"ลิณธิภรณ์" เสมา 2 ผลักดันแนวทาง “เยียวยาใจครู ฟื้นฟูใจเด็ก” ลดความรุนแรงในโรงเรียน

ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึง กรณีเหตุการณ์นักเรียนชายชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอุทัยธานี ใช้ความรุนแรงต่อครูผู้สอน

“ดิฉันขอยืนยันอย่างชัดเจนว่า ความรุนแรงต่อบุคลากรทางการศึกษาเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นในทุกกรณี ดิฉันขอแสดงความห่วงใยไปยังทั้งคุณครูผู้เสียหายและนักเรียนที่เกี่ยวข้อง พร้อมเน้นย้ำว่า การแก้ไขปัญหานี้ ไม่ใช่การชี้ว่าฝ่ายใดผิดแล้วลงโทษ แต่จำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบด้านว่าพฤติกรรมเช่นนี้เกิดจากสาเหตุใด

กระทรวงฯ จะประสานให้มีการสอบสวนข้อเท็จจริงโดยละเอียด เพื่อค้นหาสาเหตุเชิงลึก ไม่ว่าจะเป็นภาวะความเครียด ความกดดันจากผลการเรียน หรือภาวะอื่น ๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางระบบประสาท ทั้งนี้ ดิฉันเห็นว่าจำเป็นต้องมีนักจิตวิทยาเข้าไปดูแลนักเรียนโดยเร็ว เพื่อป้องกันผลกระทบทางจิตใจต่อครู นักเรียน และผู้ปกครอง ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้ถูกเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์อย่างกว้างขวาง

ดร.ลิณธิภรณ์ กล่าวต่ออีกว่า เหตุการณ์นี้สะท้อนโจทย์สำคัญที่อาจต้องนำมาพิจารณาต้องทบทวน 
    1.    ระบบการสอบและการวัดประเมินผล – หากระบบการเรียนการสอนสร้างแรงกดดันจนทำให้เด็กใช้ความรุนแรง แสดงว่าเราจำเป็นต้องทบทวนว่ากำลังสร้างทรัพยากรมนุษย์แบบใดสู่สังคม การวัดประเมิน ทดสอบแบบ one’s size fit all ใช้ไม้บรรทัดเดียวกับเด็กทุกคน การเอาปลาไปแข่งปีนต้นไม้ เอานกไปว่ายน้ำอาจจะต้องเปลี่ยน
    2.    การดูแลสุขภาพจิตของนักเรียน – ระบบการศึกษาของเราอาจยังละเลยเรื่องนี้อย่างมาก นักเรียนบางคนใช้ความรุนแรงกับผู้อื่น บางคนใช้ความรุนแรงกับตนเอง ซึ่งสะท้อนการขาดทักษะในการรับรู้และจัดการอารมณ์ของตนเอง (Mental Health Literacy) จนสะท้อนตัวเลขอย่างชัดเจนโดยกรมสุขภาพจิต ว่าเด็กและเยาวชนมีสภาวะซึมเซาและวิตกกังวลเพิ่มสูงขึ้น และการฆ่าตัวตายในเด็กกลายเป็น สาหตุของการเสียชีวิตอันดับที่ 3  ในสาเหตุการตายของเด็กและเยาวชน  ปัญหานี้ไม่ได้เกิดเฉพาะกับนักเรียน ครูบางคนก็ประสบเช่นเดียวกันเราจึกเห๋นความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากครูไม่น้อย เราควรทำให้การสร้างทักษะด้านนี้อยู่ในระบบการศึกษาอย่างจริงจัง รวมถึงการนำแม้ทางกระทรวงศึกษาจะ มีการดำเนินโครงการ school health hero  และOBEC CARE เพื่อช่วยเหลือบรรเทาเบื้องต้น แต่ความร่วมมือก็ยังไม่ได้กว้างขว้าง  ดังนั้นการพิจารณา ความช่วยเหลือของทีมสหวิชาชีพไม่ว่าจะเป็นนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์เข้าสู่ระบบการศึกษาอย่างครบวงจร จึงควรเกิดขึ้นในส่วนนี้หรือไม่ 
    3.    ประเด็นการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) – การเผยแพร่คลิปเหตุการณ์อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสภาพจิตใจของทั้งครูและนักเรียน และยังเสี่ยงต่อการผลิตซ้ำความรุนแรงในสังคม สื่อและประชาชนควรตระหนักและเคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้เกี่ยวข้อง

”ดิฉันเชื่อว่าไม่มีเด็กคนใดอยากทำร้ายผู้อื่น การตัดสินจากภาพเพียงไม่กี่วินาทีอาจไม่สะท้อนความจริงทั้งหมด เราทุกฝ่ายต้องร่วมกันหาทางออกเชิงระบบ ทั้งในด้านการเรียนการสอน การดูแลสุขภาพจิต และการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยในสถานศึกษา“ ดร.ลิณธิภรณ์ กล่าว

กระทรวงศึกษาธิการ ส่งเสริมจิตสำนึกความเป็นพลเมืองที่ดีผ่านกระบวนการลูกเสือในสถานศึกษา

กระทรวงศึกษาธิการ เล็งเห็นถึงความสำคัญในการสร้างจิตสำนึกความเป็นพลเมืองที่ดีให้แก่เยาวชนไทย โดยใช้ “กระบวนการลูกเสือ” เป็นกลไกหลักในสถานศึกษา เพื่อปลูกฝังคุณลักษณะอันพึงประสงค์ อาทิ ความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ การมีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง การมีคุณธรรม จริยธรรม มีจิตสาธารณะ
ยึดหลักประชาธิปไตย เคารพสิทธิเสรีภาพของตนเองและผู้อื่น มีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม มีระเบียบวินัย และเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพและได้ข้อมูลเชิงลึก กระทรวงศึกษาธิการจึงได้แต่งตั้งคณะทำงานวิจัย ภายใต้โครงการ “กลไกการเสริมสร้างจิตสำนึกความเป็นพลเมืองที่ดีด้วยกระบวนการลูกเสือในสถานศึกษา”โดยมี ดร.สุภชัย จันปุ่ม ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นหัวหน้าคณะทำงาน และมอบหมายให้ ดร.ภูมิ พระรักษา รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 เข้าร่วมเป็นคณะทำงานวิจัย รวมทั้งปฏิบัติหน้าที่เป็นคณะกรรมการนิเทศ กำกับ ติดตาม และประเมินผลโครงการ รวมถึงร่วมจัดกิจกรรมนำเสนอผลงานในรูปแบบ Symposium

การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา สภาพ ปัญหา และปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารกิจการลูกเสือ ในการเสริมสร้างจิตสำนึกความเป็นพลเมืองที่ดีในสถานศึกษา พร้อมทั้งหาแนวทางที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงในระดับพื้นที่และระดับสถานศึกษา โดยผลการดำเนินโครงการวิจัย พบว่า กลไกการเสริมสร้างจิตสำนึกความเป็นพลเมืองที่ดีด้วยกระบวนการลูกเสือในสถานศึกษา หากมีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ และมีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนจากบุคลากรทางการลูกเสือ จะสามารถพัฒนาเยาวชนให้เติบโตเป็นพลเมืองที่ดีของชาติได้อย่างแท้จริง

โครงการวิจัยนี้มีคุณูปการอย่างยิ่งต่อสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในการจัดทำฐานข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับ สภาพและปัญหาการบริหารกิจการลูกเสือซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดนโยบาย วางแผนกลยุทธ์ และการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาและพัฒนากิจการลูกเสือในสถานศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ในโอกาสนี้ ขอแสดงความชื่นชมและยกย่อง

ดร.ภูมิ พระรักษา และคณะทำงานวิจัยทุกท่าน ที่ได้ร่วมกันดำเนินโครงการวิจัยนี้จนบรรลุผลสำเร็จอย่างเรียบร้อย ซึ่งจะได้นำผลการวิจัยไปใช้ต่อยอดในเชิงนโยบายและการพัฒนาผู้เรียนทั่วประเทศให้เป็น “ลูกเสือที่เป็นพลเมืองดี” และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาชาติไทยต่อไปในอนาคต.

“ไม่จบไม่เลิก” บุหรี่ไฟฟ้า! “รบ.”เตือน “ครู-บุคลากรทางการศึกษา” มีเอี่ยวรับโทษทางวินัยทันที

รัฐบาลยืนยัน “ไม่จบไม่เลิก” บุหรี่ไฟฟ้า เตือน! ครู/บุคลากรทางการศึกษา มีเอี่ยวรับโทษทางวินัยทันที ย้ำ สถานศึกษา/ที่ทำงาน เป็นเขตปลอดบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า

วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม 2568  เวลา 09.00 น. นายคารม พลพรกลาง  รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยต่อสถานการณ์การระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเยาวชน นักเรียนนักศึกษา ได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว และกำหนดเป้าหมายว่าจะต้องเห็นผลภายใน 30 วัน พร้อมติดตามความคืบหน้าแผนปฏิบัติการทั้ง 3 ระยะ คือ ระยะเร่งด่วน ระยะสั้น และระยะยาว

นายคารม กล่าวว่า  เมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการ ได้ออกประกาศกระทรวงฯ เรื่อง มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อยกระดับการป้องกันการเข้าถึงและการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษาและสถานที่ทำงานในพื้นที่บริเวณส่วนราชการในสังกัดและองค์กรในกำกับกระทรวงศึกษาธิการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้

1) สร้างความตระหนักรู้เท่าทันพิษภัยและโทษของบุหรี่ไฟฟ้าทั้งต่อสุขภาพร่างกายและโทษทางอาญาให้แก่นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ ครู บุคลากรทางการศึกษา ผู้บริหารทุกระดับ และเจ้าหน้าที่ อาทิ สอดแทรกเนื้อหาหรือหลักสูตรการเรียนการสอน กิจกรรม สื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่าง ๆ

2) ให้ผู้รับผิดชอบสถานศึกษาหรือสถานที่ทำงาน จัดให้มีเครื่องหมายแสดงไว้ให้เห็นได้โดยชัดเจนว่าเป็นเขตปลอดบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า

3) ให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นสอดส่อง ดูแลหรือป้องกันมิให้นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการครู บุคลากรทางการศึกษา และเจ้าหน้าที่ เข้าไปเกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้าทั้งการสูบ จำหน่าย มีไว้ในครอบครอง หรือสนับสนุนอย่างหนึ่งอย่างใด

4) หากมีกรณีตรวจพบ หรือมีการร้องเรียนกล่าวหา หรือกรณีเป็นที่สงสัยว่าข้าราชการ ครู บุคลากรทางการศึกษา ผู้บริหาร รวมทั้งเจ้าหน้าที่ผู้ใดเข้าไปเกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้า ให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัยตามอำนาจหน้าที่ทันที

“การออกประกาศดังกล่าว ยังสอดคล้องกับประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้บารากู่และบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2557 รวมทั้งบุคคลที่มีไว้ในครอบครองหรือรับไว้ซึ่งบุหรี่ไฟฟ้าถือว่ามีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 และยังสอดคล้องกับประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดประเภทหรือชื่อของสถานที่สาธารณะ สถานที่ทำงาน และยานพาหนะ ให้ส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดของสถานที่และยานพาหนะ เป็นเขตปลอดบุหรี่หรือเขตสูบบุหรี่ในเขตปลอดบุหรี่ พ.ศ. 2561” นายคารม ระบุ

“สำหรับสถิติการจับกุมการกระทำผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 - 12 มีนาคม 2568 สามารถจับกุมและดำเนินคดีได้ 1,078 คดี มีผู้ต้องหา 1,104 คน จำนวนของกลาง 900,444 ชิ้น มูลค่าของกลาง  118,953,915 บาท” นายคารม ย้ำ

ก.ศึกษาธิการ เปิดงานวัตกรรมอาชีวศึกษา "OVEC INNOVATION AWARD 2025" ส่งเสริมนักเรียน​นักศึกษา-อาชีวศึกษา

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เผยว่า ได้เป็นประธานพิธีปิดงาน "สุดยอดนวัตกรรมอาชีวศึกษา" หรือ  "OVEC INNOVATION AWARD 2025" งานสุดยอดนวัตกรรมอาชีวศึกษา Ovec Innovation Award 2025 นี้​ ทำให้นักเรียน​นักศึกษา อาชีวศึกษา ได้รู้จักการประยุกต์ใช้ทักษะความรู้ความสามารถทางด้านวิชาชีพ​ และทักษะประสบการณ์ในการเรียนรู้ทางวิชาชีพ มาประดิษฐ์คิดค้นผลงานนวัตกรรม​ สิ่งประดิษฐ์ของคนรุ่นใหม่ประเภทต่าง ๆ จํานวน 7 ประเภท ได้ดีเยี่ยม

ทั้งนี้ต่อไปเยาวชนคนไทย ในยุคดิจิทัลนั้นจะได้ใช้ความรู้​ ความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทางวิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์ หรือ สะเต็มศึกษา มาพัฒนาผลงานนวัตกรรมขับเคลื่อนสู่ชุมชน ให้ก้าวไกลและก้าวทันเทคโนโลยีที่ทันสมัย​

 

ศธ.ปลื้ม Mindset "สภานักเรียนวันเด็ก" เร่งหนุนข้อเสนอพลิกโฉมการศึกษา ตั้งเป้าทำฝันนักเรียนให้เป็นจริง

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ และโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เผยว่า เสียงสะท้อนผู้เรียน หลังรับข้อเสนอจากคณะสภานักเรียน และโพลวันเด็กแห่งชาติ ปี 2568 ภูมิใจ Mindset พลังบวกของนักเรียนไทย พร้อมยืนยันการดำเนินการตามแนวทางของ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ให้ความสำคัญกับผู้เรียนที่เป็นเด็กและเยาวชน เร่งพัฒนาปรับเปลี่ยนสู่ความเปลี่ยนแปลงให้ขึ้นจริงในสังคมอย่างเป็นรูปธรรม
.
ทั้งนี้ผ่านพ้นมาเกือบสัปดาห์สำหรับงานวันเด็กแห่งชาติในปีนี้ นอกจากกิจกรรมสร้างสรรค์ที่จัดขึ้นเพื่อเด็กและเยาวชนแล้ว สิ่งที่สะท้อนถึงความต้องการของผู้เรียนทั้งประเทศได้อีกส่วนหนึ่งคือข้อเสนอจากคณะสภานักเรียนนั่นเอง รวมถึงผลสำรวจหรือโพลต่าง ๆ ก็บ่งบอกได้ถึงความต้องการของผู้เรียนได้ดีเช่นกัน และในปีนี้ผลได้ออกมาว่าเด็กไทยอยากเห็นโรงเรียนและการเรียนที่สนุกขึ้น รองลงมาคือเทคโนโลยีพัฒนาเจริญก้าวหน้า ส่วนของขวัญที่อยากได้จากรัฐบาลคือทุนการศึกษาหรือเงินช่วยเหลือ รวมถึงแท็บเล็ตหรือคอมพิวเตอร์สำหรับเรียน นอกจากคุณพ่อคุณแม่แล้วคนที่เด็กไทยชื่นชมและเป็นไอดอลคือ ลิซ่า ลลิษา รองลงมาคือคุณครูที่ติดโผแรงบันดาลใจของเด็กในทุกปี

อย่างที่ทราบกันว่าหนึ่งในกิจกรรมสำคัญของวันเด็กแห่งชาติคือน้องคณะสภานักเรียนผู้เป็นตัวแทนกระบอกเสียงให้เพื่อนนักเรียนทั่วประเทศ เข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อยื่นข้อเสนอถึงความต้องการด้านการศึกษา ซึ่งในปีนี้คณะสภานักเรียนได้ยื่นข้อเสนอ 3 เรื่อง ทั้งการส่งเสริมค่านิยมหลัก “รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์” ในกลุ่มเยาวชนไทย รวมถึงเรื่องความรักโรงเรียน รักเพื่อน และน้อง สร้างโรงเรียนแห่งความสุข ร่วมป้องกันให้ทุกคนห่างไกลจากบุหรี่ไฟฟ้า รู้เท่าทันภัยออนไลน์ และ ZERO DROPOUT ติดตามและค้นหาเด็กที่ตกหล่นให้กลับเข้ามาเรียนในระบบ ซึ่งสภานักเรียนทั่วประเทศจะร่วมขับเคลื่อนตามบริบทและความเหมาะสมของแต่ละโรงเรียน 

หากย้อนไปในวันเด็กแห่งชาติปีที่แล้วคณะสภานักเรียนก็ได้มีข้อเสนอในประเด็นการมีส่วนร่วมของสภานักเรียนในบทบาทของคณะกรรมการสถานศึกษา การรู้จักประวัติศาสตร์ในท้องถิ่นของตนเองอย่างลึกซึ้ง รวมถึงการรู้จักมารยาทการใช้โทรศัพท์ในห้องเรียน และการส่งเสริมแนวทางการป้องกันการบูลลี่ในสถานศึกษา ซึ่งสิ่งที่เห็นเด่นชัดถึงความเปลี่ยนแปลงที่ ศธ.นำข้อเสนอมาดำเนินการในระยะ 1 ปี ที่ผ่านมาจนเกิดเป็นกระแสสังคมคือการปรับเครื่องแบบลูกเสือ และสุขาดีมีความสุข ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความใส่ใจในรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ของนักเรียนในโรงเรียนให้เหมาะสมในยุคปัจจุบัน นอกจากนี้ยังเร่งรัดการพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพจิตและร่างกายของนักเรียนอย่างจริงจังจนเริ่มต้นในหลายโรงเรียนแล้ว เรื่องดูแลสวัสดิการของผู้เรียนก็ได้รับความสำคัญมากขึ้นเช่นกัน เกิดเป็นสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่หลากหลายและยืดหยุ่นเพื่อให้นักเรียนมีทักษะที่ตอบโจทย์ในอนาคตตรงกับข้อเสนอของสภานักเรียน

เสียงเหล่านี้คือเสียงอันทรงพลังในการเปลี่ยนแปลงทิศทางระบบการศึกษา ถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ที่เป็นจุดปรับเปลี่ยนความร่วมมือกับผู้เรียนในการพัฒนาการศึกษาและมุ่งเน้นการสร้างความสุขในการเรียนรู้ ที่ถูกกลั่นกรองถึงความต้องการของนักเรียนอย่างแท้จริงในการสะท้อนมุมมองและข้อเสนอแนะการปฏิรูปการศึกษา และ ศธ.ได้ให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับข้อเสนอและผลสำรวจดังกล่าว ตอบโจทย์ความต้องการของนักเรียนในยุคดิจิทัลทั้งในเรื่องของการปรับปรุงหลักสูตร การเพิ่มโอกาสการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ และการส่งเสริมทักษะที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตจริง เพื่อนำมาสู่การปรับเปลี่ยนสู่การพลิกโฉมการศึกษาไทย 

เห็นได้ชัดเจนว่าการพัฒนาการศึกษาในยุคของ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ ให้ความสำคัญกับการรับฟังเสียงจากคณะสภานักเรียน และทุกข้อเสนอที่ได้รับจากเด็ก ๆ เพราะพวกเขาคือผู้ที่มีสิทธิในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับระบบการศึกษาที่พวกเขาจะได้รับ การปรับเปลี่ยนที่เกิดขึ้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่เราตั้งใจให้เกิดขึ้นจริงในระบบการศึกษาไทย ไม่เพียงแค่มองมิติปัจจุบันแต่ยังมองไปข้างหน้าเพื่อเตรียมความพร้อมให้ผู้เรียนสามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเทคโนโลยีได้ การรับฟังความคิดเห็นจากนักเรียนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การปฏิรูปการศึกษามีความสอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริง ไม่เพียงแต่จะรับข้อเสนอเหล่านี้มาพิจารณาแต่ยังมองว่าเป็นโอกาสในการพลิกโฉมการศึกษาไทยให้มีความทันสมัยและเข้ากับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

"ภูมิใจที่ได้เห็น Mindset นักเรียนไทยในเชิงบวกมากขึ้น ศธ.พร้อมรับฟังทุกเสียงของผู้เรียนเพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนาระบบการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์นโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ทุกข้อเสนอที่ได้รับจะเร่งดำเนินการเพื่อปฏิรูปการศึกษา สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมให้เป็นจริงได้ไม่เกินฝัน จากการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งนักเรียน ผู้ปกครอง ครูและบุคลากรทางการศึกษา ขอยืนยันว่าเราจะเดินหน้าพลิกโฉมการศึกษาไทยต่อไปในปีนี้ ให้ทุกเสียงของนักเรียนที่สะท้อนมาได้รับการพิจารณาอย่างจริงจังในทุกมิติ" 

ก.ศึกษาธิการ ร่วมมือ Google for Education​ พลิกโฉมการศึกษาไทย เปลี่ยนอนาคตการเรียนรู้ เปิดหลักสูตรนักเรียนครั้งแรกในโลก

นานสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เผยว่า เมื่อเร็วนี้ กระทรวงศึกษาธิการ ประกาศความร่วมมือกับ Google for Education​ พลิกโฉมการศึกษาไทย เปลี่ยนอนาคตการเรียนรู้ เปิดตัวหลักสูตรนักเรียนครั้งแรกในโลก

ทั้งนี้ได้หารือและตกลง ที่จะขยายผลการใช้เทคโนโลยีแบบมีบูรณาการ ไปยังโรงเรียนการศึกษาพิเศษอีก 20 โรงเรียนทั่วประเทศไทย ผ่านการจัดการอุปกรณ์ที่เหมาะสม เช่น Chromebook ,การใช้ Google Platform Google Workspace for Education และการจัดการฝึกอบรมครูในโรงเรียนให้มีความรู้ความสามารถในการออกแบบการเรียนการสอน พร้อมทั้งมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล และนิสัยที่ถูกต้องเหมาะสมในการใช้เทคโนโล​ยี เป็นต้น

ดร.สิริพงศ์ ผู้ช่วยรมว.ศึกษา หนุนเยาวชนสร้างสรรค์ สู่งานศิลป์

ดร.สิริพงศ์ ผู้ช่วยรมว.ศึกษา หนุนเยาวชนสร้างสรรค์ สู่งานศิลป์

เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 67  ที่ห้องเรียนศิลปะ Art room โรงเรียนสตรีสิริเกศ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วย รมว. กระทรวงศึกษาธิการ ปฏิบัติหน้าที่โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ ได้เดินทางมาเป็นประธานเปิดกิจกรรมอบรมพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนด้วยงานศิลปะ “เยาวชนสร้างสรรค์ สู่งานศิลป์” จัดขึ้นโดย สภาเด็กและเยาวชนอำเภอเมืองศรีสะเกษ โดยมี นายพงศ์ภัค มงคลชัยพาณิชย์ ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ สภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย นายเตชิต พระไชยบุญ รองผู้อำนวยการโรงเรียนสตรีสิริเกศ นายฉัตรชัย สุวรรณพรหม ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ นายกฤติยา สุขกมล นายถาวร ณัฏฐภัทรเตชาธร นางสาววทันยา ภาษาพรม คณะวิทยากร นายศิริพงค์ อาชญาทา ประธานสภาเด็กและเยาวชนอำเภอเมืองศรีสะเกษ พร้อมด้วยคณะบริหารสภาเด็กและเยาวชนอำเภอเมืองศรีสะเกษ ให้การต้อนรับ 

     ดร.สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ กล่าวว่า ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาเห็นการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ของเด็กๆ งานศิลปะเป็นเครื่องมือที่มีพลังในการแสดงออกถึงอารมณ์ ความรู้สึก และความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งไม่มีถูกหรือผิด ศิลปะเป็นแนวทางที่สามารถเสริมสร้างการเรียนรู้ในหลายด้าน ทั้งด้านการพัฒนาทางสติปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ และทักษะทางสังคม การใช้ศิลปะในการศึกษาไม่ได้จำกัดเพียงแค่การสอนศิลปะในตัวของมันเอง แต่ยังสามารถบูรณาการเข้ากับวิชาอื่นๆ ได้อีกด้วย 

     โดยศิลปะสามารถช่วยในการพัฒนาการศึกษาในหลายรูปแบบ ศิลปะเป็นพื้นที่เสรีที่ทุกคนสามารถแสดงออกในแบบของตนเองได้อย่างเต็มที่ และในวันนี้ จุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่จัดขึ้นโดยสภาเด็กและเยาวชน พวกเราก็จะได้เห็นงานศิลปะที่สร้างสรรค์จากเด็ก เยาวชน ผู้ที่มีพรสวรรค์ และไม่เพียงแค่แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะเรียนรู้ ต่อยอด แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงมุมมอง ความคิด และความรู้สึกที่เด็กๆ ได้ถ่ายทอดลงบนกระดาษ ที่แต่งแต้มลงไปด้วยลายเส้นและสีสัน ศิลปะของเด็กๆ คือภาษาที่ไร้เสียง บางคนชอบวาดการ์ตูนสามารถวาดออกมาได้เป็นฉากๆ บางคนชอบวาดแนวอะนิเมะ หรือชุดซุปเปอร์ฮีโร่ ก็ล้วนแต่เป็นความชอบที่จะสื่อสารในงานศิลป์ ทั้งหมดนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังที่สร้างสรรค์ของน้องๆ ก็ต้องขอขอบคุณครูอาจารย์ ผู้ปกครอง และทุกท่านที่สนับสนุนให้เยาวชนเหล่านี้ได้เติบโตและพัฒนาอย่างสร้างสรรค์ 

      ขณะที่ นายศิริพงค์ อาชญาทา ประธานสภาเด็กฯ กล่าวว่า ในนามสภาเด็กและเยาวชนอำเภอเมืองศรีสะเกษ รู้สึกยินดีที่มีผู้ใหญ่ใจดีให้ความสนใจและให้กำลังใจทีมสภาเด็กฯ ในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ และให้เหตุผลว่าทำไมเลือกที่จะจัดกิจกรรมสร้างการเรียนรู้เกี่ยวกับศิลปะ เพราะเห็นว่างานศิลปะมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเด็กและเยาวชนในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านจิตใจ อารมณ์ สังคม หรือทักษะการเรียนรู้ การมีส่วนร่วมในงานศิลปะช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กๆ ทำให้พวกเขาสามารถคิดนอกกรอบและมองเห็นปัญหาจากหลายมุมมอง การทำงานศิลปะช่วยให้เด็กได้ทดลองและค้นหาวิธีการใหม่ๆ ในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ การทำงานศิลปะในกลุ่มช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้การทำงานเป็นทีม การแบ่งปันความคิดเห็น การให้กำลังใจซึ่งกันและกัน

     ด้าน นายพงศ์ภัค มงคลชัยพาณิชย์ ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการกิจการเด็กฯ กล่าวว่า จากการที่ได้เห็นการทำงานของสภาเด็กฯ ก็ขอชื่นชมน้องๆทุกคนที่มีความตั้งใจ และให้ความสนใจหยิบเรื่องงานศิลปะขึ้นมา งานศิลปะถือว่ามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเยาวชนในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์ และทักษะทางสังคม ศิลปะช่วยให้เยาวชนสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกและความคิดที่ซับซ้อนได้อย่างอิสระ รวมถึงพัฒนาเยาวชนให้มีความยืดหยุ่นทางความคิด เปิดกว้างต่อประสบการณ์ใหม่ๆ และสามารถปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้ งานศิลปะไม่เพียงแต่เป็นการแสดงออกทางความงามหรือความรู้สึกเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการพัฒนาสังคมให้ก้าวหน้าและยั่งยืน ศิลปะมีพลังในการเปลี่ยนแปลงในระดับสังคม และสามารถเป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกได้ และก็ขอเป็นกำลังใจให้น้องสภาเด็กฯ มีพลังในการพัฒนาเด็กและเยาวชนต่อไป.

"ศธ." ตั้งคกก.สอบเพิ่ม ดึง "ตำรวจ-อัยการ" พิสูจน์ ปม "ครูเบญ" ขีดเส้น 7 วัน ยันไม่ปล่อยให้จบง่าย

 

วันที่ 24 ก.ย. 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงการออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีครูผู้ช่วย ว่า ขณะนี้ได้ข้อเท็จจริงมาแล้ว แต่เพื่อความเชื่อมั่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการอีกหนึ่งชุดไปเมื่อวันที่ 23 ก.ย.ที่ผ่านมา ประกอบด้วย รองผู้การกรมสอบสวนกลาง  ผู้การกองปราบ รองอัยการสูงสุด และเจ้าหน้าที่ของกระทรวงส่วนกลางจำนวน 2 คน เพื่อมาช่วยในการสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริงในประเด็นนี้

นายสุรศักดิ์ ให้ความมั่นใจว่า คณะกรรมการชุดนี้ จะมีความเชี่ยวชาญในการสืบสวนหาข้อเท็จจริง กรณีที่สังคมยังสงสัยอยู่ รวมถึงเรื่องการสอบพนักงานราชการ สพฐ.สระแก้ว โดยหลักฐานทั้งหมด จะมีการสอบสวนเพิ่มเติมในประเด็นที่สังคมยังสงสัย และจะให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์เข้ามาตรวจสอบว่าเป็นกระดาษคำตอบจริงหรือไม่ หรือเป็นของท่านอื่น หรือถูกแก้ไขหรือไม่ ทั้งนี้ ในเบื้องต้นมีการตีกรอบกำหนดเวลาไว้ 7 วัน

“กระทรวงยังไม่อยากให้จบ เนื่องจากอยากให้ความเป็นธรรมที่สุด อะไรที่กระทรวงสามารถช่วยได้ ก็ยินดี ถ้ากระทรวงยื่น ป.ป.ช. เองได้ ก็อยากจะยื่นให้มาสอบสวนอย่างจริงจัง ถึงครูเบญจะจบ แต่กระทรวงไม่จบ ต้องเดินหน้าเต็มที่ เพื่อให้ได้รับความจริงที่สุด สิ่งที่กระทรวงทำคืออยากให้ทุกคนได้ข้อมูลละเอียดรอบคอบที่สุด" นายสุรศักดิ์ กล่าว 

 

ทบ. บูรณาการร่วม มท.-ศธ. ลงพื้นที่ จชต. ให้กำลังใจส่วนงานศึกษาขับเคลื่อนสันติวิธี

ทบ. บูรณาการร่วมมหาดไทยและศึกษาธิการ ลงพื้นที่ จชต. ให้กำลังใจส่วนงานศึกษา ขับเคลื่อนสันติวิธีสร้างพื้นที่สันติสุขอย่างยั่งยืน

    วันนี้ (๕ ก.ค.๖๗) พลเอก เจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการทหารบก/รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ร่วมคณะนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อติดตามสถานการณ์และหารือแนวทางการดำเนินการเพื่อสร้างสันติสุขในพื้นที่อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะเรื่องของการศึกษาที่ถือเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาและขับเคลื่อนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยคณะได้เริ่มภารกิจด้วยการมอบสิ่งของและเงินเยียวยาให้กำลังใจกับทายาทครูสอนตาดีกา นางสาว รอกีเย๊าะ สาระนะ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในพื้นที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลา ณ สโมสรนายทหารสัญญาบัตร กองพลทหารราบที่ ๑๕

จากนั้นได้เดินทางไปยังศูนย์ขับเคลื่อนการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีและปลัดกระทรวงศึกษาธิการให้การต้อนรับ เพื่อรับทราบการทำงานของเจ้าหน้าที่ด้านการศึกษาในพื้นที่ ทั้งในเรื่องของการดูแลอบรม, การจัดหลักสูตรการเรียนการสอนในสถานศึกษาตามหลักสูตรฮูกุมปากัต (ธรรมนูญโรงเรียน) ๙ ดี, การจัดทุนการศึกษารายปีต่อเนื่องให้กับผู้ได้รับผลกระทบ ตลอดจนการช่วยเหลือเยียวยาครูและบุคลากรทางการศึกษาที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ในพื้นที่ โอกาสนี้รองนายกรัฐมนตรีพร้อมคณะได้มอบเงินช่วยเหลือเยียวยาให้กำลังใจทายาทครูและบุคลากรผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวม ๔๘ ครอบครัว พร้อมมอบนโยบายการปฎิบัติงานให้กับผู้บริหารหน่วยงานการศึกษาในพื้นที่ แสดงความพร้อมของหน่วยงานภาครัฐ ทั้งฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจและพลเรือน ในการร่วมบูรณาการขับเคลื่อนแผนงานต่างๆ ตลอดจนการสร้างส่วนร่วมระหว่างผู้นำศาสนาและประชาชนภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรม สร้างความเชื่อมั่นในการดูแลพื้นที่ด้วยแนวทางสันติวิธี ประชาชนสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติสุขและมีความปลอดภัย

ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบก โดยทีมโฆษกกองทัพบก, ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๗

“กรุงไทย” จับมือกระทรวงศึกษาธิการ เดินหน้าแก้หนี้ข้าราชการในสังกัด ผ่านสินเชื่อรวมหนี้ข้าราชการยั่งยืน 

“ธนาคารกรุงไทย” ลงนามความร่วมมือกับ “กระทรวงศึกษาธิการ” เดินหน้าแก้หนี้ข้าราชการและบุคลากรในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ด้วยโครงการ “สินเชื่อรวมหนี้ข้าราชการยั่งยืน”  ดอกเบี้ยพิเศษคงที่ตลอดอายุสัญญา ขยายระยะเวลาการผ่อนชำระสูงสุดถึงอายุ 80 ปี เพื่อลดภาระการเงิน เสริมสภาพคล่อง ให้มีเงินพอใช้ดำรงชีพ  ปิดจบหนี้เรื้อรัง

เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.67 ธนาคารกรุงไทย ลงนามบันทึกความร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ  ร่วมกับ 12 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการแก้ไขปัญหาหนี้ข้าราชการและบุคลากรในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ  โดยได้รับเกียรติจาก พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีลงนาม

นายกิตติพัฒน์ เพียรธรรม ผู้บริหารสายงานธุรกิจภาครัฐ ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า ธนาคารตระหนักถึงความเดือดร้อนของข้าราชการ จากปัญหาหนี้สิน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำรงชีพ  โดยเฉพาะข้าราชการกลุ่มเปราะบางที่มีภาระหนี้สูงและเรื้อรัง เงินเดือนถูกหักเงินไปใช้หนี้จนเกือบหมด  มีเหลือใช้ในแต่ละเดือนไม่ถึง 30% ซึ่งไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ  ทำให้ต้องไปกู้เพิ่ม เพื่อมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน จนมีหนี้อยู่หลายแห่ง กระจัดกระจาย และอยู่ในวงจรหนี้ไม่จบ ไม่สิ้น  

ทั้งนี้ในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ ธนาคารกรุงไทยสนับสนุนการแก้ไขปัญหาหนี้ข้าราชการกลุ่มเปราะบาง ตามนโยบายของรัฐบาลและท่านนายกรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่อง โดยร่วมมือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ ( เครดิตบูโร) ในการแก้ไขปัญหาหนี้แบบองค์รวมอย่างเป็นระบบ  ผ่านโครงการ “สินเชื่อรวมหนี้ข้าราชการยั่งยืน” เพิ่มเติมจากมาตรการความช่วยเหลือข้าราชการที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง โดยเร่งพัฒนารูปแบบและวิธีการต่างๆ  เพื่อก้าวข้ามข้อจำกัด ปัญหาและอุปสรรคในเชิงระบบ ทั้งด้านการเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นในการประเมินสภาพและสถานะของหนี้ ความสามารถในการชำระหนี้ เพื่อให้สามารถช่วยเหลือข้าราชการได้อย่างตรงจุด ทันการณ์ และเพิ่มความสามารถในการดำรงชีพของข้าราชการอย่างเหมาะสม

โดยล่าสุด ธนาคารได้ขยายความร่วมมือการแก้ไขหนี้ข้าราชการกับกระทรวงศึกษาธิการ ผ่านโครงการ “สินเชื่อรวมหนี้ข้าราชการยั่งยืน สำหรับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ” สำหรับข้าราชการที่มีสินเชื่อกรุงไทยวงเงินฉุกเฉินและ/หรือสินเชื่ออเนกประสงค์ข้าราชการ (MOU) และเป็นข้าราชการที่ในอนาคตจะมีสิทธิได้รับหนังสือรับรองสิทธิบำเหน็จตกทอดจากกรมบัญชีกลางเมื่อเกษียณอายุ และมีสิทธิจะได้รับบำนาญรายเดือนหลังเกษียณอายุ โดยสามารถรวมหนี้รายย่อยทุกประเภท ทั้งสินเชื่อบุคคล บัตรเครดิต และสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ จากทั้งธนาคารกรุงไทยและสถาบันการเงินอื่นๆ  โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1.สินเชื่อแบบใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน ทั้งสินเชื่อบ้าน (พร้อมขอกู้เพิ่ม) และสินเชื่อบ้านแลกเงิน (พร้อมขอกู้เพิ่ม) อัตราดอกเบี้ยต่ำคงที่ 3.50% ต่อปี 3 ปีแรก หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา (อัตราดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญา 4.49% ต่อปี โดยคำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท อายุสัญญาสูงสุด 40 ปี ผ่อนชำระ 4,700 บาท/เดือน) โดยได้รับยกเว้นค่าประเมินราคาหลักทรัพย์ประกัน 

2.สินเชื่อแบบไม่ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 6.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา  เงื่อนไขและเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

จุดเด่นโครงการ  

●สามารถร่วมใช้บริการทางการเงินกับสหกรณ์ที่ข้าราชการเป็นสมาชิก (Co-Exist) โดยที่ให้มีเงินเหลือใช้เพื่อดำรงชีพไม่น้อยกว่า 30% และยังสามารถหมดหนี้ได้หลังเกษียณ

●อัตราดอกเบี้ยต่ำ “คงที่” ตลอดอายุสัญญา ไม่ผันผวนไปตามทิศทางของดอกเบี้ย วางแผนการบริหารหนี้ระยะยาวและสภาพคล่องได้ดียิ่งขึ้น

●ขยายระยะเวลาคืนหนี้ และอายุผู้กู้ ให้สามารถชำระได้สูงสุดถึงอายุ 80 ปี จากเดิมกำหนดอายุถึง 60 ปี  เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับข้าราชการ

●สร้างวินัยการเงิน เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาหนี้ได้อย่างยั่งยืน ในระหว่างเข้าร่วมมาตรการฯ ลูกหนี้จะเข้าร่วมแสดงเจตนารมณ์ไม่ก่อหนี้เพิ่ม  โดยธนาคารร่วมมือกับเครดิตบูโร ในการแจ้งเตือน หากลูกหนี้มีการก่อหนี้เพิ่มและร่วมมือกับสหกรณ์ในการแชร์ข้อมูลสถานะหนี้ โดยได้รับความยินยอมจากลูกหนี้ตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ( iLock Bureau)

●โปรแกรมตรวจสุขภาพทางการเงิน เป็นเครื่องมือตรวจสุขภาพทางการเงินออนไลน์ที่จะช่วยให้ทราบสถานะทางการเงินเพื่อช่วยวางแผนเริ่มต้นจัดการหนี้ได้ง่ายๆผ่าน https://krungthai.com/link/รวมหนี้ยั่งยืน 

ธนาคารกรุงไทยให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาหนี้อย่างยั่งยืน กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว ตามแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ของธนาคารแห่งประเทศไทย  โดยคาดหวังว่า จากความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยให้ข้าราชการในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการหลุดพ้นวงจรหนี้ ดำรงชีพได้อย่างมีศักดิ์ศรี มีสุขภาพทางการเงินที่ดีขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน 

โดยผู้ที่สนใจ ขอคำแนะนำการแก้หนี้อย่างยั่งยืนได้ที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา หรือ Krungthai Contact Center 02-111-1111 กด 99  

#ข่าววันนี้ #กรุงไทย #กระทรวงศึกษาธิการ #แก้หนี้ข้าราชการ