ฉลองครบ 72 ปี ธอส. ตอบแทนลูกค้าผ่อนดีต่อเนื่อง 48 เดือน รับเงินคืน 1% ของดบ.เงินกู้ที่ชำระไว้ในปี 67  

ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จัดทำ “โครงการชำระดีมีคืน” ในโอกาสครบ 6 รอบ 72 ปี ตอบแทนลูกค้ารายย่อยที่มีระยะเวลาการผ่อนชำระกับธนาคารมาแล้วไม่น้อยกว่า 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน โดยไม่เคยเป็นหนี้เสีย (NPL) ตั้งแต่วันกู้ และทุกบัญชีเงินกู้ภายใต้หลักประกันมีประวัติผ่อนชำระดีต่อเนื่อง 48 เดือนที่ผ่านมา (นับถึงเดือนสิงหาคม 2568) อย่างสม่ำเสมอและไม่น้อยกว่าเงินงวดที่ธนาคารกำหนดทุกเดือน จะได้รับสิทธิพิเศษเงินคืน 1% ของดอกเบี้ยเงินกู้ที่ชำระไว้ในปี 2567 โดยเงินคืนดังกล่าวจะถูกนำไปหักชำระเงินกู้อัตโนมัติในงวดเดือนกันยายน 2568 ในวัตถุประสงค์การกู้ที่ธนาคารกำหนด โครงการดังกล่าวนอกจากจะเป็นการตอบแทนลูกค้าที่ผ่อนชำระดีกับธนาคารมาอย่างยาวนานแล้ว ยังเป็นการช่วยเสริมสร้างวินัยทางการเงินผ่านการผ่อนชำระเงินงวดสินเชื่อที่อยู่อาศัยกับ ธอส. ด้วย โดยคาดการณ์มีลูกค้าได้รับเงินคืนดังกล่าวมากกว่า 120,000 ราย

สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส.ทุกสาขาทั่วประเทศ G H Bank  Call Center โทร.0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ Application : GHB ALLGEN และ

ธอส.จัดโปรโมชันพิเศษ ได้รับ On Top ลดดอกเบี้ยเงินกู้จากปกติ 0.25% ต่อปีสำหรับผู้ที่เลือกซื้อที่อยู่อาศัย และยื่นขอสินเชื่อ

ธอส.มอบโปรโมชันพิเศษ สนับสนุนคนไทยมีบ้านเป็นของตัวเองได้ง่ายขึ้น  ให้แก่ผู้ที่สมัครสมาชิก และเลือกซื้อที่อยู่อาศัย พร้อมแจ้งความประสงค์การขอสินเชื่อผ่านเว็บไซต์ www.ghbankbigfamily.com จะได้รับ On Top ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในปีแรกอีก 0.25% ต่อปี จากอัตราดอกเบี้ยปกติของสินเชื่อบ้าน Life Begins with GHB ปี 2568, สินเชื่อบ้าน GHB Precious ปี 2568, สินเชื่อบ้านอยู่เย็นเป็นสุข ปี 2568, สินเชื่อบ้านสวัสดิการ ปี 2568 และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ปี 2568 โดยผู้ที่สนใจสามารถยื่นคำขอกู้ ณ สาขาธนาคารทั่วประเทศได้แล้วตั้งแต่วันนี้ และทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 เมษายน 2568 

เมื่อวันที่ 6 ม.ค.68 นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” โดยตลอดระยะเวลากว่า 71 ปี ได้ทำให้คนไทยมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองมาแล้วมากกว่า 4.6 ล้านครอบครัว และในปี 2568 ธอส. ยังคงเดินหน้าสนับสนุนให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ด้วยการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองอย่างเหมาะสม จึงได้จัดโปรโมชันพิเศษ ให้แก่ผู้ที่เลือกซื้อที่อยู่อาศัย และยื่นขอสินเชื่อผ่านเว็บไซต์ www.ghbankbigfamily.com จะได้รับ On Top ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในปีที่ 1 ลงอีก 0.25% ต่อปี จากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ปกติของสินเชื่อ 5 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ 

1.สินเชื่อบ้าน Life Begins with GHB ปี 2568 : สำหรับลูกค้าที่เป็นสมาชิกสภา/สมาคมวิชาชีพที่ทำข้อตกลงความร่วมมือโครงการ Life Begins with GHB กับ ธอส. ที่ต้องการกู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ไถ่ถอนจากสถาบันการเงินอื่น (รีไฟแนนซ์) ซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย และชำระหนี้เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 เท่ากับ 1.79% ต่อปี ได้รับ On Top ลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เหลือเพียง 1.54% ต่อปี, ปีที่ 2 เท่ากับ 2.80% ต่อปี, ปีที่ 3 เท่ากับ 3.50% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก เพียง 2.613% และปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญา สำหรับลูกค้าสวัสดิการ เท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี, สำหรับลูกค้ารายย่อย เท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี และซื้ออุปกรณ์/ชำระหนี้เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย เท่ากับ MRR (ปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ย MRR เท่ากับ 6.545% ต่อปี) กรณีกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระเงินงวดเพียงเดือนละ 2,800 บาทเท่านั้น! 

2.สินเชื่อบ้าน GHB Precious ปี 2568 : สำหรับผู้ที่มีรายได้ตั้งแต่ 70,000 บาทต่อเดือนขึ้นไปที่ต้องการกู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ขยาย ซ่อมแซม รีไฟแนนซ์ กู้เพิ่ม และชำระหนี้เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 เท่ากับ 1.79% ต่อปี ได้รับ On Top ลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เหลือเพียง 1.54% ต่อปี, ปีที่ 2 เท่ากับ 2.80% ต่อปี, ปีที่ 3 เท่ากับ 3.50% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก เพียง 2.613% และปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญา สำหรับลูกค้าสวัสดิการ เท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี, สำหรับลูกค้ารายย่อย เท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี และซื้ออุปกรณ์/ชำระหนี้เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย เท่ากับ MRR กรณีกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระเงินงวดเพียงเดือนละ 2,800 บาทเท่านั้น! 

3.สินเชื่อบ้านอยู่เย็นเป็นสุข ปี 2568 : สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อ ปลูกสร้าง และปรับปรุงที่อยู่อาศัยที่ช่วยประหยัดพลังงาน อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 เท่ากับ 2.20% ต่อปี ได้รับ On Top ลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เหลือเพียง 1.95% ต่อปี, ปีที่ 2 เท่ากับ 2.80% ต่อปี, ปีที่ 3 เท่ากับ 3.70% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก เพียง 2.816% และปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญา สำหรับลูกค้าสวัสดิการ เท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี, สำหรับลูกค้ารายย่อย เท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี และซื้ออุปกรณ์ เท่ากับ MRR กรณีกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระเงินงวดเพียงเดือนละ 3,100 บาทเท่านั้น! 

4.สินเชื่อบ้านสวัสดิการ ปี 2568 : สำหรับลูกค้าสวัสดิการที่หน่วยงานทำข้อตกลงโครงการสวัสดิการเงินกู้ที่อยู่อาศัยประเภทไม่มีเงินฝาก ที่ต้องการกู้เพื่อซื้อบ้าน ซื้อที่ดินเปล่าที่เป็นทรัพย์ NPA ของธนาคาร ปลูกสร้าง รีไฟแนนซ์ ซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย และชำระหนี้เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 เท่ากับ 2.30% ต่อปี ได้รับ On Top ลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เหลือเพียง 2.05% ต่อปี, ปีที่ 2 เท่ากับ 2.90% ต่อปี, ปีที่ 3 เท่ากับ 3.50% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก เพียง 2.816%, ปีที่ 4-5 เท่ากับ MRR-2.00% ต่อปี และปีที่ 6 จนถึงตลอดอายุสัญญา เท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี และซื้ออุปกรณ์/ชำระหนี้เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย เท่ากับ MRR กรณีกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระเงินงวดเพียงเดือนละ 3,100 บาทเท่านั้น! 

5. สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ปี 2568 : สำหรับผู้ที่ต้องการกู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม หรือซ่อมแซม อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 เท่ากับ 2.50% ต่อปี ได้รับ On Top ลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เหลือเพียง 2.25% ต่อปี, ปีที่ 2 เท่ากับ 3.10% ต่อปี, ปีที่ 3 เท่ากับ 4.00% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก เพียง 3.116% และปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญา เท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี กรณีกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระเงินงวดเพียงเดือนละ 3,200 บาทเท่านั้น! 
 

ทั้งนี้ โครงการ GHB Big Family ของ ธอส. นับเป็น Ecosystem ที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงระหว่างลูกค้าของธนาคารและองค์กรพันธมิตร ซึ่งฟังก์ชัน “My Home” รวบรวมสินค้าและบริการจากหน่วยงานและร้านค้าพันธมิตร พร้อมโปรโมชันพิเศษ อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า, สุขภัณฑ์, สินค้าในห้องครัว และห้องนอน รวมไปถึงการบริการ อาทิ บริการซ่อมแซม ต่อเติมบ้าน, กำจัดปลวก และทำความสะอาด เป็นต้น และฟังก์ชัน “บ้านที่ใช่ตรงใจคุณ” เป็นการรวบรวมพันธมิตรผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ บ้านมือหนึ่งและบ้านมือสอง ที่ทำข้อตกลงกับธนาคารรวมถึงทรัพย์ NPA ของ ธอส. โดยลูกค้าสามารถค้นหาบ้านที่ใช่ ในราคาที่โดนใจได้ง่ายๆ เพียงเข้าเว็บไซต์ www.ghbankbigfamily.com จากนั้นเลือกฟังก์ชัน “บ้านที่ใช่ตรงใจคุณ” และสามารถขอสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษกับ ธอส. ได้ทันที โดยผู้ที่สนใจสามารถยื่นคำขอกู้ ณ สาขาธนาคารทั่วประเทศได้แล้วตั้งแต่วันนี้ และทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 เมษายน 2568 โดยสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ G H Bank Call Center โทร.0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ Application : GHB ALL GEN และ  www.ghbank.co.th

#ธอส #ข่าววันนี้ #ดอกเบี้ยเงินกู้ #สินเชื่อที่อยู่อาศัย #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

สธ.เดินหน้าแก้ปัญหาหนี้สินบุคลากร “รบ.”พร้อมเสนอสหกรณ์ฯ ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้

“เกณิกา“เผย กระทรวงสาธารณสุขเดินหน้าแก้ปัญหาหนี้สินบุคลากร ตามนโยบายแก้ไขปัญหาหนี้สินของ รบ.พร้อมเสนอสหกรณ์ฯ ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้เหลือไม่เกินร้อยละ 4.75 ต่อปี

วันนี้ (3 ส.ค. 67) น.ส.เกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลนำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้กำหนดให้การแก้ไขปัญหาหนี้สินเป็นวาระแห่งชาติ เพราะประเทศไทยมีหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นสูงถึงกว่าร้อยละ 90 ถือเป็นปัจจัยที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะเศรษฐกิจไทยและนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ความสำคัญต่อปัญหาหนี้สินของบุคลากรสาธารณสุขเช่นกัน

 

น.ส.เกณิกา กล่าวต่อว่า จากการสำรวจสถานการณ์ปัญหาหนี้สินของบุคลากรสาธารณสุข จำนวน 51,016 คน พบว่า มีหนี้สินร้อยละ 12 โดยเป็นหนี้สหกรณ์มากที่สุด ร้อยละ 19 จึงจะต้องช่วยสร้างขวัญกำลังใจให้กับบุคลากร เป็นแรงสนับสนุนให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ดูแลสุขภาพประชาชนได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นนายสมศักดิ์ จึงได้มอบหมายให้นายโฆสิต สุวินิจจิต คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมประชุมชี้แจงแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินบุคลากรสาธารณสุข กับสหกรณ์ออมทรัพย์สาธารณสุขทั่วประเทศ เพื่อรับฟังและเสนอข้อคิดเห็น เพื่อหาแนวทางสร้างความสมดุลทางการเงินให้กับบุคลากรสาธารณสุขร่วมกัน

 

ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเสนอให้สหกรณ์ออมทรัพย์สาธารณสุขทั่วประเทศพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้ต่ำลง เหลือไม่เกินร้อยละ 4.75 ต่อปี และกำหนดหรือปรับปรุงหลักเกณฑ์การหักเงินเดือนเพื่อชำระหนี้เงินกู้และค่าใช้จ่ายอื่นใดของสมาชิก โดยต้องมีเงินเดือนคงเหลือสุทธิเพื่อการดำรงชีพไม่น้อยกว่า ร้อยละ 30 และมอบให้กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ติดตามผลการดำเนินงาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการช่วยเหลือแก้ปัญหาหนี้สินบุคลากรและปรับระบบให้เกิดความมั่นคงทางการเงินการคลังของกระทรวงสาธารณสุข

 

อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุขได้วางแนวทางการขับเคลื่อนแผนความมั่นคงปลอดภัยทางการเงิน 6 แผนงาน ได้แก่ 1) การส่งเสริมให้บุคลากรสร้างวินัยทางการเงิน 2) การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำร่วมกับธนาคารออมสิน 3) การแก้ปัญหาหนี้เสียร่วมกับสถาบันการเงิน 4) การปรับโครงสร้างหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา (กยศ.) 5) การจัดมหกรรมความสุขทางการเงิน (Happy Money Expo)ทุกเขตสุขภาพทั่วประเทศ โดยนำร่องคิกออฟในส่วนกลาง เมื่อวันที่ 6 - 7 กรกฎาคม 2567 และจะขับเคลื่อนในอีก 12 เขตสุขภาพต่อไป และ 6) การปรับลดดอกเบี้ยสหกรณ์ออมทรัพย์

#siamrath #สยามรัฐ #siamrathonline #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้ #สธ #หนี้สิน #ดอกเบี้ยเงินกู้

"กรุงไทย" ปรับลดดบ.เงินกู้ MRR MLR MOR 0.25% ลูกค้าบุคคล และ SME รายย่อย มีผล 16 พ.ค.นี้ 

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทยพร้อมสนับสนุนแนวนโยบายของภาครัฐในการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ตามแนวทางของสมาคมธนาคารไทยในการลดภาระดอกเบี้ยให้กับลูกค้ากลุ่มเปราะบาง ทั้งลูกค้าบุคคลและผู้ประกอบการ SME รายย่อย และแนวทางการแก้อย่างหนี้ยั่งยืนและการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ของธนาคารแห่งประเทศไทย  ธนาคารจึงมีมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม โดยประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MRR MLR และ MOR 0.25% ต่อปี  เป็นเวลา 6 เดือน มีผลตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม – 15 พฤศจิกายน 2567 ให้กับลูกค้ากลุ่มเปราะบาง 3 กลุ่ม ได้แก่ 1. ลูกค้าสินเชื่อบุคคลรายย่อยที่ยังอยู่ในมาตรการความช่วยเหลือของธนาคารฯ ทั้งสินเชื่อบ้าน และสินเชื่อส่วนบุคคล  2.ลูกค้าสินเชื่อบ้านที่มีวงเงินไม่เกิน 2 ล้านบาท และ 3. ลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการ SME รายย่อยที่มีรายได้กิจการต่อเดือนไม่เกิน 2 ล้านบาทและมีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 10 ล้านบาท

ทั้งนี้จากมาตรการดังกล่าวธนาคารสามารถช่วยลดภาระทางการเงินให้กับลูกค้าได้มากกว่า  3 แสนบัญชี คิดเป็นวงเงินสินเชื่อรวมมากกว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งธนาคารจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้อัตโนมัติสำหรับลูกค้ากลุ่มเปราะบางทั้ง 3 กลุ่มที่มียอดสินเชื่อกับธนาคาร ณ 31 มีนาคม 2567 โดยลูกค้าไม่ต้องลงทะเบียน หรือติดต่อธนาคารแต่อย่างใด

"ธนาคารเล็งเห็นความเดือดร้อนของลูกค้ากลุ่มเปราะบางทุกกลุ่ม จึงมีมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมออกมาในครั้งนี้ จากก่อนหน้านี้ ธนาคารได้ออกมาตรการอื่นๆ เช่น มาตรการ สินเชื่อรวมหนี้ข้าราชการยั่งยืน เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มข้าราชการลดภาระทางการเงิน โดยมาตรการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางครั้งนี้ ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจ ให้มีโอกาสฟื้นตัว ปรับตัว  ซึ่งเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาครัฐ ที่มีทั้งมาตรการระยะสั้นรองรับการเปลี่ยนผ่าน และมาตรการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะกลางและระยะยาว เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันและการสร้างรายได้ที่พอเพียงและยั่งยืน"

EXIM BANK ขานรับนโยบายรัฐบาลลดดอกเบี้ย MRR 0.25% ช่วยรายย่อย-เอสเอ็มอี มีผล 30 เม.ย.นี้

EXIM BANK ขานรับนโยบายรัฐบาลลดดอกเบี้ย MRR 0.25% ช่วยรายย่อย-เอสเอ็มอี มีผล 30 เม.ย.นี้

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate 0.25% ต่อปี จาก 6.60% เหลือ 6.35% ต่อปี (อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ EXIM BANK ใช้สำหรับลูกค้าทั่วไปและลูกค้า SMEs เทียบเท่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีหรือ MRR ของธนาคารพาณิชย์) นับเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีที่ต่ำที่สุดในระบบ เป็นเวลา 6 เดือน เพื่อเป็นการขานรับนโยบายของนายกรัฐมนตรี ในการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการกลุ่มเปราะบางและ SMEs โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2567 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate ในครั้งนี้เป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.15% ต่อปีเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2567 เพื่อเป็นของขวัญแก่ผู้ประกอบการในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา และเมื่อรวมกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ EXIM BANK จึงได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวม 0.40% ต่อปี เพื่อช่วยลดภาระให้กับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง และ SMEs สอดคล้องกับภารกิจของ EXIM BANK ในการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้มีสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ บรรเทาภาระหนี้และต้นทุนทางธุรกิจ และสามารถปรับตัวให้แข่งขันในเวทีโลกได้อย่างยั่งยืนในสภาวะที่เศรษฐกิจไทยเติบโตในอัตราที่ช้าลง ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินยังอยู่ในระดับสูง

#EXIMBANK #ลดดอกเบี้ย #ข่าววันนี้ #ดอกเบี้ยเงินกู้ 

ผลสำรวจ FTI CEO Poll กังวล กนง.คงดอกเบี้ยยาว เสนอคุมส่วนต่างดอกเบี้ยเงินกู้-เงินฝากสู้พิษ ศก.

ผลสำรวจ FTI CEO Poll กังวล กนง.คงดอกเบี้ยยาว เสนอคุมส่วนต่างดอกเบี้ยเงินกู้-เงินฝากสู้พิษ ศก.

นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 37 ในเดือนมกราคม 2567 ภายใต้หัวข้อ “ดอกเบี้ยสูง หนี้พุ่ง อุตสาหกรรมไปต่ออย่างไร” พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ค่อนข้างมีความกังวลกับการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะดำเนินนโยบายในการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.5% เป็นระยะเวลานาน ซึ่งต้องเข้าใจว่าที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้พยายามอย่างมากที่จะสร้างสมดุลในการบริหารนโยบายการเงินของประเทศ ทั้งในมิติด้านเศรษฐกิจและการเสริมสร้างเสถียรภาพของค่าเงินบาท แต่อย่างไรก็ตามดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลกระทบค่อนข้างมากกับผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนมากที่สุดของผู้ประกอบการในประเทศ และกำลังอยู่ในช่วงที่ฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิด-19 และการต้องเร่งปรับธุรกิจเพื่อรับมือกับปัญหาต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นเกือบทุกตัวในช่วงปีที่ผ่านมา

โดยในประเด็นเรื่องส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อและอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก หรือ Spread ของธนาคารพาณิชย์ ที่มีความห่างมากเกินไปเป็นลำดับต้นๆ ของประเทศในอาเซียน ทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องแบกรับต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดการชะลอการขยายธุรกิจหรือการลงทุนใหม่ เพิ่มความเสี่ยงขาดสภาพคล่องทางการเงินและการผิดนัดชำระหนี้ รวมทั้งกระทบต่อกำลังซื้อสินค้าของประชาชน ดังนั้นผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ จึงเสนอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาออกมาตรการกำกับดูแลตรวจสอบสถาบันการเงินในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยทั้งในส่วนของเงินฝากและสินเชื่อ รวมทั้งมีการประกาศกำหนดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Spread) ที่เหมาะสม เพื่อช่วยลดต้นทุนทางการเงินให้กับผู้ประกอบการ  

นอกจากนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ มองว่า มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งระบบที่ภาครัฐอยู่ระหว่างดำเนินการนั้น จะช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ให้กับประชาชน ภาคเกษตรกรรม และภาคธุรกิจที่สะสมมานานได้ในระดับปานกลาง โดยในส่วนของภาคอุตสาหกรรมเสนอให้ภาครัฐออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ผ่านสถาบันการเงินของรัฐ เพื่อพัฒนาศักยภาพในกระบวนการผลิตและเสริมสภาพคล่องทางการเงิน รวมทั้งควรช่วยพิจารณาปรับลดเงื่อนไขการเข้าถึงสินเชื่อให้สะดวกยิ่งขึ้น

 

 

#FTICEOPoll #ดอกเบี้ยเงินกู้ #ผู้ประกอบการ #สินเชื่อ #สอท #ดอกเบี้ย #แบงก์ชาติ

 

   

หนี้สิน SME Q4/66 ทรงตัวในสัดส่วนร้อยละ 60 ขณะที่ดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ในระดับสูง อุปสรรคสำคัญชำระหนี้

สสว.เผยภาระหนี้สิน SME ไตรมาส 4/2566 ทรงตัวในสัดส่วนร้อยละ 60 หลังจากขยายตัวต่อเนื่องใน 3 ไตรมาสก่อนหน้า ผลจากวิสาหกิจรายย่อย (Micro) เริ่มเข้าถึงแหล่งเงินในระบบเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่ใช้เป็นทุนหมุนเวียนในกิจการเป็นหลัก ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่อยู่ในระดับสูงยังเป็นอุปสรรคสำคัญในการชำระหนี้ และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพิ่ม ส่วน SME ที่ไม่มีหนี้สินแต่สนใจกู้ยืมต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือด้านองค์ความรู้การจัดการทางการเงินและหนี้สิน

นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เผยผลสำรวจเรื่องสถานการณ์ด้านหนี้สินกิจการของ SME ไตรมาส 4 ปี 2566 ซึ่งเป็นการสำรวจข้อมูลรายไตรมาส โดยสอบถามผู้ประกอบการ SME จำนวน 2,723 ราย ใน 6 ภูมิภาคทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 19-29 ธันวาคม 2566 พบว่า ผู้ประกอบการ SME มีภาระหนี้สิน ร้อยละ 60.1 ซึ่งยังคงอยู่ในระดับนี้ต่อเนื่องจากไตรมาส 3 ที่ร้อยละ 60.3 โดยสาขาธุรกิจผลิตเครื่องหอม เครื่องสำอาง บริการเสริมความงาม/สปา/นวดเพื่อสุขภาพมีแนวโน้มมีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นกว่าไตรมาสก่อน สำหรับแหล่งกู้ยืมของธุรกิจ SME กลุ่มที่มีภาระหนี้สิน ร้อยละ 71.9 กู้ยืมมาจากสถาบันการเงิน อีกร้อยละ 28.1 มาจากแหล่งเงินทุนนอกระบบสถาบันการเงิน ได้แก่ เพื่อน/ญาติพี่น้อง หรือนายทุนเงินกู้ ในภาพรวมการกู้ยืมนอกระบบปรับตัวลดลงจากร้อยละ 33.8 ในไตรมาสก่อนหน้า

โดยผลจากกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย (Micro) ที่เริ่มเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้เพิ่มขึ้นทั้งในรูปแบบของการกู้ยืมส่วนบุคคลและเพื่อการดำเนินกิจการ ซึ่งธนาคารปรับนโยบายการปล่อยสินเชื่อ ตามมาตรการแก้ปัญหาหนี้สินของรัฐบาล แต่อาจต้องเร่งให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการกลุ่มขนาดย่อมที่มีแนวโน้มของการกู้ยืมนอกระบบสูงขึ้นต่อเนื่อง และเริ่มประสบปัญหาการชำระหนี้สูงกว่าผู้ประกอบการกลุ่มอื่น

ทั้งนี้จากผลสำรวจยังพบว่า ผู้ประกอบการ SME ร้อยละ 93.2 กู้ยืมเงินเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ รองลงมา คือ กู้ยืมเพื่อนำมาลงทุน และการชำระหนี้สินเดิม แต่ผู้ประกอบการ SME ในภาคบริการและภาคการค้ายังพบปัญหาการยื่นกู้ไม่ผ่านเนื่องจากคุณสมบัติไม่ผ่าน/ความไม่มั่นคงของลักษณะธุรกิจ/ขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน นอกจากนี้ผู้ประกอบการ SME กว่าร้อยละ 20 ประเมินว่าวงเงินสินเชื่อที่ได้รับยังน้อยเกินไปและร้อยละ 40 ประเมินว่าระยะเวลาสัญญาสินเชื่อที่ได้รับสั้นเกินไป ส่งผลกระทบต่อการชำระหนี้

นอกจากนี้ จากสภาวะสภาพคล่องที่ลดลงและมีรายได้น้อยกว่ารายจ่าย ทำให้ผู้ประกอบการ SMEกว่าร้อยละ 37 มีแนวโน้มประสบปัญหาการชำระหนี้ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจรายย่อยและขนาดย่อม เพราะไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามสัญญาหรือชำระได้แต่ผิดเงื่อนไขเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยสูงซึ่งกระทบต่อการเข้าถึงหรือขอเพิ่มสินเชื่อของธุรกิจ ผู้ประกอบการ SME จึงต้องการให้ภาครัฐเข้ามาดูแลและช่วยเหลือเรื่องอัตราดอกเบี้ยเงินกู้หรือการออกสินเชื่อที่เอื้อต่อการเข้าถึงของธุรกิจ

ขณะที่ผลสำรวจอีกด้านหนึ่งพบว่า ผู้ประกอบการ SME ที่ไม่มีหนี้สิน บางส่วนเริ่มมีแผนกู้ยืมในอนาคตเพื่อใช้ลงทุนในกิจการ ซึ่งธุรกิจขนาดย่อมจะนำไปขยายกิจการ ส่วนธุรกิจรายย่อยต้องการนำไปใช้หมุนเวียนในกิจการ แต่ยังขาดความรู้ในเข้าถึงแหล่งเงินทุน จึงต้องการให้ภาครัฐส่งเสริมความรู้ในการจัดการบริหารการเงินและหนี้สินของธุรกิจ

โดยจากผลสำรวจในไตรมาสนี้จะเห็นได้ว่ากลุ่มรายย่อยเริ่มเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้มากขึ้น คาดเป็นผลจากนโยบายที่รัฐบาลส่งสัญญาณให้สถาบันการเงินช่วยเหลือประชาชนในการแก้หนี้นอกระบบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการให้กู้ยืมส่วนบุคคล แต่ด้วยลักษณะการใช้จ่ายเงินของกลุ่มรายย่อยซึ่งเป็นการดำเนินธุรกิจแบบเจ้าของคนเดียว จะใช้เงินของกิจการและเงินส่วนบุคคลร่วมกันทำให้การกู้ยืมส่วนบุคคลเป็นประโยชน์กับผู้ประกอบการกลุ่มนี้ด้วย ในขณะที่กลุ่มผู้ประกอบการขนาดย่อมซึ่งที่มีรายได้สูงกว่า 1.8 ล้านบาทแต่ไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อปี (สำหรับกลุ่มการค้าและการบริการ และไม่เกิน 100 ล้านบาทสำหรับกลุ่มการผลิต) กลับมีแนวโน้มการกู้ยืมนอกระบบสูงขึ้นอาจเกิดจากการกู้ยืมเต็มวงเงินแล้ว หรือการพิจารณาสินเชื่อยังมีขั้นตอนยุ่งยากและเงื่อนไขสูง ทำให้ต้องหาจากแหล่งเงินนอกระบบซึ่งผู้ประกอบการขนาดย่อมควรได้รับการช่วยเหลือเพิ่มขึ้นเพื่อเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ ด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษ หรือระยะเวลาการกู้ยืมที่ยาวเพียงพอต่อความสามารถในการชำระคืน

ทั้งนี้ เพื่อลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นทั้งด้านการขาดสภาพคล่อง การผิดนัดชำระหนี้ในระยะต่อไป ทั้งนี้ SME สามารถเข้าค้นหาบริการหรือความช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานเอกชนหรือสถาบันการเงินที่เหมาะสมกับความต้องการในการประกอบธุรกิจของท่านได้ที่ https://www.smeone.info/ หรือสอบถามข้อมูลผ่านศูนย์ให้บริการ SME ครบวงจร โทร. 1301

#เอสเอ็มอี #สสว #ดอกเบี้ยเงินกู้

 

ได้เฮ! เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร-ไก่ไข่ เตรียมขึ้นทะเบียนรับเงินชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ เริ่ม 16 ต.ค.นี้

เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร ไก่ไข่เตรียมตัวให้พร้อม กรมการค้าภายในร่วมกับสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ สมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่ และกรมปศุสัตว์ เดินหน้าช่วยชดเชยดอกเบี้ยให้เกษตรกรเริ่มรับสมัคร 16 ต.ค.นี้

นายอุดม ศรีสมทรง รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า คณะทำงานขับเคลื่อนโครงการชดเชยดอกเบี้ยเพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร และไก่ไข่ โดยมีผู้แทนจาก สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ สมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่ กรมปศุสัตว์ สมาคมธนาคารไทยและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ได้ร่วมกำหนดหลักเกณฑ์การขอรับสนับสนุนค่าชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราไม่เกิน 3% ให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยไม่เกิน 5,000 ตัว และผู้เลี้ยงไก่ไข่รายย่อยไม่เกิน 100,000 ตัวโดยมีระยะเวลาชดเชยดอกเบี้ยไม่เกิน 6 เดือน กรอบวงเงินกู้ยืมรายละไม่เกิน 10 ล้านบาท

ทั้งนี้เกษตรกรที่สนใจขอรับการสนับสนุนค่าชดเชยดอกเบี้ย ต้องขึ้นทะเบียนการเลี้ยงสุกร หรือไก่ไข่ ตามที่กรมปศุสัตว์กำหนด และได้รับวงเงินสินเชื่อเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการเลี้ยงสุกร หรือไก่ไข่จากธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารของรัฐ และชำระดอกเบี้ยเงินกู้ที่เกิดขึ้น ในช่วงระหว่างวันที่ 1 มกราคม-31 สิงหาคม 2566 ให้กับธนาคารเรียบร้อยแล้ว โดยเกษตรกรที่สนใจสามารถยื่นสมัครเข้าร่วมโครงการ ณ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ สำหรับเกษตรกรที่อยู่ในกรุงเทพฯให้ยื่น ณ กองส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตร 2 กรมการค้าภายในตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม - วันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 โโยกรมการค้าภายใน และหน่วยงานเกี่ยวข้องจะประชาสัมพันธ์ขั้นตอนโดยละเอียดในช่วงต้นสัปดาห์หน้า

"ธอส." ตรึงดอกเบี้ยเงินกู้ถึงสิ้นปี 66 ลดภาระลูกค้าสินเชื่อบ้าน

ธอส. ประกาศตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ถึงสิ้นปี 2566 ช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อบ้าน

นายกฤษณ์ เสสะเวช กรรมการธนาคาร และรักษาการกรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2566 มีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี หรือจาก 2.25% ต่อปี เป็น 2.50% ต่อปี ธอส.ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ที่มีพันธกิจ "ทำให้คนไทยมีบ้าน" พร้อมตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไว้ในระดับปัจจุบันต่อไปจนถึงสิ้นปี 2566 ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการชำระเงินงวดตามนโยบายรัฐบาลให้กับลูกค้าเงินกู้ในปัจจุบันของธนาคารที่มีอยู่จำนวน 1.79 ล้านบัญชี คิดเป็นวงเงินสินเชื่อคงค้างมากกว่า 1.66 ล้านล้านบาทและได้มีเวลาในการปรับตัวรับกับภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น