EN Name: 
Woman

Smart Woman : “สุวลักษณ์ ศรีชอบธรรม”กับมุมมองนักบัญชีการเงินรุ่นใหม่

ภาพของพนักงานใส่แว่นสีหน้าเคร่งเครียดบุคลิกดูคล้ายเก็บตัว คือภาพที่คุ้นชินของ “นักบัญชีการเงิน” ที่พบเห็นได้ตามองค์กรทั่วไป หากแต่คงไม่ใช่นักบัญชีการเงินของ บริษัท ซีคอน ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ศูนย์สรรพสินค้าซีคอนสแควร์ .. เมื่อในวันนี้ “สุวลักษณ์ ศรีชอบธรรม” ผู้อำนวยการสายงานบัญชีการเงิน บริษัท ซีคอน ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้ฉีกกรอบของนักบัญชีการเงินรุ่นเก่า เพื่อตอบทุกโจทย์ของสายงานบัญชีการเงินในมุมมองใหม่ตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป !! สุวลักษณ์ ศรีชอบธรรม ผู้อำนวยการสายงานบัญชีการเงิน บริษัท ซีคอน ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เผยถึงความท้าทายของงานนักบัญชีการเงินว่า “จะทำอย่างไรที่จะพัฒนาพนักงานในสายงานนี้ให้หลุดจากรอบเดิมๆ จากที่คนทั่วๆไปมักคิดว่าคนบัญชีการเงินทำตัวเป็น 'ผู้คุมกฎ' ให้เปลี่ยนมาเป็น 'ผู้ให้คำแนะนำ' แทน พยายามมองว่าฝ่ายอื่นๆที่มาติดต่อเปรียบเสมือนลูกค้า ที่เราต้องให้บริการอย่างดี เกิดความประทับใจและได้รับคำตอบเป็นที่น่าพอใจกลับไปทุกครั้ง ซึ่งจะทำให้ลดช่องว่างระหว่างกันลงได้ นอกจากนี้ยังต้องปรับปรุงงานบริการให้รวดเร็ว เป็นมิตร ภายใต้ระเบียบที่วางไว้ โดยนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้เพื่อเพิ่มความถูกต้องและรวดเร็ว หลักการในการบริหารงานบัญชีการเงินคือ ทำอย่างไรจึงจะให้พนักงานไม่เหนื่อย ไม่ซ้ำซ้อน ใช้คนน้อยที่สุด ทำให้ต้องคอยปรับปรุงระบบงานอยู่เป็นระยะว่า ยังมีตรงไหนที่ลดขั้นตอนในระบบงานได้อีก โดยผลของงานยังมีประสิทธิภาพเท่าเดิมหรือดีขึ้นกว่าเดิม รวมทั้งพยายามหานวัตกรรมทางด้านการเงิน หรือเทคโนโลยีใหม่ๆมาช่วยเสริมการทำงาน เพื่อให้พนักงานไม่ต้องทำงานจนดึกดื่นเหมือนในอดีต พนักงานสามารถให้เวลาในการทำกิจกรรมอื่นๆ ของบริษัทได้ เช่น งาน HRD (Human Resourse Developenent), กิจกรรมCSR ซึ่งถือเป็นการพัฒนาบุคลากรในองค์กรอย่างหนึ่งที่จำเป็น นอกจากนี้ยังมีโครงการ Value Added Practice (VAP) เป็นการส่งเสริมพนักงานให้ช่วยกันคิดหาว่า งานใดหรือรายงานชนิดไหน ที่เคยทำๆกันมาหลายปี สามารถตัดงานนั้นออกได้ไหม หรือใช้วิธีการอย่างอื่นที่ง่ายกว่ามาทดแทนกันได้หรือไม่ เพื่อลดงานลงแต่ได้ผลสำเร็จที่ดีเช่นเดิม ซึ่งหลังจากที่ช่วยกันทำโครงการดังกล่าวแล้วพนักงานจะมีความสุขมาก เพราะได้เวลาคืนกลับมา และมีความพยายามที่จะปรับปรุงให้ดียิ่งๆขึ้นไปอีก” เมื่อถามถึงหัวใจในการขับเคลื่อนสายงานบัญชีการเงิน สุวลักษณ์กล่าวว่า
“หัวใจของสายงานบัญชีการเงิน เริ่มจากการพัฒนาบุคลากรในแต่ละตำแหน่งให้พร้อมอยู่เสมอ การวางตัวบุคคลลงในตำแหน่งที่เขาถนัดก็เป็นสิ่งสำคัญ
แต่ความเป็น routine ของงานบัญชี อาจจะทำให้เกิดความเบื่อหน่าย ก็จะใช้วิธีสับเปลี่ยนงานของเขาอยู่เสมอ เพื่อให้เกิดความรู้สึกท้าท้ายไม่จำเจ โดยเราจะวาง career path ให้ คือให้เขาก้าวไปในแต่ละจังหวะอย่างเหมาะสม โดยการสอนงานและเปิดโอกาสให้แสดงความสามารถด้วยการลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง เรียนรู้จากประสบการณ์โดยตรงที่มีเราเป็นพี่เลี้ยง การส่งไม้ต่อรุ่นต่อรุ่น จะทำให้ฐานของฝ่ายมั่นคง พนักงานจะรักองค์กรมากขึ้น เพราะเห็นโอกาสของการเติบโต ซึ่งยังเป็นการแก้เรื่องสมองไหลของคนในองค์กรอีกทางหนึ่งด้วย บริษัทไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยคนพียงคนเดียว หัวหน้าไม่จำเป็นต้องทำเก่งตลอดเวลา และไม่สามารถแก้ได้ทุกปัญหา การให้ทุกคนช่วยเหลือกันเป็น Team Work จะเป็นตัว drive ที่ดีกว่า” ผู้อำนวยการสายงานบัญชีการเงินฯ ยังกล่าวถึงวิธีบริหารจัดการงานที่น่าเบื่อว่า “ยอมรับว่างานบัญชีการเงินมีลักษณะเป็นงาน Routine มากๆ ทำให้น่าเบื่อทำไม่มีวันจบ ซ้ำไปซ้ำมา จึงใช้วิธีหมุนเวียนเปลี่ยนงาน (Reshuffle) เพื่อให้ลูกน้องได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ รู้สึกท้าทายที่ได้ทำงานใหม่ๆที่ยากขึ้นเรื่อยๆ ไม่สร้าง Comfort Zone ให้เขา หลายคนสามารถทำงานได้ถึงขั้นปิดบัญชีได้ เป็นสมุห์บัญชีกันได้หลายคน เราพยายามสร้างคนให้พร้อมตลอดเวลา ซึ่งเมื่อวันหนึ่งองค์กรมีการขยายงาน เราก็มีทีมงานที่พร้อมจัดลงแต่ละตำแหน่งได้ทันที ไม่ต้องจัดหาใหม่จากภายนอก ไม่เสียเวลาสอนงานใหม่ และยังเป็นการสร้างความรัก ความผูกพันให้กับองค์กรอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นผลให้ turn over ของพนักงานในสังกัดเท่ากับศูนย์ ส่วนวิธีจัดการพนักงานที่มีปัญหาทางด้านวินัยหรือที่ทำผิดจรรยาบรรณ จะต้องหาสาเหตุก่อนว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมีสาเหตุจากอะไร เพื่อช่วยให้คำแนะนำในการแก้ไขได้ถูกต้อง ตรงประเด็น อาจใช้วิธีการcoaching เพื่อช่วยให้เขาทบทวนระบบคิด จนได้ทางออกในการทำงานที่เหมาะสม ตามสไตล์ของตนเอง และนำไปใช้ได้จริงโดยไม่เกิดปัญหาตามมาอีกหลังจากทำการ coaching แล้ว จะต้อง follow up (ติดตามผล) เพื่อให้ทราบว่าได้มีการปฏิบัติไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ ปรับปรุงให้ดีขึ้นหรือไม่” “ทัศนติที่ว่าผู้หญิงมักมีพรสวรรค์ด้านบัญชีและการเงิน เพราะมีความละเอียดรอบคอบกว่าผู้ชาย เป็นคำพูดที่เห็นด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ชายที่มีความละเอียดอ่อนก็มีอยู่ และสามารถทำงานด้านนี้ได้เช่นกัน ประเด็นจึงไม่ได้อยู่ที่ความเป็นหญิงหรือชาย แต่อยู่ที่ความละเอียด ความอดทน ชอบเรื่องการคำนวน กล้านำเสนอ แนวคิดและวิธีการใหม่ๆ ที่เป็นประโชน์ต่อบริษัท เปิดรับเทคโนโลยีข้อมูล ข่าวสาร และสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา รวมถึงศึกษากฎหมายภาษีอากรที่เกี่ยวข้องอยู่เสมอและ
คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของคนในอาชีพนี้คือ ความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง”
“หากเลือกได้ ควรให้เลือกทำงานที่รัก ที่ชอบ อย่าหยุดที่จะพัฒนาตัวเอง ควบคุมอารมณ์ในทุกสถานการณ์ และเป็นคนแรกๆ ที่ใครๆ ก็นึกถึงเวลามีโปรเจคท์พิเศษ … เมื่อ “ผลงานดี” - “เพื่อนร่วมงานรัก” - “เจ้านายชอบ” ….. แล้วโอกาสดีๆ จะเป็นของคุณ” สุวลักษณ์กล่าวทิ้งท้าย "ศุภลักษณ์ หัตถพนม"

"Kohler Experience Center" แฟลกชิฟสโตร์แห่งแรกในอาเซียน

มร.เดวิด โคห์เลอร์ (Mr. David Kohler) ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โคห์เลอร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า โคห์เลอร์ แบรนด์สุขภัณฑ์อันดับหนึ่งจากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีประวัติศาสตร์มายาวนานกว่า 144 ปี ได้ริเริ่มในการปฎิวัติรูปแบบโชว์รูมในตลาดโลก ภายใต้ชื่อ “Kohler Experience Center” หรือ “KEC” สำหรับร้านค้าปลีกในระดับโลก (Retail Shop) โดยสร้างขึ้นเพื่อเปิดโอกาสผู้บริโภคได้ร่วมสัมผัสประสบการณ์ใหม่กับผลิตภัณฑ์ของโคห์เลอร์ทั้งหมด ซึ่งลูกค้าสามารถทดลองใช้สุขภัณฑ์ได้จริง โดยกำหนดเปิดทั้งหมด 11 สาขา ภายใน 2 ปี และเปิดตัวในประเทศไทยเป็นแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อจากนิวยอร์ค ลอนดอน นิวเดลี และไทเป พร้อมเตรียมเปิดตัวสาขาที่สิงคโปร์ ลอสแองเจลลิส เซี่ยงไฮ้ ฮ่องกง โตรอนโต้ และดูไบ ภายในปี 2561 Kohler Experience Center Bangkok หรือ KEC BKK บริหารจัดการ โดยบริษัท ดี.พี.เซรามิคส์ ตั้งอยู่ชั้น 1 อาคารโนเบิล รีมิกซ์ ทองหล่อ (สุขุมวิท 36) บนพื้นที่กว่า 700 ตารางเมตร ออกแบบโดย บริษัท พี 49 ดีไซน์ แอนด์ แอสโซซิเอทส์ จำกัด ภายใต้คอนเซป “Industrial Art Gallery” ดึงเอาความโดดเด่นของกรุงเทพฯ ที่มีความเจริญก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรม ผสมผสานกับนวัตกรรมและศิลปะ โดยมีการตกแต่งโครงสร้างของโชว์รูมด้วยโครงเหล็ก ใช้โทนสีเข้มเพื่อสร้างบรรยากาศของความหรูหรา คลาสสิค ทั้งยังมีการจัดแสดงงานศิลปะท้องถิ่นของไทย และในภูมิภาคเอเชีย ดังนั้น KEC BKK จึงไม่ได้เป็นแค่เพียงโชว์รูมที่รวบรวมผลิตภัณฑ์ของโคห์เลอร์ที่ครบและใหญ่ที่สุด แต่เปรียบเสมือน “Micro Art Gallery” ที่นำเสนอผลงานศิลปะชิ้นเอก เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่รักในงานดีไซน์ได้เข้าชมและสัมผัสประสบการณ์แห่งการใช้ชีวิตไปพร้อมกัน โดยสาเหตุที่โคห์เลอร์เลือกเปิดโชว์รูม KEC BKK เป็นที่แรกๆในโลก เนื่องจาก กรุงเทพฯ ถือเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ด้านสถาปัตยกรรมที่สวยงาม และโดดเด่นเรื่องดีไซน์ โดยเฉพาะทองหล่อ ซึ่งเป็นย่านสำคัญใจกลางกรุงเทพฯ และเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ของการพัฒนาด้านอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย และเออีซีอีกด้วย โดยจุดเด่นของ KECBKK ที่แตกต่างจากโชว์รูมอื่น คือ การนำเสนอประสบการณ์การซื้อสินค้าที่แตกต่างและสมบูรณ์แบบ ด้วยนวัตกรรมที่ทันสมัย ซึ่งลูกค้าสามารถทดลองใช้สินค้าได้จริง อีกทั้งยังมีผลิตภัณฑ์ของโคห์เลอร์ ครบทุกประเภทยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นพื้นที่จัดแสดงผลิตภัณฑ์พิเศษ ที่ถือเป็น Hi-light ของโคห์เลอร์ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มดีไซน์เนอร์ นักออกแบบตกแต่งภายใน สถาปนิก ที่กำลังทำโปรเจ็ก และลูกค้าที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์ตกแต่งบ้าน ภายในได้จำลองรูปแบบการใช้ชีวิต 4 ไลฟ์สไตล์ ประกอบด้วย TECH-SAVVY: โดดเด่นด้วยสินค้านวัตกรรมล้ำสมัยท้าทายอนาคต RELAXING ESCAPE: สุนทรียภาพในการผ่อนคลาย เหมือนอยู่ใน สปารีสอร์ท บรรยากาศและการตกแต่งจะเน้นวัสดุธรรมชาติ MODERN ECLECTIC: ประสานความงดงามแบบรุ่นเก่าให้สีสันและอารมณ์เป็นรุ่นใหม่ เหมาะกับคนที่มีความเป็นตัวของตัวเอง เปรียบเสมือนการได้รับบ้านหรือเฟอร์นิเจอร์เก่าจากพ่อแม่แล้วนำมาดัดแปลงเพิ่มสีสันให้ร่วมสมัยเหมาะกับวัยรุ่น TRUE ELEGANCE: หรูหราขั้นสูงหรือเราเรียกว่า True Elegance ด้วยกระเบื้องลายหินอ่อนขาว สัมผัสสุนทรียภาพแห่งการใช้ชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์เชิงศิลปะ สะท้อนไลฟ์สไตล์ของผู้คนแต่ละยุคสมัย งานทุกชิ้นเปรียบได้กับเฟอร์นิเจอร์ที่บอกเล่าถึงรสนิยมและความพิถีพิถันของผู้อยู่อาศัย ด้วยดีไซน์ที่เรียบง่ายเปี่ยมด้วยความคลาสสิกร่วมสมัย และความล้ำหน้าทางเทคโนโลยีไ ด้แล้ววันนี้ที่ ... Kohler Experience Center Bangkok

“Sea Turtle” ลิมิเต็ดเอดิชั่น สนับสนุนอนุรักษ์เต่าทะเลไทย

Luminox ซึ่งจัดจำหน่ายโดย บริษัท ศรีทองพาณิชย์ จำกัด ร่วมกับ บัตรสมาชิก M Card เดอะมอลล์ จัดงาน “ Luminox Saving The Underwater World ” โดย Luminox จัดทำนาฬิกาข้อมือรุ่นพิเศษลิมิเต็ดเอดิชั่น “Sea Turtle” ที่จะมีการจัดจำหน่ายในประเทศไทยในจำนวนเพียง 900เรือนเท่านั้น เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจ รวมถึงได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรและสัตว์ทะเลหายากใต้ผืนทะเลไทย ในราคาเรือนละ12,900 บาท รายได้ส่วนหนึ่งจะถูกนำไปสมทบทุนเพื่อซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์และมอบให้กับโครงการสร้างศูนย์ช่วยชีวิตสัตว์ทะเลหายากจังหวัดภูเก็ต ภายใต้การดูแลของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง นาฬิกาลิมิเต็ดเอดิชั่นรุ่นแรกของโลกภายใต้ชื่อรุ่น Sea Turtle ชวนคุณดำดิ่งลึกไปใต้ท้องทะเลกับนาฬิกา Luminoxรุ่นXS 0321 Sea Turtle Limited Edition นาฬิกาสายพันธุ์แกร่ง ตัวเรือนมีสีดำสวยงาม ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจาก Sea Turtle Leatherback หรือ “เต่ามะเฟือง” หน้าปัดขนาด 44 มิลลิเมตร สกรีนรูปเต่าทะเลสีน้ำเงินโดดเด่นเพื่อให้ได้กลิ่นอายของท้องทะเลลึก ฝาหลังแต่ละเรือนสลักรูปเต่าทะเลพร้อมเลขซีเรียล1-900 หรือเลขมงคลประจำตัว วัสดุตัวเรือนทำจาก Carbon Compound มีน้ำหนักเบาและมีความทนทานแข็งแรงฝาหลังและเม็ดมะยมทำจาก Stainless Steel พร้อมด้วยคุณสมบัติอันโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ของนาฬิกา Luminox ที่สามารถเรืองแสงได้ด้วยตัวเองในที่มืดยาวนานถึง 25ปี ดำน้ำลึกได้ถึงระดับ 100 เมตร พร้อมลุยกับคุณไปได้ทุกสถานการณ์ ท้ายทายในทุกจังหวะชีวิต ทั้งนี้คะแนนที่ได้จากการซื้อนาฬิการุ่น Sea Turtleทาง M Card จะนำไปบริจาคเพื่อสมทบทุนซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์ และมอบให้กับโครงการสร้างศูนย์ช่วยชีวิตสัตว์ทะเลหายากจังหวัดภูเก็ต พร้อมกันนี้ทาง M Card จะร่วมสบทบทุนอีก 1 เท่า เพื่อสบทบทุนสถาบันวิจัยและพัฒนาทางทะเล นอกจากนี้ผู้โชคดียังร่วมลุ้นทริปไปปล่อยเต่าที่สัตหีบ จ.ชลบุรี จำนวน 5 รางวัลๆละ 2 ที่นั่ง พร้อมที่พัก โรงแรมเรเนซองส์ พัทยา จำนวน 2 วัน 1 คืน .. นาฬิกา Luminoxรุ่นพิเศษลิมิเต็ดเอดิชั่น “Sea Turtle” จัดวางจำหน่ายพร้อมกันทั่วประเทศ ที่ เดอะมอลล์ ทุกสาขา, พารากอน, ดิ เอ็มโพเรี่ยม, ดิ เอ็มควอเทียร์ และห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ

ตัวแทนครอบครัวยุคใหม่ .. ชวนชิม ช้อป ใช้ ตอบทุกไลฟ์สไตล์

ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตสร้างความสะดวกสบายให้กับคนยุคใหม่ในทุกวันนี้มากขึ้น บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน นำโดย อธิศ รุจิรวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด ตอกย้ำสิทธิประโยชน์ของ "Central The 1 Credit Card x4" ที่มอบคะแนนสะสมเดอะวันคาร์ดสูงสุด 4 เท่าได้ง่ายๆ เมื่อใช้จ่ายในเครือ Central Group ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า โรงแรม และร้านอาหารต่างๆอีกมากมาย ทั้งนี้ได้รับเกียรติจากเซเลบริตี้คนรุ่นใหม่ อย่างคู่รัก ปิ๊ง ฐิตวัฒน์ - ออม ธัญชนก วัชโรทัย พร้อมด้วยสองศรีพี่น้องสาวสวย พลอยพยัพ - พิมพ์พยัพ ศรีกาญจนา และครอบครัวสุดอบอุ่นของ ช้างน้อย -คุณวิสทา กุญชร ณ อยุธยา มาแชร์ถึงประโยชน์จากการใช้บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน โดย อธิศ รุจิรวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันคนส่วนมากหันมาใช้บัตรเครดิตแทนการพกเงินสดกันเยอะขึ้น และวงการบัตรเครดิตให้เมืองไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาหลายๆธนาคารก็มีการจัดทำโปรโมชั่นออกมาเยอะมาก ซึ่งถ้าเทียบกันจริงๆ สิทธิประโยชน์ที่ผู้บริโภคจะได้รับจากการใช้บัตรเครดิตน่าจะมีเยอะกว่าการใช้เงินสด ทั้งในเรื่องโปรโมชั่นส่วนลดต่างๆ มีการสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของสมนาคุณหรือแลกเป็นเครดิตเงินคืน และสามารถผ่อนชำระได้ อย่างบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน ที่ให้ส่วนลดสูงสุด 10% พร้อมมอบคะแนนสะสมเดอะวันคาร์ดสูงสุด 4 เท่า เมื่อใช้จ่ายในเครือบริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด อันนี้เป็นสิทธิประโยชน์หลักของบัตรที่เราควรรู้ เวลาเราใช้จ่ายไป จะได้ไม่เสียสิทธิที่เราควรได้รับจากบัตรนั้นๆ นอกจากโปรโมชั่นต่างๆ
ที่สำคัญหากต้องการใช้บัตรเครดิตให้ได้ประโยชน์สูงสุด เราก็ควรต้องมีวินัยทางการเงิน
รู้จักจำกัดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของเรา อย่าใช้เงินเกินตัวจนเป็นหนี้ คือต้องคิดแค่ว่าบัตรเครดิตเป็นเพียงอุปกรณ์แทนเงินสดที่ช่วยให้เราจับจ่ายใช้สอยได้สะดวกมากขึ้นเท่านั้นเอง  ปิ๊ง ฐิตวัฒน์ - ออม ธัญชนก วัชโรทัย ทางด้านคู่รักนักธุรกิจอย่างปิ๊ง ฐิตวัฒน์ -ออม ธัญชนกวัชโรทัย เผยถึงไลฟ์สไตล์การใช้จ่ายส่วนตัวว่า เราสองคนเดินทางบ่อยมากทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อไปดูงานและท่องเที่ยวพักผ่อน จึงไม่ค่อยชอบพกเงินสดติดตัวไปเยอะเท่าไร ดังนั้นการใช้บัตรเครดิตจึงเป็นทางเลือกแรกๆที่เราเลือกใช้ในการใช้จับจ่ายใช้สอยต่างๆเพราะมีความสะดวกสบายมากกว่า ไม่อันตราย แถมยังสามารถสะสมคะแนนได้ โดยส่วนมากเราจะนำคะแนนไปแลกเป็นไมล์ส่วนลดสำหรับการเดินทางโดยเครื่องบิน นอกจากนี้การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตยังทำให้เรารู้รายจ่ายของตัวเองได้เพราะมีสลิปสรุปยอดการใช้จ่ายแบบรายเดือนมาให้ พลอยพยัพ และ พิมพ์พยัพ ศรีกาญจน ต่อด้วยสองพี่น้องศรีกาญจนา พลอยพยัพ และ พิมพ์พยัพ กล่าวว่า ปกติเราสองคนจะไม่ค่อยชอบพกเงินสดเยอะๆค่ะ เพราะบางทีต้องเวลาออกงานหรือไปเที่ยวเราใช้กระเป๋าใบเล็กๆ เลยไม่อยากใส่อะไรเข้าไปในกระเป๋าเยอะ เวลาใช้จ่ายอะไรเลยจะใช้ผ่านบัตรเครดิตเป็นส่วนใหญ่ เพราะแค่พกบัตรเครดิตใบเดียวก็สามารถตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การช้อปปิ้งของเราสองพี่น้องเลย นอกจากความสะดวกสบายแล้วเรายังสามารถสะสมคะแนนได้ แถมบางร้านก็ยังมีส่วนลดพิเศษให้สำหรับเวลาใช้จ่ายผ่านบัตรด้วย ช้างน้อย -ควิสทา กุญชร ณ อยุธยา และ น้องเอรา -  น้องไอยรินทร์ กุญชร ณ อยุธยา ปิดท้ายด้วย ช้างน้อย-วิสทา กุญชร ณ อยุธยา ที่มาพร้อม น้องเอรา - น้องไอยรินทร์ กุญชร ณ อยุธยา กล่าวว่า ครอบครัวเราจะต้องออกไปข้างนอกทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ เพราะต้องพาน้องเอรา - น้องไอยรินทร์ไปเรียนพิเศษ พอเรียนเสร็จเวลาว่างก็จะต้องหาร้านอาหารอร่อยๆทานกัน บางทีเราก็จะได้ร้านอาหารแปลกๆใหม่ๆมาจากที่บัตรเครดิตแนะนำมาให้ นอกจากนี้บางร้านก็ยังมีโปรโมชั่นส่วนลดพิเศษให้อีก พอทานข้าวเสร็จบางทีก็ต้องแวะซื้อพวกของเล่นตุ๊กตาและเสื้อผ้าให้เด็กๆ ไลฟ์สไตล์การใช้จ่ายก็เลยจะเยอะหน่อยในช่วงวันเสาร์อาทิตย์นี่แหละ ดังนั้นการมีบัตรเครดิตก็เป็นตัวช่วยที่ดีที่ช่วยตอบโจทย์ด้านไลฟ์สไตล์การใช้จ่ายของเราได้พอสมควร

"หมู-พลพัฒน์ อัศวะประภา" ชวนสัมผัสความงามแบบฉบับอาซาว่า Asava ‘GRACE’ A/W 17 กับ Asv ‘At The Ballet’ A/W 17

หมู-พลพัฒน์ อัศวะประภา ดีไซเนอร์และผู้ก่อตั้ง Asava Group จัด 2 แฟชั่นโชว์สุดยิ่งใหญ่นำเสนอความงดงามตามนิยามของอาซาว่าในคอลเลกชั่นกับ Asava ‘GRACE’ Autumn/Winter’ 2017 และชวน สัมผัสมนต์เสน่ห์ของบัลเล่ต์ ในคอลเลกชั่น Asv ‘At The Ballet’ Autumn/Winter’ 2017 ภายในงานมีดาราและเซเลบริตี้มากมายที่ควงกันมาอัพเดทเทรนด์ถึงขอบรันเวย์กันอย่างคับคั่ง ณ ลานเซ็นทรัลเวิลด์ สแควร์ หน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ในคอลเลกชั่น Asava ‘GRACE’ ประจำฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว 2017-2018 เกิดจากพื้นฐานปรัชญาความเชื่ออันถ่องแท้ของ หมู-พลพัฒน์ อัศวะประภา ว่าความงดงามนั้นมาจากภายในและสะท้อนออกมาสู่ภายนอก ซึ่งคอลเลกชั่นนี้จึงเป็นการกลับมาสู่จุดเริ่มต้นของแบรนด์ที่ไม่ยึดติดกับแฟชั่นหรือเทรนด์ใดๆ แต่จะคำนึงถึงเสื้อผ้าที่สามารถถ่ายทอดความคิด ความสง่างาม บอกเล่าความเป็นผู้หญิงยุคใหม่ที่ผสมผสานความแข็งแกร่งและความอ่อนหวานได้อย่างลงตัว Asava ‘GRACE’ A/W 17 มีการหยิบยกเอาซิลลูเอทอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์มาผสมผสานไปกับการซ้อนทับเลเยอร์และเสื้อแขนกุด เพื่อสร้างมิติที่ดูแปลกตา สำหรับคู่สีในฤดูกาลนี้ ถูกนำเสนอผ่านโทนสีที่คุ้นเคยอย่าง สีขาว สีดำ สีเบจ และสีเทา มาผสมผสานกับโทนสีที่ให้ความรู้สึกร่วมสมัยมากยิ่งขึ้น เช่น สีงาช้าง สีน้ำเงินคราม สีแดงลิปสติก และสีชมพูแกมม่วง ช่วยเพิ่มมิติให้แก่คอลเลกชั่นนี้ได้เป็นอย่างดี Asv ‘At The Ballet’ A/W 17 ส่วนคอลเลกชั่น Asv ‘At The Ballet’ ประจำฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว 2017-2018 ได้ดึงเอากลิ่นอายของอารยธรรมปรัชญาคู่ขนาน (Paradox world) ที่มีทั้งความอ่อนหวานแบบเฟมินีน (Feminine) และความแข็งแกร่งอย่างมาสคิวลีน (Masculine) ผสมผสานไปกับศิลปะการเต้นชั้นสูงอย่าง บัลเล่ต์ (Ballet) ภายใต้แกนนำของ อลิเซีย อลอนโซ่ (Alicia Alonso) ผู้ปฏิวัติและก่อตั้งคณะบัลเล่ต์แห่งชาติของคิวบา มารังสรรค์ผ่านโครงสร้างชุดในรูปแบบต่างๆ โดยมี เสื้อไหล่เดียว (One shoulder) ที่สวมใส่คู่กับกางเกงขาบาน (Flared trousers) ที่ได้แรงบันดาลใจจากชุดของนักบัลเล่ต์ที่สวมใส่ทูทู (Tutu) มาเป็นซิลลูเอทที่เป็นเอกลักษณ์ในคอลเลคชั่นนี้ ทั้งหมดถูกถ่ายทอดผ่านคู่สีดีเอ็นเอหลักของแบรนด์ อย่างสีขาว สีแดง สีน้ำเงิน เคียงคู่ไปกับสีพิเศษที่เป็นสัญญาณของฤดูหนาวอันได้แก่ สีเทา (Earl Grey) สีเขียวโอลีฟ (Olive Green) สีทะเลทราย (Evening Sand) รวมถึง สีชมพูฟูเชียร์ (Fuchsia Red) และสีพีช (Peach Parfait) ที่เสริมความเป็นเฟมีนินให้แก่คอลเลกชั่นได้อย่างลงตัว พบกับเสื้อผ้าของ Asava ‘GRACE’ และ Asv ‘At The Ballet’ คอลเลกชั่นฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว 2017-2018 ได้แล้วที่ชั้น 1 โซนดีพาร์ทเมนท์สโตร์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน, ชั้น 2 โซนไทยไทย ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลชิดลม, ชั้น 2 โซนคิวเรเตอร์ ตึกวอเตอร์ฟอลควอเทียร์ ศูนย์การค้า ดิ เอ็ม ควอเทียร์, ชั้น 2 โซนดีพาร์ทเมนท์สโตร์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่าลาดพร้าว และ อาซาว่ากรุ๊ป แฟล็กชิพ สโตร์ ซ.สุขุมวิท 45

"สบายอารมณ์" เครื่องสำอางภูมิปัญญาไทยเจาะตลาดจีน

บริษัท เค อินโนเวชั่น จำกัด ที่ปรึกษาด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์ดิจิตอลออนไลน์ให้กับลูกค้าองค์กรขนาดกลางและใหญ่ ก้าวสู่ปีที่ 7 ขยายธุรกิจเจาะตลาดประเทศจีน พร้อม เปิดตัวทีมงาน Mango Ads China นำ "สบายอารมณ์" บุกจีน ชูวิสัยทัศน์ที่จะเป็นแบรนด์เครื่องสำอางภูมิปัญญาไทยที่ล้ำสมัยหนึ่งในใจนักท่องเที่ยวจีน ปณิชา ชาญฤทธิเสน Director of Account Management บริษัท เค อินโนเวชั่น จำกัด, กิตติพล ลีปิพัฒนวิทย์ Managing Director และ ภากร กัทชลี Head of Mango Ads China กล่าวว่า เริ่มแรกในปี 2556 เราจัดทำ Facebook page “อ้ายจง” เพื่อถ่ายทอดข้อมูลในแง่มุมใหม่ๆ ของจีนเพื่อเป็นประโยชน์ให้กับคนไทย ปณิชา ชาญฤทธิเสน ต่อมาได้จัดตั้งทีม MangoAds China เริ่มเปิดตลาดออนไลน์ในประเทศจีนตั้งแต่ต้นปี 2560 โดยมีสื่อออนไลน์ของตัวเองบน Weibo เพื่อนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับไทยในทุกแง่มุม ทั้งท่องเที่ยว ข่าวสาร สินค้าบริการไทย ปัจจุบันมีคนจีนที่สนใจประเทศไทยติดตามกว่าหนึ่งแสนคน สนับสนุนกลยุทธ์ในการทำตลาดและประชาสัมพันธ์สินค้าไทยและบริการไทยร่วมกับ Social Tools อื่นๆ เช่น Wechat, Baidu, Youkuเป็นต้น ความสำเร็จที่ผ่านมา คือการได้ร่วมงานกับ "สบายอารมณ์" แบรนด์เครื่องสำอางและเครื่องหอมจากธรรมชาติของไทย ซึ่งเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติค่อนข้างมากโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน โดยเป้าหมายของเราคือการเป็นที่ปรึกษาพร้อมทีมงานที่เชี่ยวชาญจริงทั้งออฟไลน์และออนไลน์ อย่างยั่งยืน และเน้นพัฒนาสื่อของเรา และทำการตลาดให้ผู้ประกอบการไทยอย่างครบวงจร และที่ผ่านมาต้องขอขอบพระคุณ ท่านสุชาติ เลียงแสงทอง เอกอัครราชทูต ณ กรุงอิสลามาบัด อดีตกงสุลใหญ่ ณ นครคุนหมิง และศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในจีน ประจำสถานกงสุลใหญ่ ณ นครคุนหมิง ที่ให้คำแนะนำและโอกาสในช่วงเริ่มต้นธุรกิจอีกด้วย ศศธรณ์ ณ สงขลา ศศธรณ์ ณ สงขลา เจ้าของและผู้บริหารบริษัท ออเทนติคไทยสปา กล่าวว่า สบายอารมณ์เป็นสินค้าที่มาจากธรรมชาติ มีส่วนผสมและสารสกัดจากธรรมชาติสูงและปราศจากสารเคมีที่อาจเป็นอันตราย ซึ่งปัจจุบันกระแสการรักสุขภาพ Clean Living การหาเสพความสุขง่ายๆจาก Experience กำลังมาแรงในทุกๆประเทศ เป็น Global Trend เลยก็ว่าได้ และเชื่อว่าเป็นกระแสที่ยั่งยืน พร้อมกันนี้ประเทศไทยก็ยังเป็นประเทศที่มีศักยภาพด้านสมุนไพรที่ทางรัฐให้การสนับสนุนจริงจัง สิ่งเหล่านี้ทำให้เราเชื่อมั่นในการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน ลูกค้าของสบายอารมณ์ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่นิยมสินค้าสปาของไทย โดยวันนี้มีวิสัยทัศน์ที่จะเป็นแบรนด์เครื่องสำอางภูมิปัญญาไทยที่ล้ำสมัย เป็นที่หนึ่งในใจนักท่องเที่ยวและผู้บริโภคไทย และมุ่งมั่นที่จะผลิตสินค้าดูแลผิวคุณภาพ ที่ใช้วัตถุดิบไทยท้องถิ่นรวมถึงสร้างความสุขจากการพัฒนาบุคลากรภายในองค์กรและสังคม ... สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://mangoadschina.com , http://kinnovation.co.th และ http://sabai-arom.com

“ปันกัน Share-rity Room” เพื่อน้องด้อยโอกาส

สยามดิสคัฟเวอรี่ ดิเอ็กซ์พลอราทอเรียม นำโดย อุสรา ยงปิยะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามพิวรรธน์ รีเทล โฮลดิ้ง จำกัด ร่วมกับ มูลนิธิยุวพัฒน์, บริษัท คลับ 21 (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท มาสเตอร์พีซ ออร์กาไนเซอร์ จำกัด จัดโครงการ “ร่วมด้วย ช่วยปัน” เปิดพื้นที่ร้าน “ปันกัน Share-rity Room” (ปันกัน แชร์ ริตี้ รูม) โดย ฐาปนีย์ สินาดโยธารักษ์ กรรมการผู้จัดการร้านปันกัน ชวนทุกคนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือเด็กนักเรียนที่ขาดโอกาส เพื่อร่วมระดมสิ่งของแบ่งปันเพื่อนำไปจำหน่าย โดยรายได้ทั้งหมดจะนำไปเป็นทุนการศึกษาให้แก่เด็กนักเรียนมูลนิธิยุวพัฒน์ ตามแนวทางสังคมแห่งการแบ่งปันอย่างยั่งยืน 	ม.ร.ว.จันทรลัดดา ยุคล - เกล็ดดาว พานิชสมัย ม.ร.ว.จันทรลัดดา ยุคล กล่าวว่า เมื่อทราบข่าวจากสยามดิสคัฟเวอรี่เปิดห้อง ปันกัน Share-rity Room เพื่อให้ทุกคนนำของที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์แต่ยังอยู่ในสภาพดีมาแบ่งปันให้แก่น้องๆ ที่ขาดโอกาส เพื่อแลกเปลี่ยนเป็นทุนการศึกษาให้เด็กในมูลนิธิยุวพัฒน์ จึงได้นำเสื้อแจ็กเก็ตยีนส์ตัวโปรดที่ในปัจจุบันไม่ได้ใส่แล้วเนื่องด้วยสไตล์การแต่งตัวที่เปลี่ยนไป แต่คิดว่าน่าจะมีประโยชน์ต่อคนอื่น สำหรับแจ็กเก็ตตัวนี้มีดีไซน์ที่สวยเท่และเก๋ไม่ซ้ำใคร อยากเชิญชวนผู้สนใจที่ชอบใส่เสื้อแจ็กเก็ตยีนส์มาร่วมอุดหนุนเพื่อสมทบทุนมูลนิธิฯ สามสาวเซเลบริตี้รุ่นใหม่ ร่วมกันแบ่งปันเสื้อผ้า ด้าน เกล็ดดาว พานิชสมัย กล่าวว่า เพราะการศึกษาคือรากฐานของชีวิต มีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อเยาวชนไทย เมื่อทราบข่าวโครงการนี้ช่วยสนับสนุนด้านการศึกษา ก็นำแว่นกันแดดและเครื่องประดับซึ่งมีสะสมไว้จำนวนมากและบางอันก็ไม่ค่อยได้ใช้แล้ว ซึ่งถ้าเราเก็บไว้เฉยๆ ก็จะไม่เกิดประโยชน์ แต่เมื่อเราเอาออกมาให้คนอื่นนำไปใช้ต่อก็จะเกิดประโยชน์มากกว่า ซึ่งร้านปันกัน Share-rity Room จะนำไปจำหน่ายแล้วแปรเปลี่ยนเป็นทุนการศึกษาให้แก่เด็กที่ขาดโอกาสภายใต้มูลนิธิยุวพัฒน์ เพื่อให้เด็กเหล่านั้นมีโอกาสที่ได้ศึกษาเล่าเรียน ซึ่งหากทุกคนมาร่วมกันแบ่งปันก็จะเสมือนว่าเราได้ร่วมกันสร้างสังคมอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ภายใน ร้าน “ปันกัน Share-rity Room” ใจกลางสยามนี้ ยังได้รับเกียรติจากเหล่าเซเลบริตี้ ดาราชื่อดัง มาร่วมปันน้ำใจมอบสิ่งของเพื่อระดมทุนการศึกษา อาทิ ชญาภา จูตระกูล, กุณฑิณี ไกรฤกษ์, ม.ล. อรดิศ สนิทวงศ์, ศุทธิภา บุณยัษฐิติ, ตูน บอดี้สแลม, ณเดชน์ คูกิมิยะ,ญาญ่า อุรัสยา, เจมส์ จิรายุ, เจมส์ มาร์, ใหม่ ดาวิกา, เป๊ก ผลิตโชค,ชารีล ชัปปุยส์ และอีกมากมาย สำหรับผู้ที่สนใจสามารถร่วมปันสิ่งของได้ ตั้งแต่วันนี้ – 15 พฤศจิกายน 2560 และร่วมอุดหนุนสินค้าจากร้านปันกันได้ ตั้งแต่วันนี้ - 15 พฤศจิกายน 2560 ณ ร้าน “ปันกัน Share-rity Room” ชั้น M สยามดิสคัฟเวอรี่ ดิเอ็กซ์พลอราทอเรียม หรือสอบถามเพิ่มเติมโทร. 02-658-1000 ต่อ 3400

"T.I.D.E 2017" งานแสดงสินค้านวัตกรรมและการออกแบบ

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ขอเชิญผู้สนใจทั้งในและต่างประเทศ ร่วม งาน Thailand Innovation and Design Expo 2017 (T.I.D.E 2017) ภายใต้แนวคิด CREATE INNOVATE TRANSFORM งานแสดงสินค้านวัตกรรมและการออกแบบ, ผลงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผลงานที่ได้รับรางวัลและเครื่อง หมายรับรองจากหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนในด้านนวัตกรรมและการออกแบบของไทย พบผลงานด้านนวัตกรรมและการออกแบบที่มาร่วมจัดแสดงกว่า 1,000 ผลงาน ครอบ คลุม 9 กลุ่มสินค้า อาทิ สินค้าแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ บรรจุภัณฑ์ การเกษตร สุขภาพและเทคโนโลยีทางการแพทย์ เป็นต้น และยังมีส่วนจัดแสดงผลงานของกลุ่มผู้ประกอบการ Startup อีกกว่า 80 คูหา พื้นที่ค้าปลีก, พื้นที่เจรจาธุรกิจ รวมถึงนิทรรศการของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ที่รวบรวมผลงานการันตีด้วยรางวัลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Design Excellence Award (DEmark), Thailand Trust Mark (T–Mark) ตลอดจนผลงานจากโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาด และยังมีบริการให้คำปรึกษาด้านการออกแบบ และการเสวนาให้ความรู้ที่มีคุณภาพจากผู้บรรยายทั้งในและต่างประเทศ ที่จะมาแบ่งปันองค์ความรู้ด้านนวัตกรรมและการออกแบบ ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อผู้ประกอบการรุ่นใหม่ และประชาชนทั่วไป งาน Thailand Innovation and Design Expo 2017 (T.I.D.E 2017) จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 14-17 กันยายน 2560 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ถนนพระราม 4 .. ผู้สนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 085-6808475, 085-6808394 หรือคลิกเข้าไปดูได้ที่ www.thailandinnodesign.com หรือทาง Facebook : Thailand Innovation and Design Expo ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

“ทาเคโอะ คิคูชิ” ไลฟ์สไตล์แวร์สัญชาติญี่ปุ่น

มร.ฮิเดโอะ คิมูระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิลด์ สหแฟชั่น จำกัด จัดงาน เปิดตัว "ทาเคโอะ คิคุชิ" แฟล็กชิพสโตร์แบรนด์เสื้อผ้าบุรุษยอดนิยมสัญชาติญี่ปุ่น พร้อมจัดแฟชั่นโชว์ภายใต้คอนเซ็ปท์ TOKYO Urban Style ในคอลเลกชั่นออทั่ม/วินเทอร์ 2017 “Roaring Twenties” โดยมี พีรดนย์ ถิระวิศาลศักดิ์, เสาวลักษณ์ วิบูลย์ธนภัณฑ์, มารินทร์ ลีลานุวัฒน์, อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม, โทนี่ รากแก่น และ รัฐนันท์ จรรยาจิรวงศ์ ให้เกียรติร่วมงาน ณ ชั้น 2 สยามพารากอน " แบรนด์ ทาเคโอะ คิคูชิ" เป็นผู้นำแฟชั่นเสื้อผ้าผู้ชายในประเทศญี่ปุ่นมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งในปี 1984 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน แต่มีสองปัจจัยที่แบรนด์ยึดถือมาตลอดคือความเป็น “Tailor” ที่อยู่ในกระบวนการผลิตเพื่อคุณภาพสูงสุดของสินค้าทุกชิ้น และ “Design” ซึ่งเป็นแนวทางด้านสไตล์อันตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ ในยุค ’90s ทาเคโอะ คิคูชิ จับคู่เสื้อนอกและรองเท้าผ้าใบเข้าด้วยกันเป็นคนแรก จึงเป็นต้นกำเนิดแห่งเทรนด์ Casual gentlemen จึงตามมาด้วยไลน์ City Setter กับเสื้อผ้าคุณภาพที่มีสไตล์และใช้งานได้จริงเหมาะกับทั้งคนญี่ปุ่น คนไทย และผู้ชายทั่วโลก นอกจากนี้ ทาเคโอะ คิคูชิ ยังขึ้นชื่อเรื่องการตัดสูทเทเลอร์-เมด ที่ได้รับการวัดและปรึกษาด้านสไตล์โดย Dress master จากโตเกียวเพื่อเป็นการมอบประสบการณ์แห่งความใส่ใจในความสมบูรณ์แบบสไตล์ทาเคโอะให้กับลูกค้าอย่างสูงสุด

พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ เสด็จเปิดงาน Bangkok Gems & Jewelry Fair ครั้งที่ 60

พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด “งานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ หรือ Bangkok Gems & Jewelry Fair ครั้งที่ 60” ซึ่งจัดขึ้นโดย กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตและการค้าอัญมณีและเครื่องประดับของโลก อภิรดี ตันตราภรณ์  ทูลถวายเงินเสด็จพระกุศลตามพระอัธยาศัย เมื่อเสด็จถึงห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ มาลี โชคล้ำเลิศ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์และผู้บริหารหน่วยงานเอกชนที่เกี่ยวข้องร่วมรับเสด็จ จากนั้นทรงเสด็จตัดริบบิ้นเปิด
นิทรรศการแสดงพระอัจฉริยภาพด้านการออกแบบเครื่องประดับที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกภายใต้แบรนด์ SIRIVANNAVARI โดยรวบรวมผลงานตั้งแต่คอลเลกชั่น ปี 2004 มาจนถึงคอลเลกชั่นล่าสุดในปี 2017 มากกว่า 70 ชิ้น
ภายในงานมีการจัดแสดงผลงานการออกแบบเครื่องประดับ และข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับคอลเลกชั่นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมไปถึงภาพถ่ายและภาพฝีพระหัตถ์พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้แก่นักออกแบบไทยรุ่นใหม่ในการพัฒนาฝีมือการออกแบบและพัฒนา แบรนด์สู่ตลาดสากล โดย พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ทรงตรัสว่า “อยากให้ประเทศไทยเป็นฐานของกำลังการผลิตจิวเวอรี่ และใช้แบรนด์สิริวัณณวรีเป็นแฟล็กชิฟสโตร์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ผลิตยุคใหม่ โดยปัจจุบันแบรนด์สิริวัณณวรีเคยไป จัดแสดงยังประเทศต่างๆ อาทิ อิตาลี ฝรั่งเศส หรือ ญี่ปุ่น ซึ่งทางกระทรวงฯ เองตั้งเป้าหมายไว้ว่าภายในอีก 3 ปี จะผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการผลิตจิวเวอรี่ชั้นนำของโลก นอกจากนี้ยังเป็นห่วงเรื่องผ้าไทยที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ทรงริเริ่มไว้ก็อยากให้ใช้ประโยชน์จากผ้าไทยเป็นส่วนหนึ่งของงานจิวเวอรี่ เฉกเช่นที่แบรนด์สิริวัณณวรีเคยออกแบบไว้” ซึ่งในคอลเลกชั่นปี 2004 ของแบรนด์ SIRIVANNAVARI สร้างขึ้นภายใต้แนวพระดำริ “Red Hobby” จากเรื่องของความชื่นชอบในผลงานศิลปะรูปแบบ Pop Art และประสบการณ์ความชื่นชอบรอบๆ ตัว ณ ตอนนั้น เข้ากับวัฒนธรรมกลุ่มย่อยพังค์รวมไปถึงสไตล์ร็อคในยุคปี 1990 มีการเลือกใช้วัตถุดิบที่เป็นลูกปัด หิน และวัตถุดิบที่แปลกใหม่อื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย โดยเน้นไปที่สีสันอันสดใสและหลากหลายเป็นหลัก รวมทั้งยังมีการใช้วัตถุดิบเครื่องเงินและโซ่ในการออกแบบเครื่องประดับสำหรับผู้ชายอีกด้วย สำหรับ คอลเลกชั่นปี 2005 สร้างขึ้นภายใต้แนวพระดำริ “Viva Victorian” ถ่ายทอดผ่านการรวมกันของเรื่องราวในยุคสมัย Victorian เข้ากับวัฒนธรรมกลุ่มย่อยพังค์สมัยใหม่ โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์ที่ฉายในปี 1800 ตอนปลายเรื่อง “Gangs of New York” อีกทั้งยังมีเรื่องราวของภาพวาดและผลงานศิลปะในอดีตเช่น ผลงานของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ขณะที่ คอลเลกชั่นปี 2006 ได้ถ่ายทอดผ่านแนวพระดำริ “Fly to Nouveau” ซึ่งถือเป็นคอลเลกชั่นที่เรียกได้ว่าสามารถพิสูจน์ถึงความก้าวหน้าของวงการแฟชั่นไทย โดยอยู่ภายใต้ความชื่นชอบในเรื่องราวของมุมมองในอดีตปี 1920 ด้านการทหารและอุตสาหกรรม รวมไปถึงเรื่องราวของศิลปะรูปแบบ Art Nouveau จากศิลปินที่ชื่อว่า Alphonse Mucha จึงเป็นคอลเลกชั่น ที่สามารถรวมเอาความแข็งแรงและอ่อนหวานเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัวที่สุด สร้อยคอผลกูสเบอร์รี่ คอลเลกชั่น SRIVANNAVARI 2016 ในปี 2007 เครื่องประดับคอลเลกชั่นนี้อยู่ภายใต้แนวพระดำริ “ฮาร์โมเนียส” ที่ผสมผสานความเป็นไทยโบราณเข้ากับแฟชั่นทันสมัย ทำให้เครื่องประดับที่ทรงออกแบบมีรูปลักษณ์ของความเป็นโอเรียนทัล อาวองต์ การ์ด แบบไทยอย่างชัดเจน มีลวดลายไทย ลายประจำยาม หรือลายดุนตามลายสถาปัตยกรรมของไทย อีกทั้งยังทรงนำความวิจิตรบรรจงของการแกะสลักไม้ของไทยเข้ามาผสมผสานกับงานเครื่องเงินได้อย่างลงตัว ผลงานทรงออกแบบคอลเลกชั่นเครื่องประดับ (Bijoux Collection) ซัมเมอร์ปี 2015 โดดเด่นด้วยตัวเรือนทองที่แสดงถึงสัญลักษณ์และลวดลายต่าง ๆ ที่สื่อถึงความหมายอันดีงามตามความเชื่อในสมัยนีโอคลาสสิค อาทิ ผึ้งบ่งบอกถึงความเป็นอมตะ ช่อมะกอกคือมงกุฎแห่งชัยชนะ ในขณะที่รวงข้าวสื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ เครื่องประดับทุกชิ้นผลิตจากทองเหลืองเคลือบด้วยสีทองขาวและสีทองแฮมมิลตัน ประดับด้วยอัญมณีเพื่อเพิ่มความโก้หรู เช่น อะมีทิส โรสควอร์ท มุกน้ำจืด เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีพลอยสังเคราะห์เจียระไนพิเศษหลากหลายสี ทั้งสีเขียวมรกต สีเหลืองอำพัน สีเขียวมะกอก และสีชมพูแซฟไฟร์ โดยยังคงเอกลักษณ์ของ SIRIVANNAVARI ไว้ได้อย่างลงตัว  คอลเลกชั่น SRIVANNAVARI 2016 คอลเลกชั่นประจำฤดูกาลสปริง/ซัมเมอร์ ปี 2016 มีกลิ่นอายของศิลปะแนวโรแมติคซิซึ่ม (Romanticism) และอิมเพรสชั่นนิสซึ่ม Impressionism โดยเฉพาะอย่างยิ่งสไตล์ภาพวาดของเรอนัวร์ (Renoir) และโมเน่ต์ (Monet) ซึ่งทำให้คอลเลกชั่นนี้ดูอ่อนหวาน มีความเป็นผู้หญิง แต่ก็ยังคงความเซ็กซี่ และโมเดิร์นสปอร์ต เฉกเช่นผู้หญิงของแบรนด์ SIRIVANNAVARI” ดังเห็นได้จากสร้อยโชกเกอร์โลหะทองประดับด้วยไข่มุกที่นำมาร้อยเป็นผลกูสเบอร์รี่ สนับมือและแหวนรูปนกฮัมมิ่งเบิร์ด ไปจนถึงต่างหูทองประดับหินพิมพ์กราฟฟิคลายนกฮัมมิ่งเบิร์ด และปิดท้ายที่ คอลเลกชั่นประจำสปริง/ซัมเมอร์ 2017 เรื่องราวแห่งความรักของชายหญิงคู่หนึ่งจากการเดินทางในท้องทะเลอันไกลโพ้นราวเทพนิยาย ที่เปี่ยมด้วยความทรงจำ ความโรแมนติค และความโศกเศร้าภายใต้ท้องนภาอันกว้างใหญ่ ซึ่งโอบล้อมไปด้วยประกายแห่งแสงจันทร์ ดวงดาวที่พร่างพราย และเส้นขอบฟ้าที่ไม่รู้จบ อันเป็นบทพระนิพนธ์ใน พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ คือแรงบันดาลพระทัยหลักในการทรงงานออกแบบคอลเลกชั่นประจำสปริง/ซัมเมอร์ 2017 ที่โดดเด่นด้วยงานปักชั้นครู ไปจนถึงลายกราฟฟิคฝีพระหัตถ์ ดังเห็นได้จากสร้อยประดับอัญมณีรูปดาว พระจันทร์ ม้าน้ำ แหวนลงยาสัญลักษณ์ตัว S ประดับมุกและลาปิส (Lapis) ต่างหูรูปพระจันทร์เสี้ยว ต่างหูเปลือกมุก และ Ear Cuff รูปดาว ไปจนถึง Hand Cuff ลงยา ไฮไลท์ของคอลเลกชั่นเครื่องประดับคงหนีไม่พ้น เทียร่าโลหะทองรูปดาวและพระจันทร์ประดับมุกพร้อมหวีสับทองในดีไซน์เดียวกัน สร้อยโชกเกอร์โลหะทองรูปดาวและตกแต่งด้วยโซ่ทองระย้า รวมถึง สร้อยสังวาลย์คล้องลำตัวที่ทำจากไข่มุกและโลหะทองรูปปะการัง  ใช้ผ้าไทยเป็นส่วนหนึ่งของงานจิวเวอรี่ โดยแบรนด์สิริวัณณวรี นอกจากนิทรรศการเผยแพร่พระอัจฉริยภาพด้านการออกแบบเครื่องประดับในพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ การแสดงอัญมณีและเครื่องประดับครอบคลุมทุกประเภทสินค้าแล้ว ภายในงานยังมีกิจกรรมไฮไลท์ต่างๆ มากมาย อาทิ นิทรรศการ The Niche Showcase คัดสรร 5 กลุ่มสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับสำหรับตลาดเฉพาะกลุ่มหรือ Niche Markets ที่กำลังมาแรง กิจกรรมสัมมนาให้ความรู้และคำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญ บริการทดสอบอัญมณีเคลื่อนที่บริการภายในงาน โดยสถาบันชั้นแนวหน้าของโลก … ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานได้ที่ www.bkkgems.com หรือ www.facebook.com/bangkokgemsofficial.com