"EXIM BANK" ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม67 ในพื้นที่ภาคเหนือ

EXIM BANK ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK มีมาตรการช่วยเหลือและเยียวยาลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือของไทย ทั้งในส่วนของวงเงินกู้ระยะสั้นและวงเงินกู้ระยะยาว โดยเพิ่มวงเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้นชั่วคราวสูงสุด 20% ของวงเงินเดิม เปลี่ยนแปลงภาระหนี้ระยะสั้นเป็นภาระหนี้ระยะยาว ผ่อนชำระเงินกู้ระยะสั้นได้นานสูงสุด 3 ปี และระยะยาวสูงสุด 7 ปี ลดภาระดอกเบี้ยเงินกู้ระยะยาว และพักชำระหนี้เงินต้นนานสูงสุด 1 ปี เพื่อให้ลูกค้าของ EXIM BANK สามารถดำเนินธุรกิจส่งออกหรือธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกตลอดทั้ง Supply Chain ได้อย่างต่อเนื่อง

มาตรการช่วยเหลือสำหรับวงเงินกู้ระยะสั้น
• ขยายระยะเวลาตั๋วสัญญาใช้เงิน สูงสุด 180 วัน
• เพิ่มวงเงินหมุนเวียนชั่วคราว สูงสุด 20% ของวงเงินหมุนเวียนเดิม ทั้งนี้ ไม่เกิน 2 ล้านบาท โดยใช้อัตราดอกเบี้ยเดิม
• เปลี่ยนแปลงภาระหนี้ระยะสั้น เป็นภาระหนี้ระยะยาว ผ่อนชำระสูงสุด 3 ปี

มาตรการช่วยเหลือสำหรับวงเงินกู้ระยะยาว
• ขยายระยะเวลาเงินกู้ สูงสุด 7 ปี
• ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ปีแรกลง 0.50% หรือ จ่ายดอกเบี้ยเพียง 50% ในช่วง 6 เดือนแรก
• พักชำระหนี้เงินต้น สูงสุด 1 ปี
ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ย Prime Rate ปัจจุบันเท่ากับ 6.35% ต่อปี

EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐที่มุ่งดำเนินภารกิจ Green Development Bank พร้อมช่วยเหลือเยียวยาลูกค้าให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างไม่สะดุดและต่อเนื่องท่ามกลางปัญหาและปัจจัยท้าทายต่างๆ ลูกค้าสอบถามแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือได้โดยลงทะเบียนผ่าน www.exim.go.th สอบถาม EXIM Contact Center โทร. 0-2169-9999

#EXIMBANK #น้ำท่วม67 #อุทกภัย #ภาคเหนือ #น้ำท่วม

 

 

ตลาดหลักทรัพย์ฯจับมือ EXIM BANK แลกเปลี่ยนข้อมูล ESG ส่งเสริมสินเชื่อเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมุ่งพัฒนาทุกภาคส่วนให้เติบโตไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน โดยมีการลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ภายใต้โครงการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูล ESG เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนระบบนิเวศสำหรับการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance) รวมถึงข้อมูลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ผ่านระบบ ESG Data Platform และสนับสนุนระบบ SET Carbon สำหรับลูกค้าของธนาคารให้มีการดำเนินงานตามเป้าหมายความยั่งยืน โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ และ EXIM BANK จะร่วมกันพัฒนาสินเชื่อจากการใช้ข้อมูลด้าน ESG ประกอบการพิจารณา ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2567 และเริ่มให้บริการในปี 2568

ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ เล็งเห็นถึงความต้องการข้อมูลด้าน ESG ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งในกลุ่มผู้ลงทุน และสถาบันการเงินที่นำข้อมูล ESG ไปใช้ประกอบการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินการลงทุนเพื่อวัตถุประสงค์ด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เร่งพัฒนาเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มรองรับข้อมูล ESG ซึ่งปัจจุบันมีระบบจัดการข้อมูลด้าน ESG เช่น ระบบ SET ESG Data Platform ที่ให้บริการข้อมูลตั้งแต่ปี 2566 โดยรวบรวมข้อมูลด้าน ESG ของ บจ.กว่า 700 บริษัท อีกทั้งพัฒนาระบบ SET Carbon ที่อยู่ระหว่างการทดลองใช้ระบบโดย บจ. นำร่องในปี 2567 และจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในปี 2568 ซึ่งจะช่วยให้ บจ.และบริษัทในห่วงโซ่อุปทานสามารถจัดทำและทวนสอบข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพบนระบบงานเดียว นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังเดินหน้าสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศเพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนและนำข้อมูลไปใช้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการใช้ข้อมูล ESG เพื่อการระดมทุนและการลงทุน ความร่วมมือกับ EXIM BANK ครั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เชื่อมั่นว่าจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ภาคธุรกิจเข้าถึงแหล่งเงินทุนและเครื่องมือทางการเงินมากยิ่งขึ้น ถือเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาระบบนิเวศทางการเงินที่ยั่งยืนของประเทศไทย

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK)  เปิดเผยว่า ภาคการเงินการธนาคารมีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนการเติบโตอย่างสมดุล ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมถึงการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมโลกในปัจจุบัน ธนาคารทั่วโลกโดยเฉพาะในกลุ่มธนาคารเพื่อการพัฒนา (Development Banks) มีบทบาทสำคัญในการเป็นแหล่งเงินทุนสนับสนุนให้ภาคธุรกิจปรับตัวและเติบโตได้มากถึง 1 ใน 3 ของมูลค่า Climate Finance ของโลก EXIM BANK ในฐานะธนาคารเพื่อการพัฒนาสีเขียวของประเทศไทย (Green Development Bank) ได้พัฒนานวัตกรรมทางการเงินสีเขียว (Greenovation) ที่สนับสนุนโครงการหรือธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ความร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ในครั้งนี้นับเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน โดยใช้ฐานข้อมูลที่ได้มาตรฐานสากลมาเป็น Input ในการขับเคลื่อนการพัฒนาภาคการเงินการธนาคารของไทยไปสู่ความยั่งยืน ช่วยส่งเสริมให้ภาคธุรกิจคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (ESG) มากยิ่งขึ้น ข้อมูลด้าน ESG จากตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยให้ธนาคารดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ขณะที่ภาคธุรกิจได้รับการส่งเสริมให้เข้าถึงผลิตภัณฑ์และสิทธิประโยชน์ทางการเงินต่าง ๆ ตลอดจนการเข้าร่วมอยู่ในห่วงโซ่คุณค่าของการส่งออกสีเขียว (Green Export Supply Chain) สามารถพัฒนาการจัดทำรายงานและวางแผนเพื่อการจัดการก๊าซเรือนกระจกได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ พร้อมปฏิบัติตามมาตรฐานสากลด้านสิ่งแวดล้อม และบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ EXIM BANK จะเชื่อมต่อและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินการและเพิ่มโอกาสให้กับผู้ประกอบการที่ต้องการเงินลงทุนในการสนับสนุนเป้าหมายด้านความยั่งยืน และร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์การเงิน บริการ รวมถึงสิทธิประโยชน์ให้กับผู้มีส่วนได้เสีย นอกจากนี้ จะต่อยอดและพัฒนาระบบนิเวศด้านความยั่งยืนเพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถดำเนินงาน ปรับปรุง พัฒนา หรือวางแผนการจัดการด้านการลงทุนในกิจการ เพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนและเป้าหมายทางธุรกิจ โดยเฉพาะแนวทางการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 

#ตลาดหลักทรัพย์ #ข่าววันนี้ #EXIMBANK #สินเชื่อ 

 

 

 

"EXIM BANK" ขานรับนโยบายกระทรวงการคลัง เสนอขาย Blue Bond สกุลบาทครั้งแรก

EXIM BANK ขานรับนโยบายกระทรวงการคลัง เสนอขาย Blue Bond สกุลบาทครั้งแรก ระดมทุนสนับสนุนธุรกิจอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและ Blue Economy พัฒนาระบบนิเวศที่ยั่งยืนและสังคมคาร์บอนต่ำ

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมแสดงความยินดีกับนายบัณฑิต สะเพียรชัย ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ดร.วโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล ประธานกรรมการกำกับความเสี่ยง EXIM BANK และ ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK พร้อมด้วยนายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) นางสาวปภากร รัตนเศรษฐ รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กลุ่มลงทุนและบริหารการเงิน นายโกสินทร์ พึงโสภณ ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสภาคการเงิน ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) และผู้แทนกลุ่มนักลงทุนและลูกค้า EXIM BANK ในงานแถลงข่าวความสำเร็จการออกพันธบัตรเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (ทรัพยากรทางทะเล) (Blue Bond) โดยมีธนาคารกรุงศรีอยุธยาและธนาคารออมสินเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย นับเป็นครั้งแรกที่สถาบันการเงินไทยออก Blue Bond สกุลบาท อายุ 3 ปี วงเงินรวม 3,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.78% ต่อปี ภายใต้ Sustainable Finance Framework ซึ่ง ADB เป็นที่ปรึกษาการจัดทำ และให้การรับรองการออก Blue Bond โดย DNV (Thailand) Co., Ltd. ซึ่งเป็นองค์กรรับรองมาตรฐานชั้นนำระดับโลก และได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ AAA จาก Fitch Ratings สะท้อนถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและมั่นคงของ EXIM BANK เพื่อระดมทุนไปใช้สนับสนุนสินเชื่อของธนาคารให้แก่ธุรกิจที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่ง ตอบสนองวิสัยทัศน์ประเทศไทย “IGNITE THAILAND” และนโยบายรัฐบาลในการขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ณ EXIM BANK สำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2567

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า วิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้นานาประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยตระหนักถึงความจำเป็นในการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม มีหมุดหมายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2608 โดยให้ความสำคัญและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมครบทุกมิติ รวมถึงทรัพยากรทางทะเลซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งมีชีวิตและทรัพยากรที่หลากหลาย ตลอดจนเป็นแหล่งผลิตออกซิเจนสำคัญของโลก การเดินหน้าสู่เศรษฐกิจสีเขียวจึงไม่อาจมองข้ามการพัฒนาเศรษฐกิจสีน้ำเงิน (Blue Economy) ได้ เพื่อดำรงรักษาที่อยู่อาศัยของประชากรโลกกว่า 3,000 ล้านคน สร้างการจ้างงานมากถึง 820 ล้านคนในอุตสาหกรรมประมงและที่เกี่ยวเนื่อง ขณะที่ 80% ของปริมาณการค้าโลกเป็นการขนส่งทางทะเล UNCTAD จึงประเมินค่า Blue Economy ของโลกอยู่ที่ราว 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ World Economic Forum คาดการณ์ว่า โลกจะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากมหาสมุทร ทะเลและทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน (SGD ที่ 14) ได้ต้องใช้เงินลงทุนด้าน Blue Finance มากถึงราว 175,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี แต่ในช่วงปี 2558-2562 มีเงินลงทุนจริงไม่ถึง 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี นั่นหมายถึงยังมี GAP อีกมากถึงเกือบ 165,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี

ดร.เผ่าภูมิ กล่าวอีกว่า ข้อมูลจาก ADB ระบุว่า ประเทศไทยมีมูลค่าเศรษฐกิจทางทะเลและที่เกี่ยวเนื่องมากถึง 30% ของ GDP ครอบคลุมในหลายอุตสาหกรรม คิดเป็นสัดส่วนการจ้างงานถึง 26% ของการจ้างงานรวม รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืนมาโดยตลอดผ่านการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การออก Blue Bond ของ EXIM BANK ในครั้งนี้นับเป็นนวัตกรรมทางการเงินสีเขียวที่ช่วยเติมเต็มเศรษฐกิจสีเขียว ผนวกกับเศรษฐกิจสีน้ำเงิน เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่กับการดูแลรักษาระบบนิเวศอย่างยั่งยืน นำไปสู่การพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมทั้งบนผืนดินและมหาสมุทรอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ประเทศไทย “IGNITE THAILAND” โดยความร่วมมือระหว่างสถาบันการเงินเพื่อพัฒนาประเทศไทยเป็น Financial Hub เพื่อความยั่งยืน

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง ยังคงเดินหน้าสู่บทบาท Green Development Bank เสริมสร้างระบบนิเวศของภาคการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศของไทยให้ตอบโจทย์การเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำตลอด Supply Chain ครอบคลุมเศรษฐกิจทางทะเลและชายฝั่ง รวมถึงระบบนิเวศที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำและการพัฒนาอย่างยั่งยืน EXIM BANK ได้ออกพันธบัตรเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันเป็นจำนวนรวม 11,500 ล้านบาทตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา โดย Blue Bond ที่ EXIM BANK เสนอขายวงเงินรวม 3,000 ล้านบาทได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่จนสามารถเสนอขายได้เต็มจำนวนวงเงิน มียอดจองซื้อสูงถึง 2.5 เท่าของวงเงินที่เสนอขาย การระดมทุนในครั้งนี้จะนำไปส่งเสริมและสนับสนุนแก่ภาคธุรกิจและผู้ประกอบการที่ให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืน อาทิ ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยวทางทะเล การประมง รวมถึงการเพาะเลี้ยงพืชและสัตว์น้ำ การจัดการและบำบัดน้ำเสีย การรีไซเคิลขยะจากทะเล และพาณิชยนาวี เป็นต้น

นอกจากนี้ EXIM BANK ยังพัฒนาเครื่องมือทางการเงินใหม่ ๆ อาทิ สินเชื่อเพื่อธุรกิจเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรทางทะเล (Blue Economy) ภายใต้แนวทาง Sustainability Linked Loan (SLL) ประกอบด้วยสินเชื่อหมุนเวียนและสินเชื่อระยะยาวสำหรับผู้ประกอบการทุกขนาดธุรกิจ อัตราดอกเบี้ยต่ำสุด 3.85% ต่อปี วงเงินอนุมัติสูงสุด 200 ล้านบาท ทั้งนี้ EXIM BANK มีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนจากราว 37% ในปัจจุบัน เป็น 50% ของพอร์ตสินเชื่อทั้งหมดภายในปี 2570

“Blue Bond ครั้งนี้มิใช่เพียงเครื่องมือทางการเงิน แต่เป็นกลไกความร่วมมือและความมุ่งมั่นของ EXIM BANK ร่วมกับกระทรวงการคลัง ตลอดจนหน่วยงานพันธมิตรจากภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติจากผืนดินสู่มหาสมุทร ร่วมกันแก้ไขปัญหาโลกเดือด และสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี เพื่อสร้างโลกที่น่าอยู่ขึ้นสำหรับพวกเราทุกคน” ดร.รักษ์ กล่าว

#EXIMBANK #ข่าววันนี้ #คลัง #BlueBond #เงินบาท

 

BOI จับมือ EXIM BANK ยกระดับความร่วมมือดึงดูด FDI พร้อมสนับสนุนทางการเงินนักลงทุนไทย ขยายตลาด 

BOI จับมือ EXIM BANK ยกระดับความร่วมมือดึงดูด FDI พร้อมสนับสนุนทางการเงินแก่นักลงทุนไทย ขยายตลาด Supply Chain มุ่งสู่ความยั่งยืน

วันที่ 9 ก.ค.67 นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ร่วมกับ ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ผสานพลังดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และสนับสนุนผู้ประกอบการไทยตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) รวมทั้งสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้ยกระดับประสิทธิภาพการผลิตสู่ธุรกิจสีเขียว และเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทยให้พร้อมลงทุนในต่างประเทศ

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เปิดเผยว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง BOI และ EXIM BANK ในวันนี้ถือเป็นการผนึกกำลังและประสานจุดแข็งของทั้งสององค์กร เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการไทยที่ต้องการขยายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการดึงดูดกลุ่มนักลงทุนเป้าหมายจากต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในไทย โดย EXIM BANK เป็นธนาคารที่มีความเชี่ยวชาญด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ รวมถึงมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย ทั้งสินเชื่อในรูปแบบต่าง ๆ การประกันความเสี่ยง และบริการสนับสนุนการนำเข้า - ส่งออก ในขณะที่ BOI เป็นหน่วยงานส่งเสริมการลงทุนที่มีเครือข่ายนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติที่กว้างขวาง มีสำนักงานในต่างประเทศ 17 แห่ง และในภูมิภาค 7 แห่งที่พร้อมดูแลนักลงทุนในพื้นที่ อีกทั้งมีเครื่องมือสิทธิประโยชน์เพื่อส่งเสริมการลงทุนในด้านต่าง ๆ เช่น การยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบ การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล การอนุญาตให้ถือครองที่ดินเพื่อประกอบกิจการที่ได้รับการส่งเสริม การอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน และเงินอุดหนุนผ่านกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ เป็นต้น

นอกจากนี้ BOI ยังมีการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาผู้ประกอบการไทย เช่น หลักสูตรอบรม "สร้างนักลงทุนไทยในต่างประเทศ” ซึ่งได้จัดทุกปีรวมกว่า 21 รุ่น มีผู้ผ่านการอบรมแล้วกว่า 740 คน และออกไปลงทุนต่างประเทศแล้วกว่า 300 ราย รวมทั้งมีการจัดงาน Thai Subcontractor Exhibition (Thai Subcon) และ Sourcing Day ร่วมกับบริษัทชั้นนำจากทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องจักร เพื่อส่งเสริมการยกระดับผู้ประกอบการไทยให้เข้าสู่ Supply Chain ระดับโลก

“BOI และ EXIM BANK มีภารกิจร่วมกันในการเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทยให้สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ทั้งในแง่การขยายกิจการในประเทศและการออกไปแสวงหาโอกาสทางธุรกิจในต่างประเทศ รวมถึงการสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศเข้าสู่ประเทศไทย การผนึกกำลังความร่วมมือของ BOIและ EXIM BANK ในครั้งนี้ จะช่วยประสานจุดแข็งของทั้งสององค์กร เพื่อผลักดันให้เกิดโครงการลงทุนต่าง ๆ ที่เป็นรูปธรรมและเป็นประโยชน์ต่อประเทศมากยิ่งขึ้น” นายนฤตม์ กล่าว

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ความร่วมมือครั้งนี้เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการที่สนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยหรือต้องการไปลงทุนในต่างประเทศเข้าถึงบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ตามความต้องการ และใช้ประโยชน์จากเครือข่ายของทั้งสองหน่วยงาน โดยเชื่อมโยงความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน สมาคมอุตสาหกรรม และบริการด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนการขยายธุรกิจ EXIM BANK พร้อมทำงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร แลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ให้คำปรึกษาแนะนำแก่ผู้ประกอบการในเครือข่ายสมาชิกหรือลูกค้าของแต่ละหน่วยงาน รวมถึงการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) สัมมนาอบรมความรู้ด้านการค้าและการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ กิจกรรมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ ตลอดจนสนับสนุนเครื่องมือบริหารจัดการความเสี่ยงด้านการค้าและการลงทุน

ทั้งนี้ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ EXIM BANK นำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินในอัตราดอกเบี้ยพิเศษแก่ผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI และดำเนินธุรกิจเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.5% ต่อปีในปีแรก สำหรับสินเชื่อ EXIM Green Goal และสินเชื่อ EXIM Solar D-Carbon Financing สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการลงทุนระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ภายในกิจการ เช่น การติดตั้ง Solar Rooftop, Solar Farm และ Solar Floating พร้อมได้สิทธิในการขึ้นทะเบียนคาร์บอนและรับรองคาร์บอนเครดิต รวมถึงสินเชื่อ EXIM Extra Transformation สำหรับผู้ส่งออกในกลุ่มอุตสาหกรรม S-curve เพื่อยกระดับภาคการผลิตของไทย การลงทุนเพื่อซื้อหรือปรับปรุงเครื่องจักร อุปกรณ์ ต่อเติม/ปรับปรุง/ก่อสร้างอาคารโรงงานพัฒนาหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ เพื่อลดต้นทุนการผลิตและยกระดับกิจการ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีใหม่และการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตให้มีศักยภาพยิ่งขึ้น

“EXIM BANK มุ่งสู่บทบาท Green Development Bank พร้อมเติมความรู้ เติมโอกาส และเติมเงินทุนให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันได้อย่างยั่งยืน และต่อยอดการพัฒนาอย่างยั่งยืนของไทยและโลกโดยรวม ผ่านบริการส่งเสริมการค้าและการลงทุน ทั้งการลงทุนของต่างประเทศในไทย (Foreign Direct Investment: FDI) และการลงทุนโดยตรงของไทยในต่างประเทศ (Thai Direct Investment: TDI) เพื่อร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ให้เกิดการจ้างงานและการพัฒนาทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เสริมสร้างความแข็งแกร่งของผู้ประกอบการทุกระดับตลอด Supply Chain โดยเฉพาะ Green Export Supply Chain” ดร.รักษ์กล่าว

#BOI #ข่าววันนี้ #EXIMBANK #ลงทุน 

 

 

EXIM BANK จับมือ กรมพัฒนาฯและ สสว. จัด "มหกรรมรวมพลัง SME ไทย" ยกระดับผปก.SMEs ให้แข่งขันได้ในเวทีโลก

เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2567 นางสาวดรัสวันต์ ชูวงษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ร่วมงานแถลงข่าว “มหกรรมรวมพลัง SME ไทย (Thailand SME Synergy Expo 2024)” จัดโดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ซึ่งกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-23 มิถุนายน 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก โดย EXIM BANK ออกบูทให้คำปรึกษาด้านการส่งออก เติมความรู้ เติมโอกาส และเติมเงินทุนให้แก่ SMEs ไทยให้สามารถส่งออกได้อย่างยั่งยืน

ทั้งนี้นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานในพิธี และผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ได้ร่วมกันถ่ายภาพ ณ กระทรวงพาณิชย์

"EXIM BANK" ขานรับนโยบายกระทรวงการคลัง ปักหมุดพัฒนาระบบนิเวศสีเขียวและสังคมคาร์บอนต่ำ

EXIM BANK ขานรับนโยบายกระทรวงการคลัง ปักหมุดพัฒนาระบบนิเวศสีเขียวและสังคมคาร์บอนต่ำ ชูความสำเร็จโครงการบัตรเงินฝากสีเขียวภายใต้ Sustainable Finance Framework ครั้งแรกในไทย

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมแสดงความยินดีในความสำเร็จของโครงการบัตรเงินฝากสีเขียว (Green Certificate of Deposit) ซึ่งธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) มีแผนเสนอขายภายในปี 2567 เป็นครั้งแรก มูลค่ารวม 5,000 ล้านบาท โดยตอบสนองนโยบายรัฐบาลในการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบนิเวศคาร์บอนต่ำและการพัฒนาอย่างยั่งยืนตั้งแต่ระดับชุมชนไปจนถึงประเทศชาติและโลกโดยรวม นับเป็นครั้งแรกของการพัฒนาผลิตภัณฑ์บัตรเงินฝากสีเขียวภายใต้ Sustainable Finance Framework ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากลโดย DNV (Thailand) Co., Ltd. เพื่อระดมทุนไปใช้สนับสนุนธุรกิจการค้าและการลงทุนของผู้ประกอบการไทยทั้งในและต่างประเทศที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า จากปัญหาสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้นทุกขณะ ทำให้รัฐบาลหลายประเทศต่างออกมาตรการทางการค้าด้านสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้นถึงราว 18,000 มาตรการ เฉลี่ยปีละ 16% ในช่วงปี 2556-2565 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะตลาดส่งออกสำคัญของไทย อาทิ สหรัฐฯ สหภาพยุโรป (EU) ญี่ปุ่น จีน และอินเดีย ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันคิดเป็น 51% ของมูลค่าส่งออกรวมในปี 2566 ขณะที่ปัจจุบันประเทศไทยยังส่งออกสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจำนวนไม่มากนัก ในปี 2564 มีสัดส่วนอยู่ที่ 7.6% ของมูลค่าส่งออกรวม เทียบกับสัดส่วนที่ค่อนข้างสูงในประเทศอื่น เช่น เยอรมนี 15.4% ญี่ปุ่น 15% จีน 10.4% และเกาหลีใต้ 10.2% จึงถึงเวลาแล้วที่ผู้ส่งออกไทยต้องเร่งปรับตัวและปฏิบัติตาม เพื่อให้แข่งขันได้ในตลาดการค้าโลก ในขณะเดียวกัน สถาบันการเงินต้องเร่งขยายบทบาทช่วยเหลือผู้ประกอบการให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับปรับตัวดังกล่าว ซึ่งทั่วโลกยังต้องการการสนับสนุนทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Finance) อีกมาก จากข้อมูลพบว่า Climate Finance ของโลกเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่ำกว่าตัวเลขประเมินความต้องการทางการเงินเพื่อป้องกัน Climate Change เฉลี่ย 8.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือต่ำกว่าอยู่ราว 6 เท่าตัว โดยความต้องการทางการเงินดังกล่าวเป็นการประเมินการลงทุนด้านต่าง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส นั่นหมายความว่า การลงทุนของโลกเพื่อป้องกัน Climate Change ในปัจจุบันยังไม่เพียงพอที่จะหยุดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิไม่ให้สูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสตามเป้าหมาย

โดยโครงการบัตรเงินฝากสีเขียวของ EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง นับเป็นการบูรณาการความร่วมมือของภาครัฐและภาคเอกชนในการพัฒนาเครื่องมือทางการเงินสีเขียวเพื่อร่วมกันเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ บรรลุเป้าหมายของประเทศไทยสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2608 โดยนับจากนี้ เราจะเริ่มเห็นความสำเร็จเป็นรูปธรรมเพิ่มมากขึ้นของการสร้าง Green Export Supply Chain ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ นับตั้งแต่ขั้นตอนการจัดหาเงินทุน วัตถุดิบ กระบวนการผลิต และส่งมอบสินค้า ตลอดจนโลจิสติกส์ที่ไม่ทำร้ายสิ่งแวดล้อม ใช้พลังงานสะอาดเพิ่มมากขึ้น และสร้างระบบนิเวศเศรษฐกิจสีเขียวและยั่งยืนเพิ่มมากขึ้น

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า ด้วยความมุ่งมั่นที่จะพัฒนานวัตกรรมทางการเงินสีเขียว (Greenovation) ภายใต้บทบาท Green Development Bank เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน EXIM BANK มีแผนจะเสนอขายบัตรเงินฝากสีเขียวภายใต้ Sustainable Finance Framework ที่รับรองโดย DNV (Thailand) Co., Ltd. เป็นครั้งแรกในประเทศไทย วงเงินรวม 5,000 ล้านบาทภายในปี 2567 โดยเริ่มออกเสนอขายรุ่นแรกในเดือนเมษายนที่ผ่านมาจำนวน 1,300 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากหน่วยงานพันธมิตรภาครัฐ ประกอบด้วย การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) การประปาส่วนภูมิภาค (กปน.) การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค โลจิสติกส์ และที่สำคัญคือ Climate Finance ที่จะนำไปสู่การสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเริ่มต้นและขยายธุรกิจรายย่อยจากระดับชุมชนเชื่อมโยงกับ Supply Chain การส่งออกสู่ตลาดโลกได้ เงินที่ได้จากการออกบัตรเงินฝากสีเขียวในครั้งนี้ EXIM BANK จะนำไปใช้เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนแก่ภาคธุรกิจและผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจสีเขียว รวมถึงกิจการที่ต้องการปรับปรุงกระบวนการผลิต ผ่านบริการต่างๆอาทิ EXIM Green Start, Solar D-Carbon Financing และ Green Guarantee เพื่อตอบโจทย์การดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้ครอบคลุมทั้ง Ecosystem มากที่สุด

#EXIMBANK #คลัง #ข่าววันนี้ #คาร์บอนต่ำ 

 

EXIM BANK ประกาศความสำเร็จออกพันธบัตรสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ผลตอบรับล้นหลามสะท้อนความเชื่อมั่นนักลงทุนชั้นนำทั่วโลก

EXIM BANK ประสบความสำเร็จในการเสนอขายพันธบัตรสกุลดอลลาร์สหรัฐ มูลค่า 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.354% ต่อปี ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนชั้นนำทั่วโลก ด้วยยอดจองซื้อสูงกว่า 3,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อสถานะทางการเงินและการดำเนินภารกิจของ EXIM BANK ในการสนับสนุนและส่งเสริมการส่งออกและการลงทุนทั้งในและต่างประเทศของผู้ประกอบการไทย ขับเคลื่อนเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงในการเสนอขายพันธบัตรสกุลดอลลาร์สหรัฐ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.354% ต่อปี มูลค่า 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยได้รับความสนใจจากนักลงทุนชั้นนำทั่วโลกทั้งจากภูมิภาคยุโรปและเอเชียอย่างท่วมท้น ด้วยยอดจองซื้อสูงกว่า 3,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อ EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง ซึ่งเดินหน้าสู่บทบาท Green Development Bank ขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยและโลกโดยรวม

โดยการระดมทุนด้วยการออกพันธบัตรสกุลดอลลาร์สหรัฐของ EXIM BANK ในครั้งนี้นับเป็นการออกและเสนอขายพันธบัตรสกุลดอลลาร์สหรัฐครั้งแรกในปีนี้ของผู้ออกตราสารหนี้จากประเทศไทย และมียอดจองซื้อสูงสุดสำหรับการออกพันธบัตรสกุลดอลลาร์สหรัฐในปี 2567 ของสถาบันการเงินจากภูมิภาคเอเชียใต้และอาเซียนจากกลุ่มนักลงทุนสถาบันคุณภาพชั้นนำจากทั่วโลกกว่า 130 ราย ได้แก่ ธนาคารกลาง กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Fund) บริษัทบริหารเงินลงทุน ธนาคาร และบริษัทประกัน

ทั้งนี้พันธบัตรดังกล่าวจดทะเบียนที่ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ และได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจาก Moody’s และ Fitch ที่ระดับ Baa1 และ BBB+ ตามลำดับ โดยมีผู้จัดการการจัดจำหน่ายพันธบัตร ได้แก่ BNP Paribas, Mizuho Securities Asia Limited, Standard Chartered Bank (Singapore) Limited และ The Hongkong and Shanghai Banking Corporation Limited, Singapore Branch

“เงินที่ได้จากการออกพันธบัตรในครั้งนี้ EXIM BANK จะนำไปใช้รองรับการขยายตัวของสินเชื่อเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการส่งออกและการลงทุนทั้งในและต่างประเทศของผู้ประกอบการไทยทุกขนาดธุรกิจและทุกอุตสาหกรรม เติมเต็ม Supply Chain การส่งออกไทย รวมถึงการสนับสนุนการปรับตัวทางธุรกิจของผู้ประกอบการไทยให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงและรับมือความท้าทายของตลาดโลกได้ โดยเชื่อมโยงการพัฒนาธุรกิจกับการพัฒนาในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน และแข่งขันได้อย่างยั่งยืนในตลาดการค้าโลก” ดร.รักษ์ กล่าว

#EXIMBANK #ข่าววันนี้ #พันธบัตร #ลงทุน 

 

EXIM BANK ชี้ ศก.ไทยปี 67 ลุ้นส่งออกขยายตัวครั้งแรกในรอบ 2 ปี แนะผู้ประกอบการปรับตัว-หาโอกาสใหม่ในตลาดโลก

EXIM BANK ชี้เศรษฐกิจไทยปี 2567 ส่งสัญญาณฟื้นตัว เครื่องยนต์สำคัญขยายตัวพร้อมกันในรอบ 6 ปี ทั้งการบริโภคและการลงทุนภาครัฐและภาคเอกชน การท่องเที่ยว ตลอดจนการส่งออกซึ่งมีโอกาสขยายตัวครั้งแรกในรอบ 2 ปี โดยเฉพาะสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องใช้ในบ้าน อุปกรณ์ Gadgets และสินค้ารักษ์โลก ที่มีมูลค่าเพิ่มและผู้บริโภคทั่วโลกยินดีจับจ่าย EXIM BANK ในฐานะ Green Development Bank เสนอผลิตภัณฑ์นวัตกรรมทางการเงิน (Greenovation) เป็นสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ สำหรับ Suppliers ผู้ผลิต และผู้ซื้อ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตลอด Supply Chain การส่งออกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สร้างระบบนิเวศและสังคมคาร์บอนต่ำ  

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2567 มีแนวโน้มกลับมาขยายตัวอยู่ที่ระดับ 2-3% เนื่องจากเครื่องยนต์สำคัญกลับมาขยายตัวพร้อมกันในรอบ 6 ปี ได้แก่ การบริโภคและการลงทุนทั้งภาครัฐและภาคเอกชน การท่องเที่ยว ตลอดจนเครื่องยนต์สำคัญอย่างการส่งออกซึ่งหดตัวในปีที่ผ่านมา มีแนวโน้มขยายตัวครั้งแรกในรอบ 2 ปี ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ การฟื้นตัวช้าของภาคการผลิต และหนี้ครัวเรือนในระดับสูง ทั้งนี้ เป็นผลจากเศรษฐกิจโลกและการค้าโลกในปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัว 3.2% และ 2.8% ตามลำดับ ราคาน้ำมันโลกและราคาโภคภัณฑ์ต่าง ๆ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาสินค้าส่งออกปรับตัวสูงขึ้นตาม

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยต้องปรับตัวและแสวงหาโอกาสใหม่ๆในตลาดโลก โดยยกระดับคุณภาพและมูลค่าสินค้าเพื่อเจาะตลาดที่มีความต้องการสินค้าไทย โดยเฉพาะสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องใช้ในบ้าน อุปกรณ์ Gadgets และสินค้ารักษ์โลก ขณะเดียวกันต้องติดตามข่าวสารและปฏิบัติตามมาตรการทางการค้าด้านสิ่งแวดล้อมในการส่งออกไปตลาดสำคัญของโลก เช่น สหรัฐฯ สหภาพยุโรป (EU) จีน ญี่ปุ่น และอินเดีย ซึ่งคิดเป็น 51% ของมูลค่าส่งออกรวมของไทยในปี 2566 ทั้งนี้ ข้อมูลจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า ในปี 2564 สัดส่วนการส่งออกสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของไทยอยู่ที่ 7.6% ของมูลค่าส่งออกรวม ต่ำกว่าหลายประเทศ อาทิ เยอรมนี (15.4%) ญี่ปุ่น (15%) จีน (10.4%) และเกาหลีใต้ (10.2%)

EXIM BANK จึงได้พัฒนา Greenovation ที่มุ่งยกระดับสินค้าส่งออกของไทยเป็นสินค้ารักษ์โลกหรือ Green Products ควบคู่กับการสร้าง Green Export Supply Chain ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบที่ไม่ทำร้ายสิ่งแวดล้อม กระบวนการผลิตที่ลดการปล่อยมลภาวะ บรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายเองได้ตามธรรมชาติ และการขนส่งที่ใช้พลังงานสะอาด เป็นต้น นับเป็นธนาคารแรก ๆ (Lead Bank) ที่มี Solution ทางการเงินช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ครบทุก Scope ทั้ง 1-2-3 กล่าวคือ สนับสนุนการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตให้สะอาดขึ้น การใช้พลังงานหมุนเวียน และการช่วยให้ Suppliers ดำเนินธุรกิจอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดย EXIM BANK สนับสนุนสินเชื่อให้แก่ Green Export Supply Chain  อัตราดอกเบี้ยพิเศษ เริ่มต้นที่ 3.85% ต่อปี ให้แก่ Suppliers และผู้ซื้อปลายทางของผู้ประกอบการตลอด Supply Chain ที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก ช่วยให้ผู้ประกอบการรายเล็ก รายกลาง และรายใหญ่ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนด้วยต้นทุนที่ต่ำได้ โดยอ้างอิงอัตราดอกเบี้ยที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ (Sponsors) ได้รับ

สำหรับผลการดำเนินงานของ EXIM BANK ในเดือนมกราคม-มีนาคม 2567 EXIM BANK สนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกและขยายการค้าและการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ควบคู่กับการยกระดับธุรกิจไทยให้คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (ESG) สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

• สนับสนุนธุรกิจไทยสู่เวทีโลก : มีวงเงินอนุมัติสินเชื่อใหม่ 5,853 ล้านบาท มีสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพัน 174,196 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11,474 ล้านบาท หรือ 7.05% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  

• ส่งต่อความยั่งยืนเพื่อสังคม : มีสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพันที่เป็น ESG 67,310 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 38.64% ของยอดทั้งหมด และเพิ่มขึ้นถึง 55.19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในจำนวนนี้เป็น SMEs จำนวน 12,475 ล้านบาท

• สร้างโอกาสการลงทุน : มีสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพันเพื่อการลงทุน 127,516 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพันในโครงการระหว่างประเทศทั้งสิ้น 50,210 ล้านบาท เมื่อจำแนกเป็นรายตลาดที่สำคัญ EXIM BANK สนับสนุนธุรกิจไทยให้ขยายไปกลุ่มประเทศ CLMV และ New Frontiers ที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง โดยมีสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพันในกลุ่ม CLMV และ New Frontiers จำนวน 43,257 ล้านบาท

• เสริมเกราะป้องกันความเสี่ยง : EXIM BANK มีปริมาณธุรกิจบริการประกันการส่งออกและการลงทุนเท่ากับ 54,092 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.45% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2567 EXIM BANK มีจำนวนลูกค้า 5,607 ราย ในจำนวนนี้เป็นลูกค้า SMEs มากถึง 81.15% นอกจากนี้ EXIM BANK ยังสนับสนุนผู้ประกอบการอย่างครบวงจร ผ่านการบ่มเพาะ/ให้ความรู้ จับคู่ทางธุรกิจ และให้คำปรึกษาทางการเงิน ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2567 EXIM BANK ได้ส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการสะสมประมาณ 19,840 ราย

ขณะเดียวกัน EXIM BANK ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทางการเงินเพื่อความยั่งยืน โดยมีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) จำนวน 8,600 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2567 เท่ากับ 4.99% และมีค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss) จำนวน 15,972 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง คิดเป็นอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Coverage Ratio) 185.72% ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 EXIM BANK มีกำไรจากการดำเนินงาน 805 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.71% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 132 ล้านบาท

“ปี 2567 EXIM BANK เดินหน้า Go the Extra Mile ชูบทบาท Green Development Bank สร้าง Greenovationช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยทุกขนาดธุรกิจใน Green Export Supply Chain ให้ได้รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษโดยอ้างอิงกับผู้ประกอบการรายใหญ่ พัฒนาสินค้ารักษ์โลกของไทยสู่ตลาดโลก เร่งเครื่องภาคส่งออกของไทยขยายตัวครั้งแรกในรอบ 2 ปี สร้างสังคมคาร์บอนต่ำ แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมโลก พร้อมขานรับนโยบายรัฐบาลปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate เทียบเท่า MRR รวม 0.40% ต่อปีนับแต่ต้นปีนี้ เหลือ 6.35% ต่อปี เป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีที่ต่ำที่สุดในระบบธนาคาร ช่วยลดภาระให้กับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs อีกทั้งยังพัฒนา Greenovation อย่างต่อเนื่อง เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนตั้งแต่ระดับชุมชน ประเทศชาติ และโลกโดยรวม” ดร.รักษ์ กล่าว

#EXIMBANK #ข่าววันนี้ #ส่งออก #ดอกเบี้ย #เอสเอ็มอี #สินเชื่อ

 

 

 

EXIM BANK ขานรับนโยบายรัฐบาลลดดอกเบี้ย MRR 0.25% ช่วยรายย่อย-เอสเอ็มอี มีผล 30 เม.ย.นี้

EXIM BANK ขานรับนโยบายรัฐบาลลดดอกเบี้ย MRR 0.25% ช่วยรายย่อย-เอสเอ็มอี มีผล 30 เม.ย.นี้

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate 0.25% ต่อปี จาก 6.60% เหลือ 6.35% ต่อปี (อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ EXIM BANK ใช้สำหรับลูกค้าทั่วไปและลูกค้า SMEs เทียบเท่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีหรือ MRR ของธนาคารพาณิชย์) นับเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีที่ต่ำที่สุดในระบบ เป็นเวลา 6 เดือน เพื่อเป็นการขานรับนโยบายของนายกรัฐมนตรี ในการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการกลุ่มเปราะบางและ SMEs โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2567 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate ในครั้งนี้เป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.15% ต่อปีเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2567 เพื่อเป็นของขวัญแก่ผู้ประกอบการในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา และเมื่อรวมกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ EXIM BANK จึงได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวม 0.40% ต่อปี เพื่อช่วยลดภาระให้กับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง และ SMEs สอดคล้องกับภารกิจของ EXIM BANK ในการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้มีสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ บรรเทาภาระหนี้และต้นทุนทางธุรกิจ และสามารถปรับตัวให้แข่งขันในเวทีโลกได้อย่างยั่งยืนในสภาวะที่เศรษฐกิจไทยเติบโตในอัตราที่ช้าลง ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินยังอยู่ในระดับสูง

#EXIMBANK #ลดดอกเบี้ย #ข่าววันนี้ #ดอกเบี้ยเงินกู้ 

EXIM BANK จับมือเวฟ บีซีจี ผลักดันผู้ประกอบการ-เกษตรกรลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพิ่มขีดความสามารถแข่งขันในเวทีโลก

EXIM BANK จับมือเวฟ บีซีจี ผลักดันผู้ประกอบการและเกษตรกรไทยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ใช้พลังงานสะอาดแก้ปัญหาโลกร้อน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในเวทีโลก

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) และนายเจมส์ แอนดริว มอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวฟ บีซีจี จำกัด ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อสนับสนุนให้องค์กรต่าง ๆ รวมทั้งภาคธุรกิจของไทย บรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยใช้กลไกใบรับรองการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificates : RECs) และคาร์บอนเครดิต รวมทั้งส่งเสริมการใช้ทรัพยากรร่วมกันและแบ่งปันความรู้ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพองค์กรและการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระดับองค์กร ประเทศชาติ และโลกโดยรวม ณ EXIM BANK สำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2567

โดยความร่วมมือระหว่าง EXIM BANK และบริษัท เวฟ บีซีจี จำกัดในครั้งนี้สอดคล้องกับเป้าหมาย EXIM BANK สู่การเป็น Green Development Bank โดยตอบสนองนโยบายรัฐบาลและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ ขณะที่เวฟ บีซีจี เป็นผู้ให้บริการจัดหาและซื้อขาย RECs ครบวงจรอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย มีความสามารถในการจัดหา RECs จากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจำนวน 8,000,000 RECs ต่อปี และตั้งเป้าหมายเพิ่ม RECs ใน Portfolio เป็น 15,000,000 RECs ต่อปี เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยบรรลุเป้าหมายในการลดหรือชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้พลังงานและมีขีดความสามารถในการแข่งขันบนเวทีโลกเพิ่มมากขึ้น โดยบริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีด้าน Climate Technologies สำหรับโครงการปลูกข้าวนาเปียกสลับแห้ง (Alternative Wetting and Drying : AWD) ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการปลูกข้าวได้ถึง 45% โดยการบริหารจัดการความสมดุลของปริมาณน้ำในนาข้าว ลดการใช้น้ำ และเพิ่มผลผลิต เป็นโอกาสในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมพื้นฐานของประเทศไทยอย่างยั่งยืน

นายเจมส์ กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการทั่วโลกได้รับการกดดันจากปัญหาโลกร้อน ให้ต้องปรับตัวเพื่อเป็นทางรอด ไม่ใช่ทางเลือก ความร่วมมือระหว่างเวฟ บีซีจี กับ EXIM BANK ในครั้งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ยังอยู่ในระดับสูงใน 2 อุตสาหกรรมหลักของไทย ได้แก่ พลังงาน และเกษตร โดยเวฟ บีซีจี ร่วมกับ EXIM BANK จะเดินหน้าผลักดันให้ผู้ประกอบการ รวมทั้งเกษตรกรไทยหันมาใช้ RECs เป็นกลไกในการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดหรือพลังงานหมุนเวียนในประเทศไทย โครงการนำร่องได้แก่ การปลูกข้าวนาเปียกสลับแห้งเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อันจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการส่งออกสินค้าเกษตรและสร้างความแข็งแกร่งอย่างยั่งยืนให้แก่ภาคเกษตรของไทย

กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นหนึ่งในโครงการบุกเบิกที่ EXIM BANK จับมือกับเวฟ บีซีจี เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมให้เกิดการซื้อขายคาร์บอนเครดิต กระตุ้นให้เกิดความตระหนักรู้และลงมือทำจริงในการสร้างระบบนิเวศคาร์บอนต่ำ ตั้งแต่ต้นน้ำในภาคเกษตรกรรมและจนถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง กล่าวได้ว่า ทำให้เกิดการลดก๊าซเรือนกระจก อาทิ ก๊าซมีเทน ตั้งแต่แปลงนาข้าว ไปจนถึงการส่งเสริมให้มีผู้รับซื้อข้าวที่มีก๊าซมีเทนต่ำ ในอนาคต EXIM BANK จะขยายความร่วมมือกับพันธมิตรอื่นๆต่อไปเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนตลอด Supply Chain การส่งออกตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ EXIM BANK ตั้งเป้าหมายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2573 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ในปี 2593 เร็วกว่าเป้าหมายประเทศไทย 20 ปีและ 15 ปีตามลำดับ โดยธนาคารมีเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนให้เป็น 50% ของพอร์ตสินเชื่อทั้งหมดภายในปี 2571 ขณะเดียวกัน เวฟ บีซีจี ตั้งเป้าหมายที่จะส่งเสริมการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนในประเทศไทย นำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยและประชาคมโลก โดยใช้ RECs เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญสำหรับส่งเสริมให้เกิดการผลิตและการใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น ทั้งโดยตรงและโดยอ้อมในรูปแบบของการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร ทำให้ทุกภาคส่วน รวมถึงคนตัวเล็กในสังคม สามารถเข้าถึงพลังงานสะอาดได้ และมีส่วนร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำไปด้วยกัน

#EXIMBANK #เวฟบีซีจี #ก๊าซเรือนกระจก #ข่าววันนี้ #สยามรัฐวันนี้