ฝ่าวิกฤตส่งออก! รัฐบาลเดินหน้าเต็มสูบ เปิด 5 มาตรการบรรเทาผลกระทบภาษีสหรัฐฯ หนุน SMEs ไทยรับมือ

รัฐบาลเดินหน้าเต็มสูบ! เปิด 5 มาตรการบรรเทาผลกระทบภาษีสหรัฐฯ หนุน SMEs ไทยฝ่าวิกฤตส่งออก

วันที่ 20 เมษายน 2568 นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ออก 5 มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีแบบตอบโต้ของสหรัฐฯ โดยข้อมูลจาก สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ระบุว่า ผู้ประกอบการ SMEs ไทยจำนวน 3,700 รายจะได้รับผลกระทบจากการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่าส่งออกราว 7,634 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

สำหรับ 5 มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการไทย ดังกล่าว มีดังนี้

1.จัดตั้งคลินิกผู้ประกอบการ (Export Clinic) เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการ ทั้งผู้นำเข้าและส่งออกที่ได้รับผลกระทบ โดยสนับสนุนทางการเงิน ด้วยมาตรการเยียวยาผ่านการขยายระยะเวลาการชำระหนี้สูงสุด 365 วัน รวมถึงมาตรการเสริมสภาพคล่องและการปรับลดอัตราดอกเบี้ย

2.ให้ความช่วยเหลือและคำแนะนำแก่ผู้ประกอบการผ่านช่องทางการติดต่อของธนาคาร รวมทั้งให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับนโยบายภาษีแบบตอบโต้ ตลอดจนผลกระทบและแนวทางการบริหารจัดการธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีแบบตอบโต้ของสหรัฐฯ

3.สนับสนุนให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ขยายตลาดไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ ในการนี้ EXIM BANK มีสินเชื่อเพื่อการร่วมงานแสดงสินค้า และสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการส่งออก พร้อมเพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้ส่งออกไทยด้วยการให้ความคุ้มครอง 75% ของมูลค่าความเสียหายกรณีผู้ซื้อในต่างประเทศไม่ชำระเงินค่าสินค้า

4.สนับสนุนการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยมิให้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการภายในประเทศ ตามแนวนโยบายของรัฐบาลในระยะถัดไป

5.สนับสนุนผู้ประกอบการไทยไปลงทุนเพิ่มเติมในสหรัฐฯ ซึ่งในปี 2567 ไทยมีมูลค่าส่งออก 300,530 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย 18% ของมูลค่าส่งออกรวม เป็นการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ หรือคิดเป็นมูลค่า 54,956 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ระบุว่า ผู้ประกอบการ SMEs ไทยจำนวน 3,700 รายจะได้รับผลกระทบจากการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่าส่งออกราว 7,634 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับมาตรการเหล่านี้สะท้อนถึงความพยายามของภาครัฐในการสนับสนุนผู้ประกอบการไทย ให้สามารถรับมือกับความท้าทายด้านการค้าระหว่างประเทศ รัฐบาลมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของผู้ประกอบการไทย และพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มกำลังเพื่อให้ประเทศไทยสามารถยืนหยัดและเติบโตอย่างมั่นคงในเวทีการค้าระหว่างประเทศ ท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจ

#ส่งออก #ภาษีทรัมป์ #ข่าววันนี้ #EXIMBANK #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #เอสเอ็มอี


 

EXIM BANK ผนึกคลัง-พาณิชย์ ออก 5 มาตรการด่วน ช่วย SMEs รับมือสงครามภาษีสหรัฐฯ

ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ร่วมกับกระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์ ออก 5 มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพื่อรับมือกับนโยบายภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐอเมริกา ที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทยในปี 2568

วันที่ 18 เมษายน 2568 นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ได้ประชุมหารือแนวทางการดำเนินการของไทยต่อกรณีนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และผู้บริหารระดับสูงจากภาครัฐและภาคเอกชนว่า EXIM BANK พร้อมขับเคลื่อนมาตรการตามนโยบายรัฐบาล เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าไปยังตลาดสหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็น 18% ของมูลค่าส่งออกรวมของไทย หรือประมาณ 54,956 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

5 มาตรการหลักของ EXIM BANK ประกอบด้วย

1.จัดตั้งคลินิกผู้ประกอบการ (Export Clinic)
ให้คำปรึกษาและสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้นำเข้าและส่งออกที่ได้รับผลกระทบ พร้อมขยายระยะเวลาชำระหนี้สูงสุด 365 วัน เสริมสภาพคล่อง และลดดอกเบี้ย

2.ให้ข้อมูลและคำแนะนำอย่างครบวงจร
ผ่านช่องทางการติดต่อของธนาคาร รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายภาษีตอบโต้ และแนวทางการบริหารความเสี่ยงทางธุรกิจ

3.ขยายความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์
ส่งเสริมให้ SMEs ขยายตลาดไปยังประเทศใหม่ ๆ พร้อมสินเชื่อเพื่อการแสดงสินค้า และประกันความเสี่ยงจากการค้างชำระของผู้ซื้อในต่างประเทศ โดยให้ความคุ้มครองสูงถึง 75% ของมูลค่าความเสียหาย

4.สนับสนุนการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ
โดยดำเนินการภายใต้กรอบนโยบายของรัฐบาล เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้ประกอบการภายในประเทศ

5.ผลักดันการลงทุนของผู้ประกอบการไทยในสหรัฐฯ
โดยพร้อมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจในตลาดต่างประเทศ

ทั้งนี้ ข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ระบุว่า มีผู้ประกอบการ SMEs ไทยกว่า 3,700 ราย ที่อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่าส่งออกราว 7,634 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

โดย EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง พร้อมเป็นกลไกหลักในการช่วยเหลือ เยียวยา และสนับสนุนผู้ประกอบการให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ EXIM Contact Center โทร. 0-2169-9999 หรือ Inbox Facebook: “EXIM Bank of Thailand”

#EXIMBANK #ข่าววันนี้ #เอสเอ็มอี #ภาษีทรัมป์ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #สงครามการค้า

 

 

EXIM BANK ขานรับนโยบายกระทรวงการคลัง ออกมาตรการด่วนช่วยเหลือลูกค้าได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหว

EXIM BANK ขานรับนโยบายกระทรวงการคลัง ออกมาตรการด่วนช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหว

วันที่ 29 มีนาคม 2568 ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK ได้ออกมาตรการด่วน ช่วยเหลือ เยียวยา และแบ่งเบาภาระของลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา โดยสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงการคลัง ด้วยการขยายระยะเวลาชำระหนี้ พร้อมทั้งเพิ่มวงเงินชั่วคราวเพื่อบรรเทาความเสียหาย ช่วยให้ลูกค้า EXIM BANK สามารถดำเนินธุรกิจส่งออกหรือธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกตลอดทั้ง Supply Chain ได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีทางเลือกให้แก่ลูกค้าเลือกใช้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ดังนี้

มาตรการช่วยเหลือสำหรับวงเงินกู้ระยะสั้น
• ขยายระยะเวลาตั๋วสัญญาใช้เงิน สูงสุด 180 วัน
• เพิ่มวงเงินหมุนเวียนชั่วคราว สูงสุด 20% ของวงเงินหมุนเวียนเดิม ทั้งนี้ ไม่เกิน 2 ล้านบาท โดยใช้อัตราดอกเบี้ยเดิม
• เปลี่ยนแปลงภาระหนี้ระยะสั้นเป็นภาระหนี้ระยะยาว ผ่อนชำระสูงสุด 3 ปี

มาตรการช่วยเหลือสำหรับวงเงินกู้ระยะยาว
• ขยายระยะเวลาวงเงินกู้ สูงสุด 7 ปี
• ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ปีแรกลง 0.5% หรือจ่ายดอกเบี้ยเพียง 50% ในช่วง 6 เดือนแรก
• พักชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 1 ปี
• Top up วงเงินสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้น

ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ย Prime Rate (สำหรับลูกค้าทั่วไปและลูกค้า SMEs) ของ EXIM BANK ในปัจจุบันเท่ากับ 6.25% ต่อปี

EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง พร้อมช่วยเหลือและเยียวยาลูกค้าให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่สะดุด ท่ามกลางปัจจัยท้าทายต่างๆ ลูกค้าสามารถแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือได้โดยลงทะเบียนผ่าน www.exim.go.th สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ EXIM Contact Center โทร. 0-2169-9999 หรือ Inbox Facebook “EXIM Bank of Thailand”

#แผ่นดินไหว #ตึกถล่ม #ข่าววันนี้ #EXIMBANK #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

EXIM BANK เปิดรับสมัครบุคคล คัดเลือกเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการถึง 21 มี.ค.68

คณะกรรมการสรรหากรรมการผู้จัดการ EXIM BANK ประกาศเปิดรับสมัครบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเป็นกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK ตั้งแต่วันที่ 7-21 มี.ค.68

เมื่อวันที่ 10 มี.ค.68 นายฉันทานนท์ วรรณเขจร กรรมการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ในฐานะประธานคณะกรรมการสรรหากรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า EXIM BANK มีความประสงค์จะสรรหาบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ โดยคุณสมบัติของผู้สมัครต้องเป็นบุคคลผู้มีสัญชาติไทย อายุไม่เกิน 58 ปีบริบูรณ์ในวันที่ยื่นใบสมัคร ไม่เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ สกส.13/2562 โดยมีคุณสมบัติเฉพาะเป็นผู้มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ด้านการเงินการธนาคาร การตลาด และเศรษฐกิจระหว่างประเทศเป็นอย่างดี เคยทำงานในสถาบันการเงินไม่น้อยกว่า 10 ปี มีประสบการณ์ในการบริหารจัดการองค์กร และเคยดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่ารองผู้บริหารสูงสุดขององค์กรหรือเทียบเท่า N-1 ขององค์กรอย่างน้อย 1 ปีนับถึงวันที่ยื่นใบสมัคร โดยองค์กรดังกล่าวต้องมีสินทรัพย์ไม่น้อยกว่า 50,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง มีความรู้ความสามารถในการบริหารงานด้านสินเชื่อ สื่อสารภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้ดีมาก มีภาวะความเป็นผู้นำสูง มีวิสัยทัศน์ในการบริหารจัดการและการพัฒนาบุคลากร มีความสามารถในการตัดสินสั่งการ การแก้ไขปัญหา เป็นแบบอย่างที่ดี มีคุณธรรม จริยธรรม และยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล ทั้งนี้ วาระดำรงตำแหน่งตามสัญญาจ้างคราวละไม่เกิน 4 ปี หรือเมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์

ทั้งนี้ติดต่อขอรับใบสมัครได้ที่ ฝ่ายทรัพยากรบุคคล EXIM BANK สำนักงานใหญ่ ชั้น 15 อาคารเอ็กซิม หรือดาวน์โหลดใบสมัครทางเว็บไซต์ www.exim.go.th และส่งใบสมัครพร้อมเอกสารหลักฐานประกอบการสมัคร ตั้งแต่วันที่ 7-21 มีนาคม 2568 ในวันและเวลาทำการ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 0 2169 9999 ต่อ 201010 มีนาคม 2568

#EXIMBANK #กรรมการผู้จัดการ #ข่าววันนี้ #ส่งออก #สยามรัฐ #สยามรัฐอออนไลน์

 

EXIM BANK ช่วยภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs ประกาศลดดบ. Prime Rate 0.10% ต่อปี คงเหลือ 6.25% ต่อปี ต่ำที่สุดในระบบ

EXIM BANK ขานรับนโยบายรัฐช่วยภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate 0.10% ต่อปี คงเหลือ 6.25% ต่อปี ต่ำที่สุดในระบบ

เมื่อวันที่ 4 มี.ค.68 ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ต่อปี เพื่อให้ภาวะการเงินสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงิน รวมทั้งช่วยกระตุ้นการเติบโตของภาคธุรกิจ EXIM BANK จึงประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate ลง 0.10% ต่อปี เหลือ 6.25% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ EXIM BANK ใช้สำหรับลูกค้าทั่วไปและลูกค้า SMEs เทียบเท่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีหรือ MRR ของธนาคารพาณิชย์ นับเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีที่ต่ำที่สุดในระบบ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป

การปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate ในครั้งนี้เป็นการขานรับนโยบายของรัฐบาล เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาภาระหนี้และต้นทุนทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการโดยเฉพาะกลุ่ม SMEs อย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับภารกิจของ EXIM BANK ในการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้มีสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ สามารถปรับตัวรับมือปัจจัยท้าทายและแข่งขันได้ในเวทีการค้าโลกอย่างยั่งยืน ในสภาวะที่เศรษฐกิจไทยเติบโตในอัตราที่ช้าลง และความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก

EXIM BANK นำผู้ประกอบการไทยฝ่ามรสุม ‘ทรัมป์ 2.0’ พัฒนาระบบนิเวศ Green Export Supply Chain

EXIM BANK นำผู้ประกอบการไทยฝ่ามรสุม ‘ทรัมป์ 2.0’ พัฒนาระบบนิเวศ Green Export Supply Chain พร้อมเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน สร้างนักรบเศรษฐกิจสีเขียวในตลาดการค้าโลก

เมื่อวันที่ 13 ก.พ.68 ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกปัจจุบันเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ภายหลังการเข้ารับตำแหน่งของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หรือที่เรียกว่า ยุคทรัมป์ 2.0 ทั้งในมิติการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมระหว่างประเทศ ตลอดจนผลกระทบต่อการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมโลก อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มจะยังไปต่อได้ ปัจจัยเกื้อหนุน ประกอบด้วย การท่องเที่ยว การใช้จ่ายของภาครัฐ การบริโภค การลงทุน และการส่งออกที่ขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ สงครามการค้ารอบใหม่ระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าตามนโยบายทรัมป์ 2.0 หนี้ครัวเรือนยังสูงถึง 89% และภาคการผลิตยังฟื้นตัวไม่ทันในปีที่ผ่านมา

โดยปัจจัยส่งเสริมให้การส่งออกไทยปี 2568 ยังขยายตัวต่อได้ ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจโลกและนโยบายทรัมป์ 2.0 ได้แก่ การเร่งนำเข้าของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โอกาสส่งออกของไทยทดแทนสินค้าจีน อาทิ คอมพิวเตอร์ ชิ้นส่วนยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องปรับอากาศ เฟอร์นิเจอร์ แผงโซลาร์ โอกาสส่งออกสินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดโลก เช่น สินค้าเกษตรและอาหาร สินค้าไลฟ์สไตล์ การย้ายฐานการผลิตจากต่างชาติเข้ามาในไทย เช่น ธุรกิจดิจิทัล อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ไฟฟ้า การขยายตัวของตลาดใหม่ เช่น อินเดีย อาเซียน และตะวันออกกลาง และการบังคับใช้ข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (European Free Trade Association : EFTA) เป็นข้อตกลง FTA ฉบับแรกระหว่างไทยกับประเทศในยุโรป (สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์) ขณะเดียวกัน ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา ได้แก่ สินค้าไทยอาจโดนมาตรการจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะการถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าที่เกินดุลกับสหรัฐฯ สูง เช่น คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ โทรศัพท์ เครื่องจักร หรือถูกบังคับให้นำเข้าเพิ่ม อาทิ สินค้าเกษตร น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ สินค้าไทยที่อยู่ใน Supply Chain จีนได้รับผลกระทบ อาทิ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ เคมีภัณฑ์ ยางพารา สินค้าไทยอาจต้องเผชิญการแข่งขันด้านราคากับสินค้าจีนที่ไหลทะลักเข้าสู่ไทยและตลาดโลก อาทิ สินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องใช้ไฟฟ้า เหล็ก อะลูมิเนียม เคมีภัณฑ์ ความผันผวนด้านต้นทุนจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) และค่าเงินที่ยังผันผวนสูงอย่างต่อเนื่อง

ดร.รักษ์ กล่าวต่อไปว่า นอกจากปัญหาความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ปัญหาสิ่งแวดล้อมโลกยังทวีความรุนแรงและส่งผลกระทบต่อมนุษย์ รวมถึงภาคธุรกิจ อุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้นและภัยพิบัติที่รุนแรงขึ้น รวมถึงค่าฝุ่น PM 2.5 ทำให้มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมยังเพิ่มจำนวนขึ้นถึงกว่า 18,000 ฉบับในปัจจุบัน โดยโลกและไทยยังต้องการเม็ดเงินสีเขียว (Climate Finance) อีกจำนวนมาก Climate Policy Initiative ประเมินว่า Climate Finance โลกปี 2566 อยู่ที่ราว 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี แม้ว่าเม็ดเงินดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 6 ปีที่ผ่านมา แต่ยังต่ำกว่าความต้องการที่ประเมินว่าสูงถึงราว 7.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีในช่วงปี 2567-2573 เท่ากับว่าโลกยังต้องการ Climate Finance เพิ่มขึ้นราว 5 เท่า

กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมา EXIM BANK มีบทบาทอย่างแข็งขันในการสนับสนุน Climate Finance ของไทย และ EXIM BANK จะเดินหน้าต่อยอดความเชี่ยวชาญในฐานะ Green Development Bank เป็นผู้นำผู้ประกอบการไทยสยายปีกสู่ธุรกิจเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทั้งในและต่างประเทศ เพื่อผลักดันและขับเคลื่อนภาคธุรกิจของไทยให้เปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ส่งผลให้ Portfolio ที่สนับสนุนธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Environmental, Social, and Governance : ESG) เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนแตะระดับ 40% ของ Portfolio ทั้งหมด และมีเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 50% ภายในปี 2570

โดยปี 2568 EXIM BANK มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจไทยผ่านความเชี่ยวชาญและพันธมิตรสู่การเป็นธนาคารเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Bank) โดยจะเร่งขยายฐานลูกค้าผ่านบริการและผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ทั้งด้านการสนับสนุนการส่งออกและการลงทุน เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานส่งออกสีเขียว (Green Export Supply Chain) โดยให้สิทธิประโยชน์และดอกเบี้ยพิเศษแก่ผู้ประกอบการไทยที่ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึง ESG บริการใหม่ของ EXIM BANK อาทิ บริการค้ำประกันหุ้นกู้ให้แก่ลูกค้าที่ต้องการระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้ แต่ยังมี Credit Rating ที่ไม่สูงพอที่จะทำให้ผู้ลงทุนสนใจและเชื่อมั่นที่จะลงทุนได้ โดยเฉพาะผู้ลงทุนสถาบัน เพื่อทำให้ Credit Rating ของหุ้นกู้อยู่ในระดับเทียบเท่ากับของ EXIM BANK คือ AAA (กรณีค้ำประกัน 100%) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของประเทศ สร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนมากยิ่งขึ้น มีผลทำให้อัตราดอกเบี้ยของหุ้นกู้อยู่ในระดับต่ำ ผู้ออกหุ้นกู้มี Cost Saving เมื่อเทียบกับการออกหุ้นกู้ด้วย Credit Rating ของตนเอง ซึ่งช่วยให้สามารถออกหุ้นกู้ได้อายุยาวขึ้นและจำนวนที่มากขึ้น รวมถึงสามารถมีฐานผู้ลงทุนเป็นกลุ่มผู้ลงทุนสถาบันได้ นอกจากนี้ EXIM BANK ยังเป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้แก่ลูกค้าที่มีความต้องการระดมทุน ไม่ว่าจะเป็นตราสารหนี้หรือตราสารทุน รวมถึงการเข้าซื้อกิจการการควบรวมกิจการ (M&A) เป็นต้น ปัจจุบัน EXIM BANK ได้รับความเห็นชอบเป็นที่ปรึกษาทางการเงินจากสำนักงาน ก.ล.ต. เป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2567 เป็นต้นมา ในอนาคต EXIM BANK จะให้บริการจัดจำหน่ายหุ้นกู้แก่ลูกค้าที่มีความต้องการระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้ ซึ่งถือเป็นอีกผลิตภัณฑ์ที่ช่วยตอบโจทย์ลูกค้าได้ครบวงจร ช่วยให้ลูกค้ามีทางเลือกในการระดมทุนและจัดหาเงินทุนได้เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบัน EXIM BANK กำลังอยู่ระหว่างการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ (จัดจำหน่ายตราสารหนี้)

“EXIM BANK ยังคงเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมด้านธุรกิจและบริการที่จะนำไปสู่โมเดลทางธุรกิจใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ทั้งทางการเงินและไม่ใช่การเงิน สอดคล้องกับทิศทางการค้าและการลงทุนในโลกปัจจุบันภายใต้นโยบายทรัมป์ 2.0 ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ขณะเดียวกัน ยังเต็มไปด้วยโอกาสใหม่ ๆ ทางการค้าและการลงทุนของผู้ประกอบการไทยที่ปรับตัวได้ทันและมีการวางแผนบริหารจัดการความเสี่ยงทางธุรกิจระหว่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ” ดร.รักษ์ กล่าว

#EXIMBANK #ข่าววันนี้ #ส่งออก #ทรัมป์ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

นับหนึ่ง Trade War 2.0…ธุรกิจไทยต้องพร้อมรับแรงกระแทก

นับหนึ่ง Trade War 2.0…ธุรกิจไทยต้องพร้อมรับแรงกระแทก

เมื่อวันที่ 5 ก.พ.68 ฝ่ายวิจัยธุรกิจ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK)เผยว่า หลังรับตำแหน่งเพียงไม่ถึงเดือน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้ดำเนินมาตรการตามนโยบาย America First ซึ่งคำนึงถึงผลประโยชน์ของสหรัฐฯ มาก่อน และสร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการเข้มงวดผู้อพยพ การหันหลังให้นโยบายสีเขียวและถอนตัวออกจากข้อตกลง Paris Agreement ล่าสุดยังเปิดฉากสงครามการค้ารอบใหม่ (Trade War 2.0) ด้วยการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้น 10% และอยู่ระหว่างเจรจากับเม็กซิโกและแคนาดา ภายใต้เงื่อนไขการพิจารณาเพิ่มภาษีนำเข้าจากทั้ง 2 ประเทศ 25% ในเดือนหน้า ขณะที่จีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้า 15% สำหรับถ่านหินและ LNG และ 10% สำหรับน้ำมันดิบ เครื่องจักรทางการเกษตร และรถยนต์บางประเภท รวมถึงจำกัดการส่งออกแร่หายาก โดยสงครามการค้ารอบใหม่จะส่งผลกระทบและมีข้อพึงระวังที่ธุรกิจไทยต้องปรับกลยุทธ์เพื่อเตรียมรับมือ ดังนี้ 

•ก่อนอื่นมีข้อสังเกตว่า การดำเนินมาตรการภายใต้ Trump 2.0 เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีความเข้มข้นมากขึ้นกว่าสมัยแรก โดยเฉพาะ Trade War 2.0 ที่เริ่มต้นในไม่ถึงเดือนหลังรับตำแหน่งและมาตรการต่างๆ ไม่ได้มุ่งเน้นเฉพาะกับจีน แต่พุ่งเป้าไปที่ประเทศคู่ค้าอื่น ๆ ที่เกินดุลกับสหรัฐฯ และที่สำคัญการดำเนินมาตรการส่วนใหญ่เป็นไปเพื่อกดดันให้เกิดการเจรจาต่อรองที่จะเอื้อประโยชน์สูงสุดให้แก่สหรัฐฯ ดังเช่นที่กำลังต่อรองกับแคนาดาและเม็กซิโก

•สำหรับ Trade War 2.0 ระยะแรก ซึ่งสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 10% คาดว่าจะยังส่งผลกระทบต่อไทยไม่มากนัก เนื่องจากต้นทุนการผลิตสินค้าและโลจิสติกส์ของจีนที่อยู่ในระดับต่ำกว่าประเทศอื่น โดยเฉพาะไทย ทำให้แม้จีนถูกเก็บภาษีอีก 10% ไทยก็อาจยังได้ประโยชน์ไม่มากนักจากการส่งสินค้าไปตลาดสหรัฐฯ แทนจีน อย่างไรก็ตาม หากสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าจีนเพิ่มขึ้นอีกในระยะถัดไป ไทยก็มีโอกาสได้อานิสงส์เพิ่มขึ้น แต่ก็ต้องระวังสถานการณ์ที่จีนนำสินค้าที่ไม่สามารถส่งไปตลาดสหรัฐฯ มาทุ่มตลาดประเทศอื่น รวมถึงไทยแทน

•นอกจากนี้ ไทยยังต้องพึงระวังความเสี่ยงจากการถูกดำเนินมาตรการจากสหรัฐฯ จากที่กล่าวไปแล้วว่า Trump 2.0 มีการดำเนินมาตรการที่รวดเร็วและเข้มข้น ทำให้การที่ไทยเป็นคู่ค้าที่เกินดุลการค้าสหรัฐฯ อันดับที่ 12 มูลค่าราว 40,720 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2566 อาจกลายเป็นเป้าของสหรัฐฯ ในการใช้มาตรการการค้ามากดดันไทยเพื่อให้สหรัฐฯ ได้ประโยชน์สูงสุด เช่น สหรัฐฯ อาจขู่ขึ้นภาษีกับไทยเพื่อเจรจาให้ไทยนำเข้าสินค้าบางรายการจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น อาทิ สินค้าเกษตร นอกจากนี้ ยังต้องติดตามมาตรการไต่สวน AD/CVD จากสหรัฐฯ ที่อาจมีมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าที่เป็นการย้ายฐานมาจากจีน เช่นที่เกิดขึ้นแล้วกับสินค้าแผงโซลาร์ 

•สำหรับแนวทางรับมือความเสี่ยงต่าง ๆ ในปี 2568 ภาคธุรกิจต้องเน้นกลยุทธ์ในการแสวงหาตลาดศักยภาพใหม่ๆ เพื่อเป็น Buffer ลดความผันผวนของการพึ่งตลาดสหรัฐฯ และจีนที่เป็นคู่ขัดแย้งหลักในสงครามการค้าครั้งนี้ เช่น ตลาดอินเดีย ที่เป็นประเทศวางตัวเป็นกลาง (Conflict-free Country) และเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มเติบโตดี รวมถึงตลาดฮาลาล ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงจากจำนวนชาวมุสลิมทั่วโลกที่มีอยู่ราว 2 พันล้านคน หรือ 1 ใน 4 ของประชากรโลก ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนทางการค้าจากนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ มีแนวโน้มทำให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงินโลก ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงให้กับผู้ส่งออกจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนตามมา ทำให้การลดความเสี่ยงด้วยเครื่องมือทางการเงิน เช่น การทำ Forward Contract เพื่อป้องกันความผันผวนของค่าเงิน ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ส่งออกไทยในปีนี้ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการควรทำ Scenario Planning เพื่อให้สามารถประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นและวิเคราะห์ผลกระทบต่อธุรกิจ ช่วยให้เตรียมตัวรับมือโดยไม่ต้องรอให้เกิดปัญหาแล้วจึงแก้ไข

การค้าโลกในปีนี้ยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะจากการดำเนินนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ซึ่งแม้ว่าอาจมีบางประเทศหรือบางอุตสาหกรรมได้ประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าว แต่ภาพรวมของผลกระทบมีแต่จะบั่นทอนสถานการณ์การค้าโลก และทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจโลกและไทยยังคงมีประเด็นที่ต้องติดตามกันอย่างต่อเนื่อง 

#EXIMBANK #ข่าววันนี้ #สงครามการค้า #ทรัมป์ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

EXIM BANK จับมือ ป.ป.ช. และ CAC เปิดตัวนวัตกรรมการเงินด้านธรรมาภิบาลครั้งแรกของโลก เสริมสภาพคล่องผปก.ไทยสู่ระดับสากล

EXIM BANK จับมือสำนักงาน ป.ป.ช. และ CAC เปิดตัวนวัตกรรมทางการเงินด้านธรรมาภิบาลครั้งแรกของโลก เสริมสภาพคล่องและลดต้นทุนทางธุรกิจแก่ผู้ประกอบการไทยที่ได้มาตรฐานสากล

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) และแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) โดยสมาคมสถาบันกรรมการบริษัทไทย สนับสนุนให้ภาคเอกชนไทยที่มีกระบวนการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันภายในองค์กรตามมาตรฐานสากล ได้รับโอกาสเข้าถึงบริการทางการเงินที่ช่วยลดต้นทุนทางธุรกิจ มีสภาพคล่องเพิ่มสูงขึ้นพร้อมเริ่มต้นหรือขยายธุรกิจ สู่เวทีการค้าโลกอย่างมีธรรมาภิบาลและยั่งยืน ภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือการขับเคลื่อนธรรมาภิบาลและบรรษัทภิบาล ระหว่างสำนักงาน ป.ป.ช. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ  

ในโอกาสนี้ EXIM BANK เปิดตัวบัตรเงินฝากสีขาวและสินเชื่อสีขาวที่เรียกว่า “White Certificate of Deposit” และ “White EX” ตามลำดับ ซึ่งนับเป็นผู้นำนวัตกรรมทางการงเงินด้าน Governance แห่งแรกของโลก โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมมาตรฐานการกำกับดูแลภายในองค์กร โดยเฉพาะด้านการต่อต้านคอร์รัปชันและความโปร่งใสทางธุรกิจ โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนของไทยที่ได้มาตรฐานหรือการรับรอง โดย ISO หรือ CAC

• บัตรเงินฝากสีขาว (White Certificate of Deposit) วงเงินรวม 5,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 3 อายุ คือ ระยะเวลา 3 เดือน อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.15 ต่อปี ระยะเวลา 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.20 ต่อปี และระยะเวลา 12 เดือน อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.25 ต่อปี 
• สินเชื่อ White EX หรือโครงการ EXIM เงินทุนสีขาว สนับสนุนผู้ประกอบการที่พร้อมร่วมต่อต้านทุจริตคอร์รัปชัน โดย EXIM BANK ให้การสนับสนุน ดังนี้ 
  - “White Starter” สำหรับใช้ในกิจการของผู้ประกอบการ SMEs ที่เข้าร่วมกิจกรรมต่อต้านคอร์รัปชันกับ EXIM BANK วงเงินสูงสุด 20 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยพิเศษ เริ่มต้นร้อยละ 5.60 ต่อปี ใน 6 เดือนแรก พร้อมลดค่าธรรมเนียมสินเชื่อ 
  - “White Intermediate” สำหรับผู้ประกอบการที่ได้แสดงเจตนารมณ์เข้าร่วม CAC (CAC Declared 1 ดาว) และอยู่ระหว่างการขอรับรอง CAC Certified (2 ดาว) หรืออยู่ระหว่างการขอรับรองมาตรฐาน ISO ที่เกี่ยวข้องกับธรรมาภิบาลและการกำกับดูแลกิจการที่ดี สามารถขอรับการสนับสนุนสินเชื่ออเนกประสงค์ หรือสินเชื่อเพื่อการลงทุน อัตราดอกเบี้ยพิเศษ เริ่มต้น 4.75% ต่อปี ในปีแรก วงเงินสูงสุด 50 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาผ่อนชำระคืนสูงสุด 5 ปี
  - “White Advanced” สำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรอง CAC Certified (2 ดาว) หรือได้รับรอง CAC Change Agent (3 ดาว) ตลอดจนผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 37001 หรือมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง EXIM BANK พร้อมสนับสนุนเงินทุนเพื่อใช้ในกิจการ วงเงินสูงสุด 100 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นตลอดปีแรก 3.75% ต่อปี ผ่อนชำระคืนสูงสุด 7 ปี

“นับเป็นครั้งแรกของโลก โดยมี EXIM BANK เป็นผู้นำ ร่วมกับสำนักงาน ป.ป.ช. และ CAC เพื่อกระตุ้นให้ภาคธุรกิจไทยดำเนินกิจการอย่างโปร่งใสและมีธรรมาภิบาล ควบคู่กับการขับเคลื่อนการเติบโตทางสิ่งแวดล้อมและสังคม ด้วยนวัตกรรมเพื่อการระดมทุนสีขาวและสินเชื่อสีขาว ที่มีอัตราดอกเบี้ยพิเศษต่ำสุด 3.75% ต่อปี ผ่อนชำระคืนสูงสุด 7 ปี ให้แก่กิจการที่ได้รับการรับรอง CAC หรือ ISO ขั้นสูง เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมีรากฐานด้านความโปร่งใสในการกำกับดูแลภายในองค์กร นำไปสู่การสร้างสังคมที่มีธรรมาภิบาลและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนต่อไป”

ปปช. จับมือ EXIM BANK และ CAC ประกาศความร่วมมือดันมาตรการจูงใจ ป้องกันทุจริตคอร์รัปชัน

สำนักงาน ป.ป.ช. จับมือ EXIM BANK และ CAC ประกาศความร่วมมือผลักดันมาตรการจูงใจ ป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน พร้อมขับเคลื่อนธรรมาภิบาล
ในภาครัฐและเอกชน

วันที่ 30 ม.ค.68 นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. พร้อมด้วยนายกุลเวช เจนวัฒนวิทย์ กรรมการผู้อำนวยการสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัท นายพรหเมศร์ เบ็ญจรงค์กิจ ผู้อำนวยการแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) และนายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ร่วมแถลงข่าวประกาศความร่วมมือด้านการสนับสนุนกิจกรรมป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน ระหว่าง ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) โดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย ณ ห้องนนทบุรี 2 ชั้น 2 อาคาร 4 สำนักงาน ป.ป.ช.

การแถลงข่าวประกาศความร่วมมือด้านการสนับสนุนกิจกรรมป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน ระหว่างธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) โดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย เป็นการขับเคลื่อนบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เรื่อง การขับเคลื่อนธรรมาภิบาลและบรรษัทภิบาล ระหว่าง สำนักงาน ป.ป.ช. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ จำนวน 51 แห่ง ที่ลงนามเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2566 และดำเนินการตามมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่มอบหมายให้สำนักงาน ป.ป.ช. ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการจูงใจ (Incentive) เพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีมาตรการและมีส่วนร่วมในการป้องกันการทุจริตตามข้อเสนอแนะขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co - operation and Development: OECD)

ในการขับเคลื่อนเรื่องมาตรการจูงใจ (Incentive) เพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีมาตรการและมีส่วนร่วมในการป้องกันการทุจริต ลำพังเพียงสำนักงาน ป.ป.ช. หน่วยงานเดียว ไม่สามารถดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายได้ ต้องบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชน จะนำร่องดำเนินการโดยรณรงค์ส่งเสริมให้บริษัทที่เป็นสมาชิกของแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) ให้สิทธิประโยชน์กับคู่ค้า (Supply Chain) ของบริษัท ควบคู่กับการผลักดันมาตรการจูงใจ (Incentive) ที่ออกโดยภาครัฐ เช่น มาตรการทางภาษี การเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการประกอบธุรกิจ เป็นต้น

นอกจากนี้ มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ได้แก่ “White Certificate of Deposit” และ “White EX” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ด้าน Governance แห่งแรกของเอเชีย เพื่อส่งเสริมมาตรฐานการกำกับดูแลภายในองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านการต่อต้านคอร์รัปชันและความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ โดยมีลูกค้ากลุ่มเป้าหมายคือ หน่วยงานภาครัฐ และเอกชนไทยที่ได้มาตรฐานหรือได้รับการรับรอง โดย ISO หรือ CAC

• บัตรเงินฝากสีขาว (White Certificate of Deposit) วงเงินรวม 5,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 3 อายุ คือ ระยะเวลา 3 เดือน อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.15 ต่อปี ระยะเวลา 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.20 ต่อปี และระยะเวลา 12 เดือน อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.25 ต่อปี

• สินเชื่อ White EX หรือโครงการ EXIM เงินทุนสีขาว สนับสนุนผู้ประกอบการที่พร้อมร่วมต่อต้านทุจริตคอร์รัปชัน โดย EXIM BANK ให้การสนับสนุน ดังนี้

- “White Starter” สำหรับใช้ในกิจการของผู้ประกอบการ SMEs ที่เข้าร่วมกิจกรรมต่อต้านคอร์รัปชันกับ EXIM BANK วงเงินสูงสุด 20 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยพิเศษ เริ่มต้นร้อยละ 5.60 ต่อปี ใน 6 เดือนแรก พร้อมลดค่าธรรมเนียมสินเชื่อ

- “White Intermediate” สำหรับผู้ประกอบการที่ได้แสดงเจตนารมณ์เข้าร่วม CAC (CAC Declared 1 ดาว) และอยู่ระหว่างการขอรับรอง CAC Certified (2 ดาว) หรืออยู่ระหว่างการขอรับรองมาตรฐาน ISO ที่เกี่ยวข้องกับธรรมาภิบาลและการกำกับดูแลกิจการที่ดี สามารถขอรับการสนับสนุนสินเชื่ออเนกประสงค์ หรือสินเชื่อเพื่อการลงทุน อัตราดอกเบี้ยพิเศษ เริ่มต้น 4.75% ต่อปี ในปีแรก วงเงินสูงสุด 50 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาผ่อนชำระคืนสูงสุด 5 ปี

- “White Advanced” สำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรอง CAC Certified (2 ดาว) หรือ ได้รับรอง CAC Change Agent (3 ดาว) ตลอดจนผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 37001 หรือมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง EXIM BANK พร้อมสนับสนุนเงินทุนเพื่อใช้ในกิจการ วงเงินสูงสุด 100 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นตลอดปีแรก 3.75% ต่อปี ผ่อนชำระคืนสูงสุด 7 ปี

​ผลิตภัณฑ์การเงินของ EXIM BANK เป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันมาตรการจูงใจ (Incentive) เพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีมาตรการและมีส่วนร่วมในการป้องกันการทุจริตที่ออกโดยภาครัฐ เป็นการขับเคลื่อนเรื่องธรรมาภิบาลและบรรษัทภิบาลในภาครัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชนที่เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานรัฐวิสาหกิจตามบันทึกข้อตกลง ความร่วมมือ (MOU) และมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนการเข้าเป็นสมาชิกองค์การ เพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Co-operation and Development: OECD) ของประเทศไทยตามเป็นนโยบายของรัฐบาล

"EXIM BANK" ปลื้มผลงานปี 67 ชูความสำเร็จเป็นผู้นำ Green Development Bank พัฒนานวัตกรรมทางการเงิน-ระบบนิเวศทางธุรกิจ

EXIM BANK แถลงผลการดำเนินงานปี 2567 ชูความสำเร็จการดำเนินบทบาท Green Development Bank มุ่งพัฒนานวัตกรรมทางการเงินเพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจสู่ความยั่งยืน และพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการไทยให้แข่งขันได้ในเวทีโลกอย่างยั่งยืน โดยดำเนินธุรกิจอย่างคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Environmental, Social, and Governance : ESG) มีสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพันเพื่อความยั่งยืน 75,810 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 39.93% จากสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพันทั้งหมด 189,870 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.71% เมื่อเทียบกับปีก่อน สูงสุดตั้งแต่เปิดดำเนินการ และมีวงเงินอนุมัติสินเชื่อใหม่ 58,128 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 29 ม.ค.68 ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในปี 2567 EXIM BANK มุ่งสนับสนุนการส่งออก-นำเข้า และการลงทุนในประเทศและต่างประเทศ ยกระดับผู้ประกอบการไทยให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน ตอกย้ำบทบาทการเป็น Green Development Bank โดย ณ สิ้นปี 2567 EXIM BANK มีวงเงินอนุมัติสินเชื่อใหม่ 58,128 ล้านบาท และมีสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพัน 189,870 ล้านบาท สูงที่สุดตั้งแต่เปิดดำเนินการ เพิ่มขึ้น 6.71% เมื่อเทียบกับปีก่อน ในจำนวนนี้เป็นสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพันเพื่อการลงทุน 135,695 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 71.47% ของยอดทั้งหมด โดยเป็นสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพันในโครงการระหว่างประเทศ 44,744 ล้านบาท เมื่อจำแนกเป็นรายตลาดที่สำคัญ EXIM BANK สนับสนุนธุรกิจไทยให้ขยายไปกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) และตลาดใหม่ (New Frontiers) ที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง โดยมีสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพันในกลุ่ม CLMV และ New Frontiers 39,317 ล้านบาท 

ทั้งนี้จากความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2567 EXIM BANK มียอดสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพันเพื่อความยั่งยืน (ESG) 75,810 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 39.93% ของยอดสินเชื่อคงค้างทั้งหมด โดย EXIM BANK พัฒนาเครื่องมือทางการเงินสีเขียว (Green Finance) และนวัตกรรมทางการเงินสีเขียว (Greenovation) อย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างระบบนิเวศของภาคการค้าและการลงทุนทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ให้ตอบสนองกติกาการค้าโลกด้านสิ่งแวดล้อมอย่างครบวงจรตลอด Supply Chain เช่น สินเชื่อ EXIM Green Goal เพื่อผู้ประกอบการทุกขนาดที่ต้องการขยายหรือปรับปรุงกิจการสู่อุตสาหกรรมที่คำนึงถึง ESG สินเชื่อ EXIM Green Start สำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) สินเชื่อประเภทวงเงินกู้ระยะยาวในลักษณะ Sustainability Linked Loan ที่สนับสนุนการดำเนินงานของธุรกิจที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายด้านความยั่งยืน นอกจากนี้ ยังเปิดตัวบริการวาณิชธนกิจ เป็นที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อสนับสนุนผู้นำด้านการลงทุนสีเขียว (Green Catalyst) ลงทุนด้านพลังงานสะอาด ผ่านการค้ำประกันตราสารหนี้ (Bond Guarantee)

ขณะเดียวกันในด้านสังคม EXIM BANK ช่วยเหลือผู้ประกอบการโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เช่น มาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ SMEs ที่ประสงค์ปรับปรุงโครงสร้างหนี้เชิงป้องกัน (มาตรการ Pre-emptive) เพื่อให้ลูกหนี้ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารอย่างตรงจุดและทันท่วงที นอกจากนี้ EXIM BANK ได้มีนโยบายมอบของขวัญปีใหม่ให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ด้วย 3 แพ็กเกจ เพื่อสร้าง “ชีวิตดี มีความสุข ดีต่อใจ” ซึ่งรวมถึงการช่วยเหลือลูกหนี้ SMEs ในกลุ่มเปราะบางที่มีหนี้วงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาทให้สามารถ “ปิดหนี้ได้ไว ไปต่อได้เร็ว” ตามโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” มาตรการ “จ่ายตรง คงทรัพย์” ด้วยภาระดอกเบี้ยที่ลดลง รวมถึงสนับสนุนเงินทุนเพื่อเสริมสภาพคล่องและจัดการความเสี่ยงได้อย่างครบวงจร

ดร.รักษ์  กล่าวอีกว่า ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและความมั่นคงในภูมิภาคต่าง ๆ EXIM BANK เร่งเสริมสร้างความมั่นใจและภูมิคุ้มกันความเสี่ยงให้แก่ผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยผ่านบริการประกันการส่งออกและการลงทุน โดย ณ สิ้นปี 2567 EXIM BANK มีปริมาณธุรกิจสะสมบริการประกันเท่ากับ 193,536 ล้านบาท สูงเป็นประวัติการณ์ และเพิ่มขึ้น 7.79% จากปีก่อน 

โดยการขยายบทบาทมุ่งสนับสนุนผู้ประกอบการไทยทั้งด้านสินเชื่อและประกันของ EXIM BANK เพื่อเป็นเสาหลักในการสนับสนุนธุรกิจทุกขนาด ทุกอุตสาหกรรม ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2567 EXIM BANK มีจำนวนลูกค้า 5,303 ราย ในจำนวนนี้เป็นลูกค้า SMEs ประมาณ 80% นอกจากนี้ EXIM BANK สนับสนุนผู้ประกอบการอย่างครบวงจร ผ่านการบ่มเพาะให้ความรู้ จับคู่ธุรกิจ และให้คำปรึกษาทางการเงิน ณ สิ้นปี 2567 EXIM BANK ได้ส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการสะสมกว่า 22,000 ราย สะท้อนถึงการอยู่เคียงข้างผู้ประกอบการไทยที่เป็นคนตัวเล็กและกลุ่มเปราะบางให้เติบโตและแข่งขันได้ในเวทีโลก รวมทั้งสามารถปรับตัวรับมือกับมาตรฐานการค้าโลกและกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้นได้

ดร.รักษ์กล่าวต่อว่า ด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี EXIM BANK ยังให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทางการเงินเพื่อความยั่งยืน โดย ณ สิ้นปี 2567 EXIM BANK มีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จำนวน 6,344 ล้านบาท และมีค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss) จำนวน 17,253 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง คิดเป็นอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Coverage Ratio) 271.97% เพิ่มเกราะป้องกันความเสี่ยงที่สูงขึ้นจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่กระทบต่อการค้า ปี 2567 จึงเป็นปีแห่งความภาคภูมิใจของ EXIM BANK ที่มีกำไรสุทธิ 1,053 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 130.87% พร้อมกับขยายการสนับสนุนและช่วยเหลือผู้ประกอบการอย่างรอบด้าน จนทำให้กวาดรางวัลเกียรติยศกว่า 18 รางวัล 

“ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว EXIM BANK ยังคงเดินหน้าบทบาท Green Development Bank สานพลังกับพันธมิตรจากภาครัฐและเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ สนับสนุนผู้ประกอบการไทย รวมถึง SMEs ให้แข่งขันได้ในเวทีโลกอย่างยั่งยืน สร้างระบบนิเวศทางธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน และขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง พร้อมช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs และกลุ่มเปราะบางให้ดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างไม่สะดุด มีความสามารถในการบริหารจัดการสภาพคล่องและจัดการความเสี่ยงทางธุรกิจระหว่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตอบสนองความคาดหวังของมีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน”