"ธนกร " รมว.อุตฯ ลั่น120 วัน ทำงานเต็มที่ ลุยช่วยเหลือเอสเอ็มอี ล้างบางรง.ผิดกฎหมาย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 26 กันยายน 3568  ที่กระทรวงอุตสาหกรรม นายธนกร วังบุญคงชนะ รมว.อุตสาหกรรม และจ่าเอก ยศสิงห์ เหลี่ยมเลิศ รมช.อุตสาหกรรม เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงอุตสาหกรรม เวลา 9.09 น. ก่อนเริ่มภารกิจอย่างเป็นทางการ

นายธนกร กล่าวว่า ตนเข้ารับตำแหน่งในช่วงสั้น ๆ เพียง 4 เดือน แต่ยืนยันจะทำงานทุกวันเพื่อคลี่คลายปัญหาเร่งด่วนด้านเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรม โดยภารกิจสำคัญคือการช่วยเหลือผู้ประกอบการ โดยเฉพาะเอสเอ็มอี ที่กำลังได้รับแรงกดดันจากสงครามการค้าและภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงการแข่งขันจากสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาในประเทศไทย จึงต้องออกมาตรการทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการและแก้ไขปัญหาหนี้ พร้อมเปิดทางเข้าถึงแหล่งทุน และขอย้ำว่ารัฐบาลจะไม่ปล่อยให้มีการสวมสิทธิเอสเอ็มอี มาหาประโยชน์จากมาตรการแต้มต่อที่จะใช้ประเทศไทยเป็นฐานการส่งออก

ขณะที่นโยบายเก่าของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม จะถูกสานต่อ โดยเฉพาะยุทธศาสตร์การผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และแนวทางทำสุดซอยจากทีมสุดซอย เพราะได้มีการวางรากฐานไว้แล้ว

"ระยะเวลา 120 วัน อุตสาหกรรมไทยต้องดีขึ้น โดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่ต้องเข้าถึงแหล่งทุนได้จริง ส่วนโรงงานอุตสาหกรรมที่ดีก็จะสนับสนุนให้เดินต่อไป แต่โรงงานที่ผิดกฎหมายต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด"

จ่าเอก ยศสิงห์ เหลี่ยมเลิศ รมช.อุตสาหกรรม กล่าวว่า จะเน้นลงพื้นที่เพื่อดูแลนิคมอุตสาหกรรม เพื่อป้องกันไม่ให้สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในชุมชน โดยจะกำชับให้หัวหน้าสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ ต้องร่วมมือกับองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประชาชนในพื้นที่ที่มีโรงงานอุตสาหกรรมที่เสี่ยงต่อมลภาวะ ต้องมีการตรวจสอบการทำงานของโรงงานอุตสาหกรรมอย่างเข้มข้น เป็นการป้องกันปัญหาล่วงหน้า

SME D Bank ผนึกกำลัง NT อัปเกรดประสิทธิภาพงานบริการ หนุนเอสเอ็มอีเพิ่มศักยภาพก้าวทันโลกธุรกิจยุคดิจิทัล 

2 หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ “SME D Bank” กับ “NT” ลงนามความร่วมมือยกระดับพัฒนาระบบการสื่อสารโทรคมนาคม ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพมอบบริการได้อย่างครบวงจร สะดวก และรวดเร็ว อีกทั้ง สนับสนุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเพิ่มศักยภาพด้านเทคโนโลยีสื่อสาร ผ่านการเติมทักษะ และเติมทุนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3%ต่อปี คงที่ 3 ปีแรก พร้อมก้าวทันการดำเนินธุรกิจในโลกยุคปัจจุบันและอนาคต   

ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank โดย นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ และ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT โดย พันเอก สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) “โครงการความร่วมมือเพื่อพัฒนาการให้บริการระบบสื่อสารโทรคมนาคมและบริการอื่นๆ”    

วันที่ 10 กันยายน 2568 นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือครั้งนี้ เป็นการบูรณาการนำจุดเด่นของ 2 หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ มาร่วมกันยกระดับพัฒนาเทคโนโลยีระบบสื่อสารโทรคมนาคมและระบบดิจิทัลของธนาคาร เพิ่มศักยภาพการให้บริการแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้อย่างครบวงจร  สะดวก รวดเร็ว และทันต่อสถานการณ์ รวมถึง สนับสนุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เข้าถึงเทคโนโลยีการสื่อสารที่ทันสมัย  มีคุณภาพ ต้นทุนประหยัด ช่วยสร้างประโยชน์ให้พร้อมต่อการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดทั้งในยุคปัจจุบันและอนาคต 

สำหรับแนวทางความร่วมมือประกอบด้วย การพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศให้มีทักษะ ความเชี่ยวชาญ และมีศักยภาพเพิ่มขึ้น  จัดกิจกรรมส่งเสริมความรู้ให้ลูกค้าธนาคาร ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี  ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมการสื่อสารในการบริหารจัดการองค์กรและขยายธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึง ได้รับสิทธิพิเศษในการสนับสนุนการใช้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ตลอดจนเทคโนโลยีดิจิทัล และนวัตกรรม  เพื่อรองรับการใช้งานระบบเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร นอกจากนั้น สมาชิก NT ที่สมัครเป็นสมาชิกแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank ได้รับสิทธิการเข้าร่วมโครงการพัฒนา   บริการที่ปรึกษาแนะนำการดำเนินธุรกิจ รวมถึง รับ  500 Points นำไปใช้แลกสิทธิประโยชน์การใช้เครื่องมือต่าง ๆ ในแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank  

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ต้องการเงินทุน เพื่อลงทุน ยกระดับ ปรับปรุงด้านระบบเทคโนโลยีต่างๆ หรือเสริมสภาพคล่องหมุนเวียนในธุรกิจ  SME D Bank พร้อมสนับสนุนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ  ผ่านโครงการสินเชื่อตามนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA) มีจุดเด่นอัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3% ต่อปี คงที่ตลอด 3 ปีแรก ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ปลอดชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 12 เดือน   ควบคู่กับมอบบริการด้าน “การพัฒนา” ครบวงจร ผ่านแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank (dx.smebank.co.th)  ซึ่งจะช่วยผู้ประกอบการยกระดับธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และเดินหน้ากิจการสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน

พันเอก สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT กล่าวว่า NT ต้องขอขอบคุณ SME D Bank ที่ให้ความไว้วางใจ NT ในการที่จะร่วมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อสารโทรคมนาคมสู่ยุคดิจิทัลและ AI เพื่อเพิ่มศักยภาพขององค์กร และบุคลากร เสริมจุดแข็งด้านคุณภาพและทักษะความเชี่ยวชาญควบคู่ไปกับการสร้างความรวดเร็วคล่องตัวในการดำเนินงานด้วย Big Data ซึ่งเป็นปัจจัยที่จำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในอนาคต รวมถึงเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ลูกค้าผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของ SME D Bank ให้สามารถพัฒนาปรับเปลี่ยนไปสู่ Digital Transformation เพื่อยกระดับธุรกิจด้วยการดำเนินงานที่ใช้งานนวัตกรรมดิจิทัลเป็นพื้นฐาน ต่อยอดด้วยการใช้งานเทคโนโลยีด้าน AI  ในการเพิ่มศักยภาพของการประกอบธุรกิจ และขยายขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดให้สามารถเดินหน้ารองรับการเติบโตและการเข้ามาลงทุนในอนาคตของอุตสาหกรรมใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงต่อไป ซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานภาครัฐร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรมและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศได้อย่างยั่งยืน

ความร่วมมือระหว่าง  NT และ SME D Bank จะมีความร่วมมือในการทดลองและพัฒนาการให้บริการระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสารโทรคมนาคม บริการดิจิทัล และบริการอื่นๆ  รวมถึง เพื่อร่วมกันหาแนวทางในการดำเนินธุรกิจและกิจกรรมทางการตลาดร่วมกัน โดยร่วมมือในการพัฒนาปรับปรุงเครือข่ายสื่อสาร และให้บริการแก่ SME D Bank ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ให้สามารถติดต่อสื่อสารได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด ส่งเสริมและการพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศให้มีทักษะความเชี่ยวชาญ และมีศักยภาพเพิ่มขึ้นด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย  ส่งเสริมการใช้งานทรัพยากรพื้นฐานขององค์กรร่วมกัน (Resource Sharing) เพื่อประโยชน์สูงสุดของทั้งสองฝ่าย  และร่วมสนับสนุนแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันเพื่อแสวงหาโอกาสทางการตลาด  ตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีแบบครบวงจร พร้อมทั้งยกระดับในการให้บริการ  โดย NT  จัดให้มีบริการสื่อสารโทรคมนาคมที่เกี่ยวข้องให้กับ SME D Bank หรือลูกค้าของ  SME D Bank  ด้วยการให้บริการสื่อสารทางสายและไร้สาย  บริการระบบโทรศัพท์ บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง บริการสื่อสารข้อมูล บริการสื่อสารผ่านดาวเทียม เป็นต้น รวมถึง การจัดให้มีบริการเทคโนโลยีดิจิทัลทางด้าน Application Software, Multimedia Conference, CCTV, Data Center และ Digital Solution Platform อันได้แก่ บริการ Ultimate Connect (AI Voice Bot), บริการ Bingsu (AI Chat Bot),  บริการ Cyber Security และบริการระบบขายและบัญชี AccCloud เป็นต้น เพื่อทดลองใช้เป็นเครื่องมือให้ SME D Bank และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และขยายตลาดโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลต่อยอดด้วย Big Data และ AI ที่เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยสร้างสมดุลระหว่างความเร็ว ความแม่นยำในการตัดสินใจ ทั้งเป็นปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จในยุคดิจิทัลและ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป

SME D Bank ดีเดย์ 8 ก.ย. บุกถิ่นเอสเอ็มอีไทย ปูพรมเสิร์ฟสินเชื่อดบ.ต่ำ 3% ต่อปี

SME D Bank เดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจเต็มสูบ ดีเดย์ 8 ก.ย. 68 ลุยโครงการ “SME D ให้ใจ ไปถึงถิ่น” ครั้งที่ 2 สะบัดธงส่งทีมงานทั้งส่วนกลางและภูมิภาค กระจายปูพรมลงพื้นที่มอบบริการ “พัฒนาคู่เติมทุน” สนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยพร้อมกันทั่วประเทศ ณ สถานประกอบการ แหล่งการค้า และย่านเศรษฐกิจสำคัญ มุ่งอำนวยความสะดวก อุ้มถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำเพียง 3% ต่อปี และช่วยพัฒนายกระดับเพิ่มศักยภาพธุรกิจอย่างใกล้ชิดและรวดเร็ว

วันที่ 4 กันยายน 2568 นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า จากที่ SME D Bank  ได้ริเริ่มโครงการ “SME D ให้ใจ ไปถึงถิ่น” เมื่อเดือนมิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ด้วยการ ระดมทีมงาน ทั้งผู้บริหาร เจ้าหน้าที่สาขา และหน่วยสนับสนุน ลงพื้นที่พร้อมกันทั่วประเทศ เพื่อไปมอบบริการด้านการเงินและการพัฒนาแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ถึงสถานประกอบการ แหล่งการค้า และย่านเศรษฐกิจสำคัญต่างๆ  ซึ่งได้ผลตอบรับอย่างดียิ่ง สามารถสนับสนุนผู้ประกอบการเข้าถึงการช่วยเหลืออย่างรวดเร็วและทันท่วงที   ดังนั้น ธนาคาร สานต่อความสำเร็จ จัดโครงการ “SME D ให้ใจ ไปถึงถิ่น” ครั้งที่ 2 ในวันที่ 8 กันยายน 2568  โดยคงรูปแบบเดิม  ด้วยการยกทัพทีมงานส่วนกลางและภูมิภาค กระจายลงพื้นที่พร้อมกันทั่วประเทศ เพื่อไปมอบบริการแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในแต่ละพื้นที่อย่างใกล้ชิดและทั่วถึงมากที่สุด โดยในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เช่น ตลาดยิ่งเจริญ ตลาดคุณยิ้ม ตลาดถนอมมิตร ตลาดอ่อนนุช ตลาดไอยรา ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดวรจักร ตลาดเสือป่า ตลาดมีนบุรี และตลาดเยส บางพลี เป็นต้น และในส่วนภูมิภาค ตามย่านเศรษฐกิจสำคัญๆ ของแต่ละจังหวัด 

ทั้งนี้ SME D Bank ได้จัดเตรียมบริการพิเศษไปมอบให้ ได้แก่ ด้านการเงิน ผ่านโครงการสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษตามนโยบายรัฐ ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจและทุกความต้องการเอสเอ็มอีไทย จุดเด่นอัตราดอกเบี้ยต่ำเพียง 3% ต่อปี คงที่ตลอด 3% ปีแรก  ผ่อนนานสูงสุดถึง 10 ปี  และปลอดชำระเงินต้นสูงสุด 12 เดือน ประกอบด้วย 1.สินเชื่อ “SME Green Productivity” วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท  สนับสนุนผู้ประกอบการลงทุนติดตั้งระบบอุปกรณ์ โดยเฉพาะแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อช่วยลดต้นทุนค่าพลังงาน และมุ่งสู่ธุรกิจสีเขียว 2.สินเชื่อ "ปลุกพลัง SME"  วงเงินกู้สูงสุด 1.5 ล้านบาท  สำหรับผู้ประกอบการรายเล็กที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 2 ล้านบาท ช่วยต่อยอดเพิ่มสภาพคล่องในธุรกิจ และ 3.สินเชื่อ "Beyond ติดปีก SME"  วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการที่มีรายได้ต่อปีมากกว่า 2 ล้านบาทขึ้นไป  เพื่อเพิ่มศักยภาพยกระดับการดำเนินธุรกิจ  และเสริมสภาพคล่องในธุรกิจ 

นอกจากนี้ บริการด้านการพัฒนา ด้วยแพลตฟอร์ม "DX by SME D Bank" ช่วยเสริมแกร่งครบวงจร สมัครใช้บริการได้ทันที มีฟังก์ชันสำคัญ เช่น ระบบ “Business Health Check” ตรวจสุขภาพทางธุรกิจ  ระบบ E-Learning รวบรวมหลักสูตรความรู้สำคัญ ช่วยเพิ่มศักยภาพการประกอบธุรกิจ เรียนรู้ได้ด้วยตัวเองตลอด 24 ชั่วโมง ระบบ SME D Activity จองเข้าร่วมกิจกรรมเติมความรู้ได้ต่อเนื่องตลอดทั้งปี ระบบ SME D Coach มีโค้ชมืออาชีพคอยเป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำธุรกิจ  ระบบ SME D Market ช่วยขยายตลาดด้วย E-marketplace หนุนจับคู่ธุรกิจ และระบบ SME D Privilege ที่มอบสิทธิประโยชน์พิเศษมากมาย

นายพิชิต ระบุว่า ธนาคารจะจัดโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เป็นประจำทุกเดือน  ซึ่งในการลงพื้นที่ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สามารถแจ้งความประสงค์ ขอรับบริการกับพนักงานของ SME D Bank ได้ทันที โดยข้อมูลจะถูกส่งไปยังสาขาธนาคารในพื้นที่ที่ผู้ประกอบการระบุไว้ จากนั้น เจ้าหน้าที่สาขาจะติดต่อกลับ เพื่อดำเนินการตอบความต้องการต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว ซึ่งโครงการนี้จะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ สนับสนุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอียกระดับเพิ่มศักยภาพ ส่งเสริมให้เกิดการจ้างงาน สร้างอาชีพ ในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง

นอกจากโครงการดังกล่าวแล้ว ผู้ประกอบการเอสเอ็มอียังสามารถแจ้งความประสงค์รับบริการด้านการเงินและการพัฒนาจาก SME D Bank  ได้ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น สาขาของ SME D Bank ทุกแห่งทั่วประเทศ ,LINE Official Account : SME Development Bank และเว็บไซต์  www.smebank.co.th เป็นต้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357

กนง.มีมติลดดอกเบี้ยมาอยู่ที่ 1.50% ผลมาตรการภาษีของสหรัฐฯ สนับสนุนให้ SMEs ปรับตัวได้

กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ผ่อนคลายเพิ่มเติมจากผลกระทบของมาตรการภาษีสหรัฐฯ ที่ซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างและขีดความสามารถในการแข่งขัน ขณะที่ภาวะการเงินยังตึงตัว เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ

คณะกรรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) มีมติให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มาอยู่ที่ 1.50% ต่อปี ในการประชุมครั้งที่ 4/2568 โดยเป็นการลดลงครั้งที่ 3 ของปี 2568 มีสาระสำคัญดังนี้

เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้จากการประชุมครั้งก่อน โดยครึ่งปีแรกยังคงได้รับแรงหนุนจากการส่งออกกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และการเร่งส่งออกไปสหรัฐฯ  ส่งผลดีบางส่วนต่อภาคการผลิต อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2568 มีแนวโน้มชะลอลงจากผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมของมาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยเฉพาะแนวทางการจัดเก็บภาษี transshipment การลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มระยะใกล้ตามการแข่งขันในภูมิภาคที่รุนแรงขึ้น และการบริโภคที่ขยายตัวต่ำจากความเชื่อมั่นที่ลดลง

กนง. กังวลมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ซ้ำเติมปัญหาความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทย โดยเฉพาะ SMEs

โดยเศรษฐกิจบางภาคส่วนมีความเปราะบางมากขึ้นโดยเฉพาะ SMEs ที่มีบทบาทต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ลดลงหลัง COVID-19 ทั้งภาคบริการและภาคการผลิต SMEs ซึ่ง กนง. คาดว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเพิ่มเติมจะช่วยให้ภาวะการเงินเอื้อต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจและช่วยบรรเทาภาระของกลุ่มเปราะบางให้สามารถรับมือกับระเบียบการค้าใหม่ของโลกและความท้าทายที่ซับซ้อนในระยะข้างหน้า

ภาวะการเงินของไทยยังคงมีความตึงตัว สะท้อนจากสินเชื่อที่ยังอยู่ในช่วง deleveraging โดยเฉพาะสินเชื่อ SMEs และครัวเรือนกลุ่มรายได้ต่ำ จากความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูง ประกอบกับการชำระคืนหนี้ที่เพิ่มขึ้นและความต้องการสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ที่ปรับลดลงจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน

ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไป กนง. ประเมินว่ายังมีแนวโน้มต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมาย จากปัจจัยด้านอุปทานเป็นหลัก โดยราคาอาหารสดปรับลดลงจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นตามสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย และราคาหมวดพลังงานที่โน้มลงตามราคาน้ำมันดิบโลก โดยระยะข้างหน้าราคาอาหารสดและพลังงาน ซึ่งมีสัดส่วน 30% ของตะกร้าสินค้า มีแนวโน้มปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี กนง. มองว่าปัจจุบันยังไม่มีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเงินฝืด เนื่องจากราคาสินค้าและบริการไม่ได้ลดลงเป็นวงกว้าง อีกทั้ง อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) มีแนวโน้มทรงตัว โดยเงินเฟ้อที่ต่ำบางส่วนช่วยบรรเทาผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนและต้นทุนของธุรกิจ

Krungthai COMPASS คาดว่า กนง. อาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมสู่ระดับ 1.25% เพื่อบรรเทาผลกระทบจากข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลอย่างเต็มที่ในช่วงปี 2569 โดยเฉพาะภาษี transshipment ที่ปัจจุบันยังไม่มีแนวทางดำเนินการที่ชัดเจน โดย Krungthai COMPASS คาดว่า GDP ปี 2568 จะขยายตัวที่ 2% นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกยังคงมีความเสี่ยงหลังหลายประเทศยังต้องประเมินผลกระทบจากข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ อีกทั้ง ผลกระทบของการขึ้นภาษีต่อเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่อาจกลับมาเร่งตัวขึ้น ซึ่งจะกระทบต่ออุปสงค์โลก ท่ามกลางความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical risk ) ซึ่งคาดการณ์ได้ยาก จึงเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในการประคับประคองเศรษฐกิจ เพื่อเร่งปรับตัวรับกับความท้าทายครั้งสำคัญจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตและห่วงโซ่อุปทานโลก หลังกติกาการค้าโลกพลิกผันครั้งใหญ่ซึ่งจะนำไปสู่การแข่งขันรูปแบบใหม่

ในระยะข้างหน้าต้องติดตามความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน หลัง กนง. ลดดอกเบี้ย ซึ่งอาจกระทบต่อผู้ประกอบการเพิ่มเติม หลังการประกาศอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่แม้จะลดความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าและหนุนให้ดอลลาร์กลับมาแข็งค่า แต่คาดว่าหลายประเทศจะเร่งออกมาตรการบรรเทาผลกระทบ และส่งผลให้เกิดการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้น อัตราแลกเปลี่ยนจึงเป็น cushion สำคัญในการปกป้อง margin ของธุรกิจที่อยู่ในช่วงเปราะบาง

นอกจากนี้ ยังต้องติดตามมาตรการกำกับอัตราแลกเปลี่ยนที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินที่ออกจากปัจจัยพื้นฐาน อาทิ การส่งออกนำเข้าทองคำ ที่ในระยะหลังความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองคำและค่าเงินบาทปรับสูงขึ้น ประกอบกับไทยเกินดุลการชำระเงินจาก errors & omissions สูงขึ้นซึ่งอาจสะท้อน unknown activity ที่เกี่ยวกับทอง

 

SME D Bank เคียงข้างเอสเอ็มอีไทย ลดดอกเบี้ยสูงสุด 0.25% ต่อปี เสริมแกร่งผู้ประกอบการยืนหยัดได้ในทุกสถานการณ์

SME D Bank เคียงข้างเอสเอ็มอีไทย ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยสูงสุด 0.25% ต่อปี เสริมแกร่งผู้ประกอบการยืนหยัดได้ในทุกสถานการณ์
 
วันที่ 14 ส.ค.68 นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า SME D Bank เคียงข้างช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย ขานรับนโยบายธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสอดคล้องกับมติคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โดยประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท  เพื่อบรรเทาภาระต้นทุนทางการเงินให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ  ได้แก่ ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate : MRR)   จาก 7.575% ต่อปี ลดลงเหลือ 7.325% ต่อปี , ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (Minimum Overdraft Rate : MOR)   จาก 7.40% ต่อปี ลดลงเหลือ 7.20% ต่อปี และ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำ (Minimum Loan Rate : MLR)   จาก 7.25% ต่อปี เหลือ 7.10% ต่อปี มีผลตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป   

สำหรับการลดดอกเบี้ยครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 3 ในปี 2568 เพื่อเป็นการสานต่อความช่วยเหลือให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ช่วยให้ลดผลกระทบจากปัจจัยท้าทายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจ  ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ภาษีการค้า และปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ชายแดน เป็นต้น  เพื่อจะสามารถประคับประคอง  และเดินหน้าธุรกิจได้อย่างมั่นคงต่อไป

นอกจากนี้ SME D Bank ยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากไว้เช่นเดิม  เพื่อสร้างโอกาสให้หน่วยงาน องค์กร กลุ่มนิติบุคคล สถาบัน หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน เพื่อเป็นทางเลือกในการหาแหล่งฝากเงินผลตอบแทนสูง ที่มีความมั่นคงและปลอดภัยสูงสุด

นอกจากการลดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวแล้ว  SME D Bank ยังมีผลิตภัณฑ์สินเชื่อ อัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษ ไว้ช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงสินเชื่อที่มีต้นทุนต่ำ อัตราดอกเบี้ยเพียง 3% ต่อปี คงที่ตลอด 3 ปีแรก ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ครอบคลุมทุกกลุ่มและทุกความต้องการของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ช่วยให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มศักยภาพนำไปลงทุนหรือเสริมสภาพคล่องในกิจการได้เป็นอย่างดี  ผ่าน 3 โครงการสินเชื่อ ได้แก่ 1.สินเชื่อ “SME Green Productivity” วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท  2.สินเชื่อ “ปลุกพลัง SME” วงเงินกู้สูงสุด 1.5 ล้านบาท และ 3.สินเชื่อ “Beyond ติดปีก SME” วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาท 

ขณะเดียวกันยังส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีศักยภาพ ผ่านบริการด้านการ “พัฒนาคู่เติมทุน” ด้วยแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank  ที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน เดินหน้าธุรกิจได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในทุกสภาวะเศรษฐกิจ สามารถแจ้งความประสงค์ รับบริการต่างๆ  จาก SME D Bank ได้ผ่านสาขาต่าง ๆ ทั่วประเทศ หรือช่องทางออนไลน์  เช่น LINE Official Account : SME Development Bank  และ www.smebank.co.th เป็นต้น   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357

Funding Societies เร่งเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการไทย ชี้การฟื้นวงจรเศรษฐกิจในประเทศต้องเริ่มที่ SME

Funding Societies เร่งเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการไทย ชี้การฟื้นวงจรเศรษฐกิจในประเทศต้องเริ่มที่ SME

ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญต่อทิศทางเศรษฐกิจอีกครั้งในครึ่งหลังของปี พ.ศ.2568 ท่ามกลางแรงกดดันอย่างต่อเนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ยังคงซบเซา ทั้งการส่งออกที่ชะลอตัวอย่างยาวนาน ภาคการท่องเที่ยวยังไม่กลับสู่ศักยภาพเต็มที่ และสัญญาณเงินฝืดที่จะเริ่มเด่นชัดมากขึ้นหลังไตรมาส 3 เป็นต้นไป

ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) กำลังเผชิญผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งจากยอดขายที่ลดลง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ถดถอย และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินที่ยากขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ยิ่งซ้ำเติมความท้าทายที่ต้องรับมือ และในส่วนสถานการณ์ในบางพื้นที่ชายแดนแม้จะเริ่มผ่อนคลายลง แต่ความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่ เนื่องจากผลกระทบต่อเอสเอ็มอี โดยเฉพาะในจังหวัดใกล้ชายแดน ที่ยังไม่สามารถประเมินได้อย่างชัดเจน

ในเวลาเดียวกัน ผู้ประกอบการไทยยังต้องเผชิญการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงจากสินค้านำเข้าต้นทุนต่ำ ซึ่งเป็นผลจากภาวะอุปทานล้นตลาดในระดับโลก การประกาศของสหรัฐอเมริกาในการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในอัตรา 19% แม้จะช่วยลดความเสียเปรียบด้านราคาลง แต่ยังอาจไม่เพียงพอในการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าบางกลุ่มที่เคยเลือกไทยเป็นซัพพลายเออร์ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสำคัญที่ก่อนหน้านี้ได้เปรียบด้านภาษีมากกว่า เช่น อิเล็กทรอนิกส์ (เดิม 0-2%) ยานยนต์และชิ้นส่วน (เดิม 2.5%) สินค้าเกษตร (เดิม 2-5%) และ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม (เดิม 8-12%) เนื่องจากหลายรายหันไปใช้เวียดนามและอินโดนีเซียที่ก่อนหน้านี้และได้รับมาตรการจูงใจด้านภาษีภายในประเทศเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติให้ตั้งฐานการผลิตเพื่อส่งออก อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงในซัพพลายเชนทั่วโลกครั้งนี้อาจทำให้การฟื้นตัวของส่วนแบ่งตลาดไทยในตลาดสหรัฐฯ ช้ากว่าที่คาด เนื่องจากต้องใช้เวลาในการกลับเข้าตลาดและสร้างความสัมพันธ์ใหม่กับลูกค้าเดิม

ธนาคารโลกได้ปรับลดประมาณการอัตราการเติบโตของ GDP ของไทยลงเหลือเพียง 1.8% ในปี พ.ศ. 2568 และ 1.7% ในปี พ.ศ. 2569* ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนแรงกดดันเชิงโครงสร้างที่ผลักดันให้ธุรกิจไทยต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน

ในมุมมองของ Funding Societies ซึ่งเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มการเงินดิจิทัลสำหรับ SME ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นผู้ให้บริการ Non-Bank รายสำคัญในไทย ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันไม่อาจพึ่งพาแรงขับเคลื่อนจากภายนอกอย่างเดียวได้อีกต่อไป การฟื้นตัวอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องเริ่มจากภายใน โดยการฟื้นวงจรเศรษฐกิจในประเทศ และการเสริมพลังให้ผู้ประกอบการในประเทศซึ่งเป็นหัวใจหลักของการเติบโต

นายวิกาส เจน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Funding Societies ประเทศไทย กล่าว “เรามองว่าสถานการณ์ความผันผวนในครั้งนี้ คือบททดสอบความแข็งแกร่งของระบบเศรษฐกิจในประเทศ และ SME คือฟันเฟืองสำคัญที่ต้องเดินหน้าต่อไป เพราะเป็นกลไกสร้างรายได้และการจ้างงานในทุกภูมิภาค หากไม่มีการขับเคลื่อนของ SME เศรษฐกิจไทยย่อมไม่อาจฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์”

ภายใต้แรงกดดันจากภายนอก ผู้ประกอบการไทยยังเผชิญข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่นอกกระแสหลักหรือไม่มีหลักประกัน ทำให้การดำเนินธุรกิจต่อเนื่องเป็นไปได้ยากยิ่ง

อย่างไรก็ตาม Funding Societies ยังคงยืนหยัดในการสนับสนุนผู้ประกอบการไทย ด้วยการเสนอทางเลือกทางการเงินที่เข้าถึงได้จริง และออกแบบให้เหมาะกับสภาพธุรกิจของ SME โดยพิจารณาจากผลประกอบการจริงและศักยภาพการเติบโต แทนที่จะใช้เกณฑ์แบบเดิมที่ตัดสินจากหลักทรัพย์ค้ำประกันเท่านั้น ทำให้ผู้ให้บริการสินเชื่อดิจิทัล Non-Bank กลายเป็น “กลไกเสริมสภาพคล่อง” สำคัญของระบบเศรษฐกิจในยามที่ตลาดต้องการมากที่สุด

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 Funding Societies ยังคงมีการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการเงินทุนหมุนเวียนในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น บริษัทคาดการณ์ว่าปริมาณการปล่อยสินเชื่อในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 จะเติบโตมากกว่า 30% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา พร้อมเตรียมอัดฉีดเงินทุนเพิ่มเติมเพื่อรองรับความต้องการของ SME ในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ การผลิต ค้าส่ง ค้าปลีก เทคโนโลยี สาธารณสุข และบริการทั่วไป

จนถึงปัจจุบัน Funding Societies ได้ปล่อยสินเชื่อแก่ SME ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปแล้วกว่า 157,000 ล้านบาท และยังคงมุ่งขยายธุรกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืน
โดยรูปแบบสินเชื่อของ Funding Societies ที่ให้บริการครอบคลุมตั้งแต่ สินเชื่อระยะสั้นเพื่อธุรกิจ ซึ่งช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับธุรกิจในช่วงเวลาจำเป็น, สินเชื่อหมุนเวียนจากลูกหนี้การค้า และ สินเชื่อใบสั่งซื้อ สำหรับผู้ประกอบการที่รอรับชำระจากลูกค้าหรือมีคำสั่งซื้อในมือ ไปจนถึง สินเชื่อธุรกิจโครงการ ที่รองรับกิจการที่มีสัญญางานภาครัฐฯ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งกลไลสินเชื่อเหล่านี้ช่วยตอบโจทย์ผู้ประกอบการในแต่ละช่วงวงจรธุรกิจ โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน ผ่านการพิจารณาจากศักยภาพของธุรกิจเป็นหลัก มีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ทำผ่านช่องทางออนไลน์ โดยไม่ต้องมาที่สาขา 

“การให้สินเชื่อในช่วงเวลาที่ SME ต้องการมากที่สุด ก็เปรียบเสมือนการส่งออกซิเจนให้ธุรกิจได้หายใจในยามที่จำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่สถาบันการเงินเริ่มระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มที่อยู่นอกกระแสหรือไม่มีหลักประกัน” นายวิกาส เสริม

การมีบทบาทของผู้ให้บริการสินเชื่อดิจิทัล Non-Bank อย่าง Funding Societies จึงไม่ใช่เพียง “แหล่งเงินทุนทางเลือก” แต่เป็น “กลไกเสริมสภาพคล่อง” ให้กับภาคธุรกิจในเวลาที่ระบบเศรษฐกิจต้องการมากที่สุด โดยขับเคลื่อนด้วยมุมมองใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความเข้าใจผู้ประกอบการ มากกว่าการยึดติดกับสูตรสำเร็จหรือกรอบเดิมของระบบการเงินในอดีต ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://fundingsocieties.co.th/

*ในประเทศไทย Funding Societies ดำเนินธุรกิจ 2 ส่วนที่ต่างกันคือ FS Siam Co., Ltd. เป็นผู้ให้บริการระบบคราวด์ฟันดิงที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และ FS Capital Co., Ltd. เชี่ยวชาญในการให้กู้ยืมโดยตรงแก่ธุรกิจขนาดเล็ก โครงสร้างนี้ช่วยให้ Funding Societies สามารถตอบสนองความต้องการทางการเงินที่หลากหลายภายในภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

* ข้อมูลอ้างอิง  https://www.reuters.com/world/asia-pacific/hold-world-bank-cuts-thailand...

#FundingSocieties #ผู้ประกอบการไทย #เอสเอ็มอี #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #เงินทุน

 

 

“PHUKET HARMONY SMEs FAIR” เปิดม่านแล้ว! ประชาชนแห่ร่วมงานคึกคัก สนับสนุนสินค้าท้องถิ่นกว่า 300 ร้านค้า

“PHUKET HARMONY SMEs FAIR” เปิดม่านแล้ว! ประชาชนแห่ร่วมงานคึกคัก สนับสนุนสินค้าท้องถิ่นกว่า 300 ร้านค้า มหกรรมรวมพลัง SMEs สู่เวทีสร้างสรรค์เศรษฐกิจภูเก็ต

วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ณ สวนสาธารณะสะพานหิน จังหวัดภูเก็ต บรรยากาศงาน “PHUKET HARMONY SMEs FAIR” เต็มไปด้วยความคึกคักตั้งแต่ช่วงเช้า โดยมีประชาชนจากทั้งในจังหวัดและนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก เพื่อสัมผัสกับประสบการณ์การช้อป-ชิม-เชื่อมธุรกิจที่ไม่เหมือนใคร ท่ามกลางร้านค้ากว่า 300 ร้าน ทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค อาหารพื้นเมือง ผลไม้สด อาหารทะเล และผลิตภัณฑ์ชุมชนที่สะท้อนเอกลักษณ์ของภูเก็ต โดยมีในพิธีเปิดงานมี มี โสภณ สุวรรณรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต, วรนิษฐ์ อภิรัฐจิรวงษ์ พาณิชย์จังหวัดภูเก็ต, ธนูศักดิ์ พึ่งเดช ประธานหอการค้ากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน, ก้องศักดิ์ คู่พงศกร ประธานหอการค้าจังหวัดภูเก็ต, เชิญพร กาญจนสายะ ประธานสภาอุตสาหกรรมกลุ่มจังหวัดภาคใต้อันดามัน, มนต์ทวี หงษ์หยก ประธานสภาอุตสาหกรรม จังหวัดภูเก็ต และผู้ประกอบการมาร่วมงาน 

นายโสภณ สุวรรณรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ได้ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการ พร้อมกล่าวว่า “งานนี้คือเวทีของโอกาสและความสุข ที่ผู้ประกอบการท้องถิ่นจะได้แสดงศักยภาพ และประชาชนจะได้สัมผัสวัฒนธรรมการค้าและนวัตกรรมอย่างใกล้ชิด ถือเป็นการเริ่มต้นบทใหม่ของเศรษฐกิจภูเก็ตที่เน้นความยั่งยืนและครอบคลุมทุกมิติ”

นอกจากนี้ยังมีการเปิดโซน เมืองท่องเที่ยวเชิงอาหารสร้างสรรค์ระดับโลก รวบรวมอาหารแปรรูป สินค้าเกษตร GI และนวัตกรรมสร้างสรรค์ อาทิ เครื่องหอมจากเปลือกสับปะรด ผ้ามัดย้อมจากดอกไม้พื้นเมือง และอาหารฮาลาลสุดสร้างสรรค์ งานนี้ถือได้ว่ารวบรวมของดีในภูเก็ตมาให้ประชาชนได้ช้อป ชิม ใช้ รวมถึงสินค้าราคาพิเศษมากมาย อาทิ ไข่ไก่ราคาพิเศษ จากทวีภัณฑ์ภูเก็ต และน้ำมันพืชรินทิพย์ รวมถึงกิจกรรมกระตุ้นการจับจ่ายตลอดทั้งงาน นอกจากนี้ภายในงานยังมีกิจกรรมโชว์บนเวทีอีกมากมายตลอดทั้งวัน รวมทั้งกิจกรรม Business Matching ที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้เจรจาธุรกิจกับบริษัทชั้นนำ คาดว่าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 20 ล้านบาท

นางสาววรนิษฐ์ อภิรัฐจิรวงษ์ พาณิชย์จังหวัดภูเก็ต กล่าวถึงความสำเร็จของวันแรกว่า “กระแสตอบรับดีมาก ผู้ประกอบการมีโอกาสนำเสนอสินค้าคุณภาพอย่างเต็มที่ และยังมีนักธุรกิจจากต่างจังหวัดเข้าร่วมเจรจาธุรกิจแล้วหลายราย นับเป็นก้าวสำคัญของการส่งเสริมเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค งานนี้จึงนับเป็นบทพิสูจน์ว่า “ภูเก็ต” พร้อมเดินหน้าสู่อนาคตด้วยเศรษฐกิจสร้างสรรค์ตามแนวทาง BCG และยุทธศาสตร์ Smart SMEs อย่างแท้จริง พร้อมเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความสุขให้กับคนภูเก็ตอย่างยั่งยืน โดยคาดการณ์ว่ายอดจากการจัดงานในครั้งนี้จะสร้างรายได้ประมาณ 30 ล้านบาท

งาน “PHUKET HARMONY SMEs FAIR” จะจัดไปจนถึงวันที่ 3 สิงหาคมนี้ ตั้งแต่เวลา 10.00-22.00 น. ณ ปลายแหลมสะพานหิน จังหวัดภูเก็ต ผู้ที่สนใจสามารถร่วมกิจกรรม ช้อปสินค้าคุณภาพ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับภูเก็ตสู่เมืองแห่ง Smart SMEs อย่างแท้จริง!

#PhuketHarmonySMEsFair #ผนึกกำลังเพื่อเศรษฐกิจยั่งยืน #ของดีภูเก็ตยั่งยืน #PetFriendly

ปลัดฯณัฐพล เผยผลสำเร็จกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ติดปีกผู้ประกอบการไทยสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

ปลัดฯณัฐพล เผยผลสำเร็จกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ติดปีกผู้ประกอบการไทยสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

วันที่ 14 ก.ค.68 นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงอุตสาหกรรม ยินดีที่เป็นหนึ่งในกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ด้วยการสนับสนุนทางการเงินและองค์ความรู้แก่ผู้ประกอบการ SME ทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและเติบโตอย่างยั่งยืน โดยผลความสำเร็จที่วัดได้ด้วยการตอบรับที่ดีจากผู้ประกอบการที่เป็นลูกค้าของกองทุนฯ และนำเงินทุนที่ได้ไปต่อยอดให้ธุรกิจดำเนินไปได้ และมีทิศทางเติบโตในอนาคต

โดยหนึ่งในตัวแทนผู้ประกอบการไทยที่ได้เป็นลูกค้าของกองทุนเปิดเผยถึงประสบการณ์การเข้าร่วมโครงการฯ ที่ได้รับการสนับสนุนทั้งเงินทุน และเสริมสร้างเป็นโอกาสเรียนรู้การจัดการธุรกิจด้วยมุมมองใหม่ คือ นายวิธิชัย ตัณฑพฤกษ์ กรรมการผู้จัดการ เจ้าของและผู้ก่อตั้งแบรนด์ K Garden Fence ซึ่งดำเนินธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายรั้วตาข่ายคุณภาพสูงด้วยเทคโนโลยีจากออสเตรเลีย ได้แบ่งปันประสบการณ์ว่า จุดเริ่มต้นของธุรกิจมาจากการแก้ปัญหาที่พบเจอในการทำฟาร์มของตนเอง ทำให้เกิดการพัฒนาระบบรั้วที่ทนทาน ใช้งานได้นานถึง 40 ปี ช่วยประหยัดต้นทุนระยะยาวให้เกษตรกร ซึ่งสินค้าของ K Garden Fence มีจุดเด่นด้านความทนทานต่อทุกสภาพอากาศ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่เป็นสนิม และได้รับมาตรฐาน มอก.อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ยังมีการต่อยอดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆเช่น เสาเข็มเหล็ก และ พัดลมอุตสาหกรรมประหยัดพลังงาน พร้อมบริการหลังการขายครบวงจร อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญที่ K Garden Fence เผชิญคือ กำลังการผลิตไม่เพียงพอ และขาดแคลนเครื่องจักร
ที่ทันสมัย รวมถึงเงินทุนในการลงทุนต่อยอด ทำให้ไม่สามารถขยายตลาดได้ตามที่วางแผนไว้

"ตอนนั้นเรารู้สึกเหมือนธุรกิจถูกเบรก ทั้งที่ความต้องการของลูกค้ากำลังมาแรง และทางบริษัทฯ ได้เล็งเห็นโอกาสจากโครงการ "โตไว ไทยยั่งยืน" จึงตัดสินใจสมัครเข้าร่วมทันที โดยได้รับสินเชื่อเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่มูลค่า 2.8 ล้านบาท ซึ่งช่วยเพิ่มกำลังการผลิตได้อย่างชัดเจน และต่อยอดด้วย "โครงการสินเชื่อเพื่อเพิ่มขีดความสามารถธุรกิจ” หรือ “โครงการเสือติดปีก" อีก 10 ล้านบาท สำหรับลงทุนเครื่องจักรในสายการผลิตพัดลมอุตสาหกรรม ทำให้ K Garden Fence สามารถเปิดตลาดใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มโรงงานและฟาร์มที่ต้องการพัดลมประหยัดพลังงาน ส่งผลให้ ยอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 30% และในวันนี้ K Garden Fence ยังคงมีแผนพัฒนา มอเตอร์พัดลมรุ่นใหม่ระดับโลก ที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น โดยเชื่อมั่นว่าจะเติบโตได้อีกไกลด้วยการสนับสนุนจากภาครัฐ" นายวิธิชัย กล่าว

ขณะที่อีกหนึ่งความสำเร็จของผู้ประกอบการไทย คือ Butterfly Organic ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคภายใต้แนวคิด ธรรมชาติสร้างสุขภาพ สินค้าหลักคือนมโคแท้ออร์แกนิค โยเกิร์ตออร์แกนิค และเครื่องดื่มน้ำนมจากพืช โดยทุกผลิตภัณฑ์ใช้วัตถุดิบธรรมชาติ 100% ไม่แต่งกลิ่น ไม่ใส่สารควบแน่น และผ่านมาตรฐานสากล และเป็นบริษัทแรกในอาเซียนที่ได้รับการรับรอง USDA Organic จากสหรัฐอเมริกา รวมถึงมาตรฐาน GHPs, HACCP และฮาลาล

นายเอนก ปิ่นวนิชย์กุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ก่อตั้ง Butterfly Organic กล่าวว่า แม้จะให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินค้าออร์แกนิกมาก แต่ความท้าทายหลักคือ การบริหารจัดการภายในโรงงานที่ยังเป็นระบบเดิมที่ใช้แรงงานคน ทำให้การผลิตใช้เวลานาน ต้นทุนในการบริหารจัดการสินค้าสูง และไม่สามารถตอบรับกับคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นได้ทัน และยังมีต้องการเสริมสภาพคล่อง เพื่อให้กิจการเดินหน้าและพร้อมลงทุนในช่วงจังหวะสำคัญ ทาง Butterfly Organic จึงเข้าร่วมทั้ง โครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่องธุรกิจ (คงกระพัน) และ โครงการพัฒนาธุรกิจด้วยดิจิทัล (Digital Transformation) จากโครงการคงกระพัน ได้รับสินเชื่อ 5 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่อง และจากโครงการพัฒนาธุรกิจด้วยดิจิทัล ได้รับการสนับสนุนจากทีมผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ระบบภายในและจัดทำแผนพัฒนาโรงงานให้เป็นกึ่งอัตโนมัติ รวมถึงวางระบบคลังสินค้าใหม่

“โครงการนี้ไม่ได้ให้แค่เงินทุน แต่ให้ระบบที่ SME ต้องมีจริงๆ ให้โอกาสเราได้เรียนรู้การจัดการธุรกิจด้วยมุมมองใหม่ ซึ่งการลงทุนในระบบ ERP ทำให้การตัดสินใจมีข้อมูลแม่นยำ ลดของเสีย เพิ่มประสิทธิภาพ และวางแผนการผลิตล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ ส่งผลให้ธุรกิจเติบโตอย่างเป็นระบบ ปัจจุบัน Butterfly Organic มีแผนขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศในแถบเอเชียและตะวันออกกลาง รวมถึงเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับเด็กและผู้สูงอายุ โดยมั่นใจว่าพื้นฐานจากโครงการของกองทุนฯ จะทำให้พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกของไทยในระดับสากล" นายเอนกกล่าว

โดยเร็วๆนี้ กองทุนฯ เตรียมโครงการส่งเสริมและพัฒนา SMEs จำนวน 4 โครงการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในด้านต่างๆ ได้แก่
• โครงการเสริมแกร่งการเงิน เพิ่มทุนหนุนธุรกิจ (สุขใจ): เน้น Financial Literacy และการเข้าถึงแหล่งทุน
• โครงการยกระดับธุรกิจเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน (เปิดใจ): เน้น Digital และ BCG ในอุตสาหกรรมศักยภาพ
• โครงการพัฒนาฮาลาลไทย รับรองได้ ขายส่งออกชัวร์ (มั่นใจ): เน้นมาตรฐานฮาลาลและการขยายตลาดส่งออก
• โครงการพลิกชีวิต ฟื้นธุรกิจ ปรับหนี้ให้อยู่รอด (สู้สุดใจ): มุ่งช่วยเหลือลูกหนี้กองทุนที่ประสบปัญหาหนี้สินให้ฟื้นฟูและกลับมาดำเนินธุรกิจได้

ทั้งนี้ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถเข้าร่วมโครงการเหล่านี้ โดยจะได้รับการบ่มเพาะและพัฒนาศักยภาพธุรกิจจากสถาบัน เครือข่ายกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งจะเริ่มดำเนินการเปิดรับสมัครตั้งเเต่วันที่ 14 กรกฎาคม 2568 -15 สิงหาคม 2568 รับจำนวนจำกัด สมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่ https://i.industry.go.th หรือ www.thaismefund.com หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่สำนักงานกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ

#SMEs #กองทุนประชารัฐ #ธุรกิจไทย #การพัฒนาเอสเอ็มอี #ธุรกิจออร์แกนิก #KGardenFence #ButterflyOrganic #การเงินเพื่อธุรกิจ #พัฒนาเอสเอ็มอี #เศรษฐกิจไทย #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

SME D Bank เดินหน้าโครงการ ‘Acceleration Program Road to LiVE 2025’ ปั้นเอสเอ็มอีสู่ตลาดหลักทรัพย์ จุดพลัง ศก.ไทย

SME D Bank ร่วมกับ Deloitte Thailand เดินหน้าสานต่อโครงการ “Acceleration Program – Road to LiVE 2025” ปั้นธุรกิจเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพ เข้าสู่กระบวนการบ่มเพาะธุรกิจเข้มข้น เตรียมความพร้อม เข้าสู่ตลาดทุนไทย ดันเป็นหัวหอกขับเคลื่อนและผลักดันเศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน  

นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า ธนาคารมุ่งมั่นพันธกิจการเป็นสถาบันการเงินของรัฐเพื่อการพัฒนาเอสเอ็มอีสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน โดยหนึ่งในพันธกิจที่สำคัญ คือ การพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยที่มีศักยภาพให้ได้รับการยกระดับ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ และต่อยอดเอสเอ็มอีเข้าสู่ตลาดทุน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) หรือ ตลาดหลักทรัพย์ LiVE Exchange (LiVEx) สร้างการเติบโตสู่การเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่เข้มแข็งในอนาคต อันจะเป็นกำลังสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนและผลักดันระบบเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป ดังนั้น  SME D Bank ร่วมกับ บริษัท ดีลอยท์ ทู้ช โธมัทสุ ไชยยศ สอบบัญชี จำกัด (Deloitte Thailand) บริษัทตรวจสอบบัญชีชั้นนำ โดยผ่านการสนับสนุนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดตัวโครงการ “Acceleration Program – Road to LiVE 2025” มีวัตถุประสงค์เตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพให้มีความรู้และเข้าใจกลไกระดมทุนในตลาดทุน และมีมาตรฐานระดับสากลพร้อมเข้าสู่ตลาดทุนต่อไป

สำหรับโครงการ Acceleration Program – Road to LiVE 2025 มีกิจการที่ผ่านการคัดเลือกเข้ารับการบ่มเพาะพัฒนาธุรกิจในรอบสุดท้าย จำนวน 24 กิจการ กำหนดการพัฒนาเชิงลึก 4 รูปแบบ ในระยะเวลาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2568 ไปจนถึงเดือนธันวาคม 2568 ได้แก่ การอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) การให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ (Coaching) การสร้างเครือข่ายต่อยอดธุรกิจ (Networking) และจำลองการนำเสนอต่อนักลงทุนตัวจริง (Pitching)  พร้อมรับเงินทุนสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF)

ทั้งนี้ ธนาคารดำเนินโครงการดังกล่าว มาต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 (2566-2568) มีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีผ่านการอบรมแล้ว ปี 2566 จำนวน 22 กิจการ , ปี 2567 จำนวน 21 กิจการ และล่าสุดในปี 2568 มีผู้เข้าร่วมอบรมเพิ่มอีกจำนวน 24 กิจการ
 
นายพิชิต กล่าวเสริมว่า โครงการดังกล่าว สอดคล้องกับการสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพต่อยอดสู่ตลาดทุนของธนาคาร ผ่านกระบวนการร่วมลงทุน ด้วยกองทุนย่อยที่ 1 ที่มุ่งเน้นธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีนวัตกรรม และเอสเอ็มอีในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและสินค้าเกษตรแปรรูป และกองทุนย่อยที่ 2 มุ่งเน้นเอสเอ็มอีขนาดกลางที่มีศักยภาพ ทั้งนี้ SME D Bank ร่วมลงทุนกับกิจการต่าง ๆ  นับถึงเดือน 30 มิถุนายน 2568 จำนวน 51 กิจการ วงเงินมากกว่า 1,700 ล้านบาท สามารถช่วยผลักดันเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์สำเร็จไปแล้ว 6 กิจการ แบ่งเป็น SET จำนวน 1 กิจการ  mai  จำนวน 3 กิจการ และ LiVEx จำนวน 2 ราย   

 

 

เอสเอ็มอี! คึกคัก “บสย.” อัดฉีด 5,000 ล้าน ค้ำสินเชื่อ "SMEs" กลุ่มเปราะบาง-รายย่อย

เอสเอ็มอี..คึกคักหลังรัฐบาลโดย บสย. อัดฉีด 5,000 ล้าน ค้ำสินเชื่อ “SMEs เปราะบาง-รายย่อย” เพิ่มโอกาส เข้าถึงทุน เสริมสภาพคล่องธุรกิจ

วันนี้ (28 มิถุนายน 2568) นางสาว ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จัดสรรวงเงินค้ำประกันเพิ่มเติมภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS11 “บสย. SMEs ยั่งยืน” อีก 5,000 ล้านบาท  ภายใต้มาตรการ บสย. พร้อมค้ำกับ 2 ผลิตภัณฑ์ค้ำประกันสินเชื่อใหม่ เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง SMEs รายย่อย และผู้ส่งออก ที่ขาดคนค้ำประกันและหลักทรัพย์ค้ำประกัน

สำหรับผลิตภัณฑ์ค้ำประกัน ประกอบด้วย 1.ผลิตภัณฑ์ค้ำประกันภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Power Trade & Biz วงเงินค้ำประกัน 3,000 ล้านบาท ค้ำประกันต่อราย 500,000 – 10,000,000 บาท ตอบโจทย์กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า และซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้อง และ 2.ผลิตภัณฑ์ค้ำประกันภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Micro Biz วงเงินค้ำประกัน 2,000 ล้านบาท ค้ำประกันต่อราย 10,000 – 500,000 บาท ตอบโจทย์กลุ่มรายย่อย (Micro SMEs) พ่อค้า แม่ค้า ค้าขายออนไลน์ อาชีพอิสระ ฯลฯ ที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียน และขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งเป็น “กลุ่มเปราะบาง” ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ

นางสาวศศิกานต์กล่าวต่อว่า จุดเด่นของ 2 โครงการ คือค่าธรรมเนียมต่ำ 1.5% ต่อปี ฟรี! ค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 3 ปีแรก โดยค้ำประกันสูงสุด 7 ปี เป็นมาตรการพิเศษที่มุ่งเน้นการค้ำประกันสินเชื่อ เพื่อช่วยกระตุ้นให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อในรายที่ต้องการสภาพคล่องเพิ่มเติม แต่ขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน ด้วยการจ่ายเคลม (จ่ายค่าประกันชดเชย) ในอัตราสูง

ทั้งนี้ โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Power Trade & Biz และ SMEs Micro Biz ภายใต้วงเงินค้ำประกัน 5,000 ล้านบาท คาดว่าจะก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบ 5,600 ล้านบาท สามารถช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อกว่า 21,000 ราย รักษาการจ้างงาน 46,150 ตำแหน่ง และสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้ 20,650 ล้านบาท และข้อดีของโครงการใหม่นี้จะมีส่วนสำคัญที่ทำให้ธนาคารปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและเสริมสภาพคล่อง

สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่สนใจเข้าร่วมโครงการค้ำประกันสินเชื่อดังกล่าว สามารถเข้ามาตรวจสุขภาพทางการเงิน พร้อมจองคิวขอรับคำปรึกษาที่ LINE OA : @tcgfirst ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย หรือติดต่อที่สำนักงานเขตของ บสย. ทั้ง 11 สาขา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บสย. Call Center โทร. 02-890-9999

“รัฐบาลมุ่งมั่นเดินหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs และกลุ่มเปราะบาง ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและมีโอกาสขยายธุรกิจอย่างทั่วถึง เพราะเศรษฐกิจฐานราก คือรากฐานสำคัญที่จะสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน” นางสาวศศิกานต์ ระบุ