สกพอ. โชว์ความพร้อมบริการนลท.แบบครบวงจร เดินหน้าส่ง “EEC OSS” ให้บริการออกใบอนุญาตออนไลน์

สกพอ. โชว์ความพร้อมให้บริการนักลงทุนแบบครบวงจร เดินหน้าส่ง “EEC OSS” ให้บริการออกใบอนุญาตออนไลน์ได้จริงภายใต้คอนเซ็ปต์ EEC Ready พร้อมจัดอบรมการใช้งานอย่างละเอียด มั่นใจเสริมศักยภาพทุกมิติการลงทุนในพื้นที่อีอีซี

สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เดินหน้าสร้างความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการผ่านการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “กระบวนการขออนุมัติ อนุญาตตามมาตรา 43 แห่งพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 ผ่านระบบ EEC OSS” จัดขึ้นเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท กรุงเทพมหานคร  โดยมีผู้ประกอบการในพื้นที่อีอีซี ให้ความสนใจเข้าร่วมประชุมฯ กว่า 200 ราย

การประชุมดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจในสิทธิ หน้าที่ และขั้นตอนการยื่นขออนุมัติอนุญาตผ่านระบบ EEC OSS ซึ่งเป็นระบบบริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร (One Stop Service) ให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษ ทั้งในและนอกเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ ของพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง พร้อมตั้งเป้าช่วยลดอุปสรรค ในการติดต่อหน่วยงาน ลดขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน และย่นระยะเวลา ในการดำเนินการให้แก่ผู้ประกอบการผ่านกระบวนการขออนุมัติ อนุญาตตามมาตรา 43 แห่งพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 ครอบคลุมกฎหมาย 8 ฉบับ ที่ให้อำนาจ สกพอ. เป็นผู้ดำเนินงานได้ ได้แก่ 1.กฎหมายว่าด้วยการขุดดินและถมดิน 2. กฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร 3. กฎหมายว่าด้วย การจดทะเบียนเครื่องจักร 4. กฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข 5. กฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง เฉพาะเพื่อการอนุญาตให้คนต่างด้าวตามมาตรา 54 6. กฎหมายว่าด้วยทะเบียนพาณิชย์ 7. กฎหมายว่าด้วยโรงงาน 8. กฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดิน มาให้บริการอนุมัติ อนุญาต ในจุดเดียว ช่วยให้นักลงทุน/ ผู้ประกอบการสามารถยื่นขอใบอนุญาตต่าง ๆ ผ่านช่องทาง EEC OSS ได้อย่างสะดวกออนไลน์

ภายในงาน นอกจากการบรรยายในหัวข้อ อำนาจในการอนุมัติ และการอนุญาตตาม พ.ร.บ. อีอีซี และระบบการให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ EEC OSS โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ จากสำนักการอนุมัติและการอนุญาต และสำนักบริการการลงทุน สกพอ. แล้ว ยังได้รีบเกียรติจาก จากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้อง มาร่วมถ่ายทอดความรู้ ในหัวข้อที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์แก่ผู้ประกอบการ อาทิ การบรรยายเรื่องการขออนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการขุดดินและถมดิน และกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร โดยนายสินิทธิ์ บุญสิทธิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายว่าด้วยการขุดดินและ ถมดิน และกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร การบรรยายเรื่องการขออนุญาตตามกฎหมาย ว่าด้วยโรงงาน โดยนายอภิวัฒน์ เธียรพิธากุล ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายว่าด้วยโรงงาน พร้อมตอบข้อซักถาม และกิจกรรมเวิร์คชอปการทดลองยื่นคำขออนุมัติ อนุญาตผ่านระบบ EEC OSS เพื่อให้ผู้ประกอบการ สามารถยื่นเอกสารได้ถูกต้อง ครบถ้วน และเกิดผลสัมฤทธิ์ทางธุรกิจอย่างแท้จริง

ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กล่าวเปิดประชุมพร้อมเน้นย้ำว่า การขออนุมัติ อนุญาตผ่านระบบ EEC OSS ไม่เพียงช่วยลดขั้นตอนราชการ แต่ยังเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ของพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของประเทศ และหวังว่าความรู้ที่ได้รับ จากการประชุมจะนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม

สำหรับการประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่า “EEC READY” พร้อมแล้วสำหรับการอนุมัติอนุญาตออนไลน์ ที่สามารถออกได้จริง และเกิดผลจริง เพื่อสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

ปัจจุบัน สกพอ. สามารถออกใบอนุญาต หรือ e-License ได้จริง โดยตั้งแต่ปี 2566 ถึงปัจจุบัน มีการออกใบอนุญาตไปแล้วกว่า 21 ฉบับ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นใบอนุญาตตามกฎหมายควบคุมอาคาร บริการ EEC OSS จึงถือเป็นอีกก้าวสำคัญของการขับเคลื่อนระบบอนุมัติอนุญาตออนไลน์ ของไทยในพื้นที่อีอีซี

TISCO ESU ชี้เศรษฐกิจโลก - ไทย โค้งสุดท้ายปี 68 ท้าทายสูง แนะนักลงทุนปรับพอร์ตลดเสี่ยง เน้นหุ้นสาธารณูปโภค - ทองคำ - เงิน

วันที่ 24 กันยายน 2568 ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) ประเมินเศรษฐกิจโลกยังเผชิญแรงกดดันจากหลายปัจจัย จากนโยบายการเงินสหรัฐฯ ความไม่แน่นอนทางการคลังในยุโรป และระดับราคาสินทรัพย์ที่สูงเกินพื้นฐาน แนะนักลงทุนปรับพอร์ตลดเสี่ยง เน้นกลุ่มสาธารณูปโภคและโลหะมีค่า “ทองคำ-เงิน” ขณะที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลงในครึ่งปีหลัง แม้รัฐบาลใหม่เร่งมาตรการกระตุ้น แต่อาจยังไม่เพียงพอต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง คาด GDP ไทยปีนี้โตเพียง 1.9%

● เฟดลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์

นายธนภัทร ธนชาต นักเศรษฐศาสตร์ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) (Mr.Tanapat Dhanachata, Economist, TISCO Economic Strategy Unit) เปิดเผยว่า ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจทั่วโลก หลายประเทศกำลังเผชิญแรงกดดันในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ นโยบายการเงินและการคลัง โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างเงินเฟ้อและตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลง ขณะที่ฝรั่งเศสกำลังเผชิญความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจกระทบแนวโน้มการคลังในระยะยาว

ในส่วนของสหรัฐฯ เศรษฐกิจมีสัญญาณความเปราะบางมากขึ้น แต่ยังไม่ถึงขั้นอ่อนแอรุนแรง โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) กำลังเผชิญกับความท้าทายในการดำเนินนโยบายการเงินท่ามกลางแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่ทรงตัวในระดับสูง พร้อมกับตลาดแรงงานที่ชะลอตัวลง โดย TISCO ESU ประเมินว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยนโยบายลงน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ระดับต่ำกว่า 3.0% โดยมองว่า ณ สิ้นปี 2569 อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ จะอยู่ที่ระดับ 3.25-3.50% หรือปรับลดลงราว 0.75% จากระดับปัจจุบันที่ 4.00-4.25%

ทั้งนี้ การคาดการณ์ดังกล่าวตั้งอยู่บนพื้นฐานของ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.เงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงกว่าระดับเป้าหมาย 2.0% ต่อเนื่อง 2.โครงสร้างตลาดแรงงานกำลังเปลี่ยนแปลงไป โดยอุปสงค์แรงงานชะลอตัวลงพร้อมกับอุปทานแรงงาน ส่งผลให้การเพิ่มขึ้นของอัตราการว่างงานนั้นค่อนข้างจำกัด 3.เครื่องชี้ภาวะตลาดแรงงาน อาทิ อัตราการลาออกแบบสมัครใจ ความคิดเห็นของภาคธุรกิจและครัวเรือนเกี่ยวกับสภาวะตลาดแรงงาน และอื่นๆ บ่งชี้ภาพการชะลอลงแบบค่อยเป็นค่อยไปเท่านั้น ต่างการตัวเลขการจ้างงงานนอกภาคเกษตรที่ชะลอตัวลงอย่างฉับพลันในช่วงที่ผ่านมา ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า เฟดยังจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง เพื่อรักษาสมดุลระหว่างการควบคุมเงินเฟ้อและการสนับสนุนตลาดแรงงาน โดยไม่เร่งลดดอกเบี้ยเร็วจนเกินไป

● การเมืองฝรั่งเศสปั่นป่วน เสี่ยงกระทบเครดิตประเทศ

ขณะเดียวกัน ฝรั่งเศสที่กำลังเผชิญปัญหาด้านเสถียรภาพทางการเมืองก็ได้รับความสนใจจากตลาดไม่น้อย หลังสภามีมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี Francois Bayrou เหตุจากข้อเสนอของรัฐบาลในการลดรายจ่ายภาครัฐลงราว 44,000 ล้านยูโร เพื่อลดการขาดดุลการคลังลงให้เหลือ 4.6% ของ GDP ในปี 2569 ทั้งนี้ แม้ฝรั่งเศสจะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่เข้ามารับตำแหน่งอย่างรวดเร็ว แต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายอีกมาก เพราะไม่มีพรรคการเมืองใดครองเสียงข้างมากในสภาล่าง และกลุ่มการเมืองยังถูกแบ่งออกเป็น 3 ฝ่ายหลัก ทำให้การผ่านงบประมาณต้องอาศัยการเจรจาและประนีประนอมอย่างมาก  

TISCO ESU มองว่า แผนการปรับลดรายจ่ายของอดีตนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส แม้จะมีความชัดเจน แต่โอกาสนำไปปฏิบัติจริงอาจเป็นไปได้น้อย เพราะรัฐบาลใหม่ยังเป็นเสียงข้างน้อย และต้องเจรจากับฝ่ายค้าน ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่ฝรั่งเศสอาจถูกปรับลดอันดับเครดิตลง โดยทั้ง Fitch Rating, Moody และ S&P ระบุในทางเดียวกันว่า หากฝรั่งเศสไม่สามารถลดการขาดดุลการคลังและควบคุมการเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะได้ ก็อาจนำไปสู่การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในอนาคต

● แนะปรับพอร์ตลดความเสี่ยง เน้นกลุ่ม “สาธารณูปโภค-ทองคำ”

นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (Mr. Komsorn Prakobphol , Head of Economic Strategy Unit, TISCO Economic Strategy Unit) กล่าวว่า ตลาดหุ้นโลกกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากปัจจัยเสี่ยงสำคัญถึง 3 ด้าน ซึ่งอาจจำกัดโอกาสการเติบโตและเพิ่มความเสี่ยงต่อการปรับฐานในระยะข้างหน้า โดย ด้านแรก เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัวแบบชะลอตัวลง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ซึ่งเห็นได้ชัดจากการจ้างงานที่ลดลงอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา

ด้านที่สอง อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นหลังจากมาตรการขึ้นภาษีมีผลเต็มที่ตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งเงินเฟ้อที่สูงขึ้นจะเป็นอุปสรรคต่อการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) โดย TISCO ESU คาดว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ถึงแค่เพียง 3.5% เท่านั้น ต่างจากที่ตลาดคาดว่าจะลดลงต่ำกว่าระดับ 3% ในปี 2569

ด้านสุดท้าย คือระดับราคาของสินทรัพย์ (Valuation) ในตลาดที่อยู่ในระดับสูงมาก ทั้งในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ โดยตลาดหุ้นหลายแห่งทั่วโลกทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง และมีค่า P/E สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตเป็นอย่างมาก ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ก็สะท้อนถึงความแพงเช่นกัน จากส่วนต่างอัตราผลตอบแทนของหุ้นกู้และพันธบัตรรัฐบาล (Credit Spread) ที่อยู่ใกล้ระดับต่ำสุดในประวัติการณ์ ซึ่งหมายความว่า นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับความเสี่ยง

จากทั้งสามปัจจัยนี้ TISCO ESU ประเมินว่าตลาดหุ้นจะมี Upside ที่จำกัด และมีความเสี่ยงที่จะปรับฐานลงราว 5-10% จากระดับปัจจุบัน โดยตัวกระตุ้นสำคัญอาจมาจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ที่เริ่มกลับตัวเป็นขาขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันต่อระดับ Valuation ของตลาด

ด้วยเหตุผลดังกล่าว TISCO ESU จึงแนะนำให้นักลงทุนปรับพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยง โดยเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีรายได้แน่นอน และไม่ผันผวนไปตามวัฏจักรของเศรษฐกิจมากนัก เช่น กลุ่มสาธารณูปโภคพื้นฐาน (Utilities) และกระจายการลงทุนไปยังกลุ่มโลหะมีค่า เช่น ทองคำ มากขึ้น

● ระวัง!! ฟองสบู่หุ้นเทคโนโลยี แนะกระจายลงทุนสินทรัพย์ทางเลือก

นายธนธัช ศรีสวัสดิ์ นักกลยุทธ์ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (Mr. Thanathat Srisawast, Strategist, TISCO Economic Strategy Unit) กล่าวว่า การฟื้นตัวของสภาพคล่องในตลาดทุนจากการลดดอกเบี้ยของเฟด และกระแสความร้อนแรงของ AI ได้ผลักดันให้หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ Super Stock แห่งยุคอย่าง NVIDIA ราคาพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง และแรงหนุนนี้ยังขยายไปยังหุ้นกลุ่มอื่น ๆ จนดัชนี S&P 500 ทะลุ 6,600 จุดเป็นครั้งแรก แม้เศรษฐกิจโดยรวมจะอ่อนแรงลง ปรากฏการณ์ดังกล่าวเริ่มสร้างความกังวลในกลุ่มนักวิเคราะห์ว่า Valuation ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้ อาจเป็นสัญญาณเตือนว่า ตลาดกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเริ่มต้นของภาวะฟองสบู่ คล้ายกับที่เคยเกิดขึ้นในยุคดอทคอมเมื่อ 25 ปีก่อน

ด้วยเหตุนี้ TISCO ESU จึงได้นำโมเดล “Hopes & Dreams” มาใช้ในการวิเคราะห์มูลค่าหุ้น นอกเหนือจากมาตรวัดที่คุ้นเคยอย่าง P/E โดยโมเดลนี้ใช้หลักการแยกมูลค่าที่อธิบายได้ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่จับต้องได้ ได้แก่ กำไรรวมที่คาดการณ์ในอีก 3 ปีข้างหน้า และมูลค่าทางบัญชีของบริษัท ออกจากส่วนที่สะท้อนความคาดหวังของนักลงทุนและสภาพคล่องในตลาด ซึ่งผลการประเมินพบว่า จากมูลค่าตลาดรวมของ S&P 500 กว่า 57 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปัจจุบัน มีเพียงประมาณ 20 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้นที่อธิบายได้ด้วยปัจจัยพื้นฐาน ขณะที่อีกกว่า 37 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 66% ของมูลค่าตลาดรวม เกิดขึ้นจาก “Hopes & Dreams” ของนักลงทุน ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 45% อย่างมีนัยสำคัญ และยังใกล้เคียงกับช่วงฟองสบู่ดอทคอม

กล่าวได้ว่า การลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ในระดับปัจจุบัน เสมือนกับการใช้เงินถึงสองในสามส่วนเพื่อซื้อ “ความหวัง” มากกว่าปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งในอดีตมักตามมาด้วยผลตอบแทนระยะยาวที่ค่อนข้างต่ำ โมเดลนี้ยังแสดงความสัมพันธ์เชิงสถิติที่แม่นยำกว่าการใช้ค่า P/E เพียงอย่างเดียว จึงช่วยสะท้อนความเสี่ยงและแนวโน้มผลตอบแทนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

เมื่อพิจารณาถึงมูลค่าตลาดหุ้นที่ตึงตัวในปัจจุบัน TISCO ESU จึงแนะนำให้นักลงทุนกระจายความเสี่ยงออกจากหุ้นไปสู่สินทรัพย์ทางเลือก โดยเฉพาะสินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มโลหะมีค่าอย่าง “ทองคำและเงิน” แม้ราคาทองคำจะปรับขึ้นแล้วเกือบ 40% ในปีนี้ มาอยู่ที่ระดับ 3,600–3,700 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ อาจดูค่อนข้างแพง แต่ยังมีปัจจัยสนับสนุนระยะยาว ได้แก่ 1.แนวโน้มการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ 2.การเสื่อมถอยของวินัยการคลังทั่วโลก และ 3.กระแสเงินทุนที่ไหลเข้าสู่ ETF ทองคำและเงินที่เติบโตสูงขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ หากเปรียบเทียบมูลค่าของทองคำทั้งหมดที่ขุดขึ้นมาแล้ว (ราว 24 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) กับปริมาณเงินทั่วโลก (ราว 115 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) จะพบว่ามีสัดส่วนอยู่ที่ราว 21% ซึ่งสูงกว่าจุดสูงสุดเดิมในปี 2554 ที่ 18% เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อประกอบกับบริบทโลกที่วินัยการคลังถดถอย รายจ่ายภาครัฐขยายตัว และเสถียรภาพเชิงนโยบายการเงินลดลง TISCO ESU จึงเชื่อว่า “Monetary Debasement” หรือการลดคุณค่าของเงิน จะยังเป็นธีมการลงทุนสำคัญที่ผลักดันให้สินทรัพย์ที่มีปริมาณจำกัดอย่างโลหะมีค่ามีบทบาทมากขึ้นในการจัดพอร์ตลงทุนทั่วโลกในระยะยาว

● เศรษฐกิจไทยเผชิญแรงกดดันหลายด้าน คาด GDP ปีนี้โต 1.9%

นายเมธัส รัตนซ้อน หัวหน้าฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) (Mr. Methas Rattanasorn, Head of Economics, TISCO Economic Strategy Unit) กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจไทยในครึ่งแรกของปีนี้จะขยายตัวได้กว่า 3.0% แต่การเติบโตดังกล่าวเกิดจากแรงหนุนชั่วคราว เช่น การส่งออกก่อนมาตรการภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้ ส่งผลให้ TISCO ESU ยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยไว้ที่ 1.9% สำหรับปีนี้ และ 1.6% ในปีหน้า จากความท้าทายที่ยังมีอยู่รอบด้าน แม้จะมีความหวังเกี่ยวกับรัฐบาลใหม่เพิ่มเข้ามาก็ตาม

ในช่วงครึ่งหลังของปี เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลงชัดเจนจากหลายปัจจัย ประกอบด้วย 1.การบริโภคภาคเอกชนที่ชะลอตัวลง 2.การลงทุนภาครัฐที่สะดุดในช่วงท้ายปีงบประมาณ 3.ความเสี่ยงที่จำนวนนักท่องเที่ยวอาจต่ำกว่าที่คาดไว้ที่ 33.5 ล้านคน 4.ค่าเงินบาทที่แข็งค่าเกินปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งกระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน และ 5.ผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่จะเริ่มส่งผลจริง โดยเฉพาะต่อผู้ประกอบการรายเล็กและแรงงานโดยเฉพาะในภาคการผลิต

ด้านนโยบายการเงิน แม้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ที่ 1.50% แล้ว แต่ TISCO ESU มองว่าอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวยังอยู่ในระดับที่สูงเกินไปเมื่อเทียบกับภาวะเศรษฐกิจที่โตต่ำกว่าศักยภาพ เงินเฟ้อที่อยู่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย และค่าเงินบาทที่แข็งเกินปัจจัยพื้นฐาน จึงคาดว่า ธปท.มีแนวโน้มจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกไตรมาสละ 0.25% สู่ระดับ 0.75% ในช่วงกลางปี 2569 โดยการเข้ารับตำแหน่งของผู้ว่าการธปท.คนใหม่อาจช่วยให้ทิศทางนโยบายการเงินมีความผ่อนคลายมากขึ้น

สำหรับมาตรการ “คนละครึ่ง 2.0” ที่รัฐบาลใหม่เตรียมผลักดันนั้น แม้จะช่วยประคับประครองเศรษฐกิจจากการชะลอตัวของการบริโภคภาคเอกชนได้บางส่วน แต่ TISCO ESU ประเมินว่า อาจไม่เพียงพอในการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเป็นวงกว้าง เนื่องจากบริบทของเศรษฐกิจในปัจจุบันแตกต่างออกไป ทั้งเงินออมของครัวเรือนที่ลดลง และสัดส่วนหนี้สินต่อรายได้ที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับข้อจำกัดด้านงบประมาณที่ทำให้ขนาดของมาตรการน้อยกว่าในอดีตที่ผ่านมา

อีกหนึ่งประเด็นที่ต้องจับตาคือค่าเงินบาทที่แข็งค่าสวนทางกับพื้นฐานของเศรษฐกิจ ซึ่งกลายเป็นข้อกังวลในแวดวงการเงิน ทั้งความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองคำและค่าเงินบาท รวมถึงยังมีการตั้งคำถามถึงตัวแปรหนึ่งในดุลการชำระเงินอย่าง “NEO หรือ Net Errors and Omissions” ที่สะท้อนถึงเงินทุนที่ไหลเข้าแต่ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาได้ ซึ่งหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นเงินทุนสีเทา โดยล่าสุด นายกรัฐมนตรีได้หารือกับสมาคมธนาคา

Pi Daily ตลาดหุ้นโลกเริ่มไร้ปัจจัยหลังสะท้อน FED แล้ว Focus นักลงทุนของสหรัฐฯ เมื่อคืนจับจ้องที่ NVIDIA - INTEL

Pi Daily ตลาดหุ้นโลกเริ่มไร้ปัจจัยหลังสะท้อน FED ไปแล้ว โดย Focus ของนักลงทุนของสหรัฐฯ เมื่อคืนไปจับจ้องที่ NVIDIA - INTEL ส่วนหุ้นไทยวานนี้ปรับฐาน แต่ยังไม่เห็นปัจจัยกดดัน มองเป็นเพียงจังหวะ Take Profit ยังคงมองค้าปลีกน่าสนใจเตรียมรับมาตรการกระตุ้นภาครัฐ

ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 124 จุด (+0.27%) ปัจจัยหนุนการลดดอกเบี้ยของ FED ยังเป็นปัจจัยหนุน พร้อมกับแรงหนุนเชิงบวกจากหุ้น Tech ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 0.75% กังวลกับเศรษฐกิจสหรัฐฯที่อาจชะลอตัว

เมื่อคืนที่ผ่านสหรัฐฯ รายงานผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่ 2.3 แสนรายดีกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดการณ์ไว้ที่ 2.41 แสนราย โดยพบ US Bond Yield ปรับขึ้นมาในรุ่นอายุ 2 , 10 ปี สอดคล้องกับ Dollar Index ที่เริ่มแข็งค่าขึ้นมาและกดดันให้เงินบาทอ่อนค่ากลับมาทดสอบระดับ 31.92 บาท / ดอลลาร์ ซึ่งมองเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทยผ่านการส่งออกที่คลายกังวลกับอัตราแลกเปลี่ยนพร้อมกับการท่องเที่ยวจะจูงใจมากขึ้น เป็นบวกกับหุ้น (ITC) ท่องเที่ยว (MINT CENTEL ERW) แต่ทั้งนี้จุดสนใจของนักลงทุนในสหรัฐฯ เมื่อคืนได้แก่การที่ NVIDIA ลงทุนใน INTEL ราว 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนหนึ่งประเมินว่า NVIDIA ต้องการลดการพึ่งพิง TSMC แต่หากดูที่สัดส่วนยอดขายของตลาด Semiconductor TSMC ยังคงเป็นผู้นำด้วยสัดส่วน 60% (ราคาหุ้น TSM เมื่อคืนในตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดบวก 2.2%) คืนนี้ไม่มีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามของฝั่งสหรัฐฯ สำหรับปัจจัยในประเทศวานนี้ SET INDEX ปรับลงราว (-0.7%) รับแรงขายอย่างมีนัยยะของนักลงทุนต่างชาติราว 3.2 พันล้าน โดยที่ไม่ได้มีปัจจัยใดๆที่มีนัยยะเชื่อว่าเป็นเพียงแรงขายทำกำไรจากการที่ SET ปรับขึ้นมาแรงก่อนหน้า หากพิจารณาที่จุดต่ำสุดล่าสุดปรับขึ้นมา 5% แต่อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยหนุนจากความคาดหวังนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่เชื่อว่าจะเห็นในเร็วๆนี้ ส่วนกรณี CRC ได้ตัดสินใจขายหุ้นที่ถืออยู่ในส่วนของห้างรินาเชนเตที่ประเทศอิตาลี ประเมินว่าท้ายที่สุดแล้วจะกระทบกำไรราว 10% (รวมกับนำเงินไปลดภาระหนี้สินแล้ว) วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1290 – 1310 ทั้งนี้ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนดัชนีก็ปรับขึ้นมาในระดับหนึ่งจนทำให้ซื้อขายที่ Forward PE 14.4x ก็เริ่มเป็นระดับที่ไม่ถูกการลงทุนในดัชนีช่วงนี้จึงเน้นเป็นเพียงการ Trading และควรมีจุด Stop Loss ชัดเจนหากเกิดข่าวร้ายหรือเผชิญการปรับฐาน หุ้นแนะนำช่วงนี้เน้นที่ Theme ดอกเบี้ยปรับลง อาทิ การเงิน (MTC) อสังหาฯ (AP SPALI) ค้าปลีก (BJC CPALL HMPRO CPAXT) ส่งออก (ITC) 

CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 78.00 บาท) 

แนวโน้ม SSSG ช่วง QTD ของ 3Q25 ยังทรงตัวได้ YoY ทำให้เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 2H25 จะเติบโต YoY ต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของยอดขายสินค้า Ready-to-eat และ Ready-to-drinks และ Synergy benefits ของ CPAXT

SCB (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 137.00 บาท) 

SCB มุ่งมั่นในการเพิ่ม ROE และรักษาผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นด้วยการจ่ายเงินปันผลสูง โดยคาดผลตอบแทนเงินปันผลสูงสุดในกลุ่มธนาคารที่ 9.2% และคาดกำไรสุทธิปี 2025 จะเติบโตโดดเด่นที่สุดในกลุ่มธนาคารใหญ่ที่ 7.2%

"พิชัย" ชวน นลท.ต่างชาติลงทุนในไทย จี้ "รัฐบาลใหม่" รักษาการฟื้นตัวส่งออก-ลงทุน

"พิชัย" ชวนนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ให้ลงทุนในประเทศไทย ตามคำเชิญ Deutsche Bank จี้ "รัฐบาลใหม่" รักษาระดับการฟื้นตัว การส่งออก การลงทุน ชี้ เร่งแก้ปัญหา ค่าบาทแข็ง หนี้ครัวเรือนสูง หนี้เสียเพิ่ม นักท่องเที่ยวลด ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ สินค้าต่างประเทศราคาถูกทะลักเข้าไทย 

วันที่ 12 กันยายน 2568 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พาณิชย์ กล่าวว่า ตนได้รับเชิญจากกลุ่มผู้บริหารของ Deutsche Bank ธนาคารอันดับหนึ่งของประเทศเยอรมัน เพื่อพูดคุยกับนักลงทุนต่างประเทศรายใหญ่หลายราย เช่น BlackRock, Aberdeen, Degroof Petercam, Nuveen, Ninety one เป็นต้น เพื่อให้ข้อมูลและชี้แนะทิศทางเศรษฐกิจไทย อีกทั้งเชิญชวนนักลงทุนต่างประเทศ เข้ามาลงทุนในประเทศไทย

ทั้งนี้ได้ยืนยันว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป หลังจาก 10 ปีก่อนหน้านี้ ขยายตัวต่ำมาก โดยขยายตัวเฉลี่ยเพียงปีละ 1.9% จีดีพีในปี 2567 ขยายตัวได้ 2.5% และ จีดีพีในครึ่งปีแรกของ ปี 2568 ขยายได้ 3% ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยส่วนใหญ่ ขับเคลื่อนโดยการส่งออก การลงทุน และ การท่องเที่ยว โดยเฉพาะการส่งออกที่ขยายตัวได้ 14.4% ใน 7 เดือนแรกของปี 2568 และ การขอการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศที่สูงถึง 1.05 ล้านล้านบาทใน 6 เดือนแรกของปีนี้ หลังจากที่ปี 2567 มีการขอการส่งเสริมการลงทุน 1.14 ล้านล้านบาท และมีการลงทุนจริงเกือบทั้งหมด ซึ่งหวังว่ารัฐบาลใหม่ จะสามารถรักษาระดับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ด้วยการส่งออกและการลงทุนให้อยู่ในระดับนี้ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมาพัฒนาและจะสามารถแข่งขันได้ในอนาคต 

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญอีกหลายปัญหาที่ต้องแก้ไขและบางปัญหาก็เรื้อรังมานาน เช่น ปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาคที่ค่าเงินอ่อนกว่าไทยมาก และ มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจดีกว่าไทยมากเช่นกัน ซึ่งรัฐบาลและแบงก์ชาติต้องเร่งหาทางแก้ไขโดยด่วน เพราะค่าเงินบาทที่แข็งจะส่งผลให้การส่งออก การลงทุน และ การท่องเที่ยวลดลง และทำให้ระดับความสามารถแข่งขันของไทยลดลงมาก และ รัฐบาลใหม่จะต้องเร่งแก้ปัญหาเรื่องหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูง หนี้เสียที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งหากหนี้ยังสูงมาก ประชาชนส่วนไหญ่จะหารายได้ไม่เพียงพอที่จะจ่ายหนี้ หรือหารายได้ได้เท่าไหร่ก็ต้องจ่ายหนี้เกือบหมด ไม่มีเหลือในการจับจ่ายใช้สอยกันมากนัก 

"ปัญหานักท่องเที่ยวที่ลดลง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีนที่ต้องเร่งแก้ปัญหาข่าวในด้านลบเกี่ยวกับการมาท่องเที่ยวในไทย และ ความไม่มั่นใจในความปลอดภัย  และปัญหาหาราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำ โดยเฉพาะราคาข้าว เนื่องจากการทุ่มตลาดของข้าวจากประเทศอินเดียที่มีปริมาณมากและขายในราคาราคาถูกมาก ทำให้ราคาข้าวเปลือกของไทยตกต่ำลงอย่างมากตามที่ตนได้เคยได้เตือนไว้แล้ว รวมถึงราคาผลไม้ไทย ที่ปีนี้มีผลผลิตออกมามากจากสภาวะภูมิอากาศที่เอื้ออำนวย รวมถึงปัญหาสินค้าจากต่างประเทศราคาถูกที่ไหลทะลักเข้าประเทศไทย ทำให้ SMEs ไทยได้รับผลกระทบกันอย่างมากจึงต้องเร่งป้องกันและปราบปราม ตามที่รัฐบาลเดิมได้ตั้งคณะทำงานแก้ไขไว้แล้ว"

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังมีความหวังอย่างมากจากอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ในอนาคตส่วนมากที่เข้ามาลงทุนในไทย เช่น PCB, Semiconductors, Data Center and Ai, Ai hardware, EV, Robotics, Green Energy, Electronics etc. รวมถึงการพัฒนาสินค้าเกษตร (Agricultural products Innovation) ซึ่งกระบวนการการลงทุนและพัฒนานี้ต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผล แต่มีทิศทางไปในแนวทางที่ถูกต้องแล้ว

ดังนั้น จึงอยากให้นักลงทุนต่างประเทศมั่นใจได้ว่า แม้การเมืองและเศรษฐกิจไทยอาจจะมีความผันผวนบ้างตามธรรมชาติของประเทศไทย แต่ทิศทางของเศรษฐกิจไทยยังคงไปต่อได้และ เชื่อว่าการลงทุนในประเทศไทยจะได้ผลตอบแทนคุ้มค่ากับเงินลงทุนอย่างแน่นอน

รมต.ศก.ป้ายแดง “เอกนิติ-อรรถพล-ศุภจี-วรภัค-นิธิยา” ลุยแก้ปัญหาปากท้องปชช.-สร้างความเชื่อมั่นนลท.

ทีมอเวนเจอร์รมต.เศรษฐกิจป้ายแดง “เอกนิติ-อรรถพล-ศุภจี-วรภัค-นิธิยา” ลุยแก้ปัญหาปากท้องประชาชน-สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน

โฉมหน้ารัฐมนตรีชุดใหม่ของรัฐบาล “อนุทิน1” ที่กำลังเป็นที่จับตามองว่าจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้หรือไม่ กับระยะเวลาที่ได้ประกาศไว้ว่าจะอยู่บริหารประเทศ 4 เดือน หลังจากนั้นจะคืนอำนาจให้กับประชาชน เลือกคนที่ต้องการมาบริหารประเทศใหม่

ทั้งนี้รัฐมนตรีป้ายแดงที่ประชาชนให้ความหวังในเรื่องปากท้อง นำโดย “นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” อธิบดีกรมธนารักษ์ ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง  ข้าราชการการเงินการคลังมืออาชีพ เชี่ยวชาญด้านนโยบายภาษี , “นายวรภัค ธันยาวงษ์” ว่าที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด  (มหาชน)  มีประสบการณ์ด้านการเงิน-ธนาคาร และตลาดทุน และการเจรจาภาษีกับสหรัฐ

เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” อธิบดีกรมธนารักษ์ ว่าที่รองนายกฯ และรมว.คลัง

วรภัค ธันยาวงษ์” ว่าที่รมช.คลัง

“นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์” อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ปตท. (PTT) ว่าจะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ว่าที่รมว.พลังงาน

“นางศุภจี สุธรรมพันธุ์” ซีอีโอ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และคุณ โดยคุณนิธิยา เคยดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามอินเตอร์เนชั่นแนลฟู๊ด จำกัด

ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ว่าที่รมว.พาณิชย์

นิธิยา บุญญามณี ว่าที่รมช.พาณิชย์

และเป็นที่น่าจับตามมองว่าของตำแหน่งของ “นายเอกนิติ” ที่กำลังขึ้นหม้อได้รับความไว้วางใจจากนายกรัฐมนตรีอนุทิน มอบเก้าอี้รองนายกฯควบรมว.คลัง เพราะการเป็นรมว.คลัง จะต้องไปพูดคุยในเวทีโลก การสวมบทบาทรองนายกฯ เพิ่มโอกาสมากกว่าเป็นรัฐมนตรีปกติ แล้วการจะได้รับความน่าเชื่อถือจากนานาชาติจะเพิ่มมาอีกระดับหนึ่ง

ทั้งนี้นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลอนุทิน ได้ประกาศมุ่งเดินหน้าโรดแมปเศรษฐกิจ 3 แกนหลัก ได้แก่

1. ลดรายจ่าย ค่าครองชีพ พลังงาน เดินทาง และค่าขนส่ง

2. แก้หนี้สิน เกษตรกร และผู้มีรายได้น้อย เพิ่มโอกาสเข้าถึงสินเชื่อ

3. เพิ่มรายได้ฐานราก ผ่านการพัฒนาชุมชน การท่องเที่ยว และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล

ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลใหม่จะดำเนินการโครงการคนละครึ่ง ว่า ยอมรับว่ากระแสดี เพราะเราฟังประชาชน ไม่สนใจว่าจะถูกมองว่าก็อบปี้นโยบายพรรคไหน เพราะทำเพื่อประชาชน ประชาชนได้ประโยชน์เราจะไปก็อปปี้ใครเราก็จะทำ ไม่ว่าจะเป็นโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ที่เกิดในรัฐบาลทักษิณ ก็ต้องเดินต่อไป รวมถึงโครงการคนละครึ่ง ที่มาจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ และตนเป็นรัฐมนตรีสมัยท่าน ตนก็ยกมือสนับสนุน

เมื่อถามว่า กระแสข่าวคนละครึ่งจะเป็น 50 :50 หรือจะเป็นแบบพลัส นายอนุทิน ยอมรับว่า เมื่อคืนวันที่ 8 กันยายน ที่ผ่านมา จากที่ได้คุยกับนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หากไม่กระทบวินัยการเงิน หรืองบประมาณ และช่วยเหลือประชาชนได้ จะออกไปรูปในรูป 60 : 40 เพื่อจูงใจกลุ่มคนที่เสียภาษี ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็เสียภาษีอยู่แล้ว แต่หากเป็นประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้เสียภาษี ก็ 50: 50 ถือเป็นไอเดียที่นายเอกนิติ เสนอ ซึ่งตนก็เห็นด้วย และสั่งให้ไปพิจารณาเพิ่มเติม แต่ต้องไม่ผิดรัฐธรรมนูญ กฎหมาย งบประมาณ และไม่เสียวินัยการเงินการคลัง พร้อมยอมรับว่าโครงการจะทันในกรอบ 4 เดือน และนายเอกนิติ ก็แจ้งมาว่างบประมาณมีดำเนินการ พร้อมเปรียบว่า กระเป๋าก็ยังมีเหมือนเดิม

ส่วนนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ของรัฐบาลเพื่อไทย จะสานต่อหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า โครงการนี้เป็นประโยชน์ แต่ต้องมาดูว่าบางโปรเจกต์ทำแล้วขาดทุน หรือต้องไปซื้อมาก็ไม่ได้ พร้อมย้ำว่าต้องรักษาวินัยการเงินการคลัง และโครงการต้องอยู่รอดและพึ่งพาตัวเองได้

หลังจากนี้ต้องดูกันต่อไปว่า การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยจะสร้างความพึงพอใจให้กับประชาชนได้มากน้อยแค่ไหน!?!

นลท.เทขายหุ้นใหญ่ ปัจจัยกดดันทางการเมือง ฉุดตลาดฯปิด - 6.76 จุด มูลค่าซื้อขาย 44,813.45 ล.

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันนี้ (4 กันยายน 2568) หุ้นไทยปิดวันนี้ที่ 1,252.55 จุด ลดลง 6.76 จุด (-0.54%) มูลค่าซื้อขาย 44,813.45 ล้านบาท

นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ช่วงบ่ายดัชนีปรับตัวลง ถูกกดดันจากแรงขายหุ้นขนาดใหญ่ อาทิ DELTA ADVANC CPALL หลังจากช่วงที่ผ่านมาดัชนีปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง จากความคาดหวังการเมืองในประเทศมีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งตลาดมองว่ามีความเป็นไปได้ที่พรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 หลังพรรคประชาชนมีความชัดเจนว่าจะสนับสนุนนายอนุทิน เป็นนายกรัฐมนตรีและพรรคภูมิใจไทยในการจัดตั้งรัฐบาล

หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์

THAI     ปิดที่ 13.80 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท

KBANK   ปิดที่ 171.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท

DELTA    ปิดที่ 145.50 บาท ลดลง 5.50 บาท

CPALL    ปิดที่ 46.75 บาท ลดลง 0.25 บาท

ADVANC ปิดที่ 292.00 บาท ลดลง 6.00 บาท

หุ้นไทยฟื้นตัว! นลท.คลายกังวนปัญหาการเมือง ดึงปิด+4.30 จุด มูลค่าซื้อขาย 3.4 หมื่นล.

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันนี้ (2 กันยายน 2568) หุ้นไทยปิดที่ 1,248.78 จุด เพิ่มขึ้น 4.30 จุด (+0.35%) มูลค่าซื้อขาย 34,424.58 ล้านบาท

นายณรงค์เดช จันทรไพศาล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไอร่า กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งออกข้าง อิงทางบวกหลังรับรู้ความกังวลการเมืองในประเทศไปแล้ว และเริ่มเห็นความคาดหวังว่าจะผ่อนคลายลงจากเก็งจะเห็นความชัดเจนใน 1-2 สัปดาห์นี้ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ รอ 4 เดือนแล้วยุบสภา หรือ ยุบสภาทันทีเพื่อเลือกตั้งใหม่

วันนี้ตลาดได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มปิโตรเคมี หลังจากผู้ผลิตรายใหญ่ในญี่ปุ่นประกาศลดกำลังการผลิตเช่นเดียวกับเกาหลีใต้ ทำให้แนวโน้มสเปรดปิโตรเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับ กลุ่มค้าปลีกและวัสดุก่อสร้าง มีแรงเก็งกำไรเข้ามาจากความคาดหวังของตลาดต่อประเด็นการเมืองที่มีโอกาสเลือกตั้งใหม่ อย่างไรก็ตาม ระยะสั้นหากการเมืองยังไม่ชัดเจน จะทำให้อัพไซด์ของดัชนียังจำกัด

หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์

BH      ปิดที่ 188.00 บาท เพิ่มขึ้น 8.00 บาท

PTT     ปิดที่ 31.50 บาท   คงที่

SCC     ปิดที่ 216.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท

PTTGC  ปิดที่ 27.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท

BDMS   ปิดที่ 20.70 บาท  คงที่

กรมพัฒนาธุรกิจฯ จับมือ หอการค้าอังกฤษ-ไทย ดันกม.ต่างด้าวให้ทันสมัย อำนวยความสะดวกนลท.ต่างชาติ

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หารือร่วมกับหอการค้าอังกฤษ-ไทย (BCCT) เดินหน้าสร้างความร่วมมือใน 2 ประเด็นสำคัญ ทั้งการทบทวนกฎหมายธุรกิจคนต่างด้าวให้สอดรับเศรษฐกิจยุคใหม่ และพัฒนาระบบออนไลน์ e-Foreign Business เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน สร้างความมั่นใจให้ไทยเป็นจุดหมายหลักด้านการลงทุนของสหราชอาณาจักรและนานาชาติ         

วันที่ 2 กันยายน 2568 นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้จัดประชุมหารือร่วมกับหอการค้าอังกฤษ-ไทย (British Chamber of Commerce Thailand: BCCT) ณ ห้องม่วงระย้า ชั้น 7 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยตนพร้อมด้วยหม่อมหลวงภู่ทอง ทองใหญ่ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และผู้บริหารกรมฯ ให้การต้อนรับนางสาวภิญญาภา สมพงษ์ ประธานหอการค้าอังกฤษ-ไทย และคณะผู้บริหารจาก BCCT 

อธิบดีอรมน กล่าวต่อว่า การประชุมครั้งนี้ได้หารือถึงการสร้างความร่วมมือระหว่าง 2 หน่วยงาน แบ่งเป็นประเด็น 2 เรื่องสำคัญคือ 1) การรับฟังข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการปรับปรุงกฎหมาย และทบทวนประเภทธุรกิจในบัญชีแนบท้าย (บัญชีสาม) ตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 โดยเป็นประเภทธุรกิจที่นักลงทุนต่างด้าวจะเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทยต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดี โดยความเห็นชอบจากคณะกรรมการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวก่อน เพราะเป็นประเภทธุรกิจที่คนไทยยังไม่มีความพร้อมในการแข่งขัน ที่ผ่านมากรมฯ ได้พิจารณาทบทวนประเภทธุรกิจตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติฯ เป็นประจำทุกปี

ทั้งนี้ เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปธุรกิจไทยมีความพร้อมในการแข่งขันมากขึ้น การปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัยก็จะเสริมสร้างบรรยากาศการทำธุรกิจในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี และช่วยผลักดันให้ต่างชาติเลือกปักหมุดไทยเป็นเป้าหมายหลักในการลงทุน อย่างไรก็ดี ข้อเสนอของหอการค้าฯ ที่ให้ใช้แนวทางหลักเศรษฐศาสตร์เป็นแนวทางในการทบทวนกฎหมายฯ เช่น ต้องเป็นประเภทธุรกิจที่ไทยมีความพร้อมแล้ว ลดการกระจุกตัวของธุรกิจ สร้างผู้เล่นในตลาดให้หลากหลาย ลดการผูกขาด นั้นกรมฯพร้อมนำไปพิจารณาเพื่อเป็นแนวทางในการทบทวนกฎหมายต่อไป

 และ 2) อำนวยความสะดวกในการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ให้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งกรมฯ ได้เปิดใช้งานระบบบริการออนไลน์ยื่นขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว หรือ e-Foreign Business ไปแล้วเมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนสามารถยื่นคำขอรับใบอนุญาตผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ได้โดยไม่ต้องเดินทางมายื่นเอกสารที่กรมฯ ลดขั้นตอนการเข้ามาติดต่อกับหน่วยงานราชการ ส่งเสริมให้ไทยเป็นประเทศที่ง่ายต่อการเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจ ซึ่งโอกาสนี้กรมฯ ได้รับฟังข้อเสนอแนะจากหอการค้าฯ ถึงแนวทางพัฒนาระบบ e-Foreign Business ให้สอดรับกับความต้องการของผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น และจะได้นำไปพัฒนาและปรับปรุงแก้ไขต่อไป 

"กรมฯยืนยันเจตนารมณ์และสร้างความเชื่อมั่นแก่หอการค้าฯ ที่จะส่งเสริมและยกระดับสภาพแวดล้อม ในการประกอบธุรกิจของประเทศไทย เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีเอื้อต่อการลงทุน และเพิ่มความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนจากสหราชอาณาจักรและนานาประเทศให้มองไทยเป็นโอกาสในการลงทุน ซึ่งหอการค้าอังกฤษ-ไทยจะได้จัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายอย่างเป็นทางการเพื่อนำเสนอต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าในลำดับถัดไป” อธิบดี กล่าว

หุ้นไทยนิ่งนลท.จับตาปัจจัยการเมือง ดึงปิด+2.06 จุด มูลค่าซื้อขาย 35,798.91 ล้าน

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันนี้ (28 สิงหาคม 2568) ปิดที่ 1,250.09 จุด เพิ่มขึ้น 2.06 จุด (+0.17%) มูลค่าซื้อขาย 35,798.91 ล้านบาท

นักวิเคราะห์ เผยตลาดหุ้นไทยช่วงแรกแกว่งกรอบแคบจากปัจจัยลบเล็กน้อยแนวโน้มผลประกอบการ Nvidia ในไตรมาส 3/68 ต่ำคาดกดดันหุ้น DELTA แต่ช่วงท้ายเด้งขึ้นมารับสัญญาณบวกจากงาน Thailand Focus ฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุน และมองว่าตลาดหุ้นไทยถึงจุดต่ำสุดแล้วรอแค่ความชัดเจนปัจจัยการเมือง โดยเฉพาะคดีเสียงนายกฯพรุ่งนี้

หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์

KBANK   ปิดที่ 167.50 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท

DELTA    ปิดที่ 150.00 บาท ลดลง 4.00 บาท

THAI       ปิดที่ 12.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.70 บาท

ADVANC ปิดที่ 299.00 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง

KTB         ปิดที่ 24.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท

DBD ปลื้ม 7 เดือนปี 68 ต่างชาติลงทุนไทย 1.6 แสนล้าน เพิ่มขึ้นปี 67 กว่า 7 หมื่นล. ญี่ปุ่นครองแชมป์

DBD ปลื้ม 7 เดือนปี 68 ต่างชาตินำเงินลงทุนเข้าไทยแตะ 1.6 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 67 กว่า 7 หมื่นล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 75% ญี่ปุ่นลงทุนอันดับหนึ่ง 69,817 ล้านบาท ตามด้วย สหรัฐอเมริกา และ สิงคโปร์

วันที่ 27 สิงหาคม 2568 นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 เปิดเผยว่า 7 เดือน ปี 2568 (มกราคม - กรกฎาคม) มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 จำนวน 583 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 150 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 433 ราย มูลค่าเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 159,460 ล้านบาท โดยชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรกของ 7 เดือน ปี 2568 ได้แก่

  1. ญี่ปุ่น 112 ราย คิดเป็นร้อยละ 19 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 69,817 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ  
- ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ โดยเป็นการจัดซื้อสินค้า วัตถุดิบ และชิ้นส่วนสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ
- ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย และ/หรือ ให้บริการ 
- ธุรกิจบริการเป็นศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย
- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น พลาสติกคอมพาวด์และมาสเตอร์แบตช์ สิ่งพิมพ์ลามิเนทเพื่อบรรจุ ภัณฑ์  อุปกรณ์สำหรับรถแทรกเตอร์เพื่อการเกษตร และชิ้นส่วนยานพาหนะ 

2. สหรัฐอเมริกา 85 ราย คิดเป็นร้อยละ 15 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 3,238 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ  
- ธุรกิจบริการทางวิศวกรรม 
- ธุรกิจค้าปลีกสินค้า เช่น ชิ้นส่วนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ตกแต่งยานพาหนะ
 - ธุรกิจโฆษณา
 - ธุรกิจบริการรับจ้างผลิต เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานยนต์ โลหะผสมสำหรับผลิตเครื่องประดับ และ Captive Screw for PCB

3. สิงคโปร์ 74 ราย คิดเป็นร้อยละ 13 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติ ลงทุน 22,872 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ 
- ธุรกิจบริการสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน
- ธุรกิจบริการสนับสนุนและบริหารจัดการการวิจัยทางคลินิก
- ธุรกิจบริการให้ใช้แอปพลิเคชันสำหรับเชื่อมต่อกับระบบกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์
- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์และชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป บรรจุภัณฑ์กระดาษเคลือบพลาสติกชีวภาพ แม่พิมพ์/ชิ้นส่วนพลาสติก และ Printed Circuit Board

4. จีน 73 ราย คิดเป็นร้อยละ 13 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติ ลงทุน 20,029 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ 
- ธุรกิจการจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วน และส่วนประกอบ สำหรับอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ
- ธุรกิจบริการซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า
- ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย และ/หรือ ให้บริการ
- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องจากการผลิต PCBA, ฟิล์มและบรรจุภัณฑ์พลาสติก  ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และ Multilayer Printed Circuit Board

5. ฮ่องกง 64 ราย คิดเป็นร้อยละ 11 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 11,467 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ 
- ธุรกิจบริการขุดเจาะปิโตรเลียม ภายในบริเวณพื้นที่แปลงสำรวจที่ได้รับสัมปทานและสัญญาแบ่งปันผลผลิตในอ่าวไทย
- ธุรกิจบริการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) โดยการออกแบบ ทดสอบ ปรับปรุงชิ้นส่วนและอุปกรณ์สำหรับผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์
- ธุรกิจบริการ Data Center 
- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ไฟฟ้าจากขยะ เครื่องมือไฟฟ้า (Power Tools) และผลิตภัณฑ์จากกระดาษรีไซเคิล

การเข้ามาประกอบธุรกิจของคนต่างชาติในไทยโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมข้างต้น มีส่วนช่วยในการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นองค์ความรู้เฉพาะด้านจากประเทศผู้เข้ามาลงทุนให้แก่คนไทย เช่น องค์ความรู้เกี่ยวกับการควบคุมหลุมขุดเจาะ องค์ความรู้เกี่ยวกับบำรุงรักษางานระบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในโครงการรถไฟฟ้า องค์ความรู้เกี่ยวกับการบำรุงรักษาสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว องค์ความรู้เกี่ยวกับสถานีจัดประจุไฟฟ้า เป็นต้น 

เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 พบว่า การอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย เพิ่มขึ้น 123 ราย (27%) (เดือน ม.ค. - ก.ค.68 อนุญาต 583 ราย / เดือน ม.ค. - ก.ค.67 อนุญาต 460 ราย) และมีมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 68,473 ล้านบาท (75%) (เดือน ม.ค. - ก.ค.68 ลงทุน 159,460 ล้านบาท / เดือน ม.ค. - ก.ค.67 ลงทุน 90,987 ล้านบาท) รวมถึงมีการจ้างงานคนไทยจากนักลงทุนที่ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวเพิ่มขึ้น 1,940 คน (90%) (เดือน ม.ค. - ก.ค.68 จ้างงาน 4,085 คน / เดือน ม.ค. - ก.ค. 67 จ้างงาน 2,145 คน) โดยจำนวนนักลงทุนที่เข้ามาสูงสุดยังคงเป็นนักลงทุนญี่ปุ่นเช่นเดียวกับปีก่อน 

อธิบดีอรมน กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติ ช่วง 7 เดือน ปี 2568 (มกราคม - กรกฎาคม) มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 176 ราย คิดเป็น 30% ของจำนวนนักลงทุนต่างชาติในไทย เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 จำนวน 39 ราย (28%) (เดือน ม.ค. - ก.ค.68 ลงทุน 176 ราย / เดือน ม.ค. - ก.ค.67 ลงทุน 137 ราย) โดยมีมูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC 73,186 ล้านบาท คิดเป็น 46% ของเงินลงทุนทั้งหมด โดยเป็นนักลงทุนจากประเทศ *ญี่ปุ่น 44 ราย ลงทุน 26,937 ล้านบาท *จีน 43 ราย ลงทุน 14,442 ล้านบาท *ฮ่องกง 18 ราย ลงทุน 5,264 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ 71 ราย ลงทุน 26,543 ล้านบาท โดยธุรกิจที่ลงทุน อาทิ 

* ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ โดยเป็นการจัดซื้อสินค้า วัตถุดิบ และชิ้นส่วนสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ
* ธุรกิจบริการออกแบบ จัดหาวัสดุและอุปกรณ์ ก่อสร้าง ติดตั้ง ทดสอบเครื่องจักรและระบบการทำงานต่างๆ สำหรับโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือและสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว
* ธุรกิจบริการทางวิศวกรรม โดยการออกแบบชิ้นส่วนยานยนต์
* ธุรกิจบริการเขต Data Center
* ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปจากแผ่นวงจรพิมพ์ ผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อการอุตสาหกรรม และผลิตภัณฑ์จากกระดาษรีไซเคิล เป็นต้น

เฉพาะเดือนกรกฎาคม 2568 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจในไทย 81 ราย เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 27 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 54 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 47,954 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติจาก ญี่ปุ่น ฮ่องกง และสหรัฐอเมริกา ตามลำดับ มีการจ้างงานคนไทย 799 คน รวมถึงมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นองค์ความรู้เฉพาะด้านโดยตรงจากประเทศผู้เข้ามาลงทุนให้แก่คนไทย เช่น องค์ความรู้เกี่ยวกับการควบคุมหลุมขุดเจาะ องค์ความรู้เกี่ยวกับระบบเชื่อมโลหะสำหรับส่งก๊าซและน้ำมัน องค์ความรู้เกี่ยวกับการออกแบบและกระบวนการผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCBA) เป็นต้น

สำหรับธุรกิจที่คนต่างชาติได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจในเดือนกรกฎาคม 2568 ได้แก่  
* ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศเพื่อจัดซื้อสินค้า วัตถุดิบ และชิ้นส่วน สำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ
* ธุรกิจบริการขุดเจาะปิโตรเลียม ภายในบริเวณพื้นที่แปลงสำรวจที่ได้รับสัมปทานในอ่าวไทย
* ธุรกิจบริการพัฒนา Enterprise Software
* ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์โลหะและชิ้นส่วนโลหะหล่อขึ้นรูป ผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องจากการผลิต PCBA และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานยนต์ เป็นต้น