารและส่วนประกอบ อย่างไรก็ตาม ต้องพึงระวังว่าเมื่อตลาดมีความชัดเจนมากขึ้นในระยะข้างหน้า ความต้องการสินค้าดังกล่าวอาจลดลงแบบกะทันหันได้ เนื่องจากไม่ใช่ความต้องการที่แท้จริง (Real Demand)

ระยะถัดไป...เศรษฐกิจและการค้าโลกเสี่ยงชะลอตัว ส่งผลต่อเนื่องถึงไทย

เศรษฐกิจและการค้าโลกเสี่ยงชะลอตัว โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดคาดการณ์อัตราขยายตัวของเศรษฐกิจโลกปี 2568 เหลือ 2.8% จากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ 3.3% โดยมีมาตรการ Reciprocal Tariffs ของสหรัฐฯ เป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันเศรษฐกิจ เช่นเดียวกันกับการที่องค์การการค้าโลก (WTO) คาดว่าปริมาณการค้าโลกจะหดตัว 0.2% ในปีนี้ จากเดิมที่เคยคาดการณ์ว่าจะขยายตัว 2.7% ทั้งนี้ สถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้เริ่มมีการปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยเช่นเดียวกัน อาทิ IMF ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2568 เหลือขยายตัว 1.8% จากเดิม 2.9% และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับเหลือ 2.0% จากเดิม 2.9%

การส่งออกไทยได้รับผลกระทบแน่นอนในระยะข้างหน้า แต่ความรุนแรงยังคงขึ้นกับผลสรุปสุดท้ายของมาตรการ Reciprocal Tariffs ที่สหรัฐฯ จะใช้กับไทย อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจและการค้าโลกปี 2568 ที่มีแนวโน้มชะลอค่อนข้างแน่นอนจากสถานการณ์ปัจจุบัน จะส่งผลต่อแนวโน้มการส่งออกของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยในเบื้องต้น EXIM BANK ประเมินว่าในกรณีไทยถูกเก็บ 10% เช่นเดียวกับทุกประเทศ การส่งออกไทยปีนี้จะยังขยายตัวได้เล็กน้อยราว 0.5-1.5%

แนวทางการปรับตัวของผู้ประกอบการ

เข้าถึงคู่ค้าของตนเอง ผู้ประกอบการส่งออกจำเป็นต้องติดต่อประสานงานกับคู่ค้าอย่างใกล้ชิดมากขึ้น เพื่อจับสัญญาณผลกระทบที่คู่ค้าอาจได้รับ ไปจนถึงสอบถามยืนยันการรับมอบสินค้าท่ามกลางความคลุมเครือของมาตรการสหรัฐฯ และอาจต้องตกลงยอมรับค่าใช้จ่ายภาษีนำเข้าที่อาจถูกเรียกเก็บเพิ่มขึ้นกับสินค้าไทยตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2568

เข้าถึงเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง โดยเฉพาะความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงิน ซึ่งอย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าตลาดการเงินเผชิญกับความผันผวนค่อนข้างมากในปัจจุบันเมื่อเทียบกับฝั่งของภาคการผลิต ผู้ประกอบการจึงควรใช้เครื่องมืออย่าง Foreign Exchange Forward Contracts เพื่อปิดความเสี่ยง ซึ่งการใช้เครื่องมือดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ประกอบการไม่ต้องวิตกกังวล และสามารถดำเนินการจัดการงานอื่น ๆ อาทิ การลดต้นทุน และการบริหารห่วงโซ่อุปทาน ให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังสามารถใช้บริการประกันการส่งออก ซึ่งเป็นการทำประกันก่อนการส่งออกเพื่อคุ้มครองความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการที่ผู้ซื้อผิดนัดชำระเงินค่าสินค้า ผู้ซื้อปฏิเสธการรับมอบสินค้า ผู้ซื้อล้มละลาย รวมถึงความเสี่ยงจากสงคราม จลาจล และรัฐประหาร

เข้าสู่ตลาดใหม่ การแสวงหาคู่ค้ารายใหม่ถือเป็นแนวทางปกติของการดำเนินธุรกิจ แต่การแสวงหาตลาดประเทศใหม่ ๆ อาจเป็นเรื่องที่ท้าทายกว่าและมักถูกละเลยจากบริษัทที่มีผลการดำเนินงานดีอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันถือได้ว่าเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติเมื่อตลาดหลักของภาคส่งออกอย่างสหรัฐฯ และจีน ต่างตกอยู่ในวังวนของสงครามการค้า ดังนั้น การแสวงหาตลาดประเทศใหม่ ๆ จึงเป็นกลยุทธ์ที่จำเป็น โดยหากพิจารณาการส่งออกไปตลาดอื่นที่ขยายตัวดี อาทิ การส่งออกรถยนต์และส่วนประกอบไปอาเซียนในไตรมาส 1/2568 ที่ขยายตัว 17% ขณะที่การส่งออกคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบไป EU ขยายตัวถึง 65% รวมถึงเครื่องปรับอากาศไปตะวันออกกลางขยายตัว 39% ก็ยังพบว่ามีหลายตลาดที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการสามารถใช้กลไกภาครัฐ เช่น กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) และ EXIM BANK เป็นตัวช่วยในการเข้าสู่ตลาดใหม่

เข้าใจสถานการณ์ให้ถ่องแท้ คงต้องยอมรับว่ามาตรการ Reciprocal Tariffs มีรายละเอียด มีความซับซ้อน และมีความไม่แน่นอนอยู่มาก นอกจากนี้ ยังอาจมีเงื่อนไขเพิ่มเติมหรือมีแนวมาตรการใหม่ออกมาได้อย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการจึงควรติดตามข้อมูลและสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถนำมาใช้ประเมินผลกระทบต่อธุรกิจตนเองได้ถูกต้อง ยกตัวอย่างเช่นสินค้าในหมวดยางพาราด้วยกันอย่างยางพาราขั้นต้น ยางรถยนต์และถุงมือยาง กลับถูกเก็บภาษีเพิ่มในอัตราที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ ยังอาจต้องติดตามข้อมูลของประเทศคู่แข่งด้วยว่าถูกเรียกเก็บภาษีสูงหรือต่ำกว่าไทย เพื่อวางกลยุทธ์และตลาดให้แก่สินค้าของตนเองต่อไป

EXIM BANK พร้อมร่วมเดินหน้าหา Solution ในการนำพาผู้ประกอบการส่งออกของไทยก้าวข้ามผ่านวิกฤตในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงอย่าง Foreign Exchange Forward Contracts และบริการประกันการส่งออก ที่จะทำให้สามารถบริหารความเสี่ยงและรุกตลาดใหม่ได้อย่างมั่นใจ ไปจนถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินอย่าง EXIM Shield Financing ที่สนับสนุนสินเชื่อพร้อมเครื่องมือประกันการส่งออก และ EXIM-DITP Empower Financing ที่สนับสนุนสินเชื่อหมุนเวียนสำหรับการเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการตลาดของ DITP นอกจากนี้ EXIM BANK ยังเปิด Export Clinic สำหรับ Update สถานการณ์สำคัญและให้คำแนะนำเบื้องต้นที่จำเป็นกับผู้ประกอบการเพื่อให้สามารถเข้าใจสถานการณ์และบริบทการค้าที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างทันท่วงที

#มาตรการภาษีตอบโต้ #ข่าววันนี้ #EXIMBANK #ReciprocalTariffs #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #สงครามการค้า #ภาษีทรัมป์

 

EXIM BANK จับมือ RSPO ยกระดับอุตฯปาล์มน้ำมันไทย ลุยแข่งขันในตลาดการค้าโลกที่เข้มงวดด้านสิ่งแวดล้อม-สิทธิมนุษยชน

EXIM BANK จับมือ RSPO ยกระดับอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันไทยสู่ความยั่งยืน และแข่งขันได้ในตลาดการค้าโลกที่เข้มงวดด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนมากยิ่งขึ้น

วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK และองค์กรเจรจาระหว่างประเทศว่าด้วยปาล์มน้ำมันยั่งยืน (Roundtable on Sustainable Palm Oil : RSPO) ได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อสนับสนุนความยั่งยืนในภาคธุรกิจปาล์มน้ำมันของไทย พร้อมทั้งสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยยกระดับการดำเนินธุรกิจสู่มาตรฐานสากลและแข่งขันได้อย่างยั่งยืนในตลาดโลก โดยทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เพื่อสนับสนุนระบบการตรวจสอบแบบย้อนกลับ (Traceability) อาทิ การลดการตัดไม้ทำลายป่า (Deforestation-free) การลดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Loss) รวมถึงการยกระดับด้านสิทธิมนุษยชน (Human Rights) ของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม เพื่อยกระดับความน่าเชื่อถือของสินค้าเกษตรไทย เพื่อช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดการค้าโลก โดยเฉพาะการรุกตลาดที่มีข้อกำหนดเข้มงวดด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันระยะยาวให้กับอุตสาหกรรมการเกษตรไทย ในฐานะที่ EXIM BANK เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลังที่มีพันธกิจในการขับเคลื่อนการค้าและการลงทุนที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ และ RSPO เป็นองค์กรกำหนดมาตรฐานความยั่งยืนปาล์มน้ำมันระดับนานาชาติ

ความร่วมมือในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันซึ่งเป็นหนึ่งในภาคเศรษฐกิจสำคัญของไทยให้มุ่งสู่มาตรฐานสากลด้านความยั่งยืน ช่วยสร้างการจ้างงานและนำไปสู่รายได้ทั้งในภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม ตั้งแต่ขั้นตอนการเพาะปลูก เก็บเกี่ยว แปรรูป และส่งออกตลอดต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและการค้าโลก ซึ่งเป็นปัจจัยเร่งให้ภาคธุรกิจต้องดำเนินงานโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Environmental, Social, and Governance : ESG) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคและมาตรฐานการค้าระหว่างประเทศด้านสิ่งแวดล้อมในโลกยุคใหม่

“การปรับตัวสู่ความยั่งยืนจะทำให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงโอกาสใหม่ ๆ ที่ยังมีอีกมากในโลกการค้ายุคใหม่ ท่ามกลางข้อจำกัดด้านกฎระเบียบและมาตรการกีดกันทางการค้าที่เพิ่มมากขึ้น EXIM BANK จึงจับมือกับ RSPO เพื่อขยายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและองค์กรระดับโลกภายใต้กรอบ ISEAL Alliance ที่สนับสนุนมาตรฐานความยั่งยืนในภาคอุตสาหกรรม ช่วยเสริมสร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่โปร่งใส มีความรับผิดชอบ รองรับเทรนด์การค้าโลกที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น” นายบัณฑิตกล่าว

ทั้งนี้นายอิทธิพล เลิศศักดิ์ธนกุล รองกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK ได้ร่วมเสวนาหัวข้อ “ความรับผิดชอบร่วม-ยกระดับปาล์มน้ำมันไทยสู่ความสำเร็จในตลาดโลก” ให้แก่สมาชิก RSPO ในฐานะตัวแทนจากภาคการเงินในการส่งเสริมความยั่งยืนของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันไทย และแนวทางการสร้างความรับผิดชอบร่วมกันเพื่อให้เกิดความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยมีนายมูฮัมหมัด ชาซาลีย์ Head of Certification ของ RSPO ให้การต้อนรับ ณ โรงแรมศิวาเทล บกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 30 เมษายน 256

EXIM BANK ร่วมออกบูท พร้อมเปิดตัว EXIM Export Clinic ช่วยผู้ประกอบการไทยฝ่ามรสุมทรัมป์ 2.0

EXIM BANK ร่วมออกบูท พร้อมเปิดตัว EXIM Export Clinic ช่วยผู้ประกอบการไทยฝ่ามรสุมทรัมป์ 2.0 ในงาน MOF Journey 150 ปี เส้นทางการคลังไทย

วันที่ 1 พฤกษาคม 2568 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “MOF Journey 150 ปี เส้นทางการคลังไทย” โอกาสวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงการคลัง ครบรอบ 150 ปี และเยี่ยมชมบูทธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) โดยมีนางสาวศุกร์ศิริ อภิญญานุวัฒน์ รองปลัดกระทรวงการคลัง และประธานกรรมการ EXIM BANK นายวโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล กรรมการ EXIM BANK นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการและรักษาการกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงการคลังและ EXIM BANK ให้การต้อนรับ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2568

EXIM BANK ร่วมออกบูทในงาน “MOF Journey 150 ปี เส้นทางการคลังไทย” จัดเต็ม บริการทางการเงิน พร้อมโปรโมชันพิเศษเพื่อผู้ประกอบการ SMEs โดยเฉพาะธุรกิจที่มีกระบวนการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน เสริมสร้างองค์กรสีขาวให้เติบโตเป็นธุรกิจที่ยั่งยืน พร้อมเปิดตัวคลินิกผู้ประกอบการ (EXIM Export Clinic) ให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการ ทั้งผู้นำเข้าและส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ บรรเทาผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0 ต่อผู้ประกอบการไทย นอกจากนี้ บริษัท สยามออร์แกนิคฟู้ดโปรดักส์ จำกัด ลูกค้า EXIM BANK ยังร่วมออกบูทนำเสนอตัวอย่างสินค้าขนมขบเคี้ยวและซีเรียลคุณภาพส่งออก แบรนด์ “ZANTUN & VICTOR” และ “NOBI NOBI” ระหว่างวันที่ 1-3 พฤษภาคม 2568 ณ ฮอลล์ 3-4 ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์


 

EXIM BANK อัดโปรแรง! หนุนผู้ส่งออกไทยรับมือทรัมป์ 2.0

EXIM BANK อัดโปรแรง! หนุนผู้ส่งออกไทยรับมือทรัมป์ 2.0

;yomuj 30 g,Kkpo 2568 ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) จัดเต็ม บริการทางการเงิน พร้อมโปรโมชันพิเศษ ตอบแทนความดีของผู้ประกอบการไทยในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก ในงาน “MOF Journey 150 ปี เส้นทางการคลังไทย” โอกาสวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงการคลัง ครบรอบ 150 ปี ระหว่างวันพฤหัสบดีที่ 1-วันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม 2568 ณ Hall 3-4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ หมายเลขบูท 18 ภายใต้แนวคิด “150 ปีแห่งความมั่นคง EXIM ส่งเสริมความดีเพื่อความยั่งยืน”

โปรโมชันพิเศษ ตอบแทนความดีลูกค้าที่ดำเนินธุรกิจสีขาว ต่อยอดความยั่งยืน

• ดีที่ 1 ตอบแทนความดีให้ลูกค้าที่ร่วมเติบโตมาอย่างดีกับ 31 ปี ของ EXIM BANK จำนวน 310 ราย ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่ำสุด 3.1% ต่อปี และมอบของขวัญลูกค้ารายใหม่ คิดค่าธรรมเนียมแรกเข้าเพียง 0.5% เมื่อยื่นขอสินเชื่อภายใน 31 พฤษภาคม 2568

• ดีที่ 2 สนับสนุนผู้ประกอบการทำความดี ด้วยสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ ประกอบด้วย สินเชื่อ White Starter อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 5.60% ต่อปี สินเชื่อ White Intermediate อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 4.75% ต่อปี และสินเชื่อ White Advanced อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 3.75% ต่อปี

นอกจากนี้ EXIM Export Clinic ยังเปิดให้คำปรึกษาเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ ทั้งผู้นำเข้าและส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ รวมทั้งให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับนโยบายภาษีแบบตอบโต้ ตลอดจนผลกระทบและแนวทางการบริหารจัดการธุรกิจ

#EXIMBANK #ภาษีทรัมป์ #ข่าววันนี้ #บริการการเงิน #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์