"รมว.ดีอีเอส" แต่งตั้ง "ผบ.ตร." นั่งประธานคณะอนุฯ เดินหน้าปราบ "คดีออนไลน์"

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เมื่อวันที่ 27 พ.ค.66 พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะประธานกรรมการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ ลงนามคำสั่งคณะกรรมการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่ 3/2566 ลง 17 พ.ค.66 เรื่อง “แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี” โดยแต่งตั้ง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.เป็นประธานอนุกรรมการ มีปลัดกระทรวงดีอีเอส และ พล.ต.ท.ณัฐธร เพราะสุนทร เป็นที่ปรึกษา

นอกจากนี้ มีส่วนราชการเกี่ยวข้องเป็นอนุกรรมการ รวมทั้งผู้แทนสมาคมธนาคารเข้าร่วมในคณะทำงาน มีอำนาจหน้าที่สำคัญอาทิ เช่น หารือร่วมหน่วยงานเกี่ยวข้องในการปฏิบัติตาม พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566  การเปิดเผยหรือแลกเปลี่ยนข้อมูล การแจ้งข้อมูลหลักฐาน การกำหนดเหตุอันควรสงสัย หรือการปฏิบัติอื่นใดตามกฎหมาย รวมทั้งการสร้างภูมิคุ้มกันให้หน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน นำไปเผยแพร่ โดยจัดการประชุมร่วมกันอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมาย เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งมิติของการป้องกัน การปราบปรามและการประชาสัมพันธ์ ในรูปแบบการบูรณาการร่วมกัน

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความสำคัญการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีตามนโยบายรัฐบาลมาต่อเนื่อง ทั้งมิติการปราบปราม ที่มีการจับกุมเครือข่ายผู้กระทำผิดจำนวนมาก รายล่าสุด จับกุมแก๊งมิจฉาชีพที่อ้างตัวเป็นธนาคาร หน่วยงานต่างๆ ส่ง SMS ลิงก์ดูดเงิน พร้อมของกลางรถโมบายเคลื่อนที่ อุปกรณ์ส่งสัญญาณต่างๆ และในห้วงนี้ (15-31 พ.ค.66) มีการระดมกวาดล้างอาชญากรรมออนไลน์ บัญชีม้า ซิมม้า จับกุมกว่า 100 คดี

ด้านการป้องกัน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ดำเนินโครงการวัคซีนไซเบอร์ สร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชน ร่วมกับภารรัฐ เอกชน และส่วนต่างๆ ผลิตสื่อให้ความรู้ทางออนไลน์ ส่งการเตือนภัยรูปแบบต่างๆ ให้ประชาชนมาต่อเนื่อง และผลิตครูไซเบอร์ ทั้ง ครู ก (ตำรวจ) 116 คน และ ครู ข (ตำรวจร่วมกับประชาชน) 8,132 คน ออกไปเผยแพร่ให้ความรู้กับประชาชนในสถานศึกษา และชุมชน และเป็นผู้ร่วมผลักดัน พ.ร.ก.ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 ออกมาเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานได้ง่ายขึ้น ในการปราบปรามบัญชีม้า ซิมม้า  การอายัดบัญชีโดยทันทีของธนาคาร ทำให้ประชาชนเมื่อถูกมิจฉาชีพหลอกโอนเงินจากบัญชี  สามารถโทรศัพท์เข้าสายด่วนของธนาคาร เพื่อให้ธนาคารระงับธุรกรรมไว้ชั่วคราว  แล้วนำข้อมูลเข้าสู่ระบบ ให้ธนาคารอื่นและผู้ประกอบธุรกิจผู้รับโอนทุกยอดทราบและระงับการทำธุรกรรมไว้ทันที จากนั้นให้ผู้เสียหายไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนภายใน 72 ชั่วโมง เพื่อมีคำสั่งเป็นหนังสือให้ระงับการทำธุรกรรมภายใน  7 วัน นับแต่วันที่มีการแจ้งความร้องทุกข์”

โฆษก ตร. กล่าวอีกว่า ผลการมุ่งมั่นทำงานของ ผบ.ตร. พร้อมข้าราชการตำรวจในสังกัด ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติการทุกมิติ ทั้งการปราบปราม การป้องกัน และการผลักดันกฎหมาย ทำให้ปัจจุบันสถิติคดีออนไลน์ลดลงจากเดิมเฉลี่ยรับแจ้งวันละ 790 เรื่อง ลดเหลือรับแจ้งวันละ 673 เรื่องต่อวัน สามารถอายัดบัญชีได้ทันทีจากเดิม 87 ล้านบาท เป็น 92 ล้านบาท แม้ว่ากฎหมายจะเพิ่งผ่านมาได้ไม่กี่เดือน

อย่างไรก็ตาม คำสั่งแต่งตั้ง คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่แต่งตั้ง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ เป็นประธานอนุกรรมการ จะทำให้การป้องกันปราบปรามอาชญากรรมมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะมิติการบูรณาการทำงานร่วมกัน ที่จะมีการขับเคลื่อนประชุมร่วมกันอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เชื่อว่าจะช่วยทำให้คดีอาชญากรรมออนไลน์ลดลงต่อเนื่อง ประชาชนถูกหลอกหลวงน้อยลง

ผบ.ตร.ฝากเตือนประชาชนที่ยังหลงผิด เข้าร่วมกับมิจฉาชีพในการหลอกหลวง ขออย่าได้เห็นแก่รายได้ที่นำมาเสนอ หากถูกจับกุม ดำเนินคดี มีโทษสูง เป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระ รวมทั้งคนที่เปิดบัญชีม้า ซิมม้าต่างๆ ด้วย ส่วนพี่น้องประชาชนทั่วไปอย่าไปหลงเชื่อ อย่าไปรีบตัดสินใจ หากได้รับโทรศัพท์ SMS และอย่าไปโอนอะไรง่ายๆ หากสงสัยให้ติดต่อธนาคาร หน่วยงานราชการ หรือแจ้งหรือปรึกษาตำรวจได้ที่ศูนย์รับแจ้งความออนไลน์หมายเลข สายด่วน 1441 หรือ 081-8663000 ตลอด 24 ชม.

ออมสินจับมือดีอีเอส แจ้งเตือนภัยข่าวลวงออนไลน์

ออมสิน จับมือดีอีเอส แจ้งเตือนภัยข่าวลวงออนไลน์

นายวชิราวัชร์ มหาทัพกฤษ ผู้ช่วยผู้อำนวยการธนาคารออมสิน สายงานความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการบูรณาการบริการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาการหลอกลวงทางสื่อออนไลน์และการแจ้งเตือนภัยจากการหลอกลวงทางสื่อออนไลน์และข่าวปลอมแก่ประชาชนผ่านแอปพลิเคชันของธนาคาร ระหว่าง ธนาคารออมสิน กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และธนาคารพาณิชย์ จำนวน 15 แห่ง โดยมีนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นประธานในพิธีลงนาม พร้อมด้วย ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนางสาวสิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ร่วมเป็นสักขีพยาน ทั้งนี้ เพื่อแจ้งเตือนภัยออนไลน์และข่าวปลอม พร้อมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชนสามารถรับมือกับรูปแบบการหลอกลวงที่เปลี่ยนแปลงไปได้ทันต่อสถานการณ์ผ่านแอปพลิเคชันของธนาคารต่างๆ ซึ่งจะช่วยป้องกันยับยั้งการถูกหลอกลวง ลดความสูญเสียในการตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพออนไลน์ได้ทันท่วงที ณ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด มหาชน

“ดีอีเอส”จับตา“ข่าวปลอม”สุขภาพพุ่งไม่หยุด "เส้นเลือดสมองแตก-โควิด" ทำคนตื่นตระหนก

ดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และโฆษกกระทรวงฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ระหว่างวันที่  14- 20 เมษายน 2566 พบข้อความที่เข้ามาทั้งหมด 3,243,222ข้อความ โดยมีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ (Verify) ทั้งสิ้น 211 ข้อความ โดยช่องทางที่มีการพบเบาะแสมากที่สุด คือ ข้อความที่มาจาก Social listening จำนวน 193 ข้อความ ตามมาด้วย การแจ้งเบาะแสผ่าน Line Official จำนวน 18 ข้อความ รวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ 135 เรื่อง และจากการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับผลการตรวจสอบกลับมาแล้ว 74 เรื่อง ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มสุขภาพ

สำหรับจำนวนเรื่องที่ดำเนินการตรวจสอบในสัปดาห์นี้ แบ่งข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
 กลุ่มที่ 1 ข่าวปลอมเรื่องนโยบายรัฐบาล ข่าวสารทางราชการ ความสงบเรียบร้อยของสังคมขัดศีลธรรมอันดี และความมั่นคงภายในประเทศ จำนวน 46 เรื่อง ,กลุ่มที่ 2 ข่าวปลอมเรื่องผลิตภัณฑ์สุขภาพ วัตถุอันตราย เครื่องสำอาง รวมถึงสินค้าและบริการที่ผิดกฎหมาย จำนวน 70 เรื่อง ,กลุ่มที่ 3 ข่าวปลอมเรื่องภัยพิบัติ จำนวน 9 เรื่อง และกลุ่มที่ 4 ข่าวปลอมเศรษฐกิจ จำนวน 10 เรื่อง ทั้งนี้ เมื่อโฟกัสประเด็นข่าวที่เกี่ยวกับโควิด-19  พบจำนวน 17 เรื่อง

ดร.เวทางค์ กล่าวว่า ส่วนของข่าวปลอมที่มีคนสนใจสูงสุดหลัก ๆ อยู่ในหมวดข่าวกลุ่มสุขภาพ พบข่าวโควิด-19 กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง โควิดสายพันธุ์ XBB ตรวจพบยาก เป็นพิษมากกว่าเดลตา 5 เท่า และมีอัตราการตายที่สูงกว่า และข่าวปลอมโควิดโอมิครอนลูกผสม XBB.1.16 สมรรถนะการแพร่สูง และดื้อต่อภูมิคุ้มกันที่สุด ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ทั้งนี้ข่าวที่ได้รับความสนใจและประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม (Engagement) มากสุด 10 อันดับ ได้แก่ อันดับที่ 1 : ไม่ควรสระผมก่อนอาบน้ำ เพราะทำให้เส้นเลือดแตกได้ ,อันดับที่ 2 : โควิดสายพันธุ์ XBB ตรวจพบยาก เป็นพิษมากกว่าเดลต้า 5 เท่า และมีอัตราการตายที่สูงกว่า ,อันดับที่ 3 : ใช้พริกขี้หนูตำคลุกกับใบยาสูบ พอกตรงบริเวณที่ถูกงูกัด ช่วยแก้พิษงูได้ ,อันดับที่ 4 : แก้ผมหงอกได้ด้วยว่านหางจระเข้  ใบบัวบก ใบฝรั่ง และบอระเพ็ด

อันดับที่ 5 : เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ คนละ 100 บาท ให้ทุกคนไปรายงานตัวที่เขต ,อันดับที่ 6 : โควิดโอมิครอนลูกผสม XBB.1.16 สมรรถนะการแพร่สูง และดื้อต่อภูมิคุ้มกันที่สุด ,อันดับที่ 7 : โครงการรักษาหัวใจ 7/24 เฉลิมพระเกียรติ ใช้สิทธิประกันสังคม ข้าราชการ และบัตรทอง รักษาไม่ต้องใช้ใบส่งตัว ,อันดับที่ 8 : กระทรวงสาธารณสุขห้ามจำหน่ายขนมที่มีส่วนผสมไขมันทรานส์ ,อันดับที่ 9 : ผู้สูงอายุ 3 กลุ่ม รับเบี้ยพิเศษรายปี คนละ 1,000 บาท และอันดับที่10 : มะระขี้นกตากแห้งแล้วนำมาคั่ว ต้มรับประทานมีสรรพคุณรักษาโรคไต และล้างไต

“ปัจจุบันข่าวปลอมยังคงมีจำนวนมาก ดีอีเอส และศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ให้ความสำคัญในการตรวจสอบข่าวปลอม ตลอด 24 ชั่วโมง เมื่อได้รับข่าวสาร ข้อมูล ควรตรวจสอบให้รู้เท่าทัน รอบด้าน เลือกเชื่อ เลือกแชร์ เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น สามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอม ได้ที่ ไลน์ @antifakenewscenterเว็บไซต์https://www.antifakenewscenter.com/ทวิตเตอร์ https://twitter.com/AFNCThailand หรือ โทรสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87”

หลอกไม่หยุด! คนไทยแห่แชร์ “เฟคนิวส์” ก.คลังเปิดตัวแอปพลิเคชันยอดฮิต 

ดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และโฆษกกระทรวงฯ กล่าวถึงผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมระหว่างวันที่ 7- 13 เมษายน 2566 พบข้อความที่เข้ามาทั้งหมด 3,266,885 ข้อความ โดยมีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ (Verify) ทั้งสิ้น 240 ข้อความ แบ่งเป็นข้อความที่มาจาก Social listening จำนวน 186 ข้อความ ข้อความที่มาจาก Line Official จำนวน 54 ข้อความ รวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ 133 เรื่อง และจากการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับผลการตรวจสอบกลับมาแล้ว 86 เรื่อง

สำหรับจำนวนเรื่องที่ดำเนินการตรวจสอบในสัปดาห์นี้ แบ่งข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้

กลุ่มที่ 1 ข่าวปลอมเรื่องนโยบายรัฐบาล ข่าวสารทางราชการ ความสงบเรียบร้อยของสังคมขัดศีลธรรมอันดี 
           และความมั่นคงภายในประเทศจำนวน 54 เรื่อง
 กลุ่มที่ 2 ข่าวปลอมเรื่องผลิตภัณฑ์สุขภาพ วัตถุอันตราย เครื่องสำอาง รวมถึงสินค้าและบริการ
            ที่ผิดกฎหมาย จำนวน 32 เรื่อง
 กลุ่มที่ 3 ข่าวปลอมเรื่องภัยพิบัติ จำนวน 8 เรื่อง
 กลุ่มที่ 4 ข่าวปลอมเศรษฐกิจ จำนวน 39 เรื่อง

สำหรับข่าวปลอมทั้ง 4 กลุ่ม มีความเกี่ยวข้องกับ Covid-19 จำนวน 1 เรื่อง

ดร.เวทางค์ กล่าวว่า เมื่อพิจารณาจากข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจลำดับต้นๆ ในสัปดาห์ล่าสุดนี้ พบว่าส่วนใหญ่เป็นข่าวปลอมด้านนโยบายรัฐบาล จุดกระแสความสนใจจากผู้บริโภคข่าวสารออนไลน์ นำหน้ากลุ่มข่าวหัวข้ออื่นๆ โดยพบข่าว 10 อันดับที่ได้รับความสนใจมากสุดในรอบสัปดาห์ ดังนี้

อันดับที่ 1 : กระทรวงการคลังเปิดตัวแอปพลิเคชัน
อันดับที่ 2 : หมากพลูช่วยต้านมะเร็ง และลดกลิ่นปาก
อันดับที่ 3 : ประกันสังคมประกาศจ้างงาน WFH วันละ 300 บาท
อันดับที่ 4 : กรมการจัดหางานรับสมัครพนักงานงานออนไลน์ รายได้ 2,500 บาทต่อวัน
อันดับที่ 5 : เหลืออีกเพียง 15 วันจะหมดฤดูร้อนแล้ว
อันดับที่ 6 : ประเทศไทยจะเข้าสู่ฤดูฝนประจำปี 2566 หลังเทศกาลสงกรานต์นี้
อันดับที่ 7 : บสย. เชิญชวนกู้ยืมเงินทางออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์
อันดับที่ 8 : ปกส. ชวนคุณแม่สมัครงานรายได้ 1,800 บาท/วัน
อันดับที่ 9 : รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเพจลิ้นจี่ท่าตอน จ.เชียงใหม่ เพื่อจำหน่ายผลไม้ออนไลน์
อันดับที่10 : เดินไขว้เท้าเหมาะกับทุกคน เพราะช่วยให้หัวใจแข็งแรง

"ดีอีเอส พร้อมดำเนินการทุกวิธีทาง เพื่อปกป้องประชาชนจากข่าวปลอมและมิจฉาชีพผ่านออนไลน์ หรือ โชเชียลมีเดีย โทรศัพท์ หรือการส่ง SMS หากท่านได้รับโทรศัพท์หรือข้อมูลที่ผิดปกติ ผ่านโชเชียลมีเดียต่างๆ หรือ SMS  เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ท่านสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอม ผ่านช่องทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ที่ ไลน์ @antifakenewscenter เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com/ทวิตเตอร์ https://twitter.com/AFNCThailand หรือ โทรสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87 ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ ดีอีเอส ได้มีการติดตามการกระทำความผิดอย่างต่อเนื่องในทุกช่องทาง"

DES เตือนข่าวปลอมอย่าแชร์!!! อ้างเป็นเจ้าหน้าที่กปภ.ขอเลขบัญชีคืนค่าน้ำขึ้นอันดับ 1

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) สรุป“ข่าวปลอม”ในรอบสัปดาห์ พบประชาชน แห่เชื่อข่าวอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กปภ.ขอเลขบัญชีธนาคารคืนเงินค่าน้ำประปาเกิน ขณะที่ข่าวลวงเรื่องผลิตภัณฑ์ L’ebss Ampoule Skin booster ใช้ฉีดใบหน้า เพิ่มคอลลาเจน ไม่แผ่วเช่นกัน ติด Top 10 ข่าวปลอมคนสนใจสูงสุด 

  ดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวถึง ผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมระหว่างวันที่ 31 มีนาคม - 6 เมษายน 2566 พบข้อความที่เข้ามาทั้งหมด 3,156,017  ข้อความ โดยมีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ (Verify) ทั้งสิ้น 195 ข้อความ แบ่งเป็นข้อความที่มาจาก Social listening จำนวน 157 ข้อความ ข้อความที่มาจาก Line Official จำนวน 37 ข้อความ Website จำนวน 1 ข้อความ รวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ 117 เรื่อง 

ทั้งนี้ ดีอีเอสได้แบ่งข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจ เป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย

กลุ่มที่ 1 ข่าวปลอมเรื่องนโยบายรัฐบาล ข่าวสารทางราชการ ความสงบเรียบร้อยของสังคมขัดศีลธรรมอันดี และความมั่นคงภายในประเทศจำนวน 50 เรื่อง

 กลุ่มที่ 2 ข่าวปลอมเรื่องผลิตภัณฑ์สุขภาพ วัตถุอันตราย เครื่องสำอาง รวมถึงสินค้าและบริการที่ผิดกฎหมาย  จำนวน 47 เรื่อง

 กลุ่มที่ 3 ข่าวปลอมเรื่องภัยพิบัติ จำนวน 11 เรื่อง

 กลุ่มที่ 4 ข่าวปลอมเศรษฐกิจ จำนวน 9 เรื่อง

ดร.เวทางค์ กล่าวต่อว่า จากการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริง ล่าสุดได้รับผลการตรวจสอบแล้ว 62 เรื่อง อยู่ระหว่างการประสานงาน 49 เรื่อง จึงอยากเตือนให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ และตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพเหล่านี้ โดยข่าวปลอมที่มีคนสนใจสูงสุด 10 อันดับ ในช่วงวันที่ 31 มีนาคม - 6 เมษายน 2566 ประกอบด้วย

อันดับที่ 1 : เจ้าหน้าที่ กปภ. ติดต่อขอเลขบัญชีธนาคาร เพื่อคืนเงินค่าน้ำประปาเกิน

อันดับที่ 2 : ผลิตภัณฑ์ L’ebss Ampoule Skin booster ใช้ฉีดใบหน้า เพิ่มคอลลาเจน

อันดับที่ 3 : โทรศัพท์มือถือส่งผลต่อคลื่นสมอง ทำให้ก่อนนอนไม่สงบ หลับยาก

อันดับที่ 4 : กฟภ.ส่ง SMS ให้ประชาชนตรวจสอบสิทธิการขอคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า เนื่องจากช่วยเหลือปัญหาภัยแล้ง

อันดับที่ 5 : เหงื่อซึมออกจากมือ แสดงว่ามีปัญหาทางหัวใจ

อันดับที่ 6 : สปสช.ส่ง SMS แจ้งอัปเดตข้อมูลบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือบัตรทองให้เป็นข้อมูลปัจจุบัน มิฉะนั้นจะถูกตัดสิทธิทันที

อันดับที่ 7 : กรมการจัดหางานรับสมัครผู้ช่วยโปรโมทวิดีโอและสินค้า

อันดับที่ 8 : บางจาก และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดลงทุนซื้อกองทุนรวมหุ้น PCL เพียง 1,056 บาท รับปันผล 29%

อันดับที่ 9 : เจ้าหน้าที่ กฟภ. โทรติดต่อเรื่องคืนเงินค่าไฟฟ้า จากจดหน่วยในมิเตอร์ผิด

อันดับที่10 : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับบริษัทเอกชน ชวนซื้อกองทุนรวมหุ้น ZEN  เพียง 1,092 บาท รับปันผล 29%

อย่างไรก็ตาม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ติดตามความเคลื่อนไหวข้อความที่ผิดปกติในทุกช่องทางอย่างต่อเนื่อง หากท่านได้รับการแจ้งข้อมูลที่ผิดปกติ ผ่านเอสเอ็มเอส หรือทางโทรศัพท์ เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น และขอให้ท่านตระหนักรู้เท่าทันข่าวปลอมที่ถูกแพร่กระจายอยู่บนโซเชียลมีเดียและออนไลน์ โดยสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอม ผ่านช่องทางต่างๆ ของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ดังนี้ ไลน์ @antifakenewscenter เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com/ ทวิตเตอร์ https://twitter.com/AFNCThailand และสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87 

DES เตือนข่าวปลอมอย่าแชร์!!! อ้างเป็นเจ้าหน้าที่กปภ.ขอเลขบัญชีคืนค่าน้ำขึ้นอันดับ 1

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) สรุป“ข่าวปลอม”ในรอบสัปดาห์ พบประชาชน แห่เชื่อข่าวอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กปภ.ขอเลขบัญชีธนาคารคืนเงินค่าน้ำประปาเกิน ขณะที่ข่าวลวงเรื่องผลิตภัณฑ์ L’ebss Ampoule Skin booster ใช้ฉีดใบหน้า เพิ่มคอลลาเจน ไม่แผ่วเช่นกัน ติด Top 10 ข่าวปลอมคนสนใจสูงสุด 

  ดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวถึง ผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมระหว่างวันที่ 31 มีนาคม - 6 เมษายน 2566 พบข้อความที่เข้ามาทั้งหมด 3,156,017  ข้อความ โดยมีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ (Verify) ทั้งสิ้น 195 ข้อความ แบ่งเป็นข้อความที่มาจาก Social listening จำนวน 157 ข้อความ ข้อความที่มาจาก Line Official จำนวน 37 ข้อความ Website จำนวน 1 ข้อความ รวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ 117 เรื่อง 

ทั้งนี้ ดีอีเอสได้แบ่งข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจ เป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย

กลุ่มที่ 1 ข่าวปลอมเรื่องนโยบายรัฐบาล ข่าวสารทางราชการ ความสงบเรียบร้อยของสังคมขัดศีลธรรมอันดี และความมั่นคงภายในประเทศจำนวน 50 เรื่อง

 กลุ่มที่ 2 ข่าวปลอมเรื่องผลิตภัณฑ์สุขภาพ วัตถุอันตราย เครื่องสำอาง รวมถึงสินค้าและบริการที่ผิดกฎหมาย  จำนวน 47 เรื่อง

 กลุ่มที่ 3 ข่าวปลอมเรื่องภัยพิบัติ จำนวน 11 เรื่อง

 กลุ่มที่ 4 ข่าวปลอมเศรษฐกิจ จำนวน 9 เรื่อง

ดร.เวทางค์ กล่าวต่อว่า จากการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริง ล่าสุดได้รับผลการตรวจสอบแล้ว 62 เรื่อง อยู่ระหว่างการประสานงาน 49 เรื่อง จึงอยากเตือนให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ และตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพเหล่านี้ โดยข่าวปลอมที่มีคนสนใจสูงสุด 10 อันดับ ในช่วงวันที่ 31 มีนาคม - 6 เมษายน 2566 ประกอบด้วย

อันดับที่ 1 : เจ้าหน้าที่ กปภ. ติดต่อขอเลขบัญชีธนาคาร เพื่อคืนเงินค่าน้ำประปาเกิน

อันดับที่ 2 : ผลิตภัณฑ์ L’ebss Ampoule Skin booster ใช้ฉีดใบหน้า เพิ่มคอลลาเจน

อันดับที่ 3 : โทรศัพท์มือถือส่งผลต่อคลื่นสมอง ทำให้ก่อนนอนไม่สงบ หลับยาก

อันดับที่ 4 : กฟภ.ส่ง SMS ให้ประชาชนตรวจสอบสิทธิการขอคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า เนื่องจากช่วยเหลือปัญหาภัยแล้ง

อันดับที่ 5 : เหงื่อซึมออกจากมือ แสดงว่ามีปัญหาทางหัวใจ

อันดับที่ 6 : สปสช.ส่ง SMS แจ้งอัปเดตข้อมูลบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือบัตรทองให้เป็นข้อมูลปัจจุบัน มิฉะนั้นจะถูกตัดสิทธิทันที

อันดับที่ 7 : กรมการจัดหางานรับสมัครผู้ช่วยโปรโมทวิดีโอและสินค้า

อันดับที่ 8 : บางจาก และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดลงทุนซื้อกองทุนรวมหุ้น PCL เพียง 1,056 บาท รับปันผล 29%

อันดับที่ 9 : เจ้าหน้าที่ กฟภ. โทรติดต่อเรื่องคืนเงินค่าไฟฟ้า จากจดหน่วยในมิเตอร์ผิด

อันดับที่10 : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับบริษัทเอกชน ชวนซื้อกองทุนรวมหุ้น ZEN  เพียง 1,092 บาท รับปันผล 29%

อย่างไรก็ตาม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ติดตามความเคลื่อนไหวข้อความที่ผิดปกติในทุกช่องทางอย่างต่อเนื่อง หากท่านได้รับการแจ้งข้อมูลที่ผิดปกติ ผ่านเอสเอ็มเอส หรือทางโทรศัพท์ เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น และขอให้ท่านตระหนักรู้เท่าทันข่าวปลอมที่ถูกแพร่กระจายอยู่บนโซเชียลมีเดียและออนไลน์ โดยสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอม ผ่านช่องทางต่างๆ ของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ดังนี้ ไลน์ @antifakenewscenter เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com/ ทวิตเตอร์ https://twitter.com/AFNCThailand และสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87 

“ชัยวุฒิ” ลั่นโทษหนักคุก 100 ปี เผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคล 55 ล้านชื่อผิดกฎหมาย ไล่ล่า 9 near

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวถึงกรณี ผู้ใช้งานบัญชี “9near” ได้โพสต์ขายข้อมูลที่อ้างว่าเป็นข้อมูลส่วนตัวของคนไทยกว่า 55 ล้านรายการ บนเว็บไซต์ Bleach Forums โดยอ้างว่าได้มาจากหน่วยงานรัฐแห่งหนึ่งในไทย (Somewhere in government) และโพสต์ ตัวอย่างไฟล์ ซึ่งมี ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ วันเกิด เบอร์โทรศัพท์ และเลขประจําตัวประชาชน รวมทั้งมีการโพสต์ ลักษณะข่มขู่หน่วยงานและประชาชนในวงกว้าง

โดยวันที่ 30 มี.ค.66 เว็บไซต์ 9near.org (https://9near.org/) ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับบัญชี 9near โพสต์ ขายข้อมูลบนเว็บไซต์ Bleach Forums) ได้แอบอ้างใส่ชื่อ นายปริญญา หอมเอนก (อ.ปริญญาฯ) เป็นผู้สนับสนุน (Sponsored By ...) พร้อมทั้ง นํา Youtube Video Clip สัมภาษณ์ อ.ปริญญาฯ รายการ Digital Life Spring ช่อง Spring News ใส่บนเว็บไซต์ด้วย ในเว็บไซต์ มีลิงก์ดาวน์โหลดไฟล์ข้อมูล (!! Download !!) ซึ่งเป็นไฟล์ข้อมูล รายชื่อ วันเกิด ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ โดยมีการปิดบังในลักษณะ xxxx ไม่แสดงข้อมูลทั้งหมด ส่วนด้านล่างของ เว็บไซต์ได้ระบุข้อความในลักษณะข่มขู่ให้ผู้คิดว่าข้อมูลของตนรั่วไหล ติดต่อกลับไปก่อนวันที่ 5 เม.ย. 16.00 น. เวลาประเทศไทย ไม่เช่นนั้นจะทําการเผยแพร่ข้อมูล ทั้งนี้ อ.ปริญญาฯ ได้เข้าแจ้งความกับกองบังคับการ ปราบปรามการกระทําผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) แล้ว ในวันเดียวกัน

ด้านผู้ประกาศข่าว นายสรยุทธ์ สุทัศนจินดา ได้โพสต์ข้อความใน facebook ส่วนตัว ว่าได้รับข้อความ SMS ข้อมูลส่วนบุคคลของตน ประกอบด้วย เลขบัตรประชาชน 13 หลัก, วันเดือนปีเกิด , ที่อยู่ , เบอร์มือถือ จาก 9near

 รัฐมนตรีชัยวุฒิ กล่าวถึงแนวทางการดําเนินการของกระทรวงดิจิทัลฯ ว่า1) ดศ. ได้ประสานผู้ให้บริการ domain name สําหรับเว็บไซต์ 9near.org (Namesilo, LLC) ซึ่งเป็น ผู้ให้บริการในต่างประเทศ เพื่อขอปิดกั้นเว็บไซต์ 9near.org ตั้งแต่วันพุธที่ 29 มี.ค. 66 เวลา 19.00 น. เนื่องจากมี การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่น และระบุข้อความในลักษณะข่มขู่ให้ผู้คิดว่าข้อมูลของตนรั่วไหล ติดต่อกลับไป ซึ่งเข้าข่ายกระทบต่อความมั่นคงของประเทศทําให้ประชาชนตื่นตระหนก ซึ่งขณะนี้ ยังไม่ได้รับการตอบรับหรือ ดําเนินการจากผู้ให้บริการ 2) ดศ. อยู่ระหว่างดําเนินการขอคําสั่งศาลตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งอาจเข้าข่าย

 • มาตรา 14 (2) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิด ความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทาง เศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่น ตระหนกแก่ประชาชน หรือ

• มาตรา 20 (2) ข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่อาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรตามท่ี กําหนดไว้ในภาค 2 ลักษณะ 1 หรือลักษณะ 1/1 แห่งประมวลกฎหมายอาญา

ในขณะเดียวกัน ดศ. อยู่ระหว่างประสานผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในประเทศ (เช่น AIS True NT) เพื่อดําเนินการปิดกั้นเว็บไซต์ดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ ดศ. อยู่ระหว่างประสานสํานักงานคณะกรรมการคุ้มครอง ข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) เพื่อสอบถามข้อมูลว่ามีหน่วยงานภาครัฐแจ้งว่ามีข้อมูลรั่วไหลหรือไม่ ทั้งนี้ โทษที่เกี่ยวข้องสูง โดยความผิดตาม พรบ. คอมพิวเตอร์ ฯ โทษสูงสุด จําคุก 5 ปี และการนําข้อมูล ส่วนบุคคลไปใช้อย่างผิดกฎหมาย เข้าข่ายผิด พรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล อาจถูก จําคุก 1 ปี หรือปรับ 1 ล้าน บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ต่อ 1 กรรม หรือต่อผู้เสียหาย 1 คน ได้ ซึ่งทําให้คนร้ายอาจถูกลงโทษจําคุกเป็นร้อยปีได้ขึ้นกับข้อเท็จจริง และข้อมูลที่นําไปใช้กระทําผิดกฎหมายหรือเผยแพร่ทําให้ผู้อื่นเสียหาย

3) ดศ. ได้ประสานสํานักงานตํารวจแห่งชาติเพื่อหาข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้อง และดําเนินการหาตัวผู้กระทําความผิด

นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ได้สั่งการให้เร่งจัดการอย่างเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด ประสานตํารวจหาหลักฐานและตัว ผู้กระทําความผิดมาลงโทษ และขอฝากเตือนไปยังผู้ที่จะนําข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ผิดกฎหมาย ระวังโทษหนัก ทั้งจําคุกทั้งปรับ

นักวิชาการ แนะ "รมว.ดีอีเอส" ลุยใช้กม.ลดขายบุหรี่ไฟฟ้าออนไลน์จริงจัง

ตามที่มีข่าวว่า นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ได้เข้าร่วมเวทีเสวนาประเด็นเกี่ยวกับการให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย ในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ประเด็นโทษพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้า และประเด็นบุหรี่ไฟฟ้าควรถูกกฎหมายหรือไม่ นั้น 

ดร.วศิน พิพัฒนฉัตร หน่วยวิชาการบ่มเพาะเครือข่ายนักจัดการปัจจัยเสี่ยง กล่าวว่า ประเด็นบุหรี่ไฟฟ้ากำลังอยู่ในความสนใจของเด็กและเยาวชน และยังพบว่าปัจจุบันเด็กและเยาวชน ใช้บุหรี่ไฟฟ้าจำนวนมาก เนื่องจากมีความเข้าใจผิดว่า บุหรี่โดยเฉพาะบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าที่ไม่อันตราย ทั้งที่เมื่อสูบแล้วจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพเช่นเดียวกับบุหรี่มวน ซึ่งสถานการณ์การใช้บุหรี่ไฟฟ้า เป็นเรื่องที่ทั่วโลกให้ความสำคัญและเฝ้าระวังอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อเด็กและเยาวชน  

“การที่รัฐมนตรีชัยวุฒิ ออกมาแสดงความคิดเห็นเช่นนี้ อาจทำให้เกิดกระบวนการสร้างความเข้าใจที่ผิดต่อบุหรี่ไฟฟ้ากับเยาวชนเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังเป็นการสร้างภาพให้สังคมไทยยอมรับและสนับสนุนให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมายหรือไม่ เพราะเป็นการนำเสนอประเด็นเพียงด้านเดียว ขณะเดียวกันในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีเอส ควรดำเนินการจับกุมและบังคับใช้กฎหมายกับผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้า เพราะถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายที่ยังมีขายในระบบออนไลน์จำนวนมาก ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นการทำหน้าที่โดยตรงของกระทรวง เพื่อให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มแข็ง เช่นเดียวกับประเทศสิงคโปร์ที่สามารถจัดการกับการขายบุหรี่ไฟฟ้าออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อปกป้องสุขภาพของเด็กและเยาชน” 

ดร.วศิน กล่าวทิ้งท้าย โดยฝากถึงสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ว่า ให้ระมัดระวังการจัดเวทีเสวนา ในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อไม่เป็นส่วนหนึ่งในการทำให้เยาวชนเกิดความเข้าใจผิดในประเด็นบุหรี่บุหรี่ไฟฟ้าทั้งในแง่กฎหมายและโทษพิษภัย