“ภูมิธรรม”เดือดสวน “อนุทิน” ปมโยกย้าย มท. ลั่น “ถ้าจะคิดแบบนี้ ผมคงย้ายผู้ว่าฯบุรีรัมย์ไปแล้ว”

“ภูมิธรรม”เดือดสวน “อนุทิน” ปมโยกย้าย มท. ย้ำทำทุกอย่างโปร่งใส ท้าตรวจสอบคุณธรรม ลั่น “ถ้าจะคิดแบบนี้ ผมคงย้ายผู้ว่าฯบุรีรัมย์ไปแล้ว”

เมื่อวันที่ 11 ก.ย.68 นายภูมิธรรม เวชยชัย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เตรียมโยกย้ายข้าราชการกระทรวงมหาดไทยอีกครั้ง เนื่องจากต้องคืนความเป็นธรรม ว่า ตนยังไม่ได้โยกย้ายมาก ซึ่ง รมว.มหาดไทยคนเก่า ย้ายไป 20 ถึง 30 คน ขอให้ไปถามดู ว่าที่ผ่านมาเป็นอย่างไร และที่ผ่านมา ไหนบอกว่าจะเข้ามาแก้ไขปัญหาทันทีภายใน 4 เดือน มาถึงก็เริ่มจะโยกย้ายข้าราชการกระทรวงมหาดไทยแล้ว จะเปลี่ยนแปลงอธิบดีกรมที่ดิน และอธิบดีในหลายๆ ส่วน และหากอยากเห็นคุณธรรมอยากเห็นอะไร ขอให้ไปตรวจสอบได้ ว่าสิ่งที่ตนย้าย มีคุณธรรมหรือไม่

"ถ้าคิดอย่างนี้ ผมคงย้าย ‘ผู้ว่าฯ บุรีรัมย์’ ก่อน แต่นี่ยังไม่ได้ย้ายเลย ส่วนที่ย้ายอธิบดีกรมการปกครองไป ใครก็รู้ว่าโตมาจากไหน ผู้ว่าฯบุรีรัมย์ขึ้นมาเป็น ปภ. ปภ.ปีเดียวเอง ขึ้นมาเป็นปกครอง ก็หมดอายุแล้ว ผมก็คิดว่ามันมีเรื่องราวต่างๆ ที่คิดว่าย้าย น่าจะดีที่สุด ไม่อยากจะทำอะไรที่มากไปกว่านี้" นายภูมิธรรม กล่าว

ส่วนการโยกย้ายเพื่อให้สามารถทำงานกับรัฐบาลใหม่ได้ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ก็เป็นสิทธิ์ อยากให้ย้ายอย่างไรก็ย้าย แต่อย่าบอกว่าย้ายเพื่อคุณธรรม หรือย้ายเพื่อคืนความเป็นธรรม เพราะตนทำอะไร ที่ไม่ได้ไม่เป็นธรรม ก็ตรวจสอบได้ อธิบดีทุกคนที่ตนย้าย มีข้อมูลซึ่งตนไม่ได้มีปัญหาอะไร ตนก็ย้ายเพื่อการปฏิบัติงานที่เหมาะสม ที่ถูกที่ควร อธิบดีทุกคนคิดได้หมด

แม่ยังคิดถึงทุกวัน! ครอบครัวสิบตรีธีรยุทธ ทำพิธีเชิญดวงวิญญาณกลับบ้าน

ครอบครัวสิบตรีธีรยุทธ กระจ่างทอง ทหารกล้าชาวบุรีรัมย์ ที่เสียชีวิตในสนามรบจากเหตุปะทะชายไทย-กัมพูชา นิมนต์พระทำพิธีเชิญดวงวิญญาณกลับบ้านตามความเชื่อ หลังเข้าฝันแม่บอกยังติดอยู่ในจุดเกิดเหตุกลับบ้านไม่ได้ แม่เผยยังคิดถึงลูกทุกวัน

วันที่ 30 ส.ค.68 ครอบครัวสิบตรีธีรยุทธ กระจ่างทอง อายุ 22 ปี ชาว อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ ทหารกล้าที่เสียชีวิตในสนามรบ จากเหตุปะทะชายแดนไทย–กัมพูชา ณ ฐานช่องตาเฒ่า อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 28 ก.ค.68 ได้นิมนต์มาพระมาทำพิธีเชิญดวงวิญญาณ ที่วัดโพธิ์ทรายทอง อ.ละหานทราย   หลังเข้าฝันแม่บอกกลับบ้านไม่ได้ ยังติดอยู่ในจุดเกิดเหตุ ทางครอบครัวจึงได้นิมนต์พระมาทำพิธีเชิญดวงวิญญาณกลับบ้านตามประเพณีความเชื่อของชาวอีสานใต้   และเพื่อความสบายใจของคนในครอบครัวที่รักและเป็นห่วง โดยในพิธีได้มีการนำเสื้อผ้าของใช้ ของสิบตรีธีรยุทธ   มาให้พระทำพิธีเรียกดวงวิญญาณตามประเพณีโบราณที่สืบทอดกันมา 

นางติน กระจ่างทอง อายุ 60 ปี แม่ของสิบตรีธีรยุทธ เล่าว่า ลูกชายมาเข้าฝันบ่อยครั้ง บอกว่า “กลับบ้านไม่ได้ ยังติดอยู่ใต้ต้นจิก” ที่จุดเกิดเหตุ จึงสอบถามพระที่วัดและได้รับคำแนะนำว่า เนื่องจากเสียชีวิตในสนามรบ และไม่ได้มีการเชิญวิญญาณจากจุดเกิดเหตุ ทำให้ดวงวิญญาณยังไม่สงบ ครอบครัวจึงตัดสินใจทำพิธีตามความเชื่อโบราณ  และเพื่อความสบายใจของคนในครอบครัว อยากให้ดวงวิญญาณของลูกชายไปสู่สุขคติ  ทุกวันนี้แม่ยังคิดถึงลูกทุกวัน บางวันที่คิดถึงลูกก็แอบนั่งน้ำตาไหลคนเดียว

ขณะที่นางสาวหอมจันทร์ กระจ่างทอง พี่สาวสิบตรีธีรยุทธ เปิดเผยว่า ตัวเองไม่เคยฝันเห็นน้องชาย แต่เขาจะมาหาหลานทำให้หลานป่วย ก็แปลกใจมากไม่รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเขาอยากให้เชิญดวงวิญญาณเขากลับมาอยู่ที่บ้าน ก่อนหน้านี้ไปดูดวงหมอดูก็ทักบอกว่า เขายังไม่ได้กินอะไรเลย ตอนที่ทำพิธียกเสาเอกเสาโท เพื่อก่อสร้างบ้านหลังใหม่ เขาดีใจมาก ได้พาเพื่อนทหารที่เสียชีวิตด้วยทั้งหมดเป็นกองร้อยมากินเครื่องเซ่นไหว้  แต่เขาไม่ได้กินเขามองเห็นเพื่อนๆเขากิน และเขาก็โมโห เพราะว่าเขาก็ไม่ได้กินด้วย จึงไปเข้าฝันคนในครอบครัว จึงได้ตัดสินใจทำพิธีเชิญดวงวิญญาณน้องกลับบ้าน และจัดข้าวน้ำให้น้องกินตามประเพณีความเชื่อ ก็เชื่อว่าหลังจากทำพิธีแล้ววิญญาณน้องจะได้กลับบ้าน

ด้านพระมหาศักดิ์มงคล สิทธิยาโณ พระลูกวัดโพธิ์ทรายทอง อธิบายว่า การเชิญวิญญาณเป็นพิธีโบราณที่สืบทอดกันมา โดยเฉพาะกรณีผู้เสียชีวิตไม่ผิดธรรมชาติ  ซึ่งกรณีนี้ถือว่าตายในสนามรบ  หากไม่ได้เชิญวิญญาณจากสถานที่เกิดเหตุ  ครอบครัวสามารถทำพิธีที่วัดแทนได้ เพื่อให้ดวงวิญญาณกลับมาอยู่กับครอบครัวและไม่ล่องลอยไปในภพภูมิอื่น ซึ่งพิธีดังกล่าวเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ที่ทำเพื่อความสบายใจของครอบครัวผู้สูญเสีย

บุรีรัมย์ TMAC-EOD เร่งเก็บกู้ระเบิดชายแดน เผยอยากได้ชุด Hook and Line ช่วยกู้

หน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมที่ 3 ร่วมกับชุด EOD ตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ เร่งสำรวจเพื่อพิสูจน์ทราบ เก็บกู้และทำลายระเบิดในพื้นที่ อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นพื้นที่แนวชายแดนไทย-กัมพูชา  ที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีของฝ่ายกัมพูชา ขณะที่ชุดเก็บกู้ฯ เผยอยากได้ชุดอุปกรณ์เกี่ยวลากวัตถุต้องสงสัยระยะไกล (Hook and Line) เพื่อนำมาใช้เก็บกู้ เนื่องจากส่วนใหญ่ฝังลึกอยู่ในดิน จึงยากต่อการเก็บกู้ ส่วนที่มีอยู่ไม่เพียงพอต่อการใช้ปฎิบัติหน้าที่ 

 เมื่อวันที่ 13 ส.ค.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมที่ 3 ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) ศูนย์บัญชาการทางทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ยังคงปฎิบัติหน้าที่ร่วมกับ หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด (EOD)กองกำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ (EOD กก.สืบสวน ภ.จว.บุรีรัมย์) 

ออกทำการสำรวจเพื่อพิสูจน์ทราบ เก็บกู้ และทำลายสรรพาวุธระเบิด ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีของฝ่ายกัมพูชา ที่ถูกยิงตกลงมาในพื้นที่ อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ที่ยังคงพบว่าในพื้นที่ตำบลที่มีกระสุนตกของ อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ มีพื้นที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีของฝ่ายกัมพูชา ทั้งจากการยิงปืนใหญ่ และจรวด BM-21 รวมแล้วมากกว่า 200 ลูก ตกอยู่ในพื้นที่ชุมชน บ้านเรือน และพื้นที่ทางการเกษตร ทั้งที่ระเบิดแล้วและที่ยังไม่ระเบิด ซึ่งได้ตรวจพื้นที่ระเบิดไปแล้วจำนวน 124 จุด มีการทำลายไปแล้ว 1 ลูก และรอการเก็บกู้นำไปทำลายอีก 7 ลูก 

เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้ฯ จึงได้ทำการเก็บเศษชิ้นส่วนของวัตถุระเบิด พร้อมมาร์กจุดเสี่ยง เพื่อให้สามารถเก็บกู้และทำลายได้อย่างปลอดภัย เพื่อสร้างความสบายใจให้ประชาชนในพื้นที่ โดยเมื่อช่วงบ่ายของวานนี้ (12ส.ค.68) เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้ฯ ได้ทำการสำรวจ พิสูจน์ทราบ เก็บกู้ และทำลายสรรพาวุธระเบิด รวมจำนวน 18 จุด เป็นพื้นที่กระสุนปืนใหญ่ 6 จุด และจรวด BM-21 อีก 12 จุด 

นอกจากนี้ ยังได้ทำการเก็บกู้กระสุนปืนใหญ่และจรวด BM-21 ที่พบว่าฝังอยู่ในชั้นใต้ผืนดินลึกลงไปไม่ต่ำกว่า 1-7 เมตร ซึ่งยากต่อการเก็บกู้ เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้ฯ จึงได้ทำการเก็บกู้ โดยการเคลื่อนย้ายวัตถุระเบิดระยะไกล ด้วยชุดอุปกรณ์เกี่ยวลากวัตถุต้องสงสัย (Hook and Line) คือการใช้เชือกและตะขอเกี่ยวสำหรับใช้ เคลื่อนย้ายวัตถุต้องสงสัยออกจากสถานที่ ที่ไม่สามารถทำการเก็บกู้ได้สะดวก โดยสามารถทำงานจากระยะไกล เพื่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้ ซึ่งการเก็บกู้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยดี

อย่างไรก็ตาม พบว่าเจ้าหน้าที่ หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด EOD กก.สืบสวน ภ.จว.บุรีรัมย์ ยังขาดแคลนและมีความต้องการ ชุดอุปกรณ์เกี่ยวลากวัตถุต้องสงสัยระยะไกล (Hook and Line) เพื่อนำมาใช้ในการเก็บกู้ เนื่องจากที่มีอยู่ไม่เพียงพอต่อการใช้ปฎิบัติหน้าที่ เนื่องจากกระสุนปืนใหญ่และจรวด BM21 ที่ตกลงมาในพื้นที่นั้น ได้ตกลงไปฝังลึกอยู่ในชั้นผิวดินมากกว่า 1-7 เมตร ทำให้ยากต่อการเก็บกู้นำมาทำลาย จำเป็นต้องขุดดินลึกลงไป แล้วใช้ชุดอุปกรณ์เกี่ยวลากวัตถุต้องสงสัยระยะไกล (Hook and Line) ซึ่งสามารถเคลื่อนย้ายวัตถุต้องสงสัยในระยะไกล แล้วทำการเกี่ยวลากขึ้นมา ซึ่งเป็นวิธีที่จะเกิดความปลอดภัยแก่เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้ฯ ผู้ปฎิบัติงาน.

"ทนายความบุรีรัมย์" แถลงยัน ปชช. มีสิทธิ์ทาง กม.ครอบครองที่ดิน "เขากระโดง" เพราะ "รฟท." ไม่มีพรฎ.และแผนที่แนบท้ายอ้างกรรมสิทธิ์

“ทนายความบุรีรัมย์” แถลงยัน ปชช. มีสิทธิ์ทาง กม.ครอบครองที่ดิน ”เขากระโดง“ เพราะ ”รฟท.“ ไม่มีพรฎ.และแผนที่แนบท้ายอ้างกรรมสิทธิ์ ย้ำคำพิพากษาศาลฎีกาผูกพันเฉพาะคู่ความ และกังขาหลักฐานแสดงต่อศาลปม 35รายเป็นเท็จหรือไม่ ลั่น มท.เพิกถอนเมื่อไหร่ฟ้องกราดรูดทั้งแพ่งและอาญา ด้าน “ศุภชัย” ซัด ไม่ใช่กลั่นแกล้งแต่เข่นฆ่าทางการเมือง ขณะที่ชาวบ้าน ชี้หากถูกยึดต้องชดใช้ 2 หมื่นล้าน อัด “ภูมิธรรม” กับเขมรทำตัวเป็นมะเขือเผากับคนไทยเป็นหมาป่าพร้อมขย้ำ ด้าน “เจ้าของโรงโม่หิน” ยัน มีโฉนดตั้งแต่รุ่นพ่อเชื่อทุกอย่างอยู่ที่หลักฐาน
   
วันที่ 7 ส.ค. ที่สนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ตัวแทนประชาชนจังหวัดบุรีรัมย์ ผู้ประกอบการธุรกิจ และนิติบุคคล ที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมายในพื้นที่เขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ร่วมจัดงานแถลงข่าว เพื่อตอบโต้ และชี้แจงกรณีการแถลงข่าวของ นายภูมิธรรม เวชยชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย(มท.1) และ นายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.3)  เมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา เรื่องการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ในที่ดินกว่า 5,083 ไร่ ซึ่งมีผู้ถือครองมากถึง 995 ราย  
       
นายชนินทร์ แก่นหิรัญ ทนายความผู้รับผิดชอบคดีเขากระโดง ชี้แจงกรณีข้อพิพาทสิทธิในที่ดินบริเวณเขากระโดง ต.อิสาณ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ โดยยืนยันว่า สิทธิในที่ดินของประชาชนยังคงชอบด้วยกฎหมาย แม้จะมีคำพิพากษาศาลฎีกา และศาลอุทธรณ์บางคดีที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) นำมาอ้าง แต่ภายใต้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคสอง คำพิพากษาดังกล่าวผูกพันเฉพาะคู่ความ และที่ดินพิพาทในคดีเท่านั้น ไม่อาจยกขึ้นยันกับราษฎรผู้ถือเอกสารสิทธิตามกฎหมายในที่ดินแปลงอื่น ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว และได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127 และประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 2 และมาตรา 3 อีกทั้งยังได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 37 อีกด้วย
    
นายชนินทร์ ระบุด้วยว่า จนถึงปัจจุบันไม่ปรากฏว่ามีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขต และจัดซื้อที่ดิน พร้อมแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาประกาศในราชกิจจานุเบกษา รับรองให้ รฟท. ได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บนที่ดินบริเวณเขากระโดงตามพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟและทางหลวง พ.ศ. 2464 หรือกฎหมายอื่นใด ดังนั้น ที่ดินพิพาทจึงไม่ตกเป็น “ที่ดินรถไฟ” ตามนิยามในพระราชบัญญัติดังกล่าว
      
นอกจากนั้น แผนที่สำรวจ (Exploitation Plan) ดังกล่าว จัดทำขึ้นเพื่อรองรับการขนย้ายหินบริเวณเขากระโดงชั่วคราว โดยอาศัยพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟและทางหลวง พ.ศ.2464 มาตรา 45 จึงไม่ใช่ทางรถไฟเพื่อใช้ในการเดินรถตามมาตรา 3 (3) ของพระราชบัญญัติเดียวกัน และไม่ใช่แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาที่ผ่านกระบวนการพระราชทานโปรดเกล้าฯ ตามกฎหมาย
     
นายชนินทร์ กล่าวว่า ข้อเท็จจริงข้างต้นยืนยันอย่างชัดเจนว่า ราษฎรผู้ถือครองเอกสารสิทธิโดยสุจริตยังคงมีสิทธิครอบครอง และใช้ประโยชน์ที่ดินบริเวณเขากระโดง โดยชอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ทุกประการ และได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศไทย และยังมีสิทธิในการต่อสู้ รวมถึงพิสูจน์ถึงความไม่ชอบของแนวเขตที่ดินที่ รฟท. กล่าวอ้าง

“หากนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย อธิบดีกรมที่ดิน รวมถึงหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ยังคงดำเนินการเพิกถอนโฉนดโดยยึดถือแผนที่หรือข้อมูลเท็จของ รฟท. เพื่อสนองนโยบายทางการเมือง อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายอย่างร้ายแรง ราษฎรทุกรายผู้ได้รับผลกระทบ จะยืนหยัดปกป้องสิทธิของตนอย่างถึงที่สุด ไม่ว่าจะฟ้องเพิกถอนคำสั่งทางปกครอง และเรียกค่าเสียหาย หรือดำเนินคดีอาญาฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เบิกความเท็จ ปลอมแปลงเอกสารราชการ และความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้กระทำต้องรับผิดจนกว่าคดีจะถึงที่สุด” 

นายชนินทร์ กล่าวว่า คดียังอยู่ในศาล เพราะ รฟท.ไปยื่นร้องศาลปกครองให้พิจารณาว่า อธิบดีกรมที่ดิน โดยคณะกรรมการมาตรา 61 ดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แต่บังเอิญมาถูกซ้อนทางการเมือง   โดยรมว.มหาดไทยไปตั้งคณะกรรมซึ่งอยู่นอกกฎหมาย แล้วมาบอกว่าคณะกรรมการมาตรา 61 มิชอบ ซึ่งคณะกรรมการมาตรา 61 ใช้เวลา 1 ปี 8 เดือน กว่าจะตัดสินใจว่ารับฟังพยานรอบด้านหมดแล้ว มีความเห็นไม่เพิกถอน แต่คณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยรมว.มหาดไทย ใช้เวลา 8 วัน ฝีมือจริงๆต้องเป็นเทพเท่านั้นจึงจะวินิจฉัยได้ ฉะนั้น ใครก็แล้วแต่ที่ทำอะไรไว้ต้องรับผล ถ้าเกิดความเสียหายต่อประชาชน การเล่นเกมทางการเมืองของเขา เขาจะต้องรับผล

    
นายตฤณ แก่นหิรัญ ทนายความ กล่าวว่า เมื่อ รฟท.ไม่สามารถแสดงสิ่งที่เป็นพยานหลักฐานที่กฎหมายกำหนดได้ รฟท.จะมากล่าวอ้างลอยๆ ว่าที่ดิน 5,083 ไร่ เป็นที่ของรฟท.ไม่ได้ ที่ดินผืนนี้ไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของ รฟท. จึงไม่อาจมาหวงห้ามเอกชนที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ได้ ถ้า รฟท.คิดว่ามีหลักฐานที่ดีกว่าก็เอามาแสดงกัน เพราะประชาชนทุกคนที่อยู่ที่นี่พร้อมพิสูจน์ความจริงให้เป็นที่ประจักษ์ในชั้นศาล
    
เมื่อถามว่า ที่แถลงวันนี้ รฟท. ใช้เอกสารเท็จแสดงต่อศาลฎีกาในอดีตใช่หรือไม่  นายตฤณ กล่าวว่า ถ้ามาเทียบของจริง ก็ต้องบอกว่าไม่ถูกต้องกับข้อเท็จจริง และ ไม่ถูกต้องหลักในการทำภูมิศาสตร์ และสนเทศศาสตร์ เพราะแผนที่ของรฟท. ไม่ใช่แผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกา  โดยเอาหัวตนเป็นประกัน  และไม่ต้องไปดูมาตราส่วน หากเอามาตราส่วนมีคนติดคุกแน่นอน และยืนยันเป็นข้อมูลเท็จกันมาถึงทุกวันนี้   
    
ถามต่อว่า ทั้ง35 รายที่ศาลฎีกาตัดสินไปแล้ว  และถูกเพิกถอนถือเป็นเอกสารเท็จใช่หรือไม่ นายตฤณ กล่าวว่า ตนไม่กล่าวล่วงตอนนำสืบช่วงนั้นเป็นไร เพราะพึ่งมารับผิดชอบคดีเมื่อ2 ปี  แต่ยืนยันว่าข้อมูลที่ตนมีถือว่ามีประโยชน์กับทั้ง 35 ราย หากต้องการเรียกร้องสิทธิ์คืน   
     
เมื่อถามว่าหากมีการนำเอกสารเท็จในอดีตต่อศาลจะติดคุกหรือไม่ นายตฤณ  กล่าวว่า ถ้าเป็นเอกสารเท็จก็ติดคุก 
    
ส่วนความพร้อมจะพาผู้เสียหาย 995 รายในขณะนี้ ไปพิสูจน์สิทธิ์กับ รฟท. ในชั้นศาลใช่หรือไม่ หากถูกกรมที่ดินเพิกถอนโฉนด นาย ตฤณ กล่าวว่า แน่นอน หากมีคำสั่งเพิกถอนจริงๆ เราก็ต้องอุทธรณ์คำสั่งและว่าไปตามกฎหมาย 
    
ส่วนจะดำเนินการอย่างไรกับรัฐมนตรีในกระทรวงมหาดไทย ที่สั่งให้กรมที่ดินเพิกถอนที่ดินพิพาท นายศุภชัย ใจสมุทร ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า  สังคมเห็นกระบวนการของรมว.มหาดไทย และ รมช.มหาดไทย ที่เกี่ยวข้องที่เห็นว่าดำเนินการไม่ชอบด้วยกฎหมายตั้งแต่ต้น  และ ตนเป็นห่วงว่า เมื่อได้อธิบดีกรมที่ดินคนใหม่แล้ว จะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไรต่อไป เพราะต้องทำตามประมวลกฎหมายกฎหมายที่ดิน ซึ่งมาตรา 61 วรรค8 จะต้องเพิกถอนด้วยคำสั่งศาล ถึงที่สุด แต่วันนี้ชาวบ้าน 995 ราย ยังไม่มีคำพิพากษาอะไรเลยเพราะผูกพันแค่ 35 ราย จึงขอบอกว่า วันนี้การรถไฟบุกรุกที่ชาวบ้านอยู่  

“วันนี้ถ้า มท.1 และมท. 3 และ การรถไฟมาลงพื้นที่เขากระโดง  ถ้าพวกท่านไม่ยินยอม สามารถดำเนินคดีพวกเขาได้เลย  ดังนั้นหากทางกระทรวงมหาดไทย เริ่มเพิกถอน เมื่อไหร่ดำเนินคดีก็จะนับหนึ่ง และเมื่อถามว่าวันนี้เป็นการกลั่นแกล้งทางการเมืองหรือไม่ ผมขอบอกว่าตั้งใจเข่นฆ่าทางการเมือง”   นายศุภชัย กล่าว
    
ด้าน นายทิวา การกระสัง ทนายความ และ 1 ในเจ้าของที่ดินบริเวณเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนในกรณีพิพาทกับ รฟท. โดยระบุว่า ตนเองถือครองเอกสารสิทธิ์ในที่ดินประเภท นส.3 ตั้งแต่ปี 2510 ซึ่งการจะออกเอกสารสิทธิ์ดังกล่าวได้ ต้องมีการแจ้ง สค.1 มาตั้งแต่ปี 2497 ก่อนที่ตนเอง และหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะเกิดด้วยซ้ำ
    
นายทิวา ระบุว่า การที่ รฟท. อ้างกรรมสิทธิ์เหนือที่ดินในปี 2539 นั้น เป็นสิ่งที่ประชาชนไม่สามารถยอมรับได้ เพราะเกือบ 29 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีหมุดหรือป้ายแสดงกรรมสิทธิ์ของ รฟท. แต่ว่า ปรากฏอยู่ในพื้นที่ที่ประชาชนอยู่อาศัย และครอบครองมาโดยสุจริต อีกทั้งยังตั้งคำถามว่า ใช้หลักคิดใดในการระบุว่าที่ดิน 5,083 ไร่ เป็นของรัฐ โดยอ้างคำพิพากษาศาลฎีกา
    
“ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า คำพิพากษาของศาลฎีกา ที่ตัดสินว่าที่ดิน 5,083 ไร่เป็นการบุกรุก และยึดที่หลวง เป็นเรื่องที่ช้ำใจ และเจ็บปวดมาก เพราะเราอยู่ตรงนี้มานาน อยู่โดยสุจริต มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย” นายทิวา กล่าว
    
นายทิวา ยังอธิบายเพิ่มเติมว่า หากพิจารณาตามหลักรัฐธรรมนูญ คำพิพากษาของศาลฎีกาไม่ได้ผูกพันองค์กรอื่น เช่น รฟท. กรมที่ดิน หรือประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะในกรณีที่ประชาชนเหล่านั้นไม่ได้เป็นคู่ความในคดี ความผูกพันทางกฎหมายมีเพียงผลของคำพิพากษา ไม่ใช่ข้อเท็จจริง ซึ่งคำตัดสินในแต่ละรายต้องพิจารณาตามพยานหลักฐานของแต่ละบุคคล

    ”คำพิพากษาศาลฎีกาทั้ง 39 ราย เป็นคำตัดสินเฉพาะราย ไม่ได้ผูกพันกับประชาชนอีก 995 รายที่ไม่ได้เป็นคู่ความ เราในฐานะประชาชน ยืนยันว่าพร้อมต่อสู้คดี และขอให้รัฐเตรียมรับผิดชอบหากจะยึดพื้นที่กลับไปใช้งาน โดยต้องเตรียมงบประมาณเยียวยาประชาชนราว 20,000 ล้านบาท ตามหลักรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดให้รัฐต้องชดใช้ความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของรัฐ” นายทิวา ระบุ
   
ในช่วงท้าย นายทิวายังกล่าวถึงท่าทีของ รฟท. ที่ขู่ว่าหากไม่ยอมเจรจา จะนำที่ดินดังกล่าวไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ โดยตั้งคำถามกลับว่า ใช้อะไรคิด และมีหัวใจความเป็นคนไทยหรือไม่ พร้อมเปรียบเทียบกับท่าทีที่อ่อนโยนกว่านี้ที่หน่วยงานรัฐมีต่อประเทศเพื่อนบ้าน

 “ทีกับกัมพูชา ทำตัวเป็นมะเขือเผา ไปเจรจาที่มาเลเซียก็ให้เขาพูดตั้งครึ่งชั่วโมง แต่พูดเองแค่ 3 นาที พอเจอคนไทยกลับทำเหมือนเป็นหมาป่าจะขย้ำเหยื่อ” ทิวากล่าว 
    
นายทิวา กล่าวทิ้งท้ายว่า หากมีการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์จริง ประชาชนกว่า 995 รายในพื้นที่ พร้อมสู้คดีเต็มที่ และตนก็พร้อมเป็นทนายให้ทุกคนในเรื่องนี้


    
นายกิตติเทพ เจียรพันธ์ เจ้าของกิจการโรงโม่หิน  300 กว่าไร่ที่โดนคดี กล่าวว่า ตั้งแต่รุ่นพ่อของตน ทำกิจการรองโม่หินผลิตหินขายให้รฟท. เรางานส่งรฟท.มาตลอด ซึ่งการประกอบกิจการนี้ต้องซื้อที่ดินจำนวนมาก และต้องอยู่ใกล้กับรถไฟที่จะมาขนหิน ซึ่งโรงโม่หินของตนอยู่ในพื้นที่ที่รฟท.อ้างสิทธิ์ แต่ตนมีโฉนดตั้งแต่รุ่นพ่อประมาณปี 2514 หรือ 2515 ซึ่งการได้โฉนดได้มาจากการซื้อ นส.3 จากชาวบ้านแล้วมาออกโฉนดภายหลัง 
   
“การออกโฉนดทุกครั้งจะมีเจ้าหน้าที่รฟท. มาเซ็นระวางแนวเขตข้างเคียง โดยสำนักงานที่ดินจะทำหนังสือส่งไปที่รฟท. ซึ่งรฟท.จะมีหนังสือมอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่จากรฟท. มาชี้ระวางแนวเขต ทุกครั้งที่ออกเป็นโฉนดได้ ก็มีเจ้าหน้าที่รฟท. มาระวางแนวเขตให้ทุกครั้ง แต่อยู่ดีๆวันนี่รฟท. บอกว่าที่ที่ออกโฉนดเป็นที่รฟท.ทั้งหมด ผมไม่ทราบว่าเขาพิจารณากันอย่างไร ส่วนการต่อสู้คดี ผมคิดว่าต้องลองสู้กันสักตั้งว่าจะเป็นอย่างไร ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเอกสารหลักฐาน และดุลยพินิจของศาล“ นายกิตติเทพ กล่าว
    
นายกิตติเทพ กล่าวด้วยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นคิดว่าเป็นเรื่องการเมืองที่โจมตีกัน ถ้าไม่ใช่เรื่องการเมือง ตนคิดว่าวันนี้เขากระโดงคงไม่มีเรื่องมีราวแบบนี้ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างตนขอพึ่งทางผู้พิพากษาที่จะพิจารณาคดี ผู้เสียหายมีจำนวนมาก ซึ่งตนโดนมากที่สุด เพราะมีที่ดินตรงนี้ 1,000 กว่าไร่ เป็นที่ที่อยู่ในพื้นที่พิพาท 300 กว่าไร่


 

ผู้บริหารสนามแข่งรถ-ฟุตบอลบุรีรัมย์ แถลงโต้ มท.-รฟท.ยึดพื้นที่เขากระโดง

ผู้บริหารสนามแข่งรถ-ฟุตบอลบุรีรัมย์ แถลงโต้ มท.-รฟท.ยึดพื้นที่เขากระโดง เอาการเมืองกลบทุกเสียงของความเป็นธรรม  พร้อมทำวงการกีฬา ล่มสลายทั้งระบบ” ยันตลอดปี 2025/2026 เดินหน้าจัดแข่งขันทั้งในระดับประเทศและนานาชาติต่อไปเพราะยังไม่มีหน่วยงานรัฐเข้ามายึด

เวลา10.30น. เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต  ตัวแทนประชาชนจังหวัดบุรีรัมย์ ผู้ประกอบการธุรกิจ และนิติบุคคลที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมายในพื้นที่เขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ร่วมจัดงานแถลงข่าว เพื่อตอบโต้และชี้แจงกรณีการแถลงข่าวของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา เรื่องการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ในที่ดินกว่า 5,083 ไร่ ซึ่งมีผู้ถือครองมากถึง 995 ราย  ในประเด็น ผลกระทบต่อกีฬาและเศรษฐกิจประเทศ 

หนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบคือ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต สนามแข่งรถมาตรฐานระดับโลก มาตรฐาน FIA เกรด 1 และ FIM เกรด A แห่งเดียวของไทย และ สนามช้างอารีนา สนามฟุตบอลมาตรฐาน FIFA  ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านกีฬาและเศรษฐกิจที่สำคัญยิ่งของจังหวัดบุรีรัมย์และประเทศไทย 

นายตนัยศิริ ชาญวิทยารมณ์ ผู้อำนวยการ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต กล่าวว่า สนามช้างฯ ไม่ใช่แค่สนามแข่งรถ แต่คือหัวใจของอุตสาหกรรมมอเตอร์สปอร์ตไทย ทั้งยังเกี่ยวโยงกับธุรกิจท่องเที่ยว การบริการ การจ้างงานหลายหมื่นอัตรา ซึ่งที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศ กว่าปีละ 5,000 ล้านบาท  หากไม่สามารถดำเนินงานได้ ย่อมกระทบลึกไปถึงเศรษฐกิจและทำให้ประเทศเสียเครดิตในเวทีโลก

โดยเน้นย้ำว่า รายการแข่งขันระดับโลก เช่น MotoGP, Asia Road Racing, GT World Asia, Asian Leman ฯลฯ และอีกหลายรายการที่จ่อคิวจัดในไทย อาจต้องย้ายประเทศทันที หากความไม่แน่นอนนี้ยังคงดำเนินต่อไป รวมไปถึงรัฐบาลจะต้องจ่ายค่าปรับจำนวนเงินมหาศาลให้กับเจ้าของลิขสิทธิ์หากต้องยกเลิกการจัดการแข่งขัน ในขณะที่รายการแข่งขันชิงแชมป์ประเทศไทย อย่าง BRIC Superbike ซึ่งเป็นเวทีให้เยาวชนไทยได้รับโอกาสสู่การเป็นนักแข่งระดับโลกมากมายหลายคน อาจต้องจบเส้นทางลงหากโดนแทรกแซงทางการเมืองเช่นนี้ 

ข้อเท็จจริงประการสำคัญที่สาธารณะชนควรทราบ คือที่ดินที่เป็นพื้นที่ของสนามแข่งรถในปัจจุบัน ถูกซื้อตั้งแต่ปี 2556 ซึ่งขณะนั้นกรมที่ดินได้อนุญาตให้ทำการซื้อขายและออกเอกสารสิทธิ์ให้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่วันนี้ที่ดินที่ซื้อมาอย่างถูกต้องกลับถูกคำสั่งเพิกถอนจากข้อพิพาทระหว่างกรมที่ดินกับการรถไฟ ชาวบ้านและเอกชนจึงกลายเป็นเหยื่อผู้ได้รับผลกระทบอย่างไม่เป็นธรรม 

“นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของสนามแข่ง แต่คือพายุลูกใหญ่ที่ถาโถมเข้าสู่วงการกีฬาไทย หากปล่อยให้การเมืองกลบทุกเสียงของความเป็นธรรม วงการมอเตอร์สปอร์ตทั้งระบบอาจล่มสลาย” นายตนัยศิริ กล่าวทิ้งท้าย 

ในส่วนของ สนามช้างอารีนา ซึ่งเป็นสนามฟุตบอลมาตรฐาน FIFA ที่รองรับการแข่งขันระดับชาติและเอเชีย ก็เผชิญความไม่แน่นอนเช่นกัน 

นายประมูลชัย นพสุวรรณวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานทรัพย์สิน และผู้อำนวยการสายงานการตลาดและการสื่อสาร สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กล่าวว่า “สนามช้างอารีนา ไม่เพียงแต่เป็นสนามเหย้าของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แต่ยังเป็นสังเวียนการแข่งขันระดับชาติและนานาชาติ ที่มีบทบาทสำคัญต่อพัฒนาการของวงการลูกหนังไทย ทั้งยังเป็นกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และภาพลักษณ์ของจังหวัดบุรีรัมย์”  

ปัญหานี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของเอกสารสิทธิหรือการจัดการที่ดินเท่านั้น แต่คือความมั่นคงและศักยภาพของจังหวัดบุรีรัมย์ในฐานะเมืองต้นแบบการท่องเที่ยวเชิงกีฬาและวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศไทย  

หากในท้ายที่สุดแล้ว ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง โดยไม่มีแนวทางแก้ไขที่รอบคอบ จะไม่ใช่แค่บุรีรัมย์ที่เสียหาย แต่คือวงการกีฬาทั้งระบบ 

อย่างไรก็ตาม ณ ขณะนี้ยังไม่มีเอกสารอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานรัฐหน่วยใดส่งมายังสโมสร ดังนั้นขอยืนยันว่า สนามช้างอารีนา จะถูกใช้เป็นสถานที่จัดรายการแข่งขันทั้งในระดับประเทศและนานาชาติตลอดปี 2025/2026 ตามกำหนดการเดิม

ประชาชนจำนวนมาก และแฟนมอเตอร์สปอร์ตทั่วประเทศ เรียกร้องผ่านโซเชียลให้ แยกการเมืองออกจากผลประโยชน์ของชาติ พร้อมตั้งคำถามถึงความเหมาะสมของการนำคำพิพากษาบางคดีมาใช้เป็นเหตุเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ในที่ดินจำนวนมาก 

อีกทั้ง นักวิเคราะห์ในพื้นที่ยังชี้ว่า หากสถานะทางกฎหมายของที่ดินไม่ชัดเจน ผู้สนับสนุนกีฬาทั้งจากทั้งภาครัฐและเอกชนในอนาคตจะหยุดชะงักทันที กระทบเศรษฐกิจอย่างรุนแรง 

 

DSI ขยายผลคดีเขากระโดง ขุดหลักฐานการรถไฟแจ้งการครอบครอง 2498

วันที่ 4 ส.ค.68 ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ คณะพนักงานสืบสวนในเรื่องสืบสวนที่ 97/2568 ได้ประชุม เพื่อพิจารณากรณีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการครอบครองและการออกเอกสารสิทธิในที่ดินบริเวณเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ อันอาจเป็นที่ดินของรัฐและเกี่ยวข้องกับกลุ่มคณะบุคคลหลายฝ่าย การดำเนินการดังกล่าวสืบเนื่องจากมีผู้ร้องขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษตรวจสอบการได้มาซึ่งสิทธิครอบครองที่ดินของกลุ่มบุคคลบางกลุ่มที่อาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย คณะพนักงานสืบสวนได้กำหนดแนวทางการดำเนินงานในเบื้องต้น ได้แก่ การสอบปากคำพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง การรวบรวมและตรวจสอบพยานหลักฐาน การประสานเอกสารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมที่ดิน การรถไฟแห่งประเทศไทย และจังหวัดบุรีรัมย์

 


​          
จากการสืบสวนเบื้องต้นพบว่า เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2498 การรถไฟแห่งประเทศไทยได้มีการแจ้ง ส.ค.1 เลขที่ 1180 เนื้อที่ประมาณ 5,083 ไร่ โดยการได้มาของที่ดิน ตามพระราชกฤษฏีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟ พ.ศ. 2464 เป็นการที่ทางรถไฟแสดงถึงการนำเอาที่ดินที่ได้มีการหวงห้ามเอาไว้ตาม พรฎ. 2464 มาแจ้ง ส.ค.1 เนื่องจากการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินก่อนวันที่ประมวลกฎมายที่ดินใช้บังคับ (1 ธันวาคม 2497) โดยไม่มีหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน จึงได้ไปแจ้งการครอบครองต่อนายอำเภอเมืองบุรีรัมย์ เพื่อเป็นพยานหลักฐาน

นอกจากนี้ยังพบว่าในบริเวณที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย มีราษฎรหลายรายแจ้ง ส.ค.1 ไว้เช่นเดียวกัน ซึ่งการแจ้ง ส.ค.1 ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ไม่ก่อให้เกิดสิทธิขึ้นใหม่แก่ผู้แจ้ง ส.ค.1 แต่ประการใด และมาตรา 10 ที่ดินที่หวงห้ามไว้ตามพระราชบัญญัติสงวนหวงห้ามที่ดินว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. 2478 หรือกฎหมายอื่นก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับให้เป็นที่หวงห้ามต่อไป ดังนั้นผู้ที่แจ้ง ส.ค.1 แปลงอื่นต้องห้ามไม่ให้ออกเอกสารสิทธิที่ดินเนื่องจากเป็นที่หวงห้ามของการรถไฟแห่งประเทศไทย เว้นแต่พิสูจน์ได้ว่ามีสิทธิดีกว่าได้ครอบครองมาก่อนพระราชกฤษฏีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟ พ.ศ. 2464 นอกจากนี้พบว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยได้เคยนำ ส.ค.1 ไปยื่นขอออกโฉนดที่ดินเมื่อเดือนมิถุนายน 2530 และมีการนำรังวัดได้โฉนดที่ดิน 13 แปลง เนื้อที่ประมาณ 477 ไร่ ส่วนที่เหลือมีเหตุขัดข้องไม่สามารถดำเนินการได้ จึงค้างการดำเนินการอยู่ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์
​          
ทั้งนี้ จากสารบบที่ดินจะมีหนังสือแจ้งเตือนว่าหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินฉบับนี้อยู่ในเขตที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย ก่อนจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมใด ๆ ให้แจ้งคู่กรณีทราบถึงสาเหตุที่หนังสือแสดงสิทธิที่ดินอาจถูกยกเลิกเพิกถอนหรือแก้ไขหากคู่กรณีทราบแล้วยังประสงค์จะดำเนินการให้บันทึกถ้อยคำไว้แล้วจดทะเบียนต่อไปได้

 

อีกทั้งยังพบว่ามีผู้ครอบครองที่ดินในพื้นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นนิติบุคคลเพียงรายเดียวที่ครอบครองที่ดินเนื้อที่มากกว่า 400 ไร่เศษ หากพบว่าผู้ครอบครองรายใดกระทำผิดทางอาญาที่เกี่ยวกับออกเอกสารสิทธิในที่ดินอาจเป็นความผิดมูลฐานฟอกเงินในความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อม โดยการใช้ ยึดถือ หรือครอบครองทรัพยากรธรรมชาติ หรือกระบวนการแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติโดยมิชอบด้วยกฎหมายอันมีลักษณะเป็นการค้า รวมทั้งอาจมีเจ้าหน้าที่ของรัฐหลายหน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ก็จะดำเนินการไปตามอำนาจหน้าที่ต่อไป

ปศุสัตว์บุรีรัมย์ ตรวจเยี่ยมสุขภาพสัตว์เลี้ยง พร้อมมอบอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงแก่ผู้อพยพ หนีภัยการสู้รบ

ปศุสัตว์จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมเจ้าหน้าที่ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสุขภาพสัตว์เลี้ยงและให้ขวัญกำลังใจแก่ประชาชนพร้อมมอบอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงแก่ผู้อพยพที่นำสัตว์เลี้ยงอพยพติดตามมาด้วย ที่ศูนย์พักพิงชั่วคราว สนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนลเชอร์กิต เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบตามแนวชายแดน จ.บุรีรัมย์

วันนี้ (30 ก.ค.) ) ที่ศูนย์พักพิงชั่วคราว รองรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบตามแนวชายแดน จังหวัดบุรีรัมย์ บริเวณสนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนลเชอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ ต.อิสาณ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ นายสัตวแพทย์อภิชาติ สุวรรณชัยรบ ปศุสัตว์จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมด้วย นายสุริยะ กาวงษ์กลาง หัวหน้ากลุ่มงานพัฒนาสุขภาพสัตว์ สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดบุรีรัมย์  และเจ้าหน้าที่ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสุขภาพสัตว์เลี้ยงและให้ขวัญกำลังใจ แก่พี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา จ.บุรีรัมย์

พบว่า มีประชาชน จำนวน 9 ราย สุนัข จำนวน 6 ตัว แมว จำนวน 2 ตัว กระต่าย จำนวน 1 ตัว มอบอาหาร จำนวน 2 ตัว และสัตว์ตัวอื่นๆ มีอาหารเพียงพอ สัตว์เลี้ยงทุกตัวมีสุขภาพแข็งแรงดี

พร้อมมอบอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยง แก่พี่น้องประชาชนที่นำสัตว์เลี้ยงอพยพติดตามมาด้วย ซึ่งขณะนี้ประชาชนส่วนใหญ่รอคำสั่งอย่างเป็นทางการจากทางจากกองทัพภาคที่ 2 และจังหวัดบุรีรัมย์ แจ้งถึงสถานการณ์ความปลอดภัยในพื้นที่ว่า สามารถดำเนินกิจกรรมได้ตามปกติ จึงจะให้พี่น้องประชาชนเดินทางกลับบ้านได้ต่อไป

โดยทางจังหวัดบุรีรัมย์ ร่วมกับสนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนลเชอร์กิต ได้จัดตั้งเป็นศูนย์พักพิงชั่วคราวรองรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบตามแนวชายแดนอำเภอบ้านกรวด และอำเภอละหานทราย มาตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งก็มีประชาชนมาพักอาศัยอยู่ศูนย์พักพิงชั่วคราว เป็นจำนวนมาก โดยมีนายปิยะ ปิจนำ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัด นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสมโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ยูไนเต็ด ส่วนราชการ ทหาร ตำรวจ จิตอาสา ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำชุมชน คอยอำนวยความสะดวกประชาชน

บุรีรัมย์ แม่พลทหารกล้า ร้องไห้ปิ่มขาดใจ ลูกเสียชีวิตขณะรบทหารกัมพูชา พี่สาวเผยทั้งน้ำตา น้องปกป้องแผ่นดินจนวินาทีสุดท้าย

แม่พลทหารธีรยุทธ ชาว อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ ร้องไห้ปิ่มขาดใจหลังได้รับข่าวร้าย ลูกถูกสะเก็ดระเบิดเสียชีวิต ขณะปะทะกับทหารเขมรที่ชายแดนศรีสะเกษ เผยสุดเศร้าขณะอยู่ศูนย์อพยพสวดมนต์ภาวนาขอให้ลูกปลอดภัยทุกวัน ทั้งเสียใจและภูมิใจ  พี่สาวเผยทั้งน้ำตาน้องปกป้องแผ่นดินจนวินาทีสุดท้าย ส่วนเหตุปะทะที่ช่องสายตะกูทหารเจ็บ 4 นาย ล่าสุดเสียชีวิตที่ รพ.1 นาย

(29 ก.ค.68)  นายกิมแดง   และนางติน  กระจ่างทอง  พร้อมสมาชิกในครอบครัว  ซึ่งเป็นชาว อ.ละหานทราย  จ.บุรีรัมย์ ที่ต้องอพยพหนีภัยสู้รบไปอยู่ที่ศูนย์พักพิงแห่งหนึ่งใน อ.นางรอง   ต่างก็ร้องไห้ด้วยความเสียใจ  หลังทราบข่าวร้ายจากทางการว่า พลทหาร ธีรยุทธ   กระจ่างทอง  หรือพลทหารแก้ว อายุ 21 ปี  สังกัด มทบ.21  (ค่ายสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา)  ได้ถูกสะเก็ดระเบิดเสียชีวิต  จากเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา  ที่ชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ  เมื่อเวลาประมาณ 23.30 น. วานนี้ (28 ก.ค.68) ก่อนจะถึงกำหนดหยุดยิงตามข้อตกลงของทั้งสองฝ่ายเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น   

จาก นั้นทางกิ่งกาชาดอำเภอละหานทราย  ก็ได้จัดรถตู้ไปรับพ่อแม่และครอบครัวพลทหารธีรยุทธ   ที่ศูนย์พักพิงใน อ.นางรอง กลับมาที่วัดแห่งหนึ่งใน ตำบลตาจง อำเภอละหานทราย เพื่อมารอรับศพลูกชาย ที่ทางการจะส่งศพกลับภูมิลำเนาในวันพรุ่งนี้ (30ก.ค.68)เพื่อประกอบพิธีทางศาสนาอย่างสมเกียรติ    

ขณะที่นายเทพพนม   สมเสมอ   นายอำเภอละหานทราย   พร้อมปลัดอำเภอละหานทราย  ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่  กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน   ก็ได้เดินทางไปให้กำลังให้พ่อแม่ และครอบครัวของพลทหาร ธีรยุทธ   โดยรับปากว่าทางการจะรับผิดชอบจัดงานศพให้อย่างสมเกียรติ  ให้สมกับทหารกล้าที่สละชีพเพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศ   

พร้อมกันนี้ ผู้นำชุมชน   ชรบ. และชาวบ้านบางส่วนที่เริ่มกลับเข้าหมู่บ้าน หลังมีข้อตกลงหยุดยิง ก็ได้ช่วยกันจัดเตรียมสถานที่ โต๊ะ  เก้าอี้ เพื่อเตรียมรับศพ  และประกอบพิธีทางศาสนา   ซึ่งคาดว่าศพมาถึงในวันพรุ่งนี้(30ก.ค.68) ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งความสูญเสีย  ที่ย้ำเตือนถึงความเสียสละของทหารไทยผู้ปฏิบัติหน้าที่แนวหน้าในการปกป้องอธิปไตยของชาติ  ไม่ให้ใครมารุกรานย่ำยี 

นางติน   ผู้เป็นแม่  บอกว่า   ก่อนที่ลูกจะไปปฏิบัติที่ที่ชายแดนช่วงสถานการณ์ตึงเครียด   ก็ได้มาไหว้ขอพรแม่  ซึ่งแม่ก็ได้ให้ชายผ้าถุง และพระติดตัวกับลูกชายไปด้วย   เพื่อหวังให้ช่วยปกป้องคุ้มครองลูกชายให้ปลอดภัย     ซึ่งช่วงแรกก็ยังติดต่อลูกได้ซึ่งลูกบอกว่าหลังจากนั้นอาจจะติดต่อไม่ได้  เพราะอยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่   ส่วนแม่และคนในครอบครัวก็ย้ายไปอยู่ที่ศูนย์พักพิงใน อ.นางรอง   แม่ก็สวดมนต์ภาวนาขอให้ลูกปลอดภัยทุกวัน   และติดตามข่าวการปะทะกันตลอด    กระทั่งช่วงเช้าเห็นลูกสาวร้องไห้  ก็ยังแปลกใจว่าร้องไห้ทำไม   ตอนนั้นลูกสาวยังไม่ยอมบอกอาจจะกลัวแม่ทำใจไม่ได้  กระทั่งสายๆ จึงรู้ว่าลูกชายที่ไปรบถูกสะเก็ดระเบิดเสียชีวิตก็ใจแทบสลาย   เพราะได้ยินเขาบอกว่าจะหยุดยิงแล้ว  ก็คิดว่าลูกจะปลอดภัยไม่มีการสู้รบกันแล้ว    ไม่คิดว่าจะต้องมาสูญเสียลูกชายเร็วแบบนี้   ก็ทั้งเสียใจที่สูญเสียลูกชายไปอย่างไม่มีวันกลับ  แต่ก็ภูมิใจที่เขาได้รับใช้ชาติ    ก่อนหน้านี้ช่วงที่ลูกประจำการก็ส่งเงินให้แม่ใช้ตลอด  แล้วก็รับปากแม่ว่า  ถ้าปลดประจำการแล้ว จะทำงานหาเงินมาสร้างบ้านหลังใหม่ให้แม่  แต่คงไม่มีวันนั้นแล้วเพราะลูกชายจากไปแล้ว  

ขณะที่นางสาวหอมจันทร์  อายุ 26 ปี พี่สาวพลทหารแก้ว  บอกว่า  เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา น้องยังแชทมาบอกว่า อยู่ที่ชายแดนศรีสะเกษ  ตนก็บอกให้น้องดูแลตัวเองดีๆ จากนั้นก็ติดต่อไม่ได้คิดว่าน้องปฏิบัติหน้าที่อยู่    กระทั่งเช้าวันนี้มีทางต้นสังกัดแจ้งมาว่าน้องถูกสะเก็ดระเบิดเสียชีวิตแล้ว   ก็แทบช็อกทำอะไรไม่ถูก  ตอนแรกยังไม่กล้าบอกแม่เพราะกลัวแม่จะทำใจไมได้  ก็เสียใจที่น้องจากไป แต่ก็ภูมิใจในตัวน้องชายที่กล้าหาญปกป้องแผ่นดินจนวินาทีสุดท้าย 

ส่วนเหตุการณ์ปะทะที่ชายแดนช่องสายตะกู อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์  ช่วงค่ำก่อนถึงกำหนดหยุดยิง  ที่มีทหารบาดเจ็บ 4 นาย  ในจำนวนนี้ได้เสียชีวิตที่ รพ.แล้ว 1 นาย  คือ จ.ส.อ.ธีระยุทธ  สีจุ้ยจ้าย   กองพันทหารราบที่ 3  กรมทหารราบที่ 13 ภูมิลำเนาที่ จ.หนองคาย   และยังรักษาตัวที่ รพ. 3 นาย 

บุรีรัมย์ กาชาด เทศบาล ลงขันช่วยซ่อมบ้านให้ลุงโดนระเบิด

อ.บ้านกรวด กิ่งกาชาด-เทศบาล เตรียมช่วยเหลือซ่อมบ้านให้ลุง 64 ที่ถูกลูกจรวด BM 21 ตกใส่บ้านและมาพังเสียหายตอนเก็บกู้ หลังจากสร้างความกังวลใจให้กับเจ้าของบ้านว่าจะไม่มีที่อยู่หลังจากนี้

วันที่ 29 ก.ค.68 กรณีบ้านของนายเสงี่ยม ตัวประโคน อายุ 64 ปี อยู่เลขที่ 53 ม.6 ต.บ้านกรวด อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ถูกลูกจรวด BM 21 ตกใส่หลังคาแล้วทะลุพื้นบ้านลึกร่วม 5 เมตร

โดยต่อมาตำรวจ EOD เข้ามาเก็บกู้ด้วยการใช้วิธีทำลายไปพร้อมกับบ้านเนื่องจากลูกจรวดฝังลึกในใต้ดินประมาณ 4-5 เมตร ทำให้หลังคาบ้านและตัวบ้านได้รับความเสียหายไปประมาณครึ่งหลัง

มาจนถึงตอนนี้สภาพบ้านยังไม่ได้รับการซ่อมแซม ยังคงร่องรอยของความเสียหายเหมือนเดิม ในเวลาต่อมานายเสงี่ยม เจ้าของบ้านไม่สบายใจว่าจะมีหน่วยงานไหนมาช่วยเหลือเพราะหลังคาบ้านเปิดเข้าไปอาศัยไม่ได้ ถ้าจะรองบประมาณจากรัฐบาลก็คงจะล่าช้าแน่นอน

ล่าสุดนายกิตติกร ลอยประโคน ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 6 บ้านโคกงิ้ว ต. บ้านกรวด ได้ออกมาระบุว่า ได้รับคำสั่งจากนายอำเภอบ้านกรวด ให้ไปแจ้งเจ้าของบ้านว่า ตอนนี้จะมีเหล่ากาชาด อ.บ้านกรวด เทศบาลตำบลบ้านกรวด เข้าไปซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพเดิมในเร็วๆนี้ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาไม่นานในการซ่อมแซม เบื้องต้นได้แจ้งให้กับเจ้าของบ้านแล้ว

บุรีรัมย์ สถานการณ์ยังอึมครึม สรุป 5 วัน BM 21 กัมพูชา ตกพื้นที่ อ.บ้านกรวด 237 ลูก สวนยาง บ้านเรือนยับ

อำเภอบ้านกรวด สถานการณ์ทั่วไปตามแนวเขตชายแดนยังอึมครึม ยังไม่พบว่ามีการปะทะกันแต่บรรยากาศตึงเครียด ชาวบ้านยังไม่กล้าเข้าบ้านเพราะเกรงไม่ปลอดภัย นับถึงตอนนี้ผ่านมา 5 วัน ลูกจรวด BM 21 ตกมาในเขต อ.บ้านกรวด 237 ลูก ในจำนวนนี้ตกในไร่ยางพารา 45 ลูก และถูกบ้านเรือนชาวบ้านอีก 4  หลังคา

วันที่ 29 ก.ค.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานการณ์ชายแดนบริเวณจุดผ่อนปรนช่องสายตะกู ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นอีก 1 จุดที่มีการปะทะกันมาตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. และยังฝืนข้อตกลงปะทะกันมาตั้งแต่หลังเวลา 24.00 น.ตามข้อตกลง ไปถึงตอนเช้าและมีเสียงปืนเล็กดังประปลาย

ล่าสุด 16.00 น.ชาวบ้านไม่ได้ยินเสียงปืนอีกแล้ว แต่สถานการณ์ยังอึมครึม เพราะทหารทั้งสองฝ่ายยังตรึงกำลังตามแนวชายแดน เพราะไม่รู้ว่าฝ่ายไหนจะเปิดฉากเมื่อไหร่ รวมถึงชาวบ้านที่ไปอยู่ศูนย์อพยพ ยังไม่มีใครกล้ากลับเข้าบ้านเพราะเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย เนื่องจากชาวบ้านเชื่อกันว่าเขมร เชื่อถือไม่ได้ ในเวลาต่อมาผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ ได้เวียนหนังสือไปยังนายอำเภอแนวชายแดนห้ามไม่ให้ประชาชนกลับเข้าบ้านจนกว่าจะคลี่คลาย

นายวีรพงศ์  นะประโคน อายุ 50 ปี  ชาวบ้านที่อยู่ติดกับด่านพรมแดนช่องสายตะกู ซึ่งไม่ได้อพยพ เล่าว่าหลังพ้นเวลากำหนดการหยุดยิงทั้งสองฝ่ายก็ยิงกันเหมือนเดิม จนชาวต่างไม่กล้าเข้าบ้าน จริงแล้วอยากจะให้หยุดยิงอย่างถาวร เพราะทำมาค้าขายไม่ได้เลย

สำหรับข้อมูลเบื้องต้นเฉพาะในเขต อ.บ้านกรวด มีลูกจรวด BM 21 ตกเข้ามารวมแล้วประมาณ 237 ลูก ไม่รวมเขต อ.ละหานทรายประมาณ 10 ลูก ในจำนวนนี้ตกในไร่ยางและไร่อ้อยของชาวบ้าน 45 ลูก ตกตามบ้านเรือนชาวบ้านได้รับความเสียหาย 4 หลังคาเรือนซึ่งตัวเลขนี้ยังไม่แน่ชัดคาดว่าจะมีเพิ่มแต่ยังหาไม่พบ ความเสียหายอยู่ระหว่างการสำรวจ