ยื่นเอกสาร “ปปช.” พันหน้า เชือด “รัฐบาลอิ๊งค์”ปมโยกงบ “แจกเงินหมื่น”ส่อผิด ม.144

เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) , นายสมชาย แสวงการ อดีตสว. , นายเจษฎ์ โทณะวณิก นักกฎหมาย และนายนิติธร ล้ำเหลือ หรือทนายนกเขา เข้ายื่นหลักฐาน และเอกสารเพิ่มเติมในคำร้องที่ยื่นก่อนหน้านี้ขอให้ป.ป.ช.ดำเนินการเอาผิดคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายเศรษฐา ทวีสิน และครม.นางสาวแพทองธาร ชินวัตร คณะกรรมาธิการงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 รวมถึง สส. และ สว. ที่มีมติสั่งตัดงบประมาณรวม 35,000 ล้านบาท เพื่อไปใช้ในโครงการแจกเงินหมื่นดิจิทัล ซึ่งเข้าข่ายกระทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 144

นายชาญชัย กล่าวว่า เอกสารหลักฐานที่นำส่งเพิ่มเติมให้ป.ป.ช.ในวันนี้มีทั้งสิ้น 11 รายการรวมกว่า 1 พันหน้า เป็นเรื่องเกี่ยวกับเงินที่กู้มาจากไหน ปี พ.ศ.อะไร และนำไปใช้เรื่องอะไร ปี 67 มีงบประมาณดังกล่าวหรือไม่ ที่สำคัญมีเอกสารสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาความเห็นและแนวทางการเสนอและการเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่ระบุว่า ในการดำเนินการดังกล่าวต้องปฏิบัติตามมาตรา 144 วรรคหนึ่ง และวรรคสองของรัฐธรรมนูญ 60 และ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง 2561 โดยเคร่งครัด ซึ่งจะทำให้ ป.ป.ช.ได้เห็นข้อเท็จจริงและทำงานได้เร็วขึ้น ก่อนที่จะมีมติและส่งไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงรายละเอียดการถกเถียงกันถึงเรื่องความผิดตามมาตรา 144ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งอยู่ในรายงานการประชุมของสภาด้วย จึงเอามายืนยันให้กับ ป.ป.ช.ซึ่งถือว่าเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ถึงการทำผิดตาม กฎหมายรัฐธรรมนูญที่ระบุว่าเป็นเหตุให้ถูกถอดถอนได้

“เป็นเรื่องของนักการเมืองที่ไม่เคารพกฎหมายและ ครม.ที่เห็นแต่ได้จะเอาเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ที่ตั้งอยู่ในงบประมาณที่ผ่านสภาผู้แทนราษฎรวาระหนึ่งไปแล้ว อย่างนี้เป็นเรื่องการกระทำความผิดที่เห็นชัดเจน ถึงได้มีการแก้บทบัญญัตินี้ให้มีความละเอียดขึ้นแม้แต่ ครม.ไม่ทำ แต่หากรู้แล้วไม่ยับยั้งก็จะถือเป็นความผิดถูกถอดถอนด้วยจนเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ที่มีหนังสือของกฤษฎีกา ครม.ถึงมีมติว่าถ้าจะแปรเปลี่ยนประมาณในปี 69 ให้ทุกหน่วยงานระมัดระวังอย่าให้ทำผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144ซึ่งตรงนี้เป็นกฎเกณฑ์ที่ออกโดยครม.ก็เป็นการยืนยันว่าสิ่งที่เราได้ยื่นทั้งหมดเป็นเรื่องข้อกฎหมายและได้มีพฤติกรรมการกระทำผิดไปแล้ว” นายชาญชัย กล่าว

นายชาญชัย กล่าวอีกว่า ประชาชนอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมจึงมีความผิดเนื่องจากเงินของทั้ง 5 ธนาคาร เช่น ธกส.เป็นเงินที่รัฐบาลสั่งไปกู้เงินมาเพื่อจำนำข้าว  ซึ่งเป็น แล้วเอาแจกเงินดิจิตอล ทำให้ไม่ได้นำเงินไปจ่ายหนี้ให้ธกส . แต่หรือในส่วนธอส.ทำโครงการบ้านเอื้ออาทร ส่วนธนาคาร SME ก็ทำหน้าที่สนับสนุนการกู้ดอกเบี้ยต่ำธนาคารออมสินก็เช่นเดียวกัน ส่วนธนาคารส่งออกและนำเข้า สนับสนุนในส่วนของดอกเบี้ยปล่อยเงินกู้ให้กับเมียนมา ซึ่งเป็นหนี้ที่รัฐมีนโยบายให้ 5 แบงก์ไปกู้ดังนั้นจึงต้องจ่ายเงินชดเชย แต่เมื่อถึงเวลากลับไม่เอาเงินไปใช้หนี้  แล้วไปทำผิดกฎหมายซ้ำโดยเอาไปแจกเป็นเงินให้ประชาชนเพื่อผลประโยชน์ในการหาเสียง และเอาไปแจกส.ส. สว.ที่พ้นวาระแล้ว ซึ่งเข้าข่ายผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ตนก็เป็นอดีตสว.ที่ก็ได้รับผลประโยชน์ด้วย แต่เห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งนี้ เชื่อว่าป.ป.ช.จะชี้มูลและส่งศาลโดยเร็ว ขณะนี้เป็นเวลา 60 วันแล้ว จึงมานำเอกสารมายื่นเพิ่มเติมเพื่อช่วยป.ป.ช.รวมทั้งติดตามความคืบหน้าในเรื่องนี้

ด้านนายเจษฎ์  กล่าวกรณีมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าหากศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองรับพิจารณาเรื่องดังกล่าวจาก ป.ป.ช.จะมีผลให้สมาชิกรัฐสภา 309 คนต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จะทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง ว่า ตนมั่นใจจะไม่เป็นสุญญากาศ โดยมี 2 ทางออก คือ

1.สมมุติว่าหากศาลพิจารณาแล้วมีความผิดตามมาตรา 144 สุดท้ายจะเหลือแต่พรรคประชาชน เพียงพรรคเดียว คณะรัฐมนตรีที่ทำผิดมาตรา 144ไม่สามารถอยู่รักษาการได้  ปลัดกระทรวงต่างๆก็ต้องมาหารือกันแล้วเลือกปลัดคนหนึ่ง ขึ้นมาทำหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะสามารถทำหน้าที่ไปได้เรื่อยๆจนกว่าสภาจะหมดวาระแล้วจึงมีการเลือกตั้งใหม่

2.พรรคประชาชนลาออก ขอย้ำว่าตนไม่เคยถามหาความรับผิดชอบของพรรคประชาชนหรือพรรคใดก็ตาม เพราะเรารู้ว่าเขาไม่มีความรับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น  แต่การเสนอให้พรรคประชาชนลาออกก็จะทำให้ไม่มีสมาชิกสภาเหลืออยู่ หรือถ้ามีใครบางคนเหลืออยู่ก็ลาออก ซึ่งก็จะทำให้มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนผ่าน ไม่ใช่การปฏิวัติรัฐประหารเด็ดขาด แล้วก็ไม่ใช่ขอนายกฯพระราชทานด้วย แต่จะต้องเปลี่ยนผ่านโดยมีการเลือกตั้ง ซึ่งกกต.ก็อาจต้องถามไปยังศาลรัฐธรรมนูญว่าแบบนี้จะใช้อำนาจทำหน้าที่ได้หรือไม่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญก็จะตอบมาว่าทำได้ แต่เมื่อไม่มีบทบัญญัติรัฐธรรมนูญบังคับก็ต้องใช้ประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งเปลี่ยนผ่านด้วยการเลือกตั้งก็ให้กกต.จัดการเลือกตั้ง โดยเมื่อครบวาระให้จัดการเลือกตั้งภายใน 45 วัน แต่กรณีนี้เทียบเคียงได้กับยุบสภาให้จัดการเลือกตั้งภายใน 45 วันและไม่เกิน 60 วัน ก็จะไม่มีสุญญากาศ

“พวกคนที่บอกว่าที่ทำทั้งหมดนี้เพื่อที่จะทำให้เกิดสุญญากาศเพื่อจะเปิดทางให้มีการรัฐประหาร คนพวกนั้นแหละต้องการที่จะให้เกิดเพราะจะได้ประโยชน์จากสิ่งที่พวกคุณพูด” นายเจษฎ์ กล่าว

นายเจษฎ์ กล่าวอีกว่า กรณีนี้ สส. สว.ควรต้องเป็นผู้รักษาเงินแผ่นดินแต่กลับไม่ทำหน้าที่ ประชาชนจึงต้องมารักษาเงินแผ่นดินกันเอง แล้วถ้าพวกคุณจะดื้อดึงถูลู่ถูกังอยู่กันต่อไป  ถึงวันนั้นประชาชนก็จะเห็นว่าเศรษฐกิจสังคมเป็นอย่างไร แล้ววันหนึ่งคนก็จะกลับมาถามว่านี่หรือคนที่อาสาเข้ามาเป็นตัวแทน ทำไมไม่ทำหน้าที่ ในขณะที่ประชาชนทั้งหลายทำหน้าที่  ดังนั้นการจะมาอ้างว่าเกิดสุญญากาศจึงไม่เป็นความจริงยืนยันว่าการเมืองยังคงดำเนินมีทางออกดำเนินการต่อไปได้

ส.อ.ท.หนุนรัฐทบทวนดิจิทัลวอลเล็ต ชี้ควรเร่งออกมาตรการช่วยผู้ส่งออก-ปลดล็อกหนี้ครัวเรือน

ส.อ.ท.หนุนรัฐทบทวนดิจิทัลวอลเล็ต ชี้เร่งออกมาตรการช่วยผู้ส่งออก-ปลดล็อกหนี้ครัวเรือน

วันที่ 19 พฤษภาคม 2568 นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 3 ว่า เนื่องจากสถานการณ์โดยภาพรวมเปลี่ยน ภาครัฐควรทบทวนโครงการนี้ ซึ่งมองว่า เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะสถานการณ์เปลี่ยนก็จำเป็นต้องเปลี่ยนแนวทาง เพราะขณะนี้สิ่งที่กระทบมาก คือเศรษฐกิจในภาพรวมที่ทั่วโลกมีการปรับประมาณการ GDP ลง และปริมาณการค้าโลกก็ลดลง สิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญ คือแรงกระแทกจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก และความไม่แน่นอนภายใต้นโยบายทรัมป์ 2.0 ยังมีอยู่ ซึ่งเชื่อว่า รัฐบาลกำลังหามาตรการรองรับผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบ

สำหรับมาตรการที่จะช่วยเหลือต้องเตรียมมาตรการรองรับ โดยระยะสั้นคือ 1.ต้องมีมาตรการรองรับผลกระทบที่จะเกิดกับผู้ส่งออก และภาคบริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง 2.ต้องมีการกระตุ้นกำลังซื้อ ด้วยการหาแนวทางปลดล็อกหนี้ภาคครัวเรือน และมาตรการปลดหนี้ต่างๆ เพื่อเพิ่มกำลังซื้อกับประชาชนมากขึ้น 3.หามาตรการป้องกันสินค้าราคาถูกที่ไหลทะลักจากต่างประเทศเข้ามายังไทย และมองว่า อาจมีจำเป็นต้องใช้เม็ดเงินสำหรับสูงกว่า 1.57 แสนล้านบาทที่ต้องเตรียมสำหรับมาตรการช่วยเหลือต่างๆ

#สอท #ดิจิทัลวอลเล็ต #แจกเงินหมื่น #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

สรุปไฮไลท์การเมืองรอบวัน 6 พฤษภาคม 2568

 

# น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  เปิดเผยว่า วันนี้ยังไม่มีมีการนำวาระ การแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต เฟสที่ 3 เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพราะยังต้องรับฟังความเห็น และยังมีสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงไป หลายหน่วยงานทั้งสภาพัฒน์ฯ และธนาคารแห่งประเทศไทยก็เริ่มมีความเห็นมา รัฐบาลก็ต้องรับฟัง แต่ความตั้งใจต่อโครงการดิจิทัลวอลเล็ตคือการกระตุ้นเศรษฐกิจ เมื่อมีปัจจัยแทรกเข้ามาต้องดูว่าอันไหนจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้

นายกฯ กล่าวถึงกระแสข่าวที่บอกว่ารัฐบาลจะยกเลิกแจกเงิน 10,000 บาท ให้กลุ่มกลุ่มอายุ 16-20 ปี เพราะจะผันเอางบประมาณ ไปรับมือผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ  ยืนยันว่าไม่ได้จะยกเลิก แต่อยู่ในช่วงรับฟังความเห็น จะต้องฟังให้ครบว่าความจำเป็นมีมากน้อยแค่ไหนในเรื่องกระตุ้นเศรษฐกิจ และเงินก้อนนี้สามารถเอาไปทำประโยชน์ สูงสุดต่อคนทั้งประเทศ อันนี้คือเป้าหมายที่สำคัญที่สุด

# พล.อ.ท. ประภาส สอนใจดี โฆษกกองทัพอากาศ เปิดเผยว่า วันนี้เวลาประมาณ 12.45 น. กองทัพอากาศได้ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ ขึ้นบินเพื่อพิสูจน์ฝ่ายและสกัดกั้นอากาศยานไม่ทราบฝ่าย ซึ่งเรดาร์ของกองทัพอากาศ ได้ตรวจพบอากาศยานไม่ทราบฝ่าย ทิศทางเข้าใกล้แนวชายแดนไทย-เมียนมา จังหวัดกาญจนบุรี

ทางหน่วยควบคุมการบินสกัดกั้น ได้สั่งให้เครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ จากกองบิน 4 อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ เพื่อขึ้นไปพิสูจน์ฝ่ายและสกัดกั้นอากาศยานดังกล่าว

# นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นรายวันในพื้นที่จังหวัดชายแดน นั้นตนขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของประชาชน ทั้งไทยพุทธและไทยมุสลิมที่ประสบเหตุ คิดว่าการกระทำแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น ต้องถือว่าเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม และใช้ความรุนแรงในการเข้าไปแก้ปัญหา ด้วยการเข้าไปยิงพระ เณร เด็ก คนชรา ผู้พิการ เป็นเรื่องที่ไร้มนุษยธรรมอย่างยิ่ง ไม่ได้ช่วยให้สิ่งที่กำลังต่อสู้ประสบความสำเร็จ 

" วันนี้ตนพร้อม และทีมเจรจาก็พร้อมที่จะตั้งทันที หากทุกอย่างเป็นไปตามเงื่อนไขว่า ตัวแทนเจรจาสามารถสั่งการให้หยุดได้ โดยประเด็นที่อยากเจรจา มีเงื่อนไข ที่ได้ฝากกับผู้อำนวยความสะดวกไป คือ ต้องหยุดเรื่องความรุนแรงจริ ๆ ไม่ใช่เป็นการใช้เกมการเมือง" 

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีกระแสข่าว พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ขู่ฟันผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ ที่เป็นอุปสรรคต่อการสอบคดีฮั้วเลือกสว. ว่า ท่านเพียงแต่อธิบายข้อกฎหมาย ถ้าใครไม่ให้ความร่วมมือก็อาจเข้าข่ายถูกดำเนินคดี ซึ่งไม่ได้ฟันผู้ว่าฯ ฟันได้อย่างไรคนละหน่วยงานกัน ซึ่งคนที่ฟันผู้ว่าฯได้คือปลัดกระทรวงมหาดไทย

นายอนุทิน ย้ำว่า กรณีการสอบคดีฮั้วเลือกสว.นั้น ทั้งกระทรวงยุติธรรมกับกระทรวงมหาดไทยไม่ได้มีปัญหาอะไรต่อกัน ในคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีความกลมเกลียวกันดีไม่มีปัญหากันเลย

# นายสมศักดิ์ เทพสุทิน  รมว.สาธารณสุข กล่าวถึงกระแสข่าวผลสอบแพทยสภากรณีชั้น 14 มีแพทย์ 2 คนโดนพักใบอนุญาตจริงหรือไม่ ว่า มีสื่อบางฉบับเอาผลการประชุมของแพทยสภามานำเสนอ แต่เท่าที่ตนดูแพทยสภายังไม่มีการประชุม ตนจึงไม่รู้ว่าไปรับรู้รับทราบข้อมูลมาอย่างไร แต่คิดว่าคงเป็นการคาดเดาว่าตนจะไปยับยั้งหรือไม่เห็นด้วยตามระเบียบกฎหมาย

นายสมศักดิ์ ระบุว่า ตนในฐานะ รมว.สาธารณสุข เป็นสภานายกพิเศษแห่งแพทยสภา มีอำนาจในการยับยั้งหรือเห็นชอบรายงานการประชุมของแพทยสภาตามปกติ และในเอกสารที่ระบุว่าวันที่ 8 พ.ค.นี้ จะมีการประชุมแพทยสภานั้น ตนก็ไม่ทราบว่าจะมีการประชุมหรือไม่อย่างไร แต่เมื่อผลออกมาแล้วตามกฏหมายก็ต้องส่งมาให้รมว.สาธารณสุขเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ซึ่งตนไม่ทราบว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร

ไม่แห้ว! รอเลยเงินดิจิทัลหมื่นบาทเฟส 3 แจก Q2/68 คลังย้ำเตรียมเงินไว้แล้ว 

รอเลยเงินดิจิทัลหมื่นบาทเฟส 3 แจก Q2/68 คลังย้ำเตรียมเงินไว้แล้ว 1.57 แสนล้านบาท

วันที่ 6 พฤษภาคม 2568 นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง เปิดเผยว่า โครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3 ให้แก่กลุ่มเป้าหมายที่อายุ 16-20 ปี จำนวน 2.7 ล้านคนนั้น ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรับฟังความคิดเห็นของหน่วยงานต่างๆให้รอบคอบ ก่อนที่จะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา เนื่องจากต้องยอมรับว่าปัจจุบันมีปัจจัยภายนอก ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมเข้ามากระทบ

ทั้งนี้รัฐบาลต้องบริหารจัดการในมิติต่างๆ โดยเฉพาะงบประมาณอย่างรอบคอบมากที่สุด ไม่ใช่แค่งบประมาณที่จะใช้รองรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต วงเงิน 1.57 แสนล้านบาทเท่านั้น แต่ต้องรวมไปถึงงบประมาณทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง อาทิ งบประมาณปี 2569 ที่จะต้องพิจารณาให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูงที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ โดยเฉพาะจากความเสี่ยงของมาตรการภาษีสหรัฐฯ ที่ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจน

"เรื่องการประเมินผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่จะมีต่อเศรษฐกิจไทย ยังอยู่ในช่วงฝุ่นตลบ หากอัตราภาษีที่สหรัฐฯ จะเก็บจากไทยออกมาน้อย ก็มีผลกระทบน้อย แต่หากออกมาเยอะ ผลกระทบก็มาก จึงยังไม่สามารถประเมินได้ และยากที่จะบอกว่า รัฐบาลต้องใช้เม็ดเงินจำนวนเท่าไร ในการเข้าไปอุดช่องโหว่ให้เศรษฐกิจจากปัจจัยดังกล่าว" รมช.คลังกล่าว

สำหรับการเตรียมมาตรการเพื่อพยุงเศรษฐกิจในระหว่างนี้ จำเป็นจะต้องหารือกับหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพราะเรื่องการกระตุ้นหรือพยุงเศรษฐกิจนั้น ไม่ใช่แค่กระทรวงการคลังเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงด้านพาณิชย์,การเกษตร, การท่องเที่ยว และการต่างประเทศด้วย ดังนั้นทุกมิติจะต้องมีส่วนในการทำงานร่วมกัน

โดยก่อนที่จะมีกรณีมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่ผ่านมารัฐบาลได้รักษาโมเมนตัมการเติบโตของเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี เศรษฐกิจไทยมีอัตราการเติบโตทุกไตรมาส เป็นไปในทิศทางที่ดี แม้ว่าจะโตช้ากว่าที่อยากให้เป็น แต่ในปัจจุบันต้องยอมรับว่ามีปัจจัยภายนอกที่เหนือการควบคุมเข้ามาแทรกซ้อน และส่งผลกระทบทั่วทั้งโลก ทำให้ไทยสูญเสียโมเมนตัมทางเศรษฐกิจไปบ้าง ทั้งนี้ ยืนยันว่ารัฐบาลจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ในการที่จะลดผลกระทบต่างๆ ทั้งในมิติของการเจรจา การเตรียมความพร้อมของประเทศ ผ่านมาตรการต่างๆ

ด้านนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลังกล่าวว่า การดำเนินโครงการดิจิทัล วอลเล็ต เฟส 3 ต้องเป็นการตัดสินใจของฝ่ายนโยบาย แต่ยืนยันว่ามีเม็ดเงินที่รองรับอยู่แล้วจำนวน 1.57 แสนล้านบาท อยู่ในงบประมาณปี 2568 สุดท้ายแล้วเม็ดเงินตรงนี้จะใช้ทำอะไร อย่างไร เป็นเรื่องที่รัฐบาลกำลังพิจารณาอยู่ แต่ต้องมีการใช้จ่ายภายในปีนี้อย่างแน่นอน

"ยอมรับว่าตอนนี้มีความต้องการใช้เงินงบประมาณสูงมาก แต่วันนี้เรามีเงินไม่พอ ไม่ใช่ไม่รู้ว่าจะเอาเงินไปทำอะไร เรารู้ แต่ว่าเงินเรามีจำกัด ดังนั้นเชื่อว่ามีรายการที่ต่อคิวใช้เงินอยู่เยอะ แต่จะเลือกทำอะไร ตอนไหน การจัดลำดับความต้องการใช้เงินจะเป็นอย่างไร เชื่อว่าตอนนี้คนที่เกี่ยวข้องกำลังพิจารณาอยู่ ซึ่งต้องทำให้เร็ว และดีที่สุด และต้องดูว่าจะใช้เรื่องไหนที่จะตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงในวันนี้"นายลวรณกล่าว

#แจกเงินดิจิทัล10000เฟส3 #ข่าววันนี้ #เงินดิจิทัล #แจกเงินหมื่น #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์


 

 

เงินหมื่นบาทผู้สูงอายุรอบจ่ายซ้ำครั้งที่ 2 ไม่สำเร็จ 36,278 ราย รัฐเร่งผูกพร้อมเพย์เตรียมโอนอีกครั้ง

เงินหมื่นบาทผู้สูงอายุรอบจ่ายซ้ำครั้งที่ 2 ไม่สำเร็จ 36,278 ราย รัฐเร่งผูกพร้อมเพย์เตรียมโอนอีกครั้ง

วันที่ 30 มีนาคม 2568 นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังเปิดเผยความคืบหน้าการจ่ายเงินตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ (โครงการฯ) ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายจำนวน 3,025,596 ราย ว่ากระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางได้จ่ายเงิน 10,000 บาทต่อราย ให้แก่กลุ่มเป้าหมายตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม 2568 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมียอดรวมการจ่ายเงินสำเร็จแล้วเป็นจำนวนทั้งสิ้น 2,983,788 ราย (หรือคิดเป็นร้อยละ 98.62) 

อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 กรมบัญชีกลางได้สั่งจ่ายเงินในรอบการจ่ายเงินซ้ำ (Retry) ครั้งที่ 2 ให้แก่กลุ่มเป้าหมายจำนวน 41,241 ราย (หักผู้ถูกระงับสิทธิเนื่องจากเสียชีวิต) โดยผลการโอนเงินแบ่งเป็น โอนเงินสำเร็จจำนวน 4,963 ราย และโอนเงินไม่สำเร็จจำนวน 36,278 ราย สำหรับสาเหตุที่โอนเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมายไม่สำเร็จ เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ จำนวน 35,096 ราย (ร้อยละ 96.74 ของจำนวนกลุ่มเป้าหมายที่โอนเงินไม่สำเร็จ) ยังไม่ลงทะเบียนสมัครพร้อมเพย์เพื่อผูกบัญชีเงินฝากกับเลขประจำตัวประชาชน และสาเหตุอื่นๆ จำนวน 1,182 ราย (ร้อยละ 3.26 ของจำนวนกลุ่มเป้าหมายที่โอนเงินไม่สำเร็จ) ได้แก่ บัญชีธนาคารไม่เคลื่อนไหว บัญชีธนาคารถูกปิด เลขที่บัญชีไม่ถูกต้องหรือบัญชีธนาคารติดเงื่อนไข และไม่มีบัญชีธนาคาร

โฆษกกระทรวงการคลังขอประชาสัมพันธ์ให้ทราบว่า กระทรวงการคลังจะมีการจ่ายเงินซ้ำ (Retry) อีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น จึงขอให้ประชาชนผู้ได้รับสิทธิเข้าไปตรวจสอบผลการจ่ายเงินผ่านทางแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” โดยหากปรากฏผลว่า โอนเงินไม่สำเร็จให้ประชาชนเร่งติดต่อธนาคารเพื่อดำเนินการผูกพร้อมเพย์กับบัญชีเงินฝากด้วยเลขประจำตัวประชาชน ส่วนประชาชนที่เคยผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชนแล้วให้ติดต่อธนาคารเพื่อตรวจสอบบัญชีดังกล่าวว่ามีปัญหาใด เช่น บัญชีธนาคารถูกปิด บัญชีธนาคารติดเงื่อนไข บัญชีธนาคารไม่มีการเคลื่อนไหวเป็นเวลานาน เป็นต้น และขอแก้ไขตามแต่ละกรณี โดยอาจจำเป็นต้องผูกพร้อมเพย์กับบัญชีใหม่ เพื่อให้มั่นใจว่าพร้อมรับเงินในรอบถัดไป อย่างไรก็ดี กระทรวงการคลังขอแนะนำให้ประชาชนผู้ได้รับสิทธิผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชนภายในวันที่ 23 เมษายน 2568 ซึ่งจะได้รับการจ่ายเงินในรอบการจ่ายซ้ำ (Retry) ครั้งที่ 3 (ครั้งสุดท้าย) ในวันที่ 28 เมษายน 2568 ทั้งนี้ เมื่อพ้นกำหนดการจ่ายเงินซ้ำ ครั้งที่ 3 แล้ว กระทรวงการคลังจะยุติการจ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมาย และถือว่ากลุ่มเป้าหมายไม่ประสงค์รับเงินภายใต้โครงการฯ

นอกจากนี้ โฆษกกระทรวงการคลังกล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ภาครัฐได้จ่ายเงิน 10,000 บาท ให้แก่กลุ่มเป้าหมายแล้วรวมทั้งสิ้น 2,988,751 ราย ทำให้มีเม็ดเงินจากโครงการฯ หมุนเวียนสู่ระบบเศรษฐกิจจำนวน 29,887.51 ล้านบาท ขอให้พี่น้องประชาชนที่ได้รับเงินส่วนนี้แล้ว วางแผนการใช้จ่ายอย่างคุ้มค่าและให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตนเองและครอบครัวต่อไป
   
ช่องทางการสอบถามข้อมูล
1. ช่องทางหลักในการตรวจสอบสิทธิ และผลการได้รับเงินในโครงการฯ แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ”
2. เว็บเพจรวบรวมข้อมูลข่าวสารประชาสัมพันธ์ของโครงการฯ เว็บไซต์กระทรวงการคลัง www.mof.go.th แบนเนอร์โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ (https://mof.go.th/th/detail/2024-12-27-15-36-42/2024-12-27-15-42-50)
3. Call Center สำหรับสอบถามข้อมูลทั่วไปของโครงการฯ ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน สายด่วน 1111 

#แจกเงินหมื่น #ผู้สูงอายุ #ข่าววันนี้ #พร้อมเพย์ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ 

 

"ศิริกัญญา" ฟาด "รัฐบาล" ทำประหลาดแจกเงินหมื่นเฟส 3 กลุ่มอายุ 16-20 ปี หวังซื้อเสียงล่วงหน้า

 

วันที่ 12 มี.ค.2568 ที่รัฐสภา น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน  กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลเตรียมเดินหน้าแจกเงินดิจิทัลวอลเลต เฟสที่ 3 ให้กับกลุ่มอายุช่วง 16-20 ปี ที่มีการตั้งข้อสังเกตเป็นการซื้อเสียงล่วงหน้าว่า เป็นการเลือกกลุ่มอายุที่แปลกประหลาด เหตุใดต้องเป็นอายุ 16-20 ปี เพราะการใช้งานดิจิทัลวอลเล็ต ไม่ได้มีความซับซ้อน เพราะหากประชาชนใช้ระบบพร้อมเพย์เป็น เพียงแค่สแกนคิวอาร์โค้ดเป็น ก็สามารถใช้ได้ จึงไม่มีเหตุผลจะต้องใช้ผู้ตื่นรู้ทางเทคโนโลยีช่วงอายุ 16-20 ปี พร้อมยังเห็นว่า งบประมาณรัฐบาล อาจจะไม่เพียงพอที่จะใช้ภายในปีงบประมาณ 2568 และอาจจะต้องขยายถึงงบประมาณปี 2569 จึงมีการแบ่งเป็นเฟส ๆ และในเฟสแรก ตนเองก็ยังสงสัยว่า เหตุใดจึงลดประชาชนเหลือ 2,000,000 คน หรือใช้งบประมาณ 20,000 ล้านบาท

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า การแจกเงินหมื่นใน 2 เฟสแรกที่ผ่านมา มีการแจกเงินสดมากกว่า 20,000 ล้านบาทในแต่ละเฟส แต่ก็ยังไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ GDP ของประเทศตกเป้า การบริโภคของภาคเอกชนยังไม่กระเตื้องแต่อย่างใด ตนเองจึงไม่แปลกใจที่รัฐบาลเลิกพูดถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว และระบุเพียงการเตรียมคนเข้าสู่ยุคดิจิทัล ให้คุ้นเคยกับ Digital Economy รวมถึงเอกสารที่เข้าสู่รายงานการประชุม ก็ไม่มีระบุถึงผลการกระตุ้นเศรษฐกิจของโครงการ

“ จึงมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นการซื้อเสียง New Voter ล่วงหน้า และหากเป็นจริง ก็ถือเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ ในการนำภาษีของประชาชนมากระทำเช่นนี้ และเชื่อว่า ก็จะไม่สามารถซื้อเสียงผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นใหม่ล่วงหน้าได้ด้วยเงิน 10,000 บาท เพราะมีวิจารญาณมากพอ และไม่คิดว่า รัฐบาลจะดำเนินการเช่นนั้นด้วย” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

เมื่อถามว่าจะมีการตรวจสอบการใช้เม็ดเงินที่ยังคงจะต้องใช้จำนวนมากอย่างไร  น.ส.ศิริกัญญา กล่าวา ยังคงจะต้องตรวจสอบต่อไป แต่ซึ่งขณะนี้งบกลางที่ตั้งไว้สำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้จ่ายให้กับกลุ่มผู้สูงอายุรวมแล้วประมาณ 30,000 กว่าล้านบาท และครั้งนี้อีกกว่า 20,000 ล้านบาท ทำให้เหลืองบประมาณสำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกราว 130,000 ล้านบาท ทำให้กระสุนสำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจลดลงเรื่อย ๆ และเหลือประชาชนที่ได้รับได้เพียง 13 ล้านคน จึงยังไม่ทราบว่า รัฐบาลจะแจกทั้งหมด หรือจะเปลี่ยนไปทำโครงการอื่นอีกหรือไม่

และรัฐบาลก็ระบุเพียงดูตามความเหมาะสม และหากจะพิจารณาตามความเหมาะสมทางเศรษฐกิจ การแจกเงิน 2 ครั้งแรก ก็ไม่ได้เกิดผลใด ๆ และหวังว่า อย่าให้มีครั้งที่ 3 แต่ครั้งที่ 4 ไม่ได้แล้ว จะต้องรอดูรัฐบาลอีกครั้งว่า ความเหมาะสมที่รัฐบาลหมายถึงนั้น เป็นความเหมาะสมทางเศรษฐกิจ หรือความเหมาะสมทางการเมือง ที่ในความนิยมตกต่ำก็งัดโครงการดิจิทัลวอลเล็ตขึ้นมาปลอบประโลมประชาชน หรือพยายามกระตุ้นความนิยมกลับคืนมา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวล และยังคงจะต้องติดตามการใช้เงินจากรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง

น.ส.ศิริกัญญา ยังกล่าวถึงกรณีที่นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานวิปรัฐบาล ออกมาระบุถึงน.ส.ศิริกัญญา ออกมาค้านดิจิทัลวอลเล็ตทุกเรื่อง และขออย่ากังวลเพราะรัฐบาลมีเงินพร้อมอยู่แล้ว และไม่ได้มีการกู้เงินใครว่า รัฐบาลกู้แน่นอน และกู้เต็มเม็ดทั้งหมด เท่าที่จะนำมาใช้ด้วย เพราะทั้งรัฐบาล และฝ่ายค้าน ก็ได้พิจารณางบประมาณปี 2568 มาด้วยกัน และรัฐบาลต้องตั้งงบประมาณขาดดุลสูงถึงกว่าแสนล้าน ก็เพื่อนำมาใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต จึงขออย่าบอกว่า ไม่ได้กู้ใครมา พร้อมย้ำว่า “รัฐบาลกู้มาเต็ม ๆ” และในฐานะที่เป็นภาษีของประชาชน ตนเองก็ต้องปกป้องอย่างสุดใจ

"ประเสริฐ"​ สวน​ "ศิริกัญญา"​ พาดพิง "กระทรวงดีอี" ไม่มีประสบการณ์ ซัด​ทำลายความน่าเชื่อถือรัฐบาล

 

วันที่ 11 มี.ค. 68 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวถึงกรณีน.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) พาดพิง ถึงโครงการดิจิทัลวอล​เล็ต​ ว่า สิ่งที่พูดมาไม่ใช่ข้อเท็จจริง โดยชี้แจงการทำงานร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง​ ทั้งกระทรวงการคลัง กระทรวง ดีอี กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)  หรือ​ DGA ตามการมอบหมายของนายกรัฐมนตรี ตนในฐานะที่เป็นรองนายกรัฐมนตรีและเป็นรัฐมนตรีที่กำกับดูแล และยืนยันว่า ทราบถึงขั้นตอนต่างๆในโครงการดิจิทัลวอล​เล็ต​ และ​ DGA มีการพัฒนาระบบตามอำนาจหน้าที่ ส่วนระบบที่พัฒนาแล้วจะนำเข้าสู่โครงการเป็นหน้าที่ของหน่วยงานในระดับกระทรวง และDGA ทำงานในระดับองค์กรมหาชนเท่านั้น เพราะฉะนั้นการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล ก็เป็นหน้าที่ของกระทรวงที่จะต้องทำหน้าที่ต่อ 

นายประเสริฐ​ ยังยืนยันว่า ไม่ได้มีอุปสรรคการทำงานระหว่างกัน เวลาที่บอกว่าคนที่ ดีอี ไม่มีประสบการณ์และไม่มีงบประมาณนั้น ยืนยันว่า ไม่จริง เนื่องจากมีการเตรียมการเรื่องนี้ไว้แล้วและใน และในเรื่องเทคโนโลยีดิจิทัล ประสงค์ที่มีความเชี่ยวชาญ คล่องตัว และมีโครงสร้างพื้นฐานรองรับมากที่สุด คือ DE โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายอย่าง ทั้งสำนักงานเศรษฐกิจดิจิทัล กฎหมายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล แพลตฟอร์ม​ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์​ หรือ Etda และความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล ร้านมีหน่วยงานนายวิสาหกิจ 2 หน่วยงาน ที่ดูโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล 

ส่วนในเรื่องของงบประมาณ ผ่านกระทรวงเตรียมขอรับเงินสนับสนุนจากรัฐบาล ในกรณีที่ต้องการใช้เงินขับเคลื่อนนโยบาย ซึ่งไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่าน.ส.ศิริกัญญา มีวัตถุประสงค์อะไร ถึงเปิดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมา ซึ่งไม่ตรงกับข้อเท็จจริง พร้อมยืนยันว่า กระทรวงDE พร้อมจ่ายเงินดิจิทัลไตรมาส 2 ต่อไตรมาส 3 เนื่องจากไม่มีอุปสรรคปัญหาอะไร และจากที่ประชุมบอร์ดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทุกอย่างก็เป็นไปตามไทม์ไลน์ และมีการแบ่งหน้าที่การทำงานอย่างชัดเจน

ส่วนที่น.ส.ศิริกัญญา ออกมาพูดเช่นนี้เพื่อมุ่งการเมืองหรือไม่ นายประเสริฐ ยอมรับว่า คงจะเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล ซึ่งขณะนี้ประชาชนคอยโครงการนี้อยู่


 

สรุปไฮไลท์การเมืองรอบวัน 10 มีนาคม 2568

 

# น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2568 โดยที่ประชุมเห็นชอบหลักการ เงื่อนไข หลักเกณฑ์ โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาท ในระยะที่ 3 ให้แก่ผู้มีอายุ 16-20 ปี มีจำนวนทั้งสิ้น 2.7 ล้านคน

และเห็นชอบแนวทางการลงทะเบียนเพื่อสำรวจประชาชนที่ไม่มีสมาร์ตโฟน โดยมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินโครงการฯ และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการจัดทำข้อเสนอโครงการฯ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป

# นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย  ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญ ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้กำหนดวันอภิปราย ฝ่ายค้านต้องไปแก้ไขญัตติตามที่ประธานสภาฯ วินิจฉัยไว้ หากไม่แก้ก็ไม่สามารถบรรจุวาระได้ 

สำหรับเรื่องข้อบังคับ ข้อกฎหมายไม่ใช่เรื่องเล็ก ครั้งนี้จะเป็นประวัติศาสตร์ของสภาฯ ที่ฝ่ายค้านอยากอภิปรายบุคคลภายนอก จะเป็นวัฒนธรรมที่ไม่เคยมีมาก่อน ขออย่าไปสร้างประวัติศาสตร์ที่ผิดๆ สมัย นายชวน หลีกภัย เป็นผู้นำฝ่ายค้าน ปี 2545 นายอุทัย พิมพ์ใจชน ประธานสภาฯ ขอให้แก้ไขญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายชวนตอบกลับไปว่า แม้ไม่เห็นด้วยก็ต้องปฏิบัติตาม

“ชนินทร์” ชี้แจกเงินหมื่นให้คนอายุ16-20 ปีมีความพร้อมด้านเทคโนโลยี “วิสุทธิ์” บอก “ศิริกัญญา” อย่ากังวล

 

วันที่ 10 มี.ค.2568 เวลา 13.10 น. ที่รัฐสภา นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลประกาศแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟส3 ให้กับบุคคลที่มีอายุ 16-20 ปี ว่า งบประมาณของรัฐบาลที่เตรียมไว้สำหรับโครงการนี้มีอยู่แล้ว ที่เริ่มเฟส3 ด้วยอายุ 16-20 ปีนั้นเพราะเป็นการเปลี่ยนระบบจ่ายเงินจากเดิมเป็นเงินสดเปลี่ยนเป็นออนไลน์ จึงต้องมีการทดสอบระบบ คิดว่าฝ่ายค้านเองก็น่าจะเข้าใจ เพราะการบริการงานต่างๆมีเรื่องที่เราต้องทำการทดสอบเพื่อทดลองก่อนว่าหากเราจะใช้ระบบแบบใหม่จะมีความพร้อมหรือมีระบบติดขัดอะไรหรือไม่ แต่ให้ความมั่นใจว่าผู้ที่ลงทะเบียนผ่านแอปทางรัฐจะได้รับเงินทุกคน แต่ในเฟส 3 เรานำร่องเพื่อให้คนที่มีความพร้อมทางด้านเทคโนโลยีได้เป็นผู้ทดลอง ก่อน หากมีข้อติดขัดอะไรจะได้ปรับแก้ก่อนที่จะมีการใช้งานกับกลุ่มที่ใหญ่ที่สุด

เมื่อถามถึงความคุ้มค่าที่จะแจกเงินให้กับเด็กที่มีอายุ 16-20 ปี นายชนินทร์ ระบุว่า ได้ประเมินเรื่องความคุ้มค่าตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เราอยากจะแจกให้กับทุกคน ทุกกลุ่มอยู่แล้ว ดังนั้นไม่มีประเด็นที่จะให้กลุ่มไหนเป็นพิเศษ แต่กลุ่ม 16-20 ปี สามารถเข้าถึงได้ง่าย เรียนรู้ได้เร็ว ได้เป็นผู้ทดลองก่อน หากกลุ่มนี้สามารถใช้งานได้ก็จะเป็นกำลังสำคัญที่จะช่วยเสริมให้กลุ่มอื่นสามารถใช้งานระบบนี้ได้ ดีกว่าใช้งานพร้อมกันหมดและมีปัญหาในอนาคต

เมื่อถามว่ามองอย่างไรที่ฝ่ายค้านออกมาโจมตี นายชนินทร์ กล่าวว่า เป็นสิทธิของฝ่ายค้านจะตั้งข้อสังเกตได้ เพราะมีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอยู่แล้วทางฝั่งเราเองก็มีเหตุผลที่จะชี้แจงทุกประเด็น

ด้านนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวเสริมว่า ตั้งแต่เริ่มโครงการมีน.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ออกมาคัดค้านเรื่องดังกล่าวมาตลอด ตนจำได้มีการระบุว่าไม่มีทางได้ แต่วันนี้ก็มีการแจกจนถึงเฟสที่ 3 แล้ว เฟสที่เหลือรัฐบาลมีตังค์แค่ทดลองระบบก่อนว่าจะเป็นอย่างไร

“คุณศิริกัญญา อย่าเป็นห่วงมากคอยดูไปแล้วกันว่าจะจ่ายได้หรือไม่ ตั้งแต่ครั้งแรกคุณบอกไม่มีทางได้ แต่ผมเชื่อว่ามีทางได้ตลอดรัฐบาลเตรียมงบประมาณไว้อยู่แล้ว ไม่ได้เดือดร้อนและก็ไม่ได้ไปกู้เงินใครมา” นายวิสุทธิ์ กล่าว

เมื่อถามว่าเป็นการซื้อเสียงล่วงหน้าหรือไม่ นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า เป็นนโยบายเศรษฐกิจไม่ดีก็เติมเงินให้ชาวบ้าน จะไปซื้อเสียงล่วงหน้าได้อย่างไร เป็นนโยบายของรัฐบาลที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ อยากให้ไวที่สุดก็ต้องใช้ระบบนี้

“ผมกลับบ้านไป ชาวบ้านก็ดีอกดีใจได้เงินมาสี่ห้าหมื่นทำห้องน้ำ ห้องครัวใหม่ ปรับปรุงบ้านเงินก็หมุนเวียน ชาวบ้านก็ดีใจมีความสุข ถามหน่อยว่าจะมีสักกี่คนที่ไม่อยากได้ ” นายวิสุทธิ์ กล่าว

เมื่อส่วนความกังวลของสว.ที่กังวลว่าการแจกเงิน เฟส 3 ให้กับบุคคลมีอายุ 16-20 ปีจะนำไปเติมเกม ควรมีการให้ความรู้หรือไม่นั้น นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า สว.จะคิดอย่างไรตนไม่ทราบ แต่ระบบนี้รัฐบาลคิดไว้ดีแล้วที่จะมีการทดลองใช้ เฟส 4 ก็รอไม่นาน ได้เงินอยู่แล้วตามเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ และย้ำว่าอย่ากังวล

“สว.ภิญญาพัชญ์” แนะรบ.-ผู้ปกครองให้ความรู้เด็กใช้เงินหมื่นถูกวิธี

 

วันที่ 10 ม.ค. 2568 เวลา 10.30 น.ที่รัฐสภา น.ส. ภิญญาพัชญ์ ศันสนียชีวิน สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ให้สัมภาษณ์ถึงการที่รัฐบาลเตรียมแจกเงินหมื่น ดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3 ให้กับเด็กอายุ 16-20 ปี ว่า การดำเนินนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว ทำให้เกิดสภาพคล่อง แต่อายุที่แจ้งมายังเป็นเด็กอยู่ ตนอยากจะเสริมว่าควรจะมีการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ให้กับเด็กและผู้ปกครอง ให้รับทราบว่าเมื่อได้เงินไปแล้วควรนำไปใช้อย่างถูกวิธีอย่างไร ไม่นำไปกินไปเที่ยวไปเล่น การไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมน่าจะเป็นประโยชน์มากขึ้น

เมื่อถามว่าเหมาะสมหรือไม่ เพราะรัฐบาลพยายามบอกว่าการจ่ายเงินกลุ่มนี้ เพื่อเป็นต้นแบบในการใช้ระบบดิจิทัล น.ส.ภิญญาพัชญ์ กล่าวว่า จะเหมาะสมหรือไม่ต้องดูหลักการใช้ บางคนมองว่าเด็กได้เงินดิจิทัลไปแล้วจะไปเติมเกม ไปทำอะไร คนจึงบอกว่าไม่เหมาะสม แต่ถ้าได้เงินมาแล้วนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ก็จะเหมาะสม

“เพราะฉะนั้นอยู่ที่ผู้ใช้งานเป็นหลัก รวมถึงผู้ใหญ่จะให้ความรู้กับเด็กอย่างไร เรื่องความคุ้มค่า จริงๆ มองเห็นถึงความคุ้มค่า ซึ่งอยากให้มองเรื่องการพัฒนามากกว่า เพราะหากไม่ได้ให้ก็จะไม่พัฒนาไปข้างหน้า แต่ให้แล้วขอให้ใช้อย่างคุ้มค่าใเหมาะสมดีกว่า” สว.กล่าว