ด่วน! "กองทัพภาค2"พบ "ทุ่นระเบิด PMN-2" 8 ลูก ซุก "ช่องโดนเอาว์-ฐานปฏิบัติการชนะศึก จ.ศรีสะเกษ

ด่วน! "กองทัพภาค2"พบ "ทุ่นระเบิด PMN-2" 8 ลูก ซุก "ช่องโดนเอาว์-ฐานปฏิบัติการชนะศึก จ.ศรีสะเกษ

เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2568 ที่กองบัญชาการกองทัพบก พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ได้รับข้อมูลจากกองทัพภาคที่ 2 ว่า วันนี้ เวลา 08.00 - 15.00 น. ทหารร้อย ร.132 โดย มว.ปล.ที่ 2 ฐานปฏิบัติการชนะศึก ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) ทำการสำรวจพื้นที่บริเวณช่องโดนเอาว์ ฐานปฏิบัติการชนะศึก ชายแดนไทย-กัมพูชา จ.ศรีสะเกษ ตรวจพบ ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล แบบ PMN-2 จำนวน 8 ลูก ติดตั้งในลักษณะพร้อมทำงาน จึงได้ทำการเก็บกู้รื้อถอนและนำเก็บไปเพื่อรอการทำลายต่อไป

ทั้งนี้ การตรวจพบทุ่นระเบิดดังกล่าว เป็นเครื่องยืนยันว่า ฝ่ายกัมพูชายังคงมีความพยายามอย่างไม่ลดละ ในการใช้อาวุธต่อกำลังทหารฝ่ายไทย เป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างชัดเจน อีกทั้งเรื่องของทุนระเบิดควรเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ควรจะต้องเร่งดำเนินการ เพราะที่ผ่านมาฝ่ายไทยเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงอยู่ฝ่ายเดียว ซึ่งจะทำให้สังคมเข้าใจได้ว่ากัมพูชาไม่ได้แสดงออกถึงความจริงใจในการแก้ปัญหา

“กต.” แจงหลังทัวร์ไทยถล่มเพจสถานทูตญี่ปุ่น ยันยังไม่เปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา หากไม่ “ถอนอาวุธหนัก-เก็บกู้ทุ่นระเบิด-ปราบสแกมเมอร์”

“กต.” แจงหลังทัวร์ไทยถล่มเพจสถานทูตญี่ปุ่น ยันยังไม่เปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูช่ หากไม่ “ถอนอาวุธหนัก-เก็บกู้ทุ่นระเบิด-ปราบสแกมเมอร์”

เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2568 ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยพิเศษ ครั้งที่ 1/2568 ที่เกาะกง ประเทศกัมพูชาว่า กระทรวงการต่างประเทศยินดีต่อผลการประชุมทั้งสองฝ่าย ยืนยันความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงและเห็นชอบร่วมกันในหลายประเด็น ซึ่งถือเป็นพัฒนาการที่สำคัญ โดยเฉพาะที่ฝ่ายไทยผลักดันมาโดยตลอดได้แก่ การเก็บกู้ทุ่นระเบิด , การปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์หรือสแกมเมอร์

สำหรับการเก็บกู้ทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรม จะมีการตั้งคณะประสานงานร่วมภายใน 1 สัปดาห์ เพื่อจัดทำแผนการเก็บกู้ทุ่นระเบิด และกำหนดพื้นที่นำร่อง โดยจะเริ่มดำเนินการทันทีภายในเวลา 1 เดือน ส่วนการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ ที่ประชุมได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติของทั้งสองประเทศ หารือและจัดตั้งคณะทำงานภายใน 1 สัปดาห์ จัดทำแผนปฏิบัติการร่วม โดยฝ่ายไทยได้ส่งมอบข้อมูลและพิกัดที่ตั้งของสแกมเมอร์กว่า 60 แห่ง ในกัมพูชาให้กับฝ่ายกัมพูชาแล้ว โดยจะมีการประชุมประสานงานในวันที่ 16 ก.ย.นี้ ที่จังหวัดสระแก้ว

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้หารือประเด็นอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อความมั่นคงปลอดภัย และความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะบริเวณชายแดน โดยมี 4 เรื่องสำคัญ ได้แก่

1.การถอนอาวุธหนักและอาวุธยุทโธปกรณ์ทำลายล้างสูง ออกจากพื้นที่ชายแดน กลับสู่ที่ตั้งปกติตามกรอบเวลา โดยฝ่ายเลขานุการของ GBC และฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) จะหารือภายใน 3 สัปดาห์ การบรรลุข้อตกลงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นเรื่องส่งผลกระทบโดยตรงต่อความปลอดภัย และจะช่วยให้ประชาชนของทั้งสองประเทศที่อาศัยอยู่ในชายแดน มีความมั่นใจในการดำรงชีวิตอย่างปกติประจำวันได้

2.การบริหารจัดการพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะกรณีบ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว ที่ประชุมได้มอบหมายให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) หารือเพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับพื้นที่ดังกล่าว และให้ RBC กำหนดแนวทางการบริหารจัดการตามที่ JBC ได้ตกลงกันแล้ว ระหว่างนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วและผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียมัเตเมเมียนเจย จะร่วมการบริหารจัดการสถานการณ์ให้มีความสงบสุขเรียบร้อย

3.การลดวาทกรรมยั่วยุ ที่ประชุมเห็นความสำคัญของการหลีกเลี่ยงเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ข้อมูลที่เป็นข่าวปลอม การกล่าวหาและวาทกรรมที่สร้างความเสียหาย ทั้งช่องทางทางการและไม่เป็นทางการ เพื่อลดความตึงเครียดและความรู้สึกด้านลบของสาธารณชน รวมทั้งเพื่อสร้างบรรยากาศที่จะเอื้อต่อการเจรจาโดยสันติวิธี

4.การผ่อนปรนให้มีการผ่านแดนบางประเภทและบางจุด มอบหมายให้ RBC หารือความเป็นไปได้ให้มีการขนส่งสินค้าผ่านจุดผ่านแดน โดยเริ่มจากจุดที่มีความตึงเครียดน้อยที่สุด จุดประสงค์หลักคือช่วยบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน ผู้ประกอบการการค้าชายแดนที่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้สามารถกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่อไปได้

นายนิกรเดช กล่าวต่อว่า ตามที่พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ชี้แจงไปแล้วว่า ยังไม่มีการเปิดด่านในขณะนี้ และจะไม่มีการผ่อนปรนส่งสินค้าใดๆ หากไม่มีความคืบหน้าอย่างมีนัยยะสำคัญใน 3 เรื่อง ได้แก่ การถอนอาวุธหนักจากพื้นที่ชายแดน , การร่วมกันเก็บกู้ทุ่นระเบิด และการปราบปรามสแกมเมอร์ในระดับที่จะสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันได้

การหารือ GBC เป็นความสำเร็จในการใช้กลไกทวิภาคีในการแก้ปัญหาระหว่างกัน สิ่งที่จะทำให้การเจรจาครั้งนี้สำเร็จอย่างแท้จริง คือ ความจริงใจในการปฏิบัติตามข้อตกลงของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งจะต้องติดตามดูอย่างใกล้ชิดต่อไป โดยการประชุม GBC สมัยพิเศษครั้งต่อไป จะมีกำหนดใน 30 วันหลังจากนี้ ฝ่ายไทยจะเป็นเจ้าภาพ

ประเทศไทยมุ่งมั่นที่จะแสวงหาแนวทางแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างสันติวิธียั่งยืน ผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ โดยให้ความสำคัญกับการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน รวมทั้งความมั่นคงปลอดภัยและความกินดีอยู่ดีของประชาชนในพื้นที่ชายแดนเป็นเป้าหมายสูงสุด

ผู้สื่อข่าวถามว่า ข้อเรียกร้องของประเทศญี่ปุ่น หลังสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ขอให้เปิดด่านไทย-กัมพูชา ซึ่งทำให้ทัวร์ไทยไปลงเป็นจำนวนมาก เนื่องจากหลายคนมองว่าเป็นการกดดันฝ่ายไทย กระทรวงการต่างประเทศจะทำความเข้าใจกับทางการญี่ปุ่นอย่างไร นายนิกรเดช ชี้แจงว่า ประเด็นทั้งหมดเกิดขึ้นจากเรื่องห่วงโซ่อุปทานข้ามพรมแดน ทราบว่าญี่ปุ่นมีความเดือดร้อนจากกรณีที่ชายแดนปิด การลงเฟซบุ๊กเป็นไปเพื่อยินดีที่มีพัฒนาการในเชิงบวก

สิ่งที่เราได้แจ้งและจะทำความเข้าใจกับฝ่ายญี่ปุ่นคือ กระบวนการนี้ใช้เวลา หากดูผลการประชุม GBC ดีๆ การเปิดด่านจะมารับกับเงื่อนไข 3 ข้อ ได้แก่การเก็บกู้ทุ่นระเบิด การปรับอัตราอาวุธ และการปราบปรามสแกมเมอร์ ตราบใดที่ 3 ข้อนี้ไม่เกิด การเปิดด่านก็เป็นเพียงแนวคิด

ชายแดนสุรินทร์เดือด! “ทหารไทย” ตรวจพบทุ่นระเบิด-กับระเบิดฝังดักซุ่ม ใกล้เนิน 350 ปราสาทตาควาย

ชายแดนสุรินทร์เดือด! “ทหารไทย” ตรวจพบทุ่นระเบิด-กับระเบิดฝังดักซุ่ม ใกล้เนิน 350 ปราสาทตาควาย

เมื่อวันที่ 1 ก.ย.68 เพจเฟซบุก วาสนา นาน่วม ผู้สื่อสายทหาร และคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์สยามรัฐ โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก "Wassana Nanuam" ระบุว่า

 

แฉ ทหารกัมพูชา ลอบวางกับระเบิดแสวงเครื่อง ในเขตไทยใกล้เนิน 350 ปราสาทตาควาย ทบ.ชี้ ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง สวนทาง โฆษกเขมร ที่แถลงสร้างภาพทำชายแดน ตึงเครียดชี้ ใช้ ลูกกระสุนปืน ค. ติดลวดสะดุด“ผบ.ทบ.” สั่งทหารหน้าแนวรอบคอบ ไม่ประมาท ใช้ชุดทหารช่างเก็บกู้ทุ่นระเบิด เข้าตรวจสอบพื้นที่เสี่ยง เพื่อความปลอดภัยปฏิบัติภารกิจ

วันนี้ กองทัพบกได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 กรณีเมื่อวันที่ 31 ส.ค. 68 เวลาประมาณ 11.50 น. กองร้อยอาวุธเบาที่ 1 กองพันทหารราบที่ 27 ตรวจพบการวางกับระเบิดแสวงเครื่องในลักษณะใช้ลูกกระสุนเครื่องยิงลูกระเบิด ประกอบกับการใช้ลวดสะดุดของทหารกัมพูชา ในพื้นที่ทิศตะวันตกของปราสาทตาควาย ห่างจากเนิน 350 ประมาณ 1.7 กิโลเมตร ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ใกล้กับบริเวณแนวการวางลวดหนามป้องกันตนเองในเขตไทย

ทั้งนี้ ยุทธวิธีของทหารกัมพูชาสอดคล้องกับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 68 ที่ฝ่ายไทยตรวจพบทหารกัมพูชา ดักซุ่มและตรวจการณ์ฝ่ายไทย บริเวณทิศตะวันตกของเนิน 350 ต.บักได อ.พนมดงรัก  จ.สุรินทร์ ซึ่งต่อมา จากการเข้าตรวจสอบพื้นที่โดยรอบ พบการวางทุ่นระเบิด PMN-2 รวม 3 ทุ่น พร้อมลูกกระสุนเครื่องยิงลูกระเบิด 2 ลูก และตะปูเรือใบจำนวนมาก คาดว่าลูกกระสุนเครื่องยิงลูกระเบิดดังกล่าวจะถูกเตรียมนำมาใช้ในการวางกับระเบิดแสวงเครื่อง ตามที่ปรากฏ

จากกรณีนี้  พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า การกระทำและหลักฐานดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องการใช้กับระเบิดแสวงเครื่อง เป็นอาวุธลอบโจมตีทหารไทย  โดยหวังผลให้เกิดอันตรายถึงชีวิต ในดินแดนของฝ่ายไทย

ซึ่งถือเป็นการกระทำยั่วยุที่ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดระหว่างกัน การกระทำดังกล่าวยังย้อนแย้งกับท่าทีที่ฝ่ายกัมพูชาพยายามบิดเบือนต่อประชาคมระหว่างประเทศว่าเป็นผู้รักสันติและยึดมั่นในข้อตกลงหยุดยิง ทั้งที่ข้อเท็จจริงและหลักฐานต่าง ๆ ที่พบ ยืนยันได้ว่ากัมพูชาละเมิดข้อตกลง รวมทั้งอนุสัญญาออตตาวามาโดยตลอด

นอกจากนี้ โฆษกกองทัพบก  ยังได้กล่าวอีกว่า จากการที่ฝ่ายกัมพูชามีการใช้ยุทธวิธีวางทุ่นระเบิด เพื่อลอบทำร้ายฝ่ายไทยอย่างต่อเนื่อง

พลเอก พนา  แคล้วปลอดทุกข์  ผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งการผ่านกองทัพภาคที่ 2 กำชับให้กำลังพลทุกนายปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรอบคอบ ไม่ประมาท และใช้ชุดทหารช่างเก็บกู้ทุ่นระเบิดเข้าตรวจสอบพื้นที่เสี่ยงเพื่อความปลอดภัยในการปฏิบัติภารกิจในทุกครั้ง

#cambodiaviolatestheottawaconvention

#HunSenTheWarCriminal

เปิดไทม์ไลน์! ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดต่อเนื่อง 1 เดือน 6 ครั้ง พื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา

สถานการณ์ ทุ่นระเบิดชายแดนไทย-กัมพูชา ทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง หลังเกิดเหตุ ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด รวม 6 ครั้ง ภายในเวลาเพียง 1 เดือนเศษ ตั้งแต่เดือน กรกฎาคม 2568 ถึงล่าสุดวันที่ 27 สิงหาคม 2568 ส่งผลให้มีทหารได้รับบาดเจ็บ 3 นาย โดยพื้นที่ที่เกิดเหตุมากที่สุดคือบริเวณ ปราสาทตาควาย จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งกลายเป็นจุดเสี่ยงสูงสุด

สรุปเหตุการณ์เหยียบทุ่นระเบิดชายแดนไทย-กัมพูชา (ก.ค. - ส.ค. 2568)

 

ครั้งที่ 1 : 16 กรกฎาคม 2568

พลทหาร ธนพัฒน์ หุยวัน ขาขาด 1 นาย

บาดเจ็บรวม 3 นาย

จุดเกิดเหตุ: เนิน 481 ช่องบก จ.อุบลราชธานี

 

ครั้งที่ 2 : 23 กรกฎาคม 2568

จ.ส.อ.พิชิตชัย บุญชูหล้า ขาขาด 1 นาย

จุดเกิดเหตุ: ช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี

 

ครั้งที่ 3 : 28 กรกฎาคม 2568

ร.ต.เกียรติวงศ์ สถาวร ขาขาด 1 นาย

จุดเกิดเหตุ: ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์

 

ครั้งที่ 4 : 9 สิงหาคม 2568

จ.ส.อ.ธานี พาหา ขาขาด 1 นาย

บาดเจ็บรวม 3 นาย

จุดเกิดเหตุ: รอยต่อโดนเอาว์-กฤษณา จ.ศรีสะเกษ

 

ครั้งที่ 5 : 12 สิงหาคม 2568

ส.อ.ธีรพล เพียขันที ขาขาด 1 นาย

จุดเกิดเหตุ: ปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์

 

ครั้งที่ 6 : 27 สิงหาคม 2568 (ล่าสุด)

พลทหาร อดิศร ป้อมกลาง ขาขาด 1 นาย

จุดเกิดเหตุ: ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์


#ทหารไทย #ทุ่นระเบิด #ปราสาทตาควาย #ชายแดนไทยกัมพูชา #สุรินทร์ #อุบลราชธานี #ศรีสะเกษ #ทุ่นระเบิดชายแดน #ข่าวด่วน

“กัมพูชา”ต้องรับผิดชอบ! ไทยเร่งประท้วงเหตุทหารไทยเหยียบกับระเบิดบาดเจ็บ 3 นาย

เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 นางสาว ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยถึงกรณี ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด ของกัมพูชา บริเวณ เนิน 350 (ช้างศึก) ใกล้ ปราสาทตาควาย ว่า กระทรวงการต่างประเทศขอ แสดงความเสียใจ ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมย้ำว่ากรณีนี้เป็นเรื่องที่น่าเสียใจอย่างยิ่ง

นางสาวชยิกากล่าวว่า ในระหว่างที่ ดร.ลาลีวรรณ กาญจนจารี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมคณะผู้แทน สหภาพยุโรป (EU) ประจำประเทศไทย เดินทางออกจาก อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ได้รับรายงานว่าเกิดเหตุทหารไทยนายหนึ่ง เหยียบทุ่นระเบิดอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ซ้ำซ้อนในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา

ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศย้ำว่า ไทย เรียกร้องให้กัมพูชาเร่งยกระดับความร่วมมือ ในการ เก็บกู้ทุ่นระเบิด บริเวณพื้นที่ชายแดน เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นซ้ำอีก

นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศยังเร่งดำเนินการใน ขั้นตอนทางการทูต โดยเตรียม ยื่นหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการ พร้อมส่งข้อมูลและหลักฐานที่เกี่ยวข้องไปยังฝ่ายกัมพูชา ขณะเดียวกัน นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้รับทราบเรื่องแล้ว และอยู่ระหว่างการ ชี้แจงต่อประชาคมโลก เพื่อผลักดันให้เกิดความร่วมมือด้านความปลอดภัยในพื้นที่ชายแดน


#ทหารไทย #ปราสาทตาควาย #ทุ่นระเบิด #ชายแดนไทยกัมพูชา #ข่าวด่วน #กระทรวงการต่างประเทศ #กัมพูชา #ทูตไทย #EU #ข่าวการเมือง

“กองทัพ”โต้กลับ “กัมพูชา” พบละเมิดข้อตกลง ใช้ทุ่นระเบิด-บิดเบือนข่าวสาร

จากกรณีเมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2568 สำนักข่าว Fresh News ของกัมพูชา รายงานว่า พลโท (หญิง) มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ได้แถลงความคืบหน้าเกี่ยวกับสถานการณ์ภายหลังข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า

"ฝ่ายกัมพูชายังคงยึดมั่นในการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และมีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมต่อเนื่องจากการประชุม GBC ซึ่งสะท้อนถึงเจตจำนงร่วมกันในการรักษาสันติภาพ ตัวอย่างที่ชัดเจน ได้แก่ การประชุม RBC ระหว่างภูมิภาคทหารที่ 3 ของกัมพูชากับกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราดของไทย เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2568 และการประชุมระหว่างภูมิภาคทหารที่ 5 ของกัมพูชากับกองทัพภาคที่ 1 ของไทย เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2568 ซึ่งสะท้อนถึงการที่ทั้งสองฝ่ายให้ความเคารพและปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง พร้อมเรียกร้องให้ฝ่ายไทยเร่งรัดการส่งตัวทหารกัมพูชาทั้ง 18 นาย กลับประเทศ โดยกล่าวหาว่าทหารไทยได้จับกุมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย"

ต่อกรณีดังกล่าว พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงว่า

"ฝ่ายไทยมีความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับประเทศสมาชิกอาเซียน รวมถึงพันธมิตรและองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อยืนยันว่าฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยึดหลักการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี ภายใต้กรอบของกฎหมายระหว่างประเทศ กฎบัตรสหประชาชาติ และกฎบัตรอาเซียน ซึ่งไทยได้ยึดถือและปฏิบัติมาโดยตลอดจนเป็นที่ประจักษ์ ก่อนเกิดเหตุความตึงเครียดที่ผ่านมา

แม้ว่าหลายฝ่ายยังคงมีความกังวลว่า การประชุมทวิภาคีในระดับต่างๆ อาจเป็นเพียงการตกลงกันในเอกสารเพื่อภาพลักษณ์ต่อสายตาต่างประเทศเท่านั้น โดยสิ่งที่ตกลงกันไว้อาจไม่เป็นผลในเชิงรูปธรรมอย่างแท้จริง เช่นเดียวกับในอดีตกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ที่กัมพูชาละเมิดบันทึกความเข้าใจ (MOU) นับร้อยครั้ง กระทั่งล่าสุด กัมพูชายังคงไม่สามารถปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงได้อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะในประเด็นทุ่นระเบิดและการบิดเบือนข่าวสารเพื่อคุกคามและทำร้ายฝ่ายไทย จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ถึงความกังวลต่อกรณีดังกล่าว ซึ่งหลังจากนี้ไปคงต้องติดตามดูว่าสิ่งที่ได้ตกลงกันไว้แล้วในหลักการเบื้องต้นนั้น จะสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้จริงหรือไม่ต่อไป

สำหรับกรณีเชลยศึก ยืนยันว่าการปฏิบัติของฝ่ายไทยเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย และสอดคล้องกับหลักมนุษยธรรมสากล อีกทั้งก่อนหน้านี้ คณะกรรมการกาชาดสากล (ICRC) ได้เข้าเยี่ยมเชลยศึกทหารกัมพูชา 18 นาย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงไม่มีความน่ากังวลใด ๆ

ด่วน! ทหารกัมพูชารุกล้ำอธิปไตยไทย ดักซุ่มพร้อมวางทุ่นระเบิด กองทัพบกชี้ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง

พบทหารกัมพูชารุกล้ำอธิปไตย ดักซุ่มพร้อมลอบวางทุ่นระเบิด กองทัพบกชี้ชัดละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอีกครั้ง เตรียมรายงานหลักฐานต่อคณะ IOT

วันนี้ (23 สิงหาคม 2568) กองทัพบกได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 กรณีพบการปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายกัมพูชาในพื้นที่อธิปไตยไทย โดยเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2568 เวลา 16.00 น. หน่วยทหารในพื้นที่ตรวจพบทหารกัมพูชาจำนวน 2–3 นาย จากลักษณะการแต่งกายคาดว่าเป็นหน่วย BHQ ปฏิบัติการดักซุ่มและตรวจการณ์ฝ่ายไทย บริเวณทิศตะวันตกของเนิน 350 ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ห่างจากแนวเส้นปฏิบัติการเข้ามาในเขตอธิปไตยไทยประมาณ 100 เมตร จึงได้ทำการยิงขับไล่จนฝ่ายกัมพูชาหลบหนีไป

เมื่อมั่นใจว่าพื้นที่ปลอดภัยแล้ว หน่วยจึงเข้าทำการตรวจสอบพื้นที่ และตรวจพบ ทุ่นระเบิด PMN-2 บริเวณจุดที่พบทหารกัมพูชาดักซุ่ม จำนวน 1 ทุ่น จึงได้ทำการตรวจสอบพื้นที่โดยละเอียด พร้อมทำเครื่องหมายไว้ เพื่อรอรับการสนับสนุนจากชุดตรวจค้นทุ่นระเบิดดำเนินการต่อไป

ต่อมา เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2568 จากการเข้าตรวจสอบพื้นที่โดยรอบของชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดอีกครั้ง พบการวางทุ่นระเบิด PMN-2 เพิ่มอีกจำนวน 2 ทุ่น (รวมเป็นทั้งหมด 3 ทุ่น) พร้อมลูกกระสุนเครื่องยิงลูกระเบิด 2 ลูก และตะปูเรือใบจำนวนมาก

พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า เหตุการณ์นี้เป็นที่ปรากฏชัดเจนอีกครั้งว่าฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิงจากผลการประชุม GBC ที่ผ่านมาในหลายข้อ ทั้งการยั่วยุ การรุกล้ำดินแดน และการใช้ทุ่นระเบิดในการลอบทำร้ายฝ่ายไทย การกระทำดังกล่าวย้อนแย้งกับท่าทีที่ฝ่ายกัมพูชาพยายามบิดเบือนต่อประชาคมระหว่างประเทศว่าฝ่ายไทยรุกราน ทั้งที่ความเป็นจริงและหลักฐานต่าง ๆ ที่พบ ยืนยันได้ว่ากัมพูชากระทำการรุกรานและละเมิดข้อตกลง รวมทั้งอนุสัญญาออตตาวามาโดยตลอด

กองทัพบกจะได้ส่งหลักฐานทั้งหมดให้คณะ IOT ทราบถึงพฤติกรรมดังกล่าวของฝ่ายกัมพูชา และแจ้งเตือนทุกหน่วยตามแนวชายแดนให้เฝ้าติดตามการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของฝ่ายกัมพูชาอย่างใกล้ชิด

 

‘มาริษ’ นำ 33 คณะทูต ตรวจทุ่นระเบิดภูมะเขือ ศรีสะเกษ

วันที่ 16 ส.ค.68 นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมคณะทูตจากประเทศสมาชิกอาเซียนและรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวาจำนวน 33 ประเทศ ลงพื้นที่ใกล้เคียงหน่วยปฏิบัติการภูมะเขือ อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ เพื่อเยี่ยมชมการปฏิบัติงานเก็บกู้ และตรวจยึดทุ่นระเบิด รวมถึงยุทโธปกรณ์ต่างๆ ที่พบในพื้นที่ โดยมีสื่อมวลชนร่วมสังเกตการณ์ผลการเก็บกู้และยึดคืนอาวุธ

เจ้าหน้าที่จากกองพลทหารช่างที่ 4 กองพลทหารราบที่ 4 กองทัพภาคที่ 3 รายงานสรุปผลการปฏิบัติงาน ต่อคณะผู้สังเกตการณ์ว่า ที่ผ่านมา สามารถเก็บกู้และตรวจยึดทุ่นระเบิดสังหารบุคคลได้แล้วทั้งสิ้น 46 ทุ่น โดยในจำนวนนี้มี 16 ทุ่นอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน นอกจากนี้ยังพบทุ่นระเบิดดักรถถัง, ลูกจรวด RPG และลูกระเบิดขนาด 60 และ 82 มม.

เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลว่า แม้จะมีการประกาศหยุดยิงระหว่างสองประเทศมาเป็นระยะหนึ่งแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ทหารไทยยังคงปฏิบัติภารกิจตรวจค้นในเขตพื้นที่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยังคงพบทุ่นระเบิด และยุทโธปกรณ์ของฝ่ายกัมพูชาอยู่เป็นระยะ


ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ยังระบุว่า ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่ตรวจพบ ส่วนใหญ่จะถูกฝังอยู่ไม่ลึกจากพื้นดิน และอำพรางด้วยดินและเศษใบไม้ ซึ่งอุปกรณ์ตรวจจับโลหะเป็นเครื่องมือหลักที่ใช้ในการค้นหา ส่วนความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้ที่เหยียบจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับชนิดของรองเท้าที่สวมใส่

เจ้าหน้าที่ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับยุทโธปกรณ์ที่ตรวจยึดได้ว่า แม้อาวุธบางส่วนจะดูเก่า แต่ไม่ใช่เป็นอาวุธรุ่นโบราณ เพียงแต่มีสภาพทรุดโทรมจากการเก็บรักษาที่ไม่ดี
หนึ่งในคณะทูตได้สอบถามเจ้าหน้าที่ถึงการตรวจพบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลครั้งล่าสุด ซึ่งได้รับคำตอบว่า เพิ่งพบเมื่อ 3 วันที่ผ่านมา ในพื้นที่ฐานปฏิบัติการภูมะเขือ เจ้าหน้าที่ทหารไม่สามารถให้ข้อมูลแหล่งที่มาของยุทโธปกรณ์ที่ตรวจพบได้ เนื่องจากเป็นประเด็นที่อาจเกี่ยวข้องกับประเทศที่สาม

ช่วงท้ายของการเยี่ยมชม เจ้าหน้าที่ทหารเรือได้สาธิตวิธีการเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลให้คณะผู้สังเกตการณ์ได้รับชม พร้อมทั้งมีเจ้าหน้าที่จากกระทรวงการต่างประเทศร่วมบรรยายเป็นภาษาอังกฤษประกอบเพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน

ทบ.แฉ 8 หลักฐานชัด เขมรใช้ทุ่นระเบิด PMN-2 โจมตีทหารไทย

ทบ.แจงคณะทูต แฉ 8 เล่ห์กล ทหารเขมร ใช้ ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล  วางหน้าแนว-หลังถอนตัว ทั้งในพื้นที่ ก่อนปะทะ -ขณะปะทะ-หลังปะทะ -ช่วงหยุดยิง ชี้ หลักฐานชัด เขมรใช้  PMN 2วางใหม่ ทหารไทย  เหยียบไป5 นาย หาใช่ จัดฉาก แบบที่เขมร ใส่ร้าย


ลั่น ไทยไม่ทำร้ายกำลังพลตนเอง แจง หลายพื้นที่ เป็นสีเขียว TMAC เคลียร พื้นที่หมดแล้ว แต่เขมรมาวางใหม่ ชัด เขมร ไม่ตอบรับ ในGBC-RBC แถม TMAC ก็ไม่ได้รับความร่วมมือ จากเขมร ในการเก็บกู้ทุ่นระเบอด 


รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้นำคณะทูตจากประเทศสมาชิกอาเซียน รัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา ผู้แทนองค์การระหว่างประเทศ และองค์กรภาคประชาสังคมด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อรับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา

พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าว ระหว่างการบรรยายสรุปว่า ฝ่ายกัมพูชา ยังคงมีท่าทีบิดเบือนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการนำอาวุธทุ่นระเบิดมาใช้โจมตีฝ่ายไทย 

โดยพยายามปฏิเสธหลักฐานที่มีอยู่อย่างเป็นระบบ ทั้งอ้างว่าหลักฐานที่ฝ่ายไทยนำเสนอเป็นการจัดฉาก หรือเป็นเพียงระเบิดตกค้าง จากสงครามในอดีต ซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง 

กองทัพบก จึงจำเป็นต้องยืนยันหลักฐานเพื่อแสดงให้เห็นว่ากัมพูชา ได้ใช้ทุ่นระเบิดโจมตีฝ่ายไทยจริง 

โดยมีประเด็นสำคัญว่า 

1. รูปแบบการปฏิบัติทางยุทธวิธี – ทุกครั้งที่กัมพูชาวางกำลัง บริเวณด้านหน้าจะพบแนวทุ่นระเบิดเป็นแนวป้องกัน เช่น ช่องบก (16 ก.ค.2568) ช่องอานม้า (23 ก.ค.) ปราสาทตาควาย (28 ก.ค.) ฐานกฤษณา (9 ส.ค.) และปราสาทตาเมือนธม (12 ส.ค.) 

โดยกำลังพลไทยที่ประสบเหตุ พบว่าในพื้นที่มักมีทุ่นระเบิด PMN-2 เพิ่มเติมอีก 3–5 ลูก ทั้งที่ระเบิดแล้วและยังไม่ระเบิด ซึ่งถูกวางอย่างเป็นระบบ

2. ผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่ – มีเพียงฝ่ายไทยและกัมพูชา แต่เหตุการณ์ทั้งหมด 5 ครั้ง มีเพียงฝ่ายไทยที่ได้รับผลกระทบ จึงไม่อาจเป็นไปได้ว่า  ไทยจะทำร้ายกำลังพลของตนเอง

3. การตรวจพบเพิ่มเติมหลังหยุดยิง – การสถาปนาความมั่นคงโดยทหารช่างที่ภูมะเขือ (4 ส.ค.2558 ) พบการซุกซ่อนทุ่นระเบิด PMN-2 จำนวนมากในแนวกำลังเดิมของฝ่ายกัมพูชา

4. หลักฐานจากสื่อสังคมออนไลน์ – พบภาพอินฟลูเอนเซอร์กัมพูชา ที่ไปถ่ายทำคอนเทนต์ บริเวณปราสาทตาควาย โดยมีพวงทุ่นระเบิด PMN-2 ปรากฏอยู่ในภาพ

5. ข้อมูลจากแหล่งข่าว – มีคลิปพร้อมเสียงสนทนาของทหารกัมพูชาที่กำลังเก็บและเคลื่อนย้ายทุ่นระเบิด PMN-2 เพื่อไปวางในพื้นที่ใหม่

6. ท่าทีในเวที GBC – กัมพูชาไม่ยอมรับข้อเสนอของไทยในการร่วมกันเก็บกู้ทุ่นระเบิด ทั้งที่กัมพูชามีภาพลักษณ์ในสายตานานาชาติว่า เป็นประเทศต่อต้านการใช้ทุ่นระเบิด และได้รับทุนสนับสนุนจำนวนมากในแต่ละปี

7. การเก็บกู้ในพื้นที่เสี่ยงแล้วเสร็จ – TMAC เคยเก็บกู้ทุ่นระเบิดตกค้างที่ช่องบกและช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เสร็จสิ้นเมื่อปี ค.ศ.2019 จำนวน 1,300 ลูก และไม่พบว่ามีทุ่นระเบิดชนิด PMN-2

8. การไม่ให้ความร่วมมือในการเก็บกู้ – TMAC ระบุว่าฝ่ายกัมพูชามักไม่ให้ความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในหลายพื้นที่ใกล้แนวเส้นเขตแดน ซึ่งเป็นข้อพิรุธที่สะท้อนถึง ความไม่โปร่งใสของฝ่ายกัมพูชา

พลตรี วินธัย ย้ำว่า หลักฐานที่ฝ่ายไทยนำเสนอทั้งหมดเป็นข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบได้ และมีความจำเป็นต้องเผยแพร่ต่อประชาคมระหว่างประเทศ เพื่อให้เห็นชัดเจนว่ากัมพูชาได้ใช้อาวุธทุ่นระเบิดโจมตีฝ่ายไทยจริง ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักมนุษยธรรมและพันธกรณีระหว่างประเทศ

คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนลงพื้นที่ฝั่งเขมร 3 วัน

คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน ลงพื้นที่ฝั่งชายแดนเขมรเป็นเวลา 3 วัน เพื่อติดตามสถานการณ์ ด้านทีมโฆษกรัฐบาลเขมรโชว์ลิ้นสองแฉก ใส่ร้ายไทยเรื่องทุ่นระเบิด

เมื่อวันที่ 14 ส.ค.68 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า คณะผู้สังเกตการณ์จากกลุ่มประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน ประกอบด้วยทูตทหารจาก 7 ชาติสมาชิกอาเซียน นำโดยมาเลเซีย ได้เดินทางลงพื้นที่ตามแนวชายแดนของทางฝั่งกัมพูชา ที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบระหว่างกัมพูชากับไทย ในช่วงที่ผ่านมา

โดยคณะผู้สังเกตการณ์ของอาเซียน จะลงพื้นที่ไปใน 3 จังหวัดของกัมพูชา ได้แก่ จ.พระตะบอง จ.บันเตียเมียนเจย และ จ.พระวิหาร เป็นเวลารวม 3 วันด้วยกัน ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 14 ส.ค.นี้ ไปจนถึงวันเสาร์ที่ 16 ส.ค.

รายงานข่าวแจ้งว่า ในวันเดียวกันนี้ ทางทีมโฆษกรัฐบาลกัมพูชา นำโดยนายเพ็ญ โบนา ยังคงกล่าวหาไทยว่า ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง จากการที่ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดจนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งถ้าหากไทยไม่ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ก็จะยังคงกำลังทหารไว้เท่าเดิม และไม่เคลื่อนไหวกำลังทหาร ตลอดจนหยุดการลาดตระเวน พร้อมกันนี้ ไทยได้ใช้เหตุการณ์เรื่องทุ่นระเบิด มาหลอกลวงประชาคมโลก เพื่อปกปิดเรื่องการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของไทยอีกด้วย ก่อนย้ำทิ้งท้ายว่า กัมพูชาได้เก็บกู้และทำลายทุ่นระเบิดที่ตกค้างสมัยสงครามในอดีต และไม่มีการฝังทุ่นระเบิดเพิ่มเติมแต่อย่างใด