ประธานณัฏฐ์ มอบทุนธรรมาภิบาลทางการศึกษา ให้ทายาททหารไทยที่เสียชีวิต ปกป้องอธิปไตยชาติ

ประธานณัฏฐ์ พร้อมมอบทุนธรรมาภิบาลทางการศึกษา ให้กับทายาท ทหารไทยที่เสียสละชีวิตเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ 

วันนี้ 5 สิงหาคม 2568 ดร.ณัฏฐ์ ธีรณัฐสุภานนท์ ประธานมูลนิธิธรรมาภิบาลและต่อต้านทุจริต นายกสภาสมาคมธรรมาภิบาล เปิดเผยว่า จากกรณีการรบเพื่อปกป้องอธิไตยของชาติไทย กับ กัมพูชา สิ่งหนึ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นคือ การสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินทั้งของประชาชนและทหารของประเทศไทย ที่เอาเลือดเนื้อยอมพลีเพื่อปกป้องประเทศไทยและอธิปไตยของชาติ แม้เป็นสิ่งที่ยากยิ่งที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะและหลีกเลี่ยงการสูญเสียแต่สิ่งที่มูลนิธิฯจะไม่มีวันลืมเลือนคือทหารกล้าของประเทศไทย ที่ได้พลีชีพจำนวน 15 นายนั้น ชื่อเสียงและเกียรติยศของทหารทั้ง 15 นายจะถูกจารึกในดวงใจของประชาชนคนไทยทั้งชาติตลอดกาล 

ดร.ณัฏฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งหนึ่งที่มูลนิธิธรรมาภิบาลและต่อต้านทุจริตจะตอบแทนในความเสียสละของทหารทั้ง 15 นายได้ คือ การมอบทุนการศึกษาให้กับบุตร ทายาท ของทหารทั้ง 15 นาย เป็นทุนธรรมาภิบาลทางการศึกษาซึ่งไม่ได้มีเงื่อนไข และให้ทุนในทุกระดับ จนถึงระดับสูงสุด เมื่อทหารทั้ง 15 นาย ได้เสียสละชีวิตเพื่อรักษาอธิปไตยของชาติ เราก็จะต้องดูแลคนที่อยู่ข้างหลังของทหารทั้ง 15 นาย อย่างดีที่สุด เท่าที่จะพึงสามารถกระทำได้ 

ประธานประธานมูลนิธิธรรมาภิบาลและต่อต้านทุจริต นายกสภาสมาคมธรรมาภิบาล กล่าวต่ออีกว่า ทุนธรรมาภิบาลทางการศึกษา มูลนิธิธรรมาภิบาลและต่อต้านทุจริต ได้มอบให้กับนักเรียนนักศึกษามาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ในกรณีบุตร ทายาทของทหารทั้ง 15 นาย ที่สละชีพเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย และอธิปไตยของชาติ ย่อมจะต้องได้รับทุนการศึกษาเป็นหนึ่งในสิ่งที่จะมาเติมเต็มให้กับทายาทของทหารกล้าที่จะไม่มีวันโดดเดี่ยวในวันที่ทายาทได้ขาดเสาหลักของครอบครัวไป

ดังนั้น ทายาทของทหารทั้ง 15 นาย สามารถติดต่อขอรับทุนการศึกษาได้ที่ มูลนิธิธรรมาภิบาลและต่อต้านทุจริต หมายเลขโทรศัพท์ 063-1192999 หรือ 02-0283344 ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป 

เทรนด์เด็กยุคใหม่ Growth Mindset CURIOOkids ชูแนวคิดการศึกษา สร้างทักษะอนาคต

ในโลกยุคที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วด้วยเทคโนโลยีและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) การเตรียมเด็กไทยให้พร้อมสำหรับอนาคตไม่ใช่แค่การเพิ่มคะแนนสอบ แต่คือการพัฒนาแนวคิด ทักษะ และความสามารถรอบด้าน โดยเฉพาะ “Growth Mindset” ซึ่งกลายเป็นแนวโน้มสำคัญในหมู่เด็กและผู้ปกครองยุคใหม่ “อนาคตของเด็กไทยอยู่ที่วันนี้”

คุณไพลิน เทวศักดิ์รักษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง CURIOOkids Thailand กล่าวว่า เราไม่ควรสอนให้เด็กเรียนแค่เพื่อสอบ แต่ควรสร้างแนวคิดที่ทำให้พวกเขาพร้อมก้าวสู่อนาคตอย่างมั่นใจ โดยเฉพาะในยุคที่ความสามารถในการปรับตัวและคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งสำคัญที่สุด” นั่นคือแกนหลักที่ทำให้ CURIOOkids แตกต่างจากสถาบันการศึกษาทั่วไป – การเรียนรู้เพื่อเข้าใจตัวเอง พัฒนาแบบองค์รวม และปลูกฝังทักษะที่จะใช้ได้ตลอดชีวิต

เทรนด์เด็กยุคใหม่: Growth Mindset คือคำตอบของอนาคต

หนึ่งในแนวโน้มการศึกษาที่มาแรงทั่วโลกคือ “Growth Mindset” – ความเชื่อว่าความสามารถไม่ใช่สิ่งตายตัว แต่สามารถพัฒนาได้ผ่านความพยายามและการเรียนรู้ เด็กที่มีแนวคิดนี้จะกล้าท้าทายตัวเอง ไม่กลัวล้มเหลว และพร้อมเติบโตไปกับการเปลี่ยนแปลง

ในหลายประเทศ รวมถึงสถาบันการศึกษาแนวหน้าทั่วโลกต่างบูรณาการแนวคิด Growth Mindset เข้าไปในระบบการเรียน CURIOOkids เองก็นำแนวคิดนี้มาเป็นหนึ่งในหัวใจหลักของหลักสูตร ด้วยวิธีการสอนที่เน้นการเรียนรู้จากกระบวนการ ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์

“เราให้เด็กได้ลองคิด ลองผิด ลองถูก สะท้อนความคิด และพัฒนาตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด Growth Mindset อย่างแท้จริง” คุณไพลินกล่าว

การพัฒนาเด็กด้วย Growth Mindset ยังสอดคล้องกับรายงานของ World Economic Forum ที่ระบุว่า “ความยืดหยุ่น (resilience) และ ความสามารถในการเรียนรู้ตลอดชีวิต (lifelong learning) คือทักษะสำคัญของคนทำงานในอนาคต”

ธุรกิจการศึกษาในยุคดิจิทัล: ไม่ใช่แค่ “โรงเรียน” แต่คือ “แพลตฟอร์มการเรียนรู้”

วันนี้ธุรกิจการศึกษาไม่ได้แข่งขันกันแค่ที่ “เนื้อหา” แต่แข่งขันกันที่ “ประสบการณ์การเรียนรู้” และ “การพัฒนาศักยภาพเฉพาะบุคคล” เทคโนโลยีจึงกลายเป็นกลไกสำคัญ เช่น

การเรียนแบบ Hybrid และ E-learning

การใช้ AI วิเคราะห์ศักยภาพรายบุคคล

การเรียนรู้ผ่านเกมและกิจกรรม (Gamification)

โปรแกรมเสริม Soft Skills อย่างต่อเนื่อง

CURIOOkids คือหนึ่งในตัวอย่างที่นำเทคโนโลยีมาปรับใช้กับหลักสูตรอย่างสมดุล ทั้งในด้านการวิเคราะห์ความถนัดของเด็ก การวางแผนการเรียน และการสร้างพื้นที่เรียนรู้ที่เป็นมากกว่าห้องเรียน

CURIOOkids: เครือข่ายการเรียนรู้ระดับโลกที่เน้น “ทักษะแห่งอนาคต”

ด้วยสาขากว่า 40 แห่งในเอเชีย ตะวันออกกลาง และออสเตรเลีย พร้อมขยายสู่จีน สหรัฐฯ และประเทศแถบอ่าว CURIOOkids พัฒนาหลักสูตรที่ตอบโจทย์โลกอนาคตอย่างชัดเจน ผ่าน 4 แกนสำคัญ:

ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร

ความคิดสร้างสรรค์และผู้ประกอบการ

ทักษะเทคโนโลยีและดิจิทัล

การทำงานร่วมกันและความเป็นผู้นำ

ทุกหลักสูตรใช้ซอฟต์แวร์ประเมินศักยภาพเด็กแบบรายบุคคล เพื่อช่วยคุณครูและผู้ปกครองออกแบบเส้นทางการเรียนรู้เฉพาะตัว

แนวทางขยายธุรกิจด้วยคุณภาพและนวัตกรรม

แม้จะมีการขยายสาขาเพิ่มขึ้นในประเทศไทย แต่ CURIOOkids ยังคงยึดหลักการขยายด้วย “คุณภาพ” มากกว่า “ปริมาณ” โดยการสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ให้กับเด็กและครอบครัวไทย พร้อมขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมที่สอดคล้องกับเทรนด์โลก

CURIOOkids ขยายสาขาใหม่ 3 แห่งในกรุงเทพฯ ตอบโจทย์พ่อแม่ยุคใหม่

CURIOOkids สถาบันพัฒนาทักษะเด็กระดับสากล ประกาศเปิดสาขาใหม่ที่ Central แจ้งวัฒนะ, Central ปิ่นเกล้า และ Central พระราม 3 เพื่อรองรับความต้องการของผู้ปกครองที่มองหาการเรียนรู้คุณภาพสำหรับลูก

คุณไพลิน กล่าวเพิ่มเติมว่า “เรามุ่งมั่นพัฒนาเด็กให้มีทักษะครบรอบทั้งภาษา ความคิดสร้างสรรค์ และความมั่นใจในตัวเอง เพื่อเติบโตอย่างแข็งแรงในโลกอนาคต”

พิเศษช่วง Pre-Sale:
- วัดทักษะเด็ก ฟรี
- ส่วนลดค่าสมัครสูงสุด 30%*
- รับฟรี “CURIOOkids Starter Kit” สำหรับผู้ลงทะเบียนล่วงหน้า

ลงทะเบียน: bit.ly/CURIOO_CW_SOFTOPEN
LINE: @CURIOOkids
*จำนวนจำกัด

“กยศ.” จี้ 3.5 ล้านบัญชี เร่งชำระเงินคืน ย้ำความรับผิดชอบของรุ่นพี่ คืออนาคตทางการศึกษาของรุ่นน้อง

รองโฆษกรัฐบาล “อนุกูล” เผยรุ่นน้องขอรุ่นพี่ กยศ. 3.5 ล้านบัญชี เร่งชำระเงินคืน ย้ำความรับผิดชอบของรุ่นพี่ คืออนาคตทางการศึกษาของรุ่นน้องต่อไป

วันนี้ (5 กรกฎาคม 2568) นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า  กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้ดำเนินการเร่งรัดการชำระหนี้ผู้กู้ยืมกว่า 3.5 ล้านคนแล้วทุกช่องทาง อาทิ การส่งหนังสือแจ้งภาระหนี้ ข้อความ SMS และ Notification ผ่านแอปพลิเคชัน กยศ. Connect เพื่อแจ้งเตือนผู้กู้ยืม เร่งชำระหนี้ในวันที่ 5 ก.ค. 2568 นี้ เนื่องจากวันที่ 5 ก.ค.ของทุกปีเป็นวันครบกำหนดชำระเงินคืน กยศ. สำหรับการผ่อนชำระรายปี

 

ทั้งนี้ ผู้กู้ยืมสามารถชำระเงินผ่านช่องทาง Mobile Banking ของทุกธนาคารด้วยการสแกน QR code ซึ่งจ่ายได้สะดวกทุกที่ทุกเวลา และผู้กู้ยืมสามารถดูช่องทางการชำระอื่นๆ ได้ที่เว็บไซต์ กยศ. https://www.studentloan.or.th/th/highlight/1548321901

 

“ปัจจุบันกองทุนฯ มีนักเรียน นักศึกษาที่ได้รับโอกาสทางการศึกษาไปแล้วกว่า 7.1 ล้านราย คิดเป็นเงินกู้ยืมกว่า 8 แสนล้านบาท โอกาสนี้ รัฐบาลขอเชิญชวนผู้กู้ยืมรุ่นพี่ ดำเนินการชำระเงินคืนภายในวันที่ 5 กรกฎาคมนี้ เพื่อเป็นการมอบอนาคตทางการศึกษาให้กับนักเรียน นักศึกษารุ่นน้องต่อไป”  นายอนุกูล ระบุ

“หน่อง-ปลื้มจิตร์” ร่วมสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนร่วมแข่งขัน “แพรกษาวิชาการ” ส่งเสริมการศึกษาของอปท.

“หน่อง” ปลื้มจิตร์ ถินขาว อดีตนักตบลูกยางสาวทีมชาติไทย ร่วมพูดคุยให้ข้อคิด และสร้างแรงบันดาลใจ ให้เยาวชนผู้เข้าแข่งที่เข้าแข่งขัน “แพรกษาวิชาการ” การแข่งขันทักษะทางวิชาการ ระดับภาคตะวันออก ครั้งที่ 30 เตรียมจัดชิงชัย ณ เทศบาลตำบลแพรกษา จ.สมุทรปราการ ระหว่างวันที่ 5-7 ก.ค. 2568 อย่างยิ่งใหญ่ ภายใต้คำขวัญ “ท้องถิ่นสร้างคน เยาวชนเก่งดี เวทีพหุปัญญา” เพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ณ ห้องประชุมเทศบาลตำบลแพรกษา ชั้น 5 เทศบาลตำบลแพรกษา อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ ได้มีการจัดงานแถลงข่าวการแข่งขันทักษะทางวิชาการ ระดับภาคตะวันออก ครั้งที่ 30 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 “แพรกษาวิชาการ” โดยมี นายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เป็นประธานในงานแถลงข่าวครั้งนี้

ภายในงานยังได้รับเกียรติจาก นายสุนทร ปานแสงทอง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ, นางอรัญญา สุวรรณบุตร นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา, ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา และ “หน่อง” ปลื้มจิตร์ ถินขาว อดีตนักกีฬาวอลเลย์บอลทีมชาติไทย ชุด 7 เซียน มาร่วมพูดคุยให้ข้อคิดและสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนผู้เข้าแข่งขัน “แพรกษาวิชาการ” 

นายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กล่าวว่า การแข่งขันทักษะวิชาการครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อเผยแพร่ศักยภาพและขีดความสามารถการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ประชาชนได้รับทราบ ตลอดจนกระตุ้นให้พัฒนาให้มีคุณภาพ เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ และมุ่งเน้นการรวมพลังในระดับภาค ให้ได้มาตรฐาน ก่อให้เกิดการพัฒนาความรู้ ความสามารถของผู้บริหาร รวมทั้งเด็ก นักเรียน ครู และบุคลากร เกิดการพัฒนาเรียนรู้รอบด้าน ทั้งด้านวิชาการ คุณธรรม จริยธรรม พร้อมทั้งสติปัญญา และส่งเสริมความเป็นเลิศเฉพาะด้าน อีกทั้งผู้ชนะการแข่งขันระดับภาคในครั้งนี้ จะได้รับการคัดเลือกเป็นตัวแทนไปแข่งขันในระดับประเทศต่อไป

ขณะที่ นางอรัญญา สุวรรณบุตร นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา ในฐานะเจ้าภาพผู้จัดการแข่งขันทักษะวิชาการครั้งนี้ กล่าวว่า คณะทำงานของเทศบาลตำบลแพรกษา ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน ผนึกกำลังดำเนินการจัดเตรียมความพร้อมทุกด้าน เพื่อรองรับและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เข้าร่วมแข่งขันและบุคลากรทางการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วภาคตะวันออก ซึ่งก็อยากเชิญชวนทุกท่านได้มาสัมผัส และเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ในการจัดการแข่งขัน “แพรกษาวิชาการ” ภายใต้คำขวัญ “ท้องถิ่นสร้างคน เยาวชนเก่งดี เวทีพหุปัญญา” และขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการร่วมกันจัดงานครั้งนี้

ด้าน “หน่อง” ปลื้มจิตร์ ถินขาว อดีตนักกีฬาวอลเลย์บอลทีมชาติไทย กล่าวว่า ตนเองมุ่งมั่นตั้งใจเต็มที่ในการฝึกซ้อม และรับใช้ทีมชาติ ซึ่งกว่าที่จะก้าวไปประสบความสำเร็จนั้นไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็แล้วแต่ เราจะต้องมีมุ่งมั่นตั้งใจ มีความอดทน เพียรพยายาม มีระเบียบวินัย ที่สำคัญจะต้องมีแรงบันดาลใจ เช่นเดียวกับน้อง ๆ ทุกคนที่เข้าร่วมการแข่งขันทักษะทางวิชาการในครั้งนี้ ก็อยากให้ทุกคนตั้งใจแข่งขันกันอย่างเต็มที่ด้วยความมั่นใจเพื่อทำตามความฝัน และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้ได้มากที่สุด เพื่อต่อยอดในการพัฒนาศักยภาพตนเองต่อไปในอนาคต

ทั้งนี้ เทศบาลตำบลแพรกษา ได้รับมอบหมายจาก กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ให้เป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมการจัดการศึกษาท้องถิ่นระดับภาคตะวันออก ครั้งที่ 30 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 “แพรกษาวิชาการ” ระหว่างวันที่ 5-7 กรกฎาคม 2568 ณ สถานที่ต่าง ๆ ในเขตเทศบาลตำบลแพรกษาและพื้นที่ใกล้เคียง โดยมีการประกวดแข่งขันทั้งหมดประกอบด้วย 

การกล่าวสุนทรพจน์, การคัดลายมือ, การแสดงละครภาษาต่างประเทศ, การประดิษฐ์สิ่งของจากวัสดุเหลือใช้, การแกะสลักผักผลไม้, งานประดิษฐ์ร้อยมาลัย, งานประดิษฐ์จากใบตอง, ทักษะทางคอมพิวเตอร์, แข่งขันหุ่นยนต์, การจัดสวนถาดแห้ง, การร้องเพลงพระราชนิพนธ์พร้อมจินตลีลา, การร้องเพลงลูกทุ่งพร้อมแดนเซอร์, รำวงมาตรฐาน, นาฏศิลป์ไทยสร้างสรรค์, วาดภาพระบายสี, แข่งขันโครงงาน, สื่อนวัตกรรมทางการศึกษา, เกมส์ทายซิเสียงอะไรเอ่ย?, เดินตัวหนอน, เริงเล่นเต้น Dancer, การต่อตัวต่อเสริมทักษะ, ฮูล่าฮูปประกอบเพลง, การปั้นดินน้ำมัน และการตอบปัญหาคุณธรรม

สำหรับผู้สนใจ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊คเพจ แพรกษาวิชาการ : https://www.facebook.com/share/16b6PJj4pE/?mibextid=wwXIfr

Huawei ICT Competition 2024–2025 ชูบทบาท AI พลิกโฉมการศึกษา-พัฒนาบุคลากร ICT ทั่วโลก

การแข่งขัน Huawei ICT Competition รอบชิงชนะเลิศระดับโลก ประจำปี 2024–2025 ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ณ เมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน โดยปีที่ 9 ของการแข่งขันนี้เติบโตอย่างก้าวกระโดด ดึงดูดนักศึกษาและอาจารย์กว่า 210,000 คน จากสถาบันการศึกษากว่า 2,000 แห่ง ในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก หลังจากการแข่งขันในระดับประเทศและภูมิภาคอันเข้มข้น มีทีมผู้เข้ารอบสุดท้าย 179 ทีม จาก 48 ประเทศในหลายภูมิภาค มาประชันฝีมือกันในรอบชิงชนะเลิศระดับโลกครั้งนี้ จากการแข่งขันอันดุเดือดใน 3 สาขาหลัก ได้แก่ การปฏิบัติ นวัตกรรม และการเขียนโปรแกรม ในที่สุดก็มีการประกาศทีมผู้ชนะเลิศ 18 ทีม จาก 9 ประเทศ ซึ่งได้แก่ จีน แอลจีเรีย บราซิล ฟิลิปปินส์ โมร็อกโก ไนจีเรีย เซอร์เบีย แทนซาเนีย และสิงคโปร์

โดยรางวัลใหญ่ประเภทนวัตกรรมนั้น ตกเป็นของทีมผู้ชนะจากสถาบันชั้นนำ ได้แก่ มหาวิทยาลัยแห่งรัฐบูลากัน ประเทศฟิลิปปินส์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีปักกิ่ง ประเทศจีน คณะวิทยาศาสตร์และเทคนิคแห่งเมืองชาชัก มหาวิทยาลัยครากูเยวัค สาธารณรัฐเซอร์เบีย และ คณะวิทยาศาสตร์และเทคนิค มหาวิทยาลัยมูเลย์ อิสมาอิล เมืองเอร์ราชิเดีย ราชอาณาจักรโมร็อกโก

ในประเภทการแข่งขันภาคปฏิบัติ – สาขาเครือข่าย รางวัลใหญ่ ตกเป็นของทีมผู้ชนะจากสถาบันชั้นนำ ได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีสารสนเทศเซินเจิ้น ประเทศจีน สถาบันเทคโนโลยีรัฐบาลโตแคนตินส์ ประเทศบราซิล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีรัฐบาลมินนา ประเทศไนจีเรีย รวมถึงทีมร่วมจากสถาบันเทคโนโลยีดาร์เอสซาลาม มหาวิทยาลัยดาร์เอสซาลาม และมหาวิทยาลัยโดโดมา ประเทศแทนซาเนีย

สำหรับการแข่งขันภาคปฏิบัติ – สาขาคลาวด์ รางวัลใหญ่ตกเป็นของทีมผู้ชนะจากสถาบันการศึกษาชั้นนำ ได้แก่ iACADEMY จากประเทศฟิลิปปินส์ มหาวิทยาลัยบัตนา 2 และโรงเรียนวิทยาการคอมพิวเตอร์แห่งชาติแอลเจียร์ ประเทศแอลจีเรีย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีและการศึกษาเทียนจิน ประเทศจีน และมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สังคม ประเทศสิงคโปร์

ในประเภทการแข่งขันภาคปฏิบัติ – สาขาการประมวนผล รางวัลใหญ่ได้มอบให้กับทีมที่มีผลงานยอดเยี่ยมจากสถาบันการศึกษาชั้นนำระดับนานาชาติ ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์กุ้ยหลิน ประเทศจีน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีรัฐบาลมินนา ประเทศไนจีเรีย มหาวิทยาลัยเบจาอา และโรงเรียนวิทยาการคอมพิวเตอร์แห่งชาติ SBA ประเทศแอลจีเรีย รวมถึง สถาบันเทคโนโลยีเซบู – มหาวิทยาลัย ประเทศฟิลิปปินส์

รางวัลใหญ่ในการแข่งขันประเภท การเขียนโปรแกรม ตกเป็นของทีมตัวแทนจาก มหาวิทยาลัยโพลีเทคนิคเซินเจิ้น ประเทศจีน

นอกเหนือจากความสามารถด้านเทคนิคที่โดดเด่นแล้ว เพื่อเป็นการยกย่องความทุ่มเทในมิติอื่น ๆ ของการแข่งขัน คณะผู้จัดงานยังได้มอบรางวัลอันทรงเกียรติให้แก่ผู้มีบทบาทสำคัญในด้านต่างๆดังนี้ 1) รางวัล Women in Tech Award: มอบให้กับทีมหญิงล้วน 4 ทีมจากบราซิล ซาอุดิอาระเบีย เยอรมนี และเคนยา 2) รางวัล Green Development Award: มอบให้กับทีมจากกานา และ 3) รางวัล Most Valuable Instructor Award: มอบให้แก่อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ 18 ท่าน จาก 10 ประเทศ ได้แก่ จีน แอลจีเรีย บังกลาเทศ บราซิล อียิปต์ อินโดนีเซีย อิรัก ไนจีเรีย ฮังการี และตุรกี เพื่อเป็นเกียรติแก่ความทุ่มเทในการส่งเสริมการศึกษาด้าน ICT

ในการกล่าวปิดงาน ริทชี่ เผิง ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจ ICT ของหัวเว่ย กล่าวว่า “เพื่อบรรลุเป้าหมายของการเรียนรู้ผ่านการแข่งขันและสร้างแรงบันดาลใจด้านนวัตกรรม เราได้พัฒนารูปแบบและเนื้อหาของการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง โดยการแข่งขันในภาคปฏิบัติ ได้รับการออกแบบให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ 'Intelligent World 2030' ของหัวเว่ย ซึ่งมุ่งเน้นให้นักศึกษาได้พัฒนาทักษะด้านการประมวลผล Big Data บนคลาวด์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อขับเคลื่อนความก้าวหน้าของสังคม ขณะที่การแข่งขันในประเภทนวัตกรรม มุ่งเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืนและการสร้างความเท่าเทียมทางดิจิทัล โดยสนับสนุนให้ผู้เข้าร่วมนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารไปใช้แก้ปัญหาจริงในภาคส่วนสำคัญ เช่น การเกษตร สาธารณสุข และการศึกษา”

ในยุคที่การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลทั่วโลกเป็นไปอย่างรวดเร็ว ความต้องการบุคลากรผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในสาขาสำคัญ อาทิ AI ข้อมูล Big Data และความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การขาดแคลนบุคลากรในสาขาเหล่านี้กลับกลายเป็นความท้าทายที่เราต้องเร่งแก้ไข เพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ Huawei ICT Competition จึงได้ออกแบบการแข่งขันเป็นหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นประเภทการปฏิบัติ นวัตกรรม และการเขียนโปรแกรม นอกจากนี้ยังส่งเสริมความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่างภาคอุตสาหกรรมและสถาบันการศึกษา พร้อมทั้งพัฒนาหลักสูตรที่มุ่งเน้นทักษะที่ตลาดแรงงานต้องการอย่างแท้จริง เป้าหมายเพื่อเตรียมความพร้อมให้นักศึกษาเสริมสร้างทักษะที่เป็นที่ต้องการสูง และผลักดันให้เกิดบุคลากรด้านเทคโนโลยีรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ พร้อมเป็นผู้นำในโลกดิจิทัลอัจฉริยะที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในอนาคต

ในการแข่งขันปีนี้ หัวเว่ยได้จัดงาน ‘AI Accelerating Education Transformation Summit’ ขึ้น เพื่อรวมรวมผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าจากหลากหลายสาขามาแลกเปลี่ยนมุมมองและวิเคราะห์บทบาทสำคัญของปัญ AI ในการพลิกโฉมระบบการศึกษาอัจฉริยะ นอกจากนี้ หัวเว่ยยังได้ประกาศเปิดตัวฟีเจอร์ความสามารถด้าน AI บนแพลตฟอร์มอัจฉริยะ Huawei ICT Academy อย่างเป็นทางการ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพและอำนวยความสะดวกในการใช้งานให้ทั้งบุคลากรและนักศึกษาอย่างครอบคลุม นับเป็นอีกก้าวสำคัญที่ตอกย้ำความมุ่งมั่นของหัวเว่ยในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบการศึกษาดิจิทัลที่ทันสมัย

"โสภณ ซารัมย์" ลุยแก้ปัญหาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็ก หวังเป็นโมเดลหนึ่งที่รัฐจะนำไปใช้ในระดับชาติ

"โสภณ ซารัมย์" ประธานคณะกรรมาธิการการศึกษาสภาผู้แทนราษฎร ลุยแก้ปัญหาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็ก หวังเป็นโมเดลหนึ่งที่รัฐจะนำไปใช้ในระดับชาติ

วันนี้ (17 พ.ค.68) นายโสภณ ซารัมย์ ประธานคณะกรรมาธิการการศึกษาสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานเปิดโครงการ“ตูมใหญ่รักศรัทธา พัฒนาการศึกษาแบบบูรณาการ” ที่โรงเรียนบ้านตูมใหญ่ ตำบลตูมใหญ่ อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์

ซึ่งโครงการนี้ เป็นแนวคิดการบริหารจัดการศึกษาของนายโสภณ  ซารัมย์ เพื่อแก้ปัญหาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็กในตำบลตูมใหญ่ อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ แบบบูรณาการ ซึ่งตำบลตูมใหญ่ มีโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก จำนวน 5 โรงเรียน และโรงเรียนขนาดกลาง จำนวน 5 โรงเรียน มีนักเรียน จำนวน 833 คน ครูผู้สอน จำนวน 86 คน เป็นการนำนักเรียนจากที่อยู่ใกล้เคียงกันมาเรียนรวมกัน 

โดยมีการจัดตั้งเป็นศูนย์การเรียนรู้ 4 ศูนย์  ได้แก่ ศูนย์การเรียนรู้ภาษาไทย, ศูนย์การเรียนรู้คณิตศาสตร์, ศูนย์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์  และศูนย์การเรียนรู้ภาษาอังกฤษ 
โดยแต่ละศูนย์การเรียนรู้จะมีครูที่มีความรู้ความสารถเฉพาะทางประจำศูนย์  ให้โรงเรียนแต่ละโรงเรียนในตำบลตูมใหญ่  นำนักเรียนหมุนเวียนไปเรียนตามศูนย์การเรียนรู้ต่างๆ 

ซึ่งการดำเนินในครั้งนี้ ได้รับสนับสนุนจาก โดยนายโสภณ ซารัมย์ ประธานคณะกรรมาธิการการศึกษาสภาผู้แทนราษฎร  มูลนิธิอาณัตพณ ซารัมย์ (ลูกเติ้ง) โดยนางชลธิชา  บุญครอบ มอบทุนดำเนินการในเบื้องต้น จำนวน 100,000 บาท  และรถจักรยาน จำนวน 10 คัน  นายชาตรี  ศรีตะวัน นายกองค์การบริหารส่วนตำบลตูมใหญ่ มอบสื่อการเรียนการสอน เป็นเงินจำนวน 500,000 บาท 

นายปิยวิทย์ เชิดกลิ่น ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดบุรีรัมย์  สนับสนุนการจัดการเรียนอาชีพให้กับนักเรียน  ส.ต.ต. ดร. นปดล นพเคราะห์   สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์  สนับสนุนครูที่มีความรู้ความสามารถมาช่วยในการจัดการเรียนรู้ตามศูนย์การเรียนรู้ต่างๆ นายประสิทธิ์ พิเศษ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4 เป็นผู้ดำเนินการขับเคลื่อนในครั้งนี้

โดย นายโสภณ ซารัมย์ กล่าวว่า โครงการนี้ เป็นโครงการที่ทุกฝ่ายร่วมบูรณาการตั้งแต่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชน รวมถึงผู้ปกครองและประชาชน ร่วมมือกันทำงาน เพื่อแก้ไขปัญหาการบริหารโรงเรียน ขนาดเล็ก และคุณภาพการจัดการศึกษาของโรงเรียนที่อยู่ ในชนบท ซึ่งขาดแคลน ทรัพยากรทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นบุคลากรครู สื่อการเรียนการสอน และสวัสดิการอื่น 

แต่เนื่องด้วยประชาชนที่มีฐานะเศรษฐกิจไม่เพียงพอที่จะส่งลูกหลานไปเรียน ในเมืองได้ ก็จำทนต้องให้ลูกหลานเรียน ในโรงเรียนของหมู่บ้านตนเอง ซึ่งจากการทำความเข้าใจของทุกฝ่ายจึงได้เกิดความร่วมมือตั้งโครงการนี้ขึ้นมา ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ ก็อยู่ที่ความร่วมมือร่วมใจกันทุกฝ่าย ส่วนตนพร้อมที่จะสนับสนุนโครงการนี้อย่างเต็ม กำลังความสามารถ ซึ่งถ้าโครงการนี้ เดินหน้าต่อไปได้ ก็หวังว่าจะเป็นโมเดลหนึ่งที่รัฐจะนำไปใช้ในระดับชาติต่อไป

ทั้งนี้ นายโสภณ ซารัมย์ ประธานกรรมาธิการการศึกษาสภาผู้แทนราษฎร ยังได้เดินเยี่ยมชมการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนบ้านตูมใหญ่ ด้วย
 

วิทยาลัยการแพทย์แบบบูรณาการ DPU จัดพิธีอุทิศส่วนกุศลแด่อาจารย์ใหญ่ ยกย่อง “ครูผู้ให้” เพื่อการศึกษา

วิทยาลัยการแพทย์แบบบูรณาการ DPU จัดพิธีอุทิศส่วนกุศลแด่อาจารย์ใหญ่ ยกย่อง “ครูผู้ให้” ผู้เสียสละร่างกายเพื่อการศึกษา

เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2568 วิทยาลัยการแพทย์แบบบูรณาการ (CIMw) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) จัดพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลแด่อาจารย์ใหญ่ ประจำปีการศึกษา 2567 เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่ออาจารย์ใหญ่ ผู้ที่ได้อุทิศร่างกายเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาให้นักศึกษาได้เรียนรู้ในศาสตร์ด้านสุขภาพและความงาม   ณ อาคารกายวิภาคศาสตร์ วิทยาลัยการแพทย์แบบบูรณาการ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

พิธีดังกล่าว ดร.พีระยุทธ มั่งคั่ง รองคณบดีวิทยาลัยการแพทย์แบบบูรณาการ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เป็นประธานในพิธี โดยมีนักศึกษาระดับปริญญาตรี CIMw  และ วิทยาลัยเฮลท์ แอนด์ เวลเนส (CHW) รวมถึงคณาจารย์ เข้าร่วมแสดงความเคารพ และวางพวงมาลัยดอกไม้ไหว้อาจารย์ใหญ่เพื่อระลึกถึงพระคุณอาจารย์ใหญ่อย่างพร้อมเพรียง ณ อาคารกายวิภาคศาสตร์ วิทยาลัยการแพทย์แบบบูรณาการ

ดร.พีระยุทธ กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นวันสำคัญของพวกเราทุกคนในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรบูรณาการสุขภาพและความงาม ภายใต้การกำกับดูแลของ ผศ.นพ.มาศ ไม้ประเสริฐ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แบบบูรณาการ เราร่วมกันแสดงความกตัญญูกตเวทีและระลึกถึงบุญคุณของอาจารย์ใหญ่ ผู้สละร่างกายเป็นวิทยาทานอันยิ่งใหญ่เพื่อพวกเรา อาจารย์ใหญ่ไม่ใช่เพียงครูที่ให้ความรู้ผ่านตำรา แต่ท่านเป็นผู้มอบบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ผ่านร่างกายของตนเอง เป็นแบบอย่างของการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนซึ่งเป็นคุณค่าที่ประเมินมิได้ การเสียสละอันยิ่งใหญ่นี้ทำให้นักศึกษาทุกคนได้มีโอกาสเรียนรู้ศาสตร์แห่งการแพทย์อย่างลึกซึ้ง ทั้งในเชิงโครงสร้างร่างกาย การสังเกต วิเคราะห์ และการฝึกฝนทักษะทางหัตถการ

“ในการจัดการเรียนการสอนในปีนี้ วิทยาลัยฯ ได้รับความเสียสละจากอาจารย์ใหญ่จำนวน 4 ท่าน และชิ้นส่วนของสรีระบางส่วนที่จัดเตรียมขึ้นเพื่อประกอบการศึกษา นักศึกษาจึงได้มีโอกาสเรียนรู้และสัมผัสกับ “องค์ความรู้เชิงประจักษ์” อย่างแท้จริง เป็นการฝึกฝนทักษะเชิงลึกเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนออกสู่สายงานวิชาชีพ” รองคณบดีวิทยาลัยการแพทย์แบบบูรณาการ กล่าว

ดร.พีระยุทธ มั่งคั่ง เน้นย้ำว่า วิทยาลัยการแพทย์แบบบูรณาการ ยังมุ่งเน้นการพัฒนานักศึกษาอย่างรอบด้าน ไม่เพียงแต่ด้านวิชาการ แต่ยังเน้นการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และความเมตตา ซึ่งเป็นหัวใจของการเป็นบุคลากรทางการแพทย์ โดยองค์ความรู้ที่ได้รับจากอาจารย์ใหญ่จะเป็นรากฐานสำคัญที่นำไปต่อยอดเพื่อประโยชน์ของสังคม ประเทศชาติ และการพัฒนาตนเองของนักศึกษา

“พิธีอุทิศส่วนกุศลในครั้งนี้เป็นโอกาสที่นักศึกษาได้ร่วมกันประกอบกิจกรรมทางจิตวิญญาณ เพื่อหล่อหลอมทัศนคติและความเข้าใจในคุณค่าของการเป็นผู้รับและผู้ให้ โดยมีการบูรณาการนักศึกษาจากหลากหลายสาขา เช่น หลักสูตรวิทยาศาสตร์ความงาม CIMw  และแพทย์แผนไทย วิทยาลัยเฮลท์ แอนด์ เวลเนส (CHW)  ซึ่งมีความจำเป็นต้องศึกษาสรีระและโครงสร้างร่างกายเพื่อประกอบการเรียนรู้และฝึกฝนหัตถการในวิชาชีพของตน” รองคณบดีวิทยาลัยการแพทย์แบบบูรณาการ กล่าว

การเรียนรู้กายวิภาคศาสตร์ (Anatomy) ถือเป็นพื้นฐานสำคัญของทุกศาสตร์ด้านสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นสายความงามหรือแพทย์แผนไทย นักศึกษาจำเป็นต้องเข้าใจโครงสร้างร่างกายมนุษย์อย่างลึกซึ้ง เพื่อสามารถนำความรู้ไปใช้ในการดูแล ป้องกัน และรักษาผู้ป่วยอย่างมีคุณภาพ สิ่งที่นักศึกษาได้รับจากวันนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่การเรียนในห้องเรียน แต่จะกลายเป็นรากฐานของความเข้าใจมนุษย์ ความเมตตา และการให้บริการอย่างมืออาชีพในอนาคต

มูลนิธิสานอนาคตการศึกษาฯ เปิดปฏิบัติการ “โครงการผู้นำเพื่อการพัฒนาการศึกษาที่ยั่งยืนปี 68”

มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี โดย นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานกรรมการมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี และประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ พร้อมด้วยผู้บริหาร วิทยากรจากองค์กรเอกชนเครือข่ายมูลนิธิฯ เปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการ ผู้นำเพื่อการพัฒนาการศึกษาไทยที่ยั่งยืน ประจำปี 2568 หรือ School Partner Workshop 2025 ที่จัดขึ้นต่อเนื่องเพื่อเสริมศักยภาพ School Partner ทั้งทักษะความเป็นผู้นำ การสื่อสาร และการคิดวิเคราะห์ ซึ่งช่วยให้การทำงานร่วมกับโรงเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยครั้งนี้ มีผู้นำรุ่นใหม่ หรือ School Partner ซึ่งเป็นพนักงานจิตอาสาจากองค์กรภาคเอกชน ร่วมการอบรมทั้งหมดกว่า 500 คน ซึ่งล้วนเป็นกลไกสำคัญในการร่วมขับเคลื่อนการศึกษาไทย โดยจะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วย ปฏิบัติงานร่วมกับผู้อำนวยการและครู นำข้อมูลจากระบบ School Management System มาคิดวิเคราะห์ ประเมินจุดอ่อนจุดแข็ง เพื่อผลักดันให้เกิดโครงการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนตามบริบทพื้นที่ ติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมาย ครอบคลุมทุกด้านสอดคล้องตามยุทธศาสตร์หลักของมูลนิธิฯ 

เมื่อวันที่ 6 มี.ค.68 นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานกรรมการมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี และประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้แสดงวิสัยทัศน์ พร้อมให้ข้อคิดและสร้างแรงบันดาลใจแก่ผู้นำรุ่นใหม่ “ความมีเมตตาของคนๆ หนึ่ง เปลี่ยนแปลงชีวิตอีกคนหนึ่งได้ ไม่ต่างจาก School Partner ที่แม้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับนักเรียน แต่จะเป็นตัวแปรช่วยให้น้องๆ เดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง สามารถช่วยเหลือตัวเองและคนอื่นต่อไปได้ เชื่อว่าทุกคนมุ่งมั่นพร้อมจะร่วมมือกัน คำว่า “Collaboration” หมายถึงพลัง และพลังของความร่วมมือ 1 + 1 ไม่ใช่แค่ 2 แต่ต้องเป็น 3 เป็น 5 และในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว School Partner โรงเรียน และระบบการศึกษาต้องรู้เท่าทันและรู้จักปรับตัวใน 3 มิติสำคัญ ได้แก่ 1. Digitization/AI ยกระดับ AI สู่ AGI เพิ่มขีดความสามารถของเทคโนโลยีที่ทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยอัตราการเร่งของ AI 2. Deglobalization โลกหลายขั้วที่กำลังเกิดขึ้นในหลากหลายแห่ง และ 3. Decarbonization แก้ปัญหาโลกร้อน กำจัดคาร์บอน สร้างความยั่งยืนเป็นไปตาม SDGs 17 ข้อ”

“School Partner มีบทบาทสำคัญที่จะเข้าไปสร้างระบบนิเวศใหม่ โดยมี 5 ยุทธศาสตร์หลักนำทาง เริ่มด้วย 1. Transparency มีตัวชี้วัดที่ชัดเจนโปร่งใส สามารถวิเคราะห์จุดแข็งและจุดที่โรงเรียนต้องพัฒนา 2. Market Mechanism มีการเปรียบเทียบการแข่งขัน เกิดกลไกตลาด ทำให้คนในชุมชนมีส่วนร่วมกับการศึกษา รวมถึงส่งเสริมสื่อคุณธรรมในช่วง Prime Time 3. High Quality Principals and Teachers ความสำเร็จของผู้อำนวยการคือ ความสำเร็จของการศึกษา สร้างความร่วมมือระหว่างผอ.กับชุมชน 4. Child Centric and Curriculum ตัวชี้วัดของครูที่ส่งเสริมให้เด็กเกิดการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำจริง บทบาทครูผู้สอนต้องเปลี่ยนจาก Instructor เป็น Facilitator ตลอดจนมี Learning Center เพื่อส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และ 5. Digital Infrastructure ส่งเสริมให้นักเรียนเข้าถึงเทคโนโลยี ทุกคนมีคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ School Partner ขอให้มุ่งมั่น อย่าละความตั้งใจ การมีจิตอาสา ถือเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของการเป็นผู้นำ” นายศุภชัย กล่าว

สัมผัสแรงบันดาลใจจากคนรุ่นใหม่ สู่การเปลี่ยนแปลงการศึกษาไทย

นางสาวเบญจมาภรณ์ ฤาไชย School Partner สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ เล่าว่า ตั้งแต่ช่วงโควิด ได้ดูแลโรงเรียนในจ.สุพรรณบุรี นำเทคโนโลยีเพื่อการเกษตรอัจฉริยะมาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาโรงเรียน เช่น แก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง เพิ่มพื้นที่เพาะปลูก ผลผลิตและช่องทางการขายผลิตภัณฑ์จากเห็ด พร้อมบูรณาการการเรียนรู้กับนักเรียน รู้สึกตนเองเป็นคนที่มีคุณค่าที่ได้มอบโอกาสทางการศึกษาให้กับน้องๆ” ขณะที่ นายประเวช ขุนภิรมย์ School Partner บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “การได้เป็น School Partner ที่โรงเรียนในจ.หนองคาย เปิดโอกาสให้พัฒนาตัวเอง โดยได้ดำเนินโครงการที่ส่งเสริมด้านอาชีพและบูรณาการเข้ากับการเรียนการสอน เช่น การเกษตร งานหัตถกรรม และมัคคุเทศก์น้อย ผ่านความร่วมมือกับชุมชน ส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนตามความสนใจและความถนัดผ่านกระบวนการ Child-centric เพิ่มโอกาสสร้างรายได้ให้กับโรงเรียนและนักเรียน

นอกจากนี้ นายจรัญพงศ์ รินแสงปิน ยังแบ่งปันมุมมองการเป็น School Partner ธนาคารกรุงเทพ นำประสบการณ์การทำงานธนาคาร ว่า ผมดูแลโรงเรียนคอนเน็กซ์อีดีในจ.เชียงใหม่ ดำเนินโครงการที่ส่งเสริมความรู้และวางแผนทางการเงิน ปลูกฝังวินัยให้นักเรียนรู้จักเก็บออมและใช้เงินอย่างเป็นระบบ เพื่อเป็นทุนการศึกษา ต่อยอดเป้าหมายในชีวิต ดีใจที่ได้เห็นรอยยิ้มและสายตาที่เด็กๆ ภูมิใจตอนที่ครูจดบันทึกจำนวนเงินที่ออมได้

สำหรับการอบรมเชิงปฏิบัติการ ผู้นำเพื่อการพัฒนาการศึกษาไทยที่ยั่งยืนในปีนี้ ยังได้รับเกียรติจากวิทยากรองค์กรเครือข่ายพันธมิตร มาแบ่งปันความรู้และประสบการณ์แก่ผู้นำรุ่นใหม่ อาทิ

• บทบาทผู้นำยุคใหม่และแนวทางดำเนินงานเพื่อพัฒนาการศึกษาที่ยั่งยืน ตามหลัก 5S  ได้แก่ 1. STUDY ศึกษา การดำเนินงานมูลนิธิฯ และข้อมูลโรงเรียน 2. STIMULATE ส่งเสริม สร้างความเข้าใจกับโรงเรียน ผลักดันการพัฒนา 3. SWOT วิเคราะห์ ปัญหาและโอกาส ในการพัฒนาโรงเรียน 4. SUGGEST เสนอแนะ แนวทางการพัฒนาโรงเรียนตามยุทธศาสตร์ และ 5. SUPPORT สนับสนุน โครงการที่เหมาะสมพร้อมช่วยติดตามการดำเนินงาน โดยดร.เนตรชนก วิภาตะศิลปิน กรรมการและเลขานุการมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี 

• บทเรียนจากผู้นำ เสริมพลังผู้นำรุ่นใหม่ สร้างความเปลี่ยนแปลงให้การศึกษาไทย ด้วยการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอน โดยนายพริษฐ์ เที่ยงธรรม ประธานเจ้าหน้าที่ผู้บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เอ็ดดูเคชั่น อีซี่ (ไทยแลนด์) จำกัด 

• พลังการสื่อสารของผู้นำ เข้าถึง-เข้าใจ-ได้ประสิทธิผล โดย ครูน้ำฝน ภักดี ผู้ก่อตั้งโรงเรียนสอนบุคลิกภาพและการสื่อสาร โพรนาลิตี้ อะคาเดมี  ที่มาถ่ายทอดเทคนิคการสื่อสารพูดคุยอย่างตรงประเด็น เพื่อให้ได้ข้อมูลและสร้างความรู้สึกเชิงบวก เรียนรู้การจับประเด็นระหว่างสนทนา สามารถคิดวิเคราะห์คู่สนทนา ผ่านภาษาพูดและภาษากาย อันเป็นการสร้างความมั่นใจ เสริมสร้างบุคลิกภาพและการวางตัวอย่างเหมาะสมให้แก่ผู้นำรุ่นใหม่

เจเนซิส เปิด 15 แนวทาง ปลุกพลัง “คน” พลิกโฉมการศึกษา สร้างอนาคตประเทศไทย

เจเนซิส มีเดียคอม จำกัด เปิดตัว 15 แนวทางปฏิรูปการศึกษาไทย เน้นสร้าง คน  ให้มีคุณภาพ สร้างโอกาสการเรียนรู้ที่เท่าเทียม เสริมศักยภาพคนไทยทุกช่วงวัย พร้อมขับเคลื่อนประเทศสู่อนาคตอย่างยั่งยืน

นายวิทยา มิตรศรัทธา กรรมการผู้จัดการฯ เผยว่า การพัฒนาคนเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด เพื่อพลิกโฉมการศึกษาไทยให้ทันสมัยและตอบโจทย์โลกอนาคต โดยมี 15 แนวทางยกระดับการศึกษาไทย ได้แก่

1. พัฒนาโครงสร้างเทคโนโลยีโรงเรียน ติดตั้งอุปกรณ์ดิจิทัลและอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง พร้อมสร้าง Makerspace เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้เชิงปฏิบัติ

2. แจกแท็บเล็ตและอุปกรณ์ประจำตัว เพื่อเข้าถึงสื่อการเรียนรู้ พร้อมพัฒนา Learning Management System (LMS) และสนับสนุน Blended Learning ที่ผสานการเรียนออนไลน์และออฟไลน์

3. เพิ่มผู้นำเชิงนวัตกรรม ผ่านการอบรมผู้นำการศึกษา 30,000 คน พร้อมปรับปรุงระบบบริหารโรงเรียน (SMS) และนำ AI มาวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์นักเรียน

4. เสริมทักษะเทคโนโลยีให้ครู ด้วยซอฟต์แวร์สร้างบทเรียนดิจิทัล ลดภาระงานเอกสาร เพื่อให้ครูมีเวลาสอนมากขึ้น

5. ยกระดับการสอนด้วยสื่อดิจิทัล ครอบคลุมสื่อ 3D, VR, Metaverse และส่งเสริม Active Learning และ Problem-Based Learning

6. อบรมครูอย่างต่อเนื่อง ด้วยหลักสูตร 500 หลักสูตรใน 5 ปี เน้น PBL และ Design Thinking พร้อมสนับสนุนการเรียนรู้แบบ Mentorship

7. พัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลและการสื่อสาร เชื่อมโยงครู นักเรียน และผู้ปกครอง พร้อมระบบติดตามผลสัมฤทธิ์อย่างมีประสิทธิภาพ

8. สนับสนุนการเรียนรู้เชิงโต้ตอบ ผ่านห้องสมุดดิจิทัลและแพลตฟอร์มคลังสื่อเพื่อเสริมประสบการณ์การเรียนรู้

9. ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ด้วย Project-Based Learning และ Microlearning ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เข้าถึงง่าย

10. จัดตั้งแพลตฟอร์มฝึกฝนออนไลน์แห่งชาติ รองรับนักเรียน 2 ล้านคน และใช้ AI วิเคราะห์จุดแข็ง-จุดอ่อนรายบุคคล

11. พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ ผ่านกิจกรรม English Day และใช้ AI วิเคราะห์จุดอ่อนด้านภาษา

12. เสริมทักษะแห่งอนาคต เช่น Coding, AI, Data Analysis และ Soft Skills พร้อมสนับสนุน Experiential Learning

13. เครือข่ายอาสาสมัครพัฒนาคนและครอบครัว (อพค.) เพื่อเป็น "ครูของชุมชน" สนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต

14. แพลตฟอร์มวางแผนชีวิต (LPP ID) ใช้ AI วิเคราะห์ศักยภาพ แนะนำเส้นทางอาชีพ และเชื่อมโยงเครือข่ายที่ปรึกษา

15. ปรับกระบวนทัศน์การพัฒนาคนแบบองค์รวม ครอบคลุมทั้งร่างกาย สมอง และจิตใจ เพื่อความสำเร็จที่ยั่งยืนของประเทศ

นายวิทยา กล่าวว่า การพัฒนาการศึกษาไทยไม่ใช่แค่ปรับโครงสร้างพื้นฐาน แต่ต้องเปลี่ยนแปลงแนวคิดและกระบวนการพัฒนาคนในทุกมิติ เริ่มจากบุคคลและครอบครัว ขยายผลสู่ชุมชนและสังคม เพื่อสร้างโอกาสที่เท่าเทียมและความสำเร็จที่แท้จริงของประเทศ

สนทนากับ 3 เยาวชน ผู้ใช้คลังความรู้ “ทรูปลูกปัญญา” เป็นดาวเหนือพิชิตฝันทางการศึกษา

“การศึกษา” ถือเป็นเครื่องมือสำคัญแห่งการพัฒนาความเจริญก้าวหน้าให้แก่ปัจเจกบุคคล สังคม และประเทศชาติ ทว่า การจัดการระบบการศึกษาให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมทั้งในแง่ปริมาณและคุณภาพ จำต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณ บุคลากร เวลา และเทคโนโลยี ด้วยตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาต่อความเจริญก้าวหน้าของชาติ ทรู คอร์ปอเรชั่น จึงได้ก่อตั้งโครงการ “ทรูปลูกปัญญา” เพื่อร่วมพัฒนาและขยายโอกาสทางการศึกษาด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งปัจจุบัน ดำเนินงานเข้าสู่ปีที่ 17 

เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 68 True Blog ได้มีโอกาสพูดคุยกับน้องๆ เยาวชนวัยเรียน 3 คนที่มีภูมิหลังทางการศึกษาที่แตกต่างกัน แต่ทั้ง 3 ได้ใช้คลังความรู้ “ทรูปลูกปัญญา” ส่องสว่างเส้นทางการศึกษา

เสาหลักภายใต้ห้วงการเปลี่ยนผ่าน
 
จ๊ะจ๋า - จิณณาภา ญานะ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกว่า เธอเป็นเด็กที่เติบโตมาจากการศึกษา 2 ระบบ โดยเข้ารับการศึกษาระบบโรงเรียนในระดับประถมศึกษา ต่อมาเธอตัดสินใจเข้ารับการศึกษาในระบบโฮมสกูล (Home School) ซึ่งเป็นการศึกษาในระบบรูปแบบหนึ่งตาม พรบ. การศึกษา พ.ศ. 2545 มาตรา 12 ที่ให้สิทธิบุคคลหรือหน่วยงานในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทั้งนี้ ในกรณีโฮมสกูลนั้น จะใช้บ้านเป็นฐานการเรียนรู้ มีการจัดแผนการเรียนโดยอิงจากความสนใจของผู้เรียนเป็นหลัก ภายใต้คำแนะนำของศึกษานิเทศก์
 
“ในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างประถมสู่มัธยม พี่ชายจ๊ะจ๋ามีความสนใจด้านคอมพิวเตอร์มาก และกำลังมองหาระบบการศึกษาที่เอื้อต่อความสนใจของเขา แม้ตอนนั้น หนูจะเด็กมาก แต่ก็รู้สึกว่าโลกนอกตำรายังมีสิ่งน่าสนใจอีกมาก หนูจึงตัดสินใจย้ายมาระบบโฮมสกูลเช่นกัน” จิณณาภา เล่าถึงภูมิหลังทางการศึกษา
 

ในห้วงแห่งเปลี่ยนผ่านนั้น เธอยอมรับว่า เธอเองก็เผชิญกับความยากลำบากด้านการจัดการหลักสูตร เนื่องจากยังไม่ค้นพบแนวทางการเรียนรู้ของตนเอง แม้ระบบโฮมสกูลจะให้อิสระและความยืนหยุ่นแก่ผู้เรียน ทั้งในแง่หัวข้อและเวลา แต่ขณะเดียวกัน ผู้เรียนจะต้องมีความรับผิดชอบต่อตัวเองอย่างมากเฉกเช่นเดียวกับผู้ใหญ่คนหนึ่ง เพราะด้วยแนวคิดและวิธีการของระบบโฮมสกูล ผู้เรียนคือ เจ้าของการเรียนรู้ที่แท้จริง ด้วยเหตุนี้ คุณแม่ผู้เคยทำหน้าที่ครูในระบบโรงเรียนมาก่อน จึงแนะนำเว็บไซต์ https://www.trueplookpanya.com/ ให้เป็นทางออก
 
“เพราะแต่ละเทอม หนูจะต้องรวบรวมผลงานส่ง สนข. พื้นที่การศึกษาเพื่อเทียบเคียงวุฒิฯ กับหลักสูตรแกนกลาง และด้วยทรูปลูกปัญญานี้เอง ทำให้หนูจับหลักหาแนวทางของตัวเองได้” เธอกล่าวและเสริมว่า “นอกจากการสอนที่มีคุณภาพจากคุณครูที่ช่วยให้เราเห็นการเชื่อมโยงกับบริบททางสังคมในโลกแห่งความจริงได้แล้ว ช่วงท้ายของวิดีโอยังมีการสรุปบทเรียนออกมาเป็นประเด็นๆ ทั้งยังสามารถพิมพ์ออกมาให้เราเทคโน้ต ที่สำคัญ ยังมีใบงานที่ทำให้เราได้ทบทวนความเข้าใจของบทเรียน ใช้เป็นร่องรอยหลักฐานส่ง สนข. พื้นที่การศึกษาได้เลย”
 
เป็นระยะเวลาราว 7 ปีกับห้องเรียนอันกว้างใหญ่ จิณณาภาได้ศึกษาเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวตามความถนัด ด้วยกระบวนการเรียนรู้อันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการฟอร์มทีมแข่งขันประกวดสื่อสร้างสรรค์ การนำเสนอแผนโครงการแอปพลิเคชันเกม ตลอดจนงานอดิเรกอย่างงานเย็บปักถักร้อย
 
“โฮมสกูลทำให้หนูได้มีโอกาสทดลองเรียนรู้ในศาสตร์ต่างๆ ที่ไม่จำกัดด้วยกรอบของหลักสูตรฯ เท่านั้น เพราะโลกคือห้องเรียน” จิณณาภา กล่าว
 
ภายหลังสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาในระบบโฮมสกูล จิณณาภาเลือกกลับเข้าสู่ระบบการศึกษากระแสหลักอีกครั้ง โดยได้รับคัดเลือกเข้าศึกษาคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เพราะด้วยหลักสูตรที่มีความเป็นสหวิชา กอปรกับนิสัยรักการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และชื่นชอบการทำงานทางความคิดของเธอ ทำให้เธอตกผลึกทางความคิดต่อประเด็นด้านการศึกษาว่า
 
“การศึกษาคือ เครื่องมือในการพัฒนาตัวเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้น การศึกษาที่มีคุณภาพ จึงควรเป็นเครื่องมือที่ให้ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะอยู่ในการศึกษาระบบไหน ซึ่งรวมถึงผู้ที่ไม่เข้าถึงการศึกษาด้วยเช่นกัน ซึ่งทรูปลูกปัญญาได้ทำหน้าที่นั้นอย่างแท้จริง กล่าวคือ การทำหน้าที่เป็นคลังความรู้ให้ทุกคนได้เข้าถึงการเรียนการสอนที่มีคุณภาพและมาตรฐาน ทั้งยังตอบโจทย์การเรียนรู้ของผู้เรียนที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นคนชอบสรุป คนชอบเนื้อหาเชิงลึก รวมถึงความยืดหยุ่น ที่ทำให้เราเรียนที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้” จิณณาภา กล่าว
 
ค้นหาแรงบันดาลใจ-ความถนัดทางการศึกษา
 

ไปรท์ - วราเทพ ชื่นตา นิสิตชั้นปีที่ ๅ คณะครุศาสตร์ สาขาประถมศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า เขาเป็นหนึ่งในผลผลิตทางการศึกษาจากค่านิยมของสังคม กล่าวคือ สังคมไทยโดยผู้ใหญ่รุ่นพ่อรุ่นแม่มักมีมายาคติ “เรียนเผื่อเลือก” รวมถึงการเหมารวม (Stereotype) ของการศึกษา ทำให้เกิดค่านิยมเลือกแผนการเรียนสายวิทย์-คณิตในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายอย่างกว้างขวาง แม้เด็กบางคน จะยอมรับว่าชื่นชอบหลักวิชาทางสังคมศาสตร์มากกว่า นำมาสู่ปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบการศึกษาที่จำกัดกรอบการเรียนรู้ของผู้เรียน


 
“จริงๆ แล้ว ผมชอบวิชาสังคมศึกษา เพราะมันทำให้ฝึกการคิดวิเคราะห์ การคิดเชิงตรรกะ และการเชื่อมโยงของปัจจัยต่างๆ ต่อปรากฏการณ์สังคม แต่ด้วยค่านิยมทางการศึกษาและคำชี้แนะกึ่งบังคับของผู้ใหญ่ จึงเลือกเรียนสายวิทย์-คณิต ซึ่งพอเจอวิชาคำนวณอย่างฟิสิกส์ เคมีเข้าไป ผมทิ้งเลย ขมขื่นมากๆ ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าผมไม่ชอบการคำนวณ” วราเทพ บอกเล่าถึงประสบการณ์การเรียน
 
แต่เมื่อเลือกแล้ว เขาจึงเดินหน้าต่อ โฟกัสและหาเป้าหมายต่อไปในสายวิชาที่ชื่นชอบ ภายหลังพิจารณาอย่างถี่ถ้วน หนึ่งในคณะที่วาดฝันไว้จึงเป็นคณะครุศาสตร์ ทว่า การสมัครเข้าคัดเลือกในคณะดังกล่าว จำเป็นต้องใช้คะแนนวิชาความถนัดครู (TPAT5) วราเทพจึงหาวิถีทางในการเตรียมสอบฯ โดยรบกวนผู้ปกครองให้น้อยที่สุด นั่นจึงทำให้เขาพบกับคลังความรู้ “ทรูปลูกปัญญา” ภายในเว็บไซต์มีคลังข้อสอบ และแบบทดสอบจำลองเสมือนจริง ทำให้เขา “เข้าใจ” ถึงหลักคิด และ “จับทาง” บททดสอบ ตั้งแต่ระดับความยากง่าย ประเด็นที่ทดสอบ รวมถึงจุดเแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง เพื่อชี้ให้เห็นแนวทางการศึกษาเพิ่มเติมในอนาคต
 

ขณะเดียวกัน วราเทพยังได้ใช้สื่อการเรียนการสอนทั้งในรูปแบบ digital book และวิดีโอในคลังบทเรียน เพื่อทบทวนบทเรียนจากโรงเรียน รวมถึงค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับทำการบ้านและรายงานส่งอาจารย์ โดยเฉพาะวิชาโปรดอย่างภาษาไทยและสังคมศึกษา จนทำให้เขาได้รับการคัดเลือกเข้าศึกษาในคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
 
“ผมมองว่า การศึกษาคือ การเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุด อันเป็นวิถีแห่งการพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถของผู้เรียนให้ก้าวไปอีกขั้น โดยมีพื้นฐานจากความกระหายใคร่รู้ ไม่ใช่เพื่อตัวเลขบนข้อสอบ ซึ่งคลังความรู้อย่างทรูปลูกปัญญา ถือเป็นอีกหนึ่งแพลทฟอร์มสำหรับการเริ่มต้น เพื่อค้นหาความถนัดของตัวเอง” วราเทพ กล่าว
 
ตั้งเป้าหมาย-ค้นหาตัวเอง
 
วี - ศิวัช สุชาครีส์
 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สายวิทย์-คณิต โรงเรียนเทพศิรินทร์ นนทบุรี ให้ความเห็นว่า เขาและเพื่อนวัยเรียนต่างเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า เนื้อหาที่บรรจุในหลักสูตรการศึกษาภาคบังคับนั้นมีปริมาณมากเกินไป ทั้งแนวกว้างและแนวดิ่ง โดยมองข้ามมิติด้านความถนัดไป อย่างไรก็ตาม เขามองว่า ปริมาณและความหลากหลายของเนื้อหาวิชานั้นถือเป็นสิ่งที่ดี แต่ควรปรับรูปแบบจากภาคบังคับเป็นลักษณะ “ตลาดวิชา” ให้ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนตามความถนัดหรือความสนใจของแต่ละคนได้เอง การ จากสภาวะทางการศึกษาดังกล่าว ทำให้ผู้เรียนจำนวนไม่น้อยในปัจจุบันอยู่ในภาวะเครียดสะสม


 
“ผมว่าการศึกษาในระบบโรงเรียนยังไม่ตอบโจทย์ผู้เรียนมากพอในยุคที่ข้อมูลความรู้อยู่รอบตัว การเรียนการสอนยังเป็นลักษณะท่องจำมากกว่าเข้าใจ” วี กล่าว
 
ทั้งนี้ การสอบเเข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยนับเป็นอีกหนึ่ง “จุดเปลี่ยน” ของชีวิต ที่ทำให้หลายคนฟันฝ่า มุ่งมั่น ทุ่มแรงกายแรงใจ เพื่อพิชิตคณะที่ต้องการ บ้างเลือกตามความสนใจ บ้างเลือกตามความถนัด และบ้างก็เลือกตามค่านิยมของสังคม หรือความต้องการของตลาดแรงงาน สิ่งเหล่านี้ สะท้อนถึง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ของปัญหาในระบบการศึกษาไทย
 
ด้วยเหตุนี้ วี จึงมองหา “ตัวช่วย” นำทาง พาให้เขาไปถึงฝั่งฝันทางการศึกษาและอาชีพการงาน โดยเขาได้ใช้ Plook Explorer ระบบที่ช่วยให้ทุกคนรู้จักตัวตนมากขึ้น และค้นพบตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีกว่า บนเว็บไซต์ https://www.trueplookpanya.com/ เพื่อทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ข้อดีข้อเสียของแต่ละสาขาอาชีพ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเลือกคณะหลักและสำรองทั้ง 10 อันดับของ TCAS นอกจากนี้ วียังได้ค้นคว้าเจาะลึกถึงการเตรียมพร้อมการประกอบอาชีพวิศวกรผ่านคู่มือ เอื้ออำนวยต่อการวางแผน กิจกรรม ทักษะและสิ่งที่ต้องเตรียมก่อนการสมัครรอบต่างๆ ฯลฯ


 
“ผมมองว่าการศึกษา คือ การเรียนรู้ที่ไม่มีพรมแดน ศาสตร์ทุกศาสตร์ล้วนมีความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกันทั้งสิ้น ขอเพียงแต่มีความกระหายใคร่รู้อยู่เสมอ” วี กล่าวทิ้งท้าย