สสว. MOU พันธมิตร จัด ‘Boost Lab’ เสริมแกร่ง SME พร้อมเดินหน้า ‘SME Privilege’

สสว. ลงนามความร่วมมือ 3 หน่วยงาน หนุน “SME Privilege” มอบสิทธิพิเศษจากพันธมิตรเสริมแกร่ง SME พร้อมจัด Boost Lab พัฒนาการสร้างเครือข่าย พัฒนากลยุทธ์และการพัฒนาแบรนด์ครอบคลุมทุกมิติ 

วันที่ 20 ส.ค.2568 น.ส.ปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงาน รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่าในวันนี้ สสว. ได้ลงนามร่วมกับพันธมิตร 3 หน่วยงาน ได้แก่ สมาคมอินฟูลเอนเซอร์ หรือ TITA, บริษัท เวิลด์ รีวอร์ด โซลูชั่น จำกัด หรือ WRS และ บริษัท ซีซ์นอน แอดไวซอรี่ จำกัด ซึ่งเป็นการลงนามความร่วมมือภายใต้งานเผยแพร่สิทธิประโยชน์ให้แก่ MSME ที่รู้จักกันทั่วไปว่า SME Privilege ซึ่งมุ่งเน้นการให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ประกอบการ 3 มิติหลัก คือ ส่วนลดสินค้าและบริการ ขยายช่องทางการตลาด และเชื่อมโยงแหล่งเงินทุน จนถึงปัจจุบันนี้ สสว. ได้ทำความร่วมมือแล้วจำนวน 55 หน่วยงาน และได้มอบสิทธิพิเศษอย่างหลากหลายให้แก่ผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง โดยทั้ง 3 หน่วยงานที่ลงนามความร่วมมือในวันนี้เป็นการลงนามในลักษณะเครือข่าย ซึ่งจะนำไปสู่การร่วมกันจัดกิจกรรมหรือแสวงหาแนวทางให้สิทธิพิเศษแก่ SME ร่วมกัน

น.ส.ปณิตา กล่าวต่อว่า กิจกรรม SME Privilege Connect: SME Boost Lab ครั้งที่ 3 การสร้างเครือข่าย พัฒนากลยุทธ์ และการพัฒนาแบรนด์เพื่อการเติบโตระดับประเทศ ที่จัดขึ้นในวันนี้ เพื่อพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่ง สสว. ตระหนักว่าการสร้างเครือข่ายธุรกิจที่แข็งแรง การมีกลยุทธ์ที่ชัดเจน และการสร้างแบรนด์ให้มีความน่าเชื่อถือนั้น ล้วนเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ SME สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง โดย สสว. มุ่งมั่นในการส่งเสริมผู้ประกอบการ SME ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ เครื่องมือ และองค์ความรู้ที่เหมาะสม ตรงกับความต้องการในแต่ละช่วงของการเติบโต นำไปสู่การพัฒนาให้เกิดความก้าวหน้าและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

“กิจกรรม Boost Lab ในวันนี้ นับเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือของ สสว. กับ 3 หน่วยงานที่ลงนามความร่วมมือกันในวันนี้ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นหน่วยงานที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักของผู้ประกอบการ และมีบริการต่างๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการ โดยขณะนี้ยังมีหน่วยงานพันธมิตรที่ต้องการให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ประกอบการ แจ้งความประสงค์ขอทำความร่วมมือเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาสิทธิพิเศษต่างๆ ที่จะสามารถมอบให้ SME ขณะเดียวกันผู้ประกอบการก็ให้ความสนใจร่วมกิจกรรม SME Privilege เพิ่มมากขึ้นด้วย โดยหลายกิจกรรมที่มีการคัดเลือกการเข้าร่วมงานก็มีผู้ประกอบการสมัครเข้ามาจำนวนมาก อาทิ การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงกิจกรรมการเจรจาธุรกิจ ทำให้ต้องหารือกับพันธมิตรเพื่อเพิ่มกิจกรรมหรือสิทธิพิเศษต่างๆ ให้ตรงตามความต้องการของผู้ประกอบการให้มากขึ้นด้วย และอยากให้ผู้ประกอบการคอยติดตามข่าวสารกัน เพื่อสมัครเข้าร่วมกิจกรรมที่สนใจได้ตามความต้องการ โดยปีนี้มีการปรับปรุงช่องทางการใช้สิทธิพิเศษด้วยการให้ใช้งานผ่านแอปพลิเคชัน SME Connext ของ สสว. ซึ่งไม่มีค่าใช้จ่าย และยังจะทำให้เจ้าหน้าที่ของ สสว. สามารถให้บริการได้ทั่วถึง รวมถึงเข้าไปช่วยแก้ปัญหาในกรณีที่เกิดความคลาดเคลื่อนต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว” รักษาการ ผอ.สสว. กล่าว

"สสว." หนุนผู้ประกอบการ SME ใช้ AI ที่จำเป็นเพื่อบริหารธุรกิจในยุคปัจจุบัน  

"สสว." จัดกิจกรรม SME Privilege Club Connect: SME Boost Lab ครั้งที่ 2 หนุน "ผู้ประกอบการ" สร้างเครือข่าย และเรียนรู้เทคนิคการใช้ "AI" ที่จำเป็นเพื่อบริหารธุรกิจในยุคปัจจุบัน
 
วันที่ 5 ก.ค.2568 น.ส.ปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงานรักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า SME Privilege Club Connect: SME Boost Lab เป็นหนึ่งในกิจกรรมสำคัญของโครงการ SME Privilege ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์ผู้ประกอบการ 3 มิติ คือ ส่วนลดสินค้าและบริการ ขยายช่องทางการตลาด และเชื่อมโยงแหล่งเงินทุน โดย SME Boost Lab  ครั้งที่ 2 นี้ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “สร้างเครือข่าย SME และเทคนิคการใช้ AI ที่จำเป็นเพื่อบริหารธุรกิจในยุคปัจจุบัน” เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้แก่ผู้ประกอบการ SME ไทย ให้สามารถยกระดับธุรกิจของตนให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย เพราะ สสว. ตระหนักว่า ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การนำเครื่องมือใหม่ๆ ที่จำเป็นมาสนับสนุนการบริหารจัดการธุรกิจมีความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการใช้ AI ในมิติต่างๆ จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงและเท่าทันการพัฒนาทางเทคโนโลยี ขณะเดียวกันก็นำปรับใช้ได้อย่างเหมาะสมตามรูปแบบการดำเนินธุรกิจ ซึ่งจะก่อให้เกิดการพัฒนาที่ก้าวหน้าและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

น.ส.ปณิตา กล่าวต่อว่า SME Boost Lab  ครั้งที่ 2 นี้สสว. ได้สร้างพื้นที่ให้ผู้ประกอบการจำนวน 38 ราย ได้พบกับผู้แทนจากหน่วยงานพันธมิตรของ สสว. ได้แก่ สมาคมการค้าอินฟลูเอนเซอร์ไทย หรือ TITA และ World Reward Solutions หรือ WRS GROUP ซึ่งเป็นหน่วยงานพันธมิตรของ สสว. ที่ร่วมมือกันเป็นเครือข่ายจัดกิจกรรมในครั้งนี้ รวมทั้ง มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่ร่วมอำนวยความสะดวกด้านสถานที่และการจัดกิจกรรม พร้อมทั้งได้แนะนำสิทธิพิเศษที่มอบให้แก่ผู้ประกอบการ โดยองค์ความรู้และประสบการณ์ที่ผู้ประกอบการได้รับในวันนี้ มีเนื้อหาเกี่ยวกับ AI Marketing for SMEs มีการแนะนำเครื่องมือ AI สำหรับช่วยทำการตลาดให้กับผู้ประกอบการ SME และเสริมสร้างความเข้าใจการใช้ AI เพื่อวางแผน วิเคราะห์ เขียน และโปรโมตสินค้า ทำให้เข้าใจพื้นฐานการตลาดและการขาย อาทิ การตลาดคือการสร้างการจดจำ และการขายคือการแลกเปลี่ยนมูลค่าสินค้า อีกทั้งยังมีพื้นฐาน AI ที่ใช้ในธุรกิจ เครื่องมือ AI ยอดนิยม เช่น ChatGPT, Microsoft Copilot, Claude, Gemini และ Perplexity มีการเปรียบเทียบความสามารถในการค้นคว้า เขียน และวิเคราะห์ภาพให้เห็นเป็นตัวอย่าง ยังมีโปรแกรม Google AI Studio ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับทดลองและพัฒนาโมเดล AI โดยฝั่งนักพัฒนาของGoogle, Imagine :AI สำหรับสร้างภาพจากข้อความ หรือ Suno: โปรแกรม AI สำหรับสร้าง “เพลง” จากข้อความ หรือเสียง และ Canva (with AI tools) เทคนิคการเขียน Prompt กำหนดบทบาท บอกบริบท ระบุเป้าหมายและเงื่อนไขเพิ่มเติม รวมถึงตัวอย่าง Prompt สำหรับสร้างคอนเทนต์จริง ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการเข้าใจวิธีใช้ AI สร้างคอนเทนต์การตลาดทดลองเขียน Prompt ด้วยตนเอง และเห็นภาพการนำ AI มาใช้ในธุรกิจจริงอีกด้วย

“วิทยากรหลักที่ สสว. เชิญมาร่วมกิจกรรมกับผู้ประกอบการนั้น เป็นนักสร้างสรรค์สื่อการสอนดิจิทัล เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการศึกษา มีผลงานในการถ่ายทอดวิธีการสร้างสื่อด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและการผลิตสื่อมัลติมีเดีย ซึ่งรายละเอียดของการอบรมได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการอย่างมาก หลายท่านขอมาลงทะเบียนล่วงหน้าเข้าร่วมในครั้งต่อไปด้วย ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ดีเพราะเท่ากับว่า สสว. ได้เลือกกิจกรรมที่ผู้ประกอบการมีความต้องการ ขณะเดียวกัน สสว. และหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนก็จะพยายามพัฒนาสิทธิพิเศษแก่ผู้ประกอบการ ในลักษณะของ Privilege ที่สอดคล้องตามความต้องการของผู้ประกอบการมากที่สุด ซึ่งผู้ประกอบการสามารถเลือกใช้ Privilege ต่างๆ ได้ที่แอปพลิเคชัน SME Connext ของ สสว. โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ สสว. ก็จะทำหน้าที่ “เคียงข้าง SME คู่คิดที่ดีผู้ประกอบการไทย” ตลอดไป” รักษาการ ผอ.สสว. กล่าว


รัฐบาลเร่งผลักดันมาตรการส่งเสริม SME ผ่าน 3 แนวทางหลัก สร้างรายได้ ขยายโอกาส เสริมแกร่งธุรกิจไทย

รัฐบาลเร่งผลักดันมาตรการส่งเสริม SME ผ่าน 3 แนวทางหลัก สร้างรายได้ ขยายโอกาส เสริมแกร่งธุรกิจไทย

วันที่ 27 มิถุนายน 2568 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (บอร์ดส่งเสริมฯ สสว.) เปิดเผยว่าที่ประชุมได้เร่งผลักดันมาตรการส่งเสริม SME ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างมูลค่าให้กับ SME ให้พร้อมรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจได้อย่างเข้มแข็ง ผ่าน 3 มาตรการหลัก ดังนี้

1. “สร้างรายได้” ส่งเสริม SME บุกตลาด e-Commerce และ Live Commerce

e-Commerce เป็นช่องทางหลักที่ผู้ประกอบการใช้นำเสนอสินค้าสู่ผู้บริโภค อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการ SME ต้องเสียส่วนแบ่งกำไรกว่า 30% ให้กับการใช้บริการแพลตฟอร์ม e-Commerce ที่ให้บริการในปัจจุบัน ทำให้ SME มีต้นทุนสูง ดังนั้น บอร์ดส่งเสริมฯ จึงมีนโยบายให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการดำเนินการพัฒนาศักยภาพของแพลตฟอร์ม e-Commerce ของไทย โดยอาจร่วมมือกับ Thailand Post Mart หรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ ที่ สสว. เห็นว่ามีความเหมาะสม อีกทั้งใช้จุดแข็งของไปรษณีย์ไทยที่มีสาขา และระบบโลจิสติกส์ครอบคลุมทั่วประเทศในการเสริมความแข็งแกร่งของระบบ e-Commerce เบื้องต้นบอร์ดส่งเสริมฯ อนุมัติกรอบงบประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อการพัฒนาขีดความสามารถของระบบนิเวศ e-Commerce อย่างไรก็ตาม มอบหมายให้ สสว. เสนอแผนการดำเนินงานต่อบอร์ดส่งเสริมฯ ต่อไป         

2. “ขยายโอกาส” ส่งเสริม SME เข้าถึงตลาดจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ สร้างโอกาสให้ SME กว่า 750,000 ล้านบาท

นายประเสริฐฯ ย้ำถึงมาตรการของรัฐบาลในการสนับสนุนให้ SME เข้าถึงการจัดซื้อภาครัฐ (THAI SME-GP)
โดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้ดำเนินการร่วมกับกรมบัญชีกลาง ด้วยสิทธิพิเศษที่ให้ภาครัฐจัดซื้อจัดจ้างจาก SME ก่อน และให้แต้มต่อราคา 10% สำหรับ SME และเพิ่มสูงสุด 15% สำหรับสินค้า Made in Thailand ซึ่งปีงบประมาณ 2567 มียอดจัดซื้อจัดจ้างสูงถึง 726,211 ล้านบาท ดังนั้น บอร์ดส่งเสริมฯ จึงมีนโยบายให้ สสว. เร่งดำเนินการและขยายผลมาตรการด้วยการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ให้ SME ทราบในวงกว้าง เพื่อเพิ่มการเข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐผ่านมาตรการ THAI SME-GP โดยคาดการณ์ว่ามูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐสำหรับ SME จะยังคงมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 750,000 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2568

3. “เสริมแกร่ง” ด้วยวงเงิน 2,700 ล้านบาท ปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ 1% ระยะเวลาปลอดชำระเงินต้นสูงสุด 1 ปี ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด 5 ปี

           

นอกจากนี้ บอร์ดส่งเสริมฯ สสว. ได้จัดสรรงบประมาณ 2,700 ล้านบาท อัดฉีดเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพียง 1% ระยะเวลาปลอดชำระเงินต้น 1 ปี คาดว่าจะสามารถปล่อยกู้ได้ในเดือนสิงหาคม 2568 เพื่อเสริมแกร่งธุรกิจ SME ไทย โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่

(1) Transformation Fund (วงเงิน 1,000 ล้านบาท) มุ่งเน้น SME ที่ต้องการพัฒนารูปแบบธุรกิจให้ทันสมัยด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล นวัตกรรม และแนวคิดธุรกิจที่ยั่งยืน เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น

(2) Enhancement Fund (วงเงิน 1,000 ล้านบาท) สำหรับกลุ่ม SME ที่มีศักยภาพ เช่นธุรกิจสีเขียว การธุรกิจเกษตรสมัยใหม่ ธุรกิจดิจิทัล ธุรกิจบริการด้านสุขภาพ ธุรกิจหุ่นยนต์อัจฉริยะ และธุรกิจสร้างสรรค์ เพื่อการเติบโตอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืนในระยะยาว

(3) กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่อง (วงเงิน 700 ล้านบาท) เสริมสภาพคล่องและทุนหมุนเวียนภาคท่องเที่ยว

นายประเสริฐกล่าวอีกว่า การประชุมในครั้งนี้ เป็นการเร่งดำเนินการเพื่อ "สร้างรายได้ ขยายโอกาส เสริมแกร่ง” ธุรกิจ SME ไทยให้สามารถก้าวข้ามความท้าทายทางเศรษฐกิจและเติบโตได้อย่างยั่งยืน ด้วยกลยุทธ์ที่ครอบคลุม ทั้งการสร้างโอกาสให้ SME เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ การส่งเสริมตลาด e-Commerce และการสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ให้เป็นประโยชน์ต่อ SME ไทยอย่างแท้จริง สสว. เชื่อมั่นว่า SME ไทยจะยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง

#เอสเอ็มอี #ข่าววันนี้ #สสว #ดอกเบี้ยต่ำ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

 

"สสว." ดัน SME โชว์ศักยภาพงานแฟร์เฉิงตู คาดมูลค่า ศก. กว่า 150 ล้าน

สสว. เดินหน้า SME Privilege นำทัพ SME ไทย ลุยตลาดจีน ร่วมแสดงสินค้า เจรจาธุรกิจ
ในงาน “Gift & Houseware Fair Cultural & Creative Tourism Commodities Fair” นครเฉิงตู คาดสร้างมูลค่าทางเศรษกิจ ไม่ต่ำกว่า 150 ล้านบาท

วันที่ 25 มิ.ย.2568 น.ส.ปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงาน รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ สสว. ได้นำผู้ประกอบการ เอสเอ็มอีไทย จำนวน 10 ราย เข้าร่วมแสดงสินค้าและเจรจาธุรกิจ ในงาน “Gift & Houseware Fair Cultural & Creative Tourism Commodities Fair” ณ ศูนย์การประชุมนานาชาติ Century City นครเฉิงตู สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 19-21 มิ.ย.2568 ซึ่งเป็นกิจกรรมภายใต้โครงการ SME Privilege ของปีนี้ เพื่อตอบโจทย์ผู้ประกอบการ 3 มิติ คือ ส่วนลดสินค้าและบริการ ขยายช่องทางการตลาด และเชื่อมโยงแหล่งเงินทุน โดยการนำผู้ประกอบการเข้าร่วมงานครั้งนี้ เป็นกิจกรรมสำคัญของการขยายช่องทางการตลาด เพราะปัจจุบันอุตสาหกรรมของขวัญและของใช้ในบ้านของจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยในปี ค.ศ. 2025 นี้ คาดว่าจะมีมูลค่ารวมถึง 1,449.8 พันล้านหยวน จึงนับเป็นโอกาสที่ดีของผู้ประกอบการไทยที่จะขยายช่องทางการตลาดและเพิ่มยอดส่งออกให้มากขึ้น

รักษาการ ผอ. สสว. กล่าวต่อว่า งานดังกล่าว มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 45,000 คน มีบูธแสดงและจำหน่ายสินค้าต่างๆ กว่า 800 บูธ บนพื้นที่กว่า 20,000 ตารางเมตร ซึ่ง สสว. ได้จัดทำ “Thailand Pavilion”
ซึ่งออกแบบสะท้อนอัตลักษณ์ไทย เพื่อยกระดับภาพลักษณ์ของผู้ประกอบการไทยในเวทีนานาชาติ และสร้างความประทับใจที่แตกต่าง ผ่านดีไซน์ที่ผสมผสานความร่วมสมัย เข้ากับวัสดุธรรมชาติ ภายใต้แนวคิด “Crafted by Thai Hands, Designed for Global Eyes” สร้างความประทับใจสื่อถึง Smart Simplicity และ Sustainable by Design


ขณะที่ผู้ประกอบการทั้ง 10 รายที่ผ่านการคัดเลือกประกอบด้วย บริษัท ไทยชิลลี่ฟูดส์ 999 จำกัด เป็นผู้จำหน่ายและผลิตสินค้าอาหารแปรรูป น้ำพริกในรสชาติต่างๆ อาทิ น้ำพริกเผาปลาแซลมอน ต้มยำกุ้งกรอบ (แบรนด์ชิลลี่เด้/ Chillide) บริษัท ระฆังทอง198 จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าเครื่องประดับ จากวัตถุหลายชนิด อาทิ ทองคำ เงิน ทองเหลือง (แบรนด์ระฆังทอง/RAKHANGTHONG) บริษัท ริชชี่ ไรซ์
โปรดักส์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าทำจากข้าวหอมมะลิอบ (ไม่ทอด) ไม่ใส่ผงชูรส ปราศจากกลูเตน และไม่มีสารกันบูด (แบรนด์ริชชี่ ไรซ์/Richy Rice) บริษัท อุดมกิจไพศาล จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าเครื่องเทศ สมุนไพร ผักอบแห้ง อาหารทะเลผง และชุดทำอาหารไทย (แบรนด์อุดมกิจ/UDOMKIJ)

บริษัท โคโค่บิวตี้เนเชอรัลโปรดักส์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ดูแลและบำรุงผิวจากธรรมชาติ น้ำมันมะพร้าว ภายใต้แบรนด์ (แบรนด์ลา บริส เลอ บลูม/Labliss Lebloom) บริษัท ลิ้มเซ่งฮึง จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ยาหม่อง ยาแคปซูล ยาลูกกลอน และยาแผนโบราณ (แบรนด์ศิลาทอง/V.vickly)

บริษัท พรีม่าเพิร์ล จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าเครื่องประดับที่ทำมาจากไข่มุก (แบรนด์พรีม่าเพิร์ล/PRIMAPEARL) บริษัท สบาย เฮิร์บ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์เครื่องหอม ถุงสมุนไพรไทย
(แบรนด์สบาย โฮม สปา/SABAI HOME SPA) บริษัท 42 เนเจอร์รัลรับเบอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ทำจากยางพารา อาทิ หมอนยางพารา (แบรนด์ 42 เนเจอรัล รับเบอร์/42 NATURALRUBBER) และบริษัท วี.เอส.ที. วู้ด จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าไม้และเฟอร์นิเจอร์ไม้ โดยการนำชิ้นไม้ขนาดเล็กมาต่อกันเป็นแผ่นไม้ขนาดใหญ่ (แบรนด์ ฮาดร์ แอน แฮนด์/Hearts and Hands) คาดว่า บริษัทเหล่านั้น จะสร้างมูลค่าทางเศรษกิจ จากยอดขายและกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (Business Matching)  ไม่ต่ำกว่า 150 ล้านบาท

รักษาการ ผอ. สสว. กล่าวด้วยว่า สสว. ยังได้ร่วมประชุมหารือกับ CECC-CBEC (Cross-Border E-Commerce Working Committee of China Electronics Chamber of Commerce) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สำคัญที่สนับสนุนการพัฒนาอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนของจีน โดยให้ความช่วยเหลือด้านนโยบายและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลสำหรับผู้ประกอบการต่างชาติที่ต้องการเข้าสู่ตลาดจีน เพื่อเจรจาแนวทางการสนับสนุน MSME ไทยที่ต้องการขยายธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์ โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซหลักของจีน เช่น Tmall Global , JD Worldwide และ Douyin E-Commerce รวมทั้งประชุมหารือกับ
RX Huabo Exhibitions Co., Ltd. บริษัทผู้จัดงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติที่เชี่ยวชาญด้านของขวัญและของใช้ในบ้าน โดยเฉพาะงาน The 17th China (Chengdu) Gifts & Houseware Fair ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าระดับภูมิภาคที่เชื่อมโยงผู้ผลิต ผู้ค้า และแบรนด์สินค้าชั้นนำเข้าด้วยกัน เพื่อหาโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้พบกับคู่ค้าและขยายตลาดไปยังผู้จัดจำหน่ายในจีน

นอกจากนี้ยังได้ประชุมหารือกับ Xiaoduo AI (Chengdu Xiaoduo Artificial Intelligence Technology Co., Ltd.) องค์กรชั้นนำด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่พัฒนาโซลูชัน AI ครบวงจร โดยเฉพาะระบบ Chatbot อัจฉริยะและ AI Voice ซึ่งสามารถนำไปปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการลูกค้า การขาย การบริหารจัดการ และระบบอัตโนมัติในองค์กร
สำหรับกลุ่มธุรกิจ เอสเอ็มอีโดยมีจุดแข็งด้านการออกแบบโซลูชันที่ใช้งานง่าย ลงทุนต่ำ และปรับขนาดได้ตามความต้องการ เหมาะสำหรับ เอสเอ็มอี
ที่ต้องการปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล และยังได้มีการประชุมหารือความร่วมมือด้านการค้าและอีคอมเมิร์ซกับ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้า สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครเฉิงตู สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงพาณิชย์ของไทยที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการขยายตลาดเข้าสู่จีน โดยเฉพาะในเขตมณฑลเสฉวน ซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์กลางเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดในภาคตะวันตกของประเทศจีนอีกด้วย


“สสว. พยายามแสวงหาโอกาสต่างๆ ให้แก่ผู้ประกอบการผ่าน SME Privilege เพื่อให้สามารถพัฒนาศักยภาพและสร้างความเข้มแข็งทางธุรกิจ เพื่อเป็นหนึ่งในฟันเฟืองที่ช่วยขับเคลื่นเศรษฐกิจของประไทย
โดยครั้งนี้ “Thailand Pavilion” ภายในงานได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานเป็นอย่างมาก โดยมียอดสั่งซื้อภายในงานกว่า 20 ล้านบาท มีการเจรจาการค้ากับผู้ซื้อที่สนใจรวมกว่า 600 ราย และมีมูลค่าการสั่งซื้อคาดการณ์ภายใน 1 ปี กว่า 50 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีการลงนามความร่วมมือร่วมกันระหว่าง บริษัท เทค อี-บิสสิเนส เซ็นเตอร์ จำกัด (TeC e-Business Center) และ บริษัท RX Huabo Exhibitions Co., Ltd. ที่จะมาร่วมกันขับเคลื่อนแสวงหาแนวทางสร้าง Privilege ให้แก่ผู้ประกอบการต่อไป โดยผู้ประกอบการที่สนใจสามารถตรวจสอบรายละเอียด และเลือกใช้ Privilege ต่างๆ ได้ที่แอปพลิเคชัน SME Connext ของ สสว. โดยไม่มีค่าใช้จ่าย รักษาการ ผอ.สสว. กล่าว

สสว.รับฟังความคิดเห็นร่าง Ecosystem และ Result Chain เตรียมพร้อมประเมินรอบแรกปี 69-71 ตามมติ ครม.

สสว.รับฟังความคิดเห็นร่าง Ecosystem และ Result Chain เตรียมพร้อมประเมินรอบแรกปี 69-71 ตามมติ ครม.

วันที่ 24 มิถุนายน 2568 ดร.ปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการ สสว. ให้เกียรติเป็นประธานการประชุมรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อร่างระบบนิเวศการส่งเสริม (Ecosystem) และห่วงโซ่ผลการดำเนินงาน (Result Chain) ของ สสว. โดยเป็น​การดำเนินงานตามมติ  ค.ร.ม.​ เมื่อวันที่ 11 ต.ค.65 เรื่อง การประเมินความคุ้มค่าเพื่อพัฒนาองค์การมหาชนที่จะต้องได้รับการประเมินอย่างน้อย 1 ครั้งในทุก 3 ปี​ ซึ่ง​ สสว.​ ต้อง​เข้าสู่​การประเมิน​รอบแรก​ปี​ 2569-2571

สำหรับการประชุมในครั้งนี้จัดขึ้น ณ ห้องเจมินี่ ชั้น 3 โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชัน กรุงเทพฯ​  มีผู้แทน​ คกก.บริหาร​ฯ​  หน่วยงาน​ภาค​รัฐ​ ​ กพร.  และ ผู้​บริหาร​ สสว.​ เข้าร่วม​และผ่าน​ Zoom.​ รวม​ทั้งสิ้น​กว่า 100 คน 70 หน่วยงาน 

สสว.ชูเว็บไซต์ Market Intelligence เจาะ 30 ตลาดสากล เน้นการส่งออก

สสว. เดินหน้าลุยต่อเพื่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ใช้เว็บไซต์ Market Intelligence เป็นแหล่งข้อมูลให้ผู้ประกอบการใช้เป็นคู่มือบุกตลาดต่างประเทศ อัดแน่นด้วยข้อมูลเชิงลึกของ 30 ตลาดต่างประเทศ ครอบคลุมกว่า 10 สาขาธุรกิจที่มีศักยภาพ คาดจะเป็นพื้นฐานให้กับเอสเอ็มอีเตรียมความพร้อมด้านการส่งออก 

นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงาน รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวภายหลังการสัมมนา ‘เจาะตลาดสากล : Market Intelligence เพื่อ SME’ ว่าปัจจุบัน เอสเอ็มอีจำนวนมากกว่า 3.2 ล้านราย หรือคิดเป็นร้อยละ 99.5 ของวิสาหกิจทั้งประเทศและเป็นแหล่งจ้างงานจำนวนกว่า 12 ล้านคนหรือร้อยละ 70 ของการจ้างงานทั้งหมด มีมูลค่า GDP รวมกันมากกว่า 6.3 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35 จาก GDP ของประเทศ 

โดยจากจำนวนดังกล่าว กลับมีเอสเอ็มอีที่มีความสามารถในการส่งออกเพียง 22,400 ราย คิดเป็นประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท หรือเพียงร้อยละ 13.4 จากมูลค่าภาพรวมการส่งออกทั้งหมดของประเทศไทย ซึ่งสถานการณ์การส่งออกที่ผ่านมา มีแนวโน้มการขยายของมูลค่าการส่งออกเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเท่านั้น ในขณะที่วิสาหกิจรายย่อยหรือ ไมโคร เอสเอ็มอี มีจำนวนที่ลดลง ถึงร้อยละ 72 ซึ่งสามารถคาดการณ์การลดลงได้จากการที่หลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศยุโรป มีมาตรการทางการค้าที่เข้มข้นและซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะผลกระทบจากสงครามทางการค้า จึงทำให้ผู้ประกอบการหลายรายไม่สามารถปรับตัวให้สอดรับกับสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ มาตรการทางการค้าระหว่างประเทศในปัจจุบันเริ่มให้ความสำคัญกับแนวคิดด้านความยั่งยืน รวมถึงการทำธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบอย่างชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกฎระเบียบเรื่องสิ่งแวดล้อม การตรวจสอบห่วงโซ่อุปทาน หรือข้อกำหนดด้านแรงงาน ซึ่งล้วนมีผลต่อการค้าระหว่างประเทศ 

“สสว. จึงได้มีการจัดทำเว็บไซต์ Market Intelligence ขึ้น นับตั้งแต่ปีงบประมาณ 2566 โดยเว็บไซต์ ดังกล่าว ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่จะช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย สามารถเข้าถึงข้อมูลตลาดส่งออกที่ทันสมัย และตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของการค้าโลกในปัจจุบัน โดยเฉพาะในยุคที่เศรษฐกิจโลกเผชิญกับความผันผวนจากทั้งปัจจัยเศรษฐกิจ ภูมิรัฐศาสตร์ และความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค ธุรกิจส่งออกของไทย โดยเฉพาะกลุ่ม เอสเอ็มอี จึงต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน และสามารถเจาะตลาดใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

นางสาวปณิตา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ เว็บไซต์ Market Intelligence ยังมีการรวบรวมข้อมูลด้านผู้ให้บริการทางธุรกิจระหว่างประเทศในหลายประเทศ ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วโลก อาทิ บริการด้านโลจิสติกส์ บริการให้คำปรึกษากฎหมายการประกอบกิจการในต่างประเทศ การวางแผนการตลาด รวมถึงเครือข่ายการกระจายสินค้าและร้านอาหาร เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นจะเป็นพื้นฐานให้กับเอสเอ็มอี ในการเตรียมความพร้อมด้านการส่งออก  สสว. ได้ดำเนินการพัฒนา เว็บไซต์ Market Intelligence มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ เอสเอ็มอี สามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึก ทั้งสื่อในรูปแบบ e-book รูปภาพอินโฟกราฟฟิกและคลิปวีดีโอที่ถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เข้าใจได้โดยง่าย 

ทั้งนี้ปัจจุบันเว็บไซต์ Market Intelligence มีข้อมูลเชิงลึกของตลาดเป้าหมายกว่า 30 ประเทศ ครอบคลุมกว่า 10 สาขาธุรกิจที่มีศักยภาพ อาทิ อาหารสด อาหารแปรรูปและสำเร็จรูป เครื่องแต่งกาย อัญมณีและเครื่องประดับ อาหารสัตว์ ก่อสร้าง สปาและนวดไทย ฯลฯ โดยแต่ละประเทศจะประกอบด้วยข้อมูลโอกาสด้านการตลาด (market opportunity) ข้อมูลสนับสนุนการวางแผนและเตรียมความพร้อมการส่งออกไปยังประเทศเป้าหมาย (market entry strategy) ข้อมูลการเตรียมความพร้อมและดำเนินการส่งออก (export solutions) เพื่อให้ เอสเอ็มอี สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการวางแผนธุรกิจ และเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการ เอสเอ็มอี ไทย ให้สามารถแข่งขันได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในตลาดโลก นอกจากนั้นแล้วยังมีข้อมูลสำคัญด้านมาตรการและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับพิธีการทางด้านศุลกากรในแต่ละประเทศเป้าหมาย รวมถึงแนวโน้มทิศทางของตลาดโลกและพฤติกรรมผู้บริโภคในภาพกว้างที่จะทำให้ SME สามารถคาดการณ์การทำธุรกิจและแนวทางการส่งออกได้ ซึ่งในปี 2568 นี้เป็นการขยายขอบเขตการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมอีก 10 ประเทศ 

“สสว. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเว็บไซต์ Market Intelligence จะเป็นอีกหนึ่งแหล่งข้อมูลสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่สนใจทำธุรกิจในต่างประเทศ รวมถึงจะสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ประกอบการไทยขับเคลื่อนธุรกิจสู่อนาคตอย่างมั่นใจ และก้าวทันโลกการค้าในยุคใหม่ได้อย่างยั่งยืน” รักษาการ ผอ.สสว. กล่าวในที่สุด

 

สสว.เปิดตัวเว็บไซต์ Market Intelligence ติดอาวุธทางความคิดดันเอสเอ็มอีส่งออกต่างประเทศ

สสว.เปิดตัวเว็บไซต์ Market Intelligence พร้อมจัดสัมมนาเจาะลึกบุกตลาดต่างประเทศ มีผู้เชี่ยวชาญด้านด้านเศรษฐกิจและการค้าโลกให้ความเห็นเรื่องส่งออก    

นายวิทวัส ล่ำซำ ผู้อำนวยการฝ่ายความร่วมมือระหว่างประเทศ (ฝรท.) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวภายในงานเจาะลึกบุกตลาดต่างประเทศ ว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ รวมถึงความผันผวนของสถานการณ์ในตลาดโลกที่ไม่สามารถคาดเดาได้อันเป็นผลมาจากสงครามการค้า ประเทศไทยนับเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจภายในประเทศ โดยเฉพาะกับเอสเอ็มอีที่มีความเปราะบางบางสูง และมีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงต่ำ การสนับสนุนเอสเอ็มอีให้มีโอกาสและเพิ่มขีดความสามารถในการขยายสู่ตลาดต่างประเทศและการเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานของโลกของบริษัทขนาดใหญ่ นับเป็นอีกหนึ่งช่องทางการเพิ่มรายได้และการอยู่รอดในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวนี้ 

นอกจากนี้ ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนก็เป็นอีกประเด็นสำคัญต่อการค้าในปัจจุบัน เนื่องจากผู้บริโภคทั่วโลกต่างคำนึงถึงการใช้สินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มาตรการการค้าที่มีความเข้มข้นกับการตรวจสอบการปล่อยคาร์บอน และขับเคลื่อนประเด็นสำคัญใน SDG และ ESG เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจ การปรับตัวของเอสเอ็มอีจะเป็นส่วนช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับธุรกิจคู่ค้าได้ สสว.ในฐานะหน่วยงานส่งเสริมและสนับสนุนเอสเอ็มอีจึงได้จัดทำเว็บไซต์ Market Intelligence ขึ้น เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลตลาดต่างประเทศเชิงลึกสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกรายประเทศและรายอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกที่มีศักยภาพ รวมถึงมาตรการและนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออก รวมถึงรายชื่อผู้ให้บริการการส่งออกในหลายประเทศ 

นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เผยว่า ปัจจุบัน นักท่องเที่ยวจากประเทศจีนหายไปจากตลาดท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก เพราะฉะนั้นธุรกิจประเภทบริการและการส่งออกจึงประสบปัญหาที่คล้ายกัน โดยสิ่งที่ผู้ประกอบการกำลังเผชิญคือ ความไม่แน่นอนของตลาด ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่กล้าลงทุนและไม่กล้าทําการค้าขาย ซึ่งตนเชื่อว่า หลังไตรมาส 2 เศรษฐกิจโลกน่าจะทรุดตัว แต่คาดว่าอาจจะดีขึ้นหลังไตรมาส 3 หรือไตรมาส 4 ส่งผลต่อจีดีพีของประเทศในภาพรวม สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องทำคือการวางแผนเพื่อสู้กับภาวะเศรษฐกิจ คือต้องเพิ่มประสิทธิภาพ และต้องลีนให้มากที่สุด เพื่อลดต้นทุนที่ไม่จำเป็นและผู้ประกอบการควรจะลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนา (อาร์แอนด์ดี : reserch and Development)

“อย่างเรื่องขยะที่ผู้ประกอบการสามารถใช้อาร์แอนด์ดี เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มได้ รวมถึงเรื่อง การหาจุดแข็งในประเทศ ซึ่งในประเทศไทยคือเรื่องการเกษตรหรือการบริการการแพทย์ ต้องสร้างพยายามสร้างแบรนด์และสร้างความแตกต่างด้วยคุณภาพด้วยการใส่อาร์แอนด์ดี เพราะจะทําให้เอสเอ็มอีสามารถขับเคลื่อนตนเองได้ ซึ่งแสดงว่าตลาดของเอสเอ็มอียังมีโอกาสและการเติบโตทั้งในไทยและต่างประเทศ เพราะฉะนั้นโอกาสอาจจะอยู่นอกประเทศมากกว่าในประเทศ เช่นในตลาดตะวันออกกลาง เป็นต้น”

นายวิทย์ สิทธิเวคิน ผู้ดำเนินรายการชื่อดัง และกูรูด้านประวัติศาสตร์ เผยว่า ประวัติศาสตร์กับการค้าเชื่อมโยงกัน เช่น ในต่างประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ ตนเห็นว่า ประเทศเหล่านั้นเน้นเรื่องการส่งออก ซึ่งล่าสุดคือ การส่งออกคนฉลาด หรือ เพื่อควบคุมซัพพลายเชน หรือการบริการ ซึ่งเมื่อหันกลับมาดูในประเทศไทยแล้วพบว่า ยังไม่มีเรื่องการบริการมากนัก 

“ผมชอบประโยคนี้ของชาวจีนที่ว่า พระเจ้าสร้างโลก ที่เหลือมนุษย์สร้างทั้งหมด แต่สินค้าเทรดดิชั่นของประเทศไทยกลับขาดเรื่องมาตรฐาน ซึ่งต่างกับต่างประเทศ จะเห็นว่า ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าใด สินค้าหรือบริการยังเป็นมาตรฐานเดิม ซึ่งทำให้ลูกค้าเกิดความภักดีในตราสินค้า เช่น รถยนต์ที่ผลิตจากประเทศอิตาลี ซึ่งมีจำนวนน้อยคัน แต่ทำให้เกิดความต้องการจากทั่วโลกได้ ซึ่งผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย ควรใส่ดีไซน์ คอนเซ็ปต์ เพื่อสร้างความแตกต่างในสินค้าและบริการ คนจีนคิดเสมอว่าที่ไหนมีจุดอ่อน ที่นั้นมีเรา และอาจใช้กลยุทธ์ ป่าล้อมเมือง ดังนั้น จุดแข็งของสินค้าจีนคือ ทำสินค้าให้ถูก โดยไม่แข่งกับรายอื่น แต่จะแข่งกับความยากลําบากของชีวิตมนุษย์ และท้ายที่สุดจะเป็นฝ่ายชนะ ซึ่งสินค้าไทย ผมว่า สิ่งที่ไม่มีใครเอาไปจากเราได้ยกเว้นแต่เราจะทําลายด้วยตัวเราเอง คือคําว่าเมดอินไทยแลนด์” นายวิทย์ ระบุ

นายชัยชาญ เจริญสุข ที่ปรึกษากิติมศักดิ์ อดีตประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย(สรท.) ขณะนี้ผู้ประกอบการรายเล็กในประเทศกำลังประสบปัญหาอย่างมาก โดยเฉพาะรายที่ส่งสินค้าไปจำหน่ายต่างประเทศ ซึ่งตนมองว่า พลวัตรครั้งนี้เป็นเกมที่คาดไม่ถึง เพราะจากสงครามการค้าครั้งแรก ประเทศไทยชนะคู่แข่งด้วยเรื่องของการย้ายฐานการผลิตบวกกับการส่งออกของประเทศไทยไปยังประเทศสหรัฐอเมริกามีปริมาณเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้ไทยได้เปรียบ แต่สำหรับครั้งนี้ ไม่ใช่แค่สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา เพราะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีซึ่งประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบไปด้วย ผลกระทบเรื่องดังกล่าว มีการขยายวงกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะในวัตถุดิบหรือสารตั้งต้นในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เนื่องจากเป็นปัจจัยพื้นฐาน ซื่งหากมีปัญหาในการส่งออก จะทำให้สินค้าเหล่านี้ ทะลักเข้าสู่ภายในประเทศมากขึ้น 

โดยประเทศไทยจะยืนอยู่ตรงไหน เอสเอ็มอีไทยจะเป็นอย่างไรบ้าง เนื่องจากผลกระทบครั้งนี้ เราโดนทั้งสินค้าที่นําเข้ามาจากจีนและประเทศไทยก็ไม่ได้รับอานิสงส์จากการเคลื่อนย้ายฐานการผลิตมากเหมือนในอดีตที่ผ่านมา เนื่องจากมีการใช้ออโตเมชั่นมากขึ้น โดยเฉพาะภาคการผลิต เพราะฉะนั้น หากประเทศไทยไม่สามารถปรับตัวด้านเทคโนโลยี หรือไม่สามารถปรับทักษะด้านฝีมือแรงงานได้ ประเทศไทยก็จะหมดความน่าสนใจเรื่องการลงทุนโดยปริยาย 

“ผมว่า นี่คือสิ่งที่เราจะต้องปรับ เช่น เราต้องทําสินค้าที่ต้นทุนต่ำ การปรับปรุงคุณภาพหรือปรับปรุงกระบวนการผลิต และลดขนาดองค์กรให้มากที่สุด หรือผลิตเฉพาะสินค้าที่จําเป็นเท่านั้น รวมถึงการปรับปรุงเรื่องเทคโนโลยี องค์ความรู้และทักษะของผู้ประกอบการ มิฉะนั้นประเทศไทยจะปรับตัวสู่พลวัตรของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ยาก ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความเร็วในการปรับตัวของผู้ประกอบการ นับเป็นโอกาสสำหรับเอสเอ็มอีที่พร้อมเปลี่ยนแปลงและรับนวัตกรรมใหม่ๆ”นายบุรินทร์กล่าว 

นางสาวฮานาน วิสิทธิ์ภัทรานนท์ นักวิชาการพาณิชย์ชำนาญการ กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า เอสเอ็มอีไทยมีกลไกต่าง ๆ ในการที่ทําให้สินค้าไปได้ด้วยต้นทุนที่สู้กับผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ในต่างประเทศได้ โดยหนึ่งในนั้นก็คือ สิทธิประโยชน์จากข้อตกลงเอฟทีเอ (Free Trade Area) หรือข้อตกลงการค้าเสรีที่รัฐบาลไทยทำความตกลงร่วมกับรัฐบาลของอีกประเทศหนึ่ง เช่น เรื่องการค้าสินค้า และการค้าบริการ ในส่วนของการค้าสินค้าจะมีประเด็นการลดภาษี หรือยกเว้นภาษีนําเข้าสําหรับสินค้าของประเทศคู่ค้า  ซึ่งภายใต้ข้อผูกพันในแต่ละเอฟทีเอ จะมีความชัดเจนว่าจะมีการลดหรือยกเว้นภาษีระหว่างกัน หากเอสเอ็มอีจะไปตลาดที่ประเทศไทยมีเอฟทีเอ ก็ควรใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้เอฟทีเอ ซึ่งก็คือสิทธิการลดหรือยกเว้นภาษีนําเข้า ณ ประเทศปลายทาง ทำให้ต้นทุนในการนำเข้าถูกลงและสามารถแข่งขันได้

“ปัจจุบันไทยมีความตกลงการค้าเสรี ทีมีผลบังคับใช้แล้ว 14 ฉบับ กับ 18 ประเทศ และมี FTA ที่สรุปผลการเจรจาและรอการมีผลบังคับใช้จำนวน 3 ฉบับ กับ 6 ประเทศ รวม FTA ของไทยทั้งสิ้น 17 ฉบับกับ 24 ประเทศ แบ่งเป็นระดับทวิภาคี จำนวน 8 ฉบับ และระดับภูมิภาค จำนวน 9 ฉบับ ดังนั้น ผู้ประกอบการหากอยากเริ่มไปตลาดต่างประเทศ อาจลองพิจารณาประเทศที่มีเอฟทีเอก่อน โดยเฉพาะเรื่องกฎว่าด้วยถิ่นกําเนิดของสินค้า” 

นางขวัญฤทัย ศิริพัฒนโกศล รองเลขาธิการสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อม เป็นหนึ่งในมาตรการป้องกันกิจกรรมทางการค้า ดังนั้น เอสเอ็มอีไทยควรตระหนักหรือต้องทำความเข้าใจกับเรื่องนี้ด้วย ปัจจุบันเทคโนโลยีต่าง ๆ ก็ผนวกอยู่ในเรื่องของความยั่งยืนด้วยเหมือนกัน ซึ่งปัจจุบัน มีความเปลี่ยนแปลงไปมาก ในความหมาย “ความสมัครใจ” ขณะนี้จะมีสภาพบังคับมากขึ้น และถูกทําให้เป็นมาตรฐานมากขึ้น ซึ่งขอบเขตจะไม่ใช่เฉพาะบริษัทใหญ่เท่านั้นแต่ จะมีผลกระทบต่อซัพพลายเชนด้วย ซึ่งส่วนใหญ่คือเอสเอ็มอีด้วย

นายวิทวัส กล่าวเสริมอีกว่า ปัจจุบัน ตัวเลขผู้ส่งออกที่เป็นเอสเอ็มอีคิดเป็น  ร้อยละ 13.4 ของผู้ส่งออกทั้งหมดในประเทศหรือเพียง 22,231 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างน้อยหากเทียบเคียงกับจำนวนวิสาหกิจที่ส่งออกทั้งหมด ซึ่งหากพิจารณาที่มูลค่าส่งออกภาพรวมของไทยที่ค่อนข้างสูงและมีมูลค่าสูง จะพบว่าบริษัทต่างชาติอาศัยสิทธิประโยชน์ทางภาษีของประเทศไทย จึงใช้ไทยเพื่อเป็นฐานการผลิตและส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอมริกา 

อย่างไรก็ตามสถานการณ์ตอนนี้ ผู้ประกอบการทั้งรายเล็กและรายใหญ่ ต่างประสบปัญหาเรื่องการส่งออกเช่นเดียวกันแต่ปัญหาสำคัญของวิสาหกิจขนาดเล็กเรื่องการผลิตสินค้า เนื่องจากผู้ประกอบการขนาดเล็กจะมีต้นทุนที่สูงกว่าจึงทำให้ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาค่อนข้างต่ำโดยเฉพาะกับสินค้าจากจีนแม้ว่าจะให้ความสำคัญกับเรื่องการลดต้นทุนแล้วก็ตาม  ดังนั้นทางออกในเรื่องนี้คือ ต้องทําให้เอสเอ็มอีของไทยมีจุดเด่นและจุดขายมีเอกลักณ์ด้านคุณภาพที่แตกต่าง และต้องมีการรวมกลุ่มเพื่อบุกตลาดที่เป็นตลาดที่มีศักยภาพใหม่


 
 

สสว.-สทท.ชวนเที่ยวตลาดนัด Recharge Market 2025 กระตุ้นเศรษฐกิจ

​สสว.ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) เปิดตลาดนัด Recharge Market 2025 ภายใต้โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือเยียวยาฟื้นฟู SME จากสาธารณภัย ปี 2567 จัดเต็มกิจกรรมพร้อมบูธจำหน่ายสินค้า SME ในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ มิถุนายนนี้ คาดสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ถึง 30.93 ล้านบาท

​นายวชิระ แก้วกอ รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กล่าวว่า จากเหตุการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม ปี 2567 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องให้ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ สสว. ได้มองเห็นถึงแนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเพื่อสร้างโอกาสและช่องทางการตลาดให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว อีกทั้งยังเป็นช่วยสร้างรายได้และกระจายรายได้ในพื้นที่ภูมิภาคได้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น จัดทำโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือเยียวยาฟื้นฟูเอสเอ็มอีจากสาธารณภัยที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติดังกล่าว ทั้งทางตรงและทางอ้อม ด้วยการดำเนินกิจกรรม “ตลาดนัด Recharge Market 2025 เติมพลัง SME เติมพลังโลก” ในพื้นที่ภูมิภาค โดยในเดือนมิถุนายนนี้กำหนดจัดงานในพื้นที่ภาคใต้ ณ จังหวัดตรัง มีผู้ประกอบการเข้าร่วมออกร้านงานแสดงสินค้ากว่า 100 ร้าน

“ตลาดนัด Recharge Market 2025 เติมพลัง SME เติมพลังโลก ที่จังหวัดตรังนี้ จะช่วยสร้างโอกาสและช่องทางการตลาดใหม่ ๆ ให้กับผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้มีโอกาสสร้างช่องทางการตลาดได้เพิ่มขึ้น และจากกิจกรรมนี้คาดว่าจะเกิดการสร้างรายได้จากเข้าร่วมงานแสดงสินค้าครั้งนี้ ไม่น้อยกว่า 28.125 ล้านบาท ตลอดจนเกิดคำสั่งซื้อจากกิจกรรมจับคู่ธุรกิจไม่น้อยกว่า 2.812 ล้านบาท นำไปสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้เพิ่มมากขึ้น” รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กล่าว

นายชัย อรุณานนท์ชัย ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภัยพิบัติหลากหลายรูปแบบที่ประเทศไทยต้องเผชิญทำให้ให้ผู้ประกอบการหลายรายไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ต้องหยุดชะงัก ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว และเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศเป็นอย่างมาก ซึ่งการเปิดตลาดนัด Recharge Market 2025 เติมพลังเอสเอ็มอี เติมพลังโลกที่ผ่านมานั้น เป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการด้วยการเปิดพื้นที่และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจากทั่วประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ รวมถึงผู้ประกอบการที่ต้องการสร้างโอกาสทางการตลาดให้เกิดการกระจายรายได้ มีพื้นที่จำหน่ายสินค้า และมีช่องทางพบปะผู้บริโภคได้ทั่วถึงมากขึ้น ช่วยให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้ประกอบการในการดำเนินธุรกิจในภาวะที่มีการแข่งขันทางการตลาดสูงในปัจจุบัน ซึ่งสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเชื่อมั่นว่าจะเกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้เติบโตขึ้นได้

​สำหรับกิจกรรมภายในตลาดนัด Recharge Market 2025 จะแบ่งออกเป็นโซนต่าง ๆ มีทั้งการเปิดร้านจำหน่ายสินค้า เชื่อมโยงผู้ประกอบการกับผู้บริโภค การให้ความรู้ กิจกรรม Workshop รวมทั้งพื้นที่พักผ่อนสำหรับผู้มาร่วมงาน มิถุนายนนี้ห้ามพลาด วันที่ 6 – 8 มิถุนายน ณ ลานโปรโมชัน ชั้น 1 ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ จังหวัดตรัง

สสว.ผนึก 9 หน่วยงานเดินหน้า “SME One ID” หนุนผู้ประกอบการไทยก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างปลอดภัย

สสว.เดินหน้าผลักดันโครงการหนึ่งรหัส หนึ่งผู้ประกอบการ SME ONE ID ประกาศจับมือร่วมกับ 9 หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลผู้ประกอบการแบบเบ็ดเสร็จในจุดเดียว เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงและเข้ารับบริการจากภาครัฐได้สะดวกรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ พร้อมยกระดับมาตรฐานการเชื่อมโยงข้อมูลสู่การพัฒนาสิทธิประโยชน์ที่หลากหลายครอบคลุมความต้องการของผู้ประกอบการ ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมพัฒนาผู้ประกอบการไทยให้แข็งแกร่งและปลอดภัยในโลกยุคดิจิทัล  

นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงาน รักษาการแทนผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า สสว. ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล ให้ดำเนินโครงงานหนึ่งรหัส หนึ่งผู้ประกอบการ (One Identification : ID One SMEs) โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อมุ่งเน้นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการ SME ของไทยลดภาระการเตรียมเอกสารเพื่อติดต่อและขอรับบริการกับหน่วยงานภาครัฐ โดยเป็นการบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารงานและให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ  โดยร่วมกับสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) พัฒนาระบบทะเบียนและการยืนยันตัวตนสำหรับผู้ประกอบการSME ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล และเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่ปี 2565 พร้อมกับบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจให้บริการผู้ประกอบการ SMEเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลจากระบบฐานข้อมูล SME One ID ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้ารับบริการกับหน่วยงานรัฐโดยไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนใหม่ และที่สำคัญผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงบริการและโครงการต่างๆ ของหน่วยงานภาครัฐได้อย่างสะดวก รวดเร็วโดยไม่ต้องรอการยืนยันเอกสารเช่นรูปแบบเดิม

“SME ONE ID เปรียบเสมือนตัวตนในรูปแบบ Digital ID ของผู้ประกอบการ SME ที่มีการพิสูจน์ตัวตนในระดับที่มีความน่าเชื่อถือสามารถอ้างอิงข้อมูลและยืนยันตนเอง SME ได้ ปัจจุบัน สสว. ได้พัฒนาช่องทางการขึ้นทะเบียนให้มีความหลากหลายเพื่อรองรับการใช้งาน และอำนวยความสะดวกของผู้ประกอบการ โดยสามารถขึ้นทะเบียนด้วยตนเองผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่ 1) เว็บไซต์ http://bizportal.go.th 2) SME CONNEXT ที่แอพลิเคชั่นเพื่อผู้ประกอบ SME รองรับการใช้งานทั้งในระบบ IOS และระบบ Android  3) แอพลิเคชั่นทางรัฐ และยังสามารถขึ้นทะเบียนได้ที่ศูนย์บริการ SME ครบวงจร ครอบคลุม 77 จังหวัด ทั่วประเทศ”

โดยจากการขึ้นทะเบียนและการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่ผ่านมาจนปัจจุบัน  สสว.มีฐานข้อมูลผู้ประกอบการ ในระบบ SME ONE ID รวมจำนวน 1,112,078 ราย (ข้อมูล ณ พฤษภาคม 2568) โดยดำเนินการบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานผ่านระบบ SME ONE ID เรียบร้อยแล้วจำนวน 11 หน่วยงาน ได้แก่ กรมสรรพากร, สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน, กรมการพัฒนาชุมชน, กระทรวงอุตสาหกรรม, กระทรวงแรงงาน, กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ,สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม, กรมส่งเสริมการเกษตร,ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม, กรมทรัพย์สินทางปัญญา และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

สำหรับปีนี้ สสว.มีแผนการบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน เพิ่มเติมอีก 9 หน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชน ได้แก่

1) กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์

2) กรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน

3) สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค

4) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง

5) กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

6) กรุงเทพมหานคร

7) บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด

8) บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม

9) บริษัท อินเทอร์เน็ต ประเทศไทย จำกัด (มหาชน)

โดยทั้งหมดนี้เราจะร่วมกับบูรณาการข้อมูลผู้ประกอบการ SME  เพื่ออำนวยความสะดวก รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ พร้อมยกระดับมาตรฐานการเชื่อมโยงข้อมูลสู่การพัฒนาสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมกับความต้องการของผู้ประกอบการ SME เพื่อส่งเสริมพัฒนาผู้ประกอบการไทยให้แข็งแกร่งและปลอดภัยในโลกยุคดิจิทัล   ทั้งนี้สสว. มีเป้าหมายในการบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานภายในปีงบประมาณ 2569 สะสมรวม 25 หน่วยงาน ปัจจุบัน ฐานข้อมูล SME ONE ID มีในระบบรวมจำนวน 1,112,078 ราย แบ่งเป็นข้อมูลบุคคลธรรมดา 60,659 ราย ข้อมูลนิติบุคคล 948,751 ราย ขึ้นทะเบียนวิสาหกิจชุมชน 82,769 ราย และ Pre-Start Up หรือ ผู้สนใจเริ่มต้นธุรกิจ 19,899 ราย

                                                   

 

บสย. ผนึก สสว. เชื่อมข้อมูล SMEs ผ่านระบบ “SME ONE ID” ชูแพลตฟอร์มดิจิทัล ยกระดับเข้าถึงแหล่งทุน

บสย. ผนึก สสว. เชื่อมข้อมูล SMEs ผ่านระบบ “SME ONE ID” ชูแพลตฟอร์มดิจิทัล ยกระดับเข้าถึงแหล่งทุน เพื่อพัฒนาโอกาสในการช่วยเหลือ SMEs มากยิ่งขึ้น

วันที่ 4 มิถุนายน 2568 นายกิตติพงษ์ บุรณศิริ รองผู้จัดการทั่วไป สายงานกลยุทธ์และผลิตภัณฑ์ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) พร้อมด้วย นางสาวสิริรัตน์ อร่ามเสรีวงศ์ รองผู้จัดการทั่วไป สายงานสารสนเทศและดิจิทัล ร่วมกับ นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงาน รักษาการแทนผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และหน่วยงานพันธมิตรภาครัฐ และเอกชน ร่วมพิธีประกาศความร่วมมือบูรณาการส่งเสริม SMEs ผ่านการเชื่อมโยงข้อมูลผู้ประกอบการ ภายใต้ระบบงาน “หนึ่งรหัส หนึ่งผู้ประกอบการ” (SME ONE ID) ยกระดับการเชื่อมโยงข้อมูล SMEs สู่การพัฒนาสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมกับความต้องการของผู้ประกอบการ SMEs ไทย เพื่ออำนวยความสะดวก รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้แข็งแกร่งและปลอดภัยในโลกยุคดิจิทัล เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น

นายกิตติพงษ์ กล่าวว่า บสย. และ สสว. ได้ร่วมลงนาม บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ภายใต้กรอบ “โครงการบูรณาการส่งเสริม SMEs ผ่านการเชื่อมโยงข้อมูลผู้ประกอบการ ภายใต้ระบบงานหนึ่งรหัส หนึ่งผู้ประกอบการ (SME ONE ID)” เพื่อยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการไทยให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างทั่วถึงและยั่งยืน มุ่งสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพ แต่ขาดหลักประกันหรือมีหลักประกันไม่เพียงพอ ให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ผ่านกลไกการค้ำประกันของ บสย. ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลผู้ประกอบการ SMEs ของประเทศ ช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงแหล่งทุน และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจฐานรากของไทยอย่างมั่นคงและยั่งยืน

สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ ในกรอบระยะเวลา 3 ปี บสย. จะทำการเชื่อมโยงข้อมูลผู้ประกอบการ SMEs ภายใต้ระบบ SME ONE ID ของ สสว. กับ แพลตฟอร์ม บสย. ผ่าน LINE OA : @tcgfirst ซึ่งมีเครื่องมือการตรวจเช็คสุขภาพทางการเงิน และธุรกิจ พร้อมผู้เชี่ยวชาญประเมินความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อ ตลอดจนเตรียมความพร้อมในการขอสินเชื่อ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการ SMEs ผ่านกลไกการค้ำประกันสินเชื่อมากขึ้น นอกจากนี้ จากความร่วมมือดังกล่าว ยังเป็นการเชื่อมข้อมูลของผู้ประกอบการ SMEs ระหว่าง บสย. ซึ่งมีฐานข้อมูล SMEs กว่า 8 แสนราย และ สสว. ที่มีฐานข้อมูล SMEs ในระบบ SME ONE ID อยู่ที่ 1,112,078 ราย (ข้อมูล ณ พฤษภาคม 2568) เพื่อยกระดับการส่งเสริม และพัฒนา ตลอดจนการเชื่อมสิทธิประโยชน์ต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของ SMEs ได้มากยิ่งขึ้น

“ความร่วมมือในครั้งนี้ สอดคล้องกับแผนยกระดับองค์กร เพื่อเพิ่มศักยภาพในการช่วยเหลือ SMEs ในประเทศไทยของ บสย. ในด้านการใช้ประโยชน์จาก Big Data มาวิเคราะห์ข้อมูลในมิติด้านต่างๆ เพื่อพัฒนาโอกาสในการช่วยเหลือ SMEs มากยิ่งขึ้น” นายกิตติพงษ์ กล่าว

ปัจจุบัน สสว. ได้ดำเนินการบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานผ่านระบบ SME ONE ID เรียบร้อยแล้วจำนวน 11 หน่วยงาน และในครั้งนี้ได้เพิ่มการบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน อีก 9 หน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยมี บสย. เป็นหนึ่งในความร่วมมือในครั้งนี้