ศาลรธน.มีมติเอกฉันท์ ไม่รับ 2 คำร้องปมเลือก ส.ว.ชี้ไม่เข้าเกณฑ์กฎหมาย

ศาลรธน.มีมติเอกฉันท์ ไม่รับ 2 คำร้องปมเลือก ส.ว.ชี้ไม่เข้าเกณฑ์กฎหมาย

เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2568 ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาคดีที่ นายภิญโญ บุญเรือง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ว่า การดำเนินการจัดการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และเลขาธิการกกต. ในการกำหนดวิธีการลงคงคะแนนเลือก สว.ส่งผลให้การเลือกสว.ดังกล่าวมิใช่วิธีการลงคะแนนลับ เป็นการกระทำที่ไม่สุจริตและเที่ยงธรรม ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 มาตรา 4 มาตรา 5 และมาตรา 25 ขอให้ศาลรัฐธรรมนูคำสั่งให้การเลือกสว.ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และขอให้วินิจฉัยว่าพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยวิธีวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 47(2) ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 มาตรา 4 มาตรา 5 มาตรา 25 มาตรา 26 และมาตรา 213

ผลการพิจารณา ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้อง คำร้องเพิ่มเติมและเอกสารประกอบ ปรากฏว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งทั้ง 2 เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมาย หากผู้ร้องเห็นว่าเป็นการละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพ ผู้ร้องอาจใช้สิทธิทางศาลอื่นได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 25 วรรคสาม

ส่วนกรณีขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้การเลือกสว.ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ นั้น รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญได้กำหนดกระบวนการร้องหรือผู้มีสิทธิขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยไว้เป็นการเฉพาะแล้วตามพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีวิธีพิจารณาของศาสรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 47 (2) ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมญสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารมา ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่นคำร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213

สำหรับกรณีที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาสรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 47 (2) ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 มาตรา 4 มาตรา 5 มาตรา 25 มาตรา 26 และมาตรา 213 นั้น เป็นการขอให้ตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย รัฐธรรมนูญบัญญัติให้สิทธิไว้เป็นการเฉพาะแล้วตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 และมาตรา 231 (1) กรณีไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 48 ประกอบมาตรา 47 (2) ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณา ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่นคำร้องดังกล่าวตามรัฐรรมนูญ มาตรา 213 ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย

วันเดียวกันนี้ ศาลรัฐธรรมนูญยังได้พิจารณาคดีที่นายวัฒนา ชมเชย ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธธรรมนูญ มาตรา 213 ว่า นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกกต. นายแสวง บุญมี เลขาธิการกกต. และนายณัฏฐกร คงเดชา ผอ.สำนักงานกกต.ประจำจังหวัดราชบุรี ไม่ได้ทำหน้าที่จัดการเลือกสว. อย่างเที่ยงธรรม ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคสอง มาตรา 108 ก. คุณสมบัติ (3) และมาตรา 215 วรรคสอง ด้วยการเอื้อประโยชน์ให้ใช้ แบบ ส.ว. 3 ที่มีลักษณะไม่เป็นไปตามที่กกต.กำหนดไว้ ผู้ร้องยื่นหนังสือแจ้งเบาะแสการทุจริตให้ผู้ถูกร้องทั้ง 3 ทราบ แต่ผู้ถูกร้องทั้ง 3 มีมติยกคำร้องดังดังกล่าว แสดงให้เห็นเจตนาเอื้อประโยชน์ต่อผู้สมัครรับเลือกเป็นสว. และเป็นการลิดรอนสิทธิการได้รับเงินรางวัลในการแจ้งเบาะแส

ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปราย แล้วเห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบ ผู้ร้องได้เคยยื่นคำร้องในลักษณะเดียวกันกันนี้ต่อศาลรัฐธรรมนูญมาแล้ว และศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ 77/2567 (เรื่องพิจารณาที่ ต.62/2567) ไม่รับคำร้องไว้พิจารณา การยื่นคำร้องดังดังกล่าวจึงไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัยตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐรรมนูญ พ.ศ.ศ. 2561 มาตรา 46 วรรคสาม กรณีไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่น คำร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย และเมื่อมีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยแล้ว คำขออื่นย่อมเป็นอันตกไป

เคทีซีสานต่อพันธกิจเพื่อสังคม ส่งต่อความรู้ด้านกฎหมายสู่มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์

เคทีซีเดินหน้าสร้างสังคมแห่งความรู้และความเข้าใจด้านกฎหมาย ล่าสุดร่วมกับกรมบังคับคดีจัดกิจกรรมถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านกฎหมายว่าด้วยการประนอมหนี้และการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พร้อมกรณีศึกษาจากประสบการณ์จริงให้แก่อาจารย์และนักศึกษาหลักสูตรนิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ภายในงาน “มหกรรมไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดี ครั้งที่ 38” ซึ่งจัดร่วมกับ บริษัท กรุงไทยธุรกิจลีสซิ่ง จำกัด และบริษัท วินเพอร์ฟอร์มานซ์ จำกัด โดยมีนายปวีณ กุมาร ผู้อำนวยการสำนักงานบังคับคดีจังหวัดนครศรีธรรมราช ร่วมเป็นเกียรติในงาน ณ โรงแรมเดอะทวิน โลตัส จังหวัดนครศรีธรรมราช

นายพีระพงศ์ พิตรพิบูลพาทิศ ผู้บริหารสูงสุด สายงานสำนักกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เคทีซีมีความตั้งใจที่จะส่งต่อองค์ความรู้ด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประนอมหนี้และการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทให้กับเยาวชนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะนักศึกษานิติศาสตร์ ซึ่งเป็นกำลังสำคัญของระบบยุติธรรมในอนาคต เราเชื่อว่าการเรียนรู้จากกรณีศึกษาจริงจะช่วยให้นักศึกษาเข้าใจบริบทของปัญหาหนี้สินในสังคมไทยได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในสายอาชีพของตน

การเปิดพื้นที่ให้ลูกหนี้ได้พูดคุยผ่านกระบวนการไกล่เกลี่ยภายใต้บรรยากาศที่เป็นมิตรและสร้างสรรค์ จะช่วยลดความตึงเครียด และนำไปสู่ข้อตกลงที่โปร่งใสและเป็นธรรม ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราเห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมจากการจัดมหกรรมไกล่เกลี่ยฯ ซึ่งไม่เพียงช่วยลดภาระหนี้ให้กับลูกหนี้ แต่ยังช่วยให้พวกเขาสามารถกลับมาใช้ชีวิตทางการเงินได้อย่างมีศักดิ์ศรี โดยล่าสุดมีลูกค้าเดินทางมาร่วมงานมหกรรมไกล่เกลี่ยฯ ที่นครศรีธรรมราช จำนวน 726 ราย ภาระหนี้รวมกว่า 109 ล้านบาท ทั้งนี้ ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เคทีซีมีแผนจะจัดงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ 3 ครั้ง ดังนี้

วันที่ 26 ตุลาคม 2568  จัดที่จังหวัดอุดรธานี ณ ห้องประชุม ทุ่งศรีเมืองแกรนด์บอลรูม ชั้น 3 โรงแรมเซ็นทารา (รับลงทะเบียนถึงวันที่ 8 ตุลาคม 2568) 

วันที่ 8-9 พฤศจิกายน 2568  จัดที่กรุงเทพฯ ณ ห้องประชุมวิวัฒนไชย ชั้น 8 อาคารไทยซัมมิท       ทาวเวอร์ (รับลงทะเบียนถึงวันที่ 26 ตุลาคม 2568)

วันที่ 14  ธันวาคม 2568 จัดที่จังหวัดนครราชสีมา ณ ห้องประชุม สุรนารีบอลรูม โรงแรมดิ อิมพีเรียล โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ โคราช (รับลงทะเบียนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568)

กสทช. ดันกม.ป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนฯ ออก 8 มาตรการ คุ้มครองผู้ใช้งาน-ยับยั้งความเสียหาย-หาตัวคนร้ายได้เร็ว มีผลใช้ 30 ส.ค. 68

วันที่ 30 สิงหาคม 2568 นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ รักษาการแทน เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2568 ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสำหรับผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 30 ส.ค. 2568 โดยมีสาระสำคัญ 8 มาตรการ เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้ใช้บริการโทรคมนาคม และป้องกันยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดได้อย่างรวดเร็ว โดยกฎหมายมีรายละเอียด ดังนี้

1. ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ต้องตรวจสอบคัดกรองผู้ใช้บริการที่มีลักษณะที่ผิดปกติ เพื่อพิจารณาระงับการใช้บริการทันที โดยพิจารณาจากจำนวนครั้งที่โทรออก พื้นที่การโทร ข้อมูลลูกค้า และอุปกรณ์ที่ใช้ในการโทรออก โดยให้สำนักงาน กสทช. ร่วมกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่พิจารณากำหนดเงื่อนไขการคัดกรอง

2. ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม ต้องระงับบริการโทรคมนาคมตั้งแต่วันที่ได้รับคำสั่งจากสำนักงาน กสทช. ว่าบริการโทรคมนาคมดังกล่าวมีเหตุให้เชื่อได้ว่ามีการใช้บริการโทรคมนาคมเพื่อกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยแบ่งเป็น (1) ให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ระงับการให้บริการทันที หรือภายใน 24 ชั่วโมง และ (2) ผู้รับอนุญาตบริการโทรคมนาคมอื่น ระงับการให้บริการทันที หรือภายใน 3 วัน

3. ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่มีหน้าที่จัดการลงทะเบียนผู้ใช้บริการเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ (1) กรณีผู้ลงทะเบียนใช้งานใหม่ ให้ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลผู้ลงทะเบียนให้เสร็จภายใน 7 วันนับตั้งแต่วันที่มีการลงทะเบียน (2) กรณีผู้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2567 ให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลผู้ลงทะเบียนให้เสร็จภายใน 90 วัน นับถัดจากวันที่ประกาศฉบับนี้มีผลใช้บังคับ และ (3) กรณีผู้ลงทะเบียนก่อนปี พ.ศ.2567 ให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลผู้ลงทะเบียนให้เสร็จภายใน 1 ปี นับถัดจากวันที่ประกาศฉบับนี้มีผลใช้บังคับ

4. ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมที่ให้บริการส่งข้อความสั้นแบบแอปพลิเคชันซอฟต์แวร์ไปยังผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือในรูปแบบ Application-to-Person (A2P) หรือการส่งข้อความอัตโนมัติถึงลูกค้า มีหน้าที่ห้ามไม่ให้ผู้ที่ไม่ได้ลงทะเบียนชื่อผู้ส่งข้อความสั้น หรือ Sender Name ส่งข้อความสั้นไปยังลูกค้า และต้องตรวจสอบความถูกต้องของลิงก์ที่ใช้แนบส่งข้อความสั้นทุกครั้งก่อนส่งไปยังผู้ใช้บริการปลายทางตามที่สำนักงาน กสทช. กำหนด

5. ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่มีหน้าที่จำกัดการลงทะเบียนเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของบุคคลต่างชาติไม่เกิน 3 เลขหมาย/คน/ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และให้ใช้หนังสือเดินทาง (Passport) ยืนยันตัวตนเพื่อลงทะเบียนผู้ใช้บริการเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่เท่านั้น

6. ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่จำกัดระยะเวลาการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ (Tourist SIM) ให้ใช้งานไม่เกิน 60 วัน โดยไม่สามารถเติมเงินเพื่อขยายระยะเวลาการใช้งานต่อ แต่หากต้องการใช้งาน Tourist SIM ต่อหลังครบกำหนดต้องลงทะเบียนยืนยันตัวตนอีกครั้ง

7. ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ต้องห้ามไม่ให้เครื่องวิทยุคมนาคมลูกข่ายในโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ประเภทซิมบ๊อกซ์ (Sim box) หรือประเภทเกตเวย์ (Gateway) ที่รองรับจำนวนซิมตั้งแต่ 4 ซิมขึ้นไปเชื่อมต่อโครงข่ายโทรคมนาคมของตน เว้นแต่เครื่องวิทยุคมนาคมดังกล่าวจะได้รับการลงทะเบียนกับสำนักงาน กสทช.

และ 8. ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่มีหน้าที่เติมเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์แจ้งเตือนผู้ใช้บริการให้ทราบว่ามีเลขหมายโทรศัพท์ที่มาจากต่างประเทศ เช่น การเติม +697 และ +698 หน้าหมายเลขโทรศัพท์ที่มาจากต่างประเทศ และมีหน้าที่จัดให้มีระบบปฏิเสธการรับสายจากต่างประเทศ

นายไตรรัตน์ กล่าวว่า ขอให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เข้มงวดสกัดเลขหมายโทรศัพท์ที่มีความผิดปกติเป็นสายที่มาจากต่างประเทศในช่วงนี้ ซึ่งต้องจัดทำระบบสกัดการรับสายเข้า และขึ้นเลขหมาย +697 และ +698 ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนต่อเนื่อง เพราะมิจฉาชีพอาจกลับมาในรูปแบบเดิมอีก

ETDA นำทีมกำกับดูแลกฎหมาย DPS เปิดเวที "แพลตฟอร์มดิจิทัล" แจ้งข้อมูลประกอบธุรกิจ แบบ One-On-One ครั้งแรก

วันที่ 4 สิงหาคม 2568 สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA (เอ็ตด้า) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นำทีมกำกับดูแลกฎหมาย DPS เดินหน้าแคมเปญ ‘DPS Trust Every Click’ เปิดเวที “การประชุมเพื่อทราบผลการตรวจสอบข้อมูลและหลักฐานเกี่ยวกับการแจ้งข้อมูลการประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลและข้อมูลรายปี” สร้างความเข้าใจและความร่วมมือกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล กว่า 70 บริการ  ในการร่วมตรวจสอบข้อมูล แก้ไขจุดคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการจัดการและแจ้งข้อมูลการประกอบธุรกิจ ภายใต้กฎหมาย DPS ที่แพลตฟอร์มต้องทำต่อเนื่องทุกปี พร้อมเปิดห้อง ‘Platform Clinic Zone’ ให้คำปรึกษาแบบ One-on-One กับเจ้าหน้าที่โดยตรง

นางสาวจิตสถา ศรีประเสริฐสุข รองผู้อำนวยการ ETDA  เปิดเผยว่า จากการดำเนินงานด้านกำกับดูแล ภายใต้กฎหมาย DPS (Digital Platform Services) หรือ พ.ร.ฎ. การประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต้องแจ้งให้ทราบ พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา ETDA ในฐานะหน่วยงาน Regulator ได้รับความร่วมมือจากหลายแพลตฟอร์มดิจิทัลในการแจ้งข้อมูลการประกอบธุรกิจ ตามที่กฎหมายฉบับนี้กำหนดอย่างต่อเนื่อง รวมกว่า 1,920 บริการ (ข้อมูล ณ วันที่ 4 ส.ค. 68) ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลที่แพลตฟอร์มแจ้งเข้ามาที่ระบบของ ETDA อย่างละเอียด พบว่า หลายบริการยังมีการแจ้งข้อมูลที่มีความคลาดเคลื่อนหรือข้อมูลไม่ครบถ้วนอยู่บ้าง ดังนั้น เพื่อให้แพลตฟอร์มดิจิทัลสามารถดำเนินการแจ้งข้อมูลการประกอบธุรกิจได้อย่างถูกต้องครบถ้วน ตามที่กฎหมายกำหนด ETDA ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแล จึงนำทีมกำกับดูแลกฎหมาย DPS เปิดเวที “การประชุมเพื่อทราบผลการตรวจสอบข้อมูลและหลักฐานเกี่ยวกับการแจ้งข้อมูลการประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลและข้อมูลรายปี” เพื่อชี้แจงถึงสาระสำคัญของกฎหมาย รวมถึงสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเงื่อนไขและข้อกำหนดของการแจ้งข้อมูลการประกอบธุรกิจที่แพลตฟอร์มดิจิทัลที่ให้บริการแก่คนไทยมีหน้าที่ต้องดำเนินการก่อนเริ่มให้บริการและต้องรายงานข้อมูลรายปีอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องทุกปี  พร้อมเปิดห้อง ‘Platform Clinic Zone’ ให้คำปรึกษาแบบ One-on-One กับเจ้าหน้าที่ด้านการกำกับดูแลโดยตรง เพื่อเปิดโอกาสให้แต่ละแพลตฟอร์มสามารถสอบถามข้อสงสัยได้โดยตรง พร้อมรับคำแนะนำเชิงลึกในแต่ละประเด็น ทั้งใน ด้านข้อกฎหมาย การดำเนินธุรกิจ และการปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงาน ช่วยให้เกิดความเข้าใจได้อย่างตรงจุดมากขึ้น

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลการประกอบธุรกิจที่ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลได้นำส่งเข้าสู่ระบบรับแจ้งของ ETDA พบความคลาดเคลื่อนของข้อมูลหลักๆ 6 ประเด็น ได้แก่ 1. แจ้งประเภทบริการไม่ตรงกับลักษณะการดำเนินธุรกิจจริง 2. แจ้งลักษณะการให้บริการตามมาตรา 16 (1) ไม่ตรงกับลักษณะการดำเนินธุรกิจจริง 3. ระบุรายได้และมูลค่าธุรกรรม ไม่สอดคล้องกันกับโมเดลธุรกิจ เช่น กรอกข้อมูลรายได้เป็นศูนย์ หรือไม่สัมพันธ์กับข้อมูลที่มีอยู่ 4. ระบุสัดส่วนของรายได้จากการให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลในราชอาณาจักรต่อรายได้จากการให้บริการแพลตฟอร์มทั้งหมดของผู้ประกอบธุรกิจไม่สอดคล้องลักษณะการดำเนินธุรกิจจริง 5. แจ้งประเภทและจำนวนผู้ใช้บริการ หรือผู้ให้บริการที่เกี่ยวข้อง ไม่ครบ  6. แจ้ง URL ผิดหรือไม่สามารถตรวจสอบได้ เป็นต้น โดยเบื้องต้น ETDA ก็ได้เปิดโอกาสให้แพลตฟอร์มดิจิทัล ตรวจสอบข้อมูลตามประเด็นที่ตรวจพบ และเร่งดำเนินการชี้แจงข้อมูลตามแบบฟอร์มที่กำหนดให้ ซึ่งมีทั้ง “การยืนยันข้อมูลเดิม แก้ไขข้อมูลใหม่ หรือชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัย” พร้อมส่งแบบฟอร์มกลับมายัง ETDA ภายในวันที่ 13 สิงหาคม 2568 นี้ จากนั้นทีมกำกับดูแลจะดำเนินการตรวจสอบและติดตามผลการดำเนินการอีกครั้ง หากยังพบความไม่ครบถ้วนหรือถูกต้อง ก็จะมีคำสั่งให้แก้ไข หากพบว่า แพลตฟอร์มไม่ปฏิบัติตามหรือเพิกเฉยต่อคำสั่งของสำนักงาน ก็จะมีบทลงโทษตามกฎหมายต่อไป ทั้งการสั่งหยุดดำเนินธุรกิจหรือเพิกถอนการรับแจ้งในที่สุด

อย่างไรก็ตาม การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ มีแพลตฟอร์มดิจิทัลเข้าร่วมทั้งหมด 70 บริการ ทั้งแพลตฟอร์มไทยและต่างประเทศ สะท้อนให้เห็นว่า ระบบนิเวศแพลตฟอร์มในไทย เชื่อมโยงกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต่างประเทศได้เป็นอย่างดี และงานนี้ไม่ใช่การตรวจสอบเอกสารข้อมูล เพื่อมุ่งบังคับใช้กฎหมาย แต่เป็นการสร้างกระบวนการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐกับแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน เพื่อเป็นรากฐานสำคัญในการยกระดับกลไกการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลให้ก้าวหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง ตรวจสอบได้ เพราะการแจ้งข้อมูลการประกอบธุรกิจฯ ที่ถูกต้องและเชื่อถือได้ คือจุดเริ่มต้นของการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างยั่งยืน

สนใจติดตามประกาศ และคู่มืออื่นๆ ภายใต้กฎหมาย DPS เพิ่มเติม ที่ https://www.etda.or.th/th/regulator/Digitalplatform/law.aspx สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ อีเมล:  sv-dps@etda.or.th โทรศัพท์ 02-123-1234 ต่อ ทีมกำกับดูแลกฎหมาย DPS ติดตามความเคลื่อนไหวของ DPS Trust Every Click ได้ที่เพจ ETDA Thailand

จับตากฤษฎีกา สอบคุณสมบัติ "ประธานกสทช." หลังผู้ตรวจฯพบพิรุจที่สำนักเลขานายกฯ หวั่นโดนอ้างปัญหาทางเทคนิคกม.ซ้ำอีก

วันที่ 4 สิงหาคม 2568 แหล่งคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะที่หนึ่งซึ่งมีนายมีชัย ฤชุพันธ์ เป็นประธาน มีกำหนดจะพิจารณาข้อหารือจากสำนักผู้ตรวจการแผ่นดินในกรณีการขาดคุณสมบัติของ ประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในวันพรุ่งนี้ (5 สิงหาคม  2568) เป็นที่น่าสนใจว่า ทางคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทางกฎหมายระดับประเทศจะวินิจฉัยอย่างไร

แม้จะมีการสรุปประเด็นว่า ประธาน กสทช.ขาดคุณสมบัติตามกฎหมายไปโดยสิ้นสงสัยแล้ว ทั้งโดยคณะกรรมาธิการของทั้ง สว. และ สส. แต่มหากาพย์การดำเนินการเรื่องนี้ยังไม่จบ ประธานกสทช.ยังดำรงตำแหน่งต่อไป แม้จะมีองค์กรฯ สมาคมฯ ต่างๆ ได้ทักท้วงหลายครั้ง เรื่อง ความเสียหายที่เกิดขั้นจากการอนุมัติต่างๆ ของ ประธาน กสทช. ท่ามกลางความคลางแคลงใจของหลายๆ ฝ่าย

ล่าสุด ทางสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้ขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาให้ความเห็นในประเด็นปัญหาข้อกฎหมาย หลังจากได้ทำหนังสือถามไปที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เนื่องจากนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาการณ์ตามกฎหมายกสทช. และเป็นผู้ดำเนินการขอโปรดเกล้าฯแต่งตั้งกสทช.ทั้งชุด แต่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีกลับส่งเรื่องไปให้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้พิจารณา ซึ่งจะนำเข้าในคณะที่หนึ่งในวันพรุ่งนี้

ประเด็นการขาดคุณสมบัติของประธานกสทช. เริ่มจากการร้องเรียนของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ภูมิศิษฐ์ มหาเวสน์ศิริ รองเลขาธิการคณะกรรมการ กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ต่อ ประธานวุฒิสภา ในวันที่ 28 กันยายน 2566 ซึ่งทางเลขาวุฒิสภาและประธานวุฒิสภาในขณะนั้นคือ ศาสตราจารย์พิเศษพรเพชร วิชิตชลชัย ได้มอบหมายให้คณะกรรมาธิการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคม วุฒิสภา (กมธ.ไอซีที วุฒิสภาฯ) เป็นผู้พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริง ซึ่งทางคณะกรรมาธิการไอซีทีก็ได้มีการสรุปผลการสอบหาข้อเท็จจริง และรายงานผลต่อประธานวุฒิสภา ผลการพิจารณาการ ตรวจสอบฯ ดังกล่าว โดยได้มีการนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา ครั้งที่ 16/2567 เมื่อ 5 กรกฎาคม 2567 สรุปว่า “ศาสตราจารย์ คลินิก นายแพทย์สรณฯ มีลักษณะเป็นผู้ที่ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม ตามกฎหมาย ตาม พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ มาตรา 7 ข (12) มาตรา 4 และมาตรา 26 ประกอบกับ มาตรา 18 และมาตรา 20”

หลังจากวุฒิสภาชุดที่แล้วหมดอายุไปเดือนกรกฎาคม 2567 ทางคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีนายรังสิมันต์ โรม เป็นประธานได้นำประเด็นดังกล่าวขึ้นมาพิจารณา และมีตัวแทนจากทางคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานเลขาวุฒิสภา ตลอดจน สำนักงาน กสทช.เข้าร่วมให้ข้อมูลด้วย ซึ่ง สส.โรมได้สรุปในที่ประชุมแล้วว่า ในสาระสำคัญของการขาดคุณสมบัติของประธาน กสทช.นั้นสมบูรณ์ไร้ข้อสงสัยไปแล้ว เหลือเพียงการดำเนินการตามกระบวนการให้เป็นไปตามกฎหมายเท่านั้น แม้ในกฎหมายได้ชี้ว่า นายกรัฐมนตรี ควรต้องเป็นผู้ดำเนินการ

ทั้งนี้ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินมีข้อหารือต่อคณะกรรมการกฤษฎีกา ดังนี้

 1. ประธาน กสทช. หรือกรรมการ กสทช. เป็นผู้ขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา 20(4)(5) ภายหลังโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งแล้ว บุคคล ดังต่อไปนี้ ได้แก่ นายกรัฐมนตรี ประธานวุฒิสภา หรือสานักงาน กสทช. จะเป็นผู้ดำเนินการ กระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติ หรือลักษณะ ต้องห้าม รวมไปถึงการวินิจฉัยกรณี ประธาน กสทช.หรือกรรมการ กสทช. เป็นผู้ขาดสมบัติหรือรักษาต้องห้ามได้ และแจ้งผลให้นายกรัฐมนตรี ดำเนินการนำความกราบบังคมทูล เพื่อทรงมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง

 2. ตามกรณี 1. หากวุฒิสภา เป็นผู้ดำเนินการ กระบวนการตรวจสอบคุณลักษณะ หรือเนื้อหาต้องห้าม รวมทั้งวินิจฉัยว่า ประธาน กสทช. หรือกรรมการ กสทช. เป็นบุคคลที่มี การขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้าม บุคคล ดังต่อไปนี้ ได้แก่ กรรมการ สรรหา หรือกรรมาธิการที่วุฒิสภา มอบหมาย ผู้ใดจะเป็นผู้ดาเนินการตรวจสอบและวินิจฉัย การขาดคุณสมบัติ หรือการมีลักษณะต้องห้าม หรือการดาเนินการฝ่าฝืนดังกล่าว

3. กรณี ตามมาตรา 20 วรรคท้าย มีหนังสือแจ้งให้สานักงานเลขาธิการวุฒิสภา และดำเนินการจัดให้มีการเลือกกรรมการแทนตำแหน่งที่ว่างภายใน 15 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งนั้น เป็นกระบวนการภายหลังจากนายกรัฐมนตรีนาความกราบบังคมทูลเพื่อมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่งประธาน คสช หรือกรรมการ กสทช. หรือไม่ หรือเป็นขั้นตอนกระบวนการเริ่มต้นในการตรวจสอบคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้าม หรือกระทาการอันเป็นการฝ่าฝืนโดยไม่แจ้งให้สำนักงานเลขาวุฒิสภาทราบ เพื่อดาเนินการตามพระราช 20 วรรค 2 และวรรคท้ายควบคู่กันไปหรือไม่ประการใด

สื่อและสาธารณชนจึงต้องจับตาดูต่อไปว่าทางคณะกรรมการกฤษฎีกาจะมีคำวินิจฉัยในกรณีดังกล่าวไปในทิศทางใด จะมีการอ้างข้อจำกัดจากความไม่ชัดเจนของกฎหมายเพื่อยื้อเวลาอีกหรือไม่ หรือ จะให้แนวทางที่สามารถแก้ไขปัญหาที่ค้างคามาเกือบ 2 ปีได้เพื่อสร้างบรรทัดฐานที่ดีในองค์กรอิสระ และหน่วยงานภาครัฐต่อไป

ชาวสกลนครเฮ! "อัยการ" คุ้มครองสิทธิช่วยเหลือทางกม.แก่ปชช. ใช้สิทธิทางศาลตามประมวลแพ่ง-พาณิชย์ เป็นหน้าที่ของพนักงานอัยการ

วันที่ 20 มิถุนายน 2568 ดร.ปรัชญา  มหาวินิจฉัยมนตรี อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด รักษาการในตำแหน่ง อัยการจังหวัดคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดสกลนคร  เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน  2568 ที่ผ่านมา  สำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดสกลนคร และสาขาสว่างแดนดิน โดย ดร.ปรัชญา  มหาวินิจฉัยมนตรี อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด รักษาการในตำแหน่ง อัยการจังหวัดคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดสกลนคร และ ตำรวจภูธรจังหวัดสกลนคร โดย พลตำรวจตรี สมจิตร เหล่ามงคลนิมิต ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสกลนคร ได้ร่วมกันลงนามในบันทึกข้อตกลงบูรณาการความร่วมมือในการอำนวยความยุติธรรมและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน เพื่อดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนในการใช้สิทธิทางศาลตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดให้เป็นหน้าที่ของพนักงานอัยการ ณ สถานีตำรวจภูธรใกล้บ้าน

สำหรับการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานทั้งสองในการอำนวยความยุติธรรมและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดสกลนครทั้งทางแพ่งและอาญา ให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิตามทางศาลตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดให้เป็นหน้าที่ของพนักงานอัยการ ณ สถานีตำรวจภูธรใกล้บ้าน โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ทำให้ประชาชนสามารถขอรับความช่วยเหลือทางกฎหมายโดยพนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิฯจังหวัดสกลนครโดยไม่มีค่าใช้จ่ายได้ ณ โรงพักใกล้บ้าน

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการบำบัดทุกบำรุงสุขให้แก่ชาวจังหวัดสกลนคร ภายใต้คำขวัญจังหวัดสกลนครที่ว่า "อยู่สกล รักสกล ทำเพื่อสกลนคร"

 

กสทช. สร้างภาคีเครือข่ายผู้บังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยีโทรคมนาคมฯ ผนึกกำลังทุกหน่วยงาน สกัดการฟื้นคืนชีพแก๊งคอลฯ

วันที่ 16 มิถุนายน 2568  พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดกิจกรรมเชิงปฏิบัติการการสร้างภาคีเครือข่ายสกัดคอลเซ็นเตอร์ฟื้นคืนชีพ กสทช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือสร้างมาตรการป้องกันเชิงรุก ให้สอดคล้องกับ พ.ร.ก.มาตรการป้องปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่2) เพื่อสกัดการฟื้นคืนชีพของอาชญากรรมประเภทนี้โดยมี ผู้แทนหน่วยงานเข้าร่วมกว่า 200 คน ณ อาคารหอประชุม ชั้น 2 สำนักงาน กสทช.

พล.ต.อ.ณัฐธร กล่าวว่า การป้องกันและแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ก็เป็นหนึ่งภารกิจสำคัญที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์ที่ระบาดอย่างหนัก ในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา การแก้ไขปัญหาดังกล่าวมีความซับซ้อน เกี่ยวข้องกับกฎหมายหลายฉบับ และ เป็นความรับผิดชอบของหลายหน่วยงาน จึงต้องบูรณาการงานร่วมกัน ทั้งเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติการ ซึ่งที่ผ่านมา กสทช. ได้ปฏิบัติการร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ภายใต้มาตรการ “ซิม เสา สาย” มีผลการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดและตรวจยึดของกลางได้เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ งานด้านการปรับปรุงกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ของ กสทช. ได้ขานรับ พรก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ฉบับที่ 2 ซึ่งมีผลใช้บังคับ เมื่อวันที่ 13 เม.ย. 2568 ที่ผ่านมา ในเรื่องนี้ มีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก โดยล่าสุด กสทช. ได้จัดทำร่างมาตรการสำคัญ ดังนี้ 

1. ผู้ให้บริการโทรคมนาคมต้องตรวจคัดกรองการใช้งานที่ต้องสงสัยและระงับการใช้ 2. ผู้ให้บริการจะต้องระงับการใช้ทันที ที่ได้รับการแจ้งจาก กสทช. ว่าเป็นเบอร์ที่ต้องสงสัย เพื่อป้องกันความเสียหายขยายวง 3. ผู้ให้บริการมีหน้าที่ตรวจสอบย้อนกลับเบอร์ที่จดทะเบียนใหม่ภายในสัปดาห์แรกว่า ข้อมูลที่รับจดทะเบียนถูกต้องตรงกับข้อเท็จจริงหรือไม่ 4. ผู้ให้บริการมีหน้าที่ตรวจสอบ SMS และ Links ก่อนจัดส่ง 5. ผู้ให้บริการต้องมิให้ซิมบ็อกส์ (Sim box) ที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือซิมบ็อกซ์ผี เชื่อมต่อโครงข่ายโทรคมนาคม 6. มาตรการบริหารจัดการซิมการ์ดสำหรับคนต่างชาติ โดยจำกัดจำนวนการลงทะเบียน ไม่เกิน 3 ซิมการ์ด และกำหนดให้ใช้พาสปอร์ตในการยืนยันตัวตนเพื่อลงทะเบียนเท่านั้น และ 7. ซิมนักท่องเที่ยว (Tourist SIM) ใช้งานได้ไม่เกิน 60 วัน โดยไม่สามารถเติมเงินเพื่อขยายระยะเวลาการใช้งานได้ ทั้งนี้ หากพบว่าผู้ให้บริการรายใดไม่ปฏิบัติตามมาตรการ ที่กำหนด หากเกิดความเสียหาย อาจจำเป็นต้องร่วมชดใช้ให้กับผู้เสียหาย เพื่อให้เป็นไปตาม มาตรา 8/10 ภายใต้ พ.ร.ก. ฉบับใหม่ ซึ่งขณะนี้มาตรการดังกล่าว ผ่านคณะอนุกรรมการ กสทช. แล้ว และขั้นต่อไปจะเสนอให้ ที่ประชุมคณะกรรมการ กสทช. ชุดใหญ่ เห็นชอบต่อไป คาดว่าจะมีผลใช้บังคับในเร็ว ๆ นี้

การจัดกิจกรรมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ กสทช. ได้มุ่งเน้นการสร้างภาคีเครือข่ายระหว่างเจ้าหน้าที่ ทำให้การประสานความร่วมมือ การแบ่งปันข้อมูล และทำให้การปฏิบัติงานเป็นไปแนวทางเดียวกัน เพื่อให้การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนการพัฒนาความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในระดับนโยบายและการปฏิบัติงาน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยในระบบโทรคมนาคมของประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป

"อนุทิน" มอบนโยบายเฝ้าระวังน้ำท่วม กระทุ้ง “อปท.”กล้าใช้ดุลยพินิจตามหน้าที่ภายใต้กฎหมายช่วยเหลือปชช.

"อนุทิน" มอบนโยบายเพิ่มประสิทธิภาพเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำท่วมพื้นที่อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท กระทุ้ง อปท. กล้าใช้ดุลยพินิจตามหน้าที่ภายใต้กฎหมายช่วยเหลือพี่น้องประชาชน

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการรมว.มหาดไทยและโฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า วันนี้ (1 มิ.ย. 68) เวลา 10.00 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ลงพื้นที่มอบนโยบายการเพิ่มประสิทธิภาพการเฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ และการแจ้งเตือนสาธารณภัยในระดับพื้นที่ (จ.อ่างทอง สิงห์บุรี และชัยนาท) ณ SKY CONVENTION HALL สุพรแกรนด์ โฮเต็ล อ.เมืองอ่างทอง จ.อ่างทอง โดยมี น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสื่อมวลชน ร่วมงานกว่า 1,000 คน

นายอนุทิน ในการมอบนโยบายว่า  ปีนี้กลไกกระทรวงมหาดไทยทุกภาคส่วนให้ความสำคัญในการยกระดับมาตรฐานการเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์และการแจ้งเตือนภัยในระดับพื้นที่ ซึ่งจากการคาดการณ์สถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่สถานีวัดน้ำ C2 เมืองนครสวรรค์ (เจ้าพระยา) คาดการณ์ว่าจะมีปริมาณน้ำมาก ทำให้เขื่อนเจ้าพระยามีความจำเป็นที่จะต้องระบายน้ำเพิ่มขึ้น อาจจะส่งผลให้บริเวณท้ายเขื่อนเจ้าพระยาที่เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำในพื้นที่ จ.อ่างทอง สิงห์บุรี และชัยนาท ได้รับผลกระทบเพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกปี

จึงเป็นที่มาของการร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ทั้งการตั้งคณะทำงาน การสนับสนุนรถ Mobile War room ที่มีระบบประเมินสถานการณ์น้ำและสภาพอากาศแบบ Real Time รวมถึงเว็บไซต์และ Application Thai Water สำหรับติดตามสถานการณ์น้ำที่ใช้งานได้สะดวก สามารถเข้าถึงได้ทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชนทั่วไป และในการบริหารสถานการณ์ ทุกภาคส่วนจะร่วมมือกันขับเคลื่อนเรื่องการป้องกันภัย การแจ้งเตือนภัย การรับมือสถานการณ์ และการเยียวยา เมื่อเหตุการณ์ผ่านพ้นไปแล้ว

นายอนุทิน กล่าวว่า ผู้บริหารและสมาชิก อปท. ทุกท่าน มีหน้าที่ดูแลสารทุกข์สุขดิบของประชาชน ต้องมีข้อมูลเพื่อไปอธิบายเกี่ยวกับการเตรียมการต่างๆ ซึ่งนอกจากจะทำให้ประชาชนอุ่นใจ และปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องแล้ว ยังให้ความร่วมมือกับทางราชการมากที่สุด

นอกจากนี้  ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ และผู้บริหาร อปท. ต้องให้ความสำคัญกับการเตรียมการป้องกันความเสี่ยงต่อชีวิตพี่น้องประชาชนที่มาจากน้ำท่วม ต้องมีแผนการอุ้ม การอพยพเพื่อต้องรักษาชีวิตประชาชน เตรียมศูนย์พักพิงให้พร้อมรองรับผู้ประสบภัยทันที สามารถเป็นทั้งที่พักปลอดภัย มีอาหาร น้ำเพียงพอ ห้องน้ำถูกสุขลักษณะ

นายอนุทิน กล่าวว่า ได้ให้นโยบายแก่กระทรวงในกำกับทั้ง 4 กระทรวง คือ มหาดไทย แรงงาน ศึกษาฯ และ อว. ให้บูรณาการในการช่วยเหลือประชาชน เช่น ศึกษาฯ  ที่มีสถานศึกษาที่พร้อมรองรับการช่วยเหลือ มีนักเรียน นักศึกษาอาชีวะ ช่างกล ช่างไฟฟ้า ช่างซ่อมบ้านเข้าไปซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชน ส่วนตนในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติได้ให้ผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมในทุกด้าน ซึ่งผู้ว่าฯ มีอำนาจในการอนุมัติเบิกจ่ายงบประมาณในสถานการณ์สาธารณภัยฉุกเฉินได้ทันที

"ในส่วนของ อปท. ผู้บริหารต้องกล้าที่จะใช้อำนาจเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน  มหาดไทยยุคนี้ต้องกล้าใช้ดุลพินิจที่ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ทุกคนได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนเลือกตั้งเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นนายก อปท. หรือกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ทุกคนคือนกอินทรีย์ต้องมีสายตาที่กว้างไกล แหลมคม มีพลัง ทำงานที่สามารถช่วยเหลือประชาชนได้เร็วที่สุด ต้องไม่มีคำว่าวัดครึ่งกรรมการครึ่งเกิดขึ้นถ้าหากเกิดขึ้นในพื้นที่ใดก็มีความผิดตามกฎหมาย และขอฝากให้ผู้ว่าฯ รวมถึงผู้ตรวจราชการกระทรวง ประชุมทีมงาน มีหนังสือแจ้งแนวทางไปยังรองผู้ว่าฯ นายอำเภอ ต้องเขียนให้ผู้บริหาร อปท. เข้าใจวิธีทำงาน รวมถึงคำพูดหรือภาษาที่เข้าใจง่าย เพื่อที่ไปคุยกับประชาชนว่าจะทำอย่างไร ดูแลอย่างไร ช่วยเหลืออย่างไร" นายอนุทิน กล่าว

นายอนุทิน กล่าวว่า ในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี และชัยนาท มีงบประมาณป้องกันน้ำท่วมมากถึง 6,500 ล้านบาท ดังนั้น ต้องตอบโจทย์ให้ได้ว่าจะแก้ไขน้ำท่วมอย่างไร ต้องให้ความสำคัญกับสิ่งที่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันให้สามารถใช้การได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการใช้งบประมาณ  โดยแต่ละปีที่มีการจ่ายเงินเยียวยา แม้จ่ายรายครัวเรือนละ 100,000 บาทต่อครัวเรือน ยังไงมันก็ไม่เพียงพอกับความเสียหายที่เกิด ดังนั้น ถ้าลงทุนในโครงการที่แก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะเป็นการแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืน

จับตาประชุมอนุที่ปรึกษา กม.กสทช.15 พ.ค.นี้ หลังทรูร่อนจดหมายคัดค้าน "หมอลี่" อีกคน

ทรูชูประเด็นใหม่คัดค้านหมอประวิทย์ หนึ่งในอนุที่ปรึกษากฎหมายฐานพฤติกรรมไม่เป็นกลางต้านควบรวม

คณะอนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมายของ กสทช. ซึ่งมีอดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและอดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม ศ.พิเศษ จรัญ ภักดีธนากุลเป็นประธานมีกำหนดจะประชุมกันอีกครั้งในวันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคมนี้ เพื่อหาข้อสรุปว่า ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านกิจการโทรทัศน์ จะสามารถเข้าร่วมพิจารณาในวาระเกี่ยวกับ บริษัทในเครือทรู ได้หรือไม่ หลังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางมีคำพิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปีไม่รอลงอาญาในข้อหาประพฤติมิชอบจากการฟ้องของบริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นผู้ให้บริการกล่องโทรทัศน์อินเทอร์เน็ต และแอปพลิเคชั่น ทรูไอดี กล่าวหาว่า กสทช.พิรงรอง กลั่นแกล้งตน จากการออกหนังสือของสำนักงาน กสทช. ถึงผู้รับใบอนุญาตโทรทัศน์ 127 รายซึ่งระบุถึงบริการของทรูไอดีว่ายังไม่ได้เป็นผู้รับใบอนุญาตจาก กสทช.

หลังมีคำพิพากษา ทุกครั้งที่มีการประชุมและมีวาระเกี่ยวกับบริษัทในเครือทรูในการพิจารณา ทางประธานกสทช.  ศ.คลินิก นพ. สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ จะทักท้วงว่า กสทช. พิรงรองไม่ควรร่วมประชุมเพราะเป็นคู่กรณีกัน แม้ทางบริษัททรูฯ จะยังไม่ได้ทำหนังสือเข้ามาคัดค้านก็ตาม ทางที่ประชุมกสทช.จึงมีมติให้นำประเด็นดังกล่าวเข้าไปหารือในคณะอนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมายของ กสทช.

คณะอนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมายประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายที่มีชื่อเสียงและมีประสบการณ์สูงมาก ทั้งราชบัณฑิต อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลปกครอง อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม อธิบดีศาล อัยการสูงสุด อดีตเจ้ากรมพระธรรมนูญ และศาสตราจารย์ทางกฎหมายซึ่งต่างก็เป็นตัวแทนของกรรมการกสทช.รวม 14 คน

ในการประชุมครั้งที่ผ่านมา ที่ประชุมส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า ทรูต้องร้องคัดค้าน กสทช.พิรงรอง เป็นรายกรณี ไม่ใช่ร้องเหมารวม และบริษัทที่จะร้องคัดค้านต้องเป็นคู่กรณี คือบริษัททรู ดิจิทัล แต่บริษัทในเครือทรู อย่าง ทรูมูฟ เอช และทรู คอร์ปอเรชั่น ไม่ใช่คู่กรณี เพราะเป็นคนละนิติบุคคล

แต่มีเสียงข้างน้อยซึ่งเป็นตัวแทนจากประธานกสทช. เห็นว่า จำเป็นต้องมีการวินิจฉัยตามกระบวนการของพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 กล่าวคือ การจะพิจารณาว่ากสทช. พิรงรอง มีสภาวะความไม่เป็นกลางอย่างร้ายแรงหรือไม่ ต้องให้กสทช. พิรงรองชี้แจงตนเองและออกจากห้องประชุมไป และให้กรรมการที่เหลือในที่ประชุมลงมติลับ หากมีเสียง 2 ใน 3 ที่เห็นว่าไม่มีสภาพดังกล่าว กสทช. พิรงรอง ก็จะสามารถกลับเข้ามาทำหน้าที่ได้ต่อไปในการประชุม หากเสียงไม่ถึง ก็ไม่สามารถมาร่วมพิจารณาและลงมติได้ ซึ่งจากการแบ่งขั้วของกรรมการ กสทช..ในปัจจุบัน ก็น่าจะไม่สามารถได้เสียงถึง 2 ใน 3

นอกจากนี้ ในวันที่ 2 พฤษภาคม 2568  แหล่งข่าวได้รับรายงานว่า มีการยื่นหนังสือถึงประธานอนุที่ปรึกษา กฎหมายของ กสทช. คือ ศ. พิเศษ จรัญ เพื่อ  คัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของนายแพทย์ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะอนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ว่ามีพฤติกรรมและพฤติการณ์ที่ไม่เป็นกลางโดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับการควบรวมกิจการทรู – ดีแทค โดยกล่าวหาว่า นพ. ประวิทย์ มีจุดยืนที่คัดค้านการควบรวมธุรกิจอย่างชัดเจน อนึ่ง นพ. ประวิทย์ เป็น อดีต กสทช. ด้านคุ้มครองผู้บริโภค และเป็นผู้ที่มีผลงานด้านนี้มาอย่างเข้มข้นตลอดวาระการดำรงตำแหน่ง

หากที่ประชุมเห็นว่า การคัดค้านดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ก็ต้องใช้กระบวนการเดียวกันกับ กสทช.พิรงรอง ว่า นายแพทย์ประวิทย์ จะสามารถเข้าร่วมการประชุมอนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมายในวาระเรื่องความไม่เป็นกลางของ กสทช.พิรงรอง ได้หรือไม่ แต่ตาม พรบ. วิธีปฏิบัติราชการปกครอง พ.ศ. 2539 ผู้ที่จะถูกคัดค้านเป็นคู่กรณีได้จะต้องเป็นผู้ใช้อำนาจทางปกครองเท่านั้น ซึ่งคณะอนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมายของ กสทช.เป็นเพียงคณะที่ทำหน้าที่กลั่นกรองและให้คำปรึกษาทางกฎหมาย ไม่ได้ใช้อำนาจทางปกครองใดๆ

จึงเป็นที่น่าจับตาดูว่าผู้เชี่ยวชาญในคณะอนุกรรมการดังกล่าวจะมีการพิจารณาไปนทิศทางใด

นักวิชาการกฎหมาย ชวนจับตาคำตัดสินคดี “ไตรรัตน์” ฟ้อง 4 บอร์ดกสทช. ชุดเดียวกับคดี “ทรูไอดี”ฟ้อง “พิรงรอง”

นักวิชาการกฎหมาย ชวนจับตาวันที่ 8 เมษายนนี้ ศาลอาญาทุจริตประพฤติมิชอบกลาง ตลิ่งชัน นัดฟังคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 155/2566 ซึ่งศาลคำฟ้องเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2567 เป็นคดีที่ รักษาการเลขาธิการ กสทช. นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล ฟ้องกรรมการ กสทช. จำนวน 4 คน ว่ากลั่นแกล้งตน ซึ่งในนี้มี กสทช.พิรงรอง รามสูต รวมอยู่ด้วย จากกรณีที่บอร์ดเสียงข้างมากมีมติให้เปลี่ยนตัวรักษาการเลขาฯ สืบเนื่องจากกรณีการอุดหนุนลิขสิทธิ์การถ่ายทอดฟุตบอลโลก 2022 จำนวน 600 ล้านบาท ที่การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ไม่ปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงกับสำนักงาน กสทช.

เหตุที่มาของการฟ้องดังกล่าว สืบเนื่องมาจากการลงมติของกรรมการ กสทช. 4 คนได้แก่ พลอากาศโท ดร. ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ รองศาสตราจารย์ ดร.ศุภัช ศุภชลาศัย ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต และ รองศาสตราจารย์ ดร.สมภพ ภูริวิกรัยพงศ์ ซึ่งเป็นเสียงข้างมาก ให้เป็นไปตามข้อเสนอในรายงานของคณะอนุกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีลิขสิทธิ์บอลโลก ที่เห็นว่า การกระทำของนายไตรรัตน์อาจเป็นการกระทำที่เข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ประกาศที่เกี่ยวข้อง มติที่ประชุมของ กสทช. รวมทั้งข้อเสนอของการกีฬาแห่งประเทศไทย ที่ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) ตลอดจนบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) ที่การกีฬาแห่งประเทศไทย ทำกับสำนักงาน กสทช.  ทางอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯดังกล่าวจึงเสนอให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย นายไตรรัตน์ และให้เปลี่ยนตัวรักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. จนกว่าการสอบสวนจะจบสิ้น เพื่อไม่ให้มีการยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐานและกระบวนการ 

อนึ่ง ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสำนักงาน กสทช. กับการกีฬาแห่งประเทศไทยระบุชัดเจนว่า ในการรับเงินสนับสนุนเงินจากกองทุน กทปส. 600 ล้านบาท การกีฬาแห่งประเทศไทยมีหน้าที่บริหารจัดการให้ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ทุกประเภทของ กสทช. ถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลกได้ และการกีฬาแห่งประเทศไทยก็รับทราบก่อนลงนามใน MOU แล้วว่า ทางสำนักงาน กสทช. มีเงื่อนไขสำคัญเกี่ยวกับกฎ must have / must carry เพื่อให้ผู้รับใบอนุญาตออกอากาศได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม  

อย่างไรก็ดี หลังจากลงนามใน MOU กับสำนักงาน กสทช.เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2565 การกีฬาแห่งประเทศไทยได้ทำบันทึกข้อตกลงเพิ่มเติม ลงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2565 กับ บริษัท ทรูโฟร์ยู สเตชั่น จำกัด, บริษัท ทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด และบริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด และมอบสิทธิในการถ่ายทอดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 ให้กับกลุ่มทรูแลกกับการสนับสนุนเงิน 300 ล้านบาท โดยการกีฬาแห่งประเทศไทยให้เหตุผลว่ามีเงินไม่พอซื้อค่าลิขสิทธิ์บอลโลกซึ่งสูงถึง 1,200 ล้านบาท จึงต้องรับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากองค์กรภาคเอกชนหลายแห่งรวมทั้งกลุ่มทรูด้วย การทำบันทึกข้อตกลงในภายหลังส่งผลให้ผู้รับใบอนุญาตประเภทเคเบิลทีวี ทีวีดาวเทียม และไอพีทีวีต้องจอดำ ไม่สามารถถ่ายทอดการแข่งขันบอลโลกได้ เนื่องจากได้รับแจ้งจากกลุ่มทรูว่าเป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย ซึ่งในรายงานสอบข้อเท็จจริงชี้ให้เห็นว่า นายไตรรัตน์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นรักษาการเลขาฯ กสทช.เป็นผู้แจ้งการกีฬาแห่งประเทศไทยว่าสามารถทำ MOU เพิ่มเติมกับกลุ่มทรูได้ ซึ่งขัดแย้งกับ MOU ที่ได้ตกลงมาก่อนหน้ากับสำนักงาน กสทช. 

แหล่งข่าวที่ศาลอาญาทุจริตประพฤติมิชอบกลาง เปิดเผยว่า องค์คณะผู้พิพากษาในคดีนี้ ซึ่งจะมีคำพิพากษาในวันที่ 8 เมษายน เป็นองค์คณะเดียวกับที่พิพากษาจำคุกไม่รอลงอาญา ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต จากการฟ้องของ บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด ในคดีทรูไอดี ซึ่งเป็นที่สนใจของสาธารณชนอย่างกว้างขวาง 

นอกจากนี้ ผู้พิพากษาซึ่งเป็นเจ้าของสำนวนยังเป็นคนเดียวกันกับที่พิจารณาคดีหมายเลขดำที่ อท 199/2565 อันเป็นการฟ้องกรรมการ กสทช.ว่าประพฤติมิชอบจากการอนุมัติให้ควบรวมกิจการทรู-ดีแทค ซึ่งในคดีดังกล่าว ศาลได้ยกฟ้องตั้งแต่ยังไม่ได้ไต่สวนมูลฟ้อง โดยเห็นว่า กรรมการ กสทช. ทำถูกต้องตามกฎหมายแล้วทุกประการ