ธนาคารไทยพาณิชย์ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 36.60-36.85 บาท/ดอลลาร์

กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets)

ค่าเงินบาทประจำวันที่ 19 มิถุนายน 2567

Market update by SCBFM: 19 มิถุนายน 2567

-กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 36.60-36.85 บาท/ดอลลาร์

-เงินบาทแข็งค่าขึ้นวานนี้หลังนักลงทุนคลายความกังวลจากเรื่องทางการเมือง จากที่คุณทักษิณได้ประกันตัว อย่างไรก็ดี เงินบาทกลับมาอ่อนค่าต่อพร้อมเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้น

-ดัชนีดอลลาร์สหรัฐปรับอ่อนค่าลงช่วงค่ำวานนี้หลังยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด ขณะที่ US Treasury yields ปรับลดลงหลังผลการประมูลพันธบัตรอายุ 20 ปี ออกมามีอุปสงค์ดี

-คณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่วนใหญ่ยังมองว่าควรให้คงดอกเบี้ยต่อไปก่อน เพื่อรอประเมินเงินเฟ้อ

#ธนาคารไทยพาณิชย์ #ค่าเงินบาท #เงินเฟ้อ #เฟด

 

 

 

ค่าเงินบาทปิด 36.83 ระหว่างวันผันผวน ตลาดจับตาประชุม กนง.-เฟด-ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ

ค่าเงินบาทปิด 36.83 ระหว่างวันผันผวน ตลาดจับตาประชุม กนง.-เฟด-ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ 36.83 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าจาก เปิดตลาดเมื่อเช้าที่ระดับ 36.93 บาท/ดอลลาร์ เคลื่อนไหวตามภูมิภาคและทิศทางเดียวกับตลาดโลก ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 36.81 - 36.93 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่ต่างชาติขายพันธบัตรราว 1.2 พันล้านบาท วันนี้บาทผันผวน ขณะที่ภูมิภาคค่อนข้างเงียบ บาทกลับลงมาแข็งค่าในช่วงบ่าย ส่วนการปรับตัวลดลงของดัชนีหุ้นในวันนี้ส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทค่อนข้างจำกัด

ทั้งนี้ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ไว้ที่ 36.70 - 36.95 บาท/ดอลลาร์ โดยพรุ่งนี้คาดว่าเงินบาทน่าจะแกว่งตัวในกรอบ รอปัจจัยสำคัญกลางสัปดาห์ที่จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ

#ค่าเงินบาท #ข่าววันนี้ #กนง #เฟด 

 

หุ้นไทยปิดเช้าลบ 7.63 จุด วอลุ่ม 2 หมื่นล้านตามภูมิภาค รับแรงขายทำกำไรหลังเจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณคงดอกเบี้ยสูง

SET ปิดช่วงเช้าวันนี้(21 พ.ค.)ที่ 1,371.07 จุด ลดลง 7.63 จุด (-0.55%) มูลค่าซื้อขายราว 20,281 ล้านบาท การซื้อขายช่วงเช้าดัชนีปรับตัวลงตามภูมิภาค ทำระดับสูงสุด 1,376.94 จุด และต่ำสุด 1,369.21 จุด

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทยเอ็กซ์สปริง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวลงตามตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย รับแรงขายทำกำไร หลังจาก Michael Bar รองประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และ Fed Atlanta Bostic ส่งสัญญาณคงดอกเบี้ยสูงต่อไปเพื่อรอสัญญาณเงินเฟ้อชะลอตัวชัดเจน ทำให้นักลงทุนกลับมาคาดว่าเฟดอาจปรับลดดอกเบี้ยปีนี้แค่ครั้งเดียว ขณะที่รอติดตามรายงานการประชุมเฟดคืนวันพุธนี้เพื่อหาสัญญาณลดดอกเบี้ย และการรายงานผลประกอบการไตรมาส 1/67 ของ NVIDIA

โดยแนวโน้มช่วงบ่ายคาดตลาดน่าจะปรับตัวลงต่อหลังบรรยากาศ SET ช่วงเช้าดูไม่ค่อยดีนัก อีกทั้งตลาดหุ้นไทยจะปิดทำการวันพรุ่งนี้ (22 พ.ค.) เนื่องในวันวิสาขบูชาด้วย ให้แนวรับไว้ที่ 1,365 จุด และแนวต้าน 1,375 จุด

หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์

TOP มูลค่าการซื้อขาย 977.79 ล้านบาท ปิดที่ 50.75 บาท ลดลง 1.50 บาท

CPALL มูลค่าการซื้อขาย 868.94 ล้านบาท ปิดที่ 58.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท

NEX มูลค่าการซื้อขาย 825.55 ล้านบาท ปิดที่ 3.98 บาท ลดลง 0.48 บาท

EA มูลค่าการซื้อขาย 644.43 ล้านบาท ปิดที่ 25.00 บาท ลดลง 1.25 บาท

CPF มูลค่าการซื้อขาย 613.78 ล้านบาท ปิดที่ 22.70 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท 

#หุ้นไทย #SET #คงดอกเบี้ย #เฟด 

 

ธนาคารไทยพาณิชย์ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 35.95-36.20 บาท/ดอลลาร์

กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets)

ค่าเงินบาทประจำวันที่ 20 พฤษภาคม 2567

Market update by SCBFM: 20 พฤษภาคม 2567

-กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 35.95-36.20 บาท/ดอลลาร์

-ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยตามดัชนีเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงต่อ อย่างไรก็ดี US Treasury yields ปรับสูงขึ้นหลังนางมิเชล โบว์แมน สมาชิกคณะผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า อาจขึ้นดอกเบี้ยได้หากเงินเฟ้อไม่ชะลอลงต่อ

-เงินเยนปรับอ่อนค่าลงเทียบดอลลาร์ หลังธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ไม่ปรับลดขนาดการเข้าซื้อพันธบัตรเมื่อวันศุกร์ตามที่ตลาดคาด

-ทางการจีนออกมาตรการสนับสนุนภาคอสังหาฯ โดยตั้งงบราว 3 แสนล้านหยวน เพื่อซื้ออสังหาฯ ที่ยังขายไม่หมด แต่ขนาดมาตรการอาจไม่ใหญ่พอ 

#ธนาคารไทยพาณิชย์ #ค่าเงินบาท #ดอกเบี้ย #เฟด 

 

 

เงินเฟ้อชะลอตัวในยูโรโซนหนุน ECB ลดดอกเบี้ยก่อนเฟด

เงินเฟ้อที่ชะลอตัวในยูโรโซนหนุน ECB ลดดอกเบี้ยก่อน FED ส่วนการอ่อนค่าของเงินเยนสร้างความกังวลต่อ BOJ มากขึ้น ขณะที่การบริโภคที่เปราะบางและความขัดแย้งทางการค้ายังกดดันเศรษฐกิจจีนต่อไป

สหรัฐและยูโรโซน

แม้เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มชะลอตัวมากขึ้น สวนทางกับยุโรปที่ฟื้นตัว แต่ด้วยความแตกต่างเรื่องเงินเฟ้อ คาด ECB เริ่มเดินหน้าลดดอกเบี้ยก่อน FED ด้านยูโรโซน ยอดค้าปลีกเดือนมีนาคมกลับมาขยายตัวได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2565 ที่ 0.7% YoY ขณะที่ดัชนี PMI ภาคบริการขยายตัวมากที่สุดในรอบเกือบ 1 ปีที่ระดับ 53.3 ในเดือนเมษายน สวนทางกับสหรัฐที่ภาคบริการชะลอตัวลงมากที่สุดในรอบ 5 เดือน ในส่วนของจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 2.31 แสนตำแหน่ง สูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2566 นอกจากนี้ ในเดือนพฤษภาคม ด้านความเชื่อมั่นผู้บริโภคในสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือน ที่ 67.4 โดยผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อในช่วง 1 ปีข้างหน้าจะเพิ่มขึ้น 3.5% จากในเดือนเมษายนที่ 3.2% 

เศรษฐกิจยูโรโซนมีแนวโน้มผ่านจุดแย่ที่สุดไปแล้วก่อนที่จะทยอยฟื้นตัวอย่างช้าๆ ในช่วงที่เหลือของปีนี้ สะท้อนจาก (i) ดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและบริการที่กลับมาขยายตัวได้ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 จากการเติบโตของกิจกรรมภาคบริการ และ (ii) แรงกดดันเงินเฟ้อที่ปรับลดลงและเข้าใกล้กรอบเป้าหมายที่ 2.0% ซึ่งช่วยหนุนรายได้แท้จริง (real income) ตลอดจนการบริโภคทยอยฟื้นตัว สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 ทั้งนี้แตกต่างกับเศรษฐกิจสหรัฐที่เคยเติบโตแกร่งแต่เริ่มเห็นสัญญาณชะลอตัวที่ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะในกิจกรรมภาคบริการรวมถึงตลาดแรงงาน จาก (i) ดัชนี PMI ภาคบริการที่ปรับลดลงต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปี (ii) ตัวเลขการจ้างงานและค่าจ้างที่ชะลอลง และ (iii) อัตราเงินเฟ้อที่ลงช้าอาจนำไปสู่ภาวะดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงนานและสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจมากขึ้นในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ จากภาพดังกล่าว วิจัยกรุงศรีประเมินว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะเริ่มพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกในการประชุมเดือนมิถุนายน ซึ่งจะเร็วกว่าธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ที่คาดว่าจะปรับลดในเดือนกันยายน ด้วยอัตราเงินเฟ้อยูโรโซนที่ลดลงเร็วกว่าของสหรัฐ โดยล่าสุดอัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนอยู่ที่ 2.4% YoY ส่วนของสหรัฐอยู่ที่ 3.5% ในเดือนมีนาคม

ญี่ปุ่น

เงินเยนอ่อนค่ามากสุดในรอบ 33 ปี เพิ่มแรงกดดันต่อ BOJ ในการแทรกแซงตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ในเดือนมีนาคม ตัวเลขค่าจ้างแรงงานชะลอตัวมากสุดในรอบ 6 เดือนที่ 0.6% YoY ขณะที่ยอดการใช้จ่ายภาคครัวเรือนยังคงหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 ที่ -1.2% YoY ด้านค่าเงินเยนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐล่าสุด (วันที่ 10 พฤษภาคม) อยู่ที่ 155.78 (อ่อนค่า 9.45% YTD)

แม้ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นคาดว่าจะยังโตต่ำในช่วงครึ่งปีแรก แต่ดัชนีชี้วัดหลายตัวบ่งชี้ถึงภาพการฟื้นตัวที่มีแนวโน้มชัดเจนมากขึ้นในไตรมาส 2 อาทิ (i) การบริโภคภายในประเทศที่กลับมาขยายตัวจากผลบวกของการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานที่มากสุดในรอบกว่า 3 ทศวรรษ รวมถึงภาคท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง (ii) ยอดการส่งออกที่ฟื้นตัวแข็งแกร่งในไตรมาส 1 และ (iii) แรงสนับสนุนต่อเนื่องจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย ขณะที่ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) คาซูโอะ อุเอดะ ส่งสัญญาณปรับนโยบายการเงินหากค่าเงินเยนอ่อนกระทบเงินเฟ้อและเศรษฐกิจของญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม วิจัยกรุงศรีมองว่าถ้อยแถลงดังกล่าวยังไม่ใช่การส่งสัญญาณเตรียมปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกของ BOJ ตราบใดที่ผลกระทบจากการอ่อนค่าของเงินเยนต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังไม่ชัดเจนมากพอ (อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือนเมษายนลดลงต่ำกว่า 2.0% ถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565)

จีน

การบริโภคภายในประเทศของจีนยังเปราะบาง ขณะที่ความขัดแย้งทางการค้าที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลลบต่อการส่งออกและภาคการผลิต การใช้จ่ายต่อหัวช่วงหยุดยาวเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมลดลง 11.5% เมื่อเทียบกับปี 2562 หรือนเกิดโควิด-19 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ผู้บริโภคเลือกเดินทางไปยังเมืองรองมากขึ้น ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า นอกจากนี้ การสำรวจของธนาคารกลางจีนในช่วงไตรมาสแรกยังพบว่า 61.8% ของผู้บริโภคต้องการฝากเงินเพิ่มขึ้น ขณะที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปี 2562 ถึง 28% ส่วนอัตราการว่างงานในกลุ่มผู้มีอายุ 16-24 ปีสูงถึง 15.3% ด้านการส่งออกในเดือนเมษายนขยายตัว 1.5% YoY ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในไตรมาสแรก อย่างไรก็ตาม การส่งออกของสามอุตสาหกรรมใหม่ (ยานยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนและแผงโซลาร์) กลับลดลงถึง 18.5% YoY ในไตรมาสแรก ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยด้านราคาที่ลดลง นอกจากนี้ สหภาพยุโรปยังส่งสัญญาณการออกมาตรการตอบโต้การอุดหนุนในยานยนต์ไฟฟ้าและเหล็ก ขณะที่สหรัฐมีแผนกำหนดภาษีศุลกากรเพิ่มเติม โดยเน้นกลุ่มสินค้าสามอุตสาหกรรมใหม่ของจีน

พฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยอย่างระมัดระวัง ระดับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ต่ำ และอัตราการว่างงานที่สูง สะท้อนแนวโน้มการบริโภคภายในประเทศที่อาจเปราะบางต่อเนื่องในไตรมาสที่ 2 แม้จะได้แรงหนุนบางส่วนจากมาตรการอุดหนุนการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าใหม่โดยนำรุ่นเก่าไปแลก (Trade-in program) ขณะที่การปรับขึ้นภาษีศุลกากรจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ และจีน-สหภาพยุโรป อาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวในภาคอุตสาหกรรมของจีน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกเพื่อทดแทนการบริโภคภายในประเทศที่ยังเปราะบาง
 

เศรษฐกิจไทย
BOI เผยยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนมีทิศทางเพิ่มขึ้น ขณะที่คณะกรรมการไตรภาคีเตรียมประชุมหารือการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาททั่วประเทศในสัปดาห์นี้

มูลค่ายอดขอรับส่งเสริมการลงทุนในไตรมาสแรกขยายตัวกว่า 30% แต่เครื่องชี้อื่นๆ สะท้อนว่าการลงทุนในระยะนี้ยังเติบโตต่ำ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เผยในไตรมาสแรก มียอดขอรับส่งเสริมการลงทุนจำนวน 724 โครงการ (+94% YoY) เงินลงทุน 228.21 พันล้านบาท (+31% YoY) กลุ่มอุตสาหกรรมที่เข้ามาลงทุนสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ อิเล็กทรอ นิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์และชิ้นส่วน และปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ สำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) มีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมจำนวน 460 โครงการ (+130% YoY) เงินลงทุน 169.32 พันล้านบาท (+16% YoY) ประเทศที่มีมูลค่าลงทุนสูงสุด ได้แก่ สิงคโปร์ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน และออสเตรเลีย

ทิศทางการลงทุนในระยะปานกลางมีสัญญาณเชิงบวกมากขึ้นในบางอุตสาหกรรม สะท้อนจากข้อมูลทั้งยอดขอรับส่งเสริมที่ขยายตัวทั้งทางด้านจำนวนและมูลค่าเงินลงทุน รวมถึงข้อมูลการอนุมัติให้การส่งเสริมจำนวน 785 โครงการ เงินลงทุน 255 พันล้านบาท (+6%YoY) นอกจากนี้ การออกบัตรส่งเสริมการลงทุนซึ่งเป็นขั้นตอนที่ใกล้เคียงกับการลงทุนจริงที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า มีจำนวน 647 โครงการ เงินลงทุนรวม 257 พันล้านบาท (+107% YoY) อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลธปท.รายงานดัชนีการลงทุนภาคเอกชนในไตรมาสแรกของปีนี้ยังอ่อนแอ (+0.2% YoY) ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวต่อเนื่องนานกว่า 1 ปี (-3.7% YoY) และอัตราการใช้กำลังการผลิตในระดับต่ำกว่า 60% อาจชี้ว่าการลงทุนภาคเอกชนในระยะนี้ยังฟื้นตัวไม่ชัดเจน

รัฐบาลขยายมาตรการบรรเทาค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน และเตรียมผลักดันปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ 400 บาทต่อวันในปีนี้ การประชุมคณะรัฐมนตรีล่าสุด (วันที่ 7 พฤษภาคม) มีมติเห็นชอบมาตรการบรรเทาภาระครองชีพจากค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน ดังนี้ (i) ตรึงราคาน้ำมันดีเซลขายปลีกไว้ไม่เกิน 33 บาท/ลิตร (มีผลตั้งแต่วันที่ 20 เมษายนถึงวันที่ 31 กรกฏาคม 2567) (ii) ตรึงราคา LPG ก๊าซหุงต้มไว้ที่ 423 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม (มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2567) และ (iii) คงค่าไฟฟ้าที่ 3.99 บาทต่อหน่วย สำหรับกลุ่มเปราะบางที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน (มีผลเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม 2567)

มาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานช่วยพยุงกำลังซื้อของประชาชนในบางกลุ่ม ท่ามกลางความอ่อนแอของอุปสงค์ในประเทศ (ดัชนีการบริโภคภาคเอกชนในเดือนมีนาคม -0.6% YoY และ -0.8% MoM) ขณะเดียวกันในด้านการเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชน รัฐบาลเตรียมผลักดันการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ เป็น 400 บาทต่อวัน มีแผนจะเริ่มในเดือนตุลาคมปีนี้ ซึ่งจะนับเป็นการปรับขึ้นครั้งที่ 3 ในรอบปีนี้ อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามการประชุมของคณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี) ในวันที่ 14พฤษภาคมนี้ ท่ามกลางกระแสคัดค้านจากภาคธุรกิจ อาทิ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยที่มีความเห็นว่าการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำควรให้สอดคล้องกับปัจจัยทางเศรษฐกิจของแต่ละพื้นที่ และประสิทธิภาพของแรงงาน จากการศึกษาของวิจัยกรุงศรีพบว่า หลังจากเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 อัตราการเติบโตของประสิทธิภาพแรงงาน (Labor productivity) ลดลง 1.6% ต่อปี (CAGR) โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมหลายกลุ่มที่ค่าจ้างเติบโตเร็วกว่าประสิทธิภาพของแรงงาน การปรับขึ้นค่าจ้างที่สูงเกินไปอาจกระทบต่อการเติบโต และการแข่งขันของหลายอุตสาหกรรมในไทย

 

#กรุงศรี #เฟด #ดอกเบี้ย #ข่าววันนี้


 

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าเงินบาทเปิด 36.96 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง” 

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 36.96 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดวันก่อนหน้า 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ sideways (แกว่งตัวในช่วง 36.91-37.00 บาทต่อดอลลาร์) เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ อาทิ ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ช่วงเย็นวันพฤหัสฯ นี้ และอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า ขณะที่เงินดอลลาร์โดยรวมก็แกว่งตัว sideways หลังถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดก็ไม่ได้การส่งสัญญาณใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยส่วนใหญ่ยังคงมุมมองเดิมว่า เฟดยังไม่รีบลดดอกเบี้ยจนกว่าจะมั่นใจแนวโน้มเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดรับรู้ไปเรียบร้อยแล้ว (fully priced-in) ทั้งนี้ เงินบาทอาจผันผวนไปตามโฟลว์ธุรกรรมทองคำบ้าง หลังราคาทองคำมีทั้งจังหวะปรับตัวลดลงทดสอบโซนแนวรับและจังหวะรีบาวด์ขึ้นทดสอบโซนแนวต้านระยะสั้น 

บรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยรวมยังคงอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว เพื่อรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ขณะที่บรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ บางส่วนก็ปรับตัวลดลงจากปัจจัยเฉพาะตัว เช่น Tesla -1.7% หลังมีรายงานข่าวว่า คณะอัยการของสหรัฐฯ กำลังตรวจสอบทาง Tesla เกี่ยวกับพฤติกรรมชี้นำในส่วนของความสามารถระบบขับขี่รถอัตโนมัติ ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ย่อตัวลง -0.18% ส่วนดัชนี S&P500 ย่อตัวลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง -0.03 จุด (-0.00058%)

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.34% ยังคงหนุนโดยรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดีกว่าคาด รวมถึงแนวโน้มที่บรรดาธนาคารกลาง โดยเฉพาะธนาคารกลางในฝั่งยุโรปยังมีโอกาสทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ในช่วงไตรมาส 2-3 ของปีนี้  

ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวขึ้นแตะระดับ 4.50% อีกครั้ง ท่ามกลางถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งย้ำจุดยืนไม่รีบลดดอกเบี้ย หากยังไม่มั่นใจแนวโน้มเงินเฟ้อ ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปีนี้ลงเล็กน้อย (ล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 71% จาก CME FedWatch Tool) ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็อาจยังอยู่ในกรอบ sideways แถวระดับ 4.50% ไปก่อน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า ซึ่ง เราคงมองว่า บอนด์ 10 ปี สหรัฐฯ นั้นมีความน่าสนใจในทุกจังหวะการปรับตัวขึ้น โดยเฉพาะหากปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 4.50% ได้อีกครั้ง (เน้นกลยุทธ์ทยอย Buy on Dip) โดยมี Risk-Reward ที่คุ้มค่าเมื่อประเมินจากคาดการณ์ผลตอบแทนรวมในอีก 1 ปี ข้างหน้า และความเสี่ยงในกรณีที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจกลับไปแตะระดับ 5.00% ได้อีกครั้ง 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์โดยรวมแกว่งตัว sideways เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะผลการประชุม BOE ในวันพฤหัสฯ นี้ และอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) แกว่งตัวแถวระดับ 105.5 จุด อีกครั้ง (แกว่งตัวในกรอบ 105.4-105.6 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ เนื่องจากตลาดทองคำยังไม่มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามากระทบ ทำให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย.) ก็เคลื่อนไหวไปตามการทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ โดยราคาทองคำยังคงติดโซนแนวต้าน 2,330 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างรอทยอยเข้าซื้อในช่วงโซนแนวรับแถว 2,310-2,320 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้ราคาทองคำยังพอพยุงตัวแถวโซนดังกล่าวได้ 
 
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญ จะอยู่ที่ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) โดยเราคาดว่า BOE อาจยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.25% เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อ แม้จะมีแนวโน้มชะลอลงต่อเนื่อง ทว่าก็ยังอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายพอสมควร อย่างไรก็ดี ควรจับตาการส่งสัญญาณต่อแนวโน้มนโยบายการเงินในอนาคต ว่า BOE จะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยได้เร็วที่สุด ในการประชุมเดือนมิถุนายน หรือ ไม่ เนื่องจากปัจจุบัน ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า BOE อาจเริ่มทยอยลดดอกเบี้ยได้ในช่วงไตรมาสที่ 3 

ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา ผลการประชุมธนาคารกลางมาเลเซีย (BNM) ซึ่งเราคาดว่า BNM จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 3.00% แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะมีแนวโน้มเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้น ทว่า ความกังวลต่อเสถียรภาพของเงินริงกิต (MYR) ก็อาจทำให้ BNM เลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ก่อนได้ จนกว่าจะเริ่มเห็นสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่ชัดเจน นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดการส่งออกและนำเข้า (Exports & Imports) ของจีน ในเดือนเมษายน ซึ่งจะช่วยสะท้อนแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนได้  

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทก็อาจยังคงแกว่งตัว sideways ใกล้ระดับ 37.00 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากเงินดอลลาร์ก็ยังไม่มีปัจจัยหนุนการแข็งค่าที่ชัดเจน โดยผู้เล่นในตลาดอาจรอลุ้นผลการประชุม BOE และอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ก่อน ทั้งนี้ ปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่ายังพอมีอยู่ ทั้ง โฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะปรับฐาน (ล่าสุดราคาทองคำก็แกว่งตัวใกล้โซนแนวรับ) ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทก็อาจยังพอมีแนวต้านระยะสั้น แถวโซน 37.00-37.10 บาทต่อดอลลาร์ ตามแรงขายเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน อีกทั้ง เราเริ่มเห็นสัญญาณการทยอยกลับเข้าซื้อสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะบอนด์ระยะยาว จากฝั่งนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น หลังจากบอนด์ยีลด์ไทยได้ปรับตัวขึ้นมาพอสมควรในช่วงที่ผ่านมา
 
ทั้งนี้ เราขอเน้นย้ำว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ในช่วงเวลาราว 18.00 น. ตามเวลาประเทศไทย เพราะหาก BOE ส่งสัญญาณพร้อมทยอยลดดอกเบี้ย ได้เร็วกว่าที่ตลาดคาด (ตลาดมอง BOE จะเริ่มลดดอกเบี้ยในไตรมาสที่ 3) ก็อาจกดดันให้เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ผันผวนอ่อนค่าลง ซึ่งในเชิงเทคนิคัล สัญญาณจาก RSI และ MACD ต่างชี้ว่า โมเมนตัมการรีบาวด์แข็งค่าขึ้นในช่วงที่ผ่านมาของเงินปอนด์อังกฤษ ได้แผ่วลง และเสี่ยงที่จะย่อตัวลงได้ไม่ยาก ซึ่งภาพดังกล่าวจะยิ่งหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นได้  

โดยเราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังคงเคลื่อนไหวผันผวนสูง ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.85-37.10 บาท/ดอลลาร์ 

#ค่าเงินบาท #ดอกเบี้ย #ข่าววันนี้ #เฟด #ราคาทอง

 

หุ้นไทยปิดลบ 3.04 จุด วอลุ่ม 4.2 หมื่นล้าน แกว่งกรอบแคบไร้ปัจจัยใหม่-ความหวังฟื้น LTF ช่วยจำกัดดาวน์ไซด์

SET ปิดวันนี้(8 พ.ค.)ที่ 1,373.33 จุด ลดลง 3.04 จุด (-0.22%) มูลค่าการซื้อขาย 42,251.03 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีแกว่งตัวออกข้าง โดยทำจุดต่ำสุด 1,372.86 จุด ทำจุดสูงสุดที่ 1,379.04 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 226 หลักทรัพย์ ลดลง 238 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 190 หลักทรัพย์

นายณรงค์เดช จันทรไพศาล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไอร่า กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งตัวออกด้านข้างกรอบแคบ ไร้ปัจจัยใหม่หนุน โดยตลาดตอบรับประเด็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในปีนี้ รวมทั้งประเด็นการลดวงเงินการทำ QT ลงในเดือนมิ.ย.ไปแล้ว ขณะที่ข้อเสนอฟื้นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) มองว่าในระยะกลาง-ยาวช่วยจำกัดดาวน์ไซด์ได้พอสมควร และน่าจะช่วยให้เม็ดเงินไหลกลับเข้ามา อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามความชัดเจน รวมทั้งเงื่อนไขกองทุน ทั้งนี้ จากที่มีกระแสข่าวเบื้องต้นมองเป็นจิตวิทยาเชิงบวกให้กับตลาดได้บ้าง

โดยแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันพรุ่งนึ้คาดดัชนีแกว่งออกข้างอิงแดนบวก โดยนักลงทุนรอติดตามการเปิดเผยยอดนำเข้า-ส่งออก และดุลการค้าเดือนเม.ย.ของจีนวันพรุ่งนี้ เพื่อประเมินแนวโน้มภาพรวมเศรษฐกิจ รวมทั้งติดตามการทยอยรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 1/67 โดยให้กรอบแนวรับ 1,370 จุดและแนวต้าน 1,385 จุด

หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์

TRUE มูลค่าการซื้อขาย 2,023.14 ล้านบาท ปิดที่ 8.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท

PTT มูลค่าการซื้อขาย 2,015.07 ล้านบาท ปิดที่ 33.75 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง

KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,836.14 ล้านบาท ปิดที่ 132.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท

ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 1,808.99 ล้านบาท ปิดที่ 206.00 บาท ลดลง 3.00 บาท

CPALL(XD) มูลค่าการซื้อขาย 1,482.46 ล้านบาท ปิดที่ 57.50 บาท ลดลง 0.75 บาท 

#หุ้นไทย #ข่าววันนี้ #LTF #เฟด 

 

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าเงินบาทเปิด 36.97 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 36.97 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” จากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 36.89 บาทต่อดอลลาร์ 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลง (แกว่งตัวในช่วง 36.79-36.97 บาทต่อดอลลาร์) ตามการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่ได้แรงหนุนหลักมาจากการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ซึ่งล่าสุดได้อ่อนค่าแตะระดับ 154.8 เยนต่อดอลลาร์ นอกจากนี้ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว หลังราคาทองคำยังขาดปัจจัยหนุนในช่วงนี้ ตามความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่คลี่คลายลงบ้าง ส่วนการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ก็ทำให้ราคาทองคำ (Spot Gold) ยังคงแกว่งตัวแถวโซนแนวรับ 2,315 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังไม่กล้าเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม เนื่องจากผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ต่างก็รอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้าที่อาจกลับมากดดันบรรยากาศในตลาดได้ หากออกมาสูงกว่าคาด นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังถูกกดดันจากการปรับตัวลงของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อาทิ Nvidia -1.7% หลังมีข่าวว่าทาง Apple +0.4% เตรียมผลิตชิพเพื่อใช้งานด้าน AI ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.13%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นกว่า +1.14% หนุนโดยรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดีกว่าคาด อาทิ Infineon Tech. +12.9%, UBS +7.6% นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากความหวังแนวโน้มบรรดาธนาคารกลางหลัก โดยเฉพาะฝั่งยุโรปจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ในช่วงไตรมาส 2-3 

ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงแกว่งตัว sideways ใกล้ระดับ 4.46% หลังปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับ 4.50% เล็กน้อย ตามการทยอยคลายความกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ส่วนราคาน้ำมันดิบก็ยังคงแกว่งตัวแถวโซน 78-79 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ตามความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่คลี่คลายลง ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มกลับมาให้ความสนใจภาพความต้องการใช้พลังงานและแนวโน้มเศรษฐกิจหลัก อย่างไรก็ดี เราประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจแกว่งตัวในกรอบ sideways แถวระดับ 4.50% ไปก่อน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า ซึ่ง เราคงมองว่า บอนด์ 10 ปี สหรัฐฯ นั้นมีความน่าสนใจในทุกจังหวะการปรับตัวขึ้น โดยเฉพาะหากปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 4.50% ได้อีกครั้ง (เน้นกลยุทธ์ทยอย Buy on Dip) โดยมี Risk-Reward ที่คุ้มค่าเมื่อประเมินจากคาดการณ์ผลตอบแทนรวมในอีก 1 ปี ข้างหน้า และความเสี่ยงในกรณีที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจกลับไปแตะระดับ 5.00% ได้อีกครั้ง 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับบรรดาสกุลเงินหลัก หนุนโดยการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่ล่าสุด กลับมาอ่อนค่าทดสอบโซน 154.8 เยนต่อดอลลาร์ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ต่างมองว่า ปัจจัยพื้นฐานที่กดดันให้เงินเยนอ่อนค่าลงยังไม่เปลี่ยน และยังมีความเสี่ยงที่อัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้าอาจยังคงสูงอยู่ ทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมากังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้อีกครั้ง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 105.4 จุด อีกครั้ง (แกว่งตัวในกรอบ 105-105.4 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ ปัจจัยที่เคยหนุนราคาทองคำ อย่างความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ได้ทยอยคลี่คลายลง ขณะที่เงินดอลลาร์ ก็กลับมาแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย.) ยังไม่สามารถผ่านโซนแนวต้าน 2,330 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ไปได้ ก่อนที่จะย่อตัวลงสู่โซน 2,320 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งผู้เล่นในตลาดบางส่วนได้ทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวลงและโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงบ้าง
 
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาผลการประชุมของธนาคารกลางสวีเดน (Riksbank) ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างคาดการณ์ว่า Riksbank อาจตัดสินใจลดดอกเบี้ยนโยบายลง -25bps สู่ระดับ 3.75% ได้ ซึ่งการทยอยปรับลดดอกเบี้ยของ Riksbank ก็ทำให้ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า บรรดาธนาคารกลางฝั่งยุโรปอื่นๆ ก็สามารถทยอยลดดอกเบี้ยลงได้เช่นกัน ทำให้สกุลเงินฝั่งยุโรปมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าลงและช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์

ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึงรอลุ้นรายงานยอดสต็อกน้ำมันดิบคงคลังซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทิศทางราคาน้ำมันในระยะสั้นได้ และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินช่วงนี้ได้พอสมควร

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า การพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์อาจทำให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงได้บ้าง โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่เงินบาทเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งทองคำและน้ำมันดิบ หลังราคาทองคำ และน้ำมันดิบ ต่างก็ทยอยปรับตัวลดลงเข้าสู่โซนแนวรับในระยะสั้น อย่างไรก็ดี เราประเมินว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ในช่วงโซน 37 บาทต่อดอลลาร์ (หากอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าว ก็อาจติดแถวโซน 37.10 บาทต่อดอลลาร์ได้เช่นกัน) นอกจากนี้ เราคงมองว่า นักลงทุนต่างชาติก็อาจทยอยกลับเข้าซื้อสินทรัพย์ไทยในช่วงนี้เพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยลดทอนผลกระทบจากโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผล ได้บ้าง

อนึ่ง เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุมธนาคารกลางสวีเดน (Riksbank) ในช่วงเวลาราว 14.30 น. ตามเวลาประเทศไทย ที่แม้ว่าในอดีต ตลาดอาจไม่ได้ตามผลการประชุม Riksbank มากนัก แต่ในรอบนี้ หาก Riksbank ลดดอกเบี้ยตามคาด พร้อมส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง ก็อาจกดดันบรรดาสกุลเงินฝั่งยุโรป และยิ่งหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นได้  

โดยเราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังคงเคลื่อนไหวผันผวนสูง ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.85-37.10 บาท/ดอลลาร์

#ค่าเงินบาท #ข่าววันนี้ #ดอกเบี้ย #เฟด #สยามรัฐวันนี้

 

หุ้นไทยปิดลบ 4.70 จุด วอลุ่ม 4.8 หมื่นล้าน แกว่งกรอบแคบ แรงซื้อกลุ่มสื่อสารประคองตลาดหลังเฟดคงดอกเบี้ย

SET ปิดวันนี้(2 พ.ค.)ที่ 1,363.25 จุด ลดลง 4.70 จุด (-0.34%) มูลค่าซื้อขาย 48,883.09 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีแกว่งตัวแคบทั้งแดนบวกและลบ โดยดัชนีทำจุดต่ำสุด 1,362.01 จุด ทำจุดสูงสุดที่ 1,372.01 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 169 หลักทรัพย์ ลดลง 318 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 171 หลักทรัพย์

นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งกรอบแคบเช่นเดียวกับตลาดภูมิภาค หลังผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยแต่ไม่ได้มีสัญญาณว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (บอนด์ยีลด์) และค่าเงินดอลลาร์เริ่มชะลอตัวการปรับขึ้น ทำให้ภาพรวมตลาดหุ้นไม่ได้ตอบรับเชิงลบมาก

นอกจากนี้ตลาดอยู่ในช่วงของการรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งปัจจุบันมีการรายงานแล้วประมาณ 20% ของบริษัททั้งหมด โดยมีหุ้นที่ผลประกอบการดีกว่าที่คาด ประคองตลาดไม่ให้ปรับตัวลงแรง โดยหุ้นที่ปรับตัวขึ้นดีวันนี้คือกลุ่ม ICT ได้แก่ ADVANC ที่ผลประกอบการออกมาดี ผลักดันหุ้นในกลุ่ม อาทิ TRUE ปรับขึ้นตามด้วย รวมทั้งกลุ่มส่งออกอาหารที่ได้อานิสงส์จากเงินบาทอ่อนค่า ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำกดดันตลาดวันนี้ หลังราคาน้ำมันดิบปรับลดลง จากสต๊อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้น รวมทั้งสหรัฐเดินทางไปที่ซาอุดิอาระเบีย เพื่อหารือประเด็นความขัดแย้งในตะวันออกกลาง

โดยแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันพรุ่งนี้คาดดัชนีแกว่งไซด์เวย์ รอติดตามการรายงานผลประกอบการไตรมาส 1/67 ของกลุ่มพลังงาน โดยให้กรอบแนวรับ 1,350 จุดและแนวต้าน 1,370 จุด

หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์

PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 3,614.48 ล้านบาท ปิดที่ 150.50 บาท ลดลง 6.00 บาท

ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 3,428.79 ล้านบาท ปิดที่ 207.00 บาท เพิ่มขึ้น 9.50 บาท

TRUE มูลค่าการซื้อขาย 2,042.98 ล้านบาท ปิดที่ 8.05 บาท เพิ่มขึ้น 0.35 บาท

CRC มูลค่าการซื้อขาย 1,693.58 ล้านบาท ปิดที่ 32.25 บาท ลดลง 2.25 บาท

CPALL มูลค่าการซื้อขาย 1,340.30 ล้านบาท ปิดที่ 58.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท 

#หุ้นไทย #ข่าววันนี้ #เฟด #คงดอกเบี้ย 

 

 

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าเงินบาทเปิด 37.00 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” เฟดคงดอกเบี้ย

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 37.00 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ  37.06 บาทต่อดอลลาร์ (ระดับปิดวันอังคารที่ 30 เมษายน) เฟดส่งสัญญาณไม่ขึ้นดอกเบี้ย

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่านับตั้งแต่ช่วงคืนวันอังคารที่ 30 เมษายน ค่าเงินบาทได้ผันผวนในกรอบที่กว้างพอสมควร (แกว่งตัวในช่วง 36.94-37.25 บาทต่อดอลลาร์) โดยในช่วงวันหยุด วันแรงงานของไทยและหลายประเทศ ด้วยสภาพคล่องในตลาดการเงินที่เบาบาง อีกทั้งเงินดอลลาร์ก็ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงก่อนตลาดรับรู้ผลการประชุมเฟด หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างกังวลว่า เฟดอาจส่งสัญญาณในโทน Hawkish มากขึ้น ซึ่งภาพดังกล่าว กอปรกับความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่คลี่คลายลงยังได้กดดันให้ ราคาทองคำปรับฐานหนักราว -40 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่งผลให้ เงินบาทผันผวนอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน 37.25 บาทต่อดอลลาร์

อย่างไรก็ดี เงินบาทได้ทยอยกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาผสมผสาน กดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ยังได้ดำเนินต่อไปในช่วงหลังตลาดรับรู้ผลการประชุมเฟด ที่ไม่มีการส่งสัญญาณในโทน Hawkish อย่างที่ตลาดกังวล อีกทั้งประธานเฟดก็ย้ำว่า เฟดยังไม่มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างคลายกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดลงบ้าง (ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดยังคงคาดการณ์ว่าเฟดมีโอกาส 36% ที่จะลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้) และภาพดังกล่าวก็หนุนให้ ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นไม่น้อยกว่า +40 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดทยอยขายทำกำไรทองคำบ้าง และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวน โดยในช่วงแรกตลาดปรับตัวขึ้นได้ดี หลังผู้เล่นในตลาดต่างคลายกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ทว่า บรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับถูกกดดันจากแรงขายหุ้นกลุ่ม Semiconductor อาทิ AMD -8.9%, Nvidia -3.9% ทำให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.34%

ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลง ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน และความกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดของผู้เล่นในตลาดที่คลี่คลายลงบ้าง แต่โดยรวมบอนด์ยีลด์ 10 ปี  ยังคงแกว่งตัวแถวโซน 4.64% เนื่องจากผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ยังคงรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ทั้ง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมและดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ ในวันศุกร์นี้ อย่างไรก็ดี เราคงมองว่า บอนด์ 10 ปี สหรัฐฯ นั้นมีความน่าสนใจในทุกจังหวะการปรับตัวขึ้น (เน้นกลยุทธ์ทยอย Buy on Dip) โดยมี Risk-Reward ที่คุ้มค่าเมื่อประเมินจากคาดการณ์ผลตอบแทนรวมในอีก 1 ปี ข้างหน้า และความเสี่ยงในกรณีที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจกลับไปแตะระดับ 5.00% ได้อีกครั้ง 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับบรรดาสกุลเงินหลัก ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน ขณะเดียวกันผู้เล่นในตลาดก็คลายกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หลังประธานเฟดส่งสัญญาณว่า เฟดยังไม่มีแนวโน้มจะขึ้นดอกเบี้ย นอกจากนี้ เงินดอลลาร์อาจเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม จากการแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วของเงินเยน (JPY) จากระดับ 157.5 เยนต่อดอลลาร์ สู่ระดับ 153 เยนต่อดอลลาร์ อย่างรวดเร็ว (ก่อนที่เงินเยนจะอ่อนค่าลงเข้าใกล้ระดับ 156 เยนต่อดอลลาร์) ซึ่งอาจเป็นการเคลื่อนไหวที่มีผลมาจากการเข้าแทรกแซงค่าเงินโดยทางการญี่ปุ่น ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) แกว่งตัวแถว 105.7 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 105.5-106.5 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ การทยอยปรับตัวลงของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดลงบ้าง ได้หนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย.) สามารถรีบาวด์ขึ้นจากโซน 2,290 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สู่โซน 2,330 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างใช้จังหวะการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ ในการทยอยขายทำกำไรและโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยให้เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้น
 
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ซึ่งจะช่วยในการประเมินแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ ได้ และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินช่วงนี้ได้พอสมควร

โดยแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทได้ชะลอลงมากขึ้น โดยเฉพาะหลังผู้เล่นในตลาดได้คลายกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดลงบ้าง ทำให้เงินบาทอาจแกว่งตัว sideways ใกล้ระดับ 37 บาทต่อดอลลาร์ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดอาจยังคงรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ทั้งยอดการจ้างงานและดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ ทำให้ผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่รีบปรับสถานะถือครองมากนัก อย่างไรก็ดี เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้บ้าง ตามโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ไปจนถึงช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ทำให้เงินบาทจะยังไม่สามารถกลับมาแข็งค่าได้ชัดเจน จนกว่าตลาดจะมีการรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม อาทิ ธีม US Exceptionalism ได้อ่อนกำลังลดชัดเจน จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาดทำให้เราประเมินว่า โซนแนวรับของเงินบาทอาจยังอยู่แถวช่วง 36.80-36.90 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 36.60 บาทต่อดอลลาร์) ขณะที่ หากเงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงบ้าง การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจจำกัดอยู่ในโซนแนวต้าน 37.15-37.25 บาทต่อดอลลาร์ ตามที่ได้ประเมินไว้ก่อนหน้า

อนึ่ง ตลอดทั้งสัปดาห์นี้ เรายังคงมองว่า ควรระวังความผันผวนในตลาดการเงิน จากการเข้าแทรกแซงค่าเงินเยนของทางการญี่ปุ่น เนื่องจากเป็นช่วงที่ตลาดการเงินญี่ปุ่นปิดทำการในช่วงสัปดาห์หยุดยาว Golden Week ทำให้สภาพคล่องในตลาดนั้นเบาบางลงชัดเจน และเหมาะต่อการเข้าแทรกแซงค่าเงิน โดยเฉพาะล่าสุด โมเมนตัมเงินดอลลาร์ได้แผ่วลง จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ไม่ได้ออกมาดีกว่าคาดชัดเจน ส่วนผู้เล่นในตลาดก็เริ่มคลายกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดลงบ้าง 

โดยเรามองว่า เงินบาทยังคงเคลื่อนไหวผันผวนสูง ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือสกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.90-37.15 บาท/ดอลลาร์

#ค่าเงินบาท #เฟด #ดอกเบี้ย #ข่าววันนี้ #ตลาดการเงิน