“แบรนด์เนม มันนี่”ตั้งเป้าปี 71 พอร์ตสินเชื่อทะยาน1,000 ล้าน 

“แบรนด์เนม มันนี่” ฉลองครบรอบ1 ปี ยอดปล่อยสินเชื่อทะลุเป้า 200 ล้านบาท ตั้งเป้าพอร์ตโต 1,000 ล้านบาท ภายในปี 71 เดินหน้าวางแผนขายหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ปี 73  พร้อมเปิดพันธมิตรเข้าร่วมทุน หลังเนื้อหอมมีกลุ่มทุนและบริษัทในตลาดหุ้นหลายรายสนใจขอร่วมทุน พร้อมจัดแคมเปญขอบคุณลูกค้าจับมือร้านค้าพันธมิตรแบรนด์เนมมือ 2 ลดดอกเบี้ยสินเชื่อเดือนแรกลงเหลือ 0.88%ยาวถึงสิ้นปี

นายปพน มนัสภากร  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผู้ก่อตั้งบริษัท แบรนด์เนม มันนี่ จำกัด (Brandname Money) ผู้นำด้านบริการสินเชื่อเช่าซื้อและขายฝากแบรนด์เนม กระเป๋า นาฬิกา จิวเวลรี่ Luxury แห่งเดียวในประเทศไทย และสินเชื่อเช่าซื้อแบรนด์เนมแห่งแรกของโลก เปิดเผยว่า ในโอกาสที่ แบรนด์เนมมันนี่ ดำเนินธุรกิจมาครบ 1 ปี เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เราสามารถขยายพอร์ตการปล่อยสินเชื่อได้อย่างต่อเนื่อง เกินเป้าหมาย ล่าสุดเราสามารถปล่อยสินเชื่อได้กว่า 200 ล้านบาทแล้ว  แบ่งเป็นสินเชื่อจำนำหรือขายฝากสินค้าแบรนด์เนม LUXURY วงเงิน 150 ล้านบาท ,สินเชื่อเช่าซื้อหรือผ่อนไป-ใช้ไปวงเงิน 30 ล้านบาท และสินเชื่อผ่อนจบ-รับของ วงเงิน 20 ล้านบาท

นายปพน กล่าวต่อว่า ในโอกาสครบรอบ 1 ปี เราได้จัดแคมเปญคืนกำไรให้ลูกค้าขายฝาก โดยลดดอกเบี้ยลงเหลือ 0.50% (สำหรับเดือนแรก) และบริการย้ายค่าย (ย้ายการขายฝากจากที่เดิม มาฝากที่แบรนด์เนมมันนี่) โดยเราจะไถ่ถอนให้ฟรี หากลูกค้าต้องจ่ายดอกเบี้ยที่สูงกว่าและเสียค่าปรับจากการผิดนัดชำระหนี้ในอัตราสูง หรือยอดที่ฝากไว้กับที่เดิมได้วงเงินต่ำต้องการเพิ่มวงเงินสภาพคล่อง สามารถย้ายมาขายฝากที่เราได้   นอกจากนี้เรายังบริการไปรับของถึงที่บ้านฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย จากทีมรับของที่มีมาตรฐาน พร้อมอุปกรณ์กันกระแทก และประกันภัยสินค้า

ทั้งนี้ เราได้ทำแคมเปญร่วมกับพันธมิตรหรือพาร์ทเนอร์ ร้านขายสินค้าแบรนด์เนมมือสองชั้นนำ โดยปัจจุบันเรามีพันธมิตรร้านค้าจำนวนมากกว่า 70 ร้านค้าทั่วประเทศที่ในออนไลน์และออฟไลน์ เช่น ร้าน Bagnifique Brandname , SF Brandname, Clara Brandname ฯลฯ เพื่อกระตุ้นทั้งฝั่งคนขายและคนซื้อ ภายใต้ ecosystem ที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์

“ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดี ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ เพราะช่วงเศรษฐกิจไม่ดี คนจะนำแบรนด์เนมมาขายฝากเพิ่มมากขึ้น เพราะต้องการใช้เงิน ต้องการสภาพคล่องทางการเงิน โดยเราเข้าถึงง่ายและรวดเร็วกว่าแหล่งเงินทุนอื่น ที่ต้องยื่นเอกสาร รอผลอนุมัติที่ต้องใช้เวลา แต่เราใช้เวลาพิจารณาสินเชื่อไม่ถึงชั่วโมง โอนเงินให้ได้เลย  ในทางกลับกัน หากเศรษฐกิจดีขึ้น คนต้องการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น หากต้องการซื้อสินค้าแบรนด์เนม เรามีบริการสินเชื่อเช่าซื้อแบรนด์เนมทั้งของใหม่มือหนึ่งและมือสอง  ขณะที่บริษัทมีระบบการบริหารจัดการความเสี่ยง โดยพัฒนาระบบ Risk Management ของเราอยู่ตลอด ด้วยการอนุมัติที่รัดกุม ใช้เครดิตสกอร์ริ่ง และเกณฑ์พิจารณาสำหรับสินค้าแบรนด์เนมโดยเฉพาะ และมีทีมงาน Collection ติดตามหนี้ มีทีมงานกฎหมายที่เข้มแข็ง”

นายปพน กล่าวถึงทิศทางและเป้าหมายธุรกิจแบรนด์เนม มันนี่ว่า แผนงานระยะกลาง ตั้งแต่ปี 2569–2571 บริษัทตั้งเป้าปูพรมขยายสาขาและจุดรับขายฝากแบรนด์เนมทั่วประเทศ  พร้อมพัฒนาระบบ Credit Scoring และ AI Risk Model สำหรับสินค้าแบรนด์เนม LUXURY โดยเฉพาะ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการทางการเงินกับลูกค้า และเพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงของธุรกิจ โดยตั้งเป้าวงเงินปล่อยสินเชื่อแบรนด์เนมให้ถึง 1,000 ล้านบาท ภายปี 2571

โดยบริษัทจะใช้กลยุทธ์ จากความเป็นผู้เชี่ยวชาญสินค้าแบรนด์เนม และมีความเข้าใจคนที่ใช้สินค้าแบรนด์เนมอย่างแท้จริง เพราะเราทราบดีว่า ของทุกชิ้นไม่ได้มีแค่ “มูลค่า” แต่ยังมี “คุณค่า” ทางจิตใจ  ดังนั้นผู้ที่มีสินค้าแบรนด์เนม แต่มีความจำเป็นหรือต้องการใช้เงิน-ขาดสภาพคล่อง ขณะที่ไม่ต้องการเสียของรักไป  เขาสามารถนำมาขายฝากกับแบรนด์เนมมันนี่ โดยเราจะประเมินให้สินเชื่อในราคาตลาด ไม่กดราคาและคิดอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรมไม่เอาเปรียบ ส่วนผู้ที่ต้องการมีสินค้าแบรนด์เนมไว้ในครอบครอง ไม่จำเป็นต้องใช้เงินก้อนอีกต่อไป สามารถใช้บริการสินเชื่อกับเราได้ ตามสโลแกนของแบรนด์เนมมันนี่คือ “ใครๆก็ใช้แบรนด์เนมได้”

ส่วนแผนระยะยาวนั้น ตั้งเป้าหมายภายในปี 2573 จะระดมทุนกระจายขายหุ้น IPO และนำหุ้นเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อแปลงสภาพเป็นบริษัทมหาชน พร้อมเปิดโอกาสให้บริษัทในตลาดทุนร่วมลงทุน ซึ่งจากทิศทางธุรกิจของแบรนด์เนมมันนี่ ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เราจำเป็นต้องระดมเงินทุนเพื่อนำมาขยายพอร์ตขยายธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันมีสถาบันการเงินเสนอวงเงินกู้ให้เรา และยังมีบริษัทมหาชนที่อยู่ในตลาดหุ้น สนใจเข้ามาขอร่วมทุนกับ แบรนด์เนมมันนี่หลายราย แต่ทางเรายังไม่ได้มีการเจรจาหรือตอบตกลงกับรายใด

“เราต้องการเลือกพาร์ทเนอร์ ที่มีความเข้าใจและมีวิสัยทัศน์ใกล้เคียงกับเรามากที่สุด   เพราะเรามองไปไกลกว่าเพียงการปล่อยกู้ แต่เราอยากเป็นแหล่งเงินทุนหรือเป็นผู้สร้างสภาพคล่องทางการเงินให้กับคนรักแบรนด์เนมทั่วประเทศ ที่สำคัญแบรนด์เนมมันนี่ ต้องการสร้างสมดุลระหว่าง“การปล่อยกู้แบบไม่กดราคา” และ “เปิดโอกาสหรือเพิ่มการเข้าถึงแบรนด์เนมโดยไม่ต้องใช้เงินก้อน” สะท้อนวิสัยทัศน์ขององค์กรที่เชื่อว่า“ของทุกชิ้นไม่ได้มีแค่มูลค่าในตลาด แต่มีคุณค่าทางใจ เพราะเราเข้าใจเจ้าของแบรนด์เนมทุกคน และจะไม่ปล่อยให้ใครต้องเสียของรักไปโดยไม่จำเป็น”

ตลาดหลักทรัพย์ฯ และทีทีบี ผนึกกำลังปลุกธุรกิจไทยวัดคาร์บอน เพิ่มโอกาสเติบโตจากสินเชื่อยั่งยืน

ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ผนึกกำลังเพื่อขยายระบบนิเวศการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance) มุ่งสนับสนุนธุรกิจไทยให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนสีเขียว ด้วยการใช้ข้อมูล ESG พิจารณาสินเชื่อ และส่งเสริมให้ลูกค้าธนาคารมีระบบช่วยจัดการ คำนวณ และรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพผ่านระบบ SETCarbon ซึ่งจะทำหน้าที่เป็น “พาสปอร์ต” ให้ธุรกิจทุกขนาดสามารถเข้าถึงสินเชื่อที่มีสิทธิประโยชน์มากกว่าสินเชื่อทั่วไป ความตั้งใจร่วมกันของตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ทีทีบี จะเป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้ภาคธุรกิจบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน และเติบโตไปพร้อมกับการสร้างระบบการเงินที่ยั่งยืน

วันที่ 9 กันยายน 2568 นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ (ESG) โดยเฉพาะข้อมูลการบริหารจัดการสภาพภูมิอากาศ กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจลงทุนและกำหนดนโยบาย การเปิดเผยข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของธุรกิจที่พร้อมปรับตัวเพื่อรับมือกับความเสี่ยงและคว้าโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืน ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงได้พัฒนาระบบ SETCarbon เพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถยกระดับการเปิดเผยข้อมูลด้านการจัดการสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบัน มีบริษัทจดทะเบียน กว่า 300 แห่ง หรือคิดเป็น 33% ที่ใช้ระบบ SETCarbon ในการเปิดเผยข้อมูลด้านการจัดการสภาพภูมิอากาศ โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแผนขยายการให้บริการดังกล่าวไปยังผู้ประกอบการธุรกิจทุกขนาดนอกตลาดหลักทรัพย์ รวมถึง SME ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ

“ความร่วมมือกับทีทีบีครั้งนี้ นับเป็นอีกก้าวเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญในการพัฒนาระบบนิเวศทางการเงินที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำของประเทศในระยะยาว ภายใต้แผนการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขยายโอกาสให้ผู้ประกอบธุรกิจทุกขนาดรวมถึง SME ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของห่วงโซ่อุปทาน ได้ใช้ระบบ SETCarbon ในการจัดการ คำนวณ และรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เสมือนเป็น “พาสปอร์ต” ทำให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงสินเชื่อที่มีสิทธิประโยชน์มากกว่าสินเชื่อทั่วไปของทีทีบีได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันทีทีบีจะมีข้อมูลเพียงพอในการพิจารณาปล่อยสินเชื่อสีเขียวให้ธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น” นายอัสสเดช กล่าว

นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า ทีทีบียึดมั่นในพันธกิจการดำเนินธุรกิจสู่การธนาคารเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Banking) ตามกรอบ B+ESG ที่ผสานธุรกิจและความยั่งยืนเป็นเนื้อเดียวกัน และพร้อมสนับสนุนให้ลูกค้าธุรกิจและ SME ปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในกติกาใหม่ของโลก เพราะการมีข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ถูกต้อง โปร่งใส มีมาตรฐาน จะเป็นจุดเริ่มต้นในการวางแผนการลดคาร์บอนของธุรกิจในอนาคต ซึ่งจะสร้างข้อได้เปรียบให้ผู้ประกอบการมีความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มโอกาสเข้าถึงทั้งเงินทุนและตลาดใหม่ ๆ สร้างความมั่นใจให้คู่ค้าและผู้บริโภค ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อยอดขายและความสามารถในการเติบโตระยะยาว โดยทางธนาคารได้ช่วยลูกค้าตั้งแต่การประเมินความเสี่ยงและผลกระทบทางธุรกิจ และสนับสนุนให้คำปรึกษาด้วยโซลูชันที่ตอบโจทย์การเปลี่ยนผ่านธุรกิจ

ตั้งแต่ปี 2562 จนถึงไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 ทีทีบีได้ปล่อยสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนไปแล้วกว่า 78,000 ล้านบาท โดยในปี 2568 ธนาคารตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อเพื่อความยั่งยืน 35,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ธนาคารยังมอบองค์ความรู้เพื่อเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการไทยตระหนักถึงผลกระทบเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสำหรับปรับตัวและเปลี่ยนผ่านธุรกิจ ด้วยการจัดสัมมนาและการอบรมที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการขั้นตอนและวิธีการจัดทำคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กรให้กว่า 500 บริษัทในปีที่ผ่านมา ซึ่งแพลตฟอร์ม SETCarbon จะเป็นเครื่องมือที่มาช่วยให้ลูกค้าธุรกิจของธนาคารที่ไม่ได้จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์สามารถคำนวณและจัดเก็บคาร์บอนฟุตพรินต์ได้อย่างเป็นระบบและมีมาตรฐานได้ดียิ่งขึ้น ช่วยในการเปลี่ยนผ่านให้ง่ายขึ้นกว่าเดิม โดยทีทีบี ในฐานะธนาคารพาณิชย์แห่งแรกที่เข้าร่วม ได้ช่วยขยายเครื่องมือนี้ไปยังลูกค้าในเครือข่ายของธนาคาร ซึ่งเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในการนำข้อมูล ESG ไปใช้ประกอบในการพิจารณาสินเชื่อ โดยคัดเลือกกลุ่มลูกค้าให้เข้าร่วมโครงการ จำนวนกว่า 1,000 รายจากอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ อาทิ อุตสาหกรรมเคมี การขนส่ง อาหารและเครื่องดื่ม การโรงแรม เป็นต้น     

ทั้งนี้ ความร่วมมือดังกล่าวครอบคลุมการเชื่อมต่อและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างสององค์กรเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินการและเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการสนับสนุนด้านความยั่งยืน พร้อมร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการทางการเงิน ตลอดจนสิทธิประโยชน์แก่ผู้มีส่วนได้เสีย นอกจากนี้จะต่อยอดและพัฒนาระบบนิเวศด้านความยั่งยืนเพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยสามารถดำเนินงาน ปรับปรุง และพัฒนาแนวทางการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนวางแผนการจัดการด้านการลงทุนเพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนควบคู่กับการเติบโตทางธุรกิจ โดยเฉพาะการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อขับเคลื่อนผู้ประกอบการและประเทศไทยสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างเป็นรูปธรรม

SME D Bank ดีเดย์ 8 ก.ย. บุกถิ่นเอสเอ็มอีไทย ปูพรมเสิร์ฟสินเชื่อดบ.ต่ำ 3% ต่อปี

SME D Bank เดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจเต็มสูบ ดีเดย์ 8 ก.ย. 68 ลุยโครงการ “SME D ให้ใจ ไปถึงถิ่น” ครั้งที่ 2 สะบัดธงส่งทีมงานทั้งส่วนกลางและภูมิภาค กระจายปูพรมลงพื้นที่มอบบริการ “พัฒนาคู่เติมทุน” สนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยพร้อมกันทั่วประเทศ ณ สถานประกอบการ แหล่งการค้า และย่านเศรษฐกิจสำคัญ มุ่งอำนวยความสะดวก อุ้มถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำเพียง 3% ต่อปี และช่วยพัฒนายกระดับเพิ่มศักยภาพธุรกิจอย่างใกล้ชิดและรวดเร็ว

วันที่ 4 กันยายน 2568 นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า จากที่ SME D Bank  ได้ริเริ่มโครงการ “SME D ให้ใจ ไปถึงถิ่น” เมื่อเดือนมิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ด้วยการ ระดมทีมงาน ทั้งผู้บริหาร เจ้าหน้าที่สาขา และหน่วยสนับสนุน ลงพื้นที่พร้อมกันทั่วประเทศ เพื่อไปมอบบริการด้านการเงินและการพัฒนาแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ถึงสถานประกอบการ แหล่งการค้า และย่านเศรษฐกิจสำคัญต่างๆ  ซึ่งได้ผลตอบรับอย่างดียิ่ง สามารถสนับสนุนผู้ประกอบการเข้าถึงการช่วยเหลืออย่างรวดเร็วและทันท่วงที   ดังนั้น ธนาคาร สานต่อความสำเร็จ จัดโครงการ “SME D ให้ใจ ไปถึงถิ่น” ครั้งที่ 2 ในวันที่ 8 กันยายน 2568  โดยคงรูปแบบเดิม  ด้วยการยกทัพทีมงานส่วนกลางและภูมิภาค กระจายลงพื้นที่พร้อมกันทั่วประเทศ เพื่อไปมอบบริการแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในแต่ละพื้นที่อย่างใกล้ชิดและทั่วถึงมากที่สุด โดยในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เช่น ตลาดยิ่งเจริญ ตลาดคุณยิ้ม ตลาดถนอมมิตร ตลาดอ่อนนุช ตลาดไอยรา ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดวรจักร ตลาดเสือป่า ตลาดมีนบุรี และตลาดเยส บางพลี เป็นต้น และในส่วนภูมิภาค ตามย่านเศรษฐกิจสำคัญๆ ของแต่ละจังหวัด 

ทั้งนี้ SME D Bank ได้จัดเตรียมบริการพิเศษไปมอบให้ ได้แก่ ด้านการเงิน ผ่านโครงการสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษตามนโยบายรัฐ ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจและทุกความต้องการเอสเอ็มอีไทย จุดเด่นอัตราดอกเบี้ยต่ำเพียง 3% ต่อปี คงที่ตลอด 3% ปีแรก  ผ่อนนานสูงสุดถึง 10 ปี  และปลอดชำระเงินต้นสูงสุด 12 เดือน ประกอบด้วย 1.สินเชื่อ “SME Green Productivity” วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท  สนับสนุนผู้ประกอบการลงทุนติดตั้งระบบอุปกรณ์ โดยเฉพาะแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อช่วยลดต้นทุนค่าพลังงาน และมุ่งสู่ธุรกิจสีเขียว 2.สินเชื่อ "ปลุกพลัง SME"  วงเงินกู้สูงสุด 1.5 ล้านบาท  สำหรับผู้ประกอบการรายเล็กที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 2 ล้านบาท ช่วยต่อยอดเพิ่มสภาพคล่องในธุรกิจ และ 3.สินเชื่อ "Beyond ติดปีก SME"  วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการที่มีรายได้ต่อปีมากกว่า 2 ล้านบาทขึ้นไป  เพื่อเพิ่มศักยภาพยกระดับการดำเนินธุรกิจ  และเสริมสภาพคล่องในธุรกิจ 

นอกจากนี้ บริการด้านการพัฒนา ด้วยแพลตฟอร์ม "DX by SME D Bank" ช่วยเสริมแกร่งครบวงจร สมัครใช้บริการได้ทันที มีฟังก์ชันสำคัญ เช่น ระบบ “Business Health Check” ตรวจสุขภาพทางธุรกิจ  ระบบ E-Learning รวบรวมหลักสูตรความรู้สำคัญ ช่วยเพิ่มศักยภาพการประกอบธุรกิจ เรียนรู้ได้ด้วยตัวเองตลอด 24 ชั่วโมง ระบบ SME D Activity จองเข้าร่วมกิจกรรมเติมความรู้ได้ต่อเนื่องตลอดทั้งปี ระบบ SME D Coach มีโค้ชมืออาชีพคอยเป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำธุรกิจ  ระบบ SME D Market ช่วยขยายตลาดด้วย E-marketplace หนุนจับคู่ธุรกิจ และระบบ SME D Privilege ที่มอบสิทธิประโยชน์พิเศษมากมาย

นายพิชิต ระบุว่า ธนาคารจะจัดโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เป็นประจำทุกเดือน  ซึ่งในการลงพื้นที่ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สามารถแจ้งความประสงค์ ขอรับบริการกับพนักงานของ SME D Bank ได้ทันที โดยข้อมูลจะถูกส่งไปยังสาขาธนาคารในพื้นที่ที่ผู้ประกอบการระบุไว้ จากนั้น เจ้าหน้าที่สาขาจะติดต่อกลับ เพื่อดำเนินการตอบความต้องการต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว ซึ่งโครงการนี้จะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ สนับสนุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอียกระดับเพิ่มศักยภาพ ส่งเสริมให้เกิดการจ้างงาน สร้างอาชีพ ในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง

นอกจากโครงการดังกล่าวแล้ว ผู้ประกอบการเอสเอ็มอียังสามารถแจ้งความประสงค์รับบริการด้านการเงินและการพัฒนาจาก SME D Bank  ได้ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น สาขาของ SME D Bank ทุกแห่งทั่วประเทศ ,LINE Official Account : SME Development Bank และเว็บไซต์  www.smebank.co.th เป็นต้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357

ธอส. ฉลอง 72 ปี จัดเต็มแคมเปญ สินเชื่อบ้านดบ.ต่ำ 0.72% ต่อปี เงินฝากดบ.สูงสุด 2.72% ต่อปี  

ธอส. ฉลองครบ 6 รอบ 72 ปี มุ่งมั่นเดินหน้าสู่ความยั่งยืน สนับสนุนคนไทยมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง พร้อมจัดแคมเปญสุดพิเศษมอบเป็นของขวัญตอบแทนลูกค้าและประชาชน สานต่อพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน

วันที่ 3 กันยายน 2568 นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส. พร้อมเดินหน้าสนับสนุนคนไทยมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองมากขึ้นอย่างยั่งยืนตามพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” ในโอกาสครบ 6 รอบ 72 ปี ธอส. ได้จัดแคมเปญทางการเงินครั้งใหญ่และสิทธิพิเศษต่าง ๆ เพื่อมอบเป็นของขวัญตอบแทนให้ลูกค้าและประชาชน นำโดย 

(1) สินเชื่อบ้าน 72 ปี ธอส. สนับสนุนคนไทยมีบ้าน ครอบคลุมทุกวัตถุประสงค์การกู้ตามที่ธนาคารกำหนด อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 0.72% ต่อปี นาน 6 เดือนแรก กรณีกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระเริ่มต้น 2,700 บาทต่อเดือน เท่านั้น! ยื่นกู้ได้ตั้งแต่วันนี้และทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2568

(2) เงินฝากออมทรัพย์ 72 ปี ธอส. ฝากขั้นต่ำ 10,000 บาท เปิดบัญชีและรับฝากเพิ่มได้ตั้งแต่วันที่ 15 – 25 กันยายน 2568 เลือกรับดอกเบี้ยเงินฝาก 2 แบบ (แบบคงที่หรือแบบขั้นบันได) อัตราดอกเบี้ยสูงสุด 2.72% ต่อปี 

(3) สลากออมทรัพย์ ธอส. ออมลุ้นโชค พร้อมรับของสมนาคุณ กับสลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดนาคราช 2 ราคาหน่วยละ 1,000 บาท อายุสลาก 3 ปี ลุ้นรับรางวัลที่ 1 มูลค่า 3 ล้านบาท และยังได้ลุ้นรางวัลเลขท้าย 3 ตัว และรางวัลเลขท้าย 2 ตัว รางวัลเลขท้าย 2 ตัว ของรางวัลที่ 1 และสลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดพิมานมาศ ปี 2568 ราคาหน่วยละ 50,000 บาท อายุสลาก 2 ปี ลุ้นรับรางวัลที่ 1 มูลค่า 3 ล้านบาท พร้อมลุ้นรางวัลเลขท้าย 1 ตัว 2 ตัว 3 ตัว และ 4 ตัว 

ทั้งนี้ ลูกค้าเงินฝากออมทรัพย์ 72 ปี ธอส. หรือ สลากออมทรัพย์ ธอส. มีสิทธิ์ได้รับ E – Voucher สำหรับลูกค้าที่มี LINE OA : GHB Buddy โดยกดรับสิทธิ์ผ่านแพลตฟอร์ม GHB Reward & Privilege ในวันที่ 27 กันยายน 2568

(4) บ้านมือสอง ธอส. พบทรัพย์เด่น ทำเลดีทั่วประเทศกว่า 9,000 รายการ มาประมูลพร้อมส่วนลดสูงสุด 50% และรับของสมนาคุณสุดพิเศษ!! ในวันเสาร์ที่ 20 กันยายน 2568 เวลา 10.00 – 16.00 น. โดยทรัพย์ในกรุงเทพ ฯ และปริมณฑลร่วมประมูลได้บริเวณโถงนิติกรรม อาคาร 2 ชั้น 1 ธอส. สำนักงานใหญ่ และทรัพย์ในเขตภูมิภาคจัดประมูล ณ สาขาที่ตั้งทรัพย์

(5) โครงการชำระดีมีคืน ในโอกาสครบรอบ 72 ปี ธอส. มอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าสินเชื่อของธนาคารที่กู้เงินมาแล้วไม่น้อยกว่า 10 ปี ทุกบัญชีเงินกู้ภายใต้หลักประกันมีประวัติการผ่อนชำระเงินงวดสม่ำเสมอ 48 เดือนติดต่อกัน (จนถึงเดือนสิงหาคม 2568) ไม่เคยเป็น NPL ในวัตถุประสงค์การกู้ที่ธนาคารกำหนดจะได้รับเงินคืน 1% ของดอกเบี้ยเงินกู้ที่ชำระในปี 2567 โดยตัดชำระเงินกู้อัตโนมัติในงวดเดือนกันยายน 2568 ทันที 

“ตลอด 72 ปีที่ผ่านมา ธอส. มุ่งมั่นดูแลลูกค้าและประชาชนให้มีที่อยู่อาศัยสร้างโอกาสทำให้คนไทยมีบ้านและจัดทำมาตรการต่าง ๆ เพื่อช่วยรักษาบ้านให้คนไทยมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังดูแลด้านสังคมผ่านโครงการสร้าง / ซ่อมที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ด้อยโอกาส ผู้ยากไร้ ผู้สูงอายุ และผู้พิการได้มีบ้านอย่างเหมาะสม ภายใต้การดำเนินงานที่คำนึงถึงสังคม สิ่งแวดล้อม และการมีธรรมภิบาลที่ดี (ESG) เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างยั่งยืนและเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์”นายกมลภพ กล่าว

ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ G H Bank Call Center โทร.0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ Application : GHB ALL GEN และ www.ghbank.co.th

บสย.ร่วมงาน “พาแบงก์รัฐ มาช่วยราษฎร์” จ.ภูเก็ต ลุย “ค้ำประกันสินเชื่อ-แก้หนี้” เสริมแกร่ง SMEs

สถาบันการเงินของรัฐ 3 หน่วยงาน สังกัดกระทรวงการคลัง ประกอบด้วย บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) ลงพื้นที่ภาคใต้ จังหวัดภูเก็ต ร่วมจัดงาน “พาแบงก์รัฐ มาช่วยราษฎร์” เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs และประชาชนในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตและจังหวัดใกล้เคียง ให้สามารถเข้าถึงบริการด้านการเงินของภาครัฐอย่างใกล้ชิด พร้อมให้คำปรึกษาการค้ำประกันสินเชื่อ และการปรับโครงสร้างหนี้ที่บูธ บสย. ณ โรงแรมดารา จ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2568

นางดุสิดา ทัพวงษ์ รองผู้จัดการทั่วไปอาวุโส สายงานบริหารช่องทางและพัฒนาผู้ประกอบการ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย) กล่าวว่า กิจกรรมพาแบงก์รัฐ มาช่วยราษฎร์ บสย. มุ่งให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต และจังหวัดใกล้เคียง โดยนำผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs (บสย. F.A. Center) ลงพื้นที่ให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด พร้อมให้คำปรึกษาด้านการเงิน ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย ตลอดจนให้คำปรึกษาในการทำธุรกิจ การแก้ปัญหาหนี้ และเตรียมความพร้อมในการขอสินเชื่อ ภายใต้ มาตรการ “บสย. พร้อมค้ำ พร้อมช่วย”

สำหรับมาตรการ “บสย. พร้อมค้ำ” ได้จัดเตรียมผลิตภัณฑ์ค้ำประกันสินเชื่อเพื่อตอบโจทย์ผู้ประกอบการ SMEs ทุกกลุ่ม ชูจุดเด่น ฟรี! ค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 2-4 ปีแรก ค่าธรรมเนียมค้ำฯ ต่อปี 1.5-1.75% โดยค้ำฯ นาน 7-10 ปี ล่าสุดได้ออก “มาตรการพิเศษ” วงเงินรวม 5,000 ล้านบาท ภายใต้ 2 โครงการใหม่ ประกอบด้วย โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Power Trade & Biz วงเงิน 3,000 ล้านบาท ค้ำประกันต่อราย 500,000 – 10,000,000 บาท ตอบโจทย์กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า และซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกลุ่มที่ได้ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ และโครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Micro Biz วงเงิน 2,000 ล้านบาท ค้ำประกันต่อราย 10,000 – 500,000 บาท ตอบโจทย์กลุ่มรายย่อย พ่อค้า แม่ค้า ค้าขายออนไลน์ อาชีพอิสระ ฯลฯ โดยทั้ง 2 โครงการมีจุดเด่น คือ ฟรี! ค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 3 ปีแรก ปีต่อไปชำระต่ำเพียง 1.5% ต่อปี ค้ำประกันสูงสุด 7 ปี มุ่งเสริมสภาพคล่อง และลดภาระทางการเงิน ช่วยให้ SMEs เดินหน้าต่อได้อย่างยั่งยืน รวมทั้ง โครงการ “กระบะพี่ มีคลังค้ำ” ปลดล็อก SMEs ที่ต้องการซื้อรถกระบะเพื่อการพาณิชย์

นอกจากนี้ ยังมีมาตรการ “บสย. พร้อมช่วย” หรือมาตรการ 3 สี ม่วง เหลือง เขียว เป็นมาตรการแก้หนี้ของ บสย. ที่มีความยืดหยุ่นตามความสามารถของลูกหนี้ จุดเด่นคือ ยืดหนี้ยาวสูงสุด 7 ปี ช่วย SMEs “ผ่อนน้อย เบาแรง” “ตัดเงินต้น ก่อนตัดดอก” ดอกเบี้ย 0% ช่วยให้ลูกหนี้อยู่รอด อยู่ได้ และกลับไปเป็นลูกหนี้ปกติได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ สำหรับ SMEs ที่ต้องการ “ปลดหนี้” บสย. ยังให้ความช่วยเหลือพิเศษ “ลดต้นสูงถึง 30%” พร้อม “ปลดดอก” เพื่อต่อลมหายใจให้ SMEs สามารถกลับมาเดินหน้าต่อได้

บสย. ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่น เดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งให้กับ SMEs ทั่วประเทศให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้ง่ายขึ้น ผ่านกลไกการค้ำประกันสินเชื่อ Credit Guarantee ปัจจุบัน บสย. มีสำนักงานเขตทั้งสิ้น 11 แห่ง โดยมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญพร้อมให้คำปรึกษาเรื่องการค้ำประกันสินเชื่อ การเตรียมความพร้อมก่อนเข้าขอสินเชื่อ การปรับโครงสร้างหนี้ ฯลฯ พร้อมให้ความช่วยเหลือและเพิ่มศักยภาพให้กับผู้ประกอบการ SMEs ในพื้นที่อย่างเต็มที่

ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับ SMEs บสย. ได้เปิดช่องทางให้ผู้ประกอบการสามารถเข้ามาตรวจสุขภาพทางการเงิน พร้อมจองคิวขอรับคำปรึกษาทางการเงินได้ที่ LINE OA : @tcgfirst ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บสย. Call Center โทร. 02-890-9999

SME D Bank เสิร์ฟงาน "พาแบงก์รัฐ มาช่วยราษฎร์" จ.ภูเก็ต สินเชื่อเพื่อเอสเอ็มอี ดบ.ต่ำ 3% ต่อปี ยื่นกู้ได้ทันที

วันที่ 18 สิงหาคม 2568 ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ขับเคลื่อนนโยบายรัฐ เดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ยกขบวนบริการ “พัฒนาคู่เติมทุน” เสิร์ฟผู้ประกอบการเอสเอ็มอีพื้นที่ภาคใต้ ในงาน “พาแบงก์รัฐ มาช่วยราษฎร์”  ในวันที่ 30 สิงหาคม 2568 เวลา 09.00-12.30 น. ณ โรงแรมดารา จ.ภูเก็ต 

ภายในงานพบบริการสินเชื่อเพื่อเอสเอ็มอี อัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3% ต่อปี  คงที่ตลอด 3 ปีแรก ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจและทุกความต้องการของเอสเอ็มอี พร้อมทีมให้คำปรึกษา  ยื่นกู้ได้ทันทีภายในงาน  อีกทั้ง รับโปรโมชันเสริมพิเศษ อีก 2 ต่อ ได้แก่ ต่อที่ 1 เมื่อยื่นขอสินเชื่อและได้รับอนุมัติ รับบัตรกำนัล มูลค่า 500 บาท และ ต่อที่ 2 รับสิทธิ์สมัครใช้บริการแพลตฟอร์ม “DX by SME D Bank” เพื่อยกระดับธุรกิจครบวงจร ฟรี! ห้ามพลาด ขอเชิญผู้ประกอบการ จ.ภูเก็ต และใกล้เคียง เข้าร่วมงานโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น  

ลงทะเบียนเข้าร่วมโดยสแกน QR Code ในโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์  หรือคลิก https://shorturl.asia/HCfJ0 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357

SME D Bank ชวนลูกค้าสินเชื่อ บริการบัญชีเงินฝาก e-Saving สะดวก ปลอดภัย ชำระค่างวดอัตโนมัติ แถมดบ.ปีละ 2 ครั้ง

วันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank  ขอเชิญชวนลูกค้าสินเชื่อของ SME D Bank เปิดใช้บริการ “บัญชีเงินฝาก e-Saving ประเภทไม่มีสมุดคู่ฝาก”  ช่วยให้การทำธุรกรรมเป็นเรื่องสะดวก และปลอดภัย โดยไม่ต้องใช้สมุดคู่ฝาก ลดภาระในการพกพาเอกสาร  โดยสามารถรองรับการทำธุรกรรมได้ทั้งผ่านสาขาธนาคาร และ Mobile Banking  

สำหรับบัญชีเงินฝาก e-Saving ฯ ของ SME D Bank  เบื้องต้นรองรับให้บริการกลุ่มลูกค้าสินเชื่อประเภทบุคคลธรรมดา โดยเปิดรับเงินฝากขั้นต่ำเพียง 100 บาท  มีประโยชน์สามารถรองรับการตัดชำระค่างวดสินเชื่ออัตโนมัติ ช่วยเพิ่มความสะดวกและลดความเสี่ยงในการลืมชำระหรือชำระล่าช้า นอกจากนั้น เงินที่ฝากไว้ ยังได้รับดอกเบี้ยเงินฝากในอัตรา 0.50% ต่อปี  จ่ายดอกเบี้ยทบต้นเข้าสู่บัญชีปีละ 2 ครั้ง ในเดือนมิถุนายน และเดือนธันวาคมของทุกปี  สามารถแจ้งความประสงค์เปิดใช้บริการได้ ณ สาขาของ SME D Bank ทั่วประเทศ ตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป  สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357

ธนาคารไทยพาณิชย์ ออกมาตรการเร่งด่วนช่วยเหลือลูกค้ารับผลกระทบชายแดนไทยกัมพูชา-อุทกภัยภาคเหนือ

ธนาคารไทยพาณิชย์ ออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา และอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ โดยให้ความช่วยเหลือทั้งกลุ่มลูกค้าบุคคล ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจเพื่อผู้ประกอบการและลูกค้าผู้ประกอบการ SME ทั้งมาตรการพักชำระและสินเชื่อพิเศษเพื่อซ่อมแซมบ้านและกิจการอย่างเต็มที่

วันที่ 27 ก.ค.68 จากสถานการณ์ ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาและสถานการณ์อุทกภัยฉับพลันจากอิทธิพลของพายุ “วิภา” ที่เกิดขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อทรัพย์สินและความเป็นอยู่ของประชาชนในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ธนาคารไทยพาณิชย์ตระหนักถึงความเดือดร้อนของลูกค้า และพร้อมอยู่เคียงข้างเพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง ผ่านมาตรการเร่งด่วนที่ครอบคลุม ทั้งลูกค้าบุคคล ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจเพื่อผู้ประกอบการและลูกค้าผู้ประกอบการ SME โดยให้ความช่วยเหลือสำหรับลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าใหม่ ทั้งในรูปแบบการพักชำระหนี้ และการสนับสนุนสินเชื่อใหม่เพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัย รวมถึงฟื้นฟูกิจการที่ได้รับผลกระทบ โดยมีรายละเอียดดังนี้

กลุ่มลูกค้าบุคคล และกลุ่มลูกค้าสินเชื่อธุรกิจเพื่อผู้ประกอบการ ประกอบด้วย

สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 

สำหรับลูกค้าปัจจุบัน - สินเชื่อบ้าน และสินเชื่อบ้านคือเงิน (My Home My Cash) พักชำระเงินต้นนาน 3 เดือน  

สำหรับลูกค้าใหม่ - สินเชื่อบ้านได้เพิ่มเพื่อซ่อมแซมบ้าน (สินเชื่อบ้านได้เพิ่ม สำหรับลูกค้าสินเชื่อบ้าน (Home Loan Top Up) หรือ สินเชื่อบ้านได้เพิ่ม สำหรับลูกค้าสินเชื่อบ้านคือเงิน (My Home My Cash Top Up)) ดอกเบี้ย 0% นาน 3 เดือน ฟรีค่าประเมินราคาหลักประกัน ได้แก่ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม คอนโดมิเนียม และ อาคารพาณิชย์

สินเชื่อรถยนต์  สำหรับลูกค้าสินเชื่อรถยนต์ สามารถพักชำระหนี้สูงสุด 3 เดือน และขยายระยะเวลาในการผ่อนชำระสูงสุด 3 เดือน (รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 65 ปี) 

สินเชื่อธุรกิจเพื่อผู้ประกอบการ (SSME)

สำหรับลูกค้าสินเชื่อธุรกิจเพื่อผู้ประกอบการปัจจุบัน พักชำระเงินต้นสูงสุดนาน 3 เดือน และสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูกิจการ ดอกเบี้ยคงที่เริ่มต้น 3.5% ต่อปี นาน 24 เดือน ระยะเวลากู้สูงสุด 10 ปี

สำหรับลูกค้าสินเชื่อธุรกิจเพื่อผู้ประกอบการที่ต้องการขอสินเชื่อใหม่ (ยอดขายไม่เกิน 75 ล้านบาทต่อปี) สามารถขอสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูกิจการภายใต้โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) โดยมีเงื่อนไข ดังนี้: 

อัตราดอกเบี้ยคงที่เริ่มต้น 3.5% ต่อปี ในช่วง 24 เดือนแรก ค่าธรรมเนียมการให้สินเชื่อ (Front-End Fee) 1%

ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 10 ปี

วงเงินสูงสุด 40 ล้านบาทต่อราย (รวมวงเงินจากทุกสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ)

ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน

ลูกค้าต้องนำเงินกู้ไปใช้เพื่อฟื้นฟูกิจการที่ได้รับผลกระทบเท่านั้น ไม่สามารถนำไปชำระหนี้เดิม หรือ Refinance

ต้องยื่นเอกสารแสดงความเสียหายหรือผลกระทบจากสถานการณ์ประกอบการพิจารณา

ลูกค้าสามารถติดต่อขอเข้าร่วมโครงการได้ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือโทร SCB Customer Call Center โทร 02-777-7777 ได้ตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2568 – 31 ตุลาคม 2568

ลูกค้าผู้ประกอบการ SME ธนาคารมีโครงการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรง และทางอ้อม ผ่าน 4 มาตรการหลัก ประกอบด้วย 1) พักชำระเงินต้นสูงสุดนาน 6 เดือน 2) พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยสูงสุดนาน 3 เดือน 3) เพิ่มวงเงินหมุนเวียนชั่วคราว วงเงินสูงสุด 20% ของวงเงินหมุนเวียนเดิม และไม่เกิน 10 ล้านบาท 4) วงเงินกู้สำหรับปรับปรุง ซ่อมแซม หรือซื้อทดแทนทรัพย์สินที่เสียหายของกิจการ สูงสุด 20% ของวงเงินเดิม ไม่เกิน 10 ล้านบาท

ลูกค้าผู้ประกอบการ SME สามารถติดต่อขอเข้าร่วมโครงการได้ที่เจ้าหน้าที่ธุรกิจสัมพันธ์ และ SCB Business Call Center โทร 02-722-2222 ได้ตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2568 – 31 ธันวาคม 2568

ธนาคารไทยพาณิชย์ขอส่งกำลังใจให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว และพร้อมดำเนินการให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างเต็มความสามารถ เพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ ทั้งนี้ ธนาคารจะเร่งดำเนินการอย่างเต็มความสามารถในการพิจารณาคำร้องของลูกค้าทุกท่านเพื่อให้ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบกลับมาฟื้นตัวได้อย่างทันท่วงที

กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว

สำหรับสินเชื่อบ้านได้เพิ่ม อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอยู่ระหว่าง 4.906%- 13.879%  ต่อปี โดยอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate : MRR ) ปัจจุบันเท่ากับ 7.025%ต่อปี มีผลวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว สามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตามประกาศของธนาคาร รายละเอียดการคำนวณเพิ่มเติมดูได้ที่ เว็บไซต์ www.scb.co.th

#ธนาคารไทยพาณิชย์ #ไทยกัมพูชาชายแดน #ข่าววันนี้ #สินเชื่อ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ 

"เอสซีบีเอกซ์" กำไรไตรมาส 2 ปี 68 แตะ 12,786 ล้านบาท โต 27.27%

"เอสซีบีเอกซ์" กำไรไตรมาส 2 ปี 68 แตะ 12,786 ล้านบาท โต 27.27%

วันที่ 21 ก.ค.68 บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิในไตรมาส 2 ของปี 2568 จำนวน 12,786 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากกำไรจากเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้น การตั้งสำรองที่ลดลง และการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับครึ่งแรกของปี 2568 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน 25,288 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดยในไตรมาส 2 ของปี 2568 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีจำนวน 30,404 ล้านบาท ลดลง 6.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการลดลงของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ และยอดสินเชื่อโดยรวมที่ลดลง 1.8% ภายใต้การปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวัง รายได้ค่าธรรมเนียมและอื่น ๆ มีจำนวน 10,008 ล้านบาท ลดลง 3.1% จากปีก่อน รายได้จากการลงทุนและการค้ามีจำนวน 3,239 ล้านบาท จากกำไรของพอร์ตการลงทุนของธนาคาร และของบริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานมีจำนวน 17,530 ล้านบาท ลดลง 5.6% จากปีก่อน จากการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ โดยบริษัทฯ มีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ลดลงมาอยู่ที่ 40.2%  

ทั้งนี้บริษัทฯ ตั้งสำรองลดลง 13.0% จากปีก่อน เนื่องจากคุณภาพสินทรัพย์อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ โดยเฉพาะการปรับตัวดีขึ้นของบริษัท คาร์ด เอกซ์ จำกัด ทั้งนี้ ได้รวมสำรองพิเศษเพื่อรองรับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในอนาคต อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) คงอยู่ในระดับสูงที่ 159%

ขณะที่ท่ามกลางความผันผวนของสถานการณ์ภายนอก บริษัทฯ ยังสามารถควบคุมคุณภาพของสินเชื่อโดยรวมได้ดี โดยอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 อยู่ที่ 3.31% ลดลงจาก 3.34% ในปีก่อน เงินกองทุนตามกฎหมายของบริษัทฯ อยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 18.8%      

นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภายใต้เศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนและปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยืดเยื้อ กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ให้ความสำคัญกับการช่วยประคับประคองลูกหนี้ทุกกลุ่ม ผ่านมาตรการที่หลากหลายและต่อเนื่อง โดยในส่วนของมาตรการ “คุณสู้ เราช่วย” ระยะที่ 1 มีลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการแล้วเป็นยอดหนี้รวมกว่าห้าหมื่นล้านบาท และพร้อมให้ความช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติมในมาตรการระยะที่ 2 เพื่อให้ครอบคลุมมากขึ้น และเปิดโอกาสให้ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางมีโอกาสฟื้นตัวได้ ผลประกอบการไตรมาสที่สองปี 2568 ของบริษัทฯ ยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง จากการบริหารจัดการให้เกิดแหล่งที่มาของรายได้ที่หลากหลาย การควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ที่รอบคอบ ส่งผลให้การก่อตัวของสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ 

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้รับความเห็นชอบให้จัดตั้งธนาคารพาณิชย์ไร้สาขาอย่างเป็นทางการ และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการเตรียมการจัดตั้ง  บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าธนาคารพาณิชย์ไร้สาขาจะช่วยเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงินผ่านช่องทางดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบและสร้างการเติบโตให้กับบริษัทฯ ในระยะยาว

#เอสซีบีเอกซ์ #ข่าววันนี้ #สินเชื่อ #ผลประกอบการ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้

 

AWC ผนึก ธ.กรุงไทย ลงนามสินเชื่อ Green Loan มูลค่า 7,904 ล. ส่งเสริมไทยเป็นหนึ่งในผู้นำการสร้างจุดหมายปลายทางยั่งยืนระดับโลก

 AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร ร่วมกับธนาคารกรุงไทย ลงนามในสัญญาสินเชื่อระยะยาวประเภท Green Loan มูลค่า 7,904 ล้านบาท (เทียบเท่า 208 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)  ด้วยวิสัยทัศน์ร่วมกันด้านความยั่งยืน เพื่อสนับสนุนประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้นำการสร้างจุดหมายปลายทางยั่งยืนระดับโลก โดยความร่วมมือด้านสินเชื่อ Green Loan ครั้งสำคัญนี้จะใช้ในการพัฒนาโครงการแฟลกชิปอัลตร้าลักชัวรีแบรนด์ระดับโลก ‘โฮเทล พลาซ่า แอทธินี โนบุ นิวยอร์ก’ (Hotel Plaza Athénée Nobu New York) ณ มหานครนิวยอร์ก ซึ่งนับเป็นตลาดที่มีเสถียรภาพและศักยภาพสูง เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของพอร์ตการลงทุนควบคู่กับ ‘เดอะ โฮเทล พลาซ่า แอทธินี โนบุ แบงคอก’ มอบประสบการณ์การท่องเที่ยวระดับอัลตร้าลักชัวรีของแบรนด์ Plaza Athénée ที่จะเชื่อมสองมหานครจากนิวยอร์กสู่กรุงเทพฯ  เชื่อมต่อความพิเศษและศักยภาพของการท่องเที่ยวยั่งยืนของไทยสู่เวทีโลก โครงการ “โฮเทล พลาซ่า แอทธินี โนบุ นิวยอร์ก” ได้รับการพัฒนาในอาคารประวัติศาสตร์อายุกว่าศตวรรษ ใจกลางย่าน Upper East Side หนึ่งในทำเลศักยภาพสูงสุดของมหานครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรม ความหรูหรา และไลฟ์สไตล์ระดับโลก โครงการการลงทุนบนทำเลพิเศษที่เป็นทรัพย์สิน Freehold นี้จะพัฒนาเพื่อสร้างคุณค่าระยะยาวที่ยั่งยืนด้วยมาตรฐานอาคารสีเขียวระดับสากล โดยมุ่งผสานการอนุรักษ์มรดกทางสถาปัตยกรรมเข้ากับนวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้การลงทุนและพัฒนาโครงการนี้อยู่ภายใต้โมเดล AWC Growth Fund ซึ่งเป็นกลยุทธ์การลงทุนของ AWC ที่ช่วยให้สามารถพัฒนาโครงการได้โดยไม่ต้องลงทุนเต็มจำนวนในระยะเริ่มต้น และไม่เกิดภาระหนี้สินจากการพัฒนาต่อ นับเป็นความยืดหยุ่นในการเข้าถือครองกรรมสิทธิ์ทั้งหมดในช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยการเข้าถือครองกรรมสิทธิ์ทั้งหมดเมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จจะช่วยให้สามารถรับรู้รายได้ทันที สร้างกระแสเงินสดเป็นบวก และเสริมสร้างความยืดหยุ่นทางการเงิน พร้อมรักษาวินัยทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท สะท้อนด้วยโครงสร้างทางการเงินที่มั่นคงที่สุดในกลุ่มอุตสาหกรรม

30 มิถุนายน 2568 นายสุรธันว์ คงทน ประธานผู้บริหารสายงาน Wholesale Banking ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ธนาคารกรุงไทย ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) พร้อมนำเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) ข้อ 13 เรื่องการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมาปรับใช้  ทั้งในมิติการเพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจ และการสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม ล่าสุด ธนาคารได้สนับสนุนสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) ให้กับบริษัทในกลุ่มบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน)  AWC เพื่อลงทุนบูรณะ ‘โฮเทล พลาซ่า แอทธินี โนบุ นิวยอร์ก’ ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในโรงแรมที่ดีที่สุดในนครนิวยอร์ก โดยกำหนดตัวชี้วัดด้านความยั่งยืน เป็นกรอบในการพัฒนาโครงการให้เป็นโรงแรมสีเขียว (Green Building) ตามมาตรฐาน Leadership in Energy and Environmental Design (LEED ) หรือมาตรฐานอาคารสีเขียวระดับสากลอื่นๆ  โดยเชื่อมั่นว่า โฮเทล พลาซ่า แอทธินี โนบุ นิวยอร์ก จะเป็นต้นแบบของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ผสานความหรูหราเข้ากับหลัก ESG ได้อย่างกลมกลืนและเป็นรูปธรรม ความร่วมมือครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทั้งสององค์กรในการขับเคลื่อนเป้าหมายด้านความยั่งยืนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมถึงบทบาทของธนาคารกรุงไทยในฐานะพันธมิตรทางการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Financial Partner) ที่พร้อมส่งเสริมและสนับสนุนลูกค้าในการเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่การเติบโตอย่างสมดุลทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตามวิสัยทัศน์ “กรุงไทย เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน”

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า AWC ขอขอบคุณธนาคารกรุงไทยสำหรับความเชื่อมั่นและการสนับสนุน การพัฒนาโครงการแฟลกชิปอัลตร้าลักชัวรีแบรนด์ระดับโลก ‘โฮเทล พลาซ่า แอทธินี โนบุ นิวยอร์ก’ (Hotel Plaza Athénée Nobu New York) โดยนับเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญที่เชื่อมศักยภาพของการท่องเที่ยวไทยสู่เวทีโลก และร่วมสนับสนุนประเทศไทยให้เป็นหนึ่งในผู้นำการสร้างจุดหมายปลายทางยั่งยืนระดับโลก นอกจากนั้น การให้สินเชื่อ Green Loan ในครั้งนี้ได้ส่งเสริมกลยุทธ์ของ AWC ภายใต้โมเดลการลงทุน AWC Growth Fund ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน  และมีโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่ง

“โครงการ ‘โฮเทล พลาซ่า แอทธินี โนบุ นิวยอร์ก’ เป็นความร่วมมือระหว่าง AWC และ Nobu Hospitality ที่ผสานจุดแข็งของแบรนด์โรงแรมระดับตำนาน Plaza Athénée เข้ากับความเชี่ยวชาญด้านการบริการระดับลักชัวรีของ Nobu เพื่อพัฒนา Lifestyle Destination ที่มีเอกลักษณ์และมาตรฐานระดับโลก โดยตั้งอยู่ในอาคารประวัติศาสตร์อายุกว่า 100 ปี ซึ่งเป็นทรัพย์สิน Freehold ในย่าน Upper East Side ของแมนฮัตตัน ใกล้ Central Park และแหล่งช้อปปิ้งระดับไฮเอนด์ โดยมีแผนยื่นขอการรับรองมาตรฐาน LEED หรือมาตรฐานอาคารสีเขียวระดับสากลอื่นๆ เพื่อยืนยันถึงคุณภาพด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนของ AWC ในด้าน ‘Better Planet’ ด้วยแนวคิดการออกแบบที่ทันสมัยและยั่งยืน และจะพัฒนาไปพร้อมกับ ‘เดอะ โฮเทล พลาซ่า แอทธินี โนบุ แบงคอก’ เชื่อมประสบการณ์อัลตร้าลักชัวรีจากนิวยอร์กสู่กรุงเทพฯ ได้อย่างลงตัว พร้อมเปิดบริการในปีหน้า” 
 
การพัฒนาโครงการด้วยมาตรฐานความยั่งยืนระดับสากลเป็นหัวใจหลักในการสร้างโครงการคุณภาพของ AWC โดยล่าสุดโครงการ ‘อินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง โฮเทล’ ได้รับการรับรองมาตรฐาน LEED ระดับ Gold เวอร์ชั่น 4 BD+C : Hospitality สำหรับโรงแรมเป็นแห่งแรกของไทย สะท้อนถึงแนวทางการออกแบบและการดำเนินงานที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง ในขณะเดียวกัน โรงแรม INNSiDE by Meliá Bangkok Sukhumvit ยังได้รับการรับรองมาตรฐาน EDGE (Excellence in Design for Greater Efficiencies) มาตรฐานอาคารสีเขียวจาก International Finance Corporation แห่งกลุ่มธนาคารโลก ซึ่งสะท้อนถึงการออกแบบที่คำนึงถึงการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และขณะนี้ยังมีทรัพย์สินอื่นๆ ของ AWC อีกหลายแห่งที่อยู่ระหว่างกระบวนการขอรับรองมาตรฐาน LEED และมาตรฐานอาคารเขียวระดับสากลอื่นๆ ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการพัฒนาอย่างยั่งยืนครอบคลุมทั่วทั้งพอร์ตโฟลิโอ

AWC ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาโครงการอย่างยั่งยืนทุกมิติ โดยผู้บริหารและทีมงานได้ร่วมภาคภูมิใจที่ AWC ได้รับคะแนนความยั่งยืนสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมโรงแรม รีสอร์ท และเรือสำราญ จากการจัดอันดับของ S&P Global รวมถึงได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกดัชนี Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) กลุ่มตลาดเกิดใหม่ และ FTSE4Good Index Series นอกจากนี้ ยังได้รับการจัดอันดับอยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ระดับ AA ในปี 2567 โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตอกย้ำความมุ่งมั่นของ AWC ในการสร้างคุณค่าองค์รวมระยะยาวให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน

“ความร่วมมือกับธนาคารกรุงไทยด้วยวิสัยทัศน์ร่วมกันของทั้งสององค์กรในครั้งนี้ เพื่อสร้างคุณค่าระยะยาวผ่านโครงการคุณภาพระดับโลกที่ผสานมาตรฐานความยั่งยืนไว้ในทุกมิติ นับเป็นพลังความร่วมมือในการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นหนึ่งในผู้นำการสร้างจุดหมายปลายทางยั่งยืนระดับโลก และร่วม ‘Building Better Future For All’ เพื่อคุณค่าองค์รวมที่ยั่งยืน” นางวัลลภา กล่าว