เงินบาทเปิด 32.63 แข็งค่ากรอบแคบ จับตาผลประชุม กนง.-เฟดยังไม่รีบลดดอกเบี้ย

เงินบาทเปิด 32.63 แข็งค่ากรอบแคบ จับตาผลประชุม กนง.-เฟดยังไม่รีบลดดอกเบี้ย

วันที่ 25 มิถุนายน 2568 นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) แกว่งตัวในกรอบ Sideways ไร้ทิศทางที่ชัดเจน (แกว่งตัวในกรอบ 32.60-32.74 บาทต่อดอลลาร์) หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ทั้งนี้ เงินบาทมีจังหวะแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับระยะสั้น 32.60 บาทต่อดอลลาร์ ตามการรีบาวด์สูงขึ้นจากโซนแนวรับของราคาทองคำ (XAUUSD) แถว 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทว่าการเคลื่อนไหวโดยรวมของเงินบาทยังไร้ทิศทางที่ชัดเจน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย (กนง.) ที่จะรับรู้ในช่วงราว 14.00 น. ของวันพุธ 25 มิถุนายน นี้  

บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ เดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทยอยคลี่คลายลง ทว่าพัฒนาการของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางดังกล่าว ได้กดดันให้บรรดาหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงหนัก อาทิ Exxon Mobil -3.0% ตามการปรับตัวลงแรงของราคาน้ำมันดิบ ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.11% 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +1.11% หนุนโดยสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ทยอยคลี่คลายลง ทว่าตลาดหุ้นยุโรปก็เผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงแรงของราคาหุ้นกลุ่มพลังงานเช่นเดียวกันกับในฝั่งสหรัฐฯ อาทิ Shell -3.5% 

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่าถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell จะยังคงย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ยของเฟด เช่นเดียวกันกับบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดท่านอื่นๆ ทว่า รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาด อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) และการปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบ จากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทยอยคลี่คลายลง ก็มีส่วนหนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.29% ทั้งนี้ เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวลดลงมาพอควร และอยู่ในโซนที่ยังไม่น่าสนใจทยอยเข้าซื้อ ซึ่งเราคงคำแนะนำเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หรือ บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น เช่น โซน 4.50% สำหรับ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในการทยอยเข้าซื้อ เพื่อ Risk-Reward ที่น่าสนใจกว่า 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ในลักษณะ Sideways Down หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าคาด ทว่า เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากท่าทีของทั้งประธานเฟดและบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ที่ยังคงย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย เพื่อรอประเมินสถานการณ์ให้รอบด้าน โดยเฉพาะในส่วนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อลงเล็กน้อย สู่ระดับ 97.9 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.7-98.2 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้บรรดาผู้เล่นในตลาดจะเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม ทว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) ก็ยังพอได้แรงหนุนบ้าง ตามจังหวะการย่อตัวลงของทั้ง เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กอปรกับผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็รอทยอยเข้าซื้อทองคำในโซนแนวรับระยะสั้น หนุนให้ราคาทองคำสามารถทยอยรีบาวด์สูงขึ้น สู่โซน 3,340-3,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย โดยเราประเมินว่า ในการประชุมครั้งนี้ กนง. อาจมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.75% เพื่อรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ รวมถึงสถานการณ์ความไม่แน่นอนต่างๆ อย่าง การเมืองในประเทศ อีกทั้งการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงเผชิญความไม่แน่นอนสูง อาจทำให้ประสิทธิผลของนโยบายการเงินน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ทั้งนี้ กนง. อาจยังคงส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อช่วยประคองเศรษฐกิจไทย อนึ่ง ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า กนง. มีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อเนื่องสู่ระดับ 1.25% ได้ภายในปีหน้า  

ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะ การแถลงต่อคณะกรรมาธิการของสภาคองเกรสโดยประธานเฟด Jerome Powell ทั้งนี้ แม้ว่าประธานเฟดจะยังคงย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย ในการแถลงต่อคณะกรรมาธิการในวันก่อน ทว่า ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า เฟดมีโอกาสราว 40% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้ และมีโอกาสราว 65% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีก 3 ครั้ง ในปี 2026 ซึ่งจะเป็นการลดดอกเบี้ยที่มากกว่า คาดการณ์หรือ Dot Plot ของเฟดล่าสุด    
 
นอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า อย่าง จีน รวมถึงพัฒนาการของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง    


สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทอาจแกว่งตัวในลักษณะ Sideways โดยมีโซนแนวรับ 32.50-32.60 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนโซนแนวต้านก็อาจอยู่ในช่วง 32.70-32.80 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงก่อนที่ตลาดจะรับรู้ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย 

โดยในกรณีที่ กนง. คงดอกเบี้ยตามคาด แต่ยังคงส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อช่วยประคองเศรษฐกิจ เรามองว่า เงินบาทก็อาจยังคงแกว่งตัวในกรอบ Sideways ไปก่อน แต่หาก กนง. คงดอกเบี้ยตามคาด ทว่ากลับส่งสัญญาณไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย (ซึ่งโอกาสเกิดน้อย) คล้ายกับท่าทีของเฟด เรามองว่า เงินบาทเสี่ยงผันผวนอ่อนค่าลงได้ หากบรรดานักลงทุนต่างชาติตัดสินใจขายทำกำไรสถานะลงทุนในบอนด์ โดยเฉพาะในส่วนของบอนด์ระยะยาวของไทย เนื่องจากบรรดานักลงทุนต่างชาติอาจมองว่า กนง. มีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยสู่ระดับ 1.25% ได้ ภายในปีหน้า 

ส่วนในกรณีที่ กนง. ลดดอกเบี้ยเซอร์ไพรส์ตลาด พร้อมส่งสัญญาณใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเพิ่มเติม ซึ่งเรามองว่า ก็มีโอกาสที่จะเกิดได้ ในกรณีนี้ แม้ว่าท่าทีของ กนง. จะดู Dovish ทว่า บรรดานักลงทุนต่างชาติอาจมองว่า กนง. มีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ต่ำกว่า 1.25% ซึ่งอาจเห็นแรงซื้อบอนด์ไทยเพิ่มเติมได้ ทำให้ เงินบาทอาจไม่ได้อ่อนค่า และมีโอกาสที่จะเห็นเงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นได้บ้าง แม้ว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยเซอร์ไพรส์ตลาดก็ตาม 

การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่าง เงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้ เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.50-32.80 บาท/ดอลลาร์

#เงินบาท #ประชุมกนง #ข่าววันนี้ #เฟด #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

"พาวเวล" ชี้ชัด! เฟดยังตรึงดอกเบี้ย จับตาภาษีทรัมป์ดันเงินเฟ้อ สะเทือน ศก.สหรัฐ

"พาวเวล" ชี้ชัด! เฟดยังตรึงดอกเบี้ย จับตาภาษีทรัมป์ดันเงินเฟ้อ สะเทือน ศก.สหรัฐ

วันที่ 25 มิถุนายน 2568 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณในวันนี้ว่า เฟดไม่ได้เร่งรีบที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากเฟดกำลังรอความชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรที่มีต่อเงินเฟ้อ และเฟดกำลังจับตาทิศทางเศรษฐกิจก่อนที่จะพิจารณาการปรับนโยบายของเฟด

ทั้งนี้ นายพาวเวลมีกำหนดกล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อสภาคองเกรสในสัปดาห์นี้ โดยได้กล่าวถ้อยแถลงต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้ ก่อนที่จะกล่าวต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันพรุ่งนี้

นายพาวเวลกล่าวอีกว่า เฟดยังคงมุ่งมั่นในการควบคุมเงินเฟ้อ และเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยต่อไป จนกว่าจะมีข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรที่มีต่อราคา

นอกจากนี้ นายพาวเวลล์กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีการขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง และตลาดแรงงานใกล้เข้าสู่ภาวะการจ้างงานเต็มศักยภาพ แต่นายพาวเวลย้ำว่า อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่สูงกว่าเป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% และผลกระทบของมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังคงไม่มีความชัดเจน

"นโยบายต่างๆของรัฐบาลยังคงมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง และผลกระทบต่อเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอน"

ทั้งนี้หน้าที่ของ FOMC คือการรักษาคาดการณ์เงินเฟ้อระยะยาวให้อยู่ในกรอบ และป้องกันไม่ให้การเพิ่มขึ้นของระดับราคาเพียงชั่วคราวกลายเป็นปัญหาต่อเงินเฟ้อในระยะยาว เฟดยังคงพยายามรักษาสมดุลระหว่างเป้าหมายทั้ง 2 ของเฟด ได้แก่ การทำให้การจ้างงานเต็มศักยภาพ และการรักษาเสถียรภาพของราคา ซึ่งหากปราศจากเสถียรภาพของราคา เฟดจะไม่สามารถรักษาภาวะตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งและเป็นประโยชน์ต่อชาวอเมริกันทุกคน

#พาวเวล #เฟด #ภาษีทรัมป์ #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #เงินเฟ้อ

 

 

"กอบศักดิ์" ชี้เฟดคงดอกเบี้ยตามคาด! ส่งสัญญาณลดอีก 4 ครั้งใน 2 ปีครึ่งข้างหน้า รอชัดเจนใน 3 เดือนนี้

"กอบศักดิ์" ชี้เฟดคงดอกเบี้ยตามคาด! ส่งสัญญาณลดอีก 4 ครั้งใน 2 ปีครึ่งข้างหน้า รอชัดเจนใน 3 เดือนนี้

วันที่ 19 มิถุนายน 2568 ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว "Kobsak Pootrakool" ระบุว่า

เฟดคงดอกเบี้ยตามคาด !!!!

พร้อมประเมินว่า ไม่ต้องรีบร้อนที่จะต้องตัดสินใจตอนนี้

ยังสามารถรอได้อีก 3 เดือน

เพราะเศรษฐกิจสหรัฐด้านต่างๆ แข็งแรง

ใช้คำว่า Solid ให้หลายๆ ที่

ทั้งด้านกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การใช้จ่ายของเอกชน ตลาดแรงงาน

ส่วนเงินเฟ้อที่จะขึ้น น่าจะขึ้นไม่มากและไม่มีผลระยะยาว

พร้อมมองว่า "ความไม่แน่นอน" ได้ลดลงจากช่วงเดือนเมษายน

สำหรับแนวโน้มดอกเบี้ยของเฟด ที่ทุกคนจับตามอง

ส่งสัญญาณที่จะลงดอกเบี้ย

ปี 2025 - 2 ครั้ง

ปี 2026 - 1 ครั้ง

ปี 2027 - 1 ครั้ง

หลังจากนั้น อาจจะลดลงอีกครั้ง เพื่อเข้าสู่ Neutral Rate ที่ 3.0%

แต่ถ้าเราลองไปส่องดู Dot Plot ที่ประกอบมาด้วยอย่างละเอิยด

ต้องสรุปว่า ในช่วง 2 ปีครึ่งข้างหน้า

เฟดตั้งใจจะลดดอกเบี้ย 4 ครั้ง

แต่จากคะแนนเสียงที่ออกมาดังปรากฏใน Dot Plot ล่าสุด

กรรมการก้ำกึ่งมากมาก ว่าจะลดอย่างไร

พร้อมเปลี่ยนได้เสมอ

โดยปีนี้ ลด 2 ครั้ง 10 คน ... ลด 1 ครั้ง 9 คน

ปีหน้า ลดลงไปที่ 3.5-3.75% 10 คน ... อีกส่วนลงไปที่ 3.25-3.5% 9 คน

ปีถัดไป ส่วนใหญ่มองไว้ที่ 3.2-3.5% 11 คน และอยากลงอีกนิด 8 คน

ซึ่งปกติแล้ว ไม่ค่อยใกล้กันขนาดนี้

ทั้งหมด ถ้าจะต้องฟันธง

หมายความว่า

จากที่อยากลดดอกเบี้ย 4 ครั้ง

เส้นทางข้างหน้า เป็นไปได้ทุกสูตร ในช่วง 2 ปีครึ่งข้างหน้า

2 - 1 - 1 ตามที่บอกไว้ข้างต้น

1 - 2 - 1

2 - 2

รอตัวเลขในช่วง 3 เดือนหน้ามาช่วยตัดสินใจ

กระทั่ง ท่านประธานเฟดในช่วงให้สัมภาษณ์

ต้องย้ำกับผู้สื่อข่าวว่า

อย่ายึดมั่นกับ Dot Plot มาก

กรรมการเองก็ไม่แน่ใจ

ทุกคนเขียนตัวเลขลงไป อยากรู้ว่าคนอื่นๆ จะเขียนอะไร

ทุกอย่างเป็นแค่ indicative เปลี่ยนได้

แล้วไปคุยกันอีกที ตอนการประชุมเดือนกันยายน

#มุมมองดรกอบ #เฟด #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

 

เฟดคงดอกเบี้ย 4.25-4.50% เตือน ศก.สหรัฐฯเสี่ยงถดถอย-เงินเฟ้อยังสูง-ดอกเบี้ยนิ่งแต่ระวังแรงกระแทก

เฟดคงดอกเบี้ย 4.25-4.50% เตือน ศก.สหรัฐฯเสี่ยงถดถอย-เงินเฟ้อยังสูง-ดอกเบี้ยนิ่งแต่ระวังแรงกระแทก

วันที่ 8 พฤษภาคม 2568 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้ออกแถลงการณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ซึ่งเสร็จสิ้นลงในวันพุธที่ 7 พ.ค.ตามเวลาสหรัฐฯ โดยระบุว่า ข้อมูลที่เฟดได้รับเมื่อไม่นานมานี้บ่งชี้ว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังคงขยายตัวในอัตราที่แข็งแกร่ง แม้ว่าความผันผวนของยอดส่งออกสุทธิได้ส่งผลกระทบต่อข้อมูลก็ตาม ขณะที่อัตราว่างงานยังคงอยู่ในระดับต่ำในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และภาวะตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง ส่วนอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง

คณะกรรมการ FOMC พยายามหาแนวทางที่จะบรรลุเป้าหมายการจ้างงานอย่างเต็มศักยภาพ และบรรลุเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อที่ระดับ 2% ในระยะยาว ส่วนความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจนั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคณะกรรมการยังคงให้ความสนใจกับความเสี่ยงที่จะมีต่อ Dual Mandate ของเฟด คือการจ้างงานที่ขยายตัวอย่างเต็มศักยภาพและอัตราเงินเฟ้อที่เคลื่อนตัวสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% โดยคณะกรรมการประเมินว่ามีความเสี่ยงมากขึ้นที่อัตราว่างงานและเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้น

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าว คณะกรรมการฯ ได้ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ระดับ 4.25-4.50% ส่วนในการพิจารณาเรื่องการปรับช่วงเป้าหมายของอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเพิ่มเติมนั้น คณะกรรมการจะใช้ความระมัดระวังในการประเมินข้อมูลเศรษฐกิจที่จะได้รับในวันข้างหน้า รวมทั้งแนวโน้มของพัฒนาการทางเศรษฐกิจ และสมดุลของความเสี่ยง นอกจากนี้ คณะกรรมการจะยังคงปรับลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS)

ส่วนในการประเมินแนวทางที่เหมาะสมของนโยบายการเงินนั้น คณะกรรมการฯ จะยังคงจับตาข้อมูลแนวโน้มเศรษฐกิจที่จะได้รับในวันข้างหน้า ขณะเดียวกันคณะกรรมการฯ จะเตรียมความพร้อมเพื่อปรับแนวทางนโยบายการเงินตามความเหมาะสม หากพบว่ามีความเสี่ยงที่จะทำให้เฟดไม่สามารถบรรลุเป้าหมายต่าง ๆ ของคณะกรรมการฯ โดยคณะกรรมการฯ จะประเมินข้อมูลในวงกว้าง ซึ่งรวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับภาวะตลาดแรงงาน แรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และการคาดการณ์เงินเฟ้อ รวมถึงการพิจารณาสถานการณ์ทางการเงิน และสถานการณ์ในต่างประเทศ

สำหรับกรรมการเฟดผู้ที่ออกเสียงสนับสนุนการดำเนินนโยบายการเงินของ FOMC ในการประชุมครั้งนี้ ได้แก่ เจอโรม เอช พาวเวล ประธานเฟด, จอห์น ซี วิลเลียมส์ รองประธานเฟด,ไมเคิล เอส บาร์, มิเชล ดับเบิลยู โบว์แมน, ซูซาน เอ็ม คอลลินส์, ลิซา ดี คุก, ออสติน ดี กูลส์บี, ฟิลิป เอ็น เจฟเฟอร์สัน, เอเดรียนา ดี คุกเลอร์, อัลเบอร์โต จี มูซาเลม และคริสโตเฟอร์ เจ วอลเลอร์ ส่วนนีล แคชคารีได้ร่วมลงคะแนนเสียงในฐานะสมาชิกสำรองในการประชุมครั้งนี้

#เฟด #คงดอกเบี้ย #ภาษีทรัมป์ #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #SET #FOMC #พาวเวล

 

 

ผวาพิษภาษีทรัมป์! “เฟด”กังวล“ภาคธุรกิจ”ปลดพนักงานครั้งใหญ่

เฟดสุดห่วงพนักงานภาคธุรกิจอาจถูกปลดกันครั้งใหญ่ หลังภาษีทรัมป์พ่นพิษทำให้สถานการณ์เศรษฐกิจไร้ความแน่นอน

เมื่อวันที่ 25 เม.ย.68 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายนีล คาชคารี ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด สาขานครมินนีแอโพลิส รัฐมินนิโซตา ประเทศสหรัฐฯ แสดงความวิตกกังวลต่อภาคธุรกิจของสหรัฐฯ ว่าอาจจะต้องปลดพนักงาน หรือเลย์ออฟกันครั้งใหญ่ เนื่องจากได้รับผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ที่อาจจะทำให้สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศเกิดความไม่แน่นอน

พร้อมกันนี้ ประธานเฟดสาขามินนีแอโพลิส ยังกล่าวด้วยว่า สิ่งที่ดีที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปีนี้ก็คือ การแก้ไขข้อพิพาททางการค้ากับบรรดาประเทศคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลให้ช่วยลดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ลงได้ โดยจะส่งผลดีต่อภาคธุรกิจของสหรัฐฯ ทั้งในระดับธุรกิจขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ตลอดจนประชาชนชาวสหรับฯ ที่กำลังเผชิญอยู่ ณ เวลานี้

เงินบาทเปิดเช้าแข็งค่าที่ 33.12 บาทต่อดอลลาร์ รับกระแสเงินทุนไหลเข้า-จับตาท่าทีเฟด

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 33.12 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 33.23 บาทต่อดอลลาร์

วันที่ 17 เมษายน 2568 นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง หลังหลุดโซนแนวรับ 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ตั้งแต่ช่วงวันก่อนหน้า (แกว่งตัวในกรอบ 33.07-33.27 บาทต่อดอลลาร์) โดยการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทยังคงได้แรงหนุนจากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ หลังราคาทองคำ (XAUUSD) สามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ (New All-Time High) ท่ามกลางบรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ ที่ยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) จากความไม่แน่นอนของนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และความกังวลผลกระทบของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ ซึ่งสอดคล้องกับถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ที่ต่างระบุว่า นโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 นั้นอาจเป็นปัจจัยกดดันการเติบโตเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้ นอกเหนือจากหนุนให้เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ดี ประธานเฟด Jerome Powell ได้ระบุว่า เฟดจะดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวังและรอบคอบ สะท้อนว่า เฟดยังไม่เร่งรีบปรับลดดอกเบี้ย หากไม่จำเป็น ซึ่งมุมมองดังกล่าวก็ดูจะสวนทางกับมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ต่างประเมินว่า เฟดมีโอกาสราว 63% ที่จะลดดอกเบี้ยได้ถึง 4 ครั้ง ในปีนี้  และนอกเหนือจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ เงินบาทยังได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงบ้างของเงินดอลลาร์ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจออกมาผสมผสาน โดยยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนมีนาคม ปรับตัวขึ้น +1.4%m/m ดีกว่าคาดเล็กน้อย แต่ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) เดือนมีนาคม กลับหดตัว -0.3%m/m แย่กว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังไม่มั่นใจในภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ 

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) กดดันโดยการปรับตัวลงหนักของหุ้นธีม AI/Semiconductor อย่าง Nvidia -6.9% หลัง Nvidia ได้ระบุว่าบริษัทได้รับผลกระทบจากมาตรการคุมการส่งออก Semiconductor ไปยังจีน นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงถูกกดดันจากความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ  ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ดิ่งลง -2.24%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลง -0.19% กดดันโดยการปรับตัวลงของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor โดยเฉพาะ ASML -5.2% ตอบรับรายงานผลประกอบการที่น่าผิดหวังและแรงกดดันจากการขายหุ้น Nvidia ในฝั่งสหรัฐฯ ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้างจากความหวังธนาคารกลางยุโรป (ECB) เดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนเมษายนนี้ ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานก็รีบาวด์ขึ้นบ้าง ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ

ในส่วนตลาดบอนด์ บรรยากาศปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ กอปรกับมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 3-4 ครั้งในปีนี้ ได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีจังหวะย่อตัวลงทดสอบโซน 4.28% ทั้งนี้ เรามองว่า ความผันผวนของตลาดบอนด์อาจยังอยู่ในระดับสูงอยู่ ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะให้บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นบ้าง ก่อนที่จะทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว โดยเฉพาะหากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีจังหวะปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซน 4.50% ซึ่งเป็นโซนที่ถือว่าบอนด์ระยะยาวมีความน่าสนใจ ในแง่ Risk-Reward ของผลตอบแทนรวม (Total Return)  

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเล็กน้อย หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาผสมผสาน อีกทั้งบรรดาผู้เล่นในตลาดต่างก็ยังขาดความเชื่อมั่นในการถือครองสินทรัพย์สหรัฐฯ ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ย่อตัวลงสู่โซน 99.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.2-99.7 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินและมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังขาดความเชื่อมั่นในการถือครองสินทรัพย์สหรัฐฯ ยังคงหนุนความต้องการถือทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ส่งผลให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. 2025) สามารถปรับตัวขึ้น ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ (New All-Time High) แถวโซน 3,350-3,360 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์และเรา ต่างคาดว่า ECB จะเดินหน้าลดดอกเบี้ย (Deposit Facility Rate) 25bps สู่ระดับ 2.25% เพื่อช่วยประคองเศรษฐกิจท่ามกลางความเสี่ยงจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนก็มีแนวโน้มชะลอตัวลง ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของประธาน ECB ในช่วง Press Conference หลังรับรู้ผลการประชุม เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ ECB

ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มตลาดแรงงาน ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) พร้อมทั้งรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด 

และในฝั่งเอเชีย ช่วงราว 6.30 น. ของเช้าวันศุกร์นี้ ตามเวลาประเทศไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของญี่ปุ่น ในเดือนมีนาคม ซึ่งจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) 

นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน พร้อมติดตามแนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง


สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เงินบาทยังคงทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เหนือความคาดหมายของเรา โดยเรามองว่า ปัจจัยสำคัญที่หนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงนี้ คือ โฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ หลังราคาทองคำปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่และการเร่งปรับลดสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) ของผู้เล่นในตลาด ซึ่งส่วนหนึ่งก็ใช้ราคาทองคำ เป็นหนึ่งในปัจจัยประเมินแนวโน้มเงินบาท ทำให้เรายอมรับว่า เงินบาทยังมีโอกาสทยอยแข็งค่าทดสอบโซนแนวรับสำคัญ 32.90-33.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก หากราคาทองคำยังปรับตัวขึ้นต่อได้ 

อย่างไรก็ดี เราเริ่มเห็นสัญญาณการกลับตัวของเงินดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดมีมุมมองเชิงลบ (Bearish) ต่อเงินดอลลาร์มากพอสมควร ทำให้เงินดอลลาร์มีโอกาสรีบาวด์ขึ้นได้บ้าง ซึ่งต้องอาศัยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด รวมถึงรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่สดใส เพื่อหนุนความเชื่อมั่นในการถือครองสินทรัพย์สหรัฐฯให้กลับมาอีกครั้ง อย่างไรก็ดี ความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่สูงอยู่นั้น จะเป็นปัจจัยกดดันและจำกัดการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์ในช่วงนี้  การแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินบาทอย่างรวดเร็วในช่วงนี้ 

นอกจากนี้ ในช่วงตลาดการเงินอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง เรามองว่า สินทรัพย์เสี่ยงฝั่งเอเชีย อาจเผชิญแรงขายเพิ่มเติมได้ ทำให้การแข็งค่าขึ้นเงินบาท (ที่จะได้แรงหนุน หากราคาทองคำปรับตัวขึ้น) ถูกชะลอลงบ้าง หากนักลงทุนต่างชาติต่างทยอยขายหุ้นไทยออกมา และที่สำคัญ เรามองว่า การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมา ถือว่า “เร็ว แรง” จนเริ่มมีลักษณะ Parabolic Rise (โดยเฉพาะเมื่อดูจากกราฟ Log Scale) ทำให้ราคาทองคำเสี่ยงปรับตัวลงพอสมควร เข้าสู่ช่วงการพักฐาน หากขาดปัจจัยหนุนเพิ่มเติม ซึ่งจากสถิติย้อนหลังตั้งแต่ปี 2000 เราพบว่า หลังการปรับตัวขึ้นเร็วและแรง แบบ Parabolic Rise นั้น ราคาทองคำเสี่ยงปรับตัวลงได้เฉลี่ย -12% ซึ่งหากความสัมพันธ์ระหว่างเงินบาทกับราคาทองคำยังไม่เปลี่ยนแปลง การปรับตัวลงดังกล่าวของราคาทองคำ ก็อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ไม่ยาก (หากราคาทองคำปรับตัวลดลง -10% อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้เกือบ 1 บาทต่อดอลลาร์)

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.00-33.25 บาท/ดอลลาร์

#เงินบาท #ข่าววันนี้ #กรุงไทย #เฟด #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ราคาทองรูปพรรณ

 

หุ้นไทยปิดลบ 7.55 จุด วอลุ่ม 2.9 หมิ่นล้าน ลงตาม TIP กังวลเฟดส่งสัญญาณไม่รีบลดดอกเบี้ย-กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ยังกดดัน

หุ้นไทยปิดลบ 7.55 จุด วอลุ่ม 2.9 หมิ่นล้าน ลงตาม TIP กังวลเฟดส่งสัญญาณไม่รีบลดดอกเบี้ย-กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ยังกดดัน

เมื่อวันที่ 30 ม.ค.68 SET ปิดที่ 1,335.64 จุด ลดลง 7.55 จุด (-0.19%) มูลค่าซื้อขาย 29,535.48 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีแกว่งตัวลงและเคลื่อนไหวในแดนลบ โดยดัชนีทำจุดต่ำสุด 1,333.27 จุด ทำจุดสูงสุดที่ 1,345.76 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 180 หลักทรัพย์ ลดลง 248 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 228 หลักทรัพย์

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลงสอดคล้องกับตลาดหุ้นกลุ่ม TIP ที่ปรับตัวลงตามกัน ปัจจัยกดดันหลักมาจากถ้อยแถลงประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณไม่รีบลดดอกเบี้ย แต่ขอติดตามเงินเฟ้อและตัวเลขแรงงานของสหรัฐก่อน ปัจจัยดังกล่าวส่งผลกดดันตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market) จากแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงทรงตัวในระดับสูง ประกอบกับ ตลาดหุ้นไทยมีแรงขายหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ออกมากดดันดัชนี หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐเตรียมควบคุมการขายชิปของ NVDIA ให้กับจีน

แนวโน้มพรุ่งนี้คาดแกว่งไซด์เวย์ ปัจจัยที่ต้องติดตามอยู่ในช่วงคืนพรุ่งนี้ที่จะมีรายการรายงานตัวเลข PCE เดือนธ.ค.ของสหรัฐ โดยให้แนวต้าน 1,345-1,350 จุด แนวรับ 1,330-1,335 จุด

หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์

DELTA มูลค่าการซื้อขาย 2,606.10 ล้านบาท ปิดที่ 128.50 บาท ลดลง 6.00 บาท

CCET มูลค่าการซื้อขาย 1,420.73 ล้านบาท ปิดที่ 7.60 บาท ลดลง 0.35 บาท

BDMS มูลค่าการซื้อขาย 1,171.88 ล้านบาท ปิดที่ 23.90 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง

EA มูลค่าการซื้อขาย 1,114.49 ล้านบาท ปิดที่ 3.18 บาท เพิ่มขึ้น 0.12 บาท

OSP มูลค่าการซื้อขาย 1,081.39 ล้านบาท ปิดที่ 17.10 บาท ลดลง 0.50 บาท

#หุ้นไทย #ข่าววันนี้ #เฟด #อิเล็กทรอนิกส์ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

หุ้นไทยปิดเช้ารูด 7.90 จุด วอลุ่ม 1.6 หมื่นล้านตามกลุ่ม TIP รับเฟดส่งซิกไม่รีบลดดอกเบี้ย

หุ้นไทยปิดเช้ารูด 7.90 จุด วอลุ่ม 1.6 หมื่นล้านตามกลุ่ม TIP รับเฟดส่งซิกไม่รีบลดดอกเบี้ย

เมื่อวันที่ 30 ม.ค.68 SET ปิดเช้าที่ 1,335.29 จุด ลดลง 7.90 จุด (-0.59%) มูลค่าซื้อขาย 16,729.73 ล้านบาท การซื้อขายช่วงเช้าดัชนีปรับตัวลง โดยทำระดับสูงสุด 1,345.76 จุด และต่ำสุด 1,335.29 จุด

นายศราวุธ เตโชชวลิต ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวลงตามกลุ่ม TIP (ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์) ตอบรับผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยตามคาด พร้อมส่งสัญญาณไม่รีบปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพราะอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง และอัตราว่างงานยังคงอยู่ในระดับต่ำในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา รวมถึงตลาดแรงงานของสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง ตลาดบ้านเรายังถูกกดดันจากแรงขายหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะ DELTA และ CCET ตอบรับ Sentiment ลบจากหุ้น NVIDIA ไหลลงไปต่อหลังประธานธิบดีสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมควบคุมการขายชิป NVIDIA ให้กับจีน หลังจากเผชิญกับความท้าทายโดยโมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากบริษัท DeepSeek ของจีน อย่างไรก็ดี ยังมีแรงซื้อกลับหุ้น SCC หลังประกาศผลประกอบการปี 67 ไปแล้ว และแรงซื้อกลุ่มแบงก์ อย่าง KBANK เข้ามาเก็งกำไรว่าอาจเห็นโครงการซื้อหุ้นคืนเหมือนกับกรณีของ TTB

แนวโน้มช่วงบ่ายคาดตลาดฯ เคลื่อนไหวในกรอบ นักลงทุนยังรอดูการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนธ.ค.ของสหรัฐ ในวันพรุ่งนี้ (31 ม.ค.) ให้แนวรับไว้ที่ 1,335 จุด และแนวต้าน 1,345 จุด

หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์

DELTA มูลค่าการซื้อขาย 1,152.43 ล้านบาท ปิดที่ 129.50 บาท ลดลง 5.00 บาท

CCET มูลค่าการซื้อขาย 937.75 ล้านบาท ปิดที่ 7.40 บาท ลดลง 0.55 บาท

EA มูลค่าการซื้อขาย 773.15 ล้านบาท ปิดที่ 3.08 บาท เพิ่มขึ้น 0.02 บาท

BDMS มูลค่าการซื้อขาย 761.82 ล้านบาท ปิดที่ 24.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท

OSP มูลค่าการซื้อขาย 688.72 ล้านบาท ปิดที่ 16.80 บาท ลดลง 0.80 บาท

#หุ้นไทย #เฟด #ข่าววันนี้ #ดอกเบี้ย #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ 

 

หุ้นไทยปิดเช้าลบ 0.35 จุด วอลุ่ม 2.2 หมื่นล้าน แกว่งผันผวนหลังทั้งสัปดาห์ลงไป 40-50 จุด กังวลเฟดชะลอการปรับลด ดบ.

หุ้นไทยปิดเช้าลบ 0.35 จุด วอลุ่ม 2.2 หมื่นล้าน แกว่งผันผวนหลังทั้งสัปดาห์ลงไปแล้ว 40-50 จุด กังวลเฟดชะลอการปรับลดดอกเบี้ย

เมื่อวันที่ 10 ม.ค.68 SET ปิดเช้าวันนี้ที่ 1,362.62 จุด ลดลง 0.35 จุด (-0.03%) มูลค่าซื้อขาย 22,217 ล้านบาท การซื้อขายช่วงเช้า ดัชนีแกว่งผันผวน โดยทำจุดต่ำสุด 1,352.33 จุด และทำจุดสูงสุดที่ 1,368.50 จุด

นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งตัวอย่างผันผวน โดยสัปดาห์นี้ลงไปแล้ว 40-50 จุด Underperform ภูมิภาค จากความกังวลธนาคารคารกลางสหรัฐ (เฟด) ชะลอการปรับลดดอกเบี้ย และนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 20 ม.ค.เป็นปัจจัยกดดันให้ตลาดผันผวน นอกจากนี้ ปัจจัยในประเทศ ตลาดหุ้นไทยยังมี Downside จากประเด็น Global minimum Tax ที่เริ่มดำเนินการแล้วในปีนี้ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และการชะลอตัวของสินเชื่อ

แนวโน้มช่วงบ่ายคาดดัชนีแกว่งตัวในกรอบ วันนี้ติดตามการรายงานตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนธ.ค.ของสหรัฐ ให้กรอบแนวรับ 1,345 จุด และแนวต้าน 1,375 จุด

หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์

RS มูลค่าการซื้อขาย 1,804.29 ล้านบาท ปิดที่ 1.34 บาท ลดลง 0.47 บาท

DELTA มูลค่าการซื้อขาย 1,442.32 ล้านบาท ปิดที่ 156.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท

GULF มูลค่าการซื้อขาย 914.31 ล้านบาท ปิดที่ 58.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท

KBANK มูลค่าการซื้อขาย 716.99 ล้านบาท ปิดที่ 159.50 บาท ลดลง 0.50 บาท

JMT มูลค่าการซื้อขาย 681.49 ล้านบาท ปิดที่ 15.40 บาท เพิ่มขึ้น 0.70 บาท

#หุ้นไทย #ข่าววันนี้ #ลดดอกเบี้ย #เฟด #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

หุ้นไทยปิดรูด 21.42 จุด วอลุ่ม 4.9 หมื่นล้าน ลงตามตลาดหุ้นทั่วโลก รับแรงกดดันเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในปีหน้า

หุ้นไทยปิดรูด 21.42 จุด วอลุ่ม 4.9 หมื่นล้าน ลงตามตลาดหุ้นทั่วโลก รับแรงกดดันเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในปีหน้า

เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.67 SET ปิดที่ 1,377.53 จุด ลดลง 21.42 จุด (-1.53%) มูลค่าการซื้อขาย 49,259.21 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีร่วงไปกว่า 20 จุด โดยทำจุดต่ำสุด 1,374.33 จุด และทำจุดสูงสุด 1,394.26 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 102 หลักทรัพย์ ลดลง 415 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 145 หลักทรัพย์

นายศราวุธ เตโชชวลิต ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลงตามตลาดหุ้นทั่วโลก รับแรงกดดันจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในปีหน้า ขณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ไม่ได้มีการปรับลดดอกเบี้ย

แนวโน้มวันพรุ่งนี้คาดตลาดฯ มีโอกาสรีบาวด์ หลังจากวันนี้ปรับตัวลงมาแรง โดยแนะเก็งกำไรรับกระทรวงคลังเตรียมจะเสนอมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ หรือ มาตรการ Easy e-Receipt เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสัปดาห์หน้า ในหุ้นกลุ่มค้าปลีก เช่น CRC, BJC, HMPRO, GLOBAL เป็นต้น ให้แนวต้านไว้ที่ 1,390 จุด และแนวรับ 1,370 จุด

หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์

CPALL มูลค่าการซื้อขาย 3,125.82 ล้านบาท ปิดที่ 54.50 บาท ลดลง 2.00 บาท

BDMS มูลค่าการซื้อขาย 2,743.48 ล้านบาท ปิดที่ 23.30 บาท ลดลง 0.60 บาท

DELTA มูลค่าการซื้อขาย 2,402.16 ล้านบาท ปิดที่ 150.00 บาท ลดลง 1.50 บาท

ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 2,048.29 ล้านบาท ปิดที่ 274.00 บาท ลดลง 8.00 บาท

BCP มูลค่าการซื้อขาย 1,767.76 ล้านบาท ปิดที่ 29.75 บาท เพิ่มขึ้น 2.75 บาท


#หุ้นไทย #ข่าววันนี้ #ลดดอกเบี้ย #เฟด #SET