"โฆษกคมนาคม" เผยนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ล่าสุดยอดลงทะเบียนสำเร็จทะลุแสน

"โฆษกคมนาคม" เผยนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย แนะประชาชน อย่าหลงเชื่อเฟคนิวส์ ยันผู้สูงอายุรับสิทธิ์ได้ตามความเหมาะสม-คุ้มค่าต่อการเดินทาง ระบุ หากค่าบริการไม่ถึง 20 บาท ยังเสียค่าบริการตามจริง เผยล่าสุดยอดลงทะเบียนสำเร็จ ทะลุแสนคนเรียบร้อย

วันที่ 25 สิงหาคม 2568 นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงคมนาคม ในฐานะโฆษกกระทรวงคมนาคม  ตอกกลับกระแสข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ที่บิดเบือนว่า ผู้สูงอายุเกิน 60 ปี อาจ "เสียสิทธิ์" หรือ "ขาดทุน" หรือ "ไม่คุ้ม" หากลงทะเบียนใช้นโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย โดยยืนยันว่า ข้อกล่าวหาเหล่านี้ไม่เป็นความจริง และเป็นการนำเสนอข้อมูลที่ไม่รอบด้าน ทั้งนี้แนะนำว่าประชาชนอย่าหลงเชื่อ "ข่าวปลอม" ที่อาจเกิดจากผู้ไม่หวังดีและผู้ที่ให้ข้อมูลไม่ครบถ้วนตามวัตถุประสงค์ พร้อมย้ำว่า หากพบการปล่อยข่าวปลอม จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

"มาตรการ 20 บาทตลอดสายคือ โปรโมชั่นพิเศษ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของที่ผู้ใช้เดินทางด้วยรถไฟฟ้า เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มได้ประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะเป็นคนทั่วไปหรือผู้สูงอายุก็ตาม ดังนั้นอย่าหลงเชื่อข้อมูลบิดเบือน นโยบายนี้มีโปร่งใส ไม่มีการเอาเปรียบประชาชนอย่างแน่นอน ผู้โดยสารที่นั่งสั้น ๆ และค่าโดยสารไม่ถึง 20 บาทก็ยังจ่ายตามจริง ไม่ถูกบังคับให้จ่ายแพงขึ้นแต่อย่างใด" นายกฤชนนท์ กล่าว

นายกฤชนนท์ ชี้แจงต่อว่า สำหรับผู้สูงอายุ ที่ได้รับสิทธิ์ ส่วนลดค่าเดินทาง 50% อยู่แล้วนั้น สามารถเลือกรับสิทธิ์ได้ตามความเหมาะสมของการเดินทาง โดยผู้สูงอายุที่มีความสนใจเข้าร่วมนโยบาย การคิดอัตราค่าโดยสาร หากลงทะเบียนด้วยบัตรที่กำหนด (บัตร Rabbit / บัตร EMV) ในแอปฯ "ทางรัฐ" การชำระค่าโดยสารด้วยบัตรที่นำมาลงทะเบียน ยังคงได้รับสิทธิ์ที่ลดหย่อน ซึ่งค่าโดยสารที่ลดแล้วจะชำระสูงสุดไม่เกิน 20 บาท ทั้งนี้บัตรที่นำมาลงทะเบียนต้องเป็นบัตรสำหรับผู้สูงอายุ (บัตร Rabbit สำหรับผู้สูงอายุ/ บัตร MRT EMV หรือ Mangmoom EMV สำหรับผู้สูงอายุ) จึงได้จะรับสิทธิ์ลดหย่อยพร้อมชำระค่าโดยสารไม่เกิน 20 บาท

กรณีผู้สูงอายุนำบัตร EMV ของธนาคารมาลงทะเบียน จะไม่ได้รับการลดหย่อยสำหรับผู้สูงอายุ แต่ยังคงได้รับสิทธิ์ตามมาตรการโดยชำระค่าโดยสารสูงสุดไม่เกิน 20 บาท (เนื่องจากบัตร EMV ปกติยังไม่มีสิทธิ์ลดหย่อนในการเดินทาง)

คำแนะนำสำหรับผู้สูงอายุ หากประสงค์ลงทะเบียนรับสิทธิ์ตามมาตรการ 20 บาท ดังนั้นแนะนำให้ใช้บัตร Rabbit สำหรับผู้สูงอายุ/ บัตร MRT EMV หรือ Mangmoom EMV สำหรับผู้สูงอายุ ในการลงทะเบียนรับสิทธิ์

ทั้งนี้เมื่อเวลา 12.00 น. ของวันนี้ ( 25 สิงหาคม 2568 ) จำนวนยอดผู้ลงทะเบียนสำเร็จอยู่ที่ 100,360 คน โดยยอดจำนวนลงทะเบียนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ระบบแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” และระบบการลงทะเบียนผูกบัตรยังคงใช้งานได้เป็นปกติ แต่เนื่องด้วยจำนวนผู้ที่ต้องการเข้ารับสิทธิ์มีเข้ามาจำนวนมาก จึงทำให้การยืนยันตัวตนในบัตร EMV ของธนาคารซึ่งต้องส่งรหัส OTP มีปัญหา โดยเป็นปัญหาด้านการรองรับของระบบธนาคารนั้นๆ  แต่อย่างไรก็ตาม กระทรวงคมนาคม และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เข้าประสานงานกับทางธนาคาร เพื่อให้สามารถรองรับผู้ที่ต้องการรับสิทธิ์ลงทะเบียนอย่างทั่วถึงต่อไป

ดีอี เผยรัฐบาล ตั้ง "ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมแห่งชาติ" ขอความร่วมมือแพลตฟอร์ม ยกระดับปิดกั้น "เฟคนิวส์"

วันที่ 6 สิงหาคม 2568 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงดีอี (Top Executives) ครั้งที่ 7/2568 โดยมีศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงดีอี เข้าร่วม ณ ห้องประชุม 801 ชั้น 8 อาคารสำนักงานใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT และผ่านระบบ Video Conference

นายประเสริฐ กล่าวว่า ในการประชุมครั้งนี้มีการหารือร่วมกับผู้บริหารหน่วยงานของกระทรวงดีอี โดยมีวาระการพิจารณาประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1.เรื่องการเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ ประจำปี ค.ศ. 2025 (APEC 2025 Digital and AI Ministerial Meeting) ณ เมืองอินชอน สาธารณรัฐเกาหลี เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งที่ประชุมให้ความสำคัญกับการใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI โดยประเทศไทยได้ร่วมให้ความคิดเห็นในเรื่องของการพัฒนา AI และความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ โดยได้มีการกล่าวถึงเรื่องของข่าวปลอม และมาตรการปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แก๊งคอลเซ็นเตอร์

2.การขับเคลื่อนโครงการ “ 1 อำเภอ 1 ไอทีแมน” หรือ “โครงการส่งเสริมและพัฒนาทักษะความรู้เพื่อขับเคลื่อนและยกระดับกำลังคนดิจิทัลระดับอำเภอ” โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (BDE) ซึ่งปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ดิจิทัลอำเภอได้ดำเนินการปฏิบัติงานในพื้นที่ 878 อำเภอทั่วประเทศแล้ว พร้อมกับการจัดตั้งศูนย์ดิจิทัลชุมชนเพิ่มขึ้น 500 แห่ง รวมเป็นจำนวนประมาณ 2,300 แห่งทั่วประเทศ  และ3.การยกระดับการต่อต้านข่าวปลอม ขณะนี้รัฐบาลได้ดำเนินการแต่งตั้ง “คณะกรรมการตรวจสอบและวิเคราะห์ข่าวในสื่อสังคมออนไลน์เพื่อป้องกันข่าวปลอม” หรือ “ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมแห่งชาติ” ขึ้น ซึ่งมีตนเป็นประธานฯ พร้อมด้วยศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี เป็นรองประธานฯ โดยบูรณาการหน่วยงานด้านความมั่นคง และด้านการประชาสัมพันธ์ ทำงานร่วมกัน อาทิ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงานตำรวจแหง่ชาติ (ตร.) กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น 

สำหรับการจัดตั้งศูนย์ฯ ดังกล่าว เพื่อดำเนินการป้องกันและปราบปรามแก้ไขปัญหาข่าวปลอม ที่ปัจจุบันมีปริมาณเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะข้อมูลข่าวสารที่สร้างขึ้น และถูกส่งต่อกันทางสื่อสังคมออนไลน์ ที่มีการเผยแพร่เนื้อหาไม่เหมาะสม บิดเบือนข้อมูลข่าวสาร สร้างข่าวปลอม ก่อให้เกิดการปลุกระดม ยั่วยุ สร้างความรุนแรง ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยกระทรวงดีอี ได้สนับสนุนเจ้าหน้าที่จากศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย (Anti Fake News Center: AFNC) ร่วมปฏิบัติงานเฝ้าระวังและตรวจสอบข่าวปลอมตลอด 24 ชั่วโมง

ทั้งนี้จากข้อมูลสถิติของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 31 กรกฎาคม 2568 พบว่า ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ ได้ทำการคัดกรองจำนวนข้อความทั้งหมด 1,188,564,734 ข้อความ โดยมีจำนวนข้อความที่เข้าเกณฑ์การตรวจสอบ 2,279,897 ข้อความ ซึ่งแยกเป็นเรื่องที่ส่งตรวจสอบ จำนวน 41,882 เรื่อง สามารถแบ่งเป็นหมวดหมู่ข่าวสารที่ผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้าง ดังนี้
- เรื่องนโยบายรัฐบาลและความมั่นคง 20,052 เรื่อง 
- เรื่องสุขภาพ 14,713 เรื่อง 
- เรื่องเศรษฐกิจ 2,229 เรื่อง
- เรื่องอาชญากรรมออนไลน์ 2,794 เรื่อง 
- เรื่องภัยพิบัติ 2,094 เรื่อง

ขณะเดียวกันมีเรื่องที่ได้รับการตรวจสอบแล้วจำนวนทั้งหมด 21,622 เรื่อง โดยแบ่งเป็น (1) ข่าวปลอม จำนวน 7,714 เรื่อง (2) ข่าวจริง จำนวน 8,577 เรื่อง (3) ข่าวบิดเบือน จำนวน 2,456 เรื่อง (4) ข้อมูลไม่เพียงพอ จำนวน 2,875 เรื่อง

"ขณะนี้รัฐบาลได้ให้ความสำคัญ และยกระดับการดำเนินการเรื่องของข่าวปลอมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนทั้งในด้านสังคมและเศรษฐกิจ ดังนั้นรัฐบาลจึงได้จัดตั้ง ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมแห่งชาติ ซึ่งนอกจากการตรวจสอบเฝ้าระวัง และดำเนินการปิดกั้นข่าวปลอมแล้ว ศูนย์ฯ ดังกล่าวจะมีหน้าที่ทำงานเชิงบวกในการชี้แจงและทำความเข้าใจในข้อเท็จจริงของข่าวเพื่อที่จะสามารถสื่อสารให้กับประชาชนได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น โดยมีการหารือร่วมกับแพลตฟอร์มทั้งหมด เพื่อทำความเข้าใจและขอความร่วมมือในการปิดกั้นข่าวปลอมที่มีการเผยแพร่ โดยเฉพาะข่าวปลอมที่กระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของประเทศ" รองนายกฯ ประเสริฐ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ขอเตือนประชาชนว่าการนำข้อมูลบิดเบือน ข่าวปลอม ไม่ว่าจะเป็นการปลอมทั้งหมด หรือแค่บางส่วน หรือข้อมูลอันเป็นเท็จ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นการเผยแพร่โดยตรง หรือการแชร์ส่งต่อ ล้วนมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 ซึ่งเป็นความผิดที่ไม่สามารถยอมความได้ โดยผู้กระทำความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

จริงคือขม แต่ปลอมคือหวาน! "แขก คำผกา" แฉพฤติกรรมคนเสพข่าวปลอม

วันที่ 5 ส.ค.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า "แขก คำผกา" ลักขณา ปันวิชัย พิธีกรชื่อดัง ผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย โพสต์ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์แอปเพคิชั่น X (ทวิตเตอร์) @kamphaka ว่า...

ทำไมคนแชร์/ชอบ fake news

1. เพราะมันสอดคล้องกับความเชื่อของเราอยู่แล้ว ดังนั้นมันช่วย confirm judgment เดิมของเรา

2. เพราะเราเห็นว่า fake news ที่บรรจุคุณธรรมที่เราสมาทานย่อมดีกว่าความจริงที่เป็นเลวร้าย

3. เราไม่ได้อ่านข่าวเพราะอยากรู้ข้อเท็จจริง เราอ่านข่าวเพื่อยืนยันอคติของเรา

ดีอีสแกนเฟคนิวส์1.17พันล.ข้อความ เตรียมใช้AIลุยตรวจจับข่าวปลอม

ดีอี สแกนเฟคนิวส์ทะลุ 1.17 พันล้านข้อความ แจ้งเตือนประชาชนแล้วกว่า 1 หมื่นเรื่อง เตรียมใช้ AI ตรวจจับข่าวปลอม

  เมื่อวันที่ 7 เม.ย.68 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่า กระทรวงดีอี ได้ดำเนินการแก้ไขและป้องกันปัญหาข่าวปลอมที่มีผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะข่าวปลอมเกี่ยวกับอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งต้องชี้แจงข้อเท็จจริงให้ประชาชนรับทราบอย่างรวดเร็วทันท่วงที ก่อนตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

  ทั้งนี้ จากข้อมูลสถิติของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย (Anti Fake News Center: AFNC) ตั้งแต่เดือนพ.ย.62 - มี.ค.68 พบว่า ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ ได้ทำการคัดกรองจำนวนข้อความทั้งหมด 1,172,694,555 ข้อความ โดยมีจำนวนข้อความที่เข้าเกณฑ์การตรวจสอบ 74,892 ข้อความ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 68)

  สำหรับข้อความที่เข้าเกณฑ์ตรวจสอบดังกล่าว ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ ได้บูรณาการตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของข่าวสาร ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ภาคประชาชน และสื่อมวลชน รวมเป็นเครือข่ายผู้ประสานงานกว่า 400 หน่วยงาน ซึ่งสามารถแบ่งประเภทข้อความได้ดังนี้

  1.เรื่องที่ส่งตรวจสอบ จำนวน 38,361 เรื่อง โดยแบ่งเป็นหมวดหมู่ข่าวสารที่ผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้าง ดังนี้ เรื่องนโยบายรัฐบาล 18,168 เรื่อง (47.36%) เรื่องสุขภาพ 14,082 เรื่อง (36.71%) เรื่องเศรษฐกิจ 2,115 เรื่อง (5.51%) เรื่องอาชญากรรมออนไลน์ 2,171 เรื่อง (5.66%) เรื่องภัยพิบัติ 1,825 เรื่อง (4.76%) 2.เรื่องที่ได้รับการตรวจสอบ มีจำนวนทั้งหมด 19,954 เรื่อง โดยแบ่งเป็น (1) ข่าวปลอม จำนวน 6,987 เรื่อง (35.01%) (2) ข่าวจริง จำนวน 7,955 เรื่อง (39.87%) (3) ข่าวบิดเบือน จำนวน 2,241 เรื่อง (11.23%) (4) ข้อมูลไม่เพียงพอ จำนวน 2,771 เรื่อง (13.89%) 3.เรื่องที่ได้ดำเนินการเผยแพร่ข่าวสารที่ตรวจสอบแล้วให้กับประชาชนได้รับทราบจำนวนทั้งหมด 10,293 เรื่อง แบ่งเป็น (1) ข่าวปลอม จำนวน 7,230 เรื่อง (70.25%) (2) ข่าวจริง จำนวน 2,266 เรื่อง (22.01%) (3) ข่าวบิดเบือน จำนวน 797 เรื่อง (7.74%)

          "กระทรวงดีอี โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ ให้ความสำคัญในการสร้างความเข้าใจ และชี้แจงข้อเท็จจริง และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องอย่างทันท่วงทีแก่ประชาชน ผ่านกระบวนการตรวจสอบข้อมูลอย่างรัดกุม ซึ่งในอนาคต จะมีการนำเอาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เข้ามาช่วยในการตรวจสอบข่าวปลอม ข่าวบิดเบือน และข่าวจริง รวมทั้งการแจ้งเตือนภัยจากการหลอกลวงที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงทางออนไลน์ หรืออาชญากรรมออนไลน์ ในรูปแบบต่าง ๆ ให้ทันต่อสถานการณ์อยู่เสมอ เพื่อลดความสูญเสียของประชาชนในการตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ที่ใช้สื่อสังคมออนไลน์ เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงประชาชน" นายประเสริฐ กล่าว

ทรู ลั่นเอาเรื่องถึงที่สุด! ลุยดำเนินคดีขบวนการสร้างเฟคนิวส์ใส่ร้าย บิดเบือนข้อมูลเท็จ กรณีประมูลคลื่นความถี่

ทรู คอร์ปอเรชั่น แจ้งจับขบวนการสร้างเฟคนิวส์ มุ่งบ่อนทำลายชื่อเสียงบริษัทฯ และผู้บริหารของบริษัทฯ จากกรณีมีผู้ใช้บัญชีติ๊กต๊อก (TikTok) รายหนึ่งใช้ชื่อว่า “สุรีมาทางนี้” โพสต์คลิปวิดิโอสั้นอันเป็นข้อมูลเท็จเกี่ยวกับ ทรู คอร์ปอเรชั่น อย่างต่อเนื่อง โดยวิธีการตัดต่อข้อมูล นำมาจัดเสนอใหม่และบิดเบือนเพิ่มเติม รวมทั้งมีการระบุชื่อผู้บริหารทรู นำภาพเก่ามาตัดต่อปรับเนื้อหา และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสาธารณชน สร้างความเสียหายให้แก่ทั้งผู้บริหารที่ถูกกล่าวอ้างถึงและบริษัทฯ ลั่นเอาเรื่องผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด พร้อมดำเนินคดีทางกฎหมายจนถึงที่สุด

วานนี้ (24 มีนาคม 2568) ทีมกฎหมาย ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้นำหลักฐานข้อความและคลิปวิดิโอต่างๆ เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง เพื่อดำเนินคดีอาญาแก่ผู้กระทำความผิดตามบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้องทุกมาตรา และให้มีการสืบสวนต่อถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งขบวนการ เนื่องจากการกระทำของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลดังกล่าวมีเจตนาสร้างความเสียหายต่อบริษัทฯ โดยผู้กระทำผิดหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดข้อหานำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์นั้น  ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยสาเหตุที่จำเป็นต้องแจ้งความดำเนินคดีว่า บริษัทฯพบว่ามีขบวนการบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือและชื่อเสียงของบริษัทฯอย่างต่อเนื่อง ด้วยการโพสต์ข้อความและคลิปวิดีโอที่มีลักษณะเป็นการโฆษณาต่อบุคคลอื่นที่ได้พบหรือได้อ่านข้อความดังกล่าว อันเป็นข้อความและคลิปที่ไม่มีมูลความจริง บิดเบือนข้อเท็จจริง ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีอีกหลายคลิปที่มีเนื้อหาระบุชื่อ นามสกุล และตำแหน่งของผม พร้อมให้ข้อมูลที่ผิดจากข้อเท็จจริง เป็นเหตุให้มีความเข้าใจผิด และนำมาซึ่งการแสดงความคิดเห็นที่เป็นการใส่ความทั้งต่อบริษัทฯและตัวผม โดยเผยแพร่ต่อสาธารณะผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์และสื่อโซเชียลมีเดีย  ปลุกปั่นให้เชื่อว่าบริษัทฯและผู้บริหารของบริษัทฯ ดำเนินธุรกิจอย่างไม่โปร่งใส  ทำให้บริษัทฯและผมได้รับความเสียหายและกระทบต่อธุรกิจของบริษัทฯ จึงจำเป็นต้องดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด เพื่อป้องกันมิให้เกิดการกระทำที่เข้าข่าย Fake News เช่นนี้ เกิดขึ้นอีกในอนาคต

ทรู คอร์ปอเรชั่น ขอยืนยันว่า บริษัทฯยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาลมาโดยตลอด และเชื่อว่าการสร้างสังคมออนไลน์ที่สะอาดปราศจากการโกหก บิดเบือน หรือปลอมแปลง เป็นแนวทางในการสร้างสังคมที่ดี ซึ่งการดำเนินการทางกฎหมายอย่างถึงที่สุด จะเป็นกรณีตัวอย่างให้สังคมหลีกเลี่ยงการสร้างเฟคนิวส์ และใช้สื่อสังคมออนไลน์ในทางสร้างสรรค์มากขึ้น

เฟคนิวส์! “รัฐบาล”เตือนประชาชน อย่าหลงเชื่อข่าวปลอม แจกเงินหมื่นให้ทายาทผู้สูงอายุ ที่เสียชีวิตไม่จริง

เฟคนิวส์..มาอีกแล้ว รัฐบาลเตือนประชาชน อย่าหลงเชื่อข่าวปลอม แจกเงินหมื่นให้ทายาทผู้สูงอายุ ที่เสียชีวิตไม่จริง

วันนี้ ( 7 มีนาคม 2568 ) เวลา 09.00 น. นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า จากกรณีสื่อสังคมออนไลน์ แชร์ประเด็นเรื่องผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปที่เสียชีวิต ทายาทได้ 3,000 บาท ส่วนข้าราชการบำนาญได้ 30,000 บาท จาก พม. สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นั้น เป็นข้อมูลเท็จ ขอประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่งหรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ

ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) ให้การสนับสนุนการสงเคราะห์ในการจัดการศพตามประเพณี ตามโครงการสนับสนุนค่าจัดการศพผู้สูงอายุตามประเพณี ดำเนินการตามประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีงบประมาณในการช่วยเหลือ ช่วยเหลือเป็นเงินรายละ  3,000 บาท ผู้สูงอายุที่เสียชีวิตซึ่งเป็นข้าราชการบำนาญจะไม่มีคุณสมบัติในการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ส่งผลให้ไม่สามารถขอรับการสนับสนุนได้ ทั้งนี้ การสงเคราะห์ในการจัดการศพตามประเพณีนั้น ผู้สูงอายุที่ตายต้องเข้าหลักเกณฑ์ ดังนี้ 1. อายุเกิน 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป 2. สัญชาติไทย และ 3. ผู้สูงอายุที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เว้นแต่ผู้สูงอายุที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐแต่ยังไม่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือยังไม่ได้ลงทะเบียนให้ผู้อำนวยการเขต หรือนายอำเภอ หรือกำนันหรือผู้ใหญ่บ้าน หรือนายกเทศมนตรี หรือนายกองค์การบริหารส่วนตำบล หรือนายกเมืองพัทยา หรือประธานชุมชน เป็นผู้ออกหนังสือรับรองการสงเคราะห์ฯ ตามประกาศฉบับนี้รวมถึงผู้สูงอายุอยู่ใน ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ (ศพส.) สถานสงเคราะห์ สถานดูแล สถานคุ้มครอง หรือสถานใด ๆ ของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ดำเนินการในลักษณะเดียวกัน ซึ่งจัดการศพตามประเพณีโดยมูลนิธิ สมาคมวัด มัสยิด โบสถ์

สำหรับสถานที่ยื่นคำขอสามารถยื่นคำขอในท้องที่ที่ผู้สูงอายุมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านหรือภูมิลำเนาในขณะถึงแก่ความตาย ดังนี้ 1. ต่างจังหวัด ยื่นคำขอที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ที่ว่าการอำเภอ สำนักงานเทศบาล ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบล หรือศาลาว่าการเมืองพัทยา 2. กรุงเทพมหานคร ยื่นคำขอที่สำนักงานเขต ส่วนเอกสารที่ต้องใช้ในการยื่นคำขอ ได้แก่ 1. ใบมรณะบัตรของผู้สูงอายุ 2. บัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้สูงอายุ และ 3. บัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรอื่นที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐที่มีรูปถ่ายและเลขประจำตัวประชาชนของผู้ยื่นคำขอ โดยมีระยะเวลาการยื่นคำขอภายใน 6 เดือนนับตั้งแต่วันที่ออกใบมรณบัตร งบประมาณในการช่วยเหลือช่วยเหลือเป็นเงินรายละ 3,000 บาท ทั้งนี้ หากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) โทร. 1300 สายด่วน พม. ตลอด 24 ชั่วโมง

‘โยเกิร์ต‘ โร่แจ้งความ หลังถูกนำภาพแอบอ้างปล่อยเฟคนิวส์

‘โยเกิร์ต‘ โร่แจ้งความ หลังถูกนำภาพแอบอ้างปล่อยเฟคนิวส์ ลั่นไม่กล้ากดลิงก์เช็ครายละเอียดเพราะกลัว 

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 24 ก.พ. 68 ที่สน.ทองหล่อ น.ส.ณัฐฐชาช์ บุญประชม หรือ โยเกิร์ต อายุ 38 ปี นักแสดงชื่อดัง เดินทางเข้าลงบันทึกประจำวัน กรณีมีเว็บไซต์นำภาพไปแอบอ้างสร้างข่าวปลอม ทำให้ได้รับความเข้าใจผิดและความเสียหาย 

น.ส.ณัฐฐชาช์ เปิดเผยว่า มีเพื่อนของตนเห็นโพสต์จาก Facebook ที่แชร์เว็บไซต์ที่มีการนำภาพของตนไปแอบอ้างว่าตนโดนจับกุม แต่ตนก็ไม่ทราบว่ารายละเอียดเป็นอย่างไรเนื่องจากไม่กล้ากดลิงก์ดังกล่าว จึงได้ทำการปรึกษาทางค่ายและผู้จัดการ วันนี้จึงตัดสินใจเดินทางมาลงบันทึกประจำวัน ซึ่งนอกจากเรื่องเว็บไซต์ดังกล่าวแล้ว ก็ยังจะลงบันทึกประจำวันในส่วนของที่มีบางเพจ หรือบางเว็บไซต์ ที่นำภาพของตนไปใส่ข้อความที่ตนไม่ได้พูด เผื่อไว้ในกรณีที่ทำให้เกิดความเสียหาย และเพื่อให้ประชาชนได้ทราบว่าอาจจะเป็นมิจฉาชีพ

ซึ่งขณะนี้พบข่าวปลอมแค่เพียงใน Facebook เป็นหลัก ส่วนในแพลตฟอร์มอื่นยังไม่พบ แต่จากการตรวจสอบโพสต์ดังกล่าวมีการยิงแอดโฆษณาด้วย ซึ่งขณะนี้ตนยังไม่ได้มีผลกระทบแต่อย่างใด แต่ก็ใช้ชีวิตระมัดระวังให้มากขึ้นเนื่องจากตนก็เป็นผู้มีชื่อเสียง เบื้องต้นยังไม่พบว่ามีส่วนเอี่ยวในเรื่องของเว็บพนันด้วยหรือไม่ แต่ก็มาลงบันทึกประจำวันไว้เพื่อกันไว้ก่อน.

รบ.เตือนเฟคนิวส์ “ออกกฎหมายเลี้ยงไก่ไข่” ไม่จริง

รบ.เตือนเฟคนิวส์ “ออกกฎหมายเลี้ยงไก่ไข่” ไม่จริง..หากเลี้ยงน้อยกว่า1พันตัวไม่ต้องขอใบอนุญาตและใบรับรอง

วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2568) นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์   รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงข้อเท็จจริงและรายละเอียดกรณีมีการเผยแพร่ข้อความทางสื่อออนไลน์อ้างว่า “กฎหมายใหม่ เลี้ยงไก่ต้องมีใบอนุญาต หากฝ่าฝืนปรับสูงสุด 5 แสนบาท”  ไม่เป็นความจริง เป็นข้อความเฟคนิวส์ ขอประชาชนและเกษตรกรรายย่อยผู้เลี้ยงไก่ อย่าหลงเชื่อ และเป็นกังวลต่อเรื่องดังกล่าว

“การออกกฎหมายมาตรฐานบังคับสำหรับฟาร์มไก่ไข่ (GAP ฟาร์มไก่ไข่) ที่เป็นมาตรฐานกำหนดการปฏิบัติที่ดี เพื่อการค้าตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กำหนดมาตรฐานสินค้าเกษตร : การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับฟาร์มไก่ไข่ และ พ.ร.บ. มาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. 2551 ได้มีการกำหนดผู้เลี้ยงไก่ไข่รายย่อย น้อยกว่า 1,000 ตัว ไม่ต้องขอใบอนุญาตและใบรับรอง เนื่องจากไม่ถูกบังคับจากมาตรฐานดังกล่าว” นายอนุกูล ระบุ

 ส่วนกรณีผู้เลี้ยงไก่ไข่ มากกว่า 1,000 ตัวขึ้นไป ต้องขอใบอนุญาตและใบรับรอง ซึ่งสามารถยื่นขอใบอนุญาตผู้ผลิตสินค้าเกษตรตามมาตรฐานบังคับ ผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ TAS-License ได้ที่ http://tas.acfs.go.th/nsw/ โดยมีค่าธรรมเนียมสำหรับบุคคลธรรมดา 100 บาท และนิติบุคคล 1,000 บาท (ตามกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับประกอบกิจการเกี่ยวกับสินค้าเกษตร พ.ศ. 2552) และสามารถยื่นขอใบรับรองมาตรฐาน GAP จากกรมปศุสัตว์ผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ Biz portal ผ่านทาง https://bizportal.go.th/ หรือติดต่อสำนักงานปศุสัตว์อำเภอ สำนักงานปศุสัตว์จังหวัด ในพื้นที่ที่ฟาร์มตั้งอยู่ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

ทั้งนี้ การกำหนดโทษตามมาตรฐาน GAP ฟาร์มไก่ไข่ภาคบังคับ ตามพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. 2551 เฉพาะการเปรียบเทียบปรับ ได้กำหนดอัตราการเปรียบเทียบปรับ ดังนี้ 1) ไม่ขอรับใบอนุญาตฯ ตามมาตรา 20  ครั้งที่ 1 เปรียบเทียบปรับ 30,000 บาท ครั้งที่ 2 เปรียบเทียบปรับ 60,000 บาท ครั้งที่ 3 และครั้งต่อ ๆ เปรียบเทียบปรับ 300,000 บาท 2) ไม่ขอรับการตรวจสอบและได้ใบรับรองมาตรฐานบังคับ ตามมาตรา 27  ครั้งที่ 1 เปรียบเทียบปรับ 50,000 บาท ครั้งที่ 2 เปรียบเทียบปรับ 100,000 บาท  ครั้งที่ 3 และครั้งต่อ ๆ ไป เปรียบเทียบปรับ 500,000 บาท

“รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของฟาร์มไก่ไข่ที่สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการในประเทศไทย ได้มีปรับปรุงกฎหมายเพื่อการพัฒนามาตรฐานฟาร์มไก่ไข่ GAP และมาตรฐานการส่งออก เพื่อเพิ่มศักยภาพ ให้ประเทศไทยสามารถผลิตไข่ไก่ที่มีคุณภาพ ปลอดภัยต่อผู้บริโภค หากเกษตรกรหรือประชาชนทั่วไป มีข้อสงสัยหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่สำนักพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐานสินค้าปศุสัตว์ โทร 02-653-4444 ต่อ 3155 หรือ โทร 02-653-4444 ต่อ 3158 และส่งข้อมูลได้ที่แอปพลิเคชัน DLD 4.0”  นายอนุกูล กล่าว

"ดีอี" จับมือ 300 หน่วยงาน แจ้งเตือน “เฟคนิวส์” หวังอนาคตใช้ AI ตรวจจับข่าวปลอมสกัด “โจรออนไลน์”

ดีอีจับมือ 300 หน่วยงาน แจ้งเตือน “เฟคนิวส์” ปชช.แล้วกว่า 570 ล้านครั้ง หวังอนาคตใช้ AI ตรวจจับข่าวปลอม ป้องกัน “โจรออนไลน์”

เมื่อวันที่ 13 ก.พ.68 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการการใช้งานระบบสำหรับประสานงานการตรวจสอบข่าวปลอมและสร้างเครือข่ายผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาข่าวปลอมทั้ง 5 กลุ่มข่าว และกลุ่มนิติกร พร้อมมอบโล่รางวัล “พันธมิตรยอดเยี่ยมแห่งปี 2024” ให้แก่หน่วยงานร่วมบูรณาการตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของข่าวสารในช่วงปี 2567 ที่ผ่านมา โดยมี นางสาวยุพาภรณ์ ศิริกิจพาณิชย์กูล ผู้ช่วยปลัดกระทรวงดีอี และผู้แทนจากหน่วยงานเครือข่ายผู้ประสานงานฯ เข้าร่วม ณ โรงแรม เซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ 

นายประเสริฐ กล่าวว่า กระทรวงดีอี ได้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย (Anti Fake News Center: AFNC)  ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 โดยมีเป้าหมายหลักคือ แก้ไขและป้องกันปัญหาข่าวปลอมที่มีผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะข่าวปลอมเกี่ยวกับอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งต้องชี้แจงข้อเท็จจริงให้ประชาชนรับทราบอย่างรวดเร็วทันท่วงที ก่อนตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ผ่านความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ภาคประชาชน รวมถึงสื่อมวลชน บูรณาการทำงานร่วมกันเป็นเครือข่ายผู้ประสานงานกว่า 300 หน่วยงาน ที่ทำการตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของข่าวสาร 

ทั้งนี้ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ ได้แบ่งข่าวสารที่ผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้าง เป็น 5 กลุ่มข่าว ได้แก่ 1.เรื่องนโยบายรัฐบาล ความสงบเรียบร้อยของสังคม และความมั่นคงภายในประเทศ 2.เรื่องผลิตภัณฑ์สุขภาพ วัตถุอันตราย เครื่องสำอาง รวมถึงสินค้าและบริการที่ผิดกฎหมาย 3.เรื่องเศรษฐกิจ 4.เรื่องภัยพิบัติ และ 5.อาชญากรรมออนไลน์ 

สำหรับปัจจุบันมีประชาชนติดตามและตรวจสอบข้อมูลข่าวสารของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ ผ่านช่องทางต่าง ๆ ดังนี้
1) Website : www.antifakenewscenter.com  จำนวน 27,898,089 ผู้รับชม
2) Line Official Account : @antifakenewscenter  จำนวน 2,791,452 ผู้ติดตาม
3) Facebook : Anti-Fake News Center Thailand  จำนวน 120,515 ผู้ติดตาม
4) Twitter : @AFNCThailand  จำนวน 18,313 ผู้ติดตาม
5) TikTok: @AFNC_Thailand จำนวน 1,874 ผู้ติดตาม
6) Instagram: @AFNC_Thailand จำนวน 1,010 ผู้ติดตาม

ขณะเดียวกันกระทรวงดีอี ยังได้มีบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ การแจ้งเตือนภัยจากการหลอกลวงทางสื่อออนไลน์และข่าวปลอมแก่ประชาชนผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565 จนถึงปัจจุบัน โดยมีประชาชนเข้าถึงการแจ้งเตือนภัย ในปี 2566 จำนวนเฉลี่ย 22.25 ล้านครั้ง/เดือน และในปี 2567 จำนวนเฉลี่ย 23.50 ล้านครั้ง/เดือน รวมแล้วมีประชาชนเข้าถึงมากกว่า 570 ล้านครั้ง

นอกจากนี้ ยังมีเครือข่ายที่มีการทำข้อตกลงความร่วมมือร่วมกัน เช่น สมาคมธนาคารไทย 16 ธนาคาร เครือข่ายภาคสื่อมวลชนที่ช่วยเผยแพร่ข่าวปลอมที่เป็นกระแส มีบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับกองทุนสื่อปลอดภัยสร้างสรรค์ ที่จะร่วมกันประชาสัมพันธ์ข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้รับทราบ

“กระทรวงดีอี โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ ให้ความสำคัญในการสร้างความเข้าใจและประสานงานร่วมกันของหน่วยงานพันธมิตร เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงและเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องอย่างทันท่วงทีแก่ประชาชน ผ่านกระบวนการตรวจสอบข้อมูลอย่างรัดกุม โดยในอนาคตจะมีการนำเอาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เข้ามาช่วยในการตรวจสอบข่าวปลอม ข่าวบิดเบือน และข่าวจริง และเร่งผลักดันให้เกิด Impact สูงสุด ในการเผยแพร่การแจ้งเตือนภัยจากการหลอกลวงที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงทางออนไลน์ หรืออาชญากรรมออนไลน์ ในรูปแบบต่างๆ ให้ทันต่อสถานการณ์อยู่เสมอ ซึ่งจะนำไปสู่การลดความสูญเสียของประชาชนในการตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ที่ใช้สื่อสังคมออนไลน์ เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงประชาชน”

เบาะแส ข่าวปลอม และอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ โทรสายด่วน 1111 (24 ชม.)

Line ID: @antifakenewscenter

เว็บไซต์www.antifakenewscenter.com  

รองโฆษก รบ. ยันฟลูออไรด์ในยาสีฟัน ไม่มีผลต่อสมอง-IQ เด็ก

"คารม" ย้ำเฟคนิวส์บอก ฟลูออไรด์ในยาสีฟันและในแหล่งน้ำของประเทศไทยไม่ปลอดภัย ไม่จริง..ย้ำแปรงทุกวันรักษาฟันดี ช่วยป้องกันฟันผุไม่ส่งผลต่อสมองและ IQ เด็กแน่นอน

วันที่ 5 ก.พ.68 นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีการเผยแพร่เรื่องโทษของฟลูออไรด์ในสื่อออนไลน์ที่ไม่ถูกต้องนั้น ล่าสุดสมาคมทันตกรรมเด็กแห่งประเทศไทย ระบุว่า ประเทศไทยมีปริมาณฟลูออไรด์ในแหล่งน้ำอยู่ที่ไม่เกิน 0.7 มก./ลิตร ซึ่งต่ำมากจนไม่ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางสมอง อีกทั้งไทยไม่มีนโยบายการเติมฟลูออไรด์ในน้ำประปาเหมือนบางประเทศ 

สำหรับฟลูออไรด์ที่ใช้ในยาสีฟันมีปริมาณเพียงเล็กน้อยและปลอดภัย โดยยาสีฟันเด็กที่มี 1,000 ppm ในปริมาณที่ใช้แปรงฟัน (แตะแปรงพอเปียกหรือขนาดเมล็ดข้าวสาร) จะมีฟลูออไรด์เพียง 0.1 มก./ครั้ง การแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง ก็ยังคงน้อยกว่าปริมาณที่ทำให้เกิดฟันตกกระได้ และเมื่อผู้ปกครองเช็ดยาสีฟันหลังแปรงฟัน ก็ยิ่งเหลือในช่องปากลูก น้อยมาก ๆ ที่ไม่ทำให้เกิดโทษ แต่ยังได้ประโยชน์จากฟลูออไรด์ เด็กโตขึ้น น้ำหนักเพิ่มขึ้น ยิ่งปลอดภัยขึ้น เพราะปริมาณที่เริ่มทำให้เกิดโทษ ก็มากขึ้นตามน้ำหนักเมื่อเด็กควบคุมไม่กลืนยาสีฟันได้ ก็ใช้ปริมาณยาสีฟันเพิ่มขึ้นได้ และยังปลอดภัย ซึ่งห่างไกลจากระดับที่เป็นอันตราย การใช้ยาสีฟันฟลูออไรด์ตามคำแนะนำช่วยป้องกันฟันผุได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่มีผลเสียต่อสมอง

“โทษของฟลูออไรด์ มี 2 แบบ คือ 1.แบบฉับพลันทันที เมื่อได้รับฟลูออไรด์ในปริมาณมาก คือ 5mg/kg ขึ้นไป จะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง และ 2.โทษจากการได้รับสะสม หากได้รับฟลูออไรด์เกิน 0.05-0.07 mg/kg ต่อวัน เป็นระยะเวลาหนึ่งจะทำให้ฟันตกกระ ที่เรียกว่า fluorosis สำหรับฟลูออไรด์ที่จะมีผลต่อสมองจากการวิจัยในส่วนของฟลูออไรด์พบว่า สำหรับเด็กอายุ 7 เดือน – 4 ปี ต้องได้รับในปริมาณที่เกิน 1.6 - 3.2 มก. ต่อวัน เป็นระยะเวลาหนึ่ง จึงจะได้รับผลกระทบ แต่ประเทศไทยไม่มีแร่ฟลูออไรด์ในแหล่งน้ำสูงขนาดนั้น ยิ่งในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีฟลูออไรด์ในแหล่งน้ำน้อยกว่า 0.3 มก./ลิตร ถ้าหากจะได้รับผลกระทบเด็กต้องดื่มน้ำวันละ 5-10 ลิตรทุกวัน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองไม่ต้องกังวลเรื่องฟลูออไรด์ทำให้เด็กไอคิวต่ำลง แต่หากไม่ใช้ฟลูออไรด์เลย อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เด็กฟันผุได้” นายคารม กล่าว