ธปท.ย้ำ "โอนเงินไปมา บัญชีตัวเอง" เสี่ยงถูกระงับ เป็น Fake News

 นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย เผยว่า การเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการถูก “ระงับบัญชี” จนสร้างความกังวลแก่ประชาชน โดยเฉพาะข้อความที่อ้างว่าการโอนเงินไปมาบ่อยครั้งระหว่างบัญชีของเจ้าของเอง อาจเสี่ยงถูกระงับบัญชี ล่าสุด ธปท.ยืนยันว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง และจัดเป็น “เฟกนิวส์” ที่อาจสร้างความเข้าใจผิดในวงกว้าง

ทั้งนี้ในปัจจุบัน หลายหน่วยงานกำลังทำงานร่วมกัน ทั้งการปรับปรุงมาตรการ และกระบวนการทำงานร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และมีการสื่อสารที่ค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมาเกี่ยวกับการปรับมาตรการ และแนวทางการดำเนินงานร่วมกันระหว่างทีมงานหลายฝ่าย หน่วยงานที่ร่วมมือกัน ได้แก่ ศูนย์ต่อต้านการหลอกลวงทางการเงินออนไลน์ (AOC), เจ้าหน้าที่ตำรวจ, และธนาคารพาณิชย์

"ยืนยันว่า หากเป็นบัญชีสุจริตจริงๆ นั้น ธนาคารจะมีการตรวจสอบข้อมูล และหากเห็นว่า ไม่เป็นบัญชีที่น่าสงสัย ก็จะดำเนินการ ปลดระงับบัญชีให้โดยอัตโนมัติอยู่แล้ว กระบวนการนี้ได้มีการดำเนินการไป โดยการปลดระงับจะเกิดขึ้นไม่ว่าเจ้าของบัญชีจะโทรศัพท์มาแจ้งที่ AOC หรือไม่ก็ตาม อีกทั้งกรณีที่บัญชีถูกกวาดเข้ามา และถูกระงับบัญชีไปแล้ว หากมีการแจ้งเรื่องเข้ามา จะพยายามดำเนินการปลดบัญชีนั้นให้เร็วที่สุด"

ธปท.สั่งแบงก์คุม "โอนเงิน-ชำระเงิน" ไม่เกิน 5 หมื่น/วัน บล็อคมิจฉาชีพหลอก

ธปท. เปิดยอดถูกหลอกผ่านมิจฉาชีพยังพุ่ง เตรียมคลอดมาตรการลดความเสียหายจากการถูกหลอก กำชับแบงก์กำหนดการโอนเงิน หรือ ชำระเงินขั้นต่ำไม่เกิน 5 หมื่นบาทต่อวัน

วันที่ 20 สิงหาคม 2568 นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงิน และคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ด้วยแนวโน้มการถูกมิจฉาชีพ หรือแก็งคอลเซนเตอร์ หลอกลวงให้โอนเงินต่างๆ ยังอยู่ระดับสูง ดังนั้นเพื่อป้องกันความเสียหายจากการที่ประชาชนถูกหลอกลวงจากมิจฉาชีพ ในการหลอกให้โอนเงินผ่านบัญชีม้า ซึ่งมาตรการที่ ธปท.จะทำในระยะข้างหน้าคือ การจำกัดความเสียหายจากการโอนเงิน ก่อนที่เหยื่อหรือผู้โอนจะรู้ตัว โดย ธปท.จะออกมาตรการ การจำกัดวงเงินการโอนเงิน หรือการชำระเงิน ได้แก่  1. จำกัดไม่ให้มิจฉาชีพสามารถโอนเงินออกจากบัญชีได้ครั้งละจำนวนมาก เพื่อป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพถ่ายโอนเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดได้เร็ว ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสที่จะกักเงินของผู้เสียหายไว้ได้ทัน

และ 2. จำกัดความเสียหายของประชาชนที่อาจตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก และผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของมิจฉาชีพ โดยธนาคารจะพิจารณากำหนดวงเงินการโอน และชำระเงินต่อวันให้เหมาะสมกับความเสี่ยง และพฤติกรรมการทำธุรกรรมในอดีตของลูกค้า โดยวงเงินเริ่มต้นอยู่ที่ไม่เกิน 50,000 บาทต่อวัน ซึ่งการจำกัดการโอนเงิน และการชำระเงินนั้น จะถูกจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง เช่นอายุเกิน 65 ปี และอายุต่ำกว่า 15 ปี ที่จะจำกัดการโอนเงิน เพื่อช่วยปกป้องไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ หรือเมื่อตกเป็นเหยื่อ และมีการโอนเงินออกไปแล้ว ไม่ให้เสียหายมากเกินไป 

ทั้งนี้การจำกัดหรือกำหนดการโอนเงิน หรือชำระเงินต่อวันลดลง สำหรับลูกค้าบางคน จะต้องขึ้นอยู่กับความเหมาะสม และการทำธุรกรรมของลูกค้าแต่ละคนด้วย และการจะไปกำหนดวงเงินไม่ให้ออกจากบัญชีเกิน 5 หมื่นบาท เป็นสิ่งสำคัญมาก ที่แบงก์ต้องดูตามความเหมาะสม เช่น หากเป็นลูกค้าที่ไม่เคยเปิดบัญชีมาก่อน กลุ่มนี้แบงก์อาจกำหนดการโอนเงินขั้นต่ำไว้ก่อนที่ไม่เกิน 5 หมื่นบาทต่อวันสำหรับทุกกลุ่ม แต่หากเขาใช้ไปสักพัก และแบงก์มองว่าเป็นลูกค้าปกติ อาจให้กลุ่มนี้ออกจากกลุ่มเสี่ยงที่ต้องสงสัยได้ แล้วอาจกำหนดวงเงินขึ้นไปเพิ่มเติมได้ 

อย่างไรก็ตาม สำหรับการลดวงเงินการโอนเงินนั้น ธนาคารจะเป็นผู้แจ้งให้กับลูกค้ารับทราบล่วงหน้า ซึ่งการกำหนดวงเงินการโอน และชำระเงินจะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแบงก์ที่จะพิจารณา โดยดูจากพฤติกรรม และการทำธุรกรรมการเงินในอดีต 

ทั้งนี้ ธปท.ก็ตระหนักว่าธุรกรรมดังกล่าว อาจกระทบต่อการทำธุรกรรมสำหรับลูกค้าบางคน หรือบางกลุ่มได้ ดังนั้นการกำหนดวงเงินการโอนเงิน จะขึ้นอยู่การพิจารณาของแบงก์ โดยดูจากพฤติกรรม และธุรกรรมการเงินในอดีตร่วมด้วย ซึ่งหากเป็นคนที่เคยโอนเงินปกติในระดับดังกล่าว แบงก์ก็อาจขยายวงเงินการโอนเงินเพิ่มขึ้นได้ โดยอาจไม่ต้องโทรศัพท์หาคอลเซนเตอร์ หรือขอเอกสารเพิ่มเติม แต่บางกลุ่มที่ต้องการขยายวงเงินจากวงเงินขั้นต่ำที่กำหนด อาจต้องมีการติดต่อคอลเซนเตอร์เพื่อขยายวงเงินชั่วคราว หรือแบงก์อาจขอเอกสารเพิ่มเติม ถึงความจำเป็นในการโอนเงินได้ 

“มาตรการนี้เราก็ตระหนัก และไม่ให้กระทบลูกค้าดีมากเกินไป ดังนั้น ธปท.จึงกำหนดมาตรการดังกล่าวสำหรับลูกค้าปัจจุบันภายในสิ้นปี 2568 แต่สำหรับลูกค้าใหม่ มาตรการนี้จะมีผลบังคับใช้ทันที เพื่อคุ้มครองลูกค้าได้เร็วขึ้น ทั้งนี้ทั้งหมดนี้หากธนาคารใดมีความพร้อมสามารถดำเนินมาตรการดังกล่าวได้ทันที" 

สำหรับแนวโน้มการถูกทุจริตการเงิน พบว่า ความเสียหายจากการถูกหลอกโอนเงินยังอยู่ระดับสูง โดยยังไม่ได้ลดลงหากเทียบกับอดีต โดยเฉพาะการถูกหลอกให้โอนเงินให้มิจฉาชีพเอง ที่พบว่าความเสียหาย ในไตรมาสที่ 2 ยังอยู่ระดับสูงที่ 6,000 ล้านบาท เฉลี่ย 2,000 ล้านต่อเดือน ลดลงจากไตรมาส 2/2567 มีมูลค่าความเสียหาย 8,590 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน ณ เดือนกรกฎาคม 2568 สามารถระงับบัญชี 3 ล้านบัญชี คิดเป็นรายชื่อม้า 1.77 แสนรายชื่อ ทั้งนี้หากดูข้อมูลความเสียหายจากการหลอกลวงในเดือนมิถุนายน 2568 มีจำนวนความเสียหาย 24,500 เคส ความเสียหายรวม 2,800 ล้านบาท เฉลี่ย 114,000 บาทต่อเคส โดยยอดโอนเงินสูงสุดอยู่ที่ 4.9 ล้านบาท และหากดูธุรกรรมที่เหยื่อโอนเข้าบัญชีม้ามูลค่าสูงกว่า 5 หมื่นบาท โอนเงินภายใน 3 นาที ประมาณ 50% ของมูลค่าความเสียหาย โดยที่เหยื่อจะแจ้งข้อมูลเข้าระบบภายใน 19-25 ชั่วโมง
 

กยศ. โอนเงินคืนผู้กู้ยืมกรณี Auto debit ครบทุกรายแล้ว

กยศ.โอนเงินคืนพร้อมค่าธรรมเนียมการโอนเงินเข้าบัญชีเดิมของผู้กู้ยืมถูกหักบัญชีเงินฝากเพื่อชำระเงินคืนแบบอัตโนมัติ (Auto debit) ครบถ้วนทุกรายแล้ว

วันที่ 23 กรกฎาคม 2568 กยศ. ขอชี้แจงว่า จากการที่กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้หักเงินจากบัญชีเงินฝากของผู้กู้ยืมเพื่อชำระเงินคืนแบบอัตโนมัติ (Auto debit) ซึ่งเป็นยอดหนี้ที่ระบบคำนวณคลาดเคลื่อน ส่งผลให้เกิดการหักซ้ำซ้อนในบางรายหรือหักเงินเกินยอดที่จะต้องชำระเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคมที่ผ่านมา นั้น กยศ. ได้ตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดและดำเนินการโอนเงินพร้อมค่าธรรมเนียมการโอนคืนเข้าบัญชีเดิมของผู้กู้ยืม ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคมที่ผ่านมา ขณะนี้ กยศ. ได้โอนเงินคืนให้แก่ผู้กู้ยืมครบถ้วนทุกรายแล้ว พร้อมยืนยันว่าจะดำเนินงานด้วยความรัดกุมให้ข้อมูลมีความถูกต้องแม่นยำมากขึ้นในอนาคต

กยศ. โอนเงินคืนผู้กู้ยืมกรณี Auto debit ครบทุกรายแล้ว

กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้โอนเงินคืนพร้อมค่าธรรมเนียมการโอนเงินเข้าบัญชีเดิมของผู้กู้ยืมถูกหักบัญชีเงินฝากเพื่อชำระเงินคืนแบบอัตโนมัติ (Auto debit) ครบถ้วนทุกรายแล้ว

กยศ. ขอชี้แจงว่า จากการที่ กยศ. ได้หักเงินจากบัญชีเงินฝากของผู้กู้ยืมเพื่อชำระเงินคืนแบบอัตโนมัติ (Auto debit) ซึ่งเป็นยอดหนี้ที่คำนวณคลาดเคลื่อนของระบบการคำนวณหนี้ใหม่ที่ดำเนินการโดยผู้พัฒนาระบบ ส่งผลให้เกิดการหักซ้ำซ้อนในบางรายหรือหักเงินเกินยอดที่จะต้องชำระเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคมที่ผ่านมา นั้น กยศ. ได้ตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดและดำเนินการโอนเงินพร้อมค่าธรรมเนียมการโอนคืนเข้าบัญชีเดิมของผู้กู้ยืม ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคมที่ผ่านมา ขณะนี้ กยศ. ได้โอนเงินคืนให้แก่ผู้กู้ยืมครบถ้วนทุกรายแล้ว พร้อมยืนยันว่าจะดำเนินงานด้วยความรัดกุมและปรับปรุงระบบคำนวณหนี้ให้มีความแม่นยำมากขึ้นในอนาคต

“นายกฯอิ๊งค์” สั่งกดปุ่มโอนเงินเยียวยาน้ำท่วม! 9พันบาท ให้กว่า 4 แสนครัวเรือนเริ่ม 12 มี.ค.นี้

นายกฯ สั่งกดปุ่ม โอนเงินเยียวยาน้ำท่วม! ชุดใหญ่ ให้ธ.ออมสินเริ่มโอนเงิน 9พันบาท ให้กว่า 4 แสนครัวเรือนเริ่ม 12 มี.ค. นี้ ขณะที่ยอดตกค้าง อีก3พันครัวเรือน มหาดไทยเร่งตรวจสอบข้อมูลก่อนเร่งโอนใหม่อีกครั้ง

วันนี้ (7 มีนาคม 2568) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามข้อสั่งการของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้เร่งดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย โดยล่าสุด คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณกลางเพิ่มเติม จำนวน 3,653.72 ล้านบาท ในการประชุม ครม.สัญจร ณ จังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อใช้เป็นเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม รวมทั้งสิ้น 402,437 ครัวเรือนผ่านทางธนาคารออมสินนั้น รัฐบาลสั่งการให้ เร่งดำเนินการดังนี้ โดยกำหนดการโอนเงินแบ่งออกเป็น 3 รอบ ดังนี้

 1. รอบที่ 1 วันที่ 12 มีนาคม 2568 จำนวน 141,207 ครัวเรือน ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช

 2. รอบที่ 2 วันที่ 13 มีนาคม 2568 จำนวน 137,115 ครัวเรือน ในพื้นที่จังหวัดสงขลา

 3. รอบที่ 3 วันที่ 14 มีนาคม 2568 จำนวน 124,115 ครัวเรือน ครอบคลุม 11 จังหวัด ได้แก่

นครศรีธรรมราช 29,959 ครัวเรือน   ปัตตานี 16,417 ครัวเรือน   สงขลา 58,135 ครัวเรือน ยะลา 4,166 ครัวเรือน   สิงห์บุรี 6 ครัวเรือน  ชุมพร 3,273 ครัวเรือน   ตรัง 2 ครัวเรือน นราธิวาส 6,493 ครัวเรือน  พัทลุง 4,017 ครัวเรือน   สุราษฎร์ธานี 1,640 ครัวเรือน สตูล 7 ครัวเรือน

        

ทั้งนี้ พบว่ามีครัวเรือนที่ไม่ผ่านการตรวจสอบสถานะบุคคลจำนวน 3,532 ครัวเรือน โดยกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย อยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม โดยจะตรวจสอบว่าเกิดปัญหาอะไรบ้างเพื่อแก้ไขให้เรียบร้อยในการโอนเงินครั้งต่อไป

             

“รัฐบาลขอยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน โดยดำเนินการโอนเงินอย่างโปร่งใส รวดเร็ว และทั่วถึง ตามมติ ครม. เพื่อให้ทุกครัวเรือนได้รับสิทธิตามที่กำหนด พร้อมทั้งกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งตรวจสอบและแก้ไขปัญหาสำหรับครัวเรือนที่ยังไม่ผ่านการตรวจสอบสถานะ เพื่อให้มั่นใจว่าความช่วยเหลือจะเข้าถึงทุกคนที่มีสิทธิอย่างแท้จริง” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

เอาจริง! เริ่มวันนี้ปิดปากม้า แบ่งแยกบัญชีม้าเป็นม้าดำ-ม้าเทาเข้มโอนเงินไม่ได้ สกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์

เอาจริง! เริ่มวันนี้ปิดปากม้า แบ่งแยกบัญชีม้าเป็นม้าดำ-ม้าเทาเข้มโอนเงินไม่ได้ สกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์
นางรุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ธปท.ได้มีการยกระดับมาตรการเชิงป้องกัน โดยจะเพิ่มความเข้มข้นและขยายผลการจัดการบัญชีม้าต้องสงสัย เพื่อให้ธนาคารสามารถดำเนินการได้เชิงรุกในการป้องกันความเสี่ยง และแก้ปัญหาภัยทางการเงิน การยกระดับป้องกันครั้งนี้ มี 3 ด้านด้วยกันคือ กวาดล้างบัญชีม้าให้ได้มากขึ้น จัดการบัญชีม้าระดับบุคคลที่เข้มข้นมากขึ้น และขยายการจัดการในวงกว้างที่เกิดขึ้น

โดยวันนี้เป็นวันแรกที่ให้ทุกสถาบันการเงินห้ามทำธุรกรรมให้ หรือห้ามโอนเงินเข้าบัญชีต้องสงสัย หากมีคำสั่งโอนเงินไปบัญชีม้าดำ(มีข้อมูลชัดเจนว่าเป็นบัญชีม้าแก๊งอาชญากรรม และถูก ปปง.ประกาศชื่อแล้ว) กับบัญชีม้าเทาเข้ม(มีผู้เสียหายมาแจ้งความแล้วว่าเป็นบัญชีม้า) โดยหากเป็นบัญชีต้องสงสัยจะไม่สามารถโอนเงินเข้าบัญชีดังกล่าวได้ และธนาคารจะมีการส่งแจ้งเตือนถึงผู้ใช้บริการทางการเงินว่า บัญชีดังกล่าวเสี่ยงเป็นมิจฉาชีพ หรือเป็นบัญชีที่มีความเสี่ยง

สำหรับการแบ่งเฉดสีระดับบัญชีม้า เพื่อให้การปฏิบัติการรวดเร็วขึ้นคือ

ม้าดำ-บัญชีในฐานข้อมูล ปปง.

 

ม้าเทา-มีผู้เสียหาย

*ม้าเทาเข้ม-ผู้เสียหายแจ้งความแล้ว

*ม้าเทาอ่อน-ผู้เสียหายยังไม่แจ้งความ

 

ม้าน้ำตาล-ยังไม่มีผู้เสียหาย

*ม้าน้ำตาลเข้ม-ธนาคารมั่นใจพอที่จะแจ้งตำรวจ

*ม้าน้ำตาลอ่อน-ธนาคารสงสัย

ทั้งนี้ภายในเดือนมี.ค.68 จะมีการกันเงินเข้า กันเงินออกและกันไม่ให้เปิดบัญชีใหม่ สำหรับบัญชีม้าทุกเฉดสี (ยกเว้นบัญชีม้าน้ำตาล ซึ่งจะแจ้งชื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรับทราบ เพื่อติดตามพฤติกรรมเส้นทางการเงินต้องสงสัย)

โดยหลังจากนี้สถาบันการเงินจะแชร์ข้อมูลบัญชีม้า และบัญชีต้องสงสัยร่วมกันทั้งระบบได้ เพื่อให้เห็นบัญชีต้องสงสัยทั้งระบบร่วมกัน จากเดิมที่แบงก์ไม่สามารแชร์ข้อมูลร่วมกันได้ และหากตรวจพบว่ามีพฤติกรรมการโอนเงินออกไปสู่บัญชี “คริปโท” ประจำ หรือเมื่อเงินเข้ามาแล้ว โอนออกไปบัญชีคริปโทอย่างรวดเร็ว ส่วนนี้อาจมีการติดรหัส เป็นบัญชีต้องสงสัย เป็นบัญชีม้า หรือนำไปสู่การสั่งระงับ การห้ามโอนเงินออกได้ เพื่อป้องกันเงินไหลออกนอกระบบ หรือไหลออกไปต่างประเทศ พร้อมยกระดับการเปิดบัญชีใหม่ให้ยากมากขึ้น ป้องกันการสวมรอย และหากมองว่าธุรกรรมการเปิดบัญชีใดมีความไม่ชัดเจน อาจไม่อนุญาตให้เปิดบัญชี ส่วนเรื่องการรับผิดชอบความเสียหาย ต้องรอ พ.ร.ก.อาชญกรรมออนไลน์ มีผลบังคับใช้ และจัดตั้งคณะกรรมกลางขึ้นมากำหนดหลักเกณฑ์การชดเชยความเสียหายที่ชัดเจน

สำหรับ ธปท. เห็นว่าการแก้ไขปัญหาภัยทุจริตทางการเงินให้ได้อย่างยั่งยืน จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งธนาคาร ผู้ให้บริการโทรคมนาคม รวมถึงประชาชนผู้ใช้บริการ ที่ต้องรับผิดชอบในหน้าที่ตามขอบเขตมาตรฐานที่ผู้กำกับดูแลกำหนดไว้อย่างชัดเจน หากฝ่ายไหนละเลยการปฏิบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด ควรที่จะต้องแสดงความรับผิดชอบและชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น

#บัญชีม้า #ธปท #โอนเงิน #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

 

เริ่มโอนเงินไร่ละพันบาท "ธ.ก.ส." กดปุ่มให้ชาวนาทั่วประเทศแล้ว 4.61 ล้านครัวเรือน วงเงินรวม 37,414 ล้านบาท

ธ.ก.ส.โอนเงินโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2567/68 ไปยังเกษตรกรผู้ปลูกข้าวทั่วประเทศกว่า 4.61 ล้านครัวเรือน วงเงินรวม 37,414 ล้านบาท ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 10 ไร่ โดยแบ่งการโอนเงินรายภูมิภาค 5 รอบ ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันตก และภาคใต้ เริ่มโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรง ตั้งแต่ 16 ธันวาคมนี้ เป็นต้นไป โดยสามารถตรวจสอบผลการโอนเงินได้ทางแอปพลิเคชัน BAAC Mobile ตลอด 24 ชั่วโมง

เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.67 นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง และประธานกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นประธานในการโอนเงินตามโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2567/68 ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 10 ไร่ เป็นวันแรก เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีวิตลดค่าใช้จ่ายในการเพาะปลูกข้าว และสนับสนุนให้เกษตรกรมีแรงจูงใจในการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตข้าวให้มีคุณภาพ มีมูลค่าเพิ่มและมีรายได้มากขึ้น โดยวางแผนการโอนเงินส่งถึงมือเกษตรกรเป็นรายภูมิภาค จำนวน 5 รอบ ระหว่างวันที่ 16 – 20 ธันวาคม 2567 ตั้งเป้าหมายเกษตรกรที่ได้รับประโยชน์ จำนวน 4.61 ล้านครัวเรือน วงเงินรวม 37,414 ล้านบาท โดยมีนายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธ.ก.ส. และผู้บริหาร ธ.ก.ส. ร่วมเป็นสักขีพยาน ซึ่งถือเป็นการดำเนินการตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567 และที่ประชุมคณะกรรมการ ธ.ก.ส. เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ที่เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ขับเคลื่อนงานสนับสนุนนโยบายรัฐบาลผ่านโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2567/68 ให้กับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวกับกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปีการผลิต 2567/68 โดย ธ.ก.ส. ได้รับข้อมูลจากกรมส่งเสริมการเกษตร เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567 จึงได้จัดทำแผนการโอนเงินส่งถึงมือเกษตรกรเป็นรายภูมิภาค ซึ่งมีรายละเอียดการโอนเงิน ดังนี้

     

รอบที่ 1 วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม 2567 สำหรับเกษตรกรในพื้นที่ภาคเหนือ จำนวน 17 จังหวัด 9.57 แสนครัวเรือน วงเงิน 7,302 ล้านบาท รอบที่ 2 วันอังคารที่ 17 ธันวาคม 2567 สำหรับเกษตรกรในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออก จำนวน 18 จังหวัด 2.96 แสนครัวเรือน วงเงิน 2,690 ล้านบาท รอบที่ 3 วันพุธที่ 18 ธันวาคม 2567 สำหรับเกษตรกรในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน จำนวน 12 จังหวัด 1.37 ล้านครัวเรือน วงเงิน 10,800 ล้านบาท รอบที่ 4
วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม 2567 สำหรับเกษตรกรในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง จำนวน 8 จังหวัด 1.40 ล้านครัวเรือน วงเงิน 11,822 ล้านบาท และรอบที่ 5 วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม 2567 สำหรับเกษตรกรในพื้นที่ภาคตะวันตกและภาคใต้ จำนวน 22 จังหวัด 1.56 แสนครัวเรือน วงเงิน 1,303 ล้านบาท

ทั้งนี้ เกษตรกรสามารถตรวจสอบผลการโอนเงินได้ทางแอปพลิเคชัน BAAC Mobile ตลอด 24 ชั่วโมง หรือข้อความแจ้งเตือนเงินเข้าบัญชี ผ่านบริการ BAAC Connect ทาง Line: BAAC Family สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ Call Center 02-555-0555

#ข่าววันนี้ #โอนเงิน #ไร่ละพัน #ชาวนา #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

ไอแบงก์​ คิกออฟโครงการ​ “ใช้ = ให้” โอนเงินผ่าน ibank Application​ ร่วมมอบเงินบริจาค “ให้”  สำนักจุฬาราชมนตรี​ โอกาสครบรอบ​ 10​ ปี

ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์)​  โดย​ ดร.ทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการและผู้จัดการธนาคาร พร้อมคณะผู้บริหาร เข้าร่วมงาน​ “ครบรอบ 10 ปี สภาเครือข่ายช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม สำนักจุฬาราชมนตรี” เมื่อช่วงค่ำวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งกิจกรรมในครั้งนี้สภาเครือข่ายฯ ได้ร่วมกับมุสลิมไทยโพสต์และด้วยความร่วมมือขององค์กรเครือข่ายสมาชิก และองค์กรพันธมิตร เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือ การตระหนักรู้ และเผยแผ่ข้อมูลข่าวสารการทำงานสู่สาธารณะ เป็นการรวมพลังคนทำงานจิตอาสาด้านมนุษยธรรมทั่วประเทศ เพื่อร่วมถอดบทเรียนการทำงานในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา เพื่อการกำหนดทิศทางในภารกิจการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในทศวรรษหน้า อีกทั้งยังเป็นการระดมทุนเพื่อภารกิจการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งได้กำหนดจัดงานขึ้นในระหว่างวันที่ 1-2-3 พฤศจิกายน 2567 ณ ลานพลาซ่า อินดอร์สเตเดียม หัวหมาก กรุงเทพฯ โดยการจัดงานในครั้งนี้​ กรรมการและผู้จัดการ​ธนาคารได้รับโล่เกียรติคุณ​ ในฐานะบุคคลและองค์กร​ดีเด่นด้านมนุษยธรรม จาก​ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี​ ประธานในพิธี และนายอรุณ บุญชม จุฬาราชมนตรี พร้อมกันนี้ธนาคารได้ส่งมอบการสนับสนุนผ่านโครงการ “ใช้ = ให้” แก่สภาเครือข่ายฯ รับมอบโดย ประธานองคมนตรี และจุฬาราชมนตรี​ และนายแพทย์​อนันต์​ชัย ไทยประทาน​ ประธานสภาเครือข่ายช่วยเหลือด้าน​มนุษยธรรม​  สำนัก​จุฬาราช​มนตรี​  ให้การต้อนรับ

โครงการ “ใช้ = ให้” ยิ่งใช้ ยิ่งให้ ยิ่งได้ช่วยเหลือสังคม โดยลูกค้าหรือร้านค้าที่ใช้บริการ ibank Application สามารถสร้างคิวอาร์โค้ดเพื่อรับเงินโอนได้ด้วยตนเอง หากสแกนหรือโอนจาก ibank Application เข้าบัญชีลูกค้าหรือร้านค้าที่มีบัญชีไอแบงก์ ธนาคารจะบริจาค 1 บาท/รายการ และหากสแกนหรือโอนไปธนาคารอื่น ธนาคารจะบริจาค 25 สตางค์/รายการ ให้กับ “สภาเครือข่ายช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม สำนักจุฬาราชมนตรี” โดยร่วมบริจาคทุกการใช้จ่ายได้แล้ว ตั้งแต่วันนี้  ถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2567 นี้ และพิเศษ หากสแกนหรือโอนจากแอปพลิเคชันธนาคารใดก็ได้ เข้าบัญชีร้านค้าไอแบงก์ที่เข้าร่วมงานครบรอบ 10 ปี สภาเครือข่ายช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม สำนักจุฬาราชมนตรี ตลอดทั้ง 3 วัน ในครั้งนี้ ธนาคารจะบริจาค 1 บาท/รายการ ยิ่งใช้มาก ยิ่งให้มาก ยิ่งได้ช่วยเหลือสังคมมากยิ่งขึ้น

รวบเครือข่ายอ้างชื่อธนาคารดังหลอกลงทุน โวโอนพันเดียวรับกำไร 3 หมื่น

รวบเครือข่ายอ้างชื่อธนาคารดังหลอกลงทุน โวโอนพันเดียวรับกำไร 3 หมื่น สุดท้ายโดนตุ๋นไป 1.1 ล้าน

วันที่ 28 ส.ค.67 ที่บก.สอท.3 ว่าที่ พ.ต.อ.อดิชาต อมรประดิษฐ ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3 เปิดเผยว่าสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 9 ส.ค.66 ได้มีคนแปลกหน้าทักไลน์พร้อมแนบลิงก์ส่งให้ผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายกดลิงก์พบว่าเป็นโฆษณาชักชวนลงทุนโดยอ้างบริษัทซิตี้แบงก์ โดยโฆษณาว่าลงทุนเพียง 1,000 บาท จะได้กำไร 30,000 บาทต่อเดือน ผู้เสียหายเห็นว่าได้กำไรเยอะ จึงหลงเชื่อและโอนเงินไปยังบัญชีคนร้ายจำนวน 1,000 บาท

หลังจากนั้นคนร้ายได้ส่งข้อความทางไลน์กลับมาแจ้งว่า การลงทุนแค่ 1,000 บาท มีความเสี่ยงสูง ต้องลงทุนเพิ่ม ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไปยังบัญชีคนร้ายอีกจำนวน 8,999 บาท จากนั้นคนร้ายแจ้งว่าให้ลงทุนเพิ่มอีกเพื่อจะได้ถอนเงินออก โดยครั้งนี้เป็นการลงทุนหลักหมื่นเพื่อจะได้กำไรกลับมานับหลายแสน ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนไปอีก 99,678 บาท ต่อมาคนร้ายแจ้งว่าต้องลงทุนเพิ่มอีกเนื่องจากยังไม่ครบจำนวนที่สามารถถอนเงินออกมาได้ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนไปยังบัญชีธนาคารคนร้ายอีก 124,379 บาท

ภายหลังคนร้ายแจ้งว่าจากการที่ลงทุนไปทั้งหมด ผู้เสียหายได้กำไร 2,000,000 บาท แต่ผู้เสียหายต้องเสียค่าธรรมเนียม จำนวน 46,642 บาทก่อน ถึงจะถอนเงินออกมาได้ ผู้เสียหายจึงโอนยอดดังกล่าวไปให้คนร้ายอีก จากนั้นคนร้ายอ้างว่าต้องชำระค่าภาษีเงินได้อีกจำนวน 72,555 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไป จากนั้นคนร้ายอ้างว่าผู้เสียหายโอนผิดจำนวนต้องโอนใหม่ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนไปอีก 72,554 บาท จากนั้นคนร้ายอ้างต่ออีกว่า ผู้เสียหายต้องจ่ายค่าเทรนเนอร์อีก 100,000 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินเพิ่มอีก จากนั้นคนร้ายอ้างต่ออีกว่าต้องจ่ายค่าสรรพากรอีก 120,909 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินเพิ่มไป จากนั้นคนร้ายอ้างต่ออีกว่าต้องจ่ายค่าดำเนินการอีก 60,499 บาท ผู้เสียหายจึงหลงเชื่อโอนเงินไป จากนั้นคนร้ายอ้างต่ออีกว่าจำนวนเงินที่ผู้เสียหายได้รับนั้นมีจำนวนมาก ทางบริษัทต้องดำเนินการแบบระดับ VIP จึงต้องจ่ายเพิ่มอีก 80,000 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนไปอีก จากนั้นคนร้ายอ้างว่าผู้เสียหายบันทึกรายการผิดต้องโอนใหม่ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนไปยังบัญชีธนาคารคนร้ายเพิ่มอีกจำนวน 80,000 บาท

หลังจากนั้นผู้เสียหายเริ่มรู้สึกผิดสังเกต จึงไปปรึกษาเพื่อนและทราบว่าตนเองถูกหลอกแล้ว รวมโอนเงินให้คนร้ายจำนวน 18 ครั้ง รวมมูลค่าความเสียหาย 1,107,505 บาท จึงเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน กก.2 บก.สอท.5 เพื่อดำเนินคดี ต่อมา พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจออกสืบสวนสอบสวนกรณีดังกล่าว จนสามารถรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการได้หลายราย

ว่าที่ พ.ต.อ.อดิชาต อมรประดิษฐ ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3 นำทีมเจ้าหน้าที่ตำรวจลงพื้นที่สืบสวนจนทราบว่า น.ส.รัชนาถ อายุ 22 ปี หนึ่งในผู้ร่วมขบวนการ ได้พักกบดานอยู่ภายในหมู่บ้านเอื้ออาทรแห่งหนึ่งในซอยวัดกู้ หมู่ 3 ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี จึงนำกำลังวางแผนเข้าจับกุมจนสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ขณะยืนอยู่บริเวณริมถนนหน้าอาคาร ในหมู่บ้านเอื้ออาทรดังกล่าว พร้อมแจ้งข้อกล่าวหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น และนำเข้าสู่ระบบระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง” นำส่งพนักงานสอบสวน กก.2 บก.สอท.5 ดำเนินคดี พร้อมเร่งขยายผลจับกุมผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีเพิ่มเติมต่อไป

ร้อง บช.ก.ช่วยจับสองพี่น้องแสบ หลอกซื้อทรัพย์สินราคาแพง ออกอุบายให้ส่งพัสดุ อ้างระบบโอนเงินมีปัญหา ก่อนเชิดหนี

ร้อง บช.ก.ช่วยจับสองพี่น้องแสบ หลอกซื้อทรัพย์สินราคาแพง ออกอุบายให้ส่งพัสดุ อ้างระบบโอนเงินมีปัญหาให้ไปตรวจดูธนาคารใกล้เคียง ก่อนฉวยจังหวะส่งคนไปยกเลิกส่ง เชิดพัสดุแพงหนี

เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 13 มิ.ย.67 ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถนนพหลโยธิน จตุจักร กทม. จ่าคิงส์ แตงทิม สะพานใหม่ พร้อมด้วย  ทนายเจส นายณัฐปกรณ์ สุดชา  พาผู้เสียหายเข้าพบ พงส.กก.1 บก.ปคบ. แจ้งความ กรณีถูกมิจฉาชีพใช้กลอุบายหลอกซื้อทรัพย์สินมีค่า ประทองคำ นาฬิกาหรู โทรศัพท์มือถือ โดยคนร้ายติดต่อซื้อขายทรัพย์สินแล้ว ให้ผู้เสียหายแต่ละรายไปส่งของ ก่อนแจ้งให้ไปตรวจสอบว่าได้โอนเงินแล้ว พร้อมกับขอเลขกำกับขนส่ง แต่เมื่อเจ้าของทรัพย์ไปตรวจสอบธนาคารตามที่คนร้ายอ้างกลับไม่มีการโอนเงิน แต่พอย้อนกลับไปยกเลิกการส่งสินค้าพบว่ามีคนมาแจ้งยกเลิกและรับสินค้าทรัพย์สินราคาแพงไปก่อนแล้ว เชื่อว่าน่าจะทำกันเป็นทีม เบื้องต้นมีผู้เสียหาย 15 ราย สูญทรัพย์สินไปมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท

น.ส.โภภาภรณ์ อายุ 30 ปี ผู้เสียหาย เปิดเผยเรื่องราวว่า เหตุเกิดเมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 21 มี.ค.ที่ผ่านมา ตนได้รับการติดต่อขอซื้อโทรศัพท์มือถือ ไอโฟน 15 โปร ราคา 4.8 หมื่นบาทโดยผู้ซื้อให้ไปส่งพัสดุที่ร้าน สาขาอ่างศิลา ชลบุรี ได้ทำรายการจนเสร็จสิ้น และได้รับใบเสร็จมา แจ้งผู้ซื้อว่าส่งของเรียบร้อยเขาขอเลขกำกับพัสดุจึงบอกไป รอผู้ซื้อโอนเงินมาให้อ้างว่าระบบล่ม จึงกลับไปที่ร้าน จนเวลา 17.00 น. ตรวจสอบไม่มีการโอนเงินมา จึงย้อนกลับไปที่รับฝ่ายส่งพัสดุ พบว่ามีคนเอาหมายกำกับสินค้ามาแจ้งยกเลิกพร้อมขอพัสดุที่บรรจุไอโฟนไป ก่อนไปแจ้งความไว้ สภ.แสนสุข แต่ยังจับคนร้ายไม่ได้

นายธงชัย อายุ 60 ปี เผยว่า 13 มี.ค.ที่ ผ่านมาตนได้โพสต์เฟซบุ๊กขายนาฬิกาโรเล็กซ์ รุ่นจีเอ็มทีสไปรท์ ราคา 625,000 บาท มีนานธนกฤต ชาวเชียงใหม่ ติดต่อขอซื้อ โดยให้ตนไปส่งสินค้าทางพัสดุที่ ถนนเอกชัย จ.สมุทรสาคร ก่อนแจ้งให้นายธนกฤตทราบ 

นายธนกฤต แจ้งว่า ได้โอนเงินให้แล้วให้ตนไปตรวจสอบตู้เอทีเอ็ม ที่ห่างไป 500 เมตร ไม่พบว่ามีรายการโอนเงินเข้าจึงย้อนกลับมาที่ร้านปรากฏว่ามีคนนำเลขกำกับพัสดุมาขอยกเลิกและเอานาฬิกาโรเล็กซ์ไปก่อนแล้ว โดยเจ้าหน้าที่ได้ถ่ายรูปคนรับพัสดุไปซึ่งไม่ใช่คนเดียวกันกับนายธนกฤตที่สั่งซื้อจึงเชื่อว่าน่าจะทำการเป็นขบวนการ ก่อนไปแจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองสมุทรสาคร

ด้านนายฟาร์ม อายุ 55 ปี เปิดเผยว่า ได้โพสต์เฟซบุ๊กประกาศขายนาฬิกายี่ห้อpatek 2 เรือน มูลค่า 6 ล้านบาท ในกลุ่มซื้อขายนาฬิกา เมื่อ 25 ม.ค.67 มีคนติดต่อมาชื่อเบส ว่าต้องการซื้อนาฬิกา 2 เรือน แจ้งให้ตนเอานาฬิกาไปตรวจ ที่expert watch central ลาดพร้าว ก่อนโดยใช้วิธีให้ถ่ายคลิป ส่งให้ดูทางไลน์ ก่อนออกอุบายให้ตนเอานาฬิกา 2 เรือนฝากส่งของทาง ขนส่งโดยขอให้มีการถ่ายคลิปหรือรูปส่งให้เขาดูโดยค่าตรวจexpert watch ทางเบสผู้ซื้อจะชำระให้ทัังหมด เพราะผู้ซื้ออยู่ จ.พังงา ไม่สะดวกมารับของเองที่กรุงเทพ พอดีตนเองอยู่ ตจว.จึงได้ให้แฟนเอาไปฝากส่งแทนตามที่เขาระบุสาขารัชดา ซ.3 โดยให้ระบุของในพัสดุเป็นครีมกันแดด เพราะถ้าแจ้งว่าเป็นสิ่งของมีค่าราคาแพงจะไม่รับฝากรับส่งให้ พอได้เลขแทรกพัสดุมาก็ถ่ายรูปแจ้งให้เบสทราบ ขอให้เขาโอนเงินค่านาฬิกามาเขาขอให้เลขพัสดุเข้าระบบก่อนขอเวลา 15 นาที จากนั้นออกอุบายให้ไปกดเงินตรวจสอบทางตู้เอทีเอ็ม แต่ไม่พบว่ามีการโอนเงินมา จึงย้อนกลับไปที่รับฝากส่งพัสดุ แต่พบว่ามีบุคคลมาแอบอ้างว่าเป็นตนขอยกเลิกฝากส่งแล้วเอาพัสดุกลับไปแล้ว


ทนายเจส กล่าวว่า คนร้ายแก๊งนี้จะแฝงตัวเข้าไปในกลุ่มซื้อขายต่างๆ เช่น ทองคำ นาฬิกาโรเล็กซ์ โทรศัพท์  โดยออกอุบาย ทำทีเป็นผู้ซื้อสินค้า หลอกให้ผู้ขายสินค้านำสินค้าไปส่งให้ ที่บริษัทขนส่งเอกชน และหลอกว่าเมือผู้เสียหายส่งของแล้วให้ส่งเลขยืนยันการส่งไปให้ แล้วจะทำการโอนเงินมาชำระค่าสินค้า  เมือผู้เสียหายส่งสินค้าแล้ว จะอ้างว่าระบบโอนเงินมีปัญหา และมิจฉาชีพจะให้แก๊ง เข้าไปรับสินค้า ที่ขนส่งเอกชนที่ผู้เสียหายพึ่งฝากไว้ โดยจะนำเลขยืนยันการส่งไปอ้างว่าผู้ส่งสินค้าให้มารับสินค้ากลับ และบริษัทขนส่งก็ให้มิจฉาชีพไปโดยไม่มีการขอเอกสารหรือหลักฐานไว้เลย เมื่อผู้เสียหายทราบว่าโดนหลอกจะกลับไปเอาสินค้าที่บริษัทขนส่ง กลับพบว่าสินค้าที่ตนฝากส่งนั้นไม่อยู่แล้ว จึงทำให้ทราบว่าถูกหลอก และมีผู้เสียหายโดนในลักษณะนี้เหมือนกัน โดยมิจฉาชีพคนเดียวกัน มากกว่า15 คน มูลค่าความเสียหายกว่า 10 ล้านบาท และยังทราบว่ามิจฉาชีพคนนี้มีหมายจับติดตัวเยอะมาก แต่ยังลอยนวล หลอกคนอื่นอยู่ จึงพามาร้องกองปราบ ดำเนินคดีฐานฉ้อโกงประชาชน เพราะคดีเกิดขึ้นหลายท้องที่ มูลค่าทรัพย์สินจำนวนนับสิบล้านบาท มิจฉาชีพทำกันเป็นขบวนการ 

เบื้องต้นพนักงานสอบสวนรับแจ้งสอบปากคำผู้เสียหายดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อเร่งรัดติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป