NTT DATA ชี้สินเชื่อดิจิทัลโตสูง หนุนเข้าถึงเงินกู้ ชูบริการ Lending Platform ช่วยผปก.สินเชื่อรุกตลาด

นายปรภต นันทวิทยา รองประธานกรรมการบริหาร และผู้อำนวยการฝ่ายขายผลิตภัณฑ์และบริการกลุ่มการเงินและธนาคาร บริษัท เอ็นทีที เดต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันความต้องการเข้าถึงสินเชื่อในประเทศไทยมีโอกาสเติบโตอย่างมาก แต่เนื่องจากอุปสรรคสำคัญคือ ข้อจำกัดของการเข้าถึงสินเชื่อของภาคครัวเรือน อ้างอิงจากข้อมูลผลสำรวจการบริการทางการเงินภาคครัวเรือนของธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งแต่ปี 2563 พบว่าครัวเรือนไทยเข้าถึงบริการสินเชื่อของสถาบันการเงินในระบบแค่ 30.5% หรือ 6.7 ล้านครัวเรือน และล่าสุดศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้เปิดเผยคาดการณ์หนี้ครัวเรือนไทย ว่ายังมีกว่า 84% ของ GDP สะท้อนให้เห็นว่าภาคครัวเรือนในประเทศขาดสภาพคล่องทางการเงิน และมีความต้องการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ เพื่อฟื้นฟูสภาพคล่องทางการเงินอีกมาก สอดคล้องกับข้อมูลสำรวจความต้องการสินเชื่อผู้บริโภค (Consumer Loan) ของธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อไตรมาสแรก ของปีพ.ศ. 2565 พบว่าความต้องการสินเชื่อบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นจากครัวเรือนที่มีเงินออมไม่เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภคและการบริหารสภาพคล่อง และความต้องการสินเชื่อของผู้บริโภคยังคงขยายตัวต่อเนื่องทุกหมวดในไตรมาสที่ 2 ของปีเดียวกัน

ทั้งนี้ สินเชื่อดิจิทัล (Digital Loan) จึงกลายเป็นหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสินเชื่อมีโอกาสเข้าถึงภาคครัวเรือนไทยได้มากขึ้น แต่ก็มีโจทย์สำคัญที่ผู้ประกอบการให้บริการสินเชื่อจะต้องให้ความสำคัญ 5 ด้าน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดได้แก่ 1) พัฒนาทั้ง Ecosystem ให้มีความพร้อมเพื่อให้ได้ข้อมูลลูกค้าที่สมบูรณ์มากที่สุด สามารถนำไปประเมินความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงจูงใจให้ชำระหนี้ 2) การทำความเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าไปพร้อมกับการเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบคุณสมบัติผู้กู้ และวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตรวจสอบตัวตน 3) การติดตามหนี้ (Debt Collection) ที่มีประสิทธิภาพบนต้นทุนที่สมเหตุสมผล 4) เตรียมพร้อมการรับมือที่เข้มข้นในตลาด และ 5) ความปลอดภัยและโปร่งใสบนกฎระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องเช่น พ.ร.บข้อมูลส่วนบุคคล

เอ็นทีที เดต้า (ประเทศไทย) พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการสินเชื่อ ด้วยบริการ Lending Platform ระบบEcosystem สำหรับธุรกิจสินเชื่อ ที่ครอบคลุมการทำ Digital Onboarding, Loan Original และการทำ Loan Management ได้แบบ end-to-end ตั้งแต่การให้คำปรึกษา การวางกลยุทธ์เพื่อวางแผนเลือกใช้โครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม และการติดตั้งหรือการวางระบบ ตลอดจนบริการดูแลตลอดการใช้งานสำหรับบริการด้าน Application (On-going support) จากการถอดประสบการณ์ให้บริการด้าน Payment & Loyalty Mechanism มากกว่า 10 ปี เพื่อช่วยพัฒนาระบบนิเวศครอบคลุมการทำงานระหว่างธุรกิจบนความปลอดภัยและแม่นยำสูงสำหรับกลุ่มลูกค้าการเงินและการธนาคาร

นายปรภต กล่าวต่อว่า บริการ Lending Platform  จะช่วยปรับปรุงกระบวนการทำงาน โดยจะช่วยลดความซับซ้อนในขั้นตอนการทำงานลง และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารหนี้ได้ ครอบคลุมขั้นตอนการให้บริการสินเชื่อแบบครบวงจรตั้งแต่

Digital Onboarding ขั้นตอนการลงทะเบียนหรือสมัครสมาชิกใหม่ผ่านช่องทางออนไลน์ โดยไม่ต้องกรอกใบสมัครหลายขั้นตอน เน้นการลดใช้กระดาษ โดยใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกท์ และการตรวจสอบข้อมูลออนไลน์กับหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือ เช่น การใช้ e-Statement การเชื่อมระบบ e-KYC ที่ครอบคลุมถึงการตรวจสอบข้อมูลกับกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย (Department Of Provincial Administration) และ ใช้ AI ในการตรวจสอบเปรียบเทียบใบหน้า เพื่อช่วยในการระบุตัวตนและตรวจสอบผู้ขอสินเชื่อ เพื่อป้องกันการฉ้อโกงตั้งแต่ขั้นตอนการลงทะเบียน รวมถึงระบบ e-Sign ที่จะช่วยให้ขั้นตอนการทำงานรวดเร็วขึ้น

Loan Origination System ขั้นตอนการวิเคราะห์และประเมินคุณสมบัติผู้ขออนุมัติสินเชื่อ ข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลทางการเงิน ข้อมูลประวัติเครดิต ที่เชื่อมต่อกับระบบของข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (National Credit Bureau) ช่วยตรวจสอบและลดความเสี่ยงในการเกิดหนี้เสียในอนาคต โดยระบบสามารถรองรับการกำหนดเงื่อนไขและข้อกำหนดในการพิจาณาสินเชื่อได้

Loan Management System ระบบจัดการสินเชื่อที่ครอบคลุมตั้งแต่การคำนวณวงเงินต้น ดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม และค่าบริการต่างๆ ไปถึงการโอนเงินสินเชื่อให้แก่ลูกค้า และการออกเอกสารใบแจ้งหนี้ การรับชำระหนี้ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น การเชื่อมระบบของธนาคารผ่าน API เพื่อรองรับการชำระเงินผ่านแอพพลิเคชั่น

Loan Collection ระบบติดตามหนี้เพื่อสนับสนุนการทำงานของฝ่ายติดตามทวงหนี้ โดยระบบจะแสดงรายงานแดชบอร์ด แจ้งเตือนในกรณีที่ลูกค้าเกิดการชำระเงินล่าช้า หรือลูกค้าเกิดการค้างชำระ เพื่อให้ฝ่ายติดตามทวงหนี้สามารถติดตามและทวงถามได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ระบบ Lending Platform เป็นระบบ Ecosystem สำหรับสินเชื่อ ที่สามารถเลือกติดตั้งได้หลายรูปแบบ ทั้งบนคลาวด์ส่วนตัว หรือผู้ให้บริการคลาวด์ ทั้งยังสมารถติดตั้งบนอุปกรณ์เซิฟเวอร์ขององค์กร (On-Premise) ช่วยให้การทำงานของธุรกิจสินเชื่อง่ายขึ้น แม่นยำและปลอดภัยยิ่งขึ้น ทั้งด้านการประเมินอนุมัติสินเชื่อ การคำนวณ และติดตามแผนการชำระหนี้ ทั้งยังสามารถผสานการทำงานกับแพลตฟอร์มอื่นๆ ผ่านระบบ API รองรับการปรับเปลี่ยนได้ในระยะยาว สนับสนุนให้ธุรกิจหมดห่วงในกระบวนการทำงาน สามารถต่อยอดธุกิจสอดคล้องกับการแข่งขันในตลาดที่เข้มข้น

EXIM BANK ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้จาก 6.00% ต่อปี เป็น 6.25% ต่อปี ดีเดย์ 17 เม.ย.นี้

EXIM BANK ตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เป็นของขวัญปีใหม่ไทยแก่ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs โดยมีกำหนดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้าทั่วไปและ SMEs เทียบเท่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี หรือ MRR ของธนาคารพาณิชย์ จาก 6.00% ต่อปี เป็น 6.25% ต่อปี ซึ่งยังคงเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีที่ต่ำที่สุดในระบบ มีผลตั้งแต่วันที่ 17 เม.ย.66 เป็นต้นไป

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ EXIM BANK มีภารกิจขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ยังตอกย้ำจุดยืน “EXIM BANK กล้า พัฒนาเพื่อคนไทย” ขอตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ Prime Rate (อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ EXIM BANK ใช้สำหรับลูกค้าทั่วไปและลูกค้า SMEs เทียบเท่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีหรือ MRR ของธนาคารพาณิชย์) ในอัตรา 6.00% ต่อปี เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ไทยในเทศกาลสงกรานต์นี้ให้แก่ผู้ประกอบการไทย แม้หลายสถาบันการเงินจะทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายล่าสุดจาก 1.50% ต่อปี เป็น 1.75% ต่อปี เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทย รวมถึง SMEs ไทยได้มีเวลาปรับตัวและบริหารจัดการต้นทุนเพื่อรับมือกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การดำเนินงานของ EXIM BANK สอดคล้องกับทิศทางของเศรษฐกิจและแนวโน้มเงินเฟ้อ และเพื่อสนับสนุนการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งจะช่วยให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเป็นไปอย่างมีเสถียรภาพ EXIM BANK จึงประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Prime Rate 0.25% ต่อปี จาก 6.00% ต่อปี เป็น 6.25% ต่อปี ซึ่งยังคงเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีที่ต่ำที่สุดในระบบ มีผลตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน 2566 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ เพื่อบรรเทาผลกระทบด้านภาระดอกเบี้ยเงินกู้ของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อยที่เป็นคนตัวเล็กในโลกธุรกิจ EXIM BANK ยังมีมาตรการช่วยเหลือและโปรโมชันพิเศษอย่างต่อเนื่อง พร้อมบริการ “3 เติม” ได้แก่ การเติมความรู้ เติมโอกาส และเติมเงินทุน เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถปรับตัวอยู่รอด เข้าถึงโอกาสและแหล่งเงินทุน เพื่อเริ่มต้นหรือขยายธุรกิจเชื่อมโยงกับ Supply Chain การส่งออก เติบโตในตลาดการค้าโลกยุคใหม่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ท่ามกลางปัจจัยท้าทายของเศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง

“EXIM BANK มีนโยบายเป็น Lead Bank ในการช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยให้ปรับตัวรับมือและเติบโตได้อย่างมั่นคงในเวทีการค้าระหว่างประเทศ เราจึงชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไปอีก 2 สัปดาห์ในช่วงเทศกาลปีใหม่ไทย เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการได้มีเวลาบริหารจัดการต้นทุนและเตรียมปรับตัวรับมือกับทิศทางเศรษฐกิจและภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น โดยลูกค้าผู้ประกอบการสามารถขอรับคำปรึกษาหรือโปรโมชันพิเศษสำหรับเริ่มต้นหรือขยายธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกจาก EXIM BANK ได้ เพื่อให้ธุรกิจของคนไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในเวทีการค้าโลก” ดร.รักษ์กล่าว

ธ.ก.ส. ปรับขึ้นดบ.เงินฝาก-เงินกู้ ตามทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย

นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี จากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 1.50 ต่อปี มาอยู่ที่ร้อยละ 1.75 ต่อปี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม 2566 ตามแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวต่อเนื่อง จากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นสำคัญ ธ.ก.ส. จึงได้มีมติปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ร้อยละ 0.05 - 0.60 ต่อปี เพื่อส่งเสริมการออมและเพิ่มผลตอบแทนให้ผู้ฝากได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกันได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท ร้อยละ 0.25 ต่อปี ประกอบด้วย อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายคนชั้นดี (MRR) จากร้อยละ 6.625 ปรับขึ้นเป็นร้อยละ 6.875  อัตราดอกเบี้ยลูกค้าสถาบันและนิติบุคคลชั้นดี (MLR) จากร้อยละ 5.125 ปรับขึ้นเป็นร้อยละ 5.375 และอัตราดอกเบี้ยประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) จากร้อยละ 6.50 ปรับขึ้นเป็นร้อยละ 6.750 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2566 เป็นต้นไป

อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการแบ่งเบาและลดภาระของเกษตรกร ที่กำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวจากสถานการณ์ COVID-19 และผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ ธ.ก.ส. ยังมีสินเชื่อในโครงการพิเศษต่าง ๆ ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าดอกเบี้ยปกติ เช่น สินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 สินเชื่อ SME เสริมแกร่ง สินเชื่อสานฝันสร้างอาชีพ อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 4 เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีมาตรการในการดูแลและช่วยเหลือลูกค้าที่มีปัญหาหนี้สินแบบครบวงจร ประกอบด้วย มาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ มาตรการฟื้นฟูอาชีพ มาตรการจ่ายดอกตัดต้น มาตรการจ่ายต้นปรับงวด เพื่อลดความกังวลใจในเรื่องหนี้ การให้คำปรึกษาด้านการจัดการหนี้ ทั้งในและนอกระบบการสนับสนุนให้ลูกค้าบริหารจัดการหนี้ผ่านแนวทาง  มีน้อยจ่ายน้อย มีมากจ่ายมาก พร้อมสร้างแรงจูงใจโดยคืนหรือลดอัตราดอกเบี้ย สำหรับผู้ที่ชำระหนี้ เป็นต้น เพื่อให้เกษตรกรลูกค้ามีกำลังใจในการแก้ไขปัญหาหนี้ตนเอง ควบคู่กับการเติมสินเชื่อใหม่ ภายใต้อัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อเสริมสภาพคล่องในการใช้จ่ายและการลงทุน อันนำไปสู่การสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขา ทั่วประเทศ หรือ Call Center 02 555 055

สินเชื่อกรุงไทยเพื่อความยั่งยืน หนุนธุรกิจเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม วงเงินสูง ผ่อนนาน 10 ปี     

ธนาคารกรุงไทยสนับสนุนธุรกิจ SME ปรับตัวรับเทรนด์ธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สู่การเติบโตอย่างยั่งยืนด้วย “สินเชื่อกรุงไทยเพื่อความยั่งยืน (ESG)” ครอบคลุมการลงทุน ปรับเปลี่ยนอุปกรณ์เพื่อลดการใช้พลังงาน ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม สนับสนุนวงเงินสูงสุด 100% ของมูลค่าการลงทุน ผ่อนนาน 10 ปี  

นายวีระพงศ์ ศุภเศรษฐ์ศักดิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจขนาดกลาง ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทยในฐานะธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของประเทศ ดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล(ESG) พร้อมสนับสนุนภาคธุรกิจ SME ปรับตัวรับโลกธุรกิจยุคใหม่ที่มุ่งใช้พลังงานสะอาด และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านสินเชื่อกรุงไทยเพื่อความยั่งยืน(ESG) โดยสนับสนุนเงินทุนสำหรับดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือปรับเปลี่ยน ปรับปรุงอุปกรณ์ และกระบวนการผลิตเพื่อลดการใช้พลังงานดังนี้

-ด้านการบริหารจัดการพลังงาน ลดการใช้ทรัพยากร เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน หรือเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนในกระบวนการผลิต รวมถึงนวัตกรรมจัดการด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การคิดค้นกระบวนการผลิตใหม่ที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

-ด้านการอนุรักษ์พลังงาน  การเปลี่ยนเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพสูงหรือเปลี่ยนอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานหรือประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต 

-ด้านการดำเนินธุรกิจโดยใช้พลังงานทดแทนต่างๆ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ พลังงานลม การติดตั้ง Solar Rooftop / Biogas รวมถึงโครงการที่เกี่ยวข้องกับการรองรับการขยายตัวของยานยนต์ไฟฟ้าหรือยานยนต์พลังงานสะอาด เช่น รถขนส่งพลังงานไฟฟ้า (EV)หรือ  Green Logistic เป็นต้น

-ด้านดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ทั้งการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ก๊าซเรือนกระจก ก๊าซพิษ รวมถึงการลดการปล่อยของเสียสู่สิ่งแวดล้อม  เช่น การบำบัดน้ำเสีย หรือการเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อลดส่วนสูญเสียในการผลิต เป็นต้น

โดยสินเชื่อกรุงไทยเพื่อความยั่งยืน (ESG) สำหรับผู้ประกอบการ SME ที่เป็นนิติบุคคล มียอดขายมากกว่า 100 ล้านบาทต่อปี ครอบคลุมทั้งสินเชื่อใหม่ และสินเชื่อเพิ่มเติม สนับสนุนวงเงินสูงสุด 100% ของมูลค่าการลงทุน ผ่อนนานสูงสุด 10 ปี  โดยการอนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร ผู้ประกอบการที่สนใจสมัครได้ที่ สำนักงานธุรกิจธนาคารกรุงไทย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Krungthai Contact Center โทร 02-111-1111 

นายชลากร เอกชัยพัฒนกุล หนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทปลูกผักเพราะรักแม่ (โอ้กะจู๋)กล่าวว่า โอ้กะจู๋ทำธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม โดยหันมาใช้พลังงานสะอาดในการบริหารจัดการในธุรกิจด้วยการติดตั้ง Solar Rooftop เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ในร้านอาหาร และฟาร์มปลูกผัก พร้อมนำแนวคิด Zero Waste เข้ามาประยุกต์ใช้ควบคู่กับกระบวนการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ เพื่อบริหารจัดการของเสีย เศษขยะต่างๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งเศษอาหารเหลือทิ้งจากร้านอาหาร เศษตัดแต่งกิ่งไม้ หรือเศษวัสดุตามชุมชน นำมาผลิตเป็นปุ๋ยหมักใช้ในการปลูกผักที่ฟาร์ม ลดขยะและตอบโจทย์การเกษตรอินทรีย์ ซึ่งจากการสนับสนุนจากธนาคารกรุงไทย ที่ผ่านมาทำให้บริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจได้ตามความตั้งใจ เพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืน