ทรูฯ ส่งมอบ "โน้ตบุ๊ก" หนุนการศึกษา พัฒนาอาชีพคนพิการยุคดิจิทัล วิทยาลัยเทคโนโลยีพระมหาไถ่ หนองคาย

เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญในการส่งเสริมให้คนพิการได้ฝึกอาชีพและเรียนรู้ได้อย่างเท่าเทียมในโลกยุคดิจิทัล

เมื่อวันที่ 31 ม.ค.68 บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น โดย นายอรรถ อรุณรัตนพงษ์ หัวหน้าสายงานบริหารจัดการระดับภูมิภาค (ตะวันออกเฉียงเหนือ 1) มอบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก จำนวน 10 เครื่อง  ให้แก่วิทยาลัยเทคโนโลยีพระมหาไถ่ หนองคาย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยมีนายชิด สุขหนู ผู้อำนวยการ เป็นตัวแทนรับมอบ

ทั้งนี้เพื่อนำไปใช้ในการส่งเสริมการเรียนรู้และการฝึกอาชีพคนพิการของวิทยาลัยฯ ซึ่งได้จัดการเรียนการสอนโดยไม่มีค่าใช้จ่ายให้แก่คนพิการในระดับหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) สาขาวิชาเทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล หลักสูตรการศึกษาชั้นพื้นฐาน และหลักสูตรระยะสั้น (คอมพิวเตอร์สำนักงาน)  นับเป็นความร่วมมือในการขยายโอกาสทางการศึกษา สร้างอาชีพให้คนพิการได้สามารถเลี้ยงครอบครัวและอยู่ในสังคมได้อย่างภูมิใจ

การสนับสนุนคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กครั้งนี้ สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของทรู คอร์ปอเรชั่น เทคคอมปานีไทย ที่เล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาและต้องการให้โอกาสคนในสังคม รวมถึงกลุ่มคนเปราะบางเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างเท่าเทียมและเติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน  

ทรู ร่วมกับมูลนิธิสานอนาคตการศึกษาฯ หนุนการศึกษายุคดิจิทัล ส่งมอบโน้ตบุ๊กแก่ศธ. เพิ่มความรู้เยาวชนในรร.สังกัดสพฐ.

กระทรวงศึกษาธิการ รับมอบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กสภาพดีพร้อมใช้งาน จำนวน 46 เครื่อง ซึ่งบมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น และมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี มอบให้แก่โรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ หนึ่งในสถาบันการศึกษาที่เปิดการเรียนการสอนให้แก่กลุ่มนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ซึ่งในโอกาสนี้ ดร.เนตรชนก วิภาตะศิลปิน หัวหน้าสายงานกลยุทธ์องค์กรและด้านการศึกษา บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น / กรรมการและเลขานุการ มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี ได้เป็นตัวแทนส่งมอบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กดังกล่าว โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการ คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ดร.ปนัดดา วงค์จันตา ผู้อำนวยการโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ พร้อมด้วยคณะครูและนักเรียน ร่วมเป็นสักขีพยาน ทั้งนี้ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น และมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี ยังจะมีแผนที่จะส่งมอบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กมือสองเพิ่มเติมอีก 100 เครื่อง ให้แก่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้นำไปจัดสรรให้แก่โรงเรียนในสังกัดสพฐ.ที่ขาดแคลนทั่วประเทศ เพื่อให้นักเรียนได้เข้าถึงแหล่งข้อมูล นำความรู้จากการใช้เทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตลอดจนส่งเสริมให้มีทักษะรักการเรียนรู้ตลอดชีวิต

พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการมุ่งมั่นดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อขับเคลื่อนแนวคิด “เรียนดี มีความสุข” ส่งเสริมการเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา สร้างสังคมการเรียนรู้ตลอดชีวิตและลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ซึ่งการมีเครื่องมือเรียนรู้ที่มีคุณภาพผ่านระบบเทคโนโลยีดิจิทัล จะช่วยเสริมสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืนให้แก่นักเรียน นับเป็นโอกาสอันดีที่โรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ ซึ่งเป็นโรงเรียนสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ได้รับการสนับสนุนในครั้งนี้ โดยที่ผ่านมา กระทรวงฯ ได้ร่วมกับภาคเอกชนและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดการเรียนรู้ให้แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 - 3 ขณะที่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 – 6 ยังมีความจำเป็นที่ต้องใช้อุปกรณ์ไอซีที นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่ทรู คอร์ปอเรชั่น และมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี ได้มอบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กมือสองพร้อมใช้งาน เพื่อช่วยส่งเสริมการเรียนการสอนของนักเรียนระดับชั้นมัธยมปลาย ซึ่งจะมีส่วนช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษาให้ดียิ่งขึ้น และนอกจากโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ ที่ได้รับมอบคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊กในครั้งนี้แล้ว ยังมีแผนที่จะขยายโอกาสไปยังโรงเรียนที่มีการเรียนการสอนในลักษณะเดียวกัน ซึ่งเชื่อว่าความร่วมมือในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการศึกษาของเด็กไทย

ดร.เนตรชนก วิภาตะศิลปิน หัวหน้าสายงานกลยุทธ์องค์กรและด้านการศึกษา บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น / กรรมการและเลขานุการ มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี กล่าวว่า ทรู คอร์ปอเรชั่น เทคคอมปานีของไทย และหนึ่งในผู้ก่อตั้งมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี มีความมุ่งมั่นที่จะร่วมขับเคลื่อนและส่งเสริมการศึกษาของเยาวชนไทยอย่างยั่งยืน ด้วยเชื่อว่าเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่ 5 การเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของสถานศึกษา (Digital Infrastructures) ของมูลนิธิฯ จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยเปิดโอกาสให้เด็กไทยเข้าถึงองค์ความรู้ พัฒนาทักษะและศักยภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งภายใต้ความร่วมมือของทรู และมูลนิธิฯ ในครั้งนี้ เบื้องต้นได้ร่วมสนับสนุนคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กมือสองสภาพดีพร้อมใช้งานจำนวน 46 เครื่องให้แก่โรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ ซึ่งเป็นโรงเรียนสำหรับกลุ่มนักเรียนเปราะบาง และยังมีแผนที่จะส่งมอบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กอีก 100 เครื่องให้แก่กระทรวงศึกษาธิการเพื่อนำไปกระจายให้แก่โรงเรียนในสังกัดสพฐ.ที่ขาดแคลนอีกด้วย สอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนองค์กรของทรูในการสร้างสังคมดิจิทัลสำหรับทุกคน หรือ Digital Inclusion โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนให้ได้มีโอกาสพัฒนาศักยภาพในทุกมิติ เพื่อเป็นกำลังสำคัญของประเทศต่อไป

ปชป. เปิดโครงการ "พระแม่พาติว" สร้างโอกาส เพิ่มโอกาส ให้โอกาส ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

“เฉลิมชัย” เปิดโครงการ “พระแม่พาติว” นำประชาธิปัตย์เป็นผู้ “สร้างโอกาส เพิ่มโอกาส ให้โอกาส” ย้ำเจตนารมณ์ “ปชป.” ให้ความสำคัญการศึกษา ไม่สร้างภาพ ไม่ทำเพื่อหาเสียง แต่แสดงจุดยืนและหลักการ 

วันที่ 15 ต.ค.67 เมื่อเวลา 9.00 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ผศ.ดร.เจนจิรา รัตนเพียร โฆษกพรรค ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการจัดโครงการ “พระแม่พาติว” ว่า ด้วยความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่ยังคงมีอยู่ บางพื้นที่ไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาได้ พรรคประชาธิปัตย์จึงทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนการศึกษา และเป็นตัวกลางเพื่อให้นักเรียนได้เข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียม ที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคที่ให้ความสำคัญและสนับสนุนโครงการด้านการศึกษามาโดยตลอด อาทิ โครงการกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา โครงการนม รร. โครงการอาหารกลางวัน และอื่นๆ อีกมากมาย 

จึงได้จัดโครงการ “พระแม่พาติว” ขึ้น เพื่อให้นักเรียนจากทั่วประเทศสามารถเข้าร่วมติวสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ผ่านทางระบบ Online และ Onsite ในพื้นที่ที่พรรคมีความพร้อมทั่วประเทศ เมื่อจบโครงการแล้วผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับประกาศนียบัตรสำหรับนำไปประกอบการทำ Portfolio อีกด้วย พร้อมกันนี้ขอขอบคุณ ผศ. ดร.กฤษฏา อัศวสกุลเกียรติ รองคณบดีฝ่ายบริการวิชาการและนโยบายชี้นำสังคม และที่ปรึกษาโครงการพระแม่พาติว ที่ช่วยประสานงานติวเตอร์ มาให้ความรู้น้องๆ ในครั้งนี้ด้วย

จากนั้น ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้มาเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ “พระแม่พาติว” โดยได้กล่าวช่วงหนึ่งว่า การลงทุนทางการศึกษาจะเป็นการให้สมบัติที่มีค่าที่สุดกับลูกหลาน กับเยาวชนของเรา โครงการพระแม่พาติว เป็นโครงการที่ 1. “สร้างโอกาส” ให้กับเยาวชนให้ได้มาพบกับติวเตอร์ เพราะเพียงเด็กได้พบกับติวเตอร์ก็มีแรงบันดาลใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่วิเศษและมีคุณค่า 2. “เพิ่มโอกาส” ต้องยอมรับว่าวันนี้การศึกษายังไม่มีความเท่าเทียมกันทั้งประเทศ ยังมีเด็ก เยาวชนจำนวนหนึ่งที่สามารถเข้าถึงการศึกษาได้ทุกรูปแบบ และมีเด็กอีกจำนวนหนึ่งที่เข้าไม่ถึงการศึกษาเลยสักรูปแบบ ซึ่งในการเข้าถึงโอกาสแต่ละอย่างล้วนมีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น โครงการนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งของลดค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันอีกด้วย ทั้งยังเป็นอีก 1 ทางเลือกในการเพิ่มโอกาสให้กับเด็กและเยาวชน 3. “ให้โอกาส” ทางการศึกษา ซึ่งโครงการมีรูปแบบเพื่อเข้ารับการติวเข้ามหาวิทยาลัยที่เปิดกว้าง ทั้งแบบ Online ทั้ง Onsite 

“เราสร้างโอกาส เราเพิ่มโอกาส และเราให้โอกาส ผมได้ปรึกษาเตรียมงานกับ ดร.เจนจิรา มาประมาณ 3-4 เดือน เพราะเขาอยู่ในวงการศึกษา ให้เด็กๆ เยาวชน คนรุ่นหลังเขาแสดง ให้อิสระอย่างเต็มที่ และให้ไปคุยกับติวเตอร์ คุยกับอาจารย์ สถาบันอุดมศึกษาต่างๆ ว่า วันนี้ความตั้งใจของพรรคประชาธิปัตย์จริงๆ ไม่มีการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้อง เราต้องการสร้างจริงๆ และการสร้างที่ดีที่สุดก็คือการสร้างอนาคตให้กับเด็กและเยาวชนของเรา” ดร.เฉลิมชัย กล่าว

เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ ได้สร้างโอกาส เพิ่มโอกาส และให้โอกาส กับเด็ก เยาวชนแล้ว จึงอยากขอให้เด็ก และเยาวชนทุกคนคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ได้ โดยเชื่อว่าผลที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้จะเป็นคำตอบให้กับโครงการพระแม่พาติว แต่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่ได้รับความร่วมมือทั้งจากติวเตอร์ อาจารย์ สถาบันการศึกษาทุกแห่ง ตลอดจนพ่อแม่ ผู้ปกครอง และตัวเด็กเอง เพราะทั้งหมดคือหัวใจของโครงการ “พระแม่พาติว” ขอให้พวกเราเดินไปด้วยกัน เดินไปพร้อมๆ กัน 

ทั้งนี้ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ย้ำในตอนท้ายว่า โครงการ “พระแม่พาติว” ถือเป็นการนับหนึ่งครั้งแรก และขอให้มั่นใจว่าจะมีครั้งที่ 2 – 3 – 4 ต่อไป เพื่อเป็นการแสดงเจตนารมณ์ที่ชัดเจนว่า พรรคฯ ให้ความสำคัญกับการศึกษาอย่างแท้จริง ไม่ได้สร้างภาพ ไม่ได้เป็นนักการเมืองที่มาทำเพื่อหาเสียง แต่ทำเพื่อแสดงจุดยืนและหลักการของเรา 

“สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตคนๆ หนึ่งนั้น ไม่ได้หมายถึงท่านเห็นโอกาส ไม่ได้หมายถึงมีคนให้โอกาส หรือไม่ได้หมายถึงท่านสร้างโอกาสขึ้น แต่ความสำเร็จจริงๆ อยู่ที่ว่าท่านคว้าโอกาสที่มาได้หรือไม่ เช่นเดียวกันวันนี้ผมอยากเห็นน้องๆ ที่เข้าร่วมโครงการได้คว้าโอกาสที่โครงการพระแม่พาติวได้สร้างให้กับพวกเราทุกคน” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว 

อนึ่งโครงการ “พระแม่พาติว” ที่พรรคประชาธิปัตย์จัดขึ้น เป็น 1 ในการนโยบายเพิ่มโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ให้กับเยาวชนที่เป็นนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 4 – 5 – 6 ทั่วทุกภาคของประเทศไทย ให้มีโอกาสอย่างเท่าเทียมในการเตรียมความพร้อมสำหรับการสอบ TGAT • TPAT และการทำ Portfolio เพื่อเข้าสู่มหาวิทยาลัยตามฝัน ที่จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 15-21 ตุลาคม 2567 ณ พรรคประชาธิปัตย์  สำนักงานใหญ่ ถนนพระราม 6 กรุงเทพฯ ทั้งในรูปแบบ online และ onsite ฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

โดยพิธีเปิดโครงการ “พระแม่พาติว” ในวันนี้ นอกจากมีผู้ปกครอง และเยาวชนที่สนใจเข้าร่วมติวสดแบบ Onsite ที่สำนักงานใหญ่พรรคประชาธิปัตย์แล้ว ยังมี กรรมการบริหาร สส. ตลอดจนอดีต สส. เข้าร่วมพิธีเปิดอย่างคับคั่ง อาทิ นายประมวล พงศ์ถาวราเดช นายไชยยศ จิรเมธากร นายสมบัติ ยะสินธุ์ ศ. ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายนริศ ขำนุรักษ์ นายนราพัฒน์ แก้วทอง นต.สุธรรม ระหงษ์ นายอลงกรณ์ พลบุตร นางเจิมมาศ จึงเลิศศิริ นายกุลเดช พัวพัฒนกุล นายเมฆินทร์ เอี่ยมสอาด นายธนิตพล ไชยนันทน์ นายชนินทร์ รุ่งแสง นายสราวุธ  อ่อนละมัย นางรัชฎาภรณ์  แก้วสนิท เป็นต้น 

เทศบาลนครเชียงราย จัดแข่งทักษะวิชาการและมหกรรมการศึกษาท้องถิ่น ครั้งที่ 13

เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2567 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ GMS เชียงราย (ศูนย์ประชุมนครเชียงราย อาคารเจียงแสน) ได้มีพิธีเปิดและเสวนาทางวิชาการ ในงานแข่งขันทักษะวิชาการและงานมหกรรมการจัดการศึกษาท้องถิ่น ระดับประเทศ "Smart & Good Happiness นครเชียงราย นครแห่งการศึกษา" ครั้งที่ 13 ประจำปี 2567 โดยมี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย ท่านสุรพล เจริญภูมิ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย, นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ขณะเดียวกันมี 3 นักกีฬาวอลเลย์บอลทีมชาติไทยนำโดย "จูน" อมรเทพ คนหาญ กัปตันทีมชายไทย, "แนน" ทัดดาว นึกแจ้ง บอลเร็วทีมสาวไทย และ "ชมพู่" พรพรรณ เกิดปราชญ์ มือเซตตัวเก่งทีมสาวไทย ร่วมกล่าวให้แนวคิด และสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เยาวชนผู้เข้าแข่งขันกว่า 3 หมื่นคน ท่ามกลางบรรยากาศงานสุดคึกคัก และจัดยิ่งใหญ่สมกับเป็นงานระดับประเทศ ในระหว่างวันที่ 2-5 กันยายน 2567

ภายในงาน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ได้เยี่ยมชมนิทรรศการแสดงผลงานทางวิชาการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และชมการแสดงขับร้องเพลงประสานเสียงเฉลิมพระเกียรติฯ เพลง The Light of Love ตามด้วยขบวน "นบไหว้สาสักก๋าระปูจาผญามังราย" เข้าสู่บริเวณพิธีเปิด และการแสดงชุด "นครเชียงราย นครแห่งการศึกษา" จากนั้น นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ มอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้แก่เจ้าภาพ, อปท., หน่วยงานที่เข้าร่วมจัดนิทรรศการแสดงผลงานทางวิชาการ และหน่วยงานที่ร่วมสนับสนุนการจัดงานแข่งขันทักษะวิชาการและงานมหกรรมการจัดการศึกษาท้องถิ่น ระดับประเทศ ครั้งที่ 13 ประจำปี 2567

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าว การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในท้องถิ่นด้วยการส่งเสริมให้มีการจัดการศึกษาอบรมฝึกฝนอาชีพให้แก่เด็กเยาวชนและประชาชน  ได้รับการพัฒนาให้เต็มศักยภาพ ถือเป็นการวางรากฐานที่ดีแก่ประชาชนในอนาคต การจัดการแข่งขันทักษะวิชาการและงานมหกรรมการจัดการศึกษาท้องถิ่น จึงเป็นกิจกรรมที่ดี เพื่อเป็นการกระตุ้นให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้เห็นถึงความสำคัญของการจัดการศึกษา และเร่งพัฒนาศักยภาพ  ขีดความสามารถให้มีคุณภาพมากขึ้น อันจะส่งผลให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับการพัฒนาด้านการจัดการศึกษา ให้มีคุณภาพ เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ประสบการณ์ในการจัดการศึกษา สร้างการรวมพลังขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ จากการจัดกิจกรรมการแข่งขันทักษะทางวิชาการ การแสดงผลงานทางวิชาการ ซึ่งถือเป็นกิจกรรมสำคัญที่จะแสดงให้เห็นว่า การจัดการศึกษาท้องถิ่นมีความพร้อม มีการดำเนินงานอย่างมีคุณภาพได้มาตรฐาน บุคลากรดำเนินงานอย่างมีพัฒนาการ นักเรียนประสบผลสำเร็จในการเรียนและการใช้ชีวิต 

“ขอให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมทุกคนนำความรู้และแสดงความสามารถอย่างเต็มศักยภาพ เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดบนพื้นฐานของการแข่งขัน  การน้ำใจ รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย และกล้าแสดงออกในทางสร้างสรรค์ ขอให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายร่วมแรงร่วมใจกันให้การจัดงานในครั้งนี้  เป็นไปด้วยความเรียบร้อยบรรลุตามจุดประสงค์ของการจัดงาน ให้เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์  ยุติธรรม และความสมานฉันท์ทุกฝ่าย เพื่อสร้างมาตรฐานที่ดีมีคุณภาพ และความเป็นหนึ่งใจเดียวกันขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น”

นายพุฒิพงศ์  ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า การแข่งขันทักษะวิชาการ และงานมหกรรมการจัดการศึกษาท้องถิ่น เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ช่วยให้ระบบการจัดการศึกษาท้องถิ่นได้รับการพัฒนา เพื่อเปิดโอกาสให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่มีการจัดการศึกษาระดับปฐมวัย, ขั้นพื้นฐาน  และอาชีวศึกษา ได้พัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถของตนเอง ส่งผลให้ผู้บริหารสถานศึกษา ครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียนได้พัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ การส่งเสริมผู้เรียนที่สำคัญ คือการส่งเสริมให้ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มตามศักยภาพ อีกทั้งการจัดระบบการศึกษาที่ดี จะสามารถสร้างคน  สร้างชุมชนและสร้างชาติได้อย่างแท้จริง 

“จังหวัดเชียงราย ขอขอบคุณเทศบาลนครเชียงรายที่เป็นกำลังสำคัญในการ ส่งเสริมและสนับสนุน ในด้านการจัดการศึกษาท้องถิ่น และเป็นเจ้าภาพในการ จัดงานแข่งขันทักษะวิชาการ และงานมหกรรมการจัดการศึกษาท้องถิ่น ระดับประเทศในครั้งนี้ และขอให้ผู้เข้าร่วมงานทุกท่านที่เข้ามาเยือนจังหวัดเชียงรายได้พบกับความสุข ความปิติยินดีและประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้”

นายวันชัย จงสุทธานามณี  นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวว่า เทศบาลนครเชียงราย ได้รับเกียรติจากกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ให้เป็นเจ้าภาพผู้ดำเนินการจัดการแข่งขันทักษะวิชาการและงานมหกรรมการจัดการศึกษาท้องถิ่น ระดับประเทศ ครั้งที่ 13 ประจำปี 2567 เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนและครูในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้มีโอกาสแสดงความรู้ ความสามารถทางวิชาการที่สร้างสรรค์ ด้วยการเข้าร่วมการแข่งขันทักษะวิชาการ ระดับภาค และระดับประเทศ เพื่อประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ผลงานทางการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งการศึกษาระดับปฐมวัย, ขั้นพื้นฐาน, อาชีวศึกษา และภูมิปัญญาท้องถิ่น ให้ประชาชนโดยทั่วไปได้รับทราบถึงศักยภาพ และขีดความสามารถในการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเพื่อจัดประชุมทางวิชาการ ระดมสมอง กำหนดทิศทางการจัดการศึกษาท้องถิ่น ทั้งการศึกษาระดับปฐมวัย, ขั้นพื้นฐาน และอาชีวศึกษา เพื่อกระตุ้นให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพัฒนาศักยภาพ ในการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ในการจัดการศึกษา ระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยกัน

การแข่งขันทักษะวิชาการ และงานมหกรรมการจัดการศึกษาท้องถิ่น ครั้งที่ 13 ประจำปี 2567 กำหนดจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 2-5 กันยายน  2567 รวมทั้งสิ้น 4 วัน โดยมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่เป็นตัวแทนระดับภาค จำนวน 242 แห่ง  ประกอบด้วย ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  และกรุงเทพมหานคร โดยกำหนดจัดกิจกรรมการแข่งขันทักษะวิชาการ ระดับปฐมวัย ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน และระดับอาชีวศึกษา รวมรายการแข่งขัน  142 รายการ มีโรงเรียนเข้าร่วม จำนวน 543 แห่ง สนามแข่งขันจำนวน 10 แห่ง กิจกรรมการเสวนาทางวิชาการ จำนวน 2 วัน  กิจกรรมแสดงนิทรรศการทางวิชาการ จากตัวแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในแต่ะภาค และพิธีมอบโล่รางวัลสำหรับผู้ดูแลเด็กดีเด่น ประจำปี 2567

ในส่วนของการเสวนาทางวิชาการ ในวันที่ 2 กันยายน เวลา 11.00 น. รอบที่ 1 ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ "การศึกษากับการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น" โดยศาสตราจารย์ วุฒิสาร ตันไชย ผู้ทรงคุณวุฒิด้านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น, เวลา 13.00 น. รอบที่ 2 การเสวนาทางวิชาการ ความสำเร็จของเมืองแห่งการเรียนรู้ หัวข้อ "การออกแบบเพื่อการขับเคลื่อนเมืองแห่งการเรียนรู้ในประเทศไทย" โดยผู้แทนเมืองแห่งการเรียนรู้เทศบาลนครเชียงราย, เทศบาลนครภูเก็ต, เทศบาลเมืองร้อยเอ็ด และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปวีณา ลี้ตระกูล มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย

การเสวนาทางวิชาการ ในวันที่ 3 กันยายน เวลา 09.00 น. เป็นรอบที่ 3 หัวข้อ "ผู้เรียน ศูนย์กลางความสำเร็จทางการศึกษา" โดยศาสตราจารย์ นงเยาว์ เนาวรัตน์ ที่ปรึกษาศูนย์พหุวัฒนธรรมและนโยบายการศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, รองศาสตราจารย์ ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม รองผู้อำนวยการฝ่ายแผนและยุทธศาสตร์องค์กร หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.), นายประชวน เขื่อนเพชร ผู้อำนวยการสถานศึกษาโรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงราย, นางวิสา จรัลชวนะเพท ผู้อำนวยการสถานศึกษาโรงเรียนเทศบาลปลูกปัญญาในพระอุปถัมภ์ฯ จากนั้นเวลา 11.00 น. เริ่มการแข่งขันทักษะวิชาการตามตารางแข่งขัน

ถัดมาในวันที่ 5 กันยายน จะมีพิธีมอบโล่รางวัลครูและผู้ดูแลเด็กดีเด่น ประจำปี 2567 พร้อมด้วยการแสดงพิธีปิด จำนวน 2 ชุด ได้แก่ "จัยมังคละ ลวงเหล้นฟ้า นาคาอวยจัย" โดย เทศบาลนครเชียงราย และ "เสน่ห์ศิลป์ถิ่นสกลนคร" โดยเทศบาลนครสกลนคร ก่อนที่ นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ส่งมอบธงสัญลักษณ์ให้แก่ นายโกมุท ทีฆธนานนท์ นายกเทศมนตรีนครสกลนคร ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันระดับประเทศ ครั้งถัดไป ในปี พ.ศ.2568

สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ : https://chiangrai.vichakan.net/ และ Facebook Page : ทักษะวิชาการนครเชียงราย ครั้งที่ 13

ศธจ.พังงา ขับเคลื่อนการยกระดับคุณภาพการศึกษา และประสิทธิภาพการศึกษาจังหวัด

ศธจ.พังงา ขับเคลื่อนการยกระดับคุณภาพการศึกษา และประสิทธิภาพการศึกษาจังหวัด โดยผ่านกลไก กศจ.ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 กิจกรรมที่ 3 การประกวดโรงเรียนต้นแบบด้านสุนทรียศาสตร์

สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดพังงา จัดโครงการขับเคลื่อนการยกระดับคุณภาพการศึกษาและประสิทธิภาพการศึกษาจังหวัด โดยผ่านกลไก กศจ.ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 กิจกรรมที่ 3 การประกวดโรงเรียนต้นแบบด้านสุนทรียศาสตร์  โดยศึกษาธิการจังหวัดพังงา นายรุซลัญน์ เจ๊ะมิ เป็นประธานเปิดโครงการที่ห้องประชุมพิงกัน โรงแรมภูงา อำเภอเมือง จังหวัดพังงา  เมื่อเร็ว ๆ นี้

นางพิมพ์กุล ทัดแก้ว ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาการศึกษา กล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์ของการจัดโครงการในครั้งนี้ว่า เพื่อพัฒนาโรงเรียนต้นแบบ “ท้องถิ่นสุนทรียศึกษา” และเพื่อพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวทางการยกระดับคุณภาพการศึกษาให้มีคุณภาพเท่าเทียม และทั่วถึงสอดคล้องตามบริบทของจังหวัด

สำหรับกิจกรรมที่ 3 นี้ มีกลุ่มเป้าหมายคือโรงเรียนต้นแบบซึ่งดำเนินงานตามโครงการตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จำนวน 8 โรงเรียน จาก 8 อำเภอ ประกอบด้วยผู้บริหารสถานศึกษา ครู นักเรียน คณะทำงานรวม 68 คน สำหรับการจัดประกวดในวันนี้ได้รับความอนุเคราะห์จากผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย นายรุซลัญน์ เจ๊ะมิ ศึกษาธิการจังหวัดพังงา ดร.จุมพล ทองตัน นางอวยพร อร่าม นางฉวี ณ ตะกั่วทุ่ง และนายเอิบ อร่าม ให้เกียรติเป็นคณะกรรมการตัดสินการประกวดในครั้งนี้

ศึกษาธิการนราฯ ขับเคลื่อนกิจกรรมจุดประกายการเปลี่ยนแปลงนวัตกรรมการศึกษามะนารอ

ศึกษาธิการนราฯขับเคลื่อนกิจกรรมจุดประกายการเปลี่ยนแปลงนวัตกรรมการศึกษามะนารอ มุ่งเน้นการใช้พื้นที่ระดับจังหวัดเป็นพื้นที่นำร่องในการสร้างนวัตกรรมจัดการศึกษาแบบใหม่

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 29 กรกฎาคม 2567 ที่ห้องประชุมกระจาดวิทยาลับชุมชนนราธิวาส ตำบลลำภู อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส นายฉัตรชัย อุสาหะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมจุดประกายการเปลี่ยนแปลงนวัตกรรมการศึกษามะนารอ โดยมีดร.พิทักษ์ โสตถยาคม ผอ.สำนักงานบริหารพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา สพฐ.อาจารย์บุญเยี่ยม เหลาสะอาด ผอ.ฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม เพื่อการพัฒนาเมืองน่าอยู่ ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ ผอ. กรอบการวิจัยการพัฒนาพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ดร.ชาร์ริฟท์ สือนิ ศึกษาธิการจังหวัดนราธิวาส  ผู้บริหารหน่วยงานสถานศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา คณาจารย์ คณะครู ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้

ทั้งนี้สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนราธิวาสได้ดำเนินโครงการ“การพัฒนากลไกเครือข่ายความร่วมมือของทุกภาคส่วนอย่างยั่งยืนเพื่อขับ เคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาที่หนุนเสริมยุทธศาสตร์การศึกษาสู่ การพัฒนาคุณภาพครูและคุณภาพผู้เรียนจังหวัดนราธิวาส” โดยเป็นการวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา มหาวิทยาลัยฟาฏอนี สถาบันอาศรมศิลป์และมูลนิธิรุ่งอรุณ เป็นการดำเนินงานตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 มุ่งเน้นการใช้พื้นที่ระดับจังหวัดเป็นพื้นที่นำร่องในการสร้างนวัตกรรมจัดการศึกษาแบบใหม่ เพื่อการปฏิรูปการศึกษาของประเทศไทย ซึ่งการดำเนินโครงการนี้เพื่อพัฒนาระบบกลไกเครือข่ายความร่วมมือของทุกภาคส่วน อย่างยั่งยืนและระบบกลไกการกำกับติดตามความก้าวหน้า เพื่อขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาอย่างยั่งยืน เพื่อพัฒนาระบบกลไกการติดตามความก้าวหน้าในการขับ เคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาอย่างมีส่วนร่วม เพื่อพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ภาษาไทย วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และอิสลามศึกษาในการยกระดับการเรียนรู้ ความฉลาดรู้ และสมดุลชีวิตของครูและผู้เรียน เพื่อพัฒนาระบบดิจิทัลแพลตฟอร์มสำหรับใช้ในการเรียนรู้และการโค้ชสร้างโอกาสในการเข้าถึงติดตามขยายผล สร้างวัฒนธรรมการปฏิบัติชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพอย่างมีรูปแบบอย่างต่อเนื่อง และการจัดการความรู้และสรุปองค์ความรู้ในการดำเนินงานไปสู่การพัฒนาและขยายผล ตลอดจนข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพิ่มความอิสระ ความคล่องตัวและลดความเหลื่อมล้ำสู่การขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา

สำหรับการจัดกิจกรรม“จุดประกายการเปลี่ยนแปลงนวัตกรรมการศึกษามะนารอ” ในวันนี้เป็นกิจกรรมหนึ่งในโครงการวิจัย “การพัฒนากลไกเครือข่ายความร่วมมือของทุกภาคส่วนอย่างยั่งยืน เพื่อขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาที่หนุนเสริมยุทธศาสตร์การศึกษาสู่การพัฒนาคุณภาพครูและคุณภาพผู้เรียนจังหวัดนราธิวาส ”ตามนโยบายของพลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ “เรียนดี มีความสุข” ทำดี ทำได้ ทำทันที และจับมือไว้แล้วไปด้วยกัน

ด้านนายฉัตรชัย อุสาหะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส กล่าวว่ากิจกรรม"จุดประกายการเปลี่ยนแปลงนวัตกรรมการศึกษามะนารอ"มีวัตถุประสงค์เพื่อการแลกเปลี่ยนความรู้และ ประสบการณ์ การแสดงผลงานนวัตกรรมการศึกษา ส่งเสริมความเข้าใจและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ตลอดจนการสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาและขับเคลื่อนการจัดการศึกษาในจังหวัดนราธิวาส ซึ่งการจัดกิจกรรมจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างและสะท้อนคุณภาพการจัดการศึกษาของจังหวัดนราธิวาส พร้อมทั้งเป็นภาพสะท้อนของความเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่การพัฒนาการศึกษาในระดับจังหวัดและระดับชาติอย่างยั่งยืน ซึ่งการศึกษามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาทั้งระดับบุคคลและระดับชุมชน และเราทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์อนาคตที่ดีขึ้นของเยาวชนและเราร่วมกันออกคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ของเด็กและเยาวชนในจังหวัดนราธิวาส การจัดการศึกษาจำเป็นจะต้องเกิดจากการ่วมมือกันระหว่างทุกภาคส่วนเพื่อให้เกิดการพัฒนาการศึกษาสู่ความอย่างยั่งยืนต่อไป

รวมพลังเข้มแข็งต่อเนื่องปีที่ 7 มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี

มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี นำโดย องคมนตรี พลเอก ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ ในฐานะประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ จัดการประชุมสามัญประจำปี 2567 ณ ห้องประชุมกำแพง พลางกูร สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา โดยมีคณะที่ปรึกษาและผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐ โดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน โดย นายศุภชัย เจียรวนนท์  ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ และประธานกรรมการ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น ในฐานะประธานคณะกรรมการมูลนิธิฯ พร้อมด้วยซีอีโอ คณะผู้บริหารจากองค์กรผู้ร่วมก่อตั้ง ตลอดจนเครือข่ายพันธมิตร ร่วมกันหารือ วางแผน และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อขับเคลื่อนการศึกษาไทย โดยปีนี้ ได้ยกระดับแผนงาน และการดำเนินงานให้พร้อมรับกับความท้าทายการศึกษายุคดิจิทัล อาทิ ร่วมกับคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปรับเกณฑ์ชี้วัดประเมินคุณภาพโรงเรียนที่เข้มข้นขึ้นจาก 44 เป็น 53 ข้อ ที่มุ่งเน้นส่งเสริมการพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน รวมถึงปรับคณะทำงานเป็น 5 คณะ ให้ทำงานได้ชัดเจนตามยุทธศาสตร์เพื่อให้การทำงานระหว่างรัฐและเอกชนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อันประกอบด้วย 1. คณะทำงานด้านการวิจัยและการประเมินคุณภาพการศึกษา 2.คณะทำงานด้านการสร้างวัฒนธรรมการมีส่วนร่วม 3. คณะทำงานด้านการพัฒนาผู้นำและบุคลากรทางการศึกษา 4.คณะทำงานด้านหลักสูตรและการสอน และ 5. คณะทำงานด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา

ทั้งนี้ ภายใต้ความร่วมมืออันเข้มแข็งของ 3 ภาคส่วนหลัก ทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน ในปี 2567 นี้ มีโรงเรียนคุณภาพที่ได้รับมอบหมายจากภาครัฐเข้ามาอยู่ในการดูแลของมูลนิธิฯ เพิ่มอีก 1,808 แห่ง ส่งผลให้ปัจจุบันมีโรงเรียนคอนเน็กซ์อีดีทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 6,949 แห่ง และเริ่มมีการใช้ระบบ School Management System แล้ว ซึ่งจากการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง มีนักเรียนที่ได้รับการสนับสนุนด้านการศึกษาสะสมแล้วกว่า 2.31 ล้านคน บุคลากรทางการศึกษาได้รับการพัฒนาศักยภาพ มากกว่า 82,000 คน ขณะที่มีผู้นำรุ่นใหม่ (School Partner) ผ่านการพัฒนาทักษะผู้นำ 1,900 คน มีผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา (ICT Talent) ภาครัฐและเอกชน 2,400 คน ดูแลครอบคลุม 4,100 โรงเรียน นอกจากนี้ มูลนิธิฯ มีเครือข่ายพันธมิตรเพิ่มอีก 3 องค์กร รวมปัจจุบันเป็น 55 องค์กร โดยผลการดำเนินงานของมูลนิธิฯ มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับ 5 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่

ยุทธศาสตร์ที่ 1 : การเปิดเผยข้อมูลสถานศึกษาสู่สาธารณะอย่างโปร่งใส (Transparency)

• มีนโยบายนำระบบ School Management System ที่มีเกณฑ์การวัดคุณภาพโรงเรียนในด้านต่างๆ อย่างครอบคลุม มาใช้ประเมินคุณภาพโรงเรียน 1,808 แห่งที่เข้าร่วมเป็นโรงเรียนคอนเน็กซ์อีดีล่าสุด 

 

ยุทธศาสตร์ที่ 2 : กลไกตลาดและวัฒนธรรมการมีส่วนร่วม (Market Mechanisms)

• จัดอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพให้แก่ผู้นำรุ่นใหม่ (School Partner) อย่างต่อเนื่อง เสริมทักษะต่างๆ ทั้งทักษะความเป็นผู้นำ การทำงานเป็นทีม และทักษะการสื่อสาร พร้อมจัดทำตัวชี้วัด School Partner และคัดเลือก School Partner ต้นแบบ

 

ยุทธศาสตร์ที่ 3 : การพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน (High Quality Principals & Teachers)

• สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีนโยบายเห็นชอบให้มีตำแหน่ง ICT Talent ภาครัฐ โดยเริ่มจากโรงเรียนคุณภาพ และขยายสู่โรงเรียนในสังกัดสพฐ. ทั่วประเทศไทยต่อไป 

• สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ประกาศหลักเกณฑ์การโอนย้าย การประเมินวิทยฐานะ และการปรับเงินเดือนข้าราชการครู ตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ 

• พัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน ด้วยการจัดการอบรมเสริมทักษะสำคัญต่างๆ อาทิ ทักษะการบริหาร การนิเทศก์และการชี้แนะ ภาษา การจัดการเทคโนโลยีและดิจิทัล การจัดการเรียนรู้เชิงรุก และจิตวิทยา ซึ่งพบว่า 76% ครู มีความมั่นใจในการใช้เทคโนโลยีกับการสอน และ 71% ครู สามารถนำความรู้ด้านเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ ไปถ่ายทอดให้แก่ครูในโรงเรียน

ยุทธศาสตร์ที่ 4 : เด็กเป็นศูนย์กลาง เสริมสร้างคุณธรรมและความมั่นใจ (Child Centric & Curriculum) 

• ขยายผลนำโมเดลต้นแบบ “ศูนย์การเรียนรู้ชุมชน” หรือ Learning Center ไปสู่โรงเรียนคุณภาพ ภายในปีการศึกษา 2567 และมีนโยบายจัดตั้ง Learning Center ใน 245 เขตพื้นที่การศึกษาทั้งหมด 1 เขต 1 โรงเรียนคุณภาพ

• พัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบ Child Centric และร่วมกับคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พัฒนาหลักสูตร Extracurricular พร้อมแบบทดสอบคุณธรรมจริยธรรม ส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้ตามความสนใจ ต่อยอดสู่การปฏิบัติจริง ส่งผลให้เกิดการพัฒนาศักยภาพผู้เรียนให้รักการเรียนรู้ตลอดชีวิต

• ต่อยอดโครงการ Learning Center และ ICT Talent นำร่อง 20 โรงเรียน ในโครงการ USO ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)

• เข้าหารือกับกสทช. เพื่อผลักดันให้มีนโยบายสื่อสร้างสรรค์ในช่วงเวลา Primetime โดยกสทช. ได้พิจารณาและดำเนินการทำร่างประกาศเสนอต่อคณะกรรมการในเรื่องสื่อสร้างสรรค์ ซึ่งอยู่ในระหว่างรอบรรจุวาระ 

 

ยุทธศาสตร์ที่ 5 : การเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของสถานศึกษา (Digital Infrastructures) 

• มติ ครม.อนุมัติจัดสรรแท็บแล็ต และโน้ตบุ๊ก จำนวน 6 แสนเครื่องให้นักเรียนและครู (ปีงบประมาณ 2568 – 2572) ในโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ ทุกเวลา

โอกาสนี้ ตัวแทนผู้นำรุ่นใหม่ (School Partner) ยังได้ร่วมแบ่งปันเรื่องราวแห่งความสำเร็จ การพัฒนาตนเองในด้านต่างๆ ตลอดจนสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการลงพื้นที่ที่ได้ทำงานร่วมกับผู้บริหารสถานศึกษาและบุคลากรในโรงเรียนคอนเน็กซ์อีดี ซึ่งเป็นอีกหนึ่งพลังสำคัญในการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้แก่การศึกษาไทยอีกด้วย

ทั้งนี้สำหรับองค์กรที่สนใจเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-858-1881-2 หรืออีเมล : Partners.connexted@gmail.com รวมถึงสามารถติดตามข่าวสารและกิจกรรมของมูลนิธิฯ ได้ที่ connexted.org

สำหรับมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2559 จากโครงการสานพลังประชารัฐ ด้านการศึกษาพื้นฐานและการพัฒนาผู้นำ ภายใต้ความร่วมมือ 3 ภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน ต่อมาจดทะเบียนจัดตั้งเป็นมูลนิธิในปี 2563 โดยมีเจตนารมณ์และความมุ่งมั่น ในการขับเคลื่อนการศึกษาไทยให้มั่นคงและยั่งยืน ตามแนวทาง 5 ยุทธศาสตร์หลัก พร้อมเดินหน้าสร้างวัฒนธรรมการมีส่วนร่วมให้ทุกคนได้มีโอกาสเข้ามาส่งเสริมการศึกษาเยาวชนไทย 

ปัจจุบัน มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี มีเครือข่ายพันธมิตรภาคเอกชนชั้นนำของไทยรวมแล้ว 55 องค์กร โดยมี 12 องค์กรเอกชน ร่วมเป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิฯ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน), บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์, กลุ่มเซ็นทรัล, บมจ. ซีพี ออลล์, บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร, กลุ่มมิตรผล, กลุ่มปตท., ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน), เอสซีจี, บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ, บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป และ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น 

ต่อมาในระยะที่ 2 มีเครือข่ายพันธมิตรเข้าร่วมโครงการอีก 19 องค์กร ได้แก่ บจ. ไทยฮอนด้า, บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น, บมจ. บ้านปู, บมจ. บีอีซี เวิลด์, บจ. เบอร์แทรม (1958), บมจ. เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย), บจ. เอดู พาร์ค, โรงเรียนเอ็นคอนเส็ปท์ อี แอคเคเดมี่, บจ. โกลบิช อคาเดเมีย (ไทยแลนด์), บจ. เควี อิเล็กทรอนิกส์, บจ. เลิร์น คอร์ปอเรชั่น, บจ. แม็คเอ็ดดูเคชั่น, สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์, บจ. เอส เค โพลีเมอร์, บจ. สลิงชอท กรุ๊ป, ธุรกิจโลตัส ประเทศไทย, บจ. ไทยโตชิบาอุตสาหกรรมไฟฟ้า และบจ. สวนอุตสาหกรรมบางกะดี, บจ. เวสเทิร์น ดิจิตอล สตอเรจ เทคโนโลยีส์ (ประเทศไทย)

หลังจากนั้นในระยะที่ 3 มีเครือข่ายพันธมิตรเข้าร่วมโครงการ อีก 24 องค์กร ได้แก่ บจ. แอมิตี,  บมจ. บี.กริม เพาเวอร์,  บมจ. ซี.พี.แลนด์, บจ. เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส, บมจ. เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย, ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน), มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, บมจ. ซีพี แอ็กซ์ตร้า, บจ. โพรนาลิตี้, บมจ. สมิติเวช, กลุ่มธุรกิจ ทีซีพี, บมจ. ทิปโก้แอสฟัลท์, บมจ. วีจีไอ, ธนาคารออมสิน, เครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล, บจ. ไตรโซลูชั่น, สำนักงานราชบัณฑิตยสภา, สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน), บจ. เอ็ดดูเคชั่น อีซี่ (ไทยแลนด์), บจ. ฟู้ดแพชชั่น และบจ. ทรู ดิจิทัล พาร์ค และล่าสุด ในระยะที่ 3 นี้ มีเครือข่ายพันธมิตรใหม่เข้าร่วมอีก 3 องค์กร ได้แก่ บจ. ทีทรี เทคโนโลยี, แพคริม และแพคริม เอดูเคชั่น และสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)

รัฐบาลเปิดให้ลงทะเบียนสถานศึกษาเสี่ยงหลุดจากระบบถึง 1 ส.ค.67

​อนาคตของชาติ อยู่ในมือทุกคน คุณสามารถช่วยป้องกันเด็กหลุดจากระบบการศึกษาได้จนถึง 1 ส.ค.67 เปิดให้สถานศึกษาบันทึกข้อมูลกลุ่มที่มีความเสี่ยงหลุดจากระบบและยังไม่ได้รับความช่วยเหลือเข้าสู่ระบบ ตามมาตรการ Thailand Zero Dropout

วันนี้(9 ก.ค.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญ และได้สั่งการสั่งการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้ามาตรการขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา ให้กลายเป็นศูนย์ (Thailand Zero Dropout) เพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา ซึ่งจากข้อมูลพบว่า ปีการศึกษา 2566 มีเด็กและเยาวชนในช่วงอายุ 3 – 18 ปีกว่า 1,025,514 คน ที่ไม่พบข้อมูลในระบบการศึกษา
 
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ระหว่างวันที่ 23-26 กรกฎาคม 2567 นี้ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จะได้ทยอยจัดสรรเงินอุดหนุนแบบมีเงื่อนไขให้แก่นักเรียนทุนเสมอภาคกลุ่มต่อเนื่องใน 6 สังกัดทั่วประเทศ จำนวนกว่า 8 แสนคน ซึ่งนับเป็นหนึ่งมาตรการสำคัญของรัฐบาลในการป้องกันการหลุดจากระบบการศึกษาของเด็กและเยาวชนจากครัวเรือนยากจนระดับรุนแรง โดยในปีนี้ เป็นปีแรกของการจัดสรรอัตราใหม่ตามที่ กสศ. เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาระดับประถมศึกษา – มัธยมศึกษาตอนต้นจากอัตรา 3,000 บาท เป็น 4,200 บาท/คน/ปี และระดับชั้นอนุบาลคงเดิม อัตราจำนวน 4,000 บาท/คน/ปี  ซึ่งเงินอุดหนุนที่เพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการสนับสนุนค่าอาหารเช้าให้แก่กลุ่มนักเรียนทุนเสมอภาคเพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนยากจน
 
สำหรับเด็กและเยาวชนกลุ่มที่มีความยากจนเสี่ยงหลุดจากระบบและยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ ระหว่างวันที่  8 ก.ค.- 1 ส.ค.  2567 นี้ กสศ.  ได้เปิดระบบทุนเสมอภาคให้สถานศึกษาบันทึกข้อมูลนักเรียนกลุ่มนี้เข้ามา (นร./กสศ.01) ผ่านระบบ cct.eef.or.th เพื่อคัดกรองความยากจนและให้ได้รับการช่วยเหลือ ในปีการศึกษา 2567 ภาคเรียนที่ 1 นี้ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีนักเรียนกลุ่มยากจนพิเศษกลุ่มใหม่ได้รับความช่วยเหลืออีกราว 5 แสนคน  ทำให้ในปีการศึกษา 2567 กสศ.จะสามารถช่วยป้องกันความเสี่ยงของนักเรียนกลุ่มยากจนพิเศษ ไม่ให้หลุดจากระบบการศึกษารวมกลุ่มต่อเนื่อง ราว 1.3 ล้านคน
 
ทั้งนี้ หากประชาชนท่านใดพบนักเรียนที่มีความเสี่ยงหลุดจากระบบ และยังไม่ได้รับความช่วยเหลือ สามารถแจ้งกับโรงเรียนที่นักเรียนกำลังศึกษาอยู่ หรือ โรงเรียนใกล้เคียงจุดที่พบ ใน 6 สังกัดดังนี้  สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (บช.ตชด.) สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ( พศ.)  สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน และกรุงเทพมหานคร เพื่อบันทึกข้อมูลเข้าในระบบเพื่อให้ได้รับช่วยเหลือจากทุนเสมอภาค ของ กสศ. ทั้งนี้ สามารถติดตามและสอบสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก กสศ. กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา โดยที่ผ่านมา กสศ. ให้ความช่วยเหลือ รวมทั้งสิ้น 1,200,161 คน และพบว่าทุนเสมอภาค ส่งผลให้นักเรียนทุนร้อยละ 95.95 ยังคงอยู่ในระบบการศึกษา
 
“นายกฯ ให้ความสำคัญเรื่องการศึกษา สั่งการให้ทุกหน่วยงานเดินหน้ามาตรการ Thailand Zero Dropout ต้องไม่มีเด็กและเยาวชนหลุดจากระบบการศึกษา พร้อมย้ำว่าเด็กและเยาวชนคือผู้กำหนดอนาคตของประเทศชาติ ทุกคนจะต้องได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ต้องได้รับการส่งเสริมการเรียนรู้ ความสามารถ ความคิดสร้างสรรค์ เพื่อจะได้ใช้ความรู้ความสามารถนั้นให้เป็นประโยชน์ต่อตนเอง และประเทศชาติ” นางรัดเกล้า กล่าว

#ข่าววันนี้ #ลงทะเบียน #สถานศึกษา #การศึกษา 

 

​“คารม” ย้ำเตือนการอบรมออนไลน์หลักสูตร e-Learning สำนักงาน ก.ค.ศ. ไม่สามารถนำเกียรติบัตรไปใช้ต่อใบประกอบวิชาชีพได้

​“คารม” รองโฆษกรัฐบาล ย้ำเตือนการอบรมออนไลน์หลักสูตร e-Learning สำนักงาน ก.ค.ศ. ไม่สามารถนำเกียรติบัตรไปใช้ต่อใบประกอบวิชาชีพได้ ขออย่างหลงเชื่อข้อมูลบิดเบือน

วันนี้ (10 มิถุนายน 2567) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่มีข้อมูลปรากฏถึงเรื่องอบรมออนไลน์หลักสูตร e-Learning สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (สำนักงาน ก.ค.ศ.)  และนำเกียรติบัตรไปใช้ต่อใบประกอบวิชาชีพได้นั้น ขอย้ำว่าข้อมูลดังกล่าว เป็นข้อมูลที่บิดเบือน ไม่เป็นความจริง ซึ่งการเรียนออนไลน์ดังกล่าว เป็นหลักสูตรที่เปิดขึ้นเมื่อตอนวันครู 16 มกราคม 2567 ที่ผ่านมามีวัตถุประสงค์เพื่อเรียนรู้เท่านั้น ไม่สามารถนำเกียรติบัตรไปใช้ในการต่อใบประกอบวิชาชีพได้
 
นายคารม กล่าวว่า การอบรมออนไลน์หลักสูตร e-Learning ของสำนักงาน ก.ค.ศ. กระทรวงศึกษาธิการ มี 2 หลักสูตรให้เรียนจริง ประกอบด้วย 1.เรื่องเสริมพลังการบริหาร เป็นหลักสูตรสำหรับผู้อำนวยการเท่านั้น และ 2. เรื่องการเงินสามารถเรียนได้ทุกคน โดยทั้ง 2 หลักสูตรเข้าไปเรียนได้ฟรี และมีใบประกาศออกให้จากทาง ก.ค.ศ. แต่ไม่สามารถนำเกียรติบัตรไปใช้ในการต่อใบประกอบวิชาชีพได้
 
“ข้อมูลที่มีการโพสต์ และแชร์ในประเด็นดังข่าวต้น  เป็นข้อมูลบิดเบือน ขอความร่วมมือประชาชน ไม่แชร์ ไม่ส่งต่อข่าวดังกล่าว เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ สามารถติดตามได้ที่ http://www.ops.moe.go.th/ หรือโทร. 02-628-6346” นายคารม เน้นย้ำ
.

"ออมสิน" ร่วมแก้ปัญหาหนี้บุคลากรทางการศึกษาตามนโยบายรัฐบาล

"ออมสิน" ร่วมแก้ปัญหาหนี้บุคลากรทางการศึกษาตามนโยบายรัฐบาล

นายคเชนทร์ บุญวงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสถาบันการเงิน รวม 12 แห่ง อาทิ กระทรวงการคลัง กระทรวงยุติธรรม ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สมาคมธนาคารไทย สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยมี พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีลงนาม ณ หอประชุมคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2567

ทั้งนี้ ธนาคารจะร่วมกำหนดแนวทางและมาตรการในการให้ความช่วยเหลือที่ผ่อนปรนเป็นกรณีพิเศษในการแก้ไขปัญหาหนี้สินแก่กลุ่มข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมสนับสนุนข้อมูล ความรู้ และให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆเพื่อวางแผนทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างวินัยทางการเงินที่ดี มีสภาพคล่องในการชำระหนี้ ไม่พึ่งพาหนี้นอกระบบ ส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ภายใต้เป้าหมายการแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชนอย่างยั่งยืนตามนโยบายรัฐบาล

#ออมสิน #ข่าววันนี้ #หนี้บุคลากร #การศึกษา