หุ้นไทยรับอนิสงค์เฟดส่งสัญญาณลดดบ. ดึงปิด+9.28 จุด วอลุ่ม 3.9 หมื่นล้าน

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันนี้ (25 สิงหาคม 2568) ปิดตลาดฯ 1,262.67 จุด เพิ่มขึ้น 9.28 จุด (+0.74%) มูลค่าซื้อขาย 39,908.97 ล้านบาท

นายภูวดล ภูสอดเงิน ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิจัย บล.บัวหลวง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับขึ้นตามตลาดต่างประเทศ หลังนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณลดอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น ทำให้วันนี้หุ้นที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง อาทิ โรงไฟฟ้า ไฟแนนซ์ ปรับตัวขึ้น หนุน Sentiment หุ้นใหญ่ปรับตัวขึ้นมาด้วย

อีกทั้งหุ้นกลุ่มส่งออกปรับตัวขึ้นวันนี้ หลังกระทรวงพาณิชย์แถลงตัวเลขการส่งออกเดือนก.ค. ขยายตัว 11% ดีกว่าตลาดคาด รวมทั้งช่วงหลังตลาดกลับมาเล่นหุ้นกลุ่มส่งออกที่ราคาลงไปมากแล้ว และเล่นรับแนวโน้มเงินบาทอ่อนค่า

หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์

KBANK ปิดที่ 165.50 บาท ลดลง 1.50 บาท

THAI ปิดที่ 12.60 บาท ลดลง 0.30 บาท

GULF ปิดที่ 48.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท

TRUE ปิดที่ 11.70 บาท ลดลง 0.10 บาท

BDMS ปิดที่ 20.90 บาท ลดลง 0.10 บาท

ดาวโจนส์พุ่ง 846.24 จุด  นักลงทุนแห่ซื้อ หลังเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย

วันที่ 25 ส.ค.68  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันศุกร์ (22 ส.ค.) แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากนักลงทุนแห่เข้าซื้อหุ้นหลัง เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมที่แจ็กสันโฮลว่า อาจจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนหน้า

ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 45,631.74 จุด เพิ่มขึ้น 846.24 จุด หรือ +1.89%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,466.91 จุด เพิ่มขึ้น 96.74 จุด หรือ +1.52% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,496.54 จุด เพิ่มขึ้น 396.22 จุด หรือ +1.88

ดาวโจนส์พุ่ง 846.24 จุด ทำสถิติสูงสุดใหม่ หลังเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย

วันที่ 23 ส.ค.68  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันศุกร์ (22 ส.ค.) แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากนักลงทุนแห่เข้าซื้อหุ้นหลัง เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมที่แจ็กสันโฮลว่า อาจจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนหน้า

ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 45,631.74 จุด เพิ่มขึ้น 846.24 จุด หรือ +1.89%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,466.91 จุด เพิ่มขึ้น 96.74 จุด หรือ +1.52% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,496.54 จุด เพิ่มขึ้น 396.22 จุด หรือ +1.88%

หุ้นไทยปิดเช้าลบ 7.65 จุด วอลุ่ม 3.4 หมื่นล้าน รับแรงขายทำกำไรระยะสั้น จับตาเฟด-ตัวเลข ศก.สหรัฐ

หุ้นไทยปิดเช้าลบ 7.65 จุด วอลุ่ม 3.4 หมื่นล้าน รับแรงขายทำกำไรระยะสั้น จับตาเฟด-ตัวเลขศก.สหรัฐ

วันที่ 14 ส.ค.68 SET ปิดเช้าที่ 1,269.78 จุด ลดลง 7.65 จุด (-0.60%) มูลค่าซื้อขาย 34,186 ล้านบาท การซื้อขายช่วงเช้า ดัชนีอ่อนตัว โดยทำระดับสูงสุด 1,283.55 จุด และต่ำสุด 1,266.65 จุด

นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน (บลป.) เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้เจอแรงขายทำกำไรระยะสั้น หลังขึ้นมาต่อเนื่องช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยดัชนีขึ้นมาแล้วกว่า 200 จุดจากจุดต่ำสุดรอบนี้ ประกอบกับ ตลาดขาดประเด็นบวกใหม่ขับเคลื่อน นอกจากความคาดหวังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ย

แนวโน้มช่วงบ่ายอาจยังเห็นดัชนีแกว่งตัวค่อนแดนลบอ่อนๆ โดยวันนี้ต้องติดตามดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ค. ของสหรัฐ รวมทั้งการเปิดเผยงบบริษัทจดทะเบียนไทยในช่วงโค้งสุดท้าย และการพิจาณางบประมาณปี 2569 โดยให้กรอบแนวรับ 1,264-1,260 จุด และแนวต้าน 1,280 จุด

หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์

THAI มูลค่าการซื้อขาย 6,350.23 ล้านบาท ปิดที่ 17.90 บาท เพิ่มขึ้น 1.80 บาท

PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,565.19 ล้านบาท ปิดที่ 32.00 บาท ลดลง 0.50 บาท

AOT มูลค่าการซื้อขาย 1,534.19 ล้านบาท ปิดที่ 38.75 บาท ลดลง 1.25 บาท

BDMS มูลค่าการซื้อขาย 1,317.53 ล้านบาท ปิดที่ 22.10 บาท ลดลง 0.80 บาท

DELTA มูลค่าการซื้อขาย 1,293.70 ล้านบาท ปิดที่ 153.50 บาท ลดลง 0.50 บาท

#หุ้นไทย #เฟด #ข่าววันนี้ #SET #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ 

 

เงินบาทแข็งค่า-หุ้นไทยไปต่อ-จับตาประชุม กนง.พุธนี้

เงินบาทแข็งค่า-หุ้นไทยไปต่อ-จับตาประชุม กนง.พุธนี้ 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปความเคลื่อนไหวค่าเงินบาทรอบสัปดาห์ เงินบาทพลิกแข็งค่าอีกครั้ง ตลาดกลับมามองความเป็นไปได้ที่เฟดอาจลดดอกเบี้ยเดือนก.ย. นี้ ทั้งนี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์สอดคล้องกับสกุลเงินอื่นๆในเอเชีย ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ยังคงถูกกดดันต่อเนื่องจากตัวเลขตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ที่ออกมาอ่อนแอกว่าที่คาดมาก ซึ่งยิ่งกระตุ้นให้ตลาดเพิ่มการคาดการณ์ถึงโอกาสการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนก.ย. นี้ เงินบาทยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแข็งค่าในช่วงต่อมา และแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 1 สัปดาห์ที่ 32.25 บาทต่อดอลลาร์ฯ หลังเงินดอลลาร์ฯ มีปัจจัยลบเพิ่มเติมจากข้อมูล ISM ภาคบริการของสหรัฐฯ ที่มีสัญญาณอ่อนแอ รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของภาษีของปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ และประเด็นระหว่างปธน. ทรัมป์ และเฟด นอกจากนี้ สถานการณ์ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติที่อยู่ในฝั่งซื้อสุทธิในสัปดาห์นี้ ช่วยบรรเทาแรงกดดันจากความผันผวนของราคาทองคำในตลาดโลก และเป็นปัจจัยบวกเพิ่มเติมของเงินบาท อย่างไรก็ดี เงินบาทลดช่วงบวกเล็กน้อยตามการปรับโพสิชั่นก่อนเข้าสู่ช่วงวันหยุด ประกอบกับตลาดยังคงรอติดตามการประชุมกนง. ในวันที่ 13 ส.ค. นี้อย่างใกล้ชิด

• สัปดาห์ระหว่างวันที่ 11-15 ส.ค. 2568 KBank คาดกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 32.10-32.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ ปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุม กนง. (13 ส.ค.) ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ราคาทองคำในตลาดโลก ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต ตัวเลขยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ค. ของสหรัฐฯ ข้อมูลเศรษฐกิจและเงินเฟ้อเดือนก.ค. ของจีน ตลอดจนตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/2568 ของอังกฤษยูโรโซนและญี่ปุ่น

สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย
• ดัชนีหุ้นไทยแตะจุดสูงสุดในรอบเกือบ 6 เดือนระหว่างสัปดาห์ ก่อนจะลดช่วงบวกลงช่วงท้ายสัปดาห์ ทั้งนี้ดัชนีหุ้นไทยดีดตัวขึ้นแรงในช่วงต้น-กลางสัปดาห์ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค ท่ามกลางแรงซื้อหลัก ๆ จากกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ โดยมีปัจจัยหนุนจากคาดการณ์เกี่ยวกับโอกาสในการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในรอบการประชุมเดือนก.ย. ที่จะถึงนี้ หลังตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ค. ของสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ นอกจากนี้ ดัชนีหุ้นไทยยังมีแรงหนุนจากแรงซื้อหุ้นบิ๊กแคปในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มไฟแนนซ์ กลุ่มแบงก์ กลุ่มสื่อสารที่ผลประกอบการไตรมาสล่าสุดออกมาค่อนข้างดี ตลอดจนหุ้นบริษัทสายการบินรายใหญ่แห่งหนึ่งจากการกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อีกครั้งหลังออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ อย่างไรก็ดี หลังจากดัชนีหุ้นไทยขึ้นไปแตะจุดสูงสุดในรอบเกือบ 6 เดือนที่ 1,280.78 จุดก็ย่อตัวลงในช่วงท้ายสัปดาห์ตามแรงขายเพื่อปรับโพสิชั่นก่อนวันหยุดยาวของตลาดในประเทศ  

• สัปดาห์ที่ 11-15 ส.ค. 2568 KSecurities คาดแนวรับที่ 1,230 และ 1,215 จุด ขณะที่ แนวต้านอยู่ที่ 1,280 และ 1,300 จุด ตามลำดับ โดยปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมกนง. (13 ส.ค.) ผลประกอบการไตรมาส 2/2568 ของบจ.ไทย ทิศทางเงินทุนต่างชาติ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต ยอดค้าปลีก และผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ค. ของสหรัฐฯ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/2568 ของยูโรโซนและญี่ปุ่น ตลอดจนข้อมูลเศรษฐกิจเดือนก.ค. ของจีน

#เงินบาท #เฟด #การเงิน #ตลาดหุ้นไทย #ข่าวเศรษฐกิจ #สยามรัฐ #ข่าววันนี้ #สยามรัฐออนไลน์

เงินบาทแข็งค่าขึ้น หลังทรัมป์แต่งตั้งผู้ว่าการเฟดคนใหม่ จับตาธนาคารกลางอังกฤษลดดอกเบี้ย

เงินบาทแข็งค่าขึ้น หลังทรัมป์แต่งตั้งผู้ว่าการเฟดคนใหม่ จับตาธนาคารกลางอังกฤษลดดอกเบี้ย

ค่าเงินบาทประจำวันที่ 8 สิงหาคม 2568

-กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.15-32.40บาท/ดอลลาร์

-เงินบาทแข็งค่าขึ้นวานนี้และแข็งค่าเพิ่มเติมช่วงข้ามคืน หลังมีรายงานว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่งตั้ง สตีเฟน มิแรน เป็นผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐแทนคูเกลอร์ ที่ลาออกไป

-จำนวนผู้ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานซ้ำ เพิ่มขึ้นมาที่ 1.97 ล้านตำแหน่ง แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปี 2021

-ธนาคารกลางอังกฤษลดดอกเบี้ยลง 0.25% มาอยู่ที่ 4.00% และประเมินว่าเงินเฟ้ออาจสูงขึ้นแตะ 4% ในเดือนกันยายน แต่ยังมองว่าเงินเฟ้อจะขึ้นอยู่ชั่วคราว

#เงินบาทวันนี้ #ค่าเงินบาท #เฟด #ธนาคารกลางอังกฤษ #นโยบายการเงิน #เศรษฐกิจโลก #ตลาดเงิน #อัตราแลกเปลี่ยน

ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.20-32.45 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าหลังเงินเฟ้อไทยลดต่ำกว่าคาด

ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.20-32.45 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทอ่อนค่าหลังเงินเฟ้อไทยลดต่ำกว่าคาด

ค่าเงินบาทประจำวันที่ 7 สิงหาคม 2568

•กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.20-32.45 บาท/ดอลลาร์

•เงินบาทอ่อนค่าเล็กน้อยหลังเงินเฟ้อไทยเดือนกรกฎาคมออกมาที่ -0.70% ต่ำกว่าตลาดคาด จากราคาพลังงานและอาหารสดที่ลดลง

•นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เตรียมขึ้นภาษีนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์ 100% แต่จะยกเว้นบริษัทที่ย้ายการผลิตกลับมาที่สหรัฐฯ นอกจากนี้ ยังปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากอินเดียเป็น 50% เพราะอินเดียยังนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย

•นีล แคชแครี ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขามินนีแอโพลิส กำลังพิจารณาลดดอกเบี้ย โดยระบุว่าอาจเหมาะสมที่จะดำเนินการใน “ระยะเวลาอันใกล้นี้”

#ค่าเงินบาท #เศรษฐกิจไทย #เงินเฟ้อ #นโยบายการค้า #เฟด #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้

 

"กอบศักดิ์" ชี้ "ทรัมป์" ป่วนไม่เว้นแม้แต่เฟด! เล่าวงประชุมมีแต่คำถามเรื่องผู้นำสหรัฐฯ

วันที่ 31 ก.ค.68 ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการ ธนาคารกรุงเทพ และอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก กอบศักดิ์ ภูตระกูล ระบุว่า...

 Fed บอกยังรอได้ !!!

เศรษฐกิจสหรัฐยังขยายตัว ตลาดแรงงานยังแข็งแกร่ง แต่ความไม่แน่นอนในระบบสูง ด้วยเหตุนี้ กรรมการเฟดมองว่า ดอกเบี้ยในระดับนี้ “เหมาะแล้ว”
ยังไม่จำเป็นต้องรีบปรับ คงไว้ให้ดอกเบี้ยอยู่ในจุดที่พร้อมรับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น

แต่ที่น่าสนใจที่สุดในช่วงถามตอบรอบนี้ ก็คือ มีคำถามมากมายเกี่ยวกับท่าน President Trump

The Man of The Day กินเวลาช่วงถามตอบไปประมาณครึ่งหนึ่ง !!!

ตัวอย่าง
1. Tariffs จะส่งผลกับเศรษฐกิจอย่างไร เฟดคำนวนแล้วหรือไม่ ที่เคยบอกว่ารอดูอัตราสุดท้ายว่าแต่ละประเทศจบตรงไหน ตอนนี้ก็เริ่มเห็นแล้ว แล้วเฟดคิดอย่างไร
ตอบ : น่าจะมีผลกับเงินเฟ้อรอบเดียวประเภท one-time แต่ไม่เห็นว่า ผู้ส่งออกในประเทศต่างๆ จะลดราคาให้สหรัฐ น่าจะเป็นการส่งผ่านราคาสินค้าที่สูงขึ้นให้กับผู้บริโภคในสหรัฐมากกว่า อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ เงินเฟ้อยังไม่ค่อยเพิ่ม

2. One Big Beautiful Bill จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแค่ไหน
ตอบ : ช่วยไม่มาก โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

3. ดอกเบี้ยเฟดคงไว้สูง เป็นต้นทุนดอกเบี้ยที่รัฐบาลสหรัฐต้องจ่าย เฟดกังวลใจเรื่องนี้หรือไม่
ตอบ : เฟดไม่ได้คิดเรื่องนี้ หน้าที่เฟดคือดูแลเงินเฟ้อ

4. ที่ President Trump การมาเยี่ยมดูการซ่อมแซม เป็นการกดดันไหม
ตอบ : ไม่ ท่านสนใจ และบอกให้ทำให้เสร็จโดยเร็ว

5. ที่รัฐบาลกดดันมากมาก จะส่งผลต่อความเป็นอิสระของเฟดไหม
ตอบ : ความเป็นอิสระของเฟดเป็นเรื่องสำคัญ จะช่วยให้เกิดเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว ต้องรักษาไว้

6. หลังครบเทอมการเป็นประธานเฟดแล้ว ท่านจะออกจากการเป็นกรรมการด้วยไหม
ตอบ : ไม่คอมเมนต์เรื่องนี้ แล้วเดินจากไป

ส่วนที่เหลือ คือ คำถามเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการตีความของเฟด และเงื่อนไขของการลดดอกเบี้ย รวมถึงการที่กรรมการ 2 ท่านเห็นต่างทั้งหมด สะท้อนถึงความจริงว่า ท่าน President Trump อยู่ทุกที่ ป่วนได้ทุกวงการ กระทั่งเฟด ที่ปกติแล้ว ประธานาธิบดีคนอื่นๆ จะไม่ยุ่งด้วย

 

เฟดคงดอกเบี้ยที่ 4.25-4.50% ต่อเนื่องครั้งที่ 5 เสียงแตก 9-2 ใน FOMC ครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปี

เฟดคงดอกเบี้ยที่ 4.25-4.50% ต่อเนื่องครั้งที่ 5 เสียงแตก 9-2 ใน FOMC ครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปี

วันที่ 31 ก.ค. 2568 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ระดับ 4.25-4.50% ตามความคาดหมายของตลาด โดยถือเป็นการตรึงอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 5 แม้เผชิญแรงกดดันจากอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการให้เฟดลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

คณะกรรมการฯ ลงมติด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 2 โดยสมาชิก 9 รายเห็นควรให้ตรึงดอกเบี้ย ขณะที่อีก 2 ราย ได้แก่ นางมิเชล โบว์แมน และนายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ซึ่งเป็นสมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าการเฟด แสดงจุดยืนสนับสนุนการลดดอกเบี้ย แต่เลือกงดออกเสียงในการประชุมครั้งนี้ ถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2536 ที่มีสมาชิก FOMC งดออกเสียงมากกว่าหนึ่งราย

สำหรับการประชุมครั้งนี้ มีกรรมการเข้าร่วม 11 ราย จากทั้งหมด 12 ราย โดยนางอาเดรียนา คุกเลอร์ หนึ่งในคณะกรรมการผู้ว่าการเฟด ไม่ได้เข้าร่วมประชุม

ด้านนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ระบุว่า ยังเร็วเกินไปที่จะชี้ชัดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในการประชุมรอบถัดไปในเดือนกันยายนหรือไม่ โดยเน้นว่านโยบายการเงินของเฟดในปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่คุมเข้มเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับเป็นอุปสรรคต่อเศรษฐกิจ

“เรายังไม่ได้ตัดสินใจเกี่ยวกับแนวทางนโยบายในเดือน ก.ย. ข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับก่อนวันประชุมจะถูกนำมาพิจารณาอย่างรอบคอบ” พาวเวลกล่าว

#เฟด #ดอกเบี้ยสหรัฐ #FOMC #เจอโรมพาวเวล #ข่าวเศรษฐกิจโลก #นโยบายการเงิน #สหรัฐอเมริกา #ตรึงดอกเบี้ย #เงินเฟ้อ #เฟดสหรัฐ #ตลาดโลก #ข่าวเศรษฐกิจ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้

 

 

SET พักฐานสั้นหลังพุ่ง 4% รับข่าวดีเจรจาการค้า-เฟดผ่อนคิวอี แนะสะสมหุ้นใหญ่ CPN-CPALL-BBL

Pi Daily คาด SET อาจเข้าสู่ช่วงพักตัวระยะสั้นหลังจาก Rally มา 4% ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา แต่ยังเป็นการพักและมีแนวโน้มดีขึ้นจากนี้ หนุนจากการเจรจาการค้าไทย - สหรัฐฯ ผสานกับหุ้นไทยยังไม่แพง

วันที่ 26 มิถุนายน 2568 บล.พายเผยว่า ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 106 จุด (-0.25%) ตลาดปรับฐานหลังจากพุ่งขึ้นก่อนหน้า 2 วันติดต่อ ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 0.8% หลังจากสหรัฐฯรายงานสต็อกน้ำมันดิบลดลงมากกว่านักวิเคราะห์ประเมินไว้ 

เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯรายงานยอดขายบ้านมือหนึ่งที่ 6.23 แสนหลังคาเรือนแย่กว่านักวิเคราะห์ประเมินไว้ที่ 6.94 แสนหลังคาเรือน สะท้อนถึงความอ่อนแอในเชิงอุปสงค์จึงได้กดดันให้ US Bond Yield ปรับลงอย่างมีนัยยะในรุ่นอายุ 2 , 10 ปี สอดคล้องกับ Dollar Index ที่อ่อนค่าต่อเนื่อง ด้านปัจจัยในประเทศเมื่อวานที่ผ่านมาที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินตัดสินใจคงดอกเบี้ยนโยบายด้วยจำนวนเสียง 6 : 1 โดยเศรษฐกิจไทยในครึ่งแรกของปี 25 มีแนวโน้มดีกว่าที่ประเมินไว้จากภาคผลิตและเร่งส่งออกสินค้า แต่อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงในระยะถัดไปเพราะความเสี่ยงจากการส่งออกจะเผชิญผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯรวมไปถึงปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ โดยคาดการณ์เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2.3% และ 1.7% ในปี 25 , 26 ตามลำดับ โดยไตรมาสแรกของปีนี้ถือว่าขยายตัวได้ดีกว่าที่ประเมินไว้ทำให้ กนง. เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2.3% สินเชื่อโดยรวมหดตัวเพราะสถาบันการเงินยังระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อโดยเฉพาะ SME และครัวเรือนกลุ่มรายได้ต่ำประกอบกับความต้องการของภาคธุรกิจลดลง

นอกจากนี้ยังได้ระบุถึงว่าจำนวนธุรกิจในประเทศไทยอย่างร้านอาหารเพิ่มขึ้นในระดับ 106% แต่จำนวนนักท่องเที่ยว (อุปสงค์) เพิ่มขึ้นเพียง 12% จึงเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นตามหน้าข่าวที่รายงานออกมา ส่วนปี 26 ประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติไว้เพียง 38 ล้านคน ปัจจัยติดตามคืนนี้ได้แก่จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานและ GDP ของสหรัฐฯ Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 2.4 แสนรายและ -0.2%QoQ

วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1095 – 1115 น่าจะเข้าสู่ช่วงพักตัวระยะสั้นหลังจากปรับขึ้นมา 4.2% ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมารับปัจจัยหนุนจากการเจรจาหยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านประกอบกับรัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผสานกับธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับคาดการณ์เศรษฐกิจดีขึ้น ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนนักลงทุนระยะสั้นอาจใช้จังหวะนี้เป็นโอกาสทำกำไรระยะสั้นแต่มุมมองถัดไปยังเชื่อว่าจะค่อยๆฟื้นตัวได้จากการที่ Valuation ไม่แพงและมีลุ้นเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ หากตลาดพักฐานลงมายังมองเป็นโอกาสกลับเข้าสะสมเน้นที่หุ้นขนาดใหญ่ อาทิ ศูนย์การค้า (CPN) ค้าปลีก (CPALL CRC) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) การเงิน (MTC SAWAD) 

CRC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 29.00 บาท)
เริ่มเห็นแนวโน้ม SSSG ที่ทยอยฟื้นตัวขึ้น MoM ในช่วง 2Q25 แม้ว่าจะยังคงติดลบ 4%-6% ในช่วง QTD ของ 2Q25 แบ่งเป็น SSSG ประเทศไทย -2% ถึง -4%    มาจากไทวัสดุ ขณะที่ Food ยังคงเป็นบวกทั้ง Tops และ GO Wholesale, ประเทศเวียดนาม -11% ถึง -13% โดย Food เวียดนามยังคงบวกได้ในเงินสกุลดอง, และประเทศอิตาลี –7% ถึง -9% ดีขึ้นจากช่วงก่อนหน้าที่ติดลบราว 10% นิดๆ แต่ปัจจุบัน Valuation อยู่ในจุดที่น่าสนใจ ซื้อขายเพียง 11.6xPE’25E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มและค่าเฉลี่ยการซื้อขายในอดีต

CPAXT (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 30.00 บาท)
คาดเห็น Synergy benefits ทยอยรับรู้มากขึ้นในช่วง 2Q25 ขณะที่แนวโน้มการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ช่วงเดือน มี.ค. 2025 ของทั้ง Makro และ Lotus’s ขยายตัวเล็กน้อย YoY จากยอดขายอาหารสดอาหารพร้อมทาน และเบเกอรี่ที่โตดีต่อเนื่อง ระยะสั้นคาดรายงานกำไรสุทธิ 1Q25 ที่ 2.6 พันล้านบาท (+5%YoY, -35%QoQ) จากยอดขายที่โต 2%YoY อัตรากำไรขั้นต้นรวมที่ทรงตัว YoY (GPM ค้าส่งขยายตัว 20 bps YoY, GPM ค้าปลีกทรงตัว YoY ชดเชยกับอัตรากำไรจากพื้นที่เช่าที่ลดลง YoY) ค่าใช้จ่ายต่อยอดขายลดลงเล็กน้อย 10 bps YoY จากค่าใช้จ่าย Lotus’s ที่ควบคุมได้ดี แม้ว่าค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการเติบโตของ Omni Channel ยังคงโต YoY  

#SET #ข่าววันนี้ #เจรจาการค้า #เฟด #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์