'ไทเชฟ' เปิดตัวพรีเซนเตอร์ 'เก่ง-น้ำปิง' ส่งต่อความอร่อยสูตรลับโดนใจคนรุ่นใหม่

ไทเชฟ แบรนด์ผงปรุงรสยอดขายอันดับ 1 ที่อยู่เคียงข้างธุรกิจอาหารไทยมานานกว่า 10 ปี ล่าสุดสร้างเซอร์ไพรส์ครั้งใหญ่! ดึงสองนักแสดงดาวรุ่งพุ่งแรง เก่ง-หฤษฎ์ บัวย้อย และ น้ำปิง-นภัสกร ปิงเมือง จากซีรีส์สุดฮอต 'เขมจิราต้องรอด' มาเป็นพรีเซนเตอร์คู่แรกของแบรนด์ เพื่อขยายฐานลูกค้าและส่งต่อความอร่อยสู่กลุ่มแฟนคลับคนรุ่นใหม่

นายสมเจตน์ ปัญจวัฒนางกูร (กลาง) กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฟร์ ฟูดส์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผงปรุงรสไทเชฟ เผยว่า ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา ไทเชฟเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยกำลังการผลิตมากกว่า 40 ตันต่อวัน และยังมีให้เลือกมากกว่า 30 รสชาติ โดยมี 5 รสชาติสุดฮิตยอดนิยมที่ขาดไม่ได้คือ บาร์บีคิว, ปาปริก้า, ชีส, ต้มยำ, และวิงค์แซ่บ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจากผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้าที่ต่างไว้วางใจในคุณภาพและความเข้มข้น

จุดเด่นของผงปรุงรสไทเชฟคือความพิเศษที่ไม่เหมือนใคร ด้วยการคัดสรรวัตถุดิบและเครื่องเทศคุณภาพดี ทำให้รสชาติเข้มข้นถึงใจ ใช้เพียงแค่นิดเดียวก็อร่อยล้ำ สามารถนำไปคลุกเคล้ากับอาหารทอดต่าง ๆ เช่น ไก่ทอด, เฟรนช์ฟรายส์, ข้าวแต๋น หรือนำไปผสมผสานสร้างสรรค์เมนูใหม่ ๆ ได้อย่างไม่จำกัด ช่วยเติมเต็มไอเดียและความอร่อยให้กับทุกเมนู

“เก่ง-น้ำปิง” แท็กทีมส่งความอร่อย เตรียมตัวรับชมหนังโฆษณาสุดพิเศษ

การเลือก เก่ง-น้ำปิง มาเป็นพรีเซนเตอร์คู่แรกครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำความตั้งใจของไทเชฟที่จะขยายตลาดสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงและมองหาผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานง่าย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การทำอาหารที่หลากหลาย

"ขอฝากแฟนคลับทุกคนช่วยสนับสนุนแบรนด์ของคนไทย และรอชมหนังโฆษณาตัวแรกของไทเชฟกับพรีเซนเตอร์คู่แรกของเรา ที่บอกเลยว่าดูแล้วจะต้องตกหลุมรักในความน่ารักของทั้งคู่แน่นอน" นายสมเจตน์ กล่าว

อนันดาฯ เตรียมส่งมอบ “คัลเจอร์ จุฬา” คอนโดฯ ทำเลสุดแรร์ ใจกลางจุฬาฯ พร้อมอยู่ไตรมาส 3 นี้

อนันดาฯ เตรียมส่งมอบ “คัลเจอร์ จุฬา” คอนโดฯ ทำเลสุดแรร์ ใจกลางจุฬาฯ ชูแนวคิดความยั่งยืน ด้วยคอมมิวนิตี้แบบคนรุ่นใหม่ พร้อมอยู่ไตรมาส 3 นี้

คุณประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คุณนัฐพล นาคสู่สุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียม 3 คุณอนุรักษ์ ขูรีรัง ประธานเจ้าหน้าที่สายงานก่อสร้าง บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย คุณขจรศักดิ์ ศรีบุญเรือง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ยูเวิร์ค 999 จำกัด ผู้รับเหมางานก่อสร้างหลัก และคุณรังสรรค์ เกียรติยศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอบิวด์ แมเนจเมนท์ จำกัด ผู้บริหารงานและควบคุมงานก่อสร้าง เข้าตรวจความคืบหน้าการก่อสร้างโครงการคัลเจอร์ จุฬา (CULTURE CHULA) คอนโดมิเนียมบนทำเลสุด ‘แรร์ไอเทม’ ท่ามกลางโรงแรมระดับ 5 ดาว ใจกลางจุฬาฯ ใกล้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสามย่านมิตรทาวน์ เพียง 350 เมตรจาก MRT สามย่าน และ 290 เมตร จาก BTS ศาลาแดง

ทั้งนี้ถือเป็นทำเลที่ตอบโจทย์คนเมืองยุคใหม่ ทั้งด้านการเดินทาง การศึกษา การทำงาน และไลฟ์สไตล์ครบวงจร ภายใต้แนวคิด ใหม่ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อสร้างพื้นที่แห่งการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่า ผ่านการออกแบบด้วยแนวคิดความยั่งยืน พื้นที่ใช้สอยในรูปแบบคอมมินูตี้ที่เอื้อต่อการเชื่อมต่อระหว่างลูกบ้าน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน เติมเต็มการอยู่อาศัยในสังคมร่วมสมัย พร้อมบริการด้วยมาตรฐานระดับ World Class Service Experience บริหารงานโดย The Ascott Limited  ที่มอบการบริการเหมือนโรงแรมแบรนด์ระดับโลกในทุกวัน และการดูแลคุณภาพชีวิตผู้อยู่อาศัยภายใต้มาตรฐาน “ANANDA SURE” มั่นใจได้ตั้งแต่รากฐาน โดดเด่นด้วยรูปแบบห้อง New Hybrid Series เพดานสูง 4.3 เมตร รับวิวได้อย่างเต็มตาในมุมมองที่กว้างกว่า พร้อมพื้นที่ส่วนกลางตลอด 24 ชม. ซึ่งขณะนี้การก่อสร้างโครงการมีความคืบหน้าเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ และคาดว่าโครงการจะสร้างเสร็จพร้อมโอนในช่วงเดือนกันยายน 2568

โครงการ คัลเจอร์ จุฬา คอนโดมิเนียม High-Rise 1 อาคาร สูง 32 ชั้น จำนวน 642 ยูนิต ด้วยรูปแบบห้อง New Hybrid Series เพดานสูง 4.3 เมตร รับวิวได้อย่างเต็มตาในมุมมองที่กว้างกว่า พร้อมด้วยพื้นที่ใช้สอยที่ได้รับการออกแบบให้มีฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลาย รองรับการอยู่อาศัยที่แตกต่าง ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัย ด้วย Co-working space, Fitness, Meeting room, VDO call booth ห้องทำงานหรือประชุมส่วนตัว & Live studio ที่ใช้งานแบบ 24 ชั่วโมง สร้างสรรค์ไอเดียทุกช่วงเวลา พร้อมด้วยบริการจาก Ascott Service หรือสามารถนัดคุยกับเพื่อนได้ทันทีผ่านห้องประชุมออนไลน์ Live Studio สำหรับสาย Youtuber และสายช่างภาพ Sky Fitness ตอบทุกสไตล์การออกกำลังกายที่แตกต่าง นอกจากนี้ ใกล้ห้างสรรพสินค้า อาทิ สามย่านมิตรทาวน์ จามจุรีสแควร์ และสยามพารากอน ใกล้สถานศึกษาที่มีชื่อเสียง อาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงเรียนสาธิตมศว. ปทุมวัน รวมถึงใกล้โรงพยาบาลชั้นนำ อาทิ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน และโรงพยาบาลบีเอ็นเอชอีกด้วย

เครือซีพีคว้า 2 รางวัลเก็บขยะเชิงสร้างสรรค์ รองชนะเลิศอันดับ 1 และอันดับ 7 ใน SPOGOMI World Cup 2025 Thailand Qualifiers

เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ร่วมขับเคลื่อนเป้าหมาย Zero Waste 2030 ผ่านกิจกรรมเก็บขยะเชิงสร้างสรรค์ระดับโลก SPOGOMI World Cup 2025 – Thailand Qualifiers โดยผนึกกำลังพนักงานจากบริษัทในเครือ ได้แก่ ซีพีเอฟ, ซีพี ออลล์, ซีพี แอ็กซ์ตร้า, ซีพีพีซี และซีพีแรม พร้อมด้วยเครือข่ายชุมชน ส่งทีมเข้าแข่งขันรวม 13 ทีม โดยปรากฏว่า ทีม “No Name” เยาวชนจิตอาสาจากจังหวัดขอนแก่น ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก ซีพีเอฟ คว้ารางวัล รองชนะเลิศอันดับ 1 และทีม “Zero Waste” พนักงานจาก โรงงานอาหารสำเร็จรูปหนองจอก ซีพีเอฟ คว้าอันดับ ที่ 7 จากผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด 70 ทีม ผลการแข่งขันนี้สะท้อนความสำเร็จของการ “ร้อยเรียงความดีเพื่อพรุ่งนี้ที่ดีกว่า” และการแสดงพลังความร่วมมือระหว่างองค์กรและชุมชนในฐานะ “พลเมืองโลก” ที่ลงมือเปลี่ยนแปลงโลกจากขยะรอบตัว  ทั้งนี้การแข่งขัน SPOGOMI World Cup 2025 – Thailand Qualifiers ที่ผ่านมาได้จัดขึ้น ณ พาร์ค พารากอน สยามพารากอน กรุงเทพฯ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 ก.ค.2568  โดยทีมที่คว้ารางวัลชนะเลิศไปครอง ได้แก่ ทีม “นักวิ่งสวยรักษ์โลก” ซึ่งจะเป็นตัวแทนประเทศไทยไปร่วมแข่งขันรอบชิงชนะเลิศที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในเดือนตุลาคม 2568 ท่ามกลางตัวแทนจากอีก 33 ประเทศทั่วโลก เครือซีพีขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งกับทีม “นักวิ่งสวยรักษ์โลก” ที่สามารถคว้าชัยชนะในเวทีระดับประเทศได้สำเร็จ พร้อมทั้งขอชื่นชมในความตั้งใจ ความมุ่งมั่น และจิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อมของผู้เข้าแข่งขันทุกทีมที่ไม่เพียงสะท้อนถึงศักยภาพของคนไทยในการเป็น “พลเมืองโลก” ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม แต่ยังตอกย้ำว่า “การเก็บขยะ” คือจุดเริ่มต้นของพลังการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน


 
การแข่งขันครั้งนี้มี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยคณะผู้บริหารเครือซีพีที่เข้าร่วมให้กำลังใจ ได้แก่นายวิทวัส ตันติเวสส รองประธานคณะทำงานโครงการครบรอบ 100 ปี เครือซีพี  ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กรและการพัฒนากลยุทธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์  นางกอบบุญ ศรีชัย ผู้บริหารสูงสุด สายงานกิจการองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ ซีพีเอฟ นายศุภฤกษ์ อาจราชกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานกลยุทธ์ ซีพี ออลล์ นางนภัสจิรา อิงคโรจน์ฤทธิ์ ผู้จัดการอาวุโส ส่วนกิจกรรมเพื่อสังคมและความยั่งยืนองค์กร ซีพี แอ็กซ์ตร้า และนางกฤติกา สินสวัสดิ์ ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายระบบมาตรฐานคุณภาพและความยั่งยืนองค์กร ซีพีพีซี
 
นายวิทวัส ตันติเวสส รองประธานคณะทำงานโครงการครบรอบ 100 ปี เครือซีพี กล่าวว่า “วันนี้ ทุกคนร่วมมือกันเก็บและคัดแยกขยะอย่างถูกต้อง ช่วยให้สามารถนำไปกำจัดหรือนำกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างเหมาะสม สิ่งเหล่านี้อาจดูเล็กน้อยในวันนี้ แต่จะกลายเป็นพลังสำคัญในการจุดประกายให้คนไทยทุกคนลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลง ร่วมกันดูแลสิ่งแวดล้อม และสร้างโลกที่ดีกว่าสำหรับอนาคต”
 
“แม้ทีมของเราจะไม่ได้คว้าชัยชนะอันดับหนึ่ง แต่ทีม ‘No Name’ และทีม ‘Zero Waste’ ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า พลังเล็ก ๆ จากหัวใจอาสาสามารถจุดกระแสและสร้างแรงกระเพื่อมให้สังคมไทยตระหนักถึงบทบาทของตนในฐานะ ‘พลเมืองโลก’ และที่สำคัญ เราเชื่อมั่นว่า ‘ขยะ’ ไม่ใช่ภาระ แต่คือโอกาสในการเปลี่ยนแปลงโลกให้ยั่งยืน หากเราร่วมมือกันอย่างจริงจัง กิจกรรมในวันนี้ถือเป็นอีกภารกิจหนึ่งที่สำคัญภายใต้ซีพีร้อยเรียงความดีเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน โดยได้รวมพลังของพนักงานและชุมชน ที่ซีพีและบริษัทในเครือร่วมสนับสนุนให้เข้าร่วมแข่งขันเก็บขยะแบบสร้างสรรค์ ด้วยความเชื่อว่า การดูแลสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่คือความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ลุกขึ้นมาแสดงพลังอย่างน่าชื่นชม ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนสอดคล้องกับเป้าหมายของเครือซีพีในการก้าวสู่ Zero Waste ภายในปี 2030”
 

สำหรับ ทีม “No Name” ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากซีพีเอฟ คว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 มีสมาชิกคือ นายอธิลักษณ์ หม่วยนอก, นางสาวกัลยา บุญเพชร และนายยุทธนา บุญเพชร ซึ่งเป็นกลุ่มเยาวชนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมจากจังหวัดขอนแก่น  พวกเขากล่าวว่า “เราเป็นกลุ่มเยาวชนที่ทำเพจเก็บขยะอยู่แล้ว ทางซีพีเอฟเห็นผลงานจึงชักชวนให้มาร่วมแข่งขัน ถือเป็นประสบการณ์ที่น่าภูมิใจ แม้จะไม่ได้ไปญี่ปุ่น แต่การได้เป็นรองชนะเลิศอันดับ 1 คือกำลังใจสำคัญที่ทำให้เราต้องสู้ต่อ และอยากเชิญชวนทุกคนเริ่มเปลี่ยนแปลงจากการแยกขยะที่บ้าน โลกจะดีขึ้นได้ หากเราเริ่มจากตัวเอง”
 
ส่วนทีม Zero Waste จากโรงงานอาหารสำเร็จรูปหนองจอก ซีพีเอฟ มีสมาชิก 3 คน คือ นางสาวสิริพรรษา ป้อมถาวร, นายณัฐพร แฟงทอง และ นางสาวนิดา ปานรังสี ทีมนี้ได้คะแนนอันดับ 7 กล่าวว่า “เชื่อในพลังของการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่ สู่แรงบันดาลใจในการเข้าร่วม Spogomi ซึ่งแต่ละคนเคยมีประสบการณ์จากกิจกรรม CSR ของบริษัทมาแล้ว การมาร่วมแข่งขันในครั้งนี้ถือเป็นประสบการณ์ที่ดี และจากความตั้งใจที่อยากจะสร้างสังคมปลอดขยะ พร้อมส่งต่อแนวคิด Zero Waste ให้กับคนรอบข้าง จึงเชื่อว่าการแข่งขันนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของชัยชนะ แต่คือการร่วมมือกันเพื่อโลกที่ดีกว่าของเราทุกคน  ทุกคนสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงได้ เริ่มต้นจากการไม่ทิ้งขยะในที่สาธารณะ”
 
กิจกรรม SPOGOMI ครั้งนี้ไม่เพียงแค่สร้างสีสันในวันแข่งขัน แต่ยังจุดประกายจิตสำนึกใหม่ของการ “ร้อยเรียงความดีเพื่อพรุ่งนี้ที่ดีกว่า” ด้วยพลังจากคนเล็ก ๆ ที่เชื่อว่าโลกใบนี้สะอาดขึ้นได้ หากเราทุกคนลงมือพร้อมกัน นอกจากการแข่งขันซีพียังมีการติดตั้งนวัตกรรมฟอกอากาศ “ฟ้าใส” โดย RISC และกิจกรรมสร้างสรรค์จากบริษัทในเครือ อาทิ บูธ Plastic with Purpose โดย ซีพีเอฟ, โซนสินค้าจากขยะรีไซเคิลโดยชุมชนบางหญ้าแพรก และเวิร์กช็อป Green Packs จาก ซีพีพีซี
 
การแข่งขันจัดขึ้นโดยนำหลักการของ SPOGOMI—ที่ผสมคำว่า Sport + Gomi (ขยะ) ตั้งแต่ปี 2008 โดย มามิทสึกะ เคนอิชิ—มาใช้ ผู้แข่งขันทีมละ 3 คน แข่งเก็บและคัดแยกขยะภายในพื้นที่‑เวลาเฉพาะ คะแนนวัดจากปริมาณและประเภทขยะ เพื่อส่งเสริมสุขภาพและสิ่งแวดล้อมควบคู่กัน โดยการแข่งขันในประเทศไทยครั้งนี้ถือเป็นครั้งใหญ่ที่มีผู้สมัครร่วมแข่งขันมากที่สุดในโลก โดยมีผู้ผ่านการคัดเลือกเข้าแข่งขันกว่า 70 ทีม เก็บขยะได้ทั้งหมด 492.56 กิโลกรัม ภายใน 1 ชั่วโมง

“ดีพร้อม” พัฒนาวิสาหกิจไทย ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ชุมชนโตไกลสู่สากล

"ดีพร้อม" พัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนและวิสาหกิจไทย ภายใต้นโยบาย “ดีพร้อมคอมมูนิตี้ ที่นี่มีแต่ให้” นำเทคโนโลยีเอไอ เข้ามาร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนให้ทันสมัย ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ พร้อมพาวิสาหกิจไทยโตไกลสู่สากล ตั้งเป้าปี 2568 พัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนและผู้ประกอบการ 1,000 ราย สร้างมูลค่าเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 700 ล้านบาท

นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า หนึ่งในภารกิจสำคัญของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) คือ ส่งเสริม พัฒนา และสนับสนุนการยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชน เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับสินค้าชุมชน ให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงช่วยดึงดูดความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งจะมีส่วนช่วยสร้างโอกาส สร้างรายได้ และช่วยเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการและวิสาหกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

โดยรูปแบบการพัฒนา และสนับสนุนการยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนของดีพร้อม การดำเนินงานตามนโยบาย “ดีพร้อมคอมมูนิตี้ ที่นี่มีแต่ให้” ผ่านกลยุทธ์ “ให้โอกาสโตไกล” โดยการพัฒนาและยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดด้วยนวัตกรรมใหม่ๆอาทิ ระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ (AI) สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและพัฒนาให้สินค้ามีมาตรฐานระดับสากล สร้างแบรนด์และสร้างคอนเทนต์ รวมถึงสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์  ผ่านอัตลักษณ์ ลักษณะเด่น เพื่อสร้างสรรค์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เชื่อมโยงกับ Soft Power ตลอดจนผลักดันผลิตภัณฑ์ชุมชนสู่ Premium Product อันจะส่งผลให้เกิดการลงทุน การจ้างงาน และกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่มากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาศักยภาพทางการตลาดให้กับผู้ประกอบการ เช่น สนับสนุนการจับคู่ธุรกิจ เพื่อผลักดันให้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการพัฒนาแล้ว ได้ออกสู่เชิงพาณิชย์ ตลอดจนนำผู้ประกอบการไปร่วมออกบูธเพื่อจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ตามงานต่างๆ เพื่อขยายฐานลูกค้าให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และยังเป็นการเปิดโลกให้ผู้ประกอบการ ได้ต่อยอดไอเดียเพื่อนำไปพัฒนาผลิตภัณฑ์

ทั้งนี้ที่ผ่านมา กองพัฒนาอุตสาหกรรมชุมชน กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่พัฒนาและยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชน มีผลิตภัณฑ์ที่กองอุตสาหกรรมชุมชนร่วมกับผู้ประกอบการสามารถพัฒนาขึ้นจนเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สามารถตอบโจทย์ยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงสามารถแก้ไข Pain Point ในการใช้ชีวิตประจำวันของผู้บริโภค โดยผลิตภัณฑ์เด่น ๆ อาทิ กระเป๋ามาร์คาเม่จากวัสดุฝาเปิดกระป๋อง แบรนด์ ARTCREWARMADE ผลิตจากฝาเปิดกระป๋อง เป็นการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ควบคู่กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยเน้นการออกแบบที่มีสไตล์ ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ที่ต้องการสินค้าที่มีเรื่องราวโดดเด่น ใช้งานได้จริง มีความทนทาน วาฟเฟิลซาโยเต้กรอบ แบรนด์ ซาโยเต้ ผลิตจากมะระหวานแม่กำปอง พื้นที่ยังมีความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ ทำเกษตรกรรมแบบไม่ใช้สารเคมี จึงมีความสด กรอบ อร่อย ผลใหญ่ มีคุณภาพดี จึงนำมาพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตและให้ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้น อะโวคาโดผง high phytonutrients แบรนด์ วริบูรณ์ อะโวคาโดจากพื้นที่วังน้ำเขียว จากวิถีเกษตรธรรมชาติ ไม่ใช้สารเคมีป้องกันแมลง สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคว่ามีคุณภาพดีสะอาดและปลอดภัย นำมาแปรรูป เพื่อให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยสามารถนำผงอะโวคาโด ชงดื่ม ง่าย สะดวก มีคุณค่า ประโยชน์ครบถ้วน เป็นต้น

สำหรับ ดีพร้อม ในฐานะหน่วยงานภาคีของกรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ได้นำผลิตภัณฑ์ชุมชนที่ได้รับการพัฒนาและยกระดับจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ภายใต้โครงการยกระดับธุรกิจอุตสาหกรรมและวิสาหกิจชุมชน ประจำปี 2567 จำนวน 22 ผลิตภัณฑ์ ไปจัดแสดงและจำหน่ายในงาน OTOP MID YEAR 2568 ระหว่างวันที่ 7 - 15 มิถุนายน 2568 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2 โซน 26 อิมแพ็ค เมืองทองธานี  พร้อมนำผลิตภัณฑ์โอทอปที่ผ่านการพัฒนาจากดีพร้อม และผ่านการคัดสรรสุดยอดหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ไทย ประจำปี 2567 และ 2568 ในระดับ 3 – 5 ดาว จำนวน 36 บูธ ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ผ้าและเครื่องแต่งกาย ผลิตภัณฑ์ของใช้ ของตกแต่ง ของที่ระลึก ผลิตภัณฑ์อัญมณีและเครื่องประดับ  ผลิตภัณฑ์สมุนไพร และผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป ไปออกบูธจำหน่ายสินค้าในงานด้วย

“ดีพร้อมคาดว่าตลอด 9 วันของการจัดกิจกรรมในงาน OTOP MID YEAR 2025 จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ช่วยสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการและวิสาหกิจชุมชนของดีพร้อม และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ไม่น้อยกว่า 7 ล้านบาท ดังนั้น คาดการณ์ว่าในส่วนโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนที่กองพัฒนาอุตสาหกรรมชุมชน จะดำเนินการในปี 2568 นี้ จำนวน 1,000 ราย จะช่วยสร้างมูลค่าเศรษฐกิจได้ไม่ต่ำกว่า 700 ล้านบาท ” นางสาวณัฏฐิญากล่าว

 

Coding Thailand 2025: AI-Driven Future เปิดประตูสู่อนาคตดิจิทัล ปั้นกำลังคนดิจิทัลรุ่นใหม่

ในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงรวดเร็วด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ทักษะ Coding และ AI ไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่กลายเป็นทักษะสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมยุคใหม่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตอกย้ำภารกิจสำคัญในการพัฒนากำลังคนดิจิทัลของประเทศด้วยการเดินหน้าโครงการ "Coding Thailand 2025: AI-Driven Future" มุ่งสร้างโอกาสให้ครูและเยาวชนไทยได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะดิจิทัล พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคต

วันที่ 11 มิถุนายน 2568 ในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงรวดเร็วด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ทักษะ Coding และ AI ไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่กลายเป็นทักษะสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมยุคใหม่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตอกย้ำภารกิจสำคัญในการพัฒนากำลังคนดิจิทัลของประเทศด้วยการเดินหน้าโครงการ "Coding Thailand 2025: AI-Driven Future" มุ่งสร้างโอกาสให้ครูและเยาวชนไทยได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะดิจิทัล พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคต

ในปี 2568 นี้ depa รับสมัครทีมจากสถานศึกษาทั่วประเทศรวมกว่า 800 ทีม ประกอบด้วย ครู 1 คนและนักเรียน 3 คน ต่อทีม เข้าร่วมกระบวนการเรียนรู้และแข่งขันอย่างเข้มข้น ผ่านกิจกรรมหลักสำคัญ ดังนี้

1. อบรมออนไลน์ เสริมทักษะก่อนเข้าร่วมกิจกรรม Acceleration (15 – 30 มิถุนายน 2568)

2. กิจกรรม Coding & AI Acceleration จำนวน 8 ครั้ง ทั่วประเทศ (23 มิถุนายน – 8 สิงหาคม 2568)

3. กิจกรรม Regional Coding & AI Competition การแข่งขันประยุกต์ใช้องค์ความรู้ด้าน Coding และ AI เพื่อพัฒนานวัตกรรมดิจิทัล พร้อมการนำเสนอแนวทางพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการศึกษาและเทคโนโลยีอย่างยั่งยืนของสถานศึกษา (13 สิงหาคม – 10 กันยายน 2568)

4. กิจกรรม Coding & AI Incubation เสริมศักยภาพเข้มข้น ให้พร้อมต่อยอดนวัตกรรมดิจิทัล ก่อนเข้าร่วมการแข่งขันระดับประเทศ (13 กันยายน 2568)

5. กิจกรรม National Coding & AI Competition การแข่งขันเพื่อคัดเลือกสุดยอดนวัตกรรมระดับประเทศ (3 – 5 ตุลาคม 2568)

ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่ 28 พฤษภาคม - 13 มิถุนายน 2568 ที่เว็บไซต์: https://www.depa.or.th/codingthailand  ติดตามข่าวสารที่ Facebook: CodingThailand by depa

นอกจากนี้ โครงการยังเน้นสร้างทักษะที่สามารถประยุกต์ใช้งานจริงได้ ผ่านการเรียนรู้แบบ hands-on workshops ภายใต้การนำของทีมอาจารย์และผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ และภาคเอกชน พร้อมส่งเสริมครูและเยาวชนให้สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ตอบโจทย์สังคมและเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

National ITMX จับมือพันธมิตรชั้นนำ เปิดเวที Hackathon “Hack to the Max Season 2” ผลักดันคนรุ่นใหม่ ปั้นไอเดียพลิกโฉมอนาคตการเงินไทย

บริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ จำกัด (National ITMX) ประกาศเปิดตัวโครงการ “Hack to the Max Season 2: Shaping the Next Evolution of Financial Innovation” อย่างเป็นทางการในงานแถลงข่าว ณ Next Tech, Siam Paragon ยกระดับการแข่งขัน Hackathon ด้านนวัตกรรมการเงินดิจิทัลแห่งปี พร้อมผนึกกำลังพันธมิตรภาคเอกชน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, ExpresSo NB และ Techsauce รวมถึง 5 มหาวิทยาลัยชั้นนำ ได้แก่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, คณะ วิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ ลาดกระบัง และบางมด เพื่อสร้างระบบนิเวศแห่งการเรียนรู้และต่อยอดนวัตกรรมร่วมกับเยาวชนไทย

โครงการ Hack to the Max จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยมีเป้าหมายในการเปิดเวทีให้นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ได้แสดงศักยภาพด้านเทคโนโลยีทางการเงินอย่างเต็มที่ เปิดรับสมัครผู้สนใจตั้งแต่ 19 พฤษภาคม - 30 มิถุนายน 2568 โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักคือ นักเรียน นักศึกษา เหล่านักพัฒนา นักสร้างสรรค์ และประชาชนทั่วไปที่มีความสนใจในเทคโนโลยีด้านโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินดิจิทัล ไม่จำกัดวุฒิการศึกษา ผู้สมัครต้องมีอายุระหว่าง 18-25 ปี

นายฉัตรชัย ดุษฎีโหนด กรรมการผู้จัดการ บริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ จำกัด หรือ NITMX กล่าวว่า โครงการ Hack to the Max Season 2 ครั้งนี้สะท้อนพันธกิจของ NITMX ที่มุ่งสร้างรากฐานการเงินดิจิทัลให้ทันสมัยและยั่งยืน โครงการนี้ไม่ได้เป็นเพียงเวทีแข่งขัน แต่คือพื้นที่ปลูกฝังและเชื่อมโยง Tech Talent กับภารกิจระดับประเทศ เป็นเวทีสร้าง Community ของคนที่อยากเปลี่ยนอนาคตการเงินไทยให้ดีขึ้นด้วยพลังของนวัตกรรม เราตั้งใจให้โครงการนี้เป็นพื้นที่ที่ทุกคนรู้สึกได้ว่า “เราเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างประเทศ” ไม่ว่าคุณจะเป็นนักศึกษา นักพัฒนา หรือผู้ประกอบการในอนาคต นี่คือจุดเริ่มต้นของการเติบโตไปด้วยกัน 

นายฉัตรชัย กล่าวต่อว่า “เราไม่ได้คาดหวังแค่ไอเดียเจ๋ง ๆ หรือทีมที่ชนะเลิศเท่านั้นครับ แต่เราคาดหวังว่า Hackathon ครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเชื่อมโยงน้อง ๆ คนเก่ง กับภารกิจสำคัญระดับประเทศ เราหวังจะได้เห็นไอเดียที่กล้าท้าทายระบบการเงินเดิม กล้าใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างโซลูชันใหม่ ๆ และที่สำคัญที่สุด เราต้องการสร้าง ระบบนิเวศแห่งการเรียนรู้และการต่อยอดนวัตกรรม ที่เติบโตไปพร้อมกับเยาวชนไทย ระบบนิเวศที่ทำให้น้อง ๆ ได้เห็นจริงว่าทักษะ ความรู้ และวิธีคิดแบบใดที่เป็นที่ต้องการของตลาด และไม่ใช่แค่เข้าใจ แต่ได้ลงมือ ได้รับการสนับสนุนจากทั้งสถาบันการศึกษาไปจนถึงภาคอุตสาหกรรม เราเชื่อว่าระบบนิเวศนี้จะเป็นพื้นที่ที่หล่อเลี้ยงนวัตกรรมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และจะเป็นจุดที่เชื่อมระหว่างความฝันของน้อง ๆ กับโอกาสที่จับต้องได้จริง เราอยากให้ผู้เข้าร่วมทุกคนรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง และอยากให้พวกเขาได้กลับมาเชื่อมโยงกับ NITMX ไม่ว่าจะในฐานะผู้ร่วมงาน พันธมิตร หรือผู้สร้างนวัตกรรมในอนาคตครับ”

สำหรับโครงการ Hackathon 2025: Hack to the Max - Season 2 ในปีนี้มีการแบ่งออกเป็น 2 โจทย์ที่ท้าทาย ภายใต้ธีม "Building Trusted Payment Ecosystem" ซึ่งเป็นโจทย์การแข่งขันที่ตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของอุตสาหกรรมการเงินไทย ได้แก่ 

โจทย์ที่ 1. Next-gen Payment Solutions for Financial Future ปฏิวัติอนาคตการชำระเงินไทย เป็นการร่วมออกแบบนวัตกรรมการชำระเงินแห่งอนาคตที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าระบบการทำธุรกรรมดิจิทัลไทยให้ก้าวล้ำนำสมัย โดยไม่จำกัดกรอบความคิดเพียงเทคโนโลยีปัจจุบัน ท้าทายให้ผู้เข้าแข่งขันพลิกโฉมระบบการเงินแบบเดิมสู่ประสบการณ์การชำระเงินที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และไร้รอยต่อ ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง

โจทย์ที่ 2. Secured Payment Solutions เสริมความปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่นในระบบการเงินไทย โจทย์การแข่งขันนี้ผู้เข้าแข่งขันจะต้องนำเสนอนวัตกรรมด้านความปลอดภัยที่จะยกระดับความน่าเชื่อถือของระบบการเงินไทย ไม่ว่าจะเป็นระบบตรวจจับและป้องกันการฉ้อโกงประสิทธิภาพสูง กลไกการแจ้งเตือนและตอบโต้ธุรกรรมเสี่ยง หรือแพลตฟอร์มความร่วมมือระหว่างองค์กรเพื่อปกป้องผู้บริโภคจากภัยคุกคามทางการเงินรูปแบบใหม่

ทั้งนี้ผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดที่สมัครเข้ามานั้นจะถูกคัดเลือกให้เหลือเพียง 15 ทีมสุดท้ายที่มีแนวคิดโดดเด่น เพื่อเข้าร่วมนำเสนอผลงานในกิจกรรม Pitching Day ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-7 กันยายน 2568 สำหรับทีมที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับโอกาสทองในการทำงานใกล้ชิดกับผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าจาก National ITMX และพันธมิตรชั้นนำตลอดโครงการ เพื่อพัฒนาแนวคิดให้เป็นต้นแบบนวัตกรรมที่พร้อมต่อยอดสู่การใช้งานจริงในอุตสาหกรรมการเงินไทย 

ทีมที่ชนะเลิศสูงสุดจะได้รับโอกาสพิเศษเข้าร่วมงาน Singapore Fintech Festival ระหว่างวันที่ 11–14 พฤศจิกายน 2568 ณ ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นงานแสดงนวัตกรรมการเงินระดับโลก พร้อมการสนับสนุนค่าเดินทาง ที่พัก และค่าใช้จ่ายตลอดการเดินทางอย่างเต็มรูปแบบ ทีมผู้ชนะจากแต่ละโจทย์จำนวน 2 รางวัล จะได้รับเงินรางวัลมูลค่ารางวัลละ 10,000 บาท ส่วนทีมที่มีแนวคิดโดดเด่นจากแต่ละโจทย์จำนวน 2 รางวัล จะได้รับเงินรางวัลรางวัลละ 5,000 บาท เพื่อเป็นแรงผลักดันในการพัฒนาต้นแบบนวัตกรรมสู่การใช้งานจริง 

“Hack to the Max Season 2 คือ โอกาสที่น้อง ๆ จะได้เรียนรู้ เติบโต และได้สร้างสิ่งที่ “ใช้จริง” ในโลกแห่งการเงินดิจิทัล อย่าเพิ่งตัดสินตัวเองจากแค่ความกลัวหรือความไม่มั่นใจ เพราะบางทีไอเดียของเราอาจเป็นจุดเปลี่ยนของระบบทั้งระบบก็ได้ มาสร้างอนาคตของคุณ และของประเทศไทยไปพร้อมกับเรา National ITMX ยินดีต้อนรับทุกคนครับ ” นายฉัตรชัย กล่าวสรุป 

ผู้ที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลรายละเอียดโครงการและสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่ https://bit.ly/hacktothemax-ss2 หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมอื่นๆ ของโครงการได้ทาง Facebook: National ITMX, LinkedIn: National ITMX, Website: http://www.itmx.co.th/hacktothemax/2025  และ Email: hackathon@techsauce.co

เกี่ยวกับ National ITMX

บริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ จำกัด จัดตั้งขึ้นโดยความร่วมมือของธนาคารพาณิชย์ไทย เพื่อตอบสนองนโยบายของ คณะกรรมการระบบการชำระเงินโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (กรช.) บริษัทฯเป็นผู้พัฒนาและให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบการชำระเงินและการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งเน้นการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านระบบการชำระเงิน และเพิ่มการเชื่อมโยงของบริการชำระเงินระบบต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยสูงสุด สามารถรองรับการทำธุรกรรมทางการเงินอิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภท ผ่านช่องทางที่หลากหลาย ทั้งเอทีเอ็ม เครื่องรูดบัตรเคาน์เตอร์ธนาคาร อินเตอร์เน็ต และโทรศัพท์มือถือ บริษัทฯ เป็นผู้พัฒนาและให้บริการ “ระบบพร้อมเพย์” ที่สนับสนุนแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ
 

‘I-HERB’ รีเฟรชแบรนด์ ปรับภาพลักษณ์ใหม่ รุกตลาดเม็ดอมสมุนไพร เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่

‘ไอ-เฮิร์บ’ ส่ง ‘มาริโอ้ เมาเร่อ’ พรีเซนเตอร์ สร้างภาพจำคนรุ่นใหม่เจาะตลาดยาอมสมุนไพร ทางเลือกเพื่อสุขภาพ อมได้แม้ไม่มีอาการ ชุ่มคอ รสชาติดี มาพร้อมประโยชน์คงเดิม โดยวางเป้าหมายสู่ ‘ท็อป ออฟ มายด์’ ผู้บริโภคภายใน 3 ปี ด้วยกลยุทธ์ขยายการรับรู้แบรนด์ สร้างความคุ้นเคยกับกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันเพื่อสร้างประสบการณ์แบรนด์ที่ไร้รอยต่อ เชื่อเป็นกุญแจแห่งความสำเร็จในการสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งในระยะยาว เพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

คุณพันธิกันต์ สุวรรณคีรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิลลิเมด จำกัด ผู้ผลิตและทำตลาดเม็ดอมสมุนไพรไอ-เฮิร์บ (I-HERB) กล่าวว่า จากจุดเริ่มต้นการพัฒนา I-HERB ภายใต้แนวคิดเม็ดอมสมุนไพรสูตรใหม่ปราศจากน้ำตาล โดยใช้สารให้ความหวานจาก ไอโซมอลต์ (Isomalt) ไม่ทำให้ฟันผุและไม่กระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือด พร้อมกลิ่นและรสชาติที่ทานง่าย ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถบริโภคได้บ่อย แม้ไม่มีอาการไอหรือเจ็บคอ

โดย ไอ-เฮิร์บ ได้วางตำแหน่งทางการตลาดในกลุ่ม (Segment) ผลิตภัณฑ์สมุนไพรจากธรรมชาติ มีจุดเด่นตอบโจทย์ด้านรสชาติที่ดี แต่ยังคงประโยชน์ด้านสุขภาพเหมือนเดิม ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์พฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน  ที่ต้องการ ‘สินค้าเพื่อสุขภาพที่ให้ประสบการณ์ดี’ ผลักดันให้การทำตลาดเม็ดอมสมุนไพร I-HERB ตลอดช่วงที่ผ่านมาได้การตอบรับดีทั้งในกลุ่มผู้บริโภคคนไทย และ กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่นิยมซื้อสินค้าสมุนไพรเพื่อเป็นของฝากของที่ระลึก

จากแนวโน้มดังกล่าว บริษัทฯ มองเห็นโอกาสการทำตลาดเชิงรุกเม็ดอมสมุนไพรอย่างต่อเนื่องในปี 2568 ล่าสุด บริษัทฯ ได้เลือก ‘มาริโอ้ เมาเร่อ’ นักแสดงชายชื่อดังมาเป็นพรีเซนเตอร์แบรนด์ไอ-เฮิร์บ เป็นครั้งแรก พร้อมใช้เครื่องมือสื่อสารการตลาดครบวงจร เพื่อขยายฐานผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ในวงกว้างมากขึ้น

“การร่วมงานในครั้งนี้กับมาริโอ้ ด้วยคาแรกเตอร์ที่มีความเป็นธรรมชาติ เข้าถึงง่าย และวางตัวดี มีฐานแฟนคลับหลากหลายทุกเพศวัยทั้งในและต่างประเทศ ที่สำคัญยังบาลานซ์ด้านการดูแลสุขภาพและการใช้ชีวิตของตัวเองได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะช่วยสะท้อนภาพลักษณ์เม็ดอมสมุนไพรไอ-เฮิร์บ ให้มีภาพลักษณ์ที่ทันสมัยมากขึ้นในกลุ่มคนรุ่นใหม่ และยังคงความเป็นธรรมชาติ ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ไว้ได้อย่างลงตัว” คุณพันธิกันต์ กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังได้จัดกิจกรรมแคมเปญการตลาดเพื่อสื่อสารกับผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมสื่อทุกช่องทาง (Mixed Media) อาทิ ภาพยนต์โฆษณา (TVC), สื่อนอกบ้าน (Out of Home), สื่อในร้านค้า (In-Store Media) เพื่อสร้างการตัดสินใจซื้อ ณ จุดขาย รวมถึงการจัดกิจกรรมการตลาดออน กราวด์ (On-ground Marketing) โดยแจกตัวอย่างสินค้าให้ทดลองใช้จริง และการใช้สื่อออนไลน์ พร้อมทั้งการจัดกิจกรรมในช่องทางโซเชียลมีเดียให้กับผู้บริโภคได้ร่วมสนุกพร้อมรับของรางวัลมากมาย เพื่อสร้างประสบการณ์แบรนด์แบบไร้รอยต่อ และสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง (Brand Loyalty) ในระยะยาว นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเลือกใช้แพลตฟอร์มสื่อโซเชียลมีเดีย แบบเฉพาะเจาะจงไปยังกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวจีน ซึ่งเป็นหนึ่งตลาดสำคัญของ ไอ-เฮิร์บ ไปพร้อมกันด้วย 

 “บริษัทฯ วางเป้าหมายผลักดันให้แบรนด์ไอ-เฮิร์บ เป็นที่จดจำในกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ในวงกว้างได้มากขึ้น มุ่งเน้นไปที่การสร้าง Brand Presence ที่แข็งแกร่งและเข้าถึงผู้บริโภคในทุก Touchpoint อย่างแท้จริง โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อขยายการรับรู้แบรนด์ในวงกว้าง และสร้างความคุ้นเคย (Brand Familiarity) กับกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน ด้วยพฤติกรรมการเสพสื่อของผู้บริโภคในปัจจุบันที่มีความหลากหลายและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในทุกช่องทางด้วยการนำเสนอประสบการณ์แบรนด์ที่ไร้รอยต่อ (Seamless Brand Experience) จึงมีความสำคัญและเป็นเครื่องมือในการสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งในระยะยาว เพื่อการเติบโตของแบรนด์ที่ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง” คุณพันธิกันต์ กล่าว

ขณะเดียวกันยังเพื่อเป็นการสื่อสารการทำตลาดเม็ดอมสมุนไพรไอ-เฮิร์บ ที่ถูกพัฒนาขึ้นตามหลักการและจุดเด่นของแบรนด์ ภายใต้ชื่อ I-HERB   คือ

I - Ingredients การคัดสรรวัตถุดิบที่ดี มีคุณภาพ

H – High Quality ให้ความสำคัญและใส่ใจตลอดทุกกระบวนการผลิต ซึ่งได้การรับรองจากรางวัล อย. ควอลิตี้ อวอร์ด อย่างต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน

E – Extraordinary พิเศษด้วยรสชาติที่อร่อยลงตัว ทานง่ายจนลืมภาพจำของรสสมุนไพรแบบเดิมๆ

R – Result ให้ประสิทธิภาพเห็นผลจริง

B – Benefit เพื่อให้ได้ประโยชน์ที่ดีที่สุด

ปัจจุบัน ไอ-เฮิร์บ มีสินค้าหลัก ประกอบด้วย เม็ดอมสมุนไพร ยาอมและยาน้ำแก้ไอ และ สเปรย์พ่นคอ มีช่องทางจำหน่ายหลัก ในร้านขายยาทั่วประเทศ, ร้านสะดวกซื้อ 7-11, Jiffy และ ทัวริสต์ สโตร์ (Tourist Store) รวมถึงช่องทางอี-คอมเมิร์ซ ได้แก่ Lazada และ Tiktok shop เพื่อให้ครอบคลุมและเข้าถึงทุกพฤติกรรมการซื้อสินค้าของกลุ่มเป้าหมาย โดยเม็ดอมสมุนไพร I-HERB ราคาจัดจำหน่ายอยู่ที่ซองละ 32 บาท

พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังวางแผนขยายการเติบโตธุรกิจในอนาคตจากการพัฒนาสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง และการทำตลาดส่งออกในต่างประเทศโดยเบื้องต้นจะเป็นตลาดเอเชีย พร้อมวางเป้าหมายสู่การเป็น ‘ท็อป ออฟ มายด์’ (Top of mind) แบรนด์ในใจผู้บริโภค คาดเห็นความชัดเจนใน 3 ปีนี้ โดยปัจจุบันแบรนด์ไอ-เฮิร์บ มีสัดส่วนรายได้คิดเป็น 10% ของยอดขายรวมของบริษัท

คุณพันธิกันต์ กล่าวว่า ตลอดช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าตลาดยาอมสมุนไพรในประเทศไทยจะยังไม่มีการเก็บตัวเลขขนาดตลาดอย่างชัดเจน แต่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องอย่างก้าวกระโดดหลังยุคโควิด-19 จากแรงขับเคลื่อนทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น และการแข่งขันด้านนวัตกรรมรสชาติ คุณสมบัติ ไปจนถึงรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายแบรนด์ ทั้งรายเดิมและผู้เล่นรายใหม่ต่างเร่งพัฒนาจนเกิดการแข่งขันสูงในกลุ่มผลิตภัณฑ์ 4 ประเภทหลัก ได้แก่ ยาอมแบบเม็ดแข็ง, เม็ดตอก, เม็ดลูกกลอน และยาอมแบบลูกอม (soft lozenge)

“ไอ-เฮิร์บ จะเข้ามาตอบโจทย์นี้ ด้วยเห็นโอกาสในตลาดยาอมสมุนไพร ที่ยังสามารถเติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยว และผู้บริโภควัยทำงานที่หันมาใส่ใจสุขภาพ แต่ไม่ต้องการรสชาติที่ขมแบบยาอมสมุนไพรเดิม ๆ” คุณพันธิกันต์ กล่าว

บัตรสินเชื่อโลตัส พรีเมียร์ เพิ่มสิทธิประโยชน์บัตร ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ทุกการใช้จ่าย

บัตรสินเชื่อโลตัส พรีเมียร์ เพิ่มสิทธิประโยชน์บัตร ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ทุกการใช้จ่าย

บัตรสินเชื่อโลตัส พรีเมียร์ เพิ่มสิทธิประโยชน์ใหม่ เอาใจสมาชิกบัตรฯ ตอบโจทย์ครบทุกการใช้จ่ายเพื่อคนรุ่นใหม่กับบริการผ่อนชำระสินค้าและบริการ 0% หรือเลือกผ่อนอัตราดอกเบี้ยพิเศษนานสูงสุด 36 เดือน เมื่อมียอดผ่อนชำระตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไป/เซลล์สลิป อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า, มือถือและสินค้าไอที, ของตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น ที่ร้านค้าชั้นนำต่าง ๆ ที่ร่วมรายการกว่า 5,000 ร้านค้าทั่วประเทศ และที่แผนกเครื่องใช้ไฟฟ้า ณ ห้างโลตัสทั่วประเทศ พร้อมรับคุ้มสิทธิประโยชน์โดนใจอื่น ๆ เช่น บริการสินเชื่อเงินสดโอนเข้าบัญชีผ่านแอป UCHOOSE หรือเบิกถอนเงินสดที่ตู้ ATM ธนาคารกรุงศรีอยุธยา วงเงินสูงสุด 100% ตลอด 24 ชั่วโมง (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด) สมัครฟรี ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปีตลอดชีพ สมัครง่ายผ่านช่องทางออนไลน์ หรือที่เคาน์เตอร์โลตัส มันนี่ พลัส กว่า 200 สาขาทั่วประเทศ ข้อมูลเพิ่มเติม www.lotussmoney.com ทั้งนี้ สินเชื่อส่วนบุคคล : อัตราดอกเบี้ยปกติ 25% ต่อปี, กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้ตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 3%-25% ต่อปี 

มอนเดลีซ เปิดตัวหมากฝรั่ง Dentyne White Series ทางเลือกของคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจลมหายใจและไลฟ์สไตล์สุขภาพดี

มอนเดลีซ อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) ผู้นำขนมและของว่างระดับโลกและผู้ผลิต Dentyne แบรนด์หมากฝรั่งอันดับหนึ่งในใจผู้บริโภคไทย ลุยเจาะตลาดคนรุ่นใหม่ผ่านหมากฝรั่งฟังก์ชัน (Functional Chewing Gum) ที่ไม่ได้มีดีแค่รสชาติแต่ยังเสริมประโยชน์ที่ผู้บริโภคมองหา ด้วยการเปิดตัว Dentyne White Series (เดนทีน ไวท์ ซีรีส์) หมากฝรั่งสูตรปราศจากน้ำตาล 2 รสชาติใหม่ล่าสุด ได้แก่ รสสเปียร์ มินต์ และ รสเลมอน มินต์ ชูจุดเด่นกลิ่นหอมสดชื่น เคี้ยวเพลิน เอาใจกลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจในเรื่องสุขภาพและภาพลักษณ์ที่ดูดี

วันที่ 22 เมษายน 2568 นายอนุรักษ์ อากาวัล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท มอนเดลีซ อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า Dentyne เป็นผลิตภัณฑ์หมากฝรั่งอันดับ 1 ที่ครองใจผู้บริโภคไทยมาเป็นเวลากว่า 9 ปี ซึ่งเกิดจากการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่เข้าใจแนวโน้มของผู้บริโภคและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค การเปิดตัว Dentyne White Series ในครั้งนี้ เป็นอีกก้าวสำคัญของ Dentyne ในกลุ่มผลิตภัณฑ์หมากฝรั่งฟังก์ชันซึ่งต่อยอดจากความสำเร็จของ Dentyne Lychee Splash with Collagen เมื่อปีที่ผ่านมา เป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของแบรนด์ในการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพ โดยผลิตภัณฑ์นี้มุ่งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ที่ดูมั่นใจ และต้องการความรู้สึกสดชื่นในระหว่างวัน 

“ผู้บริโภคกลุ่ม Gen Z มีแนวโน้มเลือกบริโภคอย่างมีสติและใส่ใจสุขภาพมากขึ้น เราจึงพัฒนา Dentyne White Series ให้เป็นมากกว่าหมากฝรั่งทั่วไป เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ในทุกโมเมนต์” นายอนุรักษ์กล่าว

นอกจากการเปิดตัว Dentyne White Series เราได้มีการรวมกลุ่มผลิตภัณฑ์เดิมอย่าง Clorets Max และ Clorets Xylitol มาไว้ภายใต้แบรนด์ Dentyne เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งทางการตลาด ทำให้ Dentyne มี 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ Oral Care ที่เน้นเรื่องสุขภาพช่องปาก ได้แก่ Dentyne White Series, Dentyne Max และ Dentyne Xylitol และกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เน้นเรื่องคุณประโยชน์ที่แตกต่างกัน ได้แก่ Dentyne Splash หมากฝรั่งสอดไส้ รสชาติอร่อย เคี้ยวสนุก, Dentyne Ice เย็นสุดขั้ว และ Dentyne Sugar Free สดชื่นยาวนาน 40 นาที ทำให้ Dentyne เป็นแบรนด์ผู้นำขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดหมากฝรั่งภายใต้ มอนเดลีซ อินเตอร์เนชันแนล

โดยหมากฝรั่งปราศจากน้ำตาล Dentyne White Series รสสเปียร์ มินต์ และ รสเลมอน มินต์ วางจำหน่ายแล้วที่ร้าน 7-11 และร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข่าวสารและกิจกรรมอื่นๆ ของเดนทีนได้ที่เว็บไซต์ https://www.mondelezinternational.com/thailand/ หรือทาง Facebook Dentyne Thailand

#DentyneWhiteSeries #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

NCP รุกหนัก! แตกไลน์สินค้าเมกะเทรนด์ ลุยเจาะตลาด “คนรุ่นใหม่-สัตว์เลี้ยง” ตั้งเป้ารายได้ปี 68 โต 20-30%

บมจ.ไนซ์ คอล (NCP) เปิดแผนธุรกิจปี 2568 ทุ่มงบ 10 ล้านบาท พัฒนาระบบเทคโนโลยี และเทคโนโลยี AI เพิ่มประสิทธิภาพงานขาย เล็งเปิดตัวสินค้า (House Brand) การันตีคุณภาพระดับพรีเมี่ยมกว่า 10 รายการ พร้อมรุกตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพและสำหรับสัตว์เลี้ยง เสริมแกร่งธุรกิจ พร้อมตั้งเป้ารายได้ปี 2568 เติบโต 20-30%


เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2568 นายศรัณย์ เวชสุภาพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไนซ์ คอล จำกัด (มหาชน) หรือ NCP เปิดเผยแผนการดำเนินธุรกิจปี 2568 ว่า บริษัทได้วางแผนการดำเนินงานเพื่อสานต่อความสำเร็จอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยเน้นบทบาทการเป็น Telesales ที่ตอบโจทย์การให้บริการธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) อย่างต่อเนื่อง พร้อมขยายการให้บริการธุรกิจ Upselling Service และ Dedicated Telesale Outsourcing เพิ่มขึ้น เพื่อให้เพียงพอต่อการให้บริการสำหรับลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ รองรับการขยายตัวธุรกิจ Telesales  โดยตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ปีนี้ 20-30% โดยมีปัจจัยหนุนการเติบโตจากธุรกิจ Upselling Service และ Dedicated Telesale Outsourcing รวมถึงเทรนด์การดูแลสุขภาพที่เติบโตต่อเนื่อง จากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแบบสมบูรณ์ของประเทศไทย และการดูแลรักษาสุขภาพของกลุ่ม Gen X และ Gen Y 

โดยปีนี้ บริษัทเตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ (House Brand) การันตีคุณภาพระดับพรีเมี่ยม มากกว่า 10 รายการ สอดรับเทรนด์ Health and Beauty ของผู้บริโภคในปัจจุบันที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพและความงาม รวมถึงการเจาะกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่เพิ่มมากขึ้น 

ไม่เพียงเท่านี้ บริษัทยังเตรียมขยายตลาดไปสู่ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสัตว์เลี้ยง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคนี้ ที่นิยมเลี้ยงสัตว์เหมือนลูก (Pet Parent) ส่งผลให้ตลาดสัตว์เลี้ยงเติบโตอย่างก้าวกระโดด นับเป็นการเพิ่มศักยภาพของผลิตภัณฑ์และการตลาดใหม่ๆ ที่ช่วยหนุนการเติบโตของ NCP อย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ บริษัทได้วางแผนใช้งบประมาณ 10 ล้านบาท ในการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพงานขาย โดยจะนำเทคโนโลยีมาช่วยในการผลิต การขายและการบริการลูกค้า การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการคาดการณ์ความต้องการของตลาดและปรับกลยุทธ์การขายให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มเป้าหมาย

สำหรับการขยายจำนวนพนักงาน Telesales ทั้งพนักงาน Telesales ประจำ และผู้ต้องขังภายในเรือนจำหรือทัณฑสถานหญิงที่ทำหน้าที่ Telesales ตามโครงการ “คืนคนดีสู่สังคมกับกรมราชทัณฑ์” โดยการฝึกอาชีพและส่งเสริมทักษะการทำงานให้แก่ผู้ต้องขัง ประเภทการขายทางโทรศัพท์ (Telesales) บริษัทตั้งเป้าเพิ่มจำนวนพนักงานอีก 200 คน แบ่งเป็น พนักงาน Telesales ประจำ 100 คน จากเดิมที่มีในขณะนี้ 100 คน รวมเป็น 200 คน และเพิ่มจำนวนผู้ต้องขัง ที่ทำหน้าที่เป็น Telesales อีก  100 คน ในเรือนจำหรือทัณฑสถานหญิงอีก 2 แห่ง จากเดิมที่มี 3 แห่ง ได้แก่ เรือนจำกลางสมุทรปราการ ทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ และทัณฑสถานหญิงชลบุรี รองรับจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มธุรกิจ Upselling Service และ Dedicated Telesale Outsourcing

สำหรับแผนธุรกิจ ใน 3-5 ปีข้างหน้า NCP ตั้งเป้าขยายธุรกิจให้แข็งแกร่งขึ้น โดยเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ, ขยายช่องทางจัดจำหน่าย, สร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์ และขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ

“NCP พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค และมองหาพันธมิตรเพื่อเสริมความแข็งแกร่งธุรกิจสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง โดยมั่นใจรายได้ปีนี้จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 20-30% จากการเติบโตของธุรกิจ “Dedicated Telesale Outsourcing Service และ Upselling Service” ที่โดดเด่น รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ (House Brand) ที่ช่วยเพิ่มฐานลูกค้าในผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ตลอดปี” นายศรัณย์ กล่าว