EXIM BANK หนุนนโยบายรัฐ จัดของขวัญปีใหม่ไทย ภาคธุรกิจปรับลดดบ. Prime Rate เหลือ 6.60%

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate 0.15% ต่อปี จาก 6.75% เหลือ 6.60% ต่อปี (อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ EXIM BANK ใช้สำหรับลูกค้าทั่วไปและลูกค้า SMEs เทียบเท่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้า รายย่อยชั้นดีหรือ MRR ของธนาคารพาณิชย์) นับเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีที่ต่ำที่สุดในระบบเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ไทยในเทศกาลสงกรานต์นี้ให้แก่ผู้ประกอบการ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2567 เป็นต้นไป

สำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate ในครั้งนี้เป็นการขานรับนโยบายของรัฐบาลในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อช่วยลดภาระให้กับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ซึ่งสอดคล้องกับภารกิจของ EXIM BANKในการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้มีสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ บรรเทาภาระหนี้และต้นทุนทางธุรกิจ และสามารถปรับตัวให้แข่งขันในเวทีโลกได้อย่างยั่งยืนในสภาวะที่เศรษฐกิจไทยเติบโตในอัตราที่ช้าลง ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินยังอยู่ในระดับสูง 

EXIM BANK ขานรับคลังบรรเทาภาระดอกเบี้ยธุรกิจเกี่ยวเนื่องส่งออก-ช่วยเหลือ SMEs ได้รับผลกระทบต่อเนื่องพิษโควิด-19

EXIM BANK ขานรับนโยบายกระทรวงการคลัง ออกมาตรการบรรเทาภาระดอกเบี้ยให้แก่ผู้ประกอบการที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกทุกขนาดธุรกิจและทุกอุตสาหกรรม รวมทั้งช่วยเหลือให้ผู้ประกอบการ SMEs เริ่มต้นหรือขยายธุรกิจส่งออกได้ รวมถึงดำเนินธุรกิจเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมตอบสนองนโยบายรัฐบาลในการช่วยเหลือ SMEs ที่เป็น NPLs จากสถานการณ์โควิด-19

นายอิทธิพล เลิศศักดิ์ธนกุล รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) พร้อมด้วยนายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง และผู้บริหารหน่วยงานและธนาคารเฉพาะกิจของรัฐภายใต้สังกัดกระทรวงการคลัง ร่วมแถลงข่าว “แบงก์รัฐลดก่อน ผ่อนภาระประชาชน” ณ กระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2567 โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบที่จะช่วยเสริมสภาพคล่องและลดภาระต้นทุนทางการเงินให้ผู้ประกอบการไทยทุกขนาดธุรกิจและทุกกลุ่มอุตสาหกรรม รวมทั้งปรับธุรกิจสู่ความยั่งยืนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก ดังนี้

1.​ผลิตภัณฑ์เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางธุรกิจของผู้ประกอบการ

•สินเชื่อเอ็กซิมเริ่มต้นส่งออก (EXIM First Step Export Financing) เงินทุนหมุนเวียน อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 5.75% ต่อปี (Prime Rate -1.00% ต่อปี) สำหรับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดย่อม (Size S) ทุกกลุ่มอุตสาหกรรมที่สนใจส่งออกหรือนำเข้าเพื่อส่งออก วงเงินสูงสุด 10 ล้านบาท พิเศษ ลดดอกเบี้ย 0.25% ต่อปีในปีแรก กรณีลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของ EXIM BANK

•สินเชื่อเอ็กซิมเติมทุนส่งออก (EXIM Export Ready Credit) เงินลงทุนระยะยาวเพื่อหมุนเวียนในกิจการและเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการทุกขนาดและทุกกลุ่มอุตสาหกรรม อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 4.75% ต่อปี (Prime Rate -2.00% ต่อปี) วงเงินสูงสุด 20 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบธุรกิจเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะได้รับส่วนลดดอกเบี้ย 0.25% ต่อปีในปีแรก

2.ผลิตภัณฑ์เพื่อสนับสนุนการปรับตัวสู่สังคมดิจิทัล และธุรกิจสีเขียว

•สินเชื่อ EXIM Green Start เงินทุนหมุนเวียนเพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจในทุกขนาดธุรกิจและทุกกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเน้นกลุ่มผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือมีโครงการเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 4.50% ต่อปี (Prime Rate -2.25% ต่อปี) วงเงินสูงสุด 200 ล้านบาท พิเศษ ลดดอกเบี้ย 0.25% ต่อปีในปีแรก กรณีลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของ EXIM BANK

•สินเชื่อเอ็กซิมยกระดับมาตรฐานยางพาราไทย (EXIM Better Rubber Export Financing) เงินทุนหมุนเวียนในการรับซื้อยางและเสริมสภาพคล่องสำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยางพารา อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 4.25% ต่อปี (Prime Rate -2.50% ต่อปี) วงเงินสูงสุด 200 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการที่มีมาตรฐาน เครื่องหมาย หรือการตรวจสอบแหล่งกำเนิด (Traceability) ตามที่การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) กำหนด จะได้รับส่วนลดดอกเบี้ย 0.75% ต่อปีตลอดระยะเวลาโครงการ

•สินเชื่อ EXIM Extra Transformation เงินลงทุนระยะยาวเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับซื้อหรือปรับปรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์ ต่อเติม ปรับปรุง หรือก่อสร้างอาคารโรงงาน ซื้อหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 5.25% ต่อปี (Prime Rate -1.50% ต่อปี) ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเพื่อยกระดับศักยภาพการแข่งขันเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 หรือลงทุนในพื้นที่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จะได้รับส่วนลดดอกเบี้ย 0.50% ต่อปีในปีแรก

นอกจากนี้ EXIM BANK ยังมีมาตรการช่วยเหลือต่อเนื่องแก่กลุ่ม SMEs ที่เป็น NPLs จากช่วงโควิด-19 (ตามนโยบายรัฐ)

ต่อที่ 1 กรณีชำระเงินต้นและดอกเบี้ย ปรับลดดอกเบี้ย 0.50% ต่อปี เป็นเวลา 3 เดือน หรือกรณีเลือกชำระเพียงเงินต้น พักชำระดอกเบี้ยได้ เป็นเวลา 3 เดือน

ต่อที่ 2 กรณีสามารถชำระหนี้ตามเงื่อนไขได้เป็นปกติ 3 งวดติดต่อกัน พักชำระหนี้เงินต้น พร้อมปรับลดดอกเบี้ยลง 1.00% ต่อปี เป็นเวลา 1 ปี

ทั้งนี้ EXIM BANK พร้อมเคียงข้างและสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้มีสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ บรรเทาภาระหนี้และต้นทุนทางธุรกิจ และปรับตัวให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืนในเวทีการค้าโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทายและโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ EXIM Contact Center โทร. 0 2169 9999 Email : contactcenter@exim.go.th

#EXIMBANK #SMEs #ลดดอกเบี้ย #ช่วยลูกหนี้ #ข่าววันนี้

 

            

 

 

EXIM BANK หารือ BIDV ส่งเสริมการค้าการลงทุนไทย-เวียดนาม

เมื่อวันที่ 21 มี.ค. 2567 นายอิทธิพล เลิศศักดิ์ธนกุล รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) พร้อมด้วยผู้บริหาร EXIM BANK ให้การต้อนรับนายทราน ทัง ลอง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเพื่อการลงทุนและพัฒนาแห่งประเทศเวียดนาม (The Joint Stock Commercial Bank for Investment and Development of Vietnam : BIDV) พร้อมหารือแนวทางความร่วมมือในการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการและส่งเสริมการค้าการลงทุนไทย-เวียดนาม ภายใต้บทบาท Green Development Bank ณ EXIM BANK สำนักงานใหญ่ 

EXIM BANK แถลงผลดำเนินงานปี 66 ยอดสินเชื่อ 7 หมื่นล้าน พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

EXIM BANK แถลงผลดำเนินงานปี 66 ยอดสินเชื่อ 7 หมื่นล้าน พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เดินหน้าบทบาท Green Development Bank ขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำและการพัฒนาอย่างยั่งยืน

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) แถลงผลการดำเนินงานปี 2566 ของ EXIM BANK ว่า ณ สิ้นปี 2566 EXIM BANK มีวงเงินอนุมัติสินเชื่อใหม่ 70,628 ล้านบาท โดยเป็นวงเงินของผู้ประกอบการ SMEs จำนวน 10,792 ล้านบาท และมีสินเชื่อคงค้าง 175,604 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7,273 ล้านบาท หรือ 4.32% เมื่อเทียบกับปีก่อน สูงที่สุดตั้งแต่เปิดดำเนินงานในปี 2537 ทั้งนี้ กว่า 2 ใน 3 เป็นยอดคงค้างสินเชื่อเพื่อการลงทุนจำนวนรวม 120,970 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.6% จากปีก่อน ตอกย้ำบทบาทธนาคารเพื่อการพัฒนา ซึ่งยกระดับเป็น “Green Development Bank” เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็ง ควบคู่กับการยกระดับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรมในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกให้เติบโตสู่อนาคตที่ยั่งยืน โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Environmental, Social, and Governance: ESG)

ทั้งนี้จากความมุ่งมั่นสนับสนุนการพัฒนาประเทศบนหลักการ ESG ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2566 EXIM BANK มียอดคงค้างสินเชื่อที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นเป็น 62,278 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 35.46% ของสินเชื่อคงค้างทั้งหมด และเพิ่มขึ้นถึง 33.65% จากปีก่อน ในจำนวนนี้เป็น SMEs 12,644 ล้านบาท โดย EXIM BANK พัฒนาเครื่องมือทางการเงินสีเขียว (Green Finance) ด้านการระดมทุนด้วย SME Green Bond มูลค่า 3,500 ล้านบาท และด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือนวัตกรรมทางการเงิน เช่น สินเชื่อ Solar D-Carbon Financing สินเชื่อ EXIM Green Start เพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจสีเขียว ผลักดันให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions)

นอกจากนี้ EXIM BANK ได้สานพลังกับเครือข่ายพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ นำพาธุรกิจไทยขยายการค้าการลงทุนไปตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ทำให้ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566 EXIM BANK มียอดคงค้างสินเชื่อโครงการระหว่างประเทศทั้งสิ้น 49,299 ล้านบาท เมื่อจำแนกเป็นรายตลาดที่สำคัญ ในปี 2566 มีสินเชื่อคงค้างในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) และ ตลาดใหม่ (New Frontiers) 40,675 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 23.16% ของสินเชื่อคงค้างทั้งหมด

โดยท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังมีความไม่แน่นอนสูงและสถานการณ์ความไม่สงบในหลายประเทศ EXIM BANK ยังเร่งเสริมสร้างความมั่นใจและภูมิคุ้มกันความเสี่ยงให้แก่ผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยผ่านบริการประกันการส่งออกและการลงทุน โดย ณ สิ้นปี 2566 EXIM BANK มีปริมาณธุรกิจด้านการรับประกันการส่งออกและการลงทุนเท่ากับ 179,557 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.03% จากปีก่อน สูงสุดเป็นประวัติการณ์

สำหรับการมุ่งสนับสนุนผู้ประกอบการทั้งด้านสินเชื่อและประกันของ EXIM BANK ส่งผลให้ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566 มีจำนวนลูกค้า 5,826 ราย เป็นลูกค้า SMEs 82.49% คิดเป็น 22% ของผู้ส่งออก SMEs ไทย นอกจากนี้ EXIM BANK ยังสนับสนุนผู้ประกอบการอย่างครบวงจร ผ่านการบ่มเพาะ ให้ความรู้ จับคู่ทางธุรกิจ และให้คำปรึกษาทางการเงิน โดย ณ สิ้นปี 2566 EXIM BANK ได้ส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการสะสมกว่า 19,100 ราย สะท้อนการอยู่เคียงข้าง SMEs ไม่ทิ้งคนตัวเล็ก ดูแลช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางเพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันได้ในเวทีโลกยุคใหม่ภายใต้มาตรฐานการค้าโลกและกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้น

ขณะเดียวกัน EXIM BANK ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทางการเงินเพื่อความยั่งยืน โดยมีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จำนวน 8,157 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566 เท่ากับ 4.65% และมีค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss) จำนวน 15,556 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง คิดเป็นอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Coverage Ratio) 190.70% ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2566 EXIM BANK มีกำไรจากการดำเนินงาน 3,210 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.27% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และมีกำไรสุทธิเท่ากับ 456 ล้านบาท

โดยในปี 2567 EXIM BANK ยังคงเดินหน้าตอกย้ำบทบาทการเป็น Green Development Bank โดยมีแผนพัฒนาเครื่องมือทางการเงินใหม่ ๆ หลายด้าน เช่น Blue Bond สนับสนุนธุรกิจที่อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล ผลิตภัณฑ์สนับสนุนการลดคาร์บอน Scope ที่ 1-2-3 (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง ทางอ้อมที่เกิดจากการใช้พลังงาน และทางอ้อมอื่นๆจากการดำเนินงานขององค์กร) และเดินหน้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2573 รวมทั้งขยายขอบเขตการให้บริการ อาทิ วาณิชธนกิจ (Investment Banking) ให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนอื่นนอกเหนือจากสินเชื่อเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้หลากหลายมากขึ้น ขณะเดียวกัน ยังเร่งยกระดับประสิทธิภาพองค์กร ด้วยการพัฒนาระบบเทคโนโลยีดิจิทัล การปรับปรุงระบบงาน และการปรับโครงสร้างองค์กรโดยจัดแบ่งฝ่ายงานการตลาดตามความเชี่ยวชาญมากยิ่งขึ้น อันสะท้อนให้เห็นว่า EXIM BANK เป็นมากกว่าธนาคาร (Beyond Banking) ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืนไปกับสังคมและสิ่งแวดล้อม

“ท่ามกลางปัจจัยท้าทายจากโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว EXIM BANK ยังเดินหน้าบทบาทที่เป็นมากกว่าธนาคาร ช่วยเหลือผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ให้ปรับตัวและแข่งขันได้ในเวทีโลก ควบคู่กับการกระตุ้นการส่งออกและการลงทุนของผู้ประกอบการไทยที่จะช่วยสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจที่ขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน ขยายพอร์ตสินเชื่อให้เป็นสีเขียวเพิ่มมากขึ้น ผลักดันการพัฒนานวัตกรรมและเศรษฐกิจดิจิทัล ต่อยอดการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยสู่อนาคต ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศและภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกอย่างยั่งยืน” ดร.รักษ์กล่าว

      

#EXIMBANK #สินเชื่อ #ปล่อยกู้ 

 

 

EXIM BANK แนะ 5 Digital Trends ที่ผู้ประกอบการยุคใหม่ไม่ควรพลาดในปีมังกร

EXIM BANK ชี้เทคโนโลยีดิจิทัลทวีความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ โดย World Bank และ Digital Cooperation Organization คาดว่า Digital Economy จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นแตะระดับ 30% ของ GDP โลก ภายในปี 2573 โดย 5 Digital Trends ที่มาแรงและถูกนำไปใช้กว้างขวางทั่วโลก ได้แก่ Social Commerce ช่องทางการค้าใหม่มาแรง Generative AI ตัวช่วยสำหรับธุรกิจยุคใหม่ Augmented Reality เทคโนโลยีจำลองภาพเสมือนจริง Big Data การใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ขับเคลื่อนธุรกิจ และ Voice Assistant สุดยอดผู้ช่วยด้านเสียง เทคโนโลยีดิจิทัลจะช่วยยกระดับธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น Easy ช่วยให้เข้าถึงลูกค้าง่ายขึ้น Efficient ช่วยจัดการต้นทุนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และ Excellent ช่วยให้กิจการโดดเด่น/แตกต่าง ผู้ประกอบการไทยไม่ควรพลาดที่จะนำมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างโอกาสเข้าถึงลูกค้าทั่วทุกมุมโลก

เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นตัวแปรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ โดย World Bank และ Digital Cooperation Organization ประเมินว่า ปัจจุบัน Digital Economy มีสัดส่วนราว 15% ของ GDP โลก และคาดว่าจะแตะ 30% ในปี 2573 โดยเทคโนโลยีดิจิทัลถูกนำไปต่อยอดหรือประยุกต์ใช้ในหลายวงการ โดยเฉพาะภาคธุรกิจ นับตั้งแต่การผลิตไปจนถึงส่งมอบสินค้าถึงมือลูกค้า รวมถึงบริการหลังการขายอีกด้วย ภายใต้ความสำคัญดังกล่าว 5 เทรนด์เทคโนโลยีดิจิทัลที่คาดว่าจะมาแรงในปี 2567 ประกอบด้วย

1. Social Commerce ช่องทางการค้าใหม่มาแรง

ปัจจุบันการค้าออนไลน์ก้าวขึ้นมาเป็นช่องทางการค้าสำคัญที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดย Oberlo ผู้ให้บริการ E-Commerce ชั้นนำของโลกประเมินว่า ในปี 2568 จำนวนนักชอปปิงออนไลน์ทั่วโลกจะเพิ่มเป็น 2.8 พันล้านคนหรือราว 1 ใน 3 ของประชากรโลก การค้าออนไลน์ผ่าน Social Media Platform เช่น Facebook, Instagram, WeChat และ TikTok เติบโตก้าวกระโดด เนื่องจากจุดแข็งที่ไม่เพียงมีผู้ใช้งานจำนวนมาก ทำให้การต่อยอดสู่การขายสินค้าทำได้ง่ายและเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ จากทั่วทุกมุมโลก ยังมี Function ให้ผู้ขายสามารถใช้ทำการตลาดได้หลากหลาย เช่น การไลฟ์สดขายของ การโพสต์สินค้าใน Fanpage หรือ Marketplace เฉพาะกลุ่มสินค้า โดย Strategic Market Research คาดว่า รายได้ของ Social Commerce โลกจะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 6.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2573 จาก 0.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2565 หรือขยายตัวเฉลี่ยปีละ 30.8%

 

2. Generative AI ตัวช่วยสำหรับธุรกิจยุคใหม่

ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เน้นการสร้างสรรค์สิ่งใหม่จากข้อมูลที่มีอยู่ แตกต่างจาก AI แบบเดิมที่เน้นการวิเคราะห์และคาดการณ์เป็นหลัก โดยภาคธุรกิจนิยมนำ Gen AI มาใช้ในหลายด้าน ทั้งการสร้าง Content ใหม่ ๆ การสร้างแคมเปญการตลาดให้โดนใจลูกค้า ตลอดจนการให้คำปรึกษา/แนะนำลูกค้า Bloomberg คาดว่า รายได้จากการใช้งาน Gen AI ทั่วโลกจะขยายตัวก้าวกระโดดแตะระดับ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2575 หรือโตเฉลี่ยถึงปีละ 226% Gen AI ที่นิยม เช่น ChatGPT ช่วยสร้างงาน/คอนเทนต์ใหม่ ๆ รวมถึงช่วยคิดสโลแกนสินค้า หรือแคปชันโฆษณาได้ Midjourney ช่วยออกแบบโลโก้ของแบรนด์ง่าย ๆ เพียงใส่คีย์เวิร์ดที่ต้องการ

 

3. Augmented Reality (AR) เทคโนโลยีจำลองภาพเสมือนจริง

AR ช่วยให้ผู้ใช้มองเห็นวัตถุในรูปแบบ 3 มิติในพื้นที่จริง ซึ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นและถูกนำไปใช้ในภาคธุรกิจอย่างกว้างขวาง โดย ARtillery Intelligence บริษัทที่ปรึกษาด้าน AR ของสหรัฐฯ คาดว่า รายได้ของ AR โลกในปี 2567 จะแตะระดับ 21 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหรือโตถึง 5.4 เท่าจาก 5 ปีก่อน ปัจจุบันหลายบริษัทใช้ AR เป็นตัวช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น เช่น IKEA ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ของสวีเดนใช้ AR ช่วยลูกค้าจำลองการวางเฟอร์นิเจอร์ในบ้านได้เสมือนจริง Rayban ผู้ผลิตแว่นตาของสหรัฐฯ ใช้ AR ให้ลูกค้าทดลองเลือกแว่นที่เข้ากับใบหน้า

 

4. Big Data การใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ขับเคลื่อนธุรกิจ

ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจยุคใหม่ ภาคธุรกิจนำ Big Data มาวิเคราะห์เพื่อยกระดับองค์กรในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการจัดการความเสี่ยง การจัดการห่วงโซ่อุปทาน การวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า และการพัฒนากลยุทธ์การตลาด โดย International Data Corporation บริษัทที่ปรึกษาของสหรัฐฯ ประเมินว่า ในช่วงปี 2553-2568 ปริมาณข้อมูลในภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 25% ตัวอย่างบริษัทที่นำ Big Data มาช่วยเพิ่มรายได้แก่บริษัท เช่น Amazon ผู้ให้บริการ E-Commerce ระดับโลกใช้ Big Data วิเคราะห์เพื่อแนะนำสินค้าให้ตรงกับความต้องการลูกค้ามากที่สุด ช่วยให้รายได้ของบริษัทฯ ในปี 2564 เพิ่มขึ้นถึง 35% Netflix ผู้ให้บริการ Streaming ของสหรัฐฯ นำ Big Data โดยเฉพาะพฤติกรรมการใช้งานของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นรายการ/ซีรีส์ที่ดูบ่อย ความถี่และระยะเวลาที่รับชม มาวิเคราะห์และนำเสนอคอนเทนต์ที่ตรงใจลูกค้าให้มากที่สุด

 

5. Voice Assistant สุดยอดผู้ช่วยด้านเสียง

อีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญยุคใหม่ เป็นการพัฒนา AI ให้สามารถสั่งการด้วยเสียง เพื่อนำมาใช้ในด้านต่าง ๆ ทั้งการค้นหาข้อมูล (Voice Search) รวมถึงเป็นตัวช่วยสั่งซื้อสินค้า เช่น 7-Eleven ในสหรัฐฯ ใช้งานระบบ Voice Assistant “7 Voice” สำหรับให้ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าและจัดส่งถึงบ้านด้วยเสียง ข้อดี คือ ลูกค้าซื้อสินค้าได้ง่าย รวมถึงระบบยังจดจำเสียงพร้อมที่อยู่ เพิ่มความสะดวกแก่ลูกค้า ทำให้อยากกลับมาซื้อซ้ำ ทั้งนี้ มีการประเมินว่า ตลาด Voice Assistant Shopping จะเติบโตอีกมาก โดยเฉพาะในเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งคาดว่าในช่วงปี 2564-2569 จะโตเฉลี่ยปีละ 50.5% ตลาดสำคัญ ได้แก่ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย สำหรับ Voice Assistant ที่นิยม เช่น SIRI (Apple), Google Assistant และ Amazon Alexa

ภายใต้บริบทการค้าการลงทุนระหว่างประเทศยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีดิจิทัลกลายเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยยกระดับธุรกิจให้ดีขึ้นในหลายด้าน ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ตระหนักดีถึงประโยชน์ดังกล่าว จึงพร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการให้ก้าวทันเทคโนโลยีและสามารถนำมาประยุกต์ในการดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศทั้งการส่งออกและการลงทุนในต่างประเทศ โดยเทคโนโลยีดิจิทัลจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยผู้ประกอบการให้เข้าถึงลูกค้าในทุกตลาดทั่วทุกมุมโลกได้ง่ายและเร็วขึ้น (Easy) ช่วยบริหารธุรกิจและจัดการต้นทุนโครงการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น (Efficient) และช่วยสร้างความโดดเด่น แตกต่าง เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งบนเวทีโลก (Excellent) ทั้งนี้ EXIM BANK ในฐานะ “ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย” มุ่งมั่นพัฒนาและส่งเสริมธุรกิจไทยให้แข็งแรงและมีศักยภาพสูงขึ้นเพื่อเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างแข็งแรงและยั่งยืน


#EXIMBank #DigitalTrends #ปีมังกร

"EXIM BANK" ได้รับการรับรองรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์จาก อบก.

EXIM BANK ได้รับการรับรองรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์จาก อบก.

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK ได้รับการรับรองรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization : CFO) ปี 2565 จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก.) ซึ่งแสดงถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในองค์กรและเจตนารมณ์อันแน่วแน่ที่มุ่งสู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2573 เพื่อร่วมขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว ยกระดับการเติบโตของภาคธุรกิจควบคู่กับการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศไทยและประชาคมโลกในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

EXIM BANK มุ่งสู่เป้าหมายการเป็น Green Development Bank โดยนำแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Economy) มาบูรณาการเชื่อมโยงทุกกระบวนการทำงานขององค์กร มีการบริหารจัดการองค์กรโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Environmental, Social, and Governance : ESG) โดยธนาคารได้จัดทำเครื่องมือจัดเก็บข้อมูลและคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมทั้งกำหนดกิจกรรมและแนวทางสู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral Organization) และจัดเก็บข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการดำเนินงานของธนาคารเพื่อทำรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามมาตรฐานของ อบก. เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อน ขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์กร ภาคธุรกิจ ประเทศชาติ และโลกโดยรวม

EXIM BANK ชี้ส่งออกไทย Q4/66 แนวโน้มกลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส แรงหนุน ศก.โลกที่ยังพอมีแรงส่ง

EXIM BANK ระบุว่า ดัชนีชี้นำการส่งออกไทย หรือ EXIM Index ล่าสุด ณ สิ้นไตรมาส 3 อยู่ที่ระดับ 100.04 เพิ่มขึ้นจาก 99.6 ในไตรมาสก่อนหน้า และดัชนีฯ มีค่าสูงกว่า 100 เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ไตรมาส สะท้อนมูลค่าการส่งออกของไทยไตรมาส 4 ปี 66 มีแนวโน้มกลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส จากแรงหนุนของเศรษฐกิจโลกที่ยังพอมีแรงส่ง ปัญหา Supply Chain ที่คลี่คลายมากขึ้นเป็นลำดับ ขณะที่ราคาส่งออกก็มีแนวโน้มกระเตื้องขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามประเด็นสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส ซึ่งหากยืดเยื้อก็จะส่งผลต่อโมเมนตัมการฟื้นตัวและบรรยากาศการค้าโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM Index ซึ่งเป็นดัชนีชี้นำการส่งออกของไทยที่ EXIM BANK ได้พัฒนาขึ้นเพื่อชี้ให้เห็นถึงทิศทางการส่งออกของไทยในช่วง 3 เดือนข้างหน้า ล่าสุด EXIM Index ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2566 ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 100.04 จาก 99.6 ในไตรมาสก่อนหน้า นับเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ไตรมาสที่ดัชนีมีค่ามากกว่า 100 สะท้อนมูลค่าการส่งออกของไทยในไตรมาสถัดไป คือ ไตรมาส 4 ปี 2566 มีแนวโน้มกลับมาขยายตัวได้เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส หลังล่าสุดตัวเลขการส่งออกเดือนกันยายน 2566 สามารถขยายตัวได้เป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน โดยได้แรงหนุนจากการปรับเพิ่มขึ้นเกือบทุกองค์ประกอบของดัชนี ดังนี้

•ด้านอุปสงค์ (Demand) ดัชนีด้านอุปสงค์ปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 99.5 ในไตรมาสก่อนหน้ามาอยู่ที่ 100.0 ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี สะท้อนว่าอุปสงค์ในตลาดโลกเริ่มทยอยฟื้นตัว โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯ และญี่ปุ่นที่ยังขยายตัวจากภาคบริการและตลาดแรงงาน สอดคล้องกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ล่าสุดปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจทั้งสองประเทศในปี 2566 มาอยู่ที่ 2.1% และ 2.0% ตามลำดับ ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจจีนก็เริ่มมีโมเมนตัมที่ดีขึ้นอย่างช้าๆ สะท้อนได้จาก GDP ไตรมาส 3 ปี 2566 ออกมาดีกว่าคาดที่ 4.9% และเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่หลายแห่งยังไปต่อได้ อาทิ อินเดีย แอฟริกา เป็นต้น ช่วยหนุนความต้องการสินค้าหลายชนิดของไทย อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจยุโรปที่ยังถูกกดดันจากเงินเฟ้อที่ปรับลดลงช้ากว่าหลายภูมิภาค ตลอดจนปัญหาหนี้ที่สูงในบางตลาดยังกดดันกำลังซื้อและอุปสงค์ต่อสินค้าไทยในระดับหนึ่ง

•ด้านอุปทาน (Supply) ดัชนีด้านอุปทานปรับลดลงจากระดับ 101.3 ในไตรมาสก่อนหน้า มาอยู่ที่ 101.0 แต่ค่าดัชนียังสูงกว่า 100 เป็นไตรมาสที่ 6 ติดต่อกัน สะท้อนปัญหา Global Supply Chain Disruption คลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้นต่อเนื่อง จากค่าระวางเรือที่ปรับลดลงจากปีก่อนกว่า 80% และปัญหาขาดแคลนชิปทั่วโลก ที่ปรับตัวดีขึ้น หนุนให้การส่งออกสินค้าส่งออกของไทยที่ต้องใช้ชิปเป็นส่วนประกอบขยายตัวดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะรถยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชนและภาคการผลิตของไทยที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ สะท้อนได้จากดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของไทยที่หดตัวมาแล้ว 11 เดือนติดต่อกัน ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตส่วนเกินก็ยังมีอยู่ (อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ต่ำกว่าระดับ 60 เป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน) โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เน้นการส่งออก

•ด้านราคา (Price) ดัชนีด้านราคาปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 99.1 ในไตรมาสก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 99.7 แต่ค่าดัชนียังต่ำกว่า 100 เป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกัน โดยเฉพาะราคาน้ำมันและราคาอาหารโลกที่แม้จะขยับเพิ่มขึ้นในระยะสั้นจากปัญหา Geopolitics และการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันของซาอุดีอาระเบีย รวมถึงปรากฏการณ์เอลนีโญที่เริ่มส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรในหลายพื้นที่ของโลก แต่หากเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งราคาน้ำมันและราคาอาหารโลกยังปรับลดลงเฉลี่ยกว่า 12% ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2566 ส่งผลให้การส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับราคาน้ำมันของไทยซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 15% ของมูลค่าส่งออกรวม ยังคงหดตัวต่อเนื่อง แต่ในส่วนของสินค้าเกษตรและอาหารของไทยยังได้อานิสงส์จากความต้องการในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นหลังหลายประเทศเร่งนำเข้าจากประเด็นความมั่นคงด้านอาหารจากภาวะภัยแล้ง สะท้อนได้จากปริมาณการส่งออกสินค้ากลุ่มดังกล่าวหลายรายการที่ขยายตัวดีต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี อาทิ ข้าว ผลไม้ เป็นต้น

•ด้านความเชื่อมั่น (Sentiment) ดัชนีด้านความเชื่อมั่นปรับเพิ่มขึ้นจาก 99.4 ในไตรมาสก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 99.7 แต่ค่าดัชนียังต่ำกว่า 100 เป็นไตรมาสที่ 5 ติดต่อกัน จากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของโลกโดยรวมที่ยังถูกกดดันจากอัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อที่ยังอยู่ระดับสูง ตลอดจนปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศที่เร่งตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม ดัชนีฯ เริ่มส่งสัญญาณดีขึ้นบ้างหลังนักลงทุนเริ่มให้น้ำหนักว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมที่เหลือของปี 2566 สะท้อนได้จาก FedWatch Tool ล่าสุดที่นักลงทุนให้น้ำหนัก 99.6% และ 75.2% ว่า Fed จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม 2 ครั้งที่เหลือ ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการสู้รบระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส ซึ่งหากยืดเยื้อหรือลุกลามจะส่งผลกระทบต่อโมเมนตัมเศรษฐกิจและบรรยากาศการค้าโลกโดยรวมในระยะถัดไปได้เช่นกัน

แม้การส่งออกของไทยในไตรมาส 4 ปี 2566 มีแนวโน้มกลับมาขยายตัวได้จากหลายปัจจัยข้างต้น และผลของฐานมูลค่าส่งออกที่สูงในช่วง 3 ไตรมาสแรกปี 2565 ที่หมดไป แต่มูลค่าการส่งออกของไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 ที่หดตัวมากกว่าคาดที่ 3.8% ทำให้ EXIM BANK คาดว่า การส่งออกของไทยทั้งปี 2566 จะหดตัวที่ราว -2% ถึง -1% อย่างไรก็ดี โมเมนตัมการส่งออกที่มีสัญญาณดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2566 เป็นต้นไป จะช่วยหนุนให้การส่งออกปี 2567 มีแนวโน้มกลับมาขยายตัวและกลายเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้อีกครั้ง

 

EXIM BANK ได้รับรางวัล “Best Practice” หน่วยงานที่มีการดำเนินการตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล “ดีเลิศ”

ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ได้รับการประกาศรายชื่อเป็น “Best Practice” หน่วยงานที่มีการดำเนินการตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลดีเลิศ (PDPA) ภายใต้โครงการพัฒนาแพลตฟอร์มภาครัฐเพื่อรองรับการปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Government Platform for PDPA Compliance : GPPC) จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) โดยรวมถึงใช้งานแพลตฟอร์มภาครัฐฯ GPPC ได้ถูกต้องครบถ้วนตามกำหนด เป็นไปตามแนวนโยบายของ EXIM BANK ที่มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาลและความรับผิดชอบต่อสังคม ภายใต้กรอบของกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ รวมถึงการให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนและการตลาดที่เป็นธรรม คำนึงถึงความปลอดภัยของลูกค้า คู่ค้า คู่ความร่วมมือ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆทุกกลุ่ม

 

EXIM BANK ขานรับนโยบายคลัง ตรึงดอกเบี้ยเงินกู้ถึงสิ้นปี 66 ช่วยเหลือลูกค้า โดยเฉพาะ SMEs

EXIM BANK ขานรับนโยบายกระทรวงการคลัง ประกาศตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ถึงสิ้นปี 2566 ช่วยเหลือลูกค้า โดยเฉพาะ SMEs

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 2.25% เป็น 2.50% ต่อปี เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2566 โดยมีผลทันที อันเนื่องมาจากเศรษฐกิจไทยในภาพรวมอยู่ในทิศทางฟื้นตัว อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะเพิ่มสูงขึ้นทั้งจากอุปสงค์ในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ EXIM BANK ขานรับนโยบายกระทรวงการคลัง ยืนยันที่จะตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตรา Prime Rate 6.75% ต่อปี จนถึงสิ้นปี 2566 เพื่อเป็นการช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระผู้ประกอบธุรกิจการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ โดยเฉพาะ SMEs ในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว

“EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ มุ่งมั่นดำเนินบทบาทธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (Thailand Development Bank) ยืนยันจุดยืนช่วยเหลือลูกค้าทั่วไป และผู้ประกอบการ SMEs ด้วยการตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ รวมทั้งเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และเครื่องมือทางการเงินเพื่อเสริมสภาพคล่องให้ภาคธุรกิจสามารถเริ่มต้นหรือขยายธุรกิจสู่ตลาดโลกได้ สร้างรายได้ กระตุ้นการจ้างงาน ขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของชุมชนและประเทศไทย ตลอดจนต่อยอดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนและภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น” ดร.รักษ์ กล่าว

 

EXIM BANK รับรางวัล “องค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชนระดับดีเด่น ประจำปี 2566”

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) รับรางวัล “องค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชนระดับดีเด่น ประจำปี 2566” ประเภทองค์กรรัฐวิสาหกิจ จากพันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในงานประกาศรางวัลองค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2566 จัดโดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2566

ในโอกาสนี้ กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK ได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFI) ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง ที่นำหลักสิทธิมนุษยชนมาเป็นพื้นฐานในการบริหารจัดการองค์กรและปฏิบัติงานในทุกระดับ ยึดหลัก 4P (People, Planet, Productivity, and Profit) เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กร ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดย “People before Profit” ให้ความสำคัญกับ “คน” ซึ่งเป็นหัวใจของการพัฒนา ไม่ใช่แค่คนในองค์กร แต่รวมถึงลูกค้า ผู้ประกอบการ พันธมิตร และที่ขาดไม่ได้คือ “ชุมชนที่เราอยู่” สำหรับพนักงานของ EXIM BANK มีสวัสดิการ Flexi Benefit เป็นสวัสดิการเท่าเทียม ที่ยืดหยุ่น ปรับได้ตามความต้องการของพนักงานและครอบครัว นอกจากนี้ EXIM BANK ยังสนับสนุนความหลากหลายและยอมรับความแตกต่างในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นเพศใด สถานะใดจะได้รับการดูแลอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม ไม่แบ่งแยกเพศ ศาสนา และไม่เลือกปฏิบัติ เพื่อให้ EXIM BANK เป็น Empathic Workplace ภายใต้แนวคิด “Diversity & Inclusion”  

โดย EXIM BANK ส่งเสริมให้เกิดการเคารพสิทธิมนุษยชนทั้งภายในและภายนอกองค์กร ขยายไปยังลูกค้าผู้ประกอบการ พันธมิตร และชุมชน อาทิ โครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งของผู้ประกอบการสตรีกลุ่มเปราะบาง ซึ่ง EXIM BANK ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรส่งเสริมความรู้ด้านการเงินและการประกอบธุรกิจ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า เพื่อให้สตรีกลุ่มเปราะบางมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และโครงการปันยิ้มคืนสุข ซึ่ง EXIM BANK ริเริ่มจัดให้มีพื้นที่สำหรับร้านกาแฟยิ้มสู้ โดยผู้บกพร่องทางการได้ยินภายใต้การดูแลของมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ เข้ามาจำหน่ายสินค้าชา กาแฟ โกโก้ และขนมเบเกอรี บริเวณโรงอาหารของ EXIM BANK สำนักงานใหญ่ เพื่อสนับสนุนให้กลุ่มผู้พิการสามารถประกอบอาชีพและพึ่งพาตนเองได้

นอกจากนี้ EXIM BANK ยังมุ่งสู่เป้าหมายการเป็น Green Development Bank โดยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance : ESG) บนพื้นฐานของการเคารพสิทธิมนุษยชน ผ่านการให้สินเชื่อสีเขียวและการออก Green Bond ตามกรอบการระดมทุนเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance Framework) ซึ่งมีส่วนช่วยสร้างระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมที่ดีอันเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน เพื่อร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยและโลกโดยรวมไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน