ก.อุตสาหกรรมเร่งเติมทุนหนุนผู้ประกอบการ ด้วยสินเชื่อ "เสือติดปีก" และ "คงกระพัน" ฟื้นฟูสภาพคล่อง ยกระดับรายย่อยให้โตอย่างมั่นคง

กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ กระทรวงอุตสาหกรรม ออกสินเชื่อ 2 โครงการ ประจำปี 2567 "เสือติดปีก" และ "คงกระพัน" เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ โดยโครงการ"เสือติดปีก" เน้นเพิ่มขีดความสามารถธุรกิจ ส่วน "คงกระพัน" เน้นเสริมสภาพคล่อง วงเงินกู้รวม 1,900 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยต่ำ เงื่อนไขผ่อนปรน เพื่อให้ SMEs เข้าถึงแหล่งทุนและพัฒนาธุรกิจได้อย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 17 ก.ย.67 นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากสภาวะเศรษฐกิจไทยที่กำลังเผชิญความท้าทายรอบด้าน ส่งผลให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ปรับลดการคาดการณ์ GDP ปี 2567 เหลือเพียง 2-3% โดยภาคการท่องเที่ยวเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก ขณะที่ภาคอุตสาหกรรม ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ผมจึงได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เร่งช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นกำลังสำคัญของเศรษฐกิจไทย ที่เราต้องส่งเสริม สร้างโอกาส ให้ความสะดวก เติมทุนหนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ยกระดับธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง

นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่าว่า ทางกองทุนฯ ได้ออกสินเชื่อ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการสินเชื่อเพื่อเพิ่มขีดความสามารถธุรกิจ (เสือติดปีก) และโครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่องธุรกิจ (คงกระพัน) 
เพื่อสนับสนุนให้ความช่วยเหลือเงินทุนและเพิ่มช่องทางการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้กับเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพในการต่อยอดพัฒนาธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรมในการให้ความช่วยเหลือเอสเอ็มอีตามวัตถุประสงค์ของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ

 

สำหรับโครงการสินเชื่อเพื่อเพิ่มขีดความสามารถธุรกิจ (เสือติดปีก) มีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะด้านการพัฒนานวัตกรรม การปรับปรุงเทคโนโลยีและการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจไทย กลุ่มเป้าหมาย คือ 1) เอสเอ็มอีที่ได้รับรางวัลอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมดีเด่น หรือผ่านการคัดเลือกรอบที่ 1 ของการประกวดรางวัลอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมดีเด่นจากกระทรวงอุตสาหกรรม ในระยะเวลา 3 ปีย้อนหลัง นับถึงวันที่ยื่นขอเข้าร่วมโครงการ 2) เอสเอ็มอีที่ได้รับการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพจากหน่วยงานของรัฐในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยหน่วยร่วมดำเนินการ หรือสถาบันเครือข่ายภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม และ 3) เอสเอ็มอีที่ไม่ได้รับรางวัลอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมดีเด่น หรือการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ แต่มีความประสงค์เข้ารับการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพตามที่กองทุนกำหนด ซึ่งคุณสมบัติของผู้กู้ จะต้องเป็นเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพ และมีขนาดของกิจการตามที่กำหนด เป็นนิติบุคคลสัญชาติไทย ดำเนินกิจการมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี สามารถนับรวมประสบการณ์การบริหารธุรกิจของผู้บริหารได้ ไม่เป็น NPL หรือถูกดำเนินคดี ณ วันที่ยื่นขอเข้าร่วมโครงการ มีประวัติการชำระหนี้ปกติ ณ วันที่ยื่นขอเข้าร่วมโครงการ ไม่ได้รับความช่วยเหลือด้านการเงินจากโครงการอื่นๆที่กำหนด สามารถยื่นความประสงค์ได้ทั้งลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่

สำหรับรูปแบบการให้สินเชื่อ โครงการเสือติดปีก กรอบวงเงินรวม 1,200 ล้านบาท วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน15 ล้านบาทต่อราย และเป็นเงินกู้ระยะยาว อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3-5% ต่อปี (ขึ้นอยู่กับหลักประกัน) ระยะเวลากู้สูงสุด 10 ปี ปลอดชำระคืนเงินต้นสูงสุด 12 เดือน มีหลักประกัน เช่น ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง เครื่องจักร หรือหลักประกันทางธุรกิจหรือมีบุคคลค้ำประกัน ส่วนโครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่องธุรกิจ (คงกระพัน) มีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีในการรักษาสภาพคล่องทางธุรกิจ และเสริมความแข็งแกร่งให้สามารถฟันฝ่าวิกฤตทางเศรษฐกิจได้ กลุ่มเป้าหมายและคุณสมบัติของผู้กู้ มีลักษณะเดียวกันกับโครงการสินเชื่อเพื่อเพิ่มขีดความสามารถ (เสือติดปีก) ภายใต้กรอบวงเงินรวม 700 ล้านบาท วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อราย เป็นเงินกู้ระยะยาว อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5-7% ต่อปี (ขึ้นอยู่กับหลักประกัน) ระยะเวลากู้สูงสุด 3 ปี มีหลักประกัน เช่น ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง เครื่องจักร หรือหลักประกันทางธุรกิจ หรือบุคคลค้ำประกัน

“โครงการสินเชื่อเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของธุรกิจ (เสือติดปีก) เปรียบเสมือนการติดปีกให้กับเอสเอ็มอี พัฒนาให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น เป็นสินเชื่อที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจไทย ขณะที่โครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่องธุรกิจ (คงกระพัน) เปรียบเสมือนการเสริมเกราะป้องกันให้กับเอสเอ็มอี พัฒนาให้เข้มแข็งและสามารถผ่านพ้นวิกฤตได้ เป็นสินเชื่อที่ซ่อมแซมและฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย โดยทั้ง 2 โครงการ นอกจากผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่จูงใจแล้ว กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ยังได้การปรับปรุงหลักเกณฑ์ คุณสมบัติและหลักประกันให้เอื้อกับเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพบางกลุ่มที่ยังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนจากสถาบันการเงินปกติ สามารถเข้ามาขอรับสินเชื่อกับกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐได้ง่ายขึ้น รวมทั้งมีกลไกของหน่วยงานของรัฐ และสถาบันเครือข่ายภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม ที่คอยรับรองและสนับสนุนตลอดการขอรับสินเชื่อเพื่อสร้างความมั่นใจในการเติบโตและก้าวไปข้างหน้าของเอสเอ็มอี ซึ่งในสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทายเช่นนี้ ภาคธุรกิจ SMEs ที่เป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับความยากลำบาก กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีฯ จึงขอเป็นกำลังสำคัญในการสนับสนุนผู้ประกอบการ ด้วยสินเชื่อ 2 โครงการใหม่ 'เสือติดปีก' และ 'คงกระพัน' เพื่อเสริมแกร่ง เพิ่มศักยภาพ และสร้างภูมิคุ้มกันให้ธุรกิจไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืนแม้ในยามวิกฤต” นายณัฐพล กล่าว

ทั้งนี้ เอสเอ็มอีที่สนใจโครงการฯ สามารถยื่นขอสินเชื่อได้ที่ https://i.industry.go.th หรือศึกษารายละเอียดได้ที่ www.thaismefund.com หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ สำนักงานกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด หรือธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ทั่วประเทศ

#เอกนัฏพร้อมพันธุ์ #ข่าววันนี้ #สินเชื่อ #เสือติดปีก #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

"กรุงศรี คอนซูมเมอร์" เผยผลประกอบการครึ่งปีแรกโตแกร่ง ปักธงครึ่งปีหลัง มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์หลัก สร้างเสริมนวัตกรรมทางการชำระเงิน ตอบโจทย์ลูกค้า

กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เผยผลประกอบการครึ่งปีแรกเติบโตแข็งแกร่ง มียอดบัญชีลูกค้าใหม่ 287,000 บัญชี เติบโต 7%, ยอดใช้จ่ายผ่านบัตร 189,000 ล้านบาท เติบโต 9%, ยอดสินเชื่อใหม่ 47,000 ล้านบาท เติบโต 6% และยอดสินเชื่อคงค้าง 140,000 ล้านบาท เติบโต 2% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ประกาศกลยุทธ์ครึ่งปีหลัง พร้อมต่อยอดความเป็นผู้นำในธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล มุ่งพัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์หลัก สร้างเสริมนวัตกรรมทางการชำระเงินตอบโจทย์ลูกค้า พร้อมผสานความร่วมมือในเครือกรุงศรี และขยายระบบนิเวศพันธมิตรเพื่อขยายธุรกิจต่อเนื่อง ควบคู่กับการพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงาน สร้างความเติบโตสู่อนาคต คาดมียอดบัญชีลูกค้าใหม่ 617,000 บัญชี (+10%), ยอดใช้จ่ายผ่านบัตร 393,000 ล้านบาท (+8%), ยอดสินเชื่อใหม่ 100,000 ล้านบาท (+9%) และยอดสินเชื่อคงค้าง 151,000 ล้านบาท (+2%) ภายในปี 2567

เมื่อวันที่ 30 ส.ค.67 นายอธิศ รุจิรวัฒน์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ผู้ให้บริการด้านบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล อันประกอบไปด้วย บัตรเครดิตกรุงศรี, บัตรกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์, บัตรเครดิตเซ็นทรัล เดอะวัน และบัตรเครดิตโลตัส เปิดเผยว่า “ผลประกอบการครึ่งปีแรกของกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2567 เติบโตเป็นที่น่าพอใจจากความสำเร็จในการเดินกลยุทธ์ของบริษัท โดยมียอดใช้จ่ายผ่านบัตร 189,000 ล้านบาท เติบโต 9%, ยอดสินเชื่อใหม่ 47,000 ล้านบาท เติบโต 6%, ยอดสินเชื่อคงค้าง 140,000 ล้านบาท เติบโต 2% และจำนวนบัญชีลูกค้าใหม่ 287,000 บัญชี เติบโต 7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ หมวดใช้จ่ายผ่านบัตรสูงสุดเรียงตามยอดใช้จ่าย ได้แก่ 1.ประกันภัย,2.ปั๊มน้ำมัน, 3.ตกแต่งบ้านและเครื่องใช้ในครัวเรือน,4.ไฮเปอร์มาร์ทและซุปเปอร์มาร์เก็ต 5.ช้อปออนไลน์และกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนหมวดใช้จ่ายที่มีอัตราเติบโตสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.ตัวแทนท่องเที่ยว, 2.โซเชียลมีเดียและแอปพลิเคชัน, 3.ช้อปออนไลน์, 4. อาหารและเครื่องดื่ม และ 5. ไฮเปอร์มาร์ทและซูเปอร์มาร์เก็ต ขณะที่อัตราส่วนหนี้ที่ค้างชำระเกิน 90 วัน อยู่ที่ระดับ 1.4% สำหรับบัตรเครดิต และ 2.6% สำหรับสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อผ่อนชำระ นับว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในธุรกิจ อันเป็นผลจากการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม” 

สำหรับในช่วงครึ่งปีหลัง กรุงศรี คอนซูมเมอร์ จะมุ่งเน้นสร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพ เพื่อคงความเป็นผู้นำในธุรกิจ โดยยึดความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลางผ่าน 5 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1. มุ่งพัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์หลักให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น 2. ขยายระบบนิเวศพันธมิตรเพื่อขยายธุรกิจ  3. สร้างเสริมนวัตกรรมทางการชำระเงิน 4. ผสานความร่วมมือในเครือกรุงศรีเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ 5. พัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงาน

กลยุทธ์หลัก 5 ประการ ของกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ได้แก่

-มุ่งพัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์หลักให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น  โดยมุ่งเน้นการสร้างความเติบโตในธุรกิจหลัก คือ สินเชื่อที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์หลัก คือ บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อผ่อนชำระ ให้มีจุดเด่นและสิทธิประโยชน์ที่ตรงความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมทั้งวางช่องทางการตลาดและการจำหน่ายที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

-ขยายระบบนิเวศพันธมิตรเพื่อขยายธุรกิจ โดยขยายความร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ทั้งพันธมิตรหลักที่ร่วมออกผลิตภัณฑ์บัตรเครดิตซึ่งอาจต่อยอดความร่วมมือในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินใหม่ ๆ  อีกทั้งพันธมิตรแบรนด์ชั้นนำอื่น ๆ ในธุรกิจต่าง ๆ ที่จะร่วมนำเสนอโปรโมชันที่ตอบไลฟ์สไตล์ของลูกค้า โดยเน้นหมวดร้านอาหาร และแผนผ่อนชำระ (Extended Payment Plan)

-สร้างเสริมนวัตกรรมทางการชำระเงิน พัฒนานวัตกรรมทางการชำระเงิน (Payment Solutions) ใหม่ ๆ เพื่อเป็นทางเลือกในการชำระเงินที่สะดวกสบายยิ่งขึ้นให้กับลูกค้า เช่น การใช้ Biometrics หรือการผูกบัญชีบัตรในเครือกรุงศรี คอนซูมเมอร์ กับอุปกรณ์ต่าง ๆ หรือ Digital Wallet ฯลฯ

-ผสานความร่วมมือในเครือกรุงศรีเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ โดยผสานความร่วมมือให้สอดคล้องและส่งเสริมเป้าหมายทางธุรกิจที่เครือกรุงศรีมุ่งเน้น เช่น ความร่วมมือกับหน่วยงานธุรกิจลูกค้ารายย่อยและลูกค้าบุคคลของธนาคารผ่านกลยุทธ์ Krungsri One Retail เพื่อเชื่อมโยงให้ลูกค้าบัตรในเครือกรุงศรี คอนซูมเมอร์ สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลายในเครือกรุงศรีเพื่อตอบความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

-พัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงาน โดยวางโครงสร้างและการบริหารทรัพยากรของหน่วยงานสนับสนุนให้สอดคล้องกับทิศทางธุรกิจในอนาคตของกรุงศรี คอนซูมเมอร์ เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานให้สามารถรองรับความเติบโตในอนาคตได้

“กลยุทธ์ทั้งห้าประการนี้เป็นไปเพื่อเสริมศักยภาพของกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ให้สอดรับกับสภาวะแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไป เพื่อสร้างความเติบโตอย่างมีคุณภาพและรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจการเงินไว้ได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ในปี 2567 บริษัทคาดมียอดใช้จ่ายผ่านบัตร ยอดบัญชีลูกค้าใหม่ 617,000 บัญชี (+10%), ยอดใช้จ่ายผ่านบัตร 393,000 ล้านบาท (+8%), ยอดสินเชื่อใหม่ 100,000 ล้านบาท (+9%) และยอดสินเชื่อคงค้าง 151,000 ล้านบาท (+2%)” นายอธิศ กล่าวสรุป

รวบ “โต้ง จอมตุ๋น” สร้างโปรไฟล์น่าเชื่อถือ นำสำเนาบัญชีธนาคารปลอม ขอสินเชื่อ เสียหายกว่า 1.7 ล้าน

รวบ “โต้ง จอมตุ๋น” สร้างโปรไฟล์น่าเชื่อถือ นำสำเนาบัญชีธนาคารปลอม ขอสินเชื่อ เสียหายกว่า 1.7 ล้าน เตือนประชาชน ผู้มีส่วนที่เกี่ยวข้อง ระมัดระวังมิจฉาชีพที่ปลอมโปรไฟล์ให้น่าเชื่อถือด้านการเงินให้ตรวจสอบให้รอบคอบก่อนตกเป็นเหยื่อ

วันที่ 28 สิงหาคม 2567 ที่ บก.สส.บช.น., พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.อิสเรศ ปาลาพงศ์ รอง ผบก.สส.รรท ผกก.3 บช.น. พ.ต.ท.วิโรฒ จนุบุษย์, พ.ต.ท.นิธิ ปิยะพันธุ์ รอง ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น. ได้สั่งการให้ พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น., ร.ต.อ.ปรินทร์ ส่วนบุญ รอง สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น., ร.ต.อ.นิคม นาชัยภูมิ รอง สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น., ร.ต.อ.ชัยยุทธ ศักดิ์เพชร รอง สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น.,ฃทำการจับกุมนายอภินันท์หรือโต้ง   คัมภิรานนท์ อายุ 51 ปี ที่อยู่ 1417/7 ถ.ริมทางรถไฟ แขวงตลาดพลู เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร  ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาธนบุรีที่ จ.772/2567 ลงวันที่ 27 สิงหาคม 2567 ความผิดฐาน “ฉ้อโกง และปลอมเอกสาร”โดยจับกุมได้ที่บริเวณหน้าร้านขายอะไหล่ ถ.ริมคลองบางค้อ แขวงบางค้อ เขตจอมทอง กทม.

พฤติการณ์การกระทำความผิด คือ ด้วยนายอภินันท์ฯ นำสำเนารายการเดินบัญชีธนาคาร และหนังสือรับรองเงินเดือนปลอมสร้างโปรไฟล์น่าเชื่อถือ มายื่นขอสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์กับทางธนาคารผู้เสียหายในคดี จนได้รับอนุมัติสินเชื่อไป ซึ่งตีเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 1,741,041 บาท แล้วบิดพริ้วหนีหายเข้ากลีบเมฆไม่มีการผ่อนชำระกับทางธนาคารแต่อย่างใด โดยพฤติกรรมของผู้ต้องหานั้นยากต่อการสืบสวนเป็นอย่างมาก ขาดการติดต่อในทุกช่องทาง และมีที่อยู่พักอาศัยไม่เป็นหลักแหล่ง แต่ไม่ยากเกินความสามารถเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนนครบาล ซึ่งชุดจับกุมได้สืบทราบว่าผู้ต้องหาได้หลบหนีทำงานพนักงานส่งสินค้าอยู่ที่ ร้านขายอะไหล่อิเล็กทรอนิกส์ร้านหนึ่ง ย่านจอมทอง กรุงเทพมหานคร จึงได้ตามไปรวบทันควัน ขณะจับกุมปฏิเสธไม่รู้เรื่อง จากการสอบถามรับว่าหลังจากรับเงินและเอาเงินไปใช้หมดแล้ว จากนั้นได้นำตัวผู้ถูกจับกุมส่ง สน.ตลาดพลู ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.ต.ธีรเดช  กล่าวว่า ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร., พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ให้ปราบปรามไล่ล่ากลุ่มคนร้ายที่มีพฤติการณ์การกระทำความผิดในรูปแบบต่างๆที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนหรือผู้สุจริต โดยผู้ต้องหารายนี้ทำเอกสารหลอกกู้สินเชื่อกับธนาคาร ความเสียหายกว่า 1.7 ล้านบาท เกรงว่าจะไปก่อเหตุที่อื่นต่อ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล จึงได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการดำเนินการจับกุมในครั้งนี้ และฝากเตือนประชาชน และผู้มีส่วนที่เกี่ยวข้อง ให้ระมัดระวังมิจฉาชีพที่ปลอมโปรไฟล์ให้น่าเชื่อถือด้านการเงินให้ตรวจสอบให้รอบคอบก่อนที่จะตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

แรบบิทแคชผนึกไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น ส่งสินเชื่อแรบบิทแคช “เงินก้อนอุ่นใจ” และ “ประกันอุบัติเหตุ” เข้าถึงแหล่งเงินทุนง่ายตลอด 24 ชั่วโมง

บริษัท แรบบิท แคช จำกัด ผู้ให้บริการสินเชื่อออนไลน์ ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย จับมือ บริษัท ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น จำกัด เดินหน้าแคมเปญ “Rabbit Cash Sustainability หัวใจแห่งความยั่งยืน...เริ่มที่คุณ” ผนึกความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ สร้างความยั่งยืนระดับองค์กร โครงการสินเชื่อแรบบิทแคช เพื่อผู้ประกอบอาชีพขับรถ และควบคุมสินค้า ของไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น ด้วยบริการผลิตภัณฑ์ สินเชื่อแรบบิทแคช เงินก้อนอุ่นใจ และประกันอุบัติเหตุอุ่นใจ เพื่อให้องค์กรได้ใช้เป็นเครื่องมือในการช่วยเหลือการเข้าถึงแหล่งเงินทุนยามฉุกเฉินในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ไม่ต้องมีผู้ค้ำประกัน สมัครได้ง่ายตลอด 24 ชั่วโมงผ่านแอปพลิเคชันแรบบิทแคช พร้อมตอกย้ำวิสัยทัศน์ของแรบบิทแคชที่ต้องการให้คนไทยสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายและเท่าเทียม

นางสาวรัชนี แสนศิลป์ชัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แรบบิท แคช จำกัด เปิดเผยว่า “แรบบิท แคช ได้ริเริ่มแคมเปญ Rabbit Cash Sustainability หัวใจแห่งความยั่งยืน...เริ่มที่คุณ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้องค์กรธุรกิจต่างๆมีเครื่องมือทางการเงิน ไว้สนับสนุนพนักงานและพันธมิตรทางธุรกิจขององค์กรนั้นๆ ให้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งจากข้อมูลเครดิตบูโรพบว่ามีบุคคลจำนวนมากกว่า 3.1 ล้านคนผิดนัดชำระหนี้หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ล่าสุดบริษัทฯ จึงได้เดินหน้าประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ บริษัท ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น จำกัด จัดทำ โครงการสินเชื่อแรบบิทแคช เพื่อผู้ประกอบอาชีพขับรถ และควบคุมสินค้า ของบริษัท ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น จำกัด ด้วยบริการผลิตภัณฑ์ สินเชื่อแรบบิทแคช เงินก้อนอุ่นใจ และประกันอุบัติเหตุ อุ่นใจ”

นายพีระ อุดมกิจสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น จำกัด กล่าวว่า “ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น มีวิสัยทัศน์ในการเป็นผู้ให้บริการ Logistics ครบวงจรอย่างยั่งยืนด้วยมาตรฐานสากล โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรบุคคลที่เป็นหัวใจของการดำเนินธุรกิจขนส่ง จึงได้ร่วมมือกับทางแรบบิท แคช  ผู้ให้บริการสินเชื่อออนไลน์ เพื่อส่งมอบสินเชื่อ และประกันอุบัติเหตุ สำหรับผู้ประกอบอาชีพขับรถ และควบคุมสินค้า ของบริษัทฯ ซึ่งมีจำนวนกว่า 600 คน ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีความน่าเชื่อถือและถูกต้องตามกฎหมาย ได้ในยามฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน  พร้อมทั้งเพิ่มความปลอดภัยให้กับคนขับรถขนส่งทุกวัน เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายด้านการดูแลคนขับรถ และคนควบคุมสินค้า ให้มีความอุ่นใจในการดำรงชีวิต อันนำไปสู่การทำงานอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้องค์กรเติบโตได้อย่างยั่งยืน”

สำหรับโครงการสินเชื่อแรบบิทแคช เพื่อผู้ประกอบอาชีพขับรถ และควบคุมสินค้า ได้ส่งมอบผลิตภัณฑ์ สินเชื่อเงินก้อนอุ่นใจ ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.75% ต่อเดือน โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์หรือบุคคลค้ำประกันเมื่อเข้าเกณฑ์เงื่อนไขตามที่บริษัทกำหนด นอกจากนี้ภายใต้โครงการความร่วมมือยังมีการให้สินเชื่อปลอดดอกเบี้ย เพื่อผ่อนชำระค่าเบี้ยประกันอุบัติเหตุแรบบิทแคชอุ่นใจ โดยทั้ง 2 บริการ สามารถสมัครออนไลน์ได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านแอปพลิเคชัน แรบบิทแคช

“แรบบิทแคช มีความตั้งใจที่จะสนับสนุนให้เกิดความยั่งยืนระดับองค์กรให้กับทุกองค์กร และบุคลากรในทุกระดับ ตอกย้ำวิสัยทัคน์การเข้าถึงแหล่งเงินได้อย่างเท่าเทียม และการได้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีความน่าเชื่อถือ ลดการพึ่งพาการกู้หนี้นอกระบบ โดยจะเดินหน้าสร้างความร่วมมือกับองค์กรธุรกิจต่างๆ ในประเทศไทย เพราะเราเชื่อว่าการดูแลบุคลากร และพันธมิตรทางธุรกิจขององค์กร ในด้านการเงิน และการดูแลสุขภาพ เป็นรากฐานในการทำงานที่มีประสิทธิภาพนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งในปี 2567 บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะขยายความร่วมมือไปยังบริษัทต่างๆ กว่า 500 บริษัท ครอบคลุมพนักงานของพันธมิตรธุรกิจกว่า 200,000 คนให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน” นางสาวรัชนี กล่าวสรุป

ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลรายละเอียดผลิตภัณฑ์และคำนวณดอกเบี้ยสินเชื่อแรบบิทแคชได้ที่เว็บไซต์ https://www.rabbitcash.co.th ทางเพจเฟซบุ๊ก www.facebook.com/rabbitcash หรือติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าแรบบิท แคช โทร. 02-114-6686 และ LINE @RabbitCash

SAK ผลงานครึ่งปีแรกรายได้ 1,478.8 ล้านบาท ดันพอร์ตสินเชื่อพุ่ง 16.9% ชู NPLs ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม

SAK ผู้ให้บริการสินเชื่อรายย่อย โชว์ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกเติบโตสุดแกร่งหนุนพอร์ตสินเชื่อเพิ่มเป็น 13,652.9 ล้านบาท เติบโต 16.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  มีรายได้รวม 1,478.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.8% และมีกำไรสุทธิ 393.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  10.8% ดีมานด์สินเชื่อทะเบียนรถเป็นหลักประกันและสินเชื่อเกษตรพุ่งแรงรับฤดูกาลเพาะปลูก เดินแผนครึ่งปีหลัง รุกขยายสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ และสินเชื่อเพื่อการเกษตร ชูกลยุทธ์มุ่งรักษาและเพิ่มคุณภาพหนี้ เน้นกลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงต่ำ มั่นใจผลักดันพอร์ตสินเชื่อทั้งปีแตะ 14,300 ล้านบาท เติบโต 15% ได้ตามเป้าหมาย

นายศิวพงศ์ บุญสาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศักดิ์สยามลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SAK ผู้ให้บริการสินเชื่อ รายย่อยภายใต้แบรนด์ ‘ศักดิ์สยามลิสซิ่ง’ เปิดเผยว่า บริษัทฯ บรรลุเป้าหมายสำคัญจากผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 (มกราคม-มิถุนายน) ขยายพอร์ตสินเชื่อโดยรวมเพิ่มเป็น 13,652.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.9% จากสิ้นปี 2566 สะท้อนถึงกลยุทธ์ของบริษัทฯ ที่แข็งแกร่งและความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยในไตรมาส 2/2567 (เมษายน-มิถุนายน) SAK ปล่อยสินเชื่อทะเบียนรถเป็นหลักประกันและสินเชื่อเกษตร สนับสนุนกลุ่มเกษตรกรที่ต้องการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อนำไปเพาะปลูกตามฤดูกาล เนื่องจากสภาพอากาศในปีนี้มีฝนตกมากในหลายพื้นที่ ส่งผลดีต่อผลิตผลทางการเกษตรเพิ่มขึ้น รวมทั้งราคาสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ดีมานด์การเข้าถึงแหล่งเงินทุนเติบโต

สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 (มกราคม-มิถุนายน) เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีกำไรสุทธิ 393.7 ล้านบาท เติบโต 10.8%  ส่วนรายได้รวม  1,478.8 ล้านบาท เติบโต 12.8 %  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อีกทั้งบริษัทฯ สามารถบริหารจัดการคุณภาพพอร์ตลูกหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยควบคุมหนี้ NPLs อยู่ในระดับ 2.4% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นไปตามกรอบเป้าหมายที่ตั้งไว้

“จุดเด่นของ SAK อัตราหนี้ NPLs ที่สามารถควบคุมให้อยู่ในระดับต่ำ สวนกระแสกับผู้ประกอบการปล่อยสินเชื่อที่ส่วนใหญ่ NPLs มากกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม สะท้อนถึงการปล่อยสินเชื่อที่รัดกุม และการวางกลยุทธ์ที่ถูกต้องโดยมุ่งเน้นไปที่ลูกค้าหรือกลุ่มเกษตรกรที่มีศักยภาพในการชำระหนี้คืนสูง  นอกจากนี้ยังมีระบบติดตามและมีความใกล้ชิดกับลูกหนี้ ซึ่งตอกย้ำ SAK มีสถานะทางการเงินที่มั่นคง”  

กรรมการผู้จัดการ SAK กล่าวอีกว่า ในช่วงครึ่งปีหลังยังมีการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 อาจมีสัญญาณชะลอตัว เนื่องจากเป็นฤดูเก็บเกี่ยว และภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ แผนธุรกิจของบริษัทฯ ในช่วงครึ่งปีหลังจึงยังคงมุ่งเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ โดยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ จะมุ่งการรักษาและเพิ่มคุณภาพหนี้และเน้นกลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงต่ำ ส่วนสินเชื่อเพื่อการเกษตรมุ่งเน้นเกษตรกรที่ได้รับผลดีจากสภาพอากาศ ภายใต้การพิจารณาการปล่อยสินเชื่อที่มีความรัดกุม เพื่อบริหารความเสี่ยงและควบคุมคุณภาพลูกหนี้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่าในปีนี้จะผลักดันพอร์ตสินเชื่อทั้งปีได้ถึง 14,300 ล้านบาท เติบโต 15% ตามเป้าหมายหรือเติบโตมากกว่าเป้าหมาย

"Funding Societies" ส่งสัญญาณบวกเร่งปล่อยสินเชื่อ 4 กลุ่มอุตสาหกรรมพา SME เข้าถึงแหล่งเงินทุน

Funding Societies แพลตฟอร์มการเงินดิจิทัลแบบครบวงจรสำหรับธุรกิจ SME ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกาศยุทธศาสตร์ส่งสินเชื่อเพื่อการค้าแบบ B2B ที่ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันรุก 4 กลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญได้แก่ ธุรกิจด้านบรรจุภัณฑ์ ธุรกิจผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค(FMCG) ผู้รับเหมาโครงการภาครัฐฯ และ ธุรกิจด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม หลังเล็งเทรนด์ขาขึ้น มีดีมานด์ดี ศักยภาพในการเติบโตสูง ตั้งเป้าสินเชื่อธุรกิจกลุ่มนี้จะมีอัตราเติบโตที่ 20 % ของพอร์ต คาดเป็นเม็ดเงินสินเชื่อปล่อยใหม่กว่า 400 ล้านบาท ในช่วง 1 ปีข้างหน้า

นางสาว เอื้ออารีย์ อัจฉริยบุญ Country Head ประจำ Funding Societies ประเทศไทย กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวบ้างในบางช่วง แต่ยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง Funding Societies ภายใต้การให้บริการของ FS Capital Co., Ltd. ที่เชี่ยวชาญในการให้กู้ยืมโดยตรงแก่ผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก จึงยังคงมองวงจรความต้องการสินเชื่อของผู้ประกอบการ SME ว่าจะมีการปรับตัวสูงขึ้น โดยคาดการณ์การเติบโตของพอร์ตสินเชื่อโดยรวมจะอยู่ที่ 30% ซึ่งจะได้รับแรงสนับสนุนร่วมจากการปล่อยสินเชื่อใน 4 กลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าว ประกอบกับผลิตภัณฑ์ทางการเงินของ Funding Societies เองที่ตอบโจทย์ความต้องการของ SME ได้ 360 องศา

“SME มีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจ คิดเป็นกว่า 95% ของธุรกิจทั้งประเทศ ซึ่งเป็นจำนวนมากกว่า 3.1 ล้านราย  คิดเป็น 35.6 % ของ GDP โดยรวม มีผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ นวัตกรรม การผลิต การดำเนินโครงการต่างๆ และการจัดการสิ่งแวดล้อม แต่มี SME จำนวนมากกว่าครึ่งที่ประสบปัญหาไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้จากสถาบันการเงินทั่วไปเนื่องด้วยเหตุผลหลากหลายประการ อาทิ การขาดการเดินบัญชีกับธนาคาร และการต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ประกอบการขนาดเล็ก และสำหรับ SME ที่เป็นขนาดกลางขึ้นมาและดำเนินธุรกิจมาแล้วระยะเวลาหนึ่งก็อาจจะมีศักยภาพในการเสนอหลักฐานการเดินบัญชีที่เพียงพอ และเสนอหลักทรัพย์ในการค้ำประกันได้เป็นบางส่วนแต่ยังไม่ครอบคลุมจำนวนวงเงินสินเชื่อตามต้องการ และบ่อยครั้งต้องหันไปพึ่งพาสินเชื่อที่ผิดวัตถุประสงค์มาต่อยอดการดำเนินธุรกิจ เช่น สินเชื่อจากบัตรเครดิต หรือ สินเชื่อนอกระบบ ซึ่ง SME รายย่อยมีการพึ่งพาแหล่งเงินทุนดังกล่าวมากกว่า 50% ทำให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับต้นทุนทางการเงินที่สูง ส่งผลให้ธุรกิจเติบโตเป็นไปอย่างยากลำบาก Funding Societies เล็งเห็นความสำคัญของ SME ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และมุ่งมั่นที่จะสร้างโอกาสในการแข่งขันที่เท่าเทียมแก่ผู้ประกอบการ เราจึงเดินหน้าสนับสนุน SME ที่ขาดโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินต่างๆ ให้ได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนต่อไป  เพื่อให้สามารถคว้าโอกาสในการเติบโตได้อย่างยั่งยืน”

“เรายังเล็งเห็นความต้องการที่มีความหลากหลายของ SME สินเชื่อเพียงประเภทเดียวจึงไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการได้อย่างครบถ้วน Funding Societies จึงมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินในรูปสินเชื่อเพื่อการค้าต่างๆ เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการ SME ได้อย่างครบถ้วน ซึ่งสินเชื่อจาก Funding Societies มาใน 5 รูปแบบได้แก่ สินเชื่อหมุนเวียนจากลูกหนี้การค้า (Invoice Financing) ซึ่ง SME สามารถนำบิลหรือใบแจ้งหนี้มาเปลี่ยนเป็นเงินหมุนเวียนทำงานใหม่ได้โดยไม่ต้องรอเครดิตเทอมจากคู่ค้า สินเชื่อใบสั่งซื้อ (PO Financing) เพื่อจ่ายค่าสินค้าและบริการล่วงหน้าไปยังซัพพลายเออร์ สินเชื่อธุรกิจโครงการ (Project Financing) สำหรับผู้รับเหมาจัดซื้อจัดจ้างกับภาครัฐฯและเอกชนในการทำโครงการให้แล้วเสร็จ สินเชื่อระยะสั้น (Business Term Loan) หรือสินเชื่ออเนกประสงค์ และสินเชื่อกลุ่ม Express สำหรับ SME ขนาดเล็กลงมา ซึ่ง SME สามารถยื่นขอสินเชื่อ ผ่านช่องทางออนไลน์ได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องเข้ามาที่สาขา ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่ง Funding Societies สามารถให้การสนับสนุนสินเชื่อเพื่อ SME ได้ถึง 15 ล้านบาทต่อราย”  

โดยที่ผ่านมา Funding Societies ได้สนับสนุน SME ให้เข้าถึงสินเชื่อเพื่อการค้าระยะสั้นในรูปแบบต่างๆใน 5 ตลาดหลัก ได้แก่ ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม โดย ณ ปัจจุบันได้ให้สินเชื่อไปแล้วกว่า 1.38 แสนล้านบาท รวมเป็นธุรกรรมมากกว่า 5 ล้านครั้งให้กับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SME) ทั่วทั้งภูมิภาค สำหรับ SME ที่มีความสนใจ สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.fundingsocieties.co.th

"กรุงศรี คอนซูมเมอร์" เปิดตัวบริการใหม่ ‘สแกน QR ผ่อนไม่ใช้บัตร’ ต่อยอดความร่วมมือพันธมิตร ยกระดับบริการ

กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เปิดตัวบริการใหม่ ‘สแกน QR ผ่อนไม่ใช้บัตร’ ผ่านระบบ We Merchant ให้สมาชิกบัตรเครดิตและบัตรสินเชื่อในเครือกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ผ่อนชำระสินค้าได้โดยไม่ต้องใช้บัตร สะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น ยกระดับบริการเพื่อลูกค้า พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน เตรียมขยายเครือข่ายพันธมิตรธุรกิจผ่อนชำระ ที่ร้านค้าพันธมิตรแบรนด์ชั้นนำที่ร่วมรายการกว่า 2,600 สาขาทั่วประเทศ รุกตลาดสินเชื่อเพื่อการผ่อนชำระต่อเนื่อง ตั้งเป้ายอดสินเชื่อเพื่อการผ่อนชำระเติบโตกว่า 10% ภายในปี 2567

นายเกลนริชาร์ด แนกกลิส  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายงานเครือข่ายการขายและฝ่ายการตลาดธุรกิจผ่อนชำระ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด ในฐานะตัวแทนบัตรเครดิตและบัตรผ่อนชำระในเครือกรุงศรี คอนซูมเมอร์ อันประกอบไปด้วย บัตรเครดิต กรุงศรี, บัตรกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์, บัตรเครดิตเซ็นทรัล เดอะวัน และบัตรเครดิตโลตัส กล่าวว่า “ภาพรวมตลาดสินเชื่อเพื่อการผ่อนชำระมีแนวโน้มเติบโต สะท้อนจากที่มีผู้เล่นรายใหม่ ๆ ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกหลากหลายยิ่งขึ้น ทั้งนี้ จากพฤติกรรมการใช้จ่ายของลูกค้าบัตรเครดิตและบัตรสินเชื่อในเครือกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ในช่วงเดือนมกราคม – มิถุนายน 2567 พบว่า สินเชื่อเพื่อการผ่อนชำระยังเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ลูกค้าสนใจใช้บริการ โดยเฉพาะสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวันและการประกอบอาชีพ โดยหมวดสินค้าที่มีการทำรายการผ่อนชำระสูงสุด 5 อันดับแรก เรียงตามยอดใช้จ่าย ได้แก่ 1. หมวดโทรศัพท์มือถือ ไอทีและคอมพิวเตอร์ 2. หมวดเครื่องใช้ไฟฟ้า 3. หมวดประกันภัยและประกันชีวิต 4. หมวดสินค้าออนไลน์ และ 5. หมวดสุขภาพและความงาม ส่วนหมวดสินค้าที่มีอัตราการเติบโตสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1. หมวดไลฟ์สไตล์ 2. หมวดสินค้าออนไลน์ และ 3. หมวดประกันภัยและประกันชีวิต แสดงให้เห็นถึงโอกาสเติบโตของธุรกิจ ในปีนี้ กรุงศรี คอนซูมเมอร์ จึงเตรียมรุกตลาดต่อเนื่อง โดยการนำนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้พัฒนาคุณภาพการบริการ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้า พร้อมเสริมศักยภาพในการแข่งขันโดยมุ่งขยายเครือข่ายพันธมิตรธุรกิจผ่อนชำระให้ครอบคลุมสินค้าและบริการที่หลากหลายยิ่งขึ้นเพื่อขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยภายในปี 2567 กรุงศรี คอนซูมเมอร์ ตั้งเป้ายอดสินเชื่อเพื่อการผ่อนชำระเติบโตกว่า 10%”

“เพื่อยกระดับบริการให้ตอบโจทย์ลูกค้าและพันธมิตรธุรกิจผ่อนชำระให้ดียิ่งขึ้น ล่าสุด กรุงศรี คอนซูมเมอร์ ได้เปิดตัวบริการใหม่ ‘สแกน QR ผ่อนไม่ใช้บัตร’ ผ่านระบบ We Merchant ที่ช่วยให้สมาชิกบัตรเครดิตและบัตรสินเชื่อในเครือกรุงศรี คอนซูมเมอร์ สามารถทำรายการผ่อนชำระกับร้านค้าพันธมิตรที่ร่วมรายการได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้นโดยไม่ต้องพกบัตรไปใช้ที่หน้าร้าน เพียงใช้แอปพลิเคชัน UCHOOSE สแกนคิวอาร์ที่ร้านค้าทำรายการผ่อนชำระผ่านระบบ We Merchant โดยปัจจุบัน มีเครือข่ายร้านค้าพันธมิตรแบรนด์ชั้นนำพร้อมให้บริการสแกน QR ผ่อนไม่ใช้บัตรกว่า 2,600 สาขาทั่วประเทศในหลากหลายหมวดสินค้า อาทิ  สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ทั้งนี้ การทำรายการผ่อนชำระผ่านระบบ We Merchant จะช่วยอำนวยความสะดวกให้ร้านค้าพันธมิตรสามารถทำรายการผ่อนชำระสินค้าได้ที่หน้าร้านหรือจากที่ใดก็ได้ ช่วยขยายช่องทางการขายให้หลากหลายยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องยุ่งยากกับการพัฒนาระบบด้วยตนเอง ทั้งนี้ กรุงศรี คอนซูมเมอร์ คาดว่า ด้วยนวัตกรรมบริการที่ทันสมัย เช่น ระบบ We Merchant เพื่อทำรายการผ่อนชำระสำหรับร้านค้าพันธมิตร และบริการใหม่ ‘สแกน QR ผ่อนไม่ใช้บัตร’ ที่ช่วยให้ลูกค้าทำรายการผ่อนชำระได้อย่างสะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น จะช่วยเสริมศักยภาพในการขยายเครือข่ายร้านค้าพันธมิตรให้กว้างขวาง ครอบคลุมสินค้าและบริการหลากหลายยิ่งขึ้น และเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างความเติบโตให้กับธุรกิจสินเชื่อเพื่อการผ่อนชำระของเราอย่างต่อเนื่อง”

โดยสมาชิกบัตรเครดิตและบัตรสินเชื่อในเครือกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ที่สนใจใช้บริการ ‘สแกน QR ผ่อนไม่ใช้บัตร’ สามารถใช้บริการที่ร้านค้าพันธมิตรแบรนด์ชั้นนำที่ร่วมรายการกว่า 2,600 สาขา ได้ง่ายๆผ่านแอปพลิเคชัน UCHOOSE เพียงกดไอคอน ‘สแกน/คิวอาร์โค้ด’ จากนั้นทำรายการสแกน QR ผ่อนชำระสินค้าจากร้านค้าพันธมิตร แล้วเลือกบัตรที่ต้องการทำรายการ จากนั้นตรวจสอบข้อมูล แล้วยืนยันรหัสผ่านก็จะเข้าสู่หน้าที่ทำรายการสำเร็จ สำหรับลูกค้าใหม่สามารถสมัครสินเชื่อดิจิทัล “เฟิร์สช้อยส์ เพย์พลัส” เพื่อใช้บริการ “สแกน QR ผ่อนไม่ใช้บัตร” ได้ที่ร้านค้าพันธมิตรหลัก อาทิ Power Buy, Telewiz by AIS, Banana IT, Kingkongphone, iStudio by SPVi, iStudio by Copperwired, .Life, TG Fone, Advice IT Infinite, J.I.B Computer, Mine By J.I.B, Big Camera ฯลฯ ทั้งนี้ ระยะเวลาโปรโมชันขึ้นอยู่กับร้านค้าผู้ให้บริการ กรุณาตรวจสอบเงื่อนไขเพิ่มเติม ณ จุดขาย สำหรับอัตราดอกเบี้ย รายละเอียดและเงื่อนไขอื่นให้เป็นไปตามที่บริษัทกำหนด ข้อมูลเพิ่มเติม https://bit.ly/firstchoice-payplus  

#กรุงศรีคอนซูมเมอร์ #สแกนQR #สินเชื่อ #ผ่อนชำระ 

 

"TIDLOR" โชว์กำไร Q2/67 แกร่ง 1,091 ล้านบาท มั่นใจคุม NPL ไม่เกิน 2%

TIDLOR โชว์กำไร Q2/67 แกร่ง 1,091 ล้านบาท มั่นใจคุม NPL ไม่เกิน 2%

นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2/2567 บริษัทยังคงสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ทั้งธุรกิจสินเชื่อและธุรกิจนายหน้าประกัน โดยมีกำไรสุทธิที่ระดับ 1,091 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ มั่นใจว่าบริษัทฯ จะสามารถคุม NPL ให้ไม่เกิน 2% ได้ ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับผู้ประกอบธุรกิจเดียวกัน

ทั้งนี้ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในไตรมาสที่ 2/2567 บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการบริหารธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพ พร้อมรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีเงินสำรองในระดับสูง และยังคงความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากการจัดอันดับเครดิตที่ “A/Stable” จากทริสเรทติ้ง ซึ่งถือเป็นระดับสูงที่สุดเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการในธุรกิจเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีวงเงินกู้คงเหลืออีกกว่า 23,000 ล้านบาท พร้อมทั้งยังคงอัตราหนี้สินต่อทุนในระดับต่ำที่ 2.5 เท่า

 

ประเด็นร้อนเศรษฐกิจรอบวัน 8 ส.ค.67

-1 เดือนรู้! “จุลพันธ์” ยันวันใช้จ่ายเงินหมื่น ลั่นร้านเล็กจ่อเข้าร่วมกว่า 1 แสนร้านค้า

-"บีโอไอ" เสริมแกร่งชิ้นส่วนยานยนต์ไทย ส่งเสริมต่างชาติร่วมทุน ยกระดับเทคโนโลยีและนวัตกรรม

-ค้าชายแดนและผ่านแดน 6 เดือนแรกปี 67 ขยายตัว 3.6%

-บสย.ผนึก SME D Bank ค้ำประกันสินเชื่อ SME Green Productivity ลดต้นทุนผู้ประกอบการ-มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

-“สุชาติ” พบนักธุรกิจไทยในอินเดีย ยันเป็นตลาดศักยภาพ เตรียมขยายฐานสินค้าเพิ่ม ฝากคนรุ่นใหม่ติดปัญหาประสานพาณิชย์ทันที

-เอาใจพี่น้องชาวอีสาน "ธอส." จัดโปรพิเศษร่วมงานมหกรรมการเงินโคราช สินเชื่อบ้าน ดบ.ต่ำ 6 เดือนแรกเพียง 1.99% ต่อปี

- "ประกันสังคม" เพิ่มคุณภาพชีวิตให้สิทธิผู้ประกันตนป่วยข้อเข่าเสื่อมรักษาด้วยพลาสมาคุณภาพสูงได้แล้ว

-"ก.ล.ต." เปิดเฮียริ่งปรับปรุงเกณฑ์ประกอบธุรกิจของผู้ให้บริการรับฝากสินทรัพย์ดิจิทัล

-ก.ล.ต.เตือนผู้ถือหุ้นกู้ EA ใช้สิทธิประชุม 14 ส.ค. ศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนโหวต

-"ไทยออยล์" ผลงาน Q2/67 กำไร 5,547 ล้านบาท 

-สมาคมค้าทองคำรายงานราคาทอง(ทองคำ 96.5%) ในประเทศวันที่ 8 ส.ค.67 เปิดตลาดเมื่อเวลา 09.05 น. ราคาปรับลง 150 บาท โดยทองคำแท่งรับซื้ออยู่ที่บาทละ 40,200 บาท ขายออก 40,300 บาท ส่วนทองรูปพรรณรับซื้ออยู่ที่บาทละ 39,476.64 บาท ขายออก 40,800 บาท ขณะที่ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) อยู่ที่ 2,388.00 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์

-เงินบาทปิดที่ระดับ 35.36 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าจากช่วงเช้าเปิดตลาดที่ระดับ 35.60 บาท/ดอลลาร์ วันนี้เงินบาทปรับตัวแข็งค่าสอดคล้องกับทิศทางของสกุลเงินอื่นในภูมิภาค ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 35.32-35.59 บาท/ดอลลาร์ วันนี้ยังไม่มีปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อทิศทางของค่าเงินบาทมากนัก ทั้งปัจจัยในประเทศและปัจจัยต่างประเทศ การเคลื่อนไหวของเงินบาทเป็นไปตามแรงซื้อ-ขายระหว่างวัน โดยวันนี้บาทไม่มีปัจจัยอะไรสำคัญมาก บาทแข็งค่าตามภูมิภาค เคลื่อนไหวตามแรงซื้อ-ขายปกติ ส่วนคืนนี้ตลาดรอดูการรายงานยอดขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ คาดพรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 35.30 - 35.50 บาท/ดอลลาร์

-SET ปิดวันนี้(8ส.ค.)ที่ 1,296.25 จุด เพิ่มขึ้น 5.70 จุด (+0.44%) มูลค่าซื้อขาย 36,210.15 ล้านบาท ตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งผันผวนอิงแดนบวก คลายกังวลเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย หลังเจ้าหน้าที่เฟดหลายรายออกมาแสดงความเห็นว่าตัวเลขแรงงานสหรัฐที่ออกมาต่ำกว่าคาด ไม่ได้สะท้อนโอกาสดังกล่าว และการที่ BOJ ไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยทำให้ช่วยลดความผันผวนจากสถานการณ์ปิดสถานะ Japan Carry Trade (Reverse Carry Trade) ได้บ้าง อย่างไรก็ตามการปรับตัวขึ้นยังเป็นไปอย่างจำกัด แนวโน้มวันพรุ่งนี้คาดตลาดฯ มีโอกาสกลับมาอ่อนตัวลง หลังเริ่มเห็นค่าเงินเยนกลับมาผันผวนอีกรอบ จากช่วงเช้าที่ปรับตัวอ่อนค่า อาจส่งผลให้นักลงทุนกลับมากังวลได้อีก ให้แนวรับที่ 1,288-1,282 จุด และแนวต้าน 1,298 จุด

#ประกันสังคม #เข่าเสื่อม #สินเชื่อ #ดิจิทัลวอลเล็ต #EA

 

"แบงก์ชาติ" จับมือ 8 แบงก์หนุนธุรกิจเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวที่เหมาะกับบริบทไทย

"แบงก์ชาติ" จับมือ 8 แบงก์หนุนธุรกิจเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวที่เหมาะกับบริบทไทย

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงาน "Financing the Transition: การเงินเพื่อการปรับตัวสู่ความยั่งยืนของภาคธุรกิจ" ว่า ภาคการเงินได้มีการเตรียมความพร้อมเพื่อการปรับตัวร่วมกับภาคธุรกิจ ผ่านการร่วมมือกันผลักดันและสนับสนุนเงินทุนให้กับภาคธุรกิจไทย เพื่อช่วยเหลือด้านการเปลี่ยนผ่าน (Transition) สู่ธุรกิจสีเขียวที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งภาคการเงินจะเป็นหนึ่งในห่วงโซ่ที่ช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่าน เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับภาคธุรกิจไทย

ทั้งนี้ ภาพรวมธุรกิจในหลายประเทศส่วนใหญ่ ล้วนมุ่งไปที่การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon netraul) และการเป็นเศรษฐกิจสีเขียว (Green economy) ที่มีการขยายตัวขึ้นของหลายธุรกิจในหลากหลายประเทศที่ปรับตัว โดยภาคธุรกิจในประเทศไทยที่สามารถปรับตัวเพื่อเปลี่ยนผ่านธุรกิจได้แล้ว ยังเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่เข้าไปอยู่ในดัชนี Dow Jones Sustainability Index (DJSI) จำนวน 26 บริษัท ซึ่งนับว่ามากที่สุดในอาเซียน ในขณะที่ธุรกิจขนาดกลางและเล็กของไทย ยังมีความพร้อมในการปรับตัวสู่เศรษฐกิจสีเขียวน้อยกว่าธุรกิจขนาดใหญ่

"หากพิจารณาบริบทของเศรษฐกิจประเทศไทย เรายังใช้เชื้อเพลิงที่มาจากฟอสซิล และไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสูงอยู่ และความพร้อมของ SME ในการเปลี่ยนผ่าน ก็ยังไม่พร้อมปรับตัว ซึ่งส่งผลกระทบต่อการแข่งขันของธุรกิจ ทำให้ต้องมีการสนับสนุนของภาคการเงินเพื่อสร้างการเปลี่ยนผ่าน" นายเศรษฐพุฒิ กล่าว

สำหรับเศรษฐกิจไทยถือว่ามีหลากหลายมิติ แต่ในภาพหลักของเศรษฐกิจไทยยังคงเป็นเศรษฐกิจในโลกเก่า (Brown) ทั้งการผลิต และการส่งออก ขณะที่ธุรกิจ SME ที่เน้นด้านสิ่งแวดล้อม และความเป็นธุรกิจสีเขียว (Green) ยังมีน้อย แต่ ธปท.ไม่อยากเห็นการเพิกเฉยต่อการสนับสนุนเงินทุนกับธุรกิจแบบ Brown ของภาคการเงินไปอย่างสิ้นเชิง แต่ควรเป็นรูปแบบการช่วยเหลือและสนับสนุนเงินทุน เพื่อสร้างการเปลี่ยนผ่านไปสู่ Green ถือเป็นบริบทที่เหมาะสมกับภาคการเงิน ภาคธุรกิจ และเศรษฐกิจไทย

"การที่ละทิ้งไม่ให้เงินทุนต่อธุรกิจ Brown ไปเลย คงไม่เหมาะกับบริบทไทย โจทย์ของต่างประเทศไม่จำเป็น และไม่ Need กับเศรษฐกิจไทยมาก แต่เราควรเป็นการสนับสนุนการสร้างการเปลี่ยนผ่าน Transition ไปสู่ less brown จะดีที่สุด" นายเศรษฐพุฒิ กล่าว

ทั้งนี้เศรษฐกิจไทย และภาคธุรกิจของไทยที่เป็นธุรกิจแบบ Brown สู่การเป็นธุรกิจ Less Brown จะต้องคำนึงถึงจังหวะเวลา เพื่อสร้างความสมดุล และผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะผลกระทบเชิงลบที่จะตามมาในช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่าน โดยมองว่าจะต้องเป็นการเริ่มจากก้าวเล็ก ๆ ไม่ได้เป็นการยิงพลุในการทำ CSR แต่เป็นการคาดหวังในการขยายผลที่เป็นวงกว้างได้ ทั้งนี้ ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ธปท. และ 8 ธนาคารพาณิชย์ ได้ร่วมกันวางแผนการสนับสนุนเงินทุนเพื่อการเปลี่ยนผ่าน ให้ตอบโจทย์การทำธุรกิจและสิ่งแวดล้อม โดยหวังว่าโครงการดังกล่าวจะช่วยให้ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SME ปรับตัวอย่างจริงจัง และเปลี่ยนผ่านสู่การสร้างความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม และขยายวงกว้างต่อไปได้

"การสนับสนุนทางการเงิน เพื่อการปรับตัวจากธุรกิจที่ยังไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น (จาก brown สู่ less brown) หรือ Financing the Transition จึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับประเทศ ซึ่งอาจต้องเริ่มจากก้าวเล็ก ๆ ให้เกิดขึ้นได้จริงอย่างเป็นรูปธรรม และสามารถขยายผลในวงกว้างได้" ผู้ว่าฯ ธปท. กล่าว

นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวถึง เส้นทางการขับเคลื่อนภาคการเงินเพื่อความยั่งยืนของ ธปท. ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ ว่า เริ่มจาก 1.การสร้างความตระหนักถึงความสำคัญและบทบาทของภาคธนาคารในการสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่เป็นรากฐานสำคัญของการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิดการธนาคารเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Banking)

2.การกำหนดทิศทางภาคการเงินเพื่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อสื่อสารความคาดหวังให้ธนาคารพาณิชย์ประเมินโอกาส และความเสี่ยงจากประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่สนับสนุนลูกค้าให้ปรับตัว เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม

3.การวางรากฐานสำหรับระบบนิเวศเพื่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ การออกแนวนโยบายของ ธปท. เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ผนวกประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจตลอดทั้งกระบวนการ และจัดทำ Thailand Taxonomy

โดยจากกระบวนการขับเคลื่อนข้างต้น จึงนำมาสู่ความร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์ เพื่อออกผลิตภัณฑ์สนับสนุนให้ภาคธุรกิจปรับตัวอย่างเป็นรูปธรรมที่เหมาะกับบริบทไทย ผ่านโครงการ Financing the Transition ซึ่งภายในงาน ผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์ทั้ง 8 แห่ง ได้กล่าวถึงผลิตภัณฑ์ที่ธนาคารแต่ละแห่งสนับสนุนการปรับตัวของธุรกิจ และยังมีกิจกรรมเพื่อให้ความรู้และคำปรึกษาในการปรับการดำเนินธุรกิจให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งครอบคลุมภาคเศรษฐกิจสำคัญของไทย อาทิ อุตสาหกรรมการผลิตอาหารและเครื่องดื่ม อุตสาหกรรมการเกษตร ภาคก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจโรงแรม

"ธปท.หวังเป็นอย่างยิ่งว่า โครงการนี้จะช่วยสนับสนุนการปรับตัวของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs และช่วยจุดประกายให้แก่ภาคส่วนต่าง ๆ ตลอดนำไปสู่ความร่วมมือในวงกว้าง เพื่อขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืนต่อไป" นายรณดล กล่าว

#ธปท #เศรษฐกิจสีเขียว #ข่าววันนี้ #สินเชื่อ