"รมว.ดีอีเอส" เปิดงาน “Government Data Catalog Day 2567” ก้าวสู่อนาคต ด้วยบัญชีข้อมูลภาครัฐ

รมว.ดีอีเอส เปิดงาน “Government Data Catalog Day 2567” ก้าวสู่อนาคตด้วยบัญชีข้อมูลภาครัฐ พร้อมมอบรางวัล GD Catalog Award 2567 ให้หน่วยงานและจังหวัด
 
สำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้จัดการประชุมสัมมนา “Government Data Catalog Day ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567” โดยได้รับเกียรติจาก นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นประธานเปิด โดยมีนายภุชพงค์ โนดไธสง ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ ผู้บริหารกระทรวงดีอีเอสและสำนักงานสถิติแห่งชาติ วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ รวมทั้งผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชนกว่า 1,000 คนร่วมงาน โดยถ่ายทอดสดผ่าน Facebook และ YouTube ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ

นายประเสริฐ เปิดเผยว่า งาน Government Data Catalog Day 2567 ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบบัญชีข้อมูลภาครัฐให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศมุ่งสู่รัฐบาลอัจฉริยะ (Smart & Open Government) อย่างเป็นรูปธรรม โดยการส่งเสริมหน่วยงานภาครัฐ และจังหวัดใช้ระบบบัญชีข้อมูลหน่วยงานสำหรับบริหารจัดการข้อมูลภายในหน่วยงานให้เป็นระบบ รวมถึงการใช้ประโยชน์จากระบบบัญชีข้อมูลภาครัฐกับเครือข่ายสถาบันการศึกษา ด้านการวิเคราะห์และใช้ประโยชน์ข้อมูลเปิดภาครัฐ รวมทั้งสร้างการรับรู้การใช้ประโยชน์บัญชีข้อมูลภาครัฐในวงกว้างอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมที่จะนำไปสู่การขับเคลื่อนการทำงานของภาครัฐให้มีขีดสมรรถนะสูงและทันสมัย เพื่อเป็นรัฐบาลดิจิทัลอย่างแท้จริง

“GD Catalog เป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนสู่เป้าหมายของการเป็นภาครัฐที่มีขีดสมรรถนะสูงและทันสมัย ผ่านการบริหารจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบโดยใช้ระบบบัญชีข้อมูลเป็นเครื่องมือเปลี่ยนผ่านกระบวนการทำงานขององค์กรสู่ระบบดิจิทัล ยกระดับสมรรถนะหน่วยงานด้วยศักยภาพด้านข้อมูลที่มีธรรมาภิบาล บูรณาการและแบ่งปันการใช้ประโยชน์ระหว่างหน่วยงาน รวมถึงการให้บริการข้อมูลในรูปแบบดิจิทัลที่มีคุณค่าอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม เพื่อการวิเคราะห์ วางแผนการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และสร้างนวัตกรรมต่างๆ” นายประเสริฐ กล่าว

นายภุชพงค์ โนดไธสง ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ กล่าวเสริมว่า การประชุมฯ ครั้งนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 3 ภายใต้โครงการส่งเสริมการใช้ระบบ Government Data Catalog (GD Catalog)มีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งเน้นให้หน่วยงานภาครัฐสามารถจัดทำและบูรณาการบัญชีข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการประชาสัมพันธ์และสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของบัญชีข้อมูลภาครัฐ โดยภายในงานมีพิธีการมอบโล่รางวัล GD Catalog Award 2567 ให้กับหน่วยงานและจังหวัดที่มีผลงานโดดเด่น ด้านการจัดทำและเผยแพร่บัญชีข้อมูลภาครัฐ รวมถึงกิจกรรมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา “การส่งเสริมสนับสนุนเทคโนโลยีและนวัตกรรม” เพื่อสนับสนุนการบูรณาการข้อมูลภาครัฐกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการบูรณาการข้อมูล

โดย “การขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะด้วยข้อมูล” กับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลนอกจากนี้ในช่วงบ่ายยังมีกิจกรรมไฮไลต์ ได้แก่ การบรรยายพิเศษในหัวข้อ “AI และการวิเคราะห์ข้อมูลอัจฉริยะ (AI and Smart Data Analytics)” และ “การเชื่อมโยงข้อมูลอัจฉริยะ (Data Fabric and Smart Data Integration)” รวมถึงการจัดนิทรรศการแสดงนวัตกรรมการใช้ข้อมูลสำหรับเมืองอัจริยะ(Data Utilization in Smart Cities) – City Data Platform โดยผู้แทนจังหวัดที่มีผลงานโดดเด่นด้านการจัดทำและเผยแพร่บัญชีข้อมูลภาครัฐ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และร่วมเชิญชวนให้หน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา และประชาชนทั่วไปสามารถสืบค้นและใช้ประโยชน์จาก Government Data Catalogในมิติต่างๆ สำหรับระบบบัญชีข้อมูลภาครัฐ เปิดให้ผู้สนใจเข้าสืบค้นข้อมูลและใช้ประโยชน์จากข้อมูลภาครัฐถึงกว่า 17,000 ชุดข้อมูล จาก 295 หน่วยงาน ได้แล้วที่ https://gdcatalog.go.th/ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่สำนักงานสถิติแห่งชาติ โทรศัพท์ 0-2141-7408-9 อีเมล gsic@nso.go.th
 

“ดีอีเอส–ก.อุตฯ” เชื่อม “ปณท-ดีพร้อม” เสริมโอกาสผปก.โตบนฐานศก.ดิจิทัล ใช้โซลูชัน “ขน-ขาย-เก็บ-แพ็ค-ส่ง”

นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลเร่งยกระดับการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมเพื่อให้มีศักยภาพในการแข่งขัน เตรียมความพร้อมรับมือกับรูปแบบเศรษฐกิจแห่งอนาคต ดังนั้น เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมเดินหน้าได้อย่างเต็มความสามารถจึงจำเป็นต้องยกระดับเศรษฐกิจฐานราก เพื่อให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำ และเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้จากต้นทุนที่มีในท้องที่ต่าง ๆ ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม ขับเคลื่อนการเสริมศักยภาพและพัฒนาชุมชน วิสาหกิจชุมชน โดยความร่วมมือกับบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่จะมาช่วยเพิ่มศักยภาพในด้านโลจิสติกส์ และการจัดจำหน่ายได้มากขึ้น

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยว่า หนึ่งในภารกิจที่สำคัญของกระทรวงฯ คือการส่งเสริมให้ภาครัฐ-เอกชน และทุกภาคส่วนเข้าถึงระบบต่าง ๆที่เป็นดิจิทัลซึ่งจะนำไปสู่เป้าหมาย Digital Economy โมเดลที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยให้เติบโตอย่างรวดเร็ว และเป็นกลไกเพิ่มผลิตภาพทั้งในภาคการผลิต การค้า การบริการ รวมถึงโอกาสใหม่ ๆ ที่จำเป็นสำหรับการแข่งขัน

อย่างไรก็ตามความร่วมมือระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกระทรวงอุตสาหกรรมในครั้งนี้ ถือเป็นอีกกลไกที่สำคัญที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับผู้ประกอบการในทุกระดับ โดยเฉพาะกลุ่มวิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้เข้าถึงและใช้ประโยชน์โซลูชันทางดิจิทัลได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยได้มอบหมายให้บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ดึงทรัพยากรต่าง ๆ ที่มีความโดดเด่น ตั้งแต่ในด้านการขนส่ง ที่มีทั้งความรวดเร็ว แม่นยำ ปลอดภัย เครือข่ายที่ทำการไปรษณีย์ - บุรุษไปรษณีย์ที่ครอบคลุม ระบบคลังสินค้า และช่องทางจำหน่ายสินค้าทั้งออฟไลน์ ออนไลน์ขยายโอกาสและรองรับความต้องการต่าง ๆ ให้กับผู้ประกอบการพร้อมผลักดันให้ใช้ประโยชน์จากไปรษณีย์ไทยเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจ และเสริมความเป็น Digital SMEs ให้มากขึ้น

ด้าน นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม มีทิศทางการทำงานที่สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ตามนโยบาย “RESHAPE THE FUTURE : โลกเปลี่ยน อุตสาหกรรมปรับ พร้อมรับอนาคต” ภายใต้แนวคิด “ชุมชนเปลี่ยน” ผ่านการบูรณาการเครือข่ายความร่วมมือ (DIPROM CONNECTION) กับบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เพื่อพัฒนาศักยภาพและสร้างโอกาสทางการตลาดในการยกระดับขีดความสามารถวิสาหกิจไทยให้มีความยั่งยืนผ่านการเสริมสร้างองค์ความรู้ในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิต มาตรฐาน และออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัยสอดรับกับเทรนด์โลก รวมถึงมีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในการจัดเก็บสินค้า และระบบคลังสินค้า ตลอดจนได้มอบสิทธิประโยชน์อัตราพิเศษในการขนส่งสินค้าจากผู้ผลิตไปยังผู้รับปลายทางอย่างมีคุณภาพ พร้อมขยายช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์บนเว็บไซต์ ThailandpostMart และออฟไลน์ ณ ที่ทำการไปรษณีย์และเครือข่ายพันธมิตรกว่า 50,000 แห่งทั่วประเทศ

นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมความร่วมมือในการบริหารจัดการวัสดุเหลือใช้ อาทิ กล่อง ซอง ขวดน้ำ ถุงพลาสติก และขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยได้เตรียมจุดรับวัสดุเหลือใช้เหล่านี้ให้แก่สถานประกอบการ ภายใต้โครงการ Green Hub เพื่อลดขยะในสถานประกอบการ สนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนตามหลักการ Circular Economy และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ ความร่วมมือที่เกิดขึ้นระหว่างสองหน่วยงานจะช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และส่งเสริมการเติบโตของผู้ประกอบการ SMEs และวิสาหกิจชุมชนได้อย่างยั่งยืน ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างโอกาสทางการตลาดผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้กว่า 200 ล้านบาท

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า ไปรษณีย์ไทย ในฐานะหน่วยงานสื่อสารและขนส่งของชาติพร้อมสนับสนุนการเติบโตของผู้ประกอบการไทย ในการช่วยขน และช่วยขายสินค้าผ่านเครือข่ายไปรษณีย์ พร้อมทั้งมีบริการอำนวยความสะดวกในการจัดการด้านโลจิสติกส์และคลังสินค้าช่วย “เก็บ แพ็ค ส่ง” รองรับการขยายตัวของธุรกิจ e-Commerce ในส่วนของลูกค้ากลุ่มธุรกิจ B2B และ B2C ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการสามารถจัดการธุรกิจได้อย่างมืออาชีพ

นอกจากนี้ไปรษณีย์ไทยยังพร้อมช่วยผลักดันสินค้าเหล่านี้ให้ถึงมือผู้บริโภคทั่วประเทศผ่านเครือข่ายไปรษณีย์กว่า 50,000 แห่งครอบคลุมทั่วประเทศ เว็บไซต์ ThailandPostMart ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม e-Marketplace ของไปรษณีย์ไทยที่รวบรวมสินค้าตัวท็อปทั่วไทยกว่า 20,000 รายการ จากผู้ประกอบการกว่า 6,000 ราย และยังมีช่องทางจำหน่ายสินค้าออฟไลน์ผ่านร้านค้า ThailandPostMart 17 สาขาในพื้นที่เศรษฐกิจ ได้แก่ ไปรษณีย์กลาง เคาน์เตอร์ไปรษณีย์สาขา MBK ไปรษณีย์จังหวัดอุดรธานี อุบลราชธานี นครราชสีมา บุรีรัมย์ ขอนแก่น หนองคาย เชียงใหม่ พิษณุโลก ราชบุรี กระบี่ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี สงขลา ปัตตานี  และไปรษณีย์จอมสุรางค์ ซึ่งในปีที่ผ่านมาสามารถสร้างรายได้ถึงกว่า 200 ล้านบาท อีกทั้งไปรษณีย์ไทยยังมีแผนในการให้บริการขนส่งสินค้าเข้าคลัง Amazon เพื่อขยายโอกาส ขยายช่องทางให้กับผู้ประกอบไทย ได้ส่งสินค้าไปขายยังต่างประเทศได้อีกด้วย

“รมว.ดีอีเอส” ตอบกระทู้ สว.รับมือปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สั่ง “ปลัดฯ” ประสานกัมพูชา จัดการคนทำผิดตามแนวชายแดน

 

วันที่ 11 มี.ค.67 ในการประชุมวุฒิสภา ที่มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภาทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม  พิจารณากระทู้ถามเป็นหนังสือของพล.ต.โอสถ ภาวิไล สว.ตั้งกระทู้ถามนายประเสริฐ จันทรรวงทอง  รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส.) เรื่อง การป้องกันและปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้เท่าทัน รวมถึงแผนการป้องกันและปราบปรามให้เป็นวาระแห่งชาติ

 

โดย นายประเสริฐ  กล่าวว่า รัฐบาลตระหนักถึงการแก้ไขปัญหาและยอมรับว่าปัญหามีความรุนแรงยิ่งขึ้น และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้เทคโนโลยีเข้ามาสร้างความเสียหายให้กับประชาชน ซึ่งรัฐบาลมีมาตรการป้องกันคือ 1.การบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการจับกุมป้องกันและปราบปรามอย่างต่อเนื่อง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสมาคมธนาคารไทย ได้มีการประสานงานระงับบัญชีม้าและบัญชีอื่นที่เกี่ยวข้อง ประสานกับสำนักงาป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.)ได้ตรวจสอบเส้นทางการเงินและยึดยึดทรัพย์ ทั้งยังประสานกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีสายด่วนแจ้งหลอกการลงทุน และประสานกับดีเอสไอ และคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ตรวจสอบซิมโทรศัพท์ถึงความผิดปกติในการใช้งาน เป็นต้น

รมว.ดีอีเอส. กล่าวต่อว่า 2.มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านอาชญากรรมออนไลน์ หรือ AOC 1441และ3.การออก พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 17 มี.ค.67 นี้ โดยจะเป็นมาตรการป้องกันและปราบปรามการฉ้อโกงและการหลอกลวงออนไลน์ กำหนดบทลงโทษผู้เปิดหรือยินยอมให้คนอื่นใช้บัญชีเงินฝากหรือบัญชีม้า โทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือกรณีเป็นธุระจัดหาบัญชีจำคุก 2-5 ปี ปรับ 200,000 ถึง 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 

“ในเรื่องนี้ต้องประสานงานกับต่างประเทศ จึงมอบหมายปลัดกระทรวงดีอีเอส. ไปประสานกับทางกัมพูชาเพื่อบูรณาการในการปราบปรามช่วงรอยตะเข็บชายแดน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสัญญาณ หรือผู้ร้ายที่เดินทางข้ามไปมา” นายประเสริฐ กล่าว

นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า ส่วนการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบถึงภัยการหลอกลวง โดยมีเว็บไซต์ของกระทรวงและศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ทั้งเฟซบุ๊ก Facebook แอปพลิเคชั่น ไลน์ LINE อินตราแกรม Instagram ทวิตเตอร์ Twitter และยังมีสานด่วน  AOC1441 นอกจากนี้ยังกล่าวย้ำถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นที่รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญ เนื่องจากความเสียหายวันละ70 -100 ล้านบาท โดยเฉพาะเรื่องของการหลอกให้ซื้อสินค้าหรือการซื้อสินค้าไม่ตรงปก    และการหลอกให้ประชาชนลงทุน โดยกระทรวงดีอีเอส.จะยกระดับการทำงานให้เข้มข้นรองรับการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน  หากการดำเนินการยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้รัฐบาลพร้อมจะยกระดับให้ปัญหาดังกล่าวเป็นวาระแห่งชาติ 
 
นายประเสริฐ กล่าวว่า นอกจากนี้รัฐบาลมีแผนการแก้ไขปัญหา 3 ระยะ คือ ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยระยะสั้นเคร่งครัดในการใช้พ.ร.บ.คุ้มครองส่วนบุคคล หรือ กฎหมาย PDPA   จากนั้น ระยะกลาง มีแผนเกี่ยวกับการใช้ AI ในการเข้ามาแก้ไขปัญหาโดยการจับผิดสิ่งปกติข่าวลวงหรือข่าวปลอม  ส่วนระยะยาว จะมีการแก้ไขกฎหมาย เช่น กฎหมายว่าด้วยความผิดคอมคอมพิวเตอร์ และกฎหมายที่ป้องกันและปราบปรามความเสียหายที่เกิดจากไซเบอร์ กฎหมาย    คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และที่สำคัญจะต้องสร้างการตระหนักรู้ให้กับประชาชน  ผ่านโครงการ “วัคซีนไซเบอร์” เพื่ออบรมให้ความรู้กับประชาชน  

 

#สว #แก๊งค์คอลเซนเตอร์ #ดีอีเอส #กัมพูชา

 

"ดีเอสไอ" จ่อเรียก ผอ.สำนัก-สัตวแพทย์ รง.ให้ข้อมูลส่งออกตีนไก่สัปดาห์หน้า

วันที่ 23 ม.ค.67 พันตำรวจตรีณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีหมูเถื่อน เปิดเผยว่า วันนี้คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเกี่ยวกับการนำเข้าซากสัตว์ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มีการประชุมโดยมีพันตำรวจตรียุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะรักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษเข้าประชุม พร้อมติดตามผลการดำเนินงานของทั้ง 3 กลุ่มคดี โดยวันนี้ที่ประชุมคณะพนักงานสอบสวนได้มีมติให้ เชิญนายสัตวแพทย์ประจำโรงงานส่งออกไปจีนมาให้ถ้อยคำเกี่ยวกับกระบวนการส่งออกตีนไก่ไปจีนในสัปดาห์หน้า โดยมีเป้าหมายทั้งหมด 4 โรงงาน แต่ละโรงงานจะมีนายสัตวแพทย์ประจำอยู่ 1-2 คน  หลังจากนี้จะเชิญข้าราชการระดับผู้อำนวยการสำนักที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกตีนไก่มาให้ข้อมูล และขั้นตอนต่างๆ ส่วนจะเชิญข้าราชการจะมีอำนาจในการกำหนดนโยบายการส่งออกตีนไก่มาให้ข้อมูลหรือไม่นั้น ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา

นอกจากนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษยังได้รับข้อมูลตู้ คอนเทนเนอร์บรรจุเนื้อสัตว์ที่ตกค้างที่ท่าเรือแหลมฉบังในช่วงปี 2565 ที่ศุลกากรได้ตรวจสอบพบเพิ่มเติม ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับ 161 ตู้ ในกลุ่มคดีแรก แบ่งเป็นเนื้อหมู 16 ตู้ เนื้อและไก่ 74 ตู้ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และพิจารณารับเป็นคดีพิเศษอีกคดีหนึ่ง เบื้องต้นคาดว่า จะมีกลุ่มบริษัทชิปปิ้งนำเข้าใหม่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

สำหรับความคืบหน้าใน 3 กลุ่มคดีก่อนหน้านี้นั้น กลุ่มแรก คือ คดีนำเข้าเนื้อหมูเถื่อน 161 ตู้ ได้แยกการสอบสวนเป็น 10 สำนวน ส่ง ป.ป.ช.แล้วสามสำนวนอยู่ระหว่างดำเนินการ 7 สำนวน

ส่วนกลุ่มที่ 2 คือ เนื้อหมู ที่ได้กระจายไปยังห้องเย็นต่างๆรวม 2,388 ตู้ ขณะนี้ได้ข้อมูลใบ B/L (Bill of lading) หรือ ใบตราส่งสินค้าทางเรือจากสายเรือมาแล้ว 1,400 ตู้ และจะนำมาตรวจสอบขยายผลต่อว่าชนิดสินค้าที่นำเข้ามาตรงกันหรือไม่ เนื่องจากก่อนหน้านี้พบว่าในใบ B/L ระบุว่าเป็นสินค้าแช่แข็ง (frozen product) แต่เมื่อเปิดตู้พบว่าเป็นชิ้นส่วนเนื้อหมู โดยสำหรับการสืบสวนดำเนินคดี ในกลุ่มที่ 1 และ 2 นั้น ประเมินว่าได้ดำเนินการไปแล้วกว่าร้อยละ 60 

ขณะที่กลุ่มคดีที่ 3 คือ คดีสวมสิทธิ์ตีนไก่นั้น ได้ออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องแล้ว 5 ราย เข้ามอบตัว 4 ราย อยู่ระหว่าง ติดตามตัว 1 ราย คือกรินทร์ ปิยพรไพบูลย์ ลูกชายของเฮียเก้าที่อยู่ต่างประเทศ ซึ่งเฮียเก้ารับปากว่าจะช่วยประสานให้ส่วนผลการสอบปากคำนายหยาง ยา ซุง  และ น.ส.นวพร เชาว์วัย ผู้ต้องหา 2 นั้นสารภาพว่ามีการสวมสิทธิ์ตีนไก่จริง แต่ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ในสำนวนได้

สำหรับการสอบปากคำเฮียเก้า หรือ นายหลี่ เซิ่งเจียว หนึ่งในผู้ต้องหาที่เข้ามอบตัววานนี้ ใช้เวลาสอบสวนนานกว่า 6 ชั่วโมง และให้การที่เกิดประโยชน์ต่อรูปคดี ทำให้เห็นภาพรวมการส่งออกชิ้นส่วนไก่ไปต่างประเทศ แต่รายละเอียดอื่นไม่สามารถเปิดเผยได้ และจะนัดหมายให้เฮียเก้าเข้ามาให้ข้อมูลกับกรมสอบสวนคดีพิเศษอีกครั้งในวันที่ 18 กุมภาพันธ์นี้ ส่วนเรื่องภาพถ่ายกับนักการเมืองหรือข้าราชการระดับสูง หรือความสัมพันธ์กับบุคคลในสมาคมการค้าแลกเปลี่ยนเศรษฐกิจไทยเอเชียคนอื่นๆนั้นไม่ขอให้การ ส่วนความเกี่ยวข้องกับอดีตรัฐมนตรีรายหนึ่งนั้น เฮียเก้าให้ข้อมูลว่าบรรพบุรุษรุ่นปู่ของฝ่ายเฮียเก้าและอดีตรัฐมนตรีรายหนึ่งรู้จักกันมาตั้งแต่ที่จีนจึงได้มาตามหากันที่ไทย ส่วนตัวเฮียเก้านั้นได้เข้ามาอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่เมื่อ 28 ปีที่แล้ว โดยเริ่มจากมาท่องเที่ยว และเข้ามาหางานทำที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 

ผู้สื่อข่าวได้สอบถามถึงกรณีมีกระแสข่าวว่า จะมีการมาร้องเรียนให้ตรวจสอบเรื่องการสวมสิทธิ์กุ้งนั้น ขณะนี้ยังไม่ได้รับการประสานมา และยังไม่มีข้อมูลในเรื่องนี้ พันตำรวจตรีณฐพลย้ำว่า การสืบสวนดำเนินการที่ผ่านมา ไม่ได้รับแรงกดดันหรือมีอุปสรรคปัญหาใดๆ เจ้าหน้าที่ได้สืบสวนไปตามพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงที่ปรากฏ

#ดีอีเอส #ส่งออกตีนไก่ 

 

 

“นายกฯ”ยังโดน“แก๊งคอลฯ” โทรป่วน-ส่งข้อความหา แนะปชช.ทำตามข้อปฎิบัติ "ดีอีเอส"

“นายกฯ” ยังโดน “แก๊งคอลฯ” โทรป่วน-ส่งข้อความหา แนะ ปชช.ทำตามข้อปฎิบัติ ดีอีเอส ขอความร่วมมือค่ายมือถือต้องสงสัย

ที่บ้านวัฒนานคร จ.สระแก้ว เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2566 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ระหว่างลงพื้นที่ จังหวัดสระแก้ว ว่า เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ได้หารือกับนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เกี่ยวกับปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีการไปฝังตัวอยู่บริเวณชายแดน ก็ขอให้ดูดีๆมั่นใจว่านายประเสริฐ ให้ความสำคัญสูงสุดในเรื่องนี้

ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯเคยเจอแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โทรหาบ้างหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า "บ่อยเลย แต่ผมไม่ได้พูดอะไร มีแบบข้อความส่งมาด้วยว่า เรียนคุณเศรษฐา ทวีสิน นอกจากมีเรื่องนั้นเรื่องนี้ ผมยังเก็บไว้ขำเหมือนกัน"

เมื่อถามว่าจะแนะนำประชาชนอย่างไรบ้าง นายเศรษฐา กล่าวว่า เป็นไปตามที่กระทรวงดีอีเอสแนะนำ เพราะตอนนี้ก็มีสายฮอตไลน์ให้ประชาชนแจ้ง ขอความร่วมมือทุกฝ่าย กระทรวงการคลัง ฝ่ายธนาคาร กระทรวงดีอีเอส รวมถึง กสทช. และบริษัทให้บริการโทรศัพท์มือถือ เช่น เรื่องจำนวนซิมการ์ด เบอร์โทร หากเบอร์หนึ่งโทรไปยัง 500 เบอร์ โดยที่เบอร์ไม่ซ้ำกัน ก็ขอร้องให้เข้าไปตรวจสอบ

"รมว.ดีอีเอส" เผยความคืบหน้า "smsแจ้งเตือนภัย" ในพื้นที่เหตุรุนแรง เตรียมประสาน "มท.-สำนักนายกฯ" ลุยพัฒนาระบบให้มั่นคง

 

เมื่อเวลา 11.40 น. วันที่ 10 ต.ค. 2566 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ให้สัมภาษณ์ถึงการจัดทำระบบเอสเอ็มเอสแจ้งเตือนภัย ว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราได้ทดลองยิงสัญญาณเข้าโทรศัพท์มือถือแจ้งเตือนภัยแบบเจาะจงพื้นที่ หรือระบบ Location Based Center ปรากฎว่าระบบดังกล่าวสามารถใช้งานได้ดี เป็นการแก้ไขปัญหาระยะสั้น ซึ่งกระทรวงดีอีเอสจะคุยกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และเครือข่ายโทรศัพท์ทั้งหมด

ส่วนการแก้ไขในระยะต่อไป คือการทำ Cell Broadcast ซึ่งเป็นระบบที่ทั่วโลกใช้กัน เพราะฉะนั้น เรื่อง นี้ต้องคุยกับกระทรวงมหาดไทย และสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อพัฒนาระบบให้มีความมั่นคง และสามารถแจ้งเตือนภัยให้กับประชาชนได้ทันท่วงที

ผู้สื่อข่าวถามว่า ระบบนี้สามารถแจ้งเตือนได้ทันทีใช่หรือไม่ นายประเสริฐ กล่าวว่า ระบบเหล่านี้ต้องใช้เวลาในการพัฒนาเซิร์ฟเวอร์ แต่เรื่องแรกคือ สามารถทำได้ทันที ตอนนี้มีความพร้อมแล้ว 

เมื่อถามถึงระบบ Line Alert นายประเสริฐ กล่าวว่า ตรงนั้นยังไม่ขยายผล ถ้ามีเหตุการณ์ใหญ่ๆ ที่กระทบต่อประเทศ ก็จำเป็นต้องยกระดับการแจ้งเตือนให้ประชาชนรับทราบทันที เป็นความจำเป็นที่เราเตรียมการไว้อยู่ 

เมื่อถามว่า การแจ้งเตือนจะรวมไปถึงภัยพิบัติอื่นๆ ไม่ใช่เฉพาะแค่อาชญากรรมใช่หรือไม่ นายประเสริฐ กล่าวว่า วันนี้ในที่ประชุมครม. มีการพูดคุยกันนิดหน่อย ทั้งนี้ ภัยมีหลายประเภท คงจะต้องมาดูว่าภัยแต่ละชนิดจะต้องทำอย่างไร คงจะต้องมีการบูรณาการร่วมกันก่อนในเบื้องต้น หลังจากนั้น คงจะต้องมีศูนย์สั่งการที่มีอำนาจในการสั่งการได้ แต่การแจ้งเตือนภัยนั้น ไม่ต้องการให้ประชาชนตื่นตระหนก ที่สำคัญคือ การแจ้งเตือนภัยระดับชาติต้องเป็นเรื่องที่กระทบต่อประชาชน เป็นเหตุการณ์ที่รุนแรง และเสียหายมากจริงๆ 

 

"ดีอีเอส" ทดสอบระบบแจ้ง SMS เตือนภัยเฉพาะเจาะจง "ประเสริฐ" ยันทำได้ทันที ไม่กังวลคนร้ายได้ SMS พร้อมตัดสัญญาณได้

 

เมื่อเวลา 12.55 น. วันที่ 5 ต.ค. 2566 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายประเสริฐ จันทรรวงทอง  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวภายหลังการหารือกับคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) และเครือข่ายโทรศัพท์ เรื่องการแจ้งเตือนภัยแบบเจาะจง ว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน ซึ่งเมื่อนายกฯสั่งการมาเราก็ได้เร่งดำเนินการในเรื่องอิเมอเจนินซีโมบายอเลิท ซึ่งวันนี้ได้มีการทดลองใช้แล้ว โดยเครือข่ายเอไอเอสได้ทดลองระบบที่เรียกว่าแอลบีเอส ใช้ไปในช่วงเช้า เป็นการแจ้งเอสเอ็มเอส ใครที่อยู่บริเวณทำเนียบฯจะได้รับเอสเอ็มเอสนี้ ซึ่งการดำเนินการเรื่องในนี้สามารถทำได้เลยทันที และเป็นเรื่องที่เราจะรับไปดำเนินการ

ส่วนในระยะต่อไปเราจะพูดถึงเรื่องเซลบอร์ดแคซ ซึ่งเรื่องนี้ต้องใช้เวลาในการดำเนินการ แต่ถ้าเราทำระบบนี้ได้มันจะเป็นระบบที่เสถียร และจะเป็นระบบเตือนภัยที่จะสามารถแจ้งการเตือนภัยให้ประชาชนได้อย่างครอบคลุมและมีความสมบูรณ์แบบมากขึ้น โดยในเรื่องนี้ตนได้ประสานงานกับทาง กสทช. เครือข่ายเอไอเอส และทรู อีกทั้งได้รับความร่วมมืออย่างดี ดังนั้นจะเหลือแค่ศูนย์คอมมานด์เซ็นเตอร์ ที่วันนี้เราคิดว่าปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาระดับชาติไปแล้ว และไม่รู้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เราจึงจะรับดำเนินการไปเร่งด่วนและไปหารือนายกฯในข้อสั่งการที่สำคัญในการจัดตั้งคอมมานเซ็นเตอร์ต่อไป

เมื่อถามว่าแล้วถ้าคนร้ายได้รับเอสเอ็มเอสจะทำอย่างไร นายประเสริฐ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของทางฝ่ายเราที่จะต้องตัดสัญญาณจุดใดที่มีคนร้ายอยู่ ซึ่งเรื่องนี้สามารถทำได้

เมื่อถามอีกว่าแต่เหตุการณ์การแจ้งเหตุไม่ควรเกินกี่นาที นายประเสริฐ กล่าวว่า ระบบแอลดีเอส สามารถทำได้เลย แต่อีกระบบหนึ่งเร็วสามารถส่งได้เป็นล้านข้อความ แต่ต้องใช้เวลาในการพัฒนาระบบก่อน แต่ตอนนี้ที่เราทำได้คือการแจ้งเอสเอ็มเอสเฉพาะในพื้นที่ที่เกิดเหตุ ทั้งนี้อีกระบบที่ต้องพัฒนานั้นคาดจะใช้เวลาไม่เกิน 1 ปี หรืออย่างเร็ว 6 เดือน เพราะต้องติดตั้งระบบหลายอย่าง

 

 

เมื่อถามถึงปัญหาการมีเซลบอร์ดแคชที่อาจจะติดปัญหาเรื่องงบประมาณใช่หรือไม่ นายประเสริฐ กล่าวว่า ตนไม่อยากพูดเรื่องที่ผ่านมา แต่พูดเรื่องอนาคตดีกว่าว่าเราจะแก้ไขอย่างไร ซึ่งตนจะเร่งเนินการให้เร็ว และไม่ได้ติดขัดเรื่องงบประมาณ

เมื่อถามถึงเรื่องเว็บไซต์ขายปืน นายประเสริฐ กล่าวว่า ตอนนี้ให้ทางดีอีสั่งปิดอยู่ เดิมทีต้องใช้อำนาจศาล แต่ทั้งนี้เมื่อเราเห็นเราปิดเลย โดยสถิติที่เราปิดเว็บที่ไม่ใช่แค่เว็บขายปืนประมาณ 500 เว็บ เราปิดทุกวันด้วยที่เราแก้กฎระเบียบบางอย่าง ส่วนการขายในแพลตฟอร์มอื่นเราเองก็ได้ประสานขอความร่วมมือไปแล้วทั้ง เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ ซึ่งก็ได้รับความร่วมมืออย่างดี

ด้านนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการเลขาฯ กสทช. กล่าวว่า ระบบแบบอะเลิทจะมี 2 ระยะ ซึ่งระยะที่หนึ่งเป็นระบบคล้ายๆกับเอสเอ็มเอส แต่จะใช้เวลาในการประมวลผลนาน เช่น กรณีที่มีเหตุเกิดขึ้นที่ห้างดังกล่าวทางโอเปอเรเตอร์จะจับว่าตรงนั้นมีหมายเลขโทรศัพท์อะไรบ้างแล้วประมวลผล จึงจะส่งเอสเอ็มเอสออกไป และระยะที่สองเป็นระยะที่เรากำลังจะทำ ได้ประสานกับโอเปอเรเตอร์และดีอี เราจะทำเซลบอร์ดแคช ซึ่งเป็นระบบที่ว่าโทรศัพท์เครื่องไหนผ่านเข้ามาบริเวณนั้นก็สามารถแจ้งเอสเอ็มเอสได้เลยโดยไม่ต้องประมวลหมายเลข ระบบเซลบอร์ดแคชเป็นระบบที่ดีที่สุดและเราก็จะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด โดยจะนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุม กสทช.เพื่ออนุมัติโครงการต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 11.40 น. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ทำการทดสอบระบบการแจ้งเตือน เจาะแบบเจาะจงพื้นที่ บริเวณทำเนียบรัฐบาล ด้วยระบบเอสเอ็มเอสผ่านเครือข่าย เอไอเอส และทรู

 

"รมว.ดีอีเอส" ย้ำเดินหน้าปิดเว็บพนันออนไลน์ เตรียมประสานธนาคาร-ตำรวจ-ศาล ปมค้นบ้าน "บิ๊กโจ๊ก" พบ ตร.เอี่ยวไม่ละเว้น

 

วันที่ 26  ก.ย. 2566 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวถึงกรณีพล.ต.อ.เอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติถูกบุคคลค้นบ้านพัก และมีการจับกุมลูกน้องที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายพนันออนไลน์ว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมากระทรวงดีอีเอส ได้ปิดเว็บไซต์เกี่ยวกับพนันออนไลน์ ไปแล้ว กว่า 4,400 เว็บไซต์ ตำรวจดำเนินคดีไปแล้ว 6,000 กว่าคดี ส่วนเรื่องของการใช้บัญชีม้า จะต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบไปถึงเส้นทางการเงิน ของผู้กระทำความผิดเพื่อให้รู้ ที่มาที่ไปของเงิน

เมื่อถามว่า นายกฯ มีแนวคิดดึงภาคเอกชน เป็นคณะกรรมการในการปราบเรื่องพนันออนไลน์ นายประเสริฐกล่าวว่า เป็นเรื่องที่สามารถช่วยได้ และตนขอเตือนทั้งเจ้าของเว็บ และผู้เล่นว่าการกระทำดังกล่าวถือว่ามีความผิด มีโทษทั้งจำทั้งปรับ ผู้เล่นอาจจะถูกแฮกข้อมูลส่วนตัว และอาจถูกติดตั้งแอบพลิเคชั่นจึงขอให้เลิก 

เมื่อถามว่า จะดำเนินการกับบัญชีม้าที่เป็น ต้นเหตุให้สามารถเปิดพนันออนไลน์ได้โดยไม่สามารถสาวถึงตัวเจ้าของได้ นายประเสริฐกล่าวว่า เรื่องนี้ต้องพูดคุยกับธนาคาร ตำรวจ และศาล เพื่อระงับยับยั้งบัญชี ซึ่งตนมองว่าเป็นเรื่องจำเป็น ขยายผลไปทั้งคนเปิดคนรวบรวม และปลายทาง

เมื่อถามย้ำถึงกรณีพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ที่แม้จะยังไม่ออกหมายจับ แต่มีลูกน้องคุณสนิท ที่เป็นตำรวจ ไปมีส่วนเกี่ยวข้อง และขยายผลไปถึง คนอื่น นายประเสริฐกล่าวว่า เป็นนโยบายของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว ในเรื่องปราบปรามผู้มีอิทธิพล จึงต้องดำเนินการโดยเด็ดขาด ไม่ว่าใครเข้าไปเกี่ยวข้อง

สำหรับกรณีที่ ตำรวจเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องผิดกฎหมาย จะแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างไรนั้นนายประเสริฐกล่าวว่า แนวประเสริฐย้ำว่า ไม่ว่าจะ เป็นใครก็ตาม ที่ทำความผิดก็จะต้องถูกดำเนินคดีโดยเด็ดขาด เพราะกฎหมายไม่ได้เลือกปฏิบัติ

ดีอีเอส เตือนภัย ระวัง! มิจฉาชีพ หลอกเรียกค่าไถ่นักศึกษาเสมือน

จากกรณีที่แก๊งมิจฉาชีพ คอลเซ็นเตอร์ กำลังระบาดอย่างหนัก มีหลอกลวงให้หลงเชื่อในรูปแบบต่างๆ เช่น อ้างชื่อหน่วยงานภาครัฐ หรือการส่ง SMS หลอกลวง ล่าสุดมิจฉาชีพมีการหลอกลวงรูปแบบใหม่ มีการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial intelligence) เลียนเสียงนักศึกษาหรือผู้เสียหาย หลอกให้ผู้ปกครองหลงเชื่อว่านักศึกษาถูกเรียกค่าไถ่ พร้อมขู่โอนเงินเรียกค่าไถ่

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) แจ้งเตือนภัยขอให้ผู้ปกครองอย่าหลงเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้รูปแบบพฤติการณ์เรียกค่าไถ่เสมือน โดยมิจฉาชีพจะโทรศัพท์หาพ่อแม่หรือผู้ปกครอง พร้อมส่งส่งรูปบุตรหลานไปยังพ่อแม่หรือผู้ปกครอง และมิจฉาชีพจะหลอกว่าลูกหลานถูกเรียกค่าไถ่ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นการหลอกสองชั้น

โดยชั้นแรก มิจฉาชีพจะใช้วิธีการโทรศัพท์ผ่านระบบ Voip (Voice Over Internet Protocol) หรือระบบ Internet โทรเข้าโทรศัพท์มือถือของผู้เสียหาย โดยสุ่มหรือเลือกกลุ่มนักศึกษาในระดับชั้นอุดมศึกษา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาที่ตั้งใจเรียนดี อยู่เพียงลำพัง โดยมิจฉาชีพอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ เจ้าหน้าที่ธนาคาร เจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อข่มขู่ทำให้ผู้เสียหายตกใจกลัวว่ามีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด หรือมีหมายจับต่างๆ และมีความผิดมูลฐานฟอกเงิน

จากนั้นมิจฉาชีพจะทำทีอ้างว่าสามารถช่วยเหลือไม่ให้ถูกดำเนินคดีได้และเสนอให้ความช่วยเหลือ โดยให้ผู้เสียหายโอนเงินมายังบัญชีธนาคาร (บัญชีม้า) ที่กลุ่มมิจฉาชีพจัดเตรียมไว้และหลอกลวงเงินของนักศึกษาไป หากไม่มีเงิน กลุ่มมิจฉาชีพจะแนะนำให้นักศึกษาย้ายหรือออกจากห้องพัก หรือที่พักปัจจุบัน และให้ผู้เสียหายไปเปิดซิมโทรศัพท์ใหม่ ซื้อเชือกและเทปกาวจากร้านค้า เพื่อใช้พูดคุยโต้ตอบกับมิจฉาชีพ และสั่งให้นักศึกษาทำทีปิดโทรศัพท์ และให้นักศึกษาใช้เทปกาวและเชือกมัดมือมัดเท้าตัวเอง ถ่ายคลิปวิดีโอโดยใช้เครื่องของนักศึกษาเอง เพื่อสร้างสถานการณ์ว่าถูกลักพาตัวและส่งคลิปดังกล่าวให้มิจฉาชีพทางแอปพลิเคชันหรือทางโทรศัพท์ เมื่อได้รับคลิปหรือภาพถ่ายแล้วมิจฉาชีพจะนำรูปภาพหรือเสียงปลอมของบุตรหลาน (AI Voice) ซึ่งใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ในการเลียนเสียงบุตรหลาน

จากนั้น การหลอกชั้นที่สอง มิจฉาชีพจะโทรศัพท์หลอกพ่อแม่และผู้ปกครอง เพื่อเรียกค่าไถ่ โดยจะส่งคลิปไปให้พ่อแม่และผู้ปกครอง เมื่อพ่อแม่และผู้ปกครองตกใจ ที่ได้รับข้อมูลดังกล่าว มิจฉาชีพจะแจ้งพ่อแม่และผู้ปกครองให้โอนเงินค่าไถ่โดยการโอนเงินมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ 1. พ่อแม่และผู้ปกครองโอนเงินไปให้นักศึกษา แล้วนักศึกษาโอนเงินต่อไปให้มิจฉาชีพ และ 2. พ่อแม่และผู้ปกครองโอนเงินให้มิจฉาชีพโดยตรง

ดังนั้นเพื่อป้องกันการหลอกลวงของมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ดีอีเอส ขอให้นักศึกษา พ่อแม่ และผู้ปกครอง ไม่ต้องรับสายโทรศัพท์ จากหมายเลขโทรศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยและหมายเลขโทรศัพท์ที่ขึ้นต้นด้วย +697 +698 ไม่ว่ากรณีใดๆ โดยเด็ดขาด

เตือนภัยและแนวทางป้องกันสำหรับ นักเรียน นักศึกษา
1. สังเกตเบอร์ที่โทรเข้ามาก่อนรับสาย หากเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก หรือเป็นเบอร์ที่มีเครื่องหมาย +697 +698 นำหน้า ให้สงสัยไว้ก่อนว่าอาจเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์

 2. สังเกตความผิดปกติของปลายสายได้จากคำถาม เช่น การถามชื่อ และข้อมูลส่วนตัวโดยตรง หรือการใช้ข้อความอัตโนมัติในการตอบรับ แล้วให้เรากดเบอร์เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่ เป็นต้น ถ้ามีการสนทนาทาง Video call ให้มีสติและสังเกตปากกับเสียงตรงกันหรือไม่ หรือภาพและท่าทางมีความผิดปกติหรือไม่ (มิจฉาชีพสามารถใช้โปรแกรมปลอมใบหน้าขณะสนทนาได้)

 3. หากมิจฉาชีพข่มขู่ว่ากระทำผิด และต้องไปแจ้งความหรือติดต่อเจ้าหน้าที่ ให้นัดหมายไปพบเจ้าหน้าที่เพื่อแจ้งความ สอบปากคำ ชี้แจง หรือยื่นพยานเอกสารพยานวัตถุ ณ สถานที่ราชการด้วยตนเอง หากมั่นใจว่าปลายสายเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือมิจฉาชีพ ให้วางสายทันที และแจ้งเบาะแสกับหน่วยงานที่ดูแล เช่น ตำรวจ ธนาคาร ค่ายมือถือ หรือ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)

4. หากมิจฉาชีพให้โอนเงินเพื่อตรวจสอบ ให้สันนิษฐานว่าเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เนื่องจากข้อมูลบัญชีมีเพียงธนาคารที่ตรวจสอบได้ ห้ามบอกข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลทางการเงิน รวมถึงห้ามโอนเงินตามคำกล่าวอ้าง

5. โหลดแอปฯ Whoscall ซึ่งสามารถตรวจสอบหมายเลข และจะระบุหมายเลขที่ไม่รู้จัก ช่วยให้ทราบว่าใครโทรมาทันที

6. หากมิจฉาชีพส่งเอกสารมาข่มขู่ ให้ตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่ออกเอกสารนั้นๆ โดยตรง หรือโทรหาตำรวจท้องที่ เบอร์ 191 หรือเบอร์ 1441 และเบอร์ 081-866-3000 หรือเข้าพบพนักงานสอบสวนท้องที่เกิดเหตุ หรือปรึกษากับผู้ปกครอง

เตือนภัยสำหรับผู้ปกครอง
1. หากมิจฉาชีพข่มขู่ให้โอนเงินพร้อมส่งคลิปมาให้ดู ให้รีบปรึกษาบุคคลที่ไว้วางใจ เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ หรือโทรสายด่วน 191 หรือ 1441 และเบอร์ 081-866-3000 เพื่อพิจารณาแยกแยะว่าเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือมีการจับตัวเรียกค่าไถ่จริงๆ และเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ให้ความช่วยเหลือถูกวิธี

2. ก่อนโอนเงินให้ดูว่าเป็นบัญชีที่อยู่ในแบล็กลิสต์ที่ใช้กระทำความผิด หรือบัญชีม้าหรือไม่

สำหรับกรณี เรียกค่าไถ่เสมือนนี้ ในต่างประเทศ เรียกว่า Virtual Kidnapping Ransom Scam หรือ fake kidnapping หรือ Kidnapping scam

ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยท่านสามารถติดตามข้อมูลการแจ้งเตือนภัยออนไลน์ได้ทาง https://pctpr.police.go.th 
เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/เตือนภัยออนไลน์ หมายเลขโทรศัพท์ 081-866-3000 หรือโทรศัพท์สายด่วน 1441 หากถูกมิจฉาชีพหลอกลวงสามารถแจ้งความผ่านเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.com

หลอกไม่เลิก!!! DES จับตาข่าวปลอม "สุขภาพ-สินเชื่อออนไลน์" พุ่งไม่หยุด เตือนอย่าเชื่อเด็ดขาด

นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะโฆษกกระทรวงฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ กล่าวถึงผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ระหว่างวันที่ 9 - 15 มิถุนายน 2566 พบข้อความที่เข้ามาทั้งหมด 3,236,913 ข้อความ โดยมีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ (Verify) ทั้งสิ้น 212 ข้อความ ทั้งนี้ช่องทางที่มีการพบเบาะแสมากที่สุด คือ ข้อความที่มาจาก Social Listening จำนวน 166 ข้อความ ตามมาด้วยการแจ้งเบาะแสผ่าน Line Official จำนวน 44 ข้อความ การแจ้งเบาะแสผ่าน Website 2 ข้อความ รวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด 159 เรื่อง และจากการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับผลการตรวจสอบกลับมาแล้ว 89 เรื่อง

ทั้งนี้ ดีอีเอส ได้แบ่งข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจเป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย

กลุ่มที่ 1 : นโยบายรัฐบาล ข่าวสารทางราชการ ความสงบเรียบร้อยของสังคม ขัดศีลธรรมอันดี และความมั่นคงภายในกระเทศ จำนวน 60 เรื่อง อาทิ ผู้ได้สิทธิสวัสดิการบัตรใหม่ที่ยังไม่ได้ยืนยันตัวตนที่ธนาคารสามารถไปยืนยันตัวตนได้ถึง 26 มิ.ย. นี้ เพื่อรับสิทธิค่ารูดสินค้าย้อนหลัง 900 บาท เป็นต้น

กลุ่มที่ 2 : ผลิตภัณฑ์สุขภาพ วัตถุอันตราย เครื่องสำอาง รวมถึงสินค้าและบริการที่ผิดกฎหมาย จำนวน 62 เรื่อง อาทิ ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ส่งผลให้เกิดกลุ่มผิดปกติทางระบบประสาทแบบเฉียบพลัน และอาจทำให้ความจำเสื่อมได้ เป็นต้น

กลุ่มที่ 3 : ภัยพิบัติ จำนวน 10 เรื่อง อาทิ เตือนน้ำท่วมใหญ่ พายุเข้าพัดถล่มไทยทั่วประเทศ มรสุมฝนรุนแรงสูงสุด 80% ของพื้นที่ เป็นต้น

กลุ่มที่ 4 : เศรษฐกิจ จำนวน 27 เรื่อง อาทิ ปตท. เปิดลงทุนซื้อหุ้นน้ำมัน ราคาพื้นฐาน 187 บาท ผ่านเพจ Get Market เป็นต้น โดยมีประเด็นข่าวที่เกี่ยวกับโควิด-19 จำนวน 2 เรื่อง

สำหรับข่าวปลอม และข่าวบิดเบือนที่มีการแชร์วนซ้ำบ่อยที่สุดในรวม 10 ลำดับ  ได้แก่

อันดับที่ 1 : ปั่นหูหลังอาบน้ำ ระวังเป็นเชื้อรา

อันดับที่ 2 : ออมสินสร้างงานสร้างอาชีพ by gsb ผ่านเพจออมสิน-เพื่อนผู้เริ่มประกอบการ

อันดับที่ 3 : เจ้าหน้าที่กฟภ .ติดต่อปชช. ให้รับเงินที่จ่ายค่าไฟเกิน

อันดับที่ 4 : โครงการไทยมีงานทำ จากกรมการจัดหางาน รับสมัครคนมีเวลาว่าง จำนวนจำกัด

อันดับที่ 5 : สร้อยข้อมือแม่เหล็ก ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดี ลดอาการปวดตามข้อและร่างกายป้องกันเซลล์มะเร็ง

อันดับที่ 6 : ทฤษฎีความร้อนบำบัดโดยก้อนถ่านหุงต้มสามารถรักษาโรคมะเร็งได้ทุกระยะและทุกอวัยวะของร่างกาย

อันดับที่ 7 : การอั้นปัสสาวะในเพศชายช่วยลดต่อมลูกหมากโต ส่วนในเพศหญิงช่วยลดโรคช้ำรั่ว

อันดับที่ 8 : มาตรการคืนเงินประกันมิเตอร์ไฟฟ้าเร่งด่วน ลงทะเบียนจนท. ที่ลิงก์ w-vth.cc

อันดับที่ 9 : หมากพลูต้านมะเร็ง ช่วยลดกลิ่นปาก

อันดับที่ 10 : โปรตีนจากอกไก่ปั่นไข่ขาวเป็นอาหารเลี้ยงเซลล์มะเร็ง

"จาก 10 อันดับ พบข่าวเกี่ยวกับสุขภาพมากถึง 6 อันดับ โดยส่วนใหญ่เป็นประเด็นใกล้ตัว ทั้งปัญหาสุขภาพที่คนวิตกกังวล ยาหรือผลิตภัณฑ์สุขภาพที่อยู่ในชีวิตประจำวัน ตลอดจนการรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในสังคมจึงคาดว่าอาจเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้เข้าถึงความสนใจของผู้รับข่าวสาร"

อย่างไรก็ตามขอความร่วมมือประชาชน ตรวจสอบให้รอบด้าน อย่าหลงเชื่อในข้อความเชิญชวนต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ และเรื่องการหลอกลวงให้กู้เงิน หลอกลงทุน ให้สินเชื่อต่าง ๆ ของมิจฉาชีพที่ปลอมเป็นธนาคาร เลือกแชร์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และถูกต้อง มีสติ รู้เท่าทันข่าวปลอม และสามารถติดตามแจ้งเบาะแสข่าวปลอม ผ่านช่องทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ที่ไลน์ @antifakenewscenter เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com/ ทวิตเตอร์ https://twitter.com/AFNCThailand และช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87 ตลอด 24 ชั่วโมง