"MTC" เดินหน้ากระจายแหล่งเงินทุนเพื่อสังคม ดันพอร์ต Q2/67 โต 16% รักษามาตรฐานพอร์ตสินเชื่อตามเป้า

บมจ.เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) มอบโอกาสทางการเงินเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง เปิดงบไตรมาส 2/67 พอร์ตสินเชื่ออยู่ที่ 154,672 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.43% และกำไรสุทธิ 1,444 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.33% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน พร้อมรักษาคุณภาพลูกหนี้ (NPL) อยู่ที่ 2.88% ต่ำกว่าคาด ด้านผู้บริหาร “ปริทัศน์ เพชรอำไพ”  มั่นใจปี 67 พอร์ตสินเชื่อเติบโตตามเป้า และเตรียมออกหุ้นกู้ใหม่ 3 ชุด อัตราดอกเบี้ย 4.30-4.95% ต่อปี เสนอขายวันที่ 16 และ 19-20 สิงหาคมนี้ นำเงินขยายพอร์ตสินเชื่อบริษัทฯ พร้อมยกระดับคุณภาพการบริการในมาตรฐานสากลอย่างเท่าเทียม

นายปริทัศน์ เพชรอำไพ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทมุ่งมั่นที่จะเติมเต็มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในสังคมให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ลดความเหลื่อมล้ำทางการเงินตามเป้าหมายสหประชาชาติ ผ่านสาขากว่า 7,980 แห่ง พร้อมทั้งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการภายใต้อัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ยืนหยัดเป็นผู้ให้สินเชื่อที่รับผิดชอบต่อสังคมอย่างแท้จริง ส่งผลให้ในไตรมาส 2/2567 พอร์ตสินเชื่ออยู่ที่ 154,672 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.43% รายได้รวมอยู่ที่ 6,832 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.10% และกำไรสุทธิ 1,444 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.33% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ 6 เดือนแรกของปีนี้มีรายได้รวม 13,463 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.35% และกำไรสุทธิ 2,834 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.85% เทียบช่วง 6 เดือนแรกของปีก่อน โดยบริษัทฯ มั่นใจว่าเป้าพอร์ตสินเชื่อจะเติบโตกว่า 15-20% ตามเป้าหมายที่วางไว้ ในส่วนของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ที่ 2.88% ซึ่งสามารถบริหารจัดการให้อยู่ในระดับไม่เกิน 3.20% ภายใต้นโยบายช่วยเหลือและพัฒนาคุณภาพลูกหนี้ รวมถึงการปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ

โดยล่าสุด MTC เตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้ ครั้งที่ 7/2567 ซึ่งเป็นหุ้นกู้ชุดใหม่ 3 ชุด ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป (Public Offering) ประกอบด้วย หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี 4 วัน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.30% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี 3 วัน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.80% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 4 ปี 8 วัน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.95% ต่อปี โดยหุ้นกู้ทั้ง 3 ชุดจ่ายดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ เสนอขายระหว่างวันที่ 16 และ 19 – 20 สิงหาคม 2567 อันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ และหุ้นกู้อยู่ในระดับ Investment Grade ที่ “BBB+” แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” โดยทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2567 ซึ่งวัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้รับไปขยายพอร์ตสินเชื่อของบริษัทฯ ที่ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน บริษัทฯยังคงให้ความสำคัญต่อการส่งมอบบริการที่มีคุณภาพและสิทธิในการเข้าถึงมาตรฐานบริการระดับสากลอย่างเท่าเทียม พัฒนากระบวนการปล่อยสินเชื่อตลอดห่วงโซ่ของกิจการ พร้อมทั้งรักษาผลประโยชน์และตอบสนองความคาดหวังของลูกค้าให้เกิดความประทับใจสูงสุด คำนึงผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน จนได้รับการประเมินการกำกับดูแลกิจการอยู่ในระดับ "ดีเลิศ" (5 ดาว) รวมถึงผลประเมินหุ้นยั่งยืน (ESG Rating) จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในระดับ A และผลประเมิน MSCI Index ในระดับ AA สะท้อนการเป็นผู้นำธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ในมาตรฐานระดับโลก (World-class Thai Microfinance)

ทั้งนี้ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมมือกับสถาบันการเงินระดับโลก อาทิเช่น องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) รัฐบาลเยอรมนี (KFW DEG) และยินดีที่จะระดมความร่วมมือกับแหล่งเงินทุนชั้นนำทั้งในและต่างประเทศอีกหลายแห่งในอนาคต เพื่อสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิต รักษาเสถียรภาพทางสิ่งแวดล้อม พร้อมเป็นที่พึ่งทางการเงินและเติบโตเคียงคู่สังคมไทยอย่างยั่งยืน

 

 

"กรุงไทย" จัดใหญ่ขนโปรฯ การเงินบุกอีสาน ในงาน Money Expo โคราช

ธนาคารกรุงไทย มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน ยกระดับคุณภาพชีวิตของลูกค้าทุกกลุ่ม เดินหน้าคัดสรรผลิตภัณฑ์ทางการเงิน พร้อมโปรโมชันสุดพิเศษ บุกภาคอีสาน ในงานมหกรรมการเงินโคราช ครั้งที่ 18 (Money Expo KORAT 2024) ภายใต้แนวคิด “Empowering Tomorrow พลิกการเงินดิจิทัล สู่อนาคต” ณ เอ็มซีซี ฮอลล์ เดอะมอลล์โคราช ระหว่างวันที่ 9 -11 สิงหาคม 2567  เพื่อให้ลูกค้า ประชาชนและผู้ประกอบธุรกิจในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียงเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างครบวงจร

โดยภายในงาน ธนาคารสนับสนุนการออมเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงิน ด้วย เงินฝาก Krungthai NEXT Savings ฝากตั้งแต่บาทแรกถึง 2 ล้านบาท รับดอกเบี้ยสูง 1.5% ต่อปี เมื่อเปิดบัญชีผ่านแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT สมัครบัตรเดบิตกรุงไทย รับส่วนลดค่าธรรมเนียมการออกบัตร สูงสุด 600 บาท พิเศษบัตรเดบิตกรุงไทยอัลตร้า แคร์ นครราชสีมา เอาใจคนในพื้นที่ด้วยลวดลายอัตลักษณ์ประจำจังหวัด ส่งเสริมการสร้างความมั่นคงในชีวิต ด้วย สินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อบ้านดอกโดนใจ อัตราดอกเบี้ยพิเศษ คงที่ 3 ปี เริ่มต้นปีแรก 1.99% ต่อปี* วงเงินกู้สูงสุด 100% กู้ได้นานสูงสุด 40 ปี (อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญาอยู่ระหว่าง 5.24% - 5.43% ต่อปี)  สินเชื่อกรุงไทยบ้านแลกเงิน เปลี่ยนบ้านเป็นเงิน ช่วยแบ่งเบาภาระ ดอกเบี้ยพิเศษ คงที่ 3 ปี เริ่มต้นปีแรก 4.50% ต่อปี* วงเงินกู้สูงสุด 20 ล้านบาท กู้ได้นานสูงสุด 30 ปี (อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญาอยู่ระหว่าง 6.34% - 6.66% ต่อปี) โดยอัตราดอกเบี้ย MLR อยู่ที่ 7.05% ต่อปี (ณ วันที่ 20 พ.ย. 66) อัตราดอกเบี้ยลอยตัวสามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ ดูรายละเอียดเพิ่มเติม และการคำนวณได้ที่ www.krungthai.com เงื่อนไขและเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

เสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการ ด้วย สินเชื่อ SME วงเงินสูง x3 ให้วงเงินสูงถึง 3 เท่า ของมูลค่าหลักประกัน กรณีไม่มีหลักประกันกู้ได้สูงสุด 3 ล้านบาท สินเชื่อ SME ไซส์เล็ก สำหรับร้านค้ารายย่อย ให้วงเงินสูงสุด 3 ล้านบาท ไม่ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน ทรัพย์สินพร้อมขาย Krungthai NPA Mid Year Sale จัดลดราคาครั้งใหญ่ สูงสุด 55% กว่า 3,000 รายการ มูลค่ารวมกว่า 12,000 ล้านบาท ตั้งแต่วันนี้ถึง 15 กันยายน 2567 และ Krungthai NPA เหมาเหมา ซื้อสินทรัพย์ราคาพิเศษ เมื่อเหมาทรัพย์ตั้งแต่ 3 รายการขึ้นไป ซื้อที่อยู่อาศัย ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท รับสิทธิลดค่าธรรมเนียมโอนบ้าน เหลือ 1% พร้อมลดค่าจดจำนองเหลือ 0.01% เงื่อนไขตามมาตรการภาครัฐ

ด้านการวางแผนเพื่อสุขภาพและการลงทุน ภายในงานยังมี บูธตรวจสุขภาพกรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิตและสิทธิพิเศษ เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตภายในงาน กรมธรรม์ที่นำส่งและอนุมัติภายในวันที่ 9-11 สิงหาคม 2567 รับของที่ระลึกร่มพับ 1 คัน เมื่อซื้อประกันภัยรถยนต์ Car Protect ประกันภัยทรัพย์สินสบายใจ หรือ ประกันภัยบ้าน  Home Beyond ของบมจ.ชับบ์สามัคคีประกันภัย เบี้ยประกันภัย 5,000 บาทขึ้นไปรับบัตร Starbucks E-Coupon มูลค่า 150 บาท เมื่อซื้อประกันภัย ออฟฟิศซินโดรม สมาร์ทแคร์ เบี้ยประกันภัย 5,000 บาทขึ้นไป ซื้อผลิตภัณฑ์ประกันวินาศภัยของ บมจ.ทิพยประกันภัย เบี้ยประกันภัย 5,000 บาทขึ้นไป รับ TIP Shopping Bag

โปรโมชันเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ KTX ผ่านแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT และมียอดเทรดครบ 50,000 บาท ภายใน 30 วัน รับ Tops e-Voucher มูลค่า 200 บาท ลงทุนภายในงาน ตั้งแต่ 400,000 บาทขึ้นไป  รับกระเป๋าถืออเนกประสงค์ เปิดบัญชีเงินฝาก Krungthai Care Savings ขั้นต่ำ 1,000 บาท คุ้มครองอุบัติเหตุ 24 ชั่วโมงทั่วโลก 25 เท่า ของยอดเงินฝากคงเหลือ สูงสุด 2.5 ล้านบาท รับประกันภัยโดย บมจ.กรุงไทยพานิชประกันภัย สมัครบัตรเครดิต KTC รับบัตรกำนัล Starbucks มูลค่า 200 บาท

ธนาคารกรุงไทย ดำเนินการตามมาตรการการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending)  ของธนาคารแห่งประเทศไทย พร้อมให้ความรู้สร้างวินัยทางการเงิน กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว เพื่อเสริมสร้าง ภูมิคุ้มกันทางการเงินอย่างยั่งยืน 

#กรุงไทย #ข่าววันนี้ #MoneyExpoโคราช #สินเชื่อ

 

 

 

 

 

 

 

ตลาดหลักทรัพย์ฯจับมือ EXIM BANK แลกเปลี่ยนข้อมูล ESG ส่งเสริมสินเชื่อเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมุ่งพัฒนาทุกภาคส่วนให้เติบโตไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน โดยมีการลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ภายใต้โครงการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูล ESG เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนระบบนิเวศสำหรับการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance) รวมถึงข้อมูลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ผ่านระบบ ESG Data Platform และสนับสนุนระบบ SET Carbon สำหรับลูกค้าของธนาคารให้มีการดำเนินงานตามเป้าหมายความยั่งยืน โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ และ EXIM BANK จะร่วมกันพัฒนาสินเชื่อจากการใช้ข้อมูลด้าน ESG ประกอบการพิจารณา ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2567 และเริ่มให้บริการในปี 2568

ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ เล็งเห็นถึงความต้องการข้อมูลด้าน ESG ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งในกลุ่มผู้ลงทุน และสถาบันการเงินที่นำข้อมูล ESG ไปใช้ประกอบการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินการลงทุนเพื่อวัตถุประสงค์ด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เร่งพัฒนาเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มรองรับข้อมูล ESG ซึ่งปัจจุบันมีระบบจัดการข้อมูลด้าน ESG เช่น ระบบ SET ESG Data Platform ที่ให้บริการข้อมูลตั้งแต่ปี 2566 โดยรวบรวมข้อมูลด้าน ESG ของ บจ.กว่า 700 บริษัท อีกทั้งพัฒนาระบบ SET Carbon ที่อยู่ระหว่างการทดลองใช้ระบบโดย บจ. นำร่องในปี 2567 และจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในปี 2568 ซึ่งจะช่วยให้ บจ.และบริษัทในห่วงโซ่อุปทานสามารถจัดทำและทวนสอบข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพบนระบบงานเดียว นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังเดินหน้าสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศเพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนและนำข้อมูลไปใช้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการใช้ข้อมูล ESG เพื่อการระดมทุนและการลงทุน ความร่วมมือกับ EXIM BANK ครั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เชื่อมั่นว่าจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ภาคธุรกิจเข้าถึงแหล่งเงินทุนและเครื่องมือทางการเงินมากยิ่งขึ้น ถือเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาระบบนิเวศทางการเงินที่ยั่งยืนของประเทศไทย

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK)  เปิดเผยว่า ภาคการเงินการธนาคารมีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนการเติบโตอย่างสมดุล ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมถึงการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมโลกในปัจจุบัน ธนาคารทั่วโลกโดยเฉพาะในกลุ่มธนาคารเพื่อการพัฒนา (Development Banks) มีบทบาทสำคัญในการเป็นแหล่งเงินทุนสนับสนุนให้ภาคธุรกิจปรับตัวและเติบโตได้มากถึง 1 ใน 3 ของมูลค่า Climate Finance ของโลก EXIM BANK ในฐานะธนาคารเพื่อการพัฒนาสีเขียวของประเทศไทย (Green Development Bank) ได้พัฒนานวัตกรรมทางการเงินสีเขียว (Greenovation) ที่สนับสนุนโครงการหรือธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ความร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ในครั้งนี้นับเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน โดยใช้ฐานข้อมูลที่ได้มาตรฐานสากลมาเป็น Input ในการขับเคลื่อนการพัฒนาภาคการเงินการธนาคารของไทยไปสู่ความยั่งยืน ช่วยส่งเสริมให้ภาคธุรกิจคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (ESG) มากยิ่งขึ้น ข้อมูลด้าน ESG จากตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยให้ธนาคารดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ขณะที่ภาคธุรกิจได้รับการส่งเสริมให้เข้าถึงผลิตภัณฑ์และสิทธิประโยชน์ทางการเงินต่าง ๆ ตลอดจนการเข้าร่วมอยู่ในห่วงโซ่คุณค่าของการส่งออกสีเขียว (Green Export Supply Chain) สามารถพัฒนาการจัดทำรายงานและวางแผนเพื่อการจัดการก๊าซเรือนกระจกได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ พร้อมปฏิบัติตามมาตรฐานสากลด้านสิ่งแวดล้อม และบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ EXIM BANK จะเชื่อมต่อและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินการและเพิ่มโอกาสให้กับผู้ประกอบการที่ต้องการเงินลงทุนในการสนับสนุนเป้าหมายด้านความยั่งยืน และร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์การเงิน บริการ รวมถึงสิทธิประโยชน์ให้กับผู้มีส่วนได้เสีย นอกจากนี้ จะต่อยอดและพัฒนาระบบนิเวศด้านความยั่งยืนเพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถดำเนินงาน ปรับปรุง พัฒนา หรือวางแผนการจัดการด้านการลงทุนในกิจการ เพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนและเป้าหมายทางธุรกิจ โดยเฉพาะแนวทางการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 

#ตลาดหลักทรัพย์ #ข่าววันนี้ #EXIMBANK #สินเชื่อ 

 

 

 

บสย.เร่งฟื้น SMEs ม.ค.-มิ.ย.67 ค้ำแล้วแตะ 19,000 ล้านบาท ได้สินเชื่อใหม่ 45,440 ราย จ้างงาน 168,762 ตำแหน่ง 

บสย.เร่งฟื้น SMEs ม.ค. - มิ.ย. 67 ค้ำแล้ว 18,946 ล้านบาท ชูแผนครึ่งปีหลัง เร่งค้ำ ต่อเนื่อง มั่นใจ “บสย. SMEs ยั่งยืน” ครึ่งปีหลัง ช่วย SMEs ได้สินเชื่อกว่า 30,000 ราย มั่นใจมาตรการรัฐ “ฟรีค่าธรรมเนียม 2-4 ปีแรก” หนุนแบงก์ปล่อยสินเชื่อ  

นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า ผลดำเนินงาน บสย. ครึ่งปีแรก (ม.ค. - มิ.ย. 2567)  เป็นไปตามเป้าหมาย ทั้งการค้ำประกันสินเชื่อ การช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อ การรักษาการจ้างงาน รวมทั้ง มาตรการการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ช่วยลูกหนี้ แก้หนี้ยั่งยืน และการยกระดับองค์กรสู่ SMEs Gateway  

โดยผลงานค้ำประกันสินเชื่อ ม.ค. - มิ.ย.67 ช่วยผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อ 45,440 ราย เป็นกลุ่มรายย่อยหรือ Micro ในสัดส่วนถึง 94%  ค้ำประกันสินเชื่อเฉลี่ย 80,000 บาทต่อราย ส่วนอีก 6% เป็นกลุ่ม SMEs  ค้ำประกันสินเชื่อเฉลี่ย 5.31 ล้านบาทต่อราย วงเงินอนุมัติค้ำประกันสินเชื่อ ราว 18,946  ล้านบาท รักษาการจ้างงาน 168,762 ตำแหน่ง สร้างสินเชื่อในระบบ 19,610 ล้านบาท และสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ 76,771 ล้านบาท ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อที่เป็นมาตรการรัฐ และ โครงการค้ำประกันสินเชื่อที่ บสย.พัฒนาเองได้แก่ 1.โครงการค้ำประกันสินเชื่อดอกเบี้ยถูก (พ.ร.ก.สินเชื่อฟื้นฟู ระยะที่ 2) วงเงิน 9,511 ล้านบาท สัดส่วน 50% ช่วย SMEs ได้สินเชื่อ 1,532 ราย (สัดส่วนวงเงินค้ำประกันสูงสุด) 2.โครงการค้ำประกันสินเชื่อดำเนินการโดย บสย.จำนวน 5,126 ล้านบาท สัดส่วน 27% (รวม 4 โครงการย่อย ได้แก่ รายสถาบันการเงินระยะ 7 (BI7)/โครงการ PGS Renew/Smart Plus & Top up และ RBP ช่วย SMEs ได้สินเชื่อ 2,391 ราย  3.โครงการตามมาตรการรัฐ จำนวน 4,309 ล้านบาท สัดส่วน 23% ช่วย SMEs ได้สินเชื่อ 41,568 ราย (ค้ำประกันจำนวนรายสูงสุด) 

สำหรับประเภทธุรกิจค้ำประกันสูงสุด 3 ลำดับแรก ได้แก่  1.ภาคบริการ 27.5% 2.การผลิตสินค้าและการค้าอื่นๆ 13.5% และ 3.อาหารและเครื่องดื่ม 9.6% ซึ่งทั้ง 3 หมวดครองสัดส่วนค้ำประกัน 51% หรือราว 9,600 ล้านบาท ขณะที่ลำดับที่ 4-6 ได้แก่ สินค้าอุปโภค-บริโภค 9.5% อุตสาหกรรมยานยนต์ 8.5% และภาคเกษตรกรรม 8.2%  ครอบคลุมทุกภูมิภาคของไทย คิดเป็นสัดส่วนการค้ำประกันสินเชื่อ เขตกรุงเทพ-ปริมณฑล 40% และภูมิภาค 60%  ประกอบด้วย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  18%  ภาคใต้ 13%  ภาคเหนือ 12% ภาคตะวันออก 9% ภาคกลาง 5% และภาคตะวันตก 3% 

นอกจากนี้ บสย. ยังประสบความสำเร็จในการดำเนินมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ค้ำประกันสินเชื่อที่ถูกเคลม ด้วยการประนอมหนี้ผ่านมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (TDR)  “บสย. พร้อมช่วย” (มาตรการ 4 สี ม่วง เหลือง เขียว และฟ้า) โดยมีลูกหนี้ บสย.ได้รับการประนอมหนี้ ระหว่าง ม.ค.-มิ.ย.67 ดังนี้ 1.ลูกหนี้ บสย.ที่ได้รับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (TDR) ณ ม.ค.-มิ.ย.67 จำนวน 1,792 ราย คิดเป็นมูลหนี้ 1,071 ล้านบาท โดยมีลูกหนี้กลุ่มสีเขียวที่ยังมีศักยภาพในการชำระคืนเงินต้นบางส่วนแต่ต้องการปลอดดอกเบี้ย ในสัดส่วนถึง 78% ยอดสะสม SMEs ลูกหนี้ที่เข้าร่วมมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และได้รับการประนอมหนี้ตั้งแต่ เม.ย.65-มิ.ย.67 รวมกว่า 15,000 ราย คิดเป็นมูลหนี้รวมกว่า 7,000 ล้านบาท 2.ลูกหนี้ บสย.เข้าร่วมมาตรการ “ปลดหนี้” (สีฟ้า) จำนวน 100 ราย มาตรการปลดหนี้ เปิดใช้เมื่อ ม.ค.67 เป็นมาตรการช่วยลูกหนี้กลุ่มสีเขียวต่อเนื่องที่ผ่อนชำระดี 3 งวดติดต่อกัน และต้องการปลดหนี้ โดย บสย. ลดเงินต้นให้ 15% 

“ผลสำเร็จจากมาตรการช่วยลูกหนี้แก้หนี้ยั่งยืน โครงการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ มาจากการพัฒนาโมเดลที่ยืดหยุ่น รองรับความสามารถในการชำระหนี้ 3 ระดับ (ม่วง เหลือง เขียว) ช่วยลูกหนี้ ตัวเบา ลดต้นทุนทางการเงิน  “ตัดต้นก่อนตัดดอก” และ “ดอกเบี้ย 0%”  โดยมีลูกหนี้กลุ่มที่ยังจ่ายไหวแต่ต้องการปลอดดอก (สีเขียว)  78%  ลูกหนี้กลุ่มที่จ่ายไหวเพียงบางส่วน (สีเหลือง) 14% และลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง (สีม่วง) 8% ขณะที่ลูกหนี้ “ปลดหนี้” (สีฟ้า) สามารถปลดหนี้สำเร็จ เดินหน้าธุรกิจต่อไปได้กว่า 100 รายและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่ง บสย. ตั้งเป้าช่วยเหลือลูกหนี้ปลดหนี้ อีกกว่า 100 ราย” นายสิทธิการกล่าว 

นายสิทธิกร กล่าวอีกว่า การดำเนินงานครึ่งปีหลัง บสย. วาง 3 เป้าหมาย พร้อมเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อ ทั้งกลุ่มเปราะบาง กลุ่มธุรกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม กลุ่มผู้ประกอบการหน้าใหม่สตาร์ทอัพ และกลุ่มธุรกิจ 8 อุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบายรัฐบาล IGNITE Thailand  1.ขับเคลื่อนโครงการค้ำประกันสินเชื่อ บสย. SMEs ยั่งยืน (PGS 11 ) วงเงิน 50,000 ล้านบาท ร่วมกับ 18 ธนาคารพันธมิตร  โดยกระทรวงการคลังช่วยลดภาระต้นทุน SMEs การเงิน จ่ายค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อแทนผู้ประกอบการ 1-4 ปีแรก และพิเศษสุด สำหรับผู้ประกอบการกลุ่ม SMART GREEN ที่ดำเนินกิจการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ESG และ กำลังปรับธุรกิจสู่ สังคม Carbon ต่ำ บสย.ฟรีค่าธรรมเนียม 4 ปีแรก พร้อมลดค่าธรรมเนียมค้ำประกันลงอีก 0.25% เหลือ 1.5% ต่อปี จะเป็นกลไกการขับเคลื่อนกระตุ้นเศรษฐกิจตั้งเป้าทั้งโครงการ ช่วย SMEs 77,000 ราย สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 200,000 ล้านบาท ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินกว่า 60,000 ล้านบาท และรักษาการจ้างงาน 550,000 ล้านบาท ขณะนี้มีธนาคารเริ่มทยอยส่งคำขอค้ำประกันสินเชื่อมาแล้ว คาดว่า ภายในสิ้นปี 2567 กลไกค้ำประกันสินเชื่อ จากโครงการ “บสย. SMEs ยั่งยืน” จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วยผู้ประกอบการ SMEs ได้สินเชื่อเสริมสภาพคล่อง ไม่น้อยกว่า 46,000 ราย และสร้างสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินกว่า 30,000 ล้านบาท 

2.ตั้งเป้าช่วยลูกหนี้  SMEs และ Micro SMEs ที่ถูกเคลม เข้าร่วมมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เป็นเม็ดเงินปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้มาตรการ 3 สีจำนวน 2,500 ล้านบาท หรือราว 4,000 ราย และสนับสนุนช่วยลูกหนี้ “ปลดหนี้” โดย บสย.ลดเงินต้น 15% คาดว่าจะมีลูกหนี้ร่วมปลดหนี้สะสมรวมมากกว่า 200 ราย

3.ตั้งเป้าขยายเครือข่ายความร่วมมือกับหน่วยงานและองค์กรพันธมิตร ตามเป้าหมาย “บสย. SMEs Gateway” เชื่อมโยง ผู้ประกอบการและเครือข่ายสนับสนุนองค์ความรู้ทางการเงิน โดยศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs และเข้าถึงเครือข่ายพันธมิตรผ่านช่องทาง LINE OA : @tcgfirst เพื่อเตรียมพร้อมผู้ประกอบการก่อนขอสินเชื่อ และการค้ำประกันสินเชื่อ

โดยในช่วง 6 เดือนแรก บสย.ได้ขยายเครือข่ายพันธมิตร เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ลงนามข้อตกลงความร่วมมือกับ 9 องค์กรใหญ่ ได้แก่ 
1.กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โครงการ “ดีพร้อม ส่งเสริม SMEs เข้าถึงแหล่งทุน” 2. มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ โครงการ “DPU สร้างธุรกิจสร้างมืออาชีพ” 3.สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งทุน กลุ่มสตาร์ทอัพ 4.ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ในการร่วมกันพัฒนาองค์กร 5.บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด “โครงการส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ไทย” 6.มูลนิธิคีนันแห่งเอเชีย “โครงการพัฒนาศักยภาพผู้สูงวัย สร้างผู้ประกอบการสูงวัย” 7.บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี่ จำกัด (มหาชน) สนับสนุนส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ค้ำประกันสินเชื่อแฟรนไชส์ “กาแฟพันธุ์ไทย” 8.การไฟฟ้านครหลวง ร่วมยกระดับธุรกิจด้วยการใช้พลังงานสะอาด  และ 9.กองทุน TED Fund  

#บสย #ข่าววันนี้ #เอสเอ็มอี #สินเชื่อ #ค้ำประกัน

 

 

“Krungsri SME Boost Up” สินเชื่อเร่งเครื่องธุรกิจ เพิ่มขีดแข่งขัน SME ดบ.พิเศษ 3.5% 2 ปีแรก วงเงินสูงสุด 40 ล้านบาท

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)เดินหน้าสนับสนุนผู้ประกอบการ SME ด้วยผลิตภัณฑ์สินเชื่อ “Krungsri SME Boost Up” ภายใต้โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) GSB Boost Up สำหรับผู้ประกอบการ SME ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ในรูปแบบของวงเงินสินเชื่อ ดอกเบี้ยพิเศษ 3.5% ในช่วง 2 ปีแรก ให้วงเงินสูงสุด 40 ล้าน ระยะผ่อนสูงสุด 7  ปี เพื่อให้ SME นำไปใช้เป็นเงินทุนสำหรับลงทุนขยายกิจการหรือปรับปรุงกิจการ หรือเป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจ ซึ่งเป็นการช่วยเสริมสภาพคล่อง ลดต้นทุนทางการเงิน และใช้ลงทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ

นางสาวดวงกมล ลิมป์พวงทิพย์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจ SME ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ที่ต้นทุนการผลิตปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้นและยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ SME ทำให้กำไรลดลงและอาจประสบปัญหาด้านสภาพคล่อง สถานการณ์นี้ทำให้ SME มีความต้องการเงินทุนดอกเบี้ยต่ำอย่างเร่งด่วนเพื่อเสริมสภาพคล่องและปรับปรุงธุรกิจ กรุงศรีจึงได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์สินเชื่อ ‘Krungsri SME Boost Up’ ซึ่งเป็นสินเชื่อภายใต้โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) GSB Boost Up โดยมุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายผู้ประกอบการ SME ทุกขนาด ครอบคลุมทั้งธุรกิจรายย่อย ธุรกิจขนาดเล็กและกลาง ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล โดยผลิตภัณฑ์นี้มีจุดเด่นที่อัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3.5% สองปีแรก พร้อมวงเงินสูงสุดถึง 40 ล้านบาท และระยะเวลาการผ่อนชำระสูงสุดถึง 7 ปี โดยกรุงศรีได้ออกแบบผลิตภัณฑ์นี้เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการ SME ในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการใช้เป็นเงินทุนสำหรับการขยายกิจการ การปรับปรุงธุรกิจ หรือเป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยเสริมสภาพคล่อง ลดต้นทุนทางการเงิน และสนับสนุนการลงทุนเพื่อยกระดับศักยภาพการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถให้แก่ธุรกิจ

“ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นตั้งใจของกรุงศรีในการสนับสนุนภาคธุรกิจ SME ทุกขนาด ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและการแข่งขันที่สูงขึ้น ทั้งนี้ กรุงศรีได้วางเป้าหมายสนับสนุนสินเชื่อนี้ไว้ที่ 15,000 ล้านบาท ซึ่งนอกเหนือการสนับสนุนทางการเงินแล้ว ยังเสริมโอกาสทางธุรกิจให้กับลูกค้า SME ด้วยเครือข่ายแข็งแกร่งของกรุงศรีและ MUFG ผ่านแพลตฟอร์มจับคู่ธุรกิจออนไลน์ Krungsri Business Link ที่ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 6,000 บริษัท และเสริมด้วยกิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจ Krungsri Business Matching และบริการที่ปรึกษา Krungsri ASEAN LINK สำหรับการขยายธุรกิจในอาเซียนอีกด้วย” นางสาวดวงกมล กล่าวปิดท้าย

สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจ สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่สาขาของธนาคาร หรือติดต่อผู้ดูแลความสัมพันธ์ลูกค้าของธนาคาร หรือศูนย์บริการลูกค้าธุรกิจกรุงศรี โทร. 02-296-6262 หรือ 02-626-6262 โดยเงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

#ข่าววันนี้ #สินเชื่อ #ดอกเบี้ยพิเศษ #กรุงศรี #เอสเอ็มอี

 

 


 

 

ประเด็นร้อนเศรษฐกิจรอบวัน 25 ก.ค.67

-ร่างกฎหมายคุมราคาน้ำมันเสร็จแล้ว "พีระพันธุ์" ลั่นหลังบังคับใช้ "ผู้ค้า" ขึ้น-ลงราคาตามอำเภอใจไม่ได้   

-พาณิชย์เตรียมแถลงรายละเอียดดึงร้านค้า 2 ล้านรายร่วมดิจิทัลวอลเล็ตปลายสัปดาห์นี้-ต้นสัปดาห์หน้า

-คลังอัดฉีดเงินเข้าระบบ 1 แสนล้านหนุนจีดีพีโต "ออมสิน" นำทัพแบงก์พาณิชย์-แบงก์รัฐ 16 แห่ง ปล่อยกู้เอสเอ็มอี ดบ.ต่ำ 3.5% ต่อปี

-"บีโอไอ" เปิดตัวเลขลงทุนครึ่งปีแรกพุ่ง 4.5 แสนล้าน เร่งโรดโชว์-ปรับโครงสร้างการผลิตให้แข่งขันเวทีโลก

-ธอส.จัดมหกรรมแก้ไขหนี้และไกล่เกลี่ยภาคครัวเรือนพร้อมกันทั่วประเทศ วันเสาร์ 17 ส.ค.67

-หนี้ครัวเรือนพุ่ง-แบงก์เข้มสินเชื่อ ส.อ.ท.หั่นเป้าผลิตรถยนต์ปีนี้เหลือ 1.7 ล้านคัน

-“พาณิชย์“ ข้ามฝั่งจับมือชื่นมื่นฝ่ายฉานเมียนมา แก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ข้ามพรมแดนลดเสี่ยงการค้าสะดุด

-"ไทยออยล์" แจงกลุ่มผู้ใช้แรงงานไม่ได้รับค่าจ้างหน้าประท้วงหน้าโรงกลั่นเป็นพนักงานผู้รับเหมาช่วง เร่งหาข้อสรุป

-เปิดโซนอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุด 5 อันดับแรก Q2/67

-กลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ครึ่งปี 67 กำไร 891 ล้านบาท เดินหน้ารุกสินเชื่อ SME 

-"อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน" แจงปมดรามาที่พักวิทยากรบาริสต้า 

-สมาคมค้าทองคำรายงานราคาทอง(ทองคำ 96.5%) ในประเทศวันที่ 25 ก.ค.67 เปิดตลาดเมื่อเวลา 09.06 น. ราคาปรับลง 550 บาท โดยทองคำแท่งขายออก 40,750 บาท รับซื้อ 40,650 บาท ส่วนทองรูปพรรณขายออก 41,250 บาท รับซื้อ 39,916.28 บาท

-SET ปิดวันนี้(25 ก.ค.)ที่ 1,291.58 จุด ลดลง 6.50 จุด (-0.50%) มูลค่าซื้อขาย 34,128.34 ล้านบาท ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับลงสอดคล้องตลาดโลกถูกปัจจัยกดดันระยะสั้นจากผลประกอบการหุ้นกลุ่มเทคฯสหรัฐไม่สดใส ขณะที่ในประเทศ รอการวินิจฉัยคดีคุณสมบัตินายกฯ 14 ส.ค. นอกจากนี้ ยังได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการกลุ่มแบงก์ แนวโน้มพรุ่งนี้คาดตลาดแกว่งในกรอบ ระยะสั้นติดตาม บจ.ระกาศงบ และประเด็นการเมือง ให้กรอบแนวรับ 1,280 จุด แนวต้าน 1,300 จุด

#ดิจิทัลวอลเล็ต #ข่าววันนี้ #หนี้ครัวเรือน #สินเชื่อ #ราคาน้ำมัน

 

กลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ครึ่งปี 67 กำไร 891 ล้านบาท เดินหน้ารุกสินเชื่อ SME 

กลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ครึ่งปี 67 กำไร 891 ล้านบาท เดินหน้ารุกสินเชื่อ SME และสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม 

นายฉี ชิง-ฟู่ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ LHFG และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH Bank กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ขยายตัวต่อเนื่องเพียงเล็กน้อยจากการบริโภคภายในประเทศและการท่องเที่ยวที่กลับมาฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ดี การลงทุนทั้งภาครัฐและภาคเอกชนชะลอลงตามการอนุมัติงบประมาณของภาครัฐที่มีความล่าช้าและการส่งออกที่ฟื้นตัวช้า สำหรับเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งหลังของปีคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรกจากการใช้จ่ายของภาครัฐที่มีแนวโน้มกระเตื้องขึ้น การลงทุนภายในประเทศและการลงทุนจากต่างประเทศที่ขยายตัวดีขึ้น

กลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ยังคงให้ความสำคัญกับ Sustainable Banking เพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรแห่งความยั่งยืน มุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) จากการดำเนินงานของธุรกิจธนาคาร รวมถึงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อสิ่งแวดล้อมและการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการปรับตัว สำหรับธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของธนาคารแห่งประเทศไทย และปี 2567 บริษัทได้รับการคัดเลือกให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมมาภิบาล (ESG100) เป็นปีที่ 9 รวมทั้งได้รับการคัดเลือกให้อยู่ใน Universe ของกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 โดยสถาบันไทยพัฒน์

ผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2567 กลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ มีกำไรสุทธิ 891 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 25.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และกำไรจากการดำเนินงานก่อนผลขาดทุนด้านเครดิต ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและภาษีเงินได้จำนวน 1,990 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 19.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหลักๆ เป็นผลจากเงินปันผลที่ลดลงเนื่องจากกลุ่มธุรกิจทางการเงินยังคงลดพอร์ตการลงทุน

รายได้ดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ครึ่งแรกของปี 2567 เติบโตได้ดีผ่านการขยายฐานสินเชื่อลูกค้าทั้งลูกค้ารายย่อยและลูกค้าธุรกิจ ทั้งช่องทางดิจิทัลและพันธมิตรทางธุรกิจ ธนาคารมีกำไรสุทธิจำนวน 846 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 10.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็นผลจากเงินปันผลที่ลดลง สินเชื่อเติบโตร้อยละ 8.7 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 หลักๆ เป็นการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อรายย่อย สินเชื่อธุรกิจและกลุ่มลูกค้าไต้หวัน และสินเชื่อกลุ่มลูกค้าไต้หวันเพิ่มขึ้นร้อยละ 31 ผ่านเครือข่ายของ CTBC Bank ธนาคารเอกชนอันดับ 1    ของไต้หวัน ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของกลุ่มธุรกิจ และ Trade Finance เติบโตร้อยละ 19 ทั้งนี้ ธนาคารคุม NPL ให้อยู่ที่ร้อยละ 3 รวมทั้งได้ตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญอย่างระมัดระวังโดย NPL Coverage อยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 188 สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม  

ด้านเงินฝาก ธนาคารได้ขยายฐานลูกค้าเงินฝากรายย่อยเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ผ่านช่องทาง Digital Banking และออกผลิตภัณฑ์เงินฝากต่างๆ เช่น เงินฝากบัญชีออมทรัพย์ดิจิทัล B-You Wealth ดอกเบี้ยสูงสุด 5.55% แคมเปญผลิตภัณฑ์เงินฝากออมทรัพย์ดิจิทัล รับฟรี บัตรแรบบิท LH Bank Success Infinite Prestige Collection  แคมเปญผลิตภัณฑ์เงินฝากเงินตราต่างประเทศ (FCD) และผลิตภัณฑ์ LH Bank Health Care Saving รวมถึงบัญชีออมทรัพย์เพื่อธุรกิจอัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได

ทิศทางธุรกิจครึ่งหลังของปี 2567 ธนาคารยังคงเน้นขยายตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยและขับเคลื่อน การเติบโตกลุ่มลูกค้า SMEs ธนาคารได้พัฒนาระบบ Corporate E-Banking และ Mobile Banking เพื่อให้บริการมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการปรับกระบวนการพิจารณาสินเชื่อให้รวดเร็ว และเป็นธนาคารแห่งความยั่งยืน (Sustainable Banking) ที่ดำเนินธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล การบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบโจทย์ความต้องการด้านการดูแลสิ่งแวดล้อม และล่าสุดธนาคารได้จับมือเป็นพันธมิตรกับสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ “EEI” และอุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ สถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ “MASCI” รวมถึงบริษัท เอบีม คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด “ABEAM” บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจชั้นนำระดับโลก เพื่อดำเนินโครงการเพื่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับผู้ประกอบการ (Green Transition Advisory Loan) เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรม SMEs ไทยให้สามารถปรับตัวอย่างยั่งยืน

นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด หรือ LH Fund กล่าวว่า ช่วงครึ่งแรกของปี 2567 บริษัทได้ปรับลักษณะการดำเนินการในการบริหารกองทุน โดยเน้นการวิเคราะห์ข้อมูลและปรับเปลี่ยนกองทุนหลัก ( Master Fund ) เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดและเพิ่มโอกาสในการสร้างผลการดำเนินงานที่ดีกว่าเดิม ส่วนกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดีต่อเนื่องโดยเฉพาะ REIT ประเภทโรงแรมและพื้นที่ค้าปลีก ได้แก่ LHHOTEL, LHSC และ QHHRREIT ที่ได้รับอานิสงค์จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว

โดยกลยุทธ์ครึ่งหลังของปี 2567 บริษัทยังคงขยายฐานลูกค้ากองทุนส่วนบุคคล รวมทั้งขยายฐานลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ การแปลงสภาพกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ภายใต้การจัดการ รวมถึงให้ความสำคัญในด้าน ESG เพื่อสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนให้กับกองทุนรวมและนักลงทุน สำหรับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ บริษัทได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าอย่างต่อเนื่องส่งผลธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ บริษัทได้พัฒนาระบบ Life Path เพื่อรองรับการขยายฐานลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่สมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสามารถเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนได้แบบอัตโนมัติ

นายกานต์ อรรถธรรมสุนทร กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (LH Securities) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) 6 เดือนแรกของปี 2567 ปรับตัวลดลง 8.1% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 มาอยู่ที่ 1,300.96 จุด โดยนักลงทุนต่างชาติยังขายต่อเนื่อง มียอดขายสุทธิ 115,983 ล้านบาท โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 45,238 ล้านบาท ลดลง 22.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยลบที่กดดันดัชนี เช่น ปัจจัยด้านการเมืองในประเทศและต่างประเทศ และท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาที่จะคงอัตราดอกเบี้ยอยู่ระดับสูงเป็นเวลานานขึ้น

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2567 บริษัทมีรายได้รวมจำนวน 158.8 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 หลักๆ มาจากรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่ลดลงอย่างมากตามปริมาณการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลงถึง 22.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาสที่ 3 บริษัทจะเปิดให้บริการธุรกิจที่ปรึกษาทางการเงิน (Financial Advisor : FA) เพื่อต่อยอดการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างครบวงจร รวมทั้งได้พัฒนาบริการด้านระบบเทคโนโลยีผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มเพื่อสร้าง Engagement ของลูกค้า รวมทั้งการบริหารต้นทุนอย่างเหมาะสมท่ามกลางภาวะตลาดหุ้นที่มีความผันผวนและมีปริมาณการซื้อขายที่ลดลง

#ข่าววันนี้ #แลนด์แอนด์เฮ้าส์ #สินเชื่อ #เอสเอ็มอี #LHSecurities


    

หนี้ครัวเรือนพุ่ง-แบงก์เข้มสินเชื่อ ส.อ.ท.หั่นเป้าผลิตรถยนต์ปีนี้เหลือ 1.7 ล้านคัน

หนี้ครัวเรือนพุ่ง-แบงก์เข้มสินเชื่อ ส.อ.ท.หั่นเป้าผลิตรถยนต์ปีนี้เหลือ 1.7 ล้านคัน  

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่าได้ปรับประมาณการการผลิตรถยนต์ปี 2567 ใหม่อยู่ที่ 1,700,000 คัน จาก 1,900,000 คัน ลดลง 200,000 คัน โดยเป็นการปรับเป้าเฉพาะยอดผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศลดลงจาก 750,000 คัน เป็น 550,000 คัน เนื่องจากปัจจัยลบเรื่องหนี้ครัวเรือนสูงถึง 90% ของจีดีพีประเทศ ขณะที่รายได้ครัวเรือนยังต่ำจากเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำ การลงทุนจากต่างประเทศ รวมทั้งดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมยังลดลงมาหลายเดือนแล้ว คนงานมีรายได้ลดลง ประชาชนระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น หน่วยงานเศรษฐกิจหลายแห่งลดการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยลง สถาบันการเงินเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อรถยนต์โดยเฉพาะรถกระบะ จำนวนแรงงานวัยทำงานน้อยกว่าเพื่อนบ้านจากอัตราการเกิดต่ำ จะทำให้นักลงทุนลังเลในการลงทุนเพราะเป็นสังคมสูงอายุ

ทั้งนี้ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศเดือนมิ.ย.67 อยู่ที่ 47,662 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 26.04% เพราะรถกระบะที่ขายลดลงถึง 36.44% และรถอเนกประสงค์ที่ดัดแปลงมาจากรถกระบะ (PPV) ลดลง 49.98% จากหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงและเศรษฐกิจของประเทศเติบโตในอัตราต่ำ สถาบันการเงินจึงระมัดระวังในการอนุมัติสินเชื่อโดยเฉพาะรถกระบะและรถบรรทุก ส่งผลให้ 6 เดือนของปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย.67) มียอดขายรถยนต์ในประเทศ 308,027 คัน ลดลงจากปีก่อน 24.16% คาดว่ายอดขายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของครึ่งปีหลังปี 2567 จะดีขึ้นจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 และ 2568 ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินลงทุนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้นของรัฐบาล

ขณะที่ในส่วนของยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เดือนมิ.ย.67 ส่งออกได้  89,071 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 0.28% จากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้ายังเติบโต และส่งออกรถยนต์นั่งไฮบริด (HEV) เพิ่มขึ้นถึง 356.12% จึงส่งออกเพิ่มขึ้นในตลาดเอเชีย แอฟริกา ยุโรป อเมริกาเหนือ อเมริกากลาง และอเมริกาใต้ ภาพรวมส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 6 เดือนอยู่ที่ 519,040 คัน ลดลงจากปีก่อน 1.85% อย่างไรก็ตามสำหรับภาพรวมยอดผลิตรถยนต์ทั้งหมดเดือนมิ.ย.67 มีทั้งสิ้น 116,289 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 20.11% จากการผลิตขายในประเทศผลิตได้ 34,522 คัน ลดลงถึง 43.08% และยอดผลิตส่งออกผลิตได้ 81,767 คัน ลดลง 3.7% ส่งผลให้ยอดผลิตรถยนต์ 6 เดือน มีจำนวนทั้งสิ้น 761,240 คัน ลดลงจากปีก่อน

ส่วนยอดจดทะเบียนใหม่รถยนต์ไฟฟ้า ประเภท BEV ในเดือนมิ.ย.67 มีจำนวน 7,990 คัน ลดลงจากเดือนมิ.ย. ปีที่แล้ว 17.46% โดยตั้งแต่เดือนม.ค.-มิ.ย.67 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า BEV จดทะเบียนใหม่สะสมจำนวน 51,911 คัน เพิ่มขึ้น 20.60% จากเดือนม.ค.-มิ.ย.66,ประเภท HEV มีจำนวน 12,589 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิ.ย. ปีที่แล้ว 68.01% โดยตั้งแต่เดือนม.ค.-มิ.ย.67 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า HEV จดทะเบียนใหม่สะสมจำนวน 71,906 คัน เพิ่มขึ้น 55.84% จากเดือนม.ค.-มิ.ย.66,ประเภท PHEV มีจำนวน 843 คัน ลดลงจากเดือนมิ.ย.66 21.58% โดยตั้งแต่เดือนม.ค.-มิ.ย.67 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า PHEV จดทะเบียนใหม่สะสมจำนวน 4,896 คัน ลดลง 21.94% จากเดือนม.ค.-มิ.ย.66

 

#หนี้ครัวเรือน #แบงก์เข้มสินเชื่อ #ยอดขายรถยนต์ #ข่าววันนี้ 

 

"เอสซีบี เอกซ์" เปิดตัวเลขกำไร Q2/67 แตะ 10,014 ล้านบาท ลดลง 15.6% 

บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิในไตรมาส 2 ของปี 2567 จำนวน 10,014 ล้านบาท ลดลง 15.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับครึ่งแรกของปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน 21,295 ล้านบาท ลดลง 6.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดยในไตรมาส 2 ของปี 2567 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีจำนวน 32,576 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการขยายตัวของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ ในขณะที่สินเชื่อโดยรวมเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในอัตรา 0.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเพิ่มความระมัดระวังในการให้สินเชื่อและมุ่งเน้นการเติบโตของสินเชื่อที่มีคุณภาพ ภายใต้สภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีความท้าทายรอบด้าน รายได้ค่าธรรมเนียมและอื่นๆมีจำนวน 10,328 ล้านบาท ลดลง 8.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียมจากการขายประกันภัย ค่าธรรมเนียมจากธุรกรรมทางการเงิน และค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับการให้สินเชื่อ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจำนวน 18,568 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (ก่อนรายการที่ เกิดขึ้นครั้งเดียว) อยู่ที่ 41.2%   บริษัทฯ ได้ตั้งเงินสำรองจำนวน 11,626 ล้านบาท ลดลง 3.9% จากปีก่อน โดยในไตรมาสนี้รวมการตั้งสำรองพิเศษเพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่รายหนึ่ง อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 161.7% คุณภาพของสินเชื่อโดยรวมอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ดี โดยอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2567 อยู่ที่ 3.3% ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 3.2% ในปีก่อน เงินกองทุนตามกฎหมายของบริษัทฯ อยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 18.8%         

นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรกเติบโตต่ำกว่าคาดการณ์และยังไม่มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ บริษัทฯ จึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการ ดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง เน้นความมั่นคงทางการเงิน รักษาระดับเงินสำรองให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม มุ่งเน้นการเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียม โดยเฉพาะค่าธรรมเนียมจากธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง และการบริหารต้นทุนการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะมีความท้าทาย บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างรากฐานอันแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับเปิดให้นักลงทุนรวมถึงประชาชนทั่วไปเข้าถึง โอกาสการลงทุนที่มีผลตอบแทนมั่นคงอย่างทั่วถึง โดยในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากนักลงทุน สำหรับการเสนอขายหุ้นกู้ จำนวน 7 ชุด มูลค่ารวม 42,000 ล้านบาท”

#เอสซีบีเอกซ์ #กำไร #ข่าววันนี้ #สินเชื่อ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


 

"ออมสิน" ออกโครงการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการ SMEs ดอกเบี้ยต่ำเติมสภาพคล่อง

"ออมสิน" ออกโครงการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการ SMEs ดอกเบี้ยต่ำเติมสภาพคล่อง

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ต้นทุนการผลิตและระดับราคาสินค้าทั่วไปปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชนที่มีค่าครองชีพและต้นทุนในการประกอบอาชีพปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises : SMEs) ทำให้กำไรลดลงและประสบกับปัญหาด้านสภาพคล่องจากการไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงินได้ กระทรวงการคลังเล็งเห็นว่าหากปัญหาดังกล่าวไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน อาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างอเศรษฐกิจไทยในภาพรวม ดังนั้น เพื่อเป็นแก้ไขและบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้น รวมถึงเป็นการสนองตอบนโยบายรัฐและสอดรับกับบทบาทธนาคารเพื่อสังคม ธนาคารออมสินจึงได้ออกโครงการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการ SMEs โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

1. โครงการให้สินเชื่อตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือประชาชนรายย่อย เริ่มดำเนินโครงการมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 ประกอบด้วย

1.1 กลุ่มสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำภาคอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 4 มาตรการ แบ่งเป็น สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำสำหรับกลุ่มลูกค้าที่ประกอบธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์รวม 2 มาตรการ ได้แก่ สินเชื่อ GSB D – Home กระตุ้นเศรษฐกิจ และสินเชื่อ GSB D – Home สร้างบ้านเพื่อคนไทย และสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำสำหรับกลุ่มประชาชนรายย่อยรวม 2 มาตรการ ได้แก่ สินเชื่อบ้านออมสินเพื่อคนไทย และสินเชื่อ Top Up

1.2 กลุ่มสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อบรรเทาผลกระทบและแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนด้วยการ Refinance สินเชื่อที่มีดอกเบี้ยสูงในตลาด มาใช้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำของธนาคารออมสิน ภายใต้โครงการ “สินเชื่อรีไฟแนนซ์เพื่อสังคม” จำนวน 4 มาตรการ แบ่งเป็น สินเชื่อรีไฟแนนซ์สำหรับกลุ่มลูกค้าฐานราก รวม 2 มาตรการ ได้แก่ สินเชื่อรีไฟแนนซ์สินเชื่อผู้ประกอบอาชีพอิสระ (Re-Nano) และสินเชื่อรีไฟแนนซ์สินเชื่อส่วนบุคคล (Re P-loan) และสินเชื่อรีไฟแนนซ์สำหรับกลุ่มลูกค้ารายย่อยบุคคล รวม 2 มาตรการ ได้แก่ สินเชื่อรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิต (Re-Card) และสินเชื่อรีไฟแนนซ์สินเชื่อที่อยู่อาศัย (Re-Home)

2. โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ GSB Boost Up โดยธนาคารออมสินสนับสนุนแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำวงเงิน 100,000 ล้านบาท ให้แก่สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ ทั้งธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 ต่อปี เป็นระยะเวลา 2 ปี เพื่อให้สถาบันการเงินนำไปปล่อยสินเชื่อต่อให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ในอัตราดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 3.5 ต่อปี ในระยะเวลา 2 ปี วงเงินต่อรายไม่เกิน 40 ล้านบาทรวมทุกสถาบันการเงินโดยผู้ประกอบการ SMEs ที่สนใจสามารถยื่นคำขอสินเชื่อได้ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2568 ทั้งนี้ ภายใต้วงเงินดังกล่าวธนาคารออมสินสามารถให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการโดยตรงในหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเดียวกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการเพื่อรองรับผู้ประกอบการ SMEs ที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย

ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงการคลังได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในการช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการ SMEs เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นวงกว้าง รวมถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและพัฒนาศักยภาพในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ SMEs เพื่อให้เป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตได้ในระยะยาวต่อไป ทั้งนี้ คาดว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวของธนาคารออมสินจะสามารถสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ได้ประมาณร้อยละ 0.27

#ข่าววันนี้ #สินเชื่อ #ออมสิน #เอสเอ็มอี #ดอกเบี้ยต่ำ