โอกาส "ผู้ประกอบการไทย" ในเขตเศรษฐกิจพิเศษของสปป.ลาว

 

สปป.ลาว เป็นหนึ่งในประเทศเพื่อนบ้านที่ผู้ประกอบการไทยสามารถพิจารณาเข้าไปลงทุนในการผลิตสินค้าและให้บริการได้ โดยเฉพาะในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งจะมีรถไฟความเร็วสูงลาว-จีน เป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยยกระดับการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ในระยะข้างหน้า

Krungthai COMPASS ประเมินเขตเศรษฐกิจพิเศษของลาวที่มีศักยภาพในแต่ละด้าน ได้แก่ 1) เขตสะหวัน-เซโน และไชยเชษฐา มีศักยภาพด้านอุตสาหกรรมผลิต เป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยในธุรกิจบริการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น ซ่อมเครื่องจักร วางระบบดิจิทัล อีกทั้งประเมินว่า หากผู้ประกอบการไทยลงทุนในธุรกิจฉีดขึ้นรูปพลาสติก ในเขตสะหวัน-เซโน จะสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ราว 11% จากต้นทุนแรงงานและพลังงานที่ลดลงราว 52% และ 32% ตามลำดับ 2) เขตธาตุหลวง มีศักยภาพในด้านการท่องเที่ยว เป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยในธุรกิจกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โรงแรมและรีสอร์ต 3) เขตบ่อเต็นและ ดงโพสี มีศักยภาพด้าน Trade & Logistic เป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยในธุรกิจกลุ่มโลจิสติกส์และธุรกิจขนส่ง การเงิน และธนาคาร การท่องเที่ยว และโรงแรม

 

สำหรับนักลงทุนไทยที่สนใจจะเข้าไปลงทุนในลาวควรศึกษากระบวนการในการเข้าไปลงทุนตามประเภทธุรกิจที่ต้องการเข้าไปลงทุน อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยท้าทายสำคัญที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุน ได้แก่ ความไม่แน่นอนของกฎหมายและระเบียบของลาว ค่าเงินกีบที่มีทิศทางอ่อนค่า และแรงงานที่มีทักษะรองรับกิจการที่จะลงทุน ซึ่งนักลงทุนไทยต้องติดตามสถานการณ์และเตรียมความพร้อมสำหรับความท้าทายเหล่านี้

"สรรพสามิต" ลงพื้นที่สมุทรสาคร หารือผปก.ร่วมขับเคลื่อนศก.และสังคมอย่างยั่งยืน

วันที่ 20 กันยายน 2568 ว่าที่ร้อยตรี ประยุทธ เสตถาภิรมย์ รองอธิบดีกรมสรรพสามิต และ ดร. นิตยา โสรีกุล รองอธิบดีกรมสรรพสามิต นำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่ศึกษาดูงานในจังหวัดสมุทรสาคร เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทและภารกิจของกรมสรรพสามิตในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน

การศึกษาดูงานครั้งนี้ คณะสื่อมวลชนได้เยี่ยมชม บริษัท นรสิงห์บริวเวอรี่ จำกัด ผู้ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมจากการประกวดตามโครงการ “1 ชุมชน 1 สรรพสามิตแชมเปี้ยน” ประเภทคราฟต์เบียร์ ซึ่งเป็นการส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการสุราชุมชน สร้างมาตรฐานและยกระดับสู่ตลาดสาก

นอกจากนี้ ยังได้เยี่ยมชม บริษัท ออล โคโค กรุ๊ป จำกัด ผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์มะพร้าวน้ำหอมแบบครบวงจร ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ตระหนักถึงการปรับสูตรผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับนโยบาย “ภาษีความหวาน” ของกรมสรรพสามิต โดยคำนึงถึงสุขภาพผู้บริโภค ควบคู่กับการรักษาคุณภาพและความเป็นเอกลักษณ์ของสินค้าไทย

กิจกรรมครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของกรมสรรพสามิตในการเป็นกลไกสำคัญ ไม่เพียงแต่ด้านการจัดเก็บรายได้ของรัฐ แต่ยังรวมถึงการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ ควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพประชาชนและความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 19 กันยายน ที่ผ่านมา

“DITP” แนะผปก.ไทย ใช้ช่องทางออนไลน์ขายสินค้าแฟชั่นเจาะตลาดฝรั่งเศส 

DITP สำรวจตลาดอีคอมเมิร์ซสินค้าแฟชั่นในฝรั่งเศส พบขยายตัวต่อเนื่อง ผู้บริโภคใช้เป็นช่องทางซื้อสินค้า ดันยอดขายกระฉูด คาดยังเติบโตต่อ แนะผู้ประกอบการไทยใช้เป็นช่องทางเปิดตัว จำหน่ายสินค้า และใช้ภาษาท้องถิ่นเสริม มั่นใจเพิ่มโอกาสขายได้เพิ่มขึ้นแน่

วันที่ 15 กันยายน 2568 นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมได้มอบนโยบายให้ทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่ในประเทศต่าง ๆ ทำการสำรวจลู่ทางการค้า และโอกาสการส่งออกสินค้าไทยไปยังประเทศที่ประจำอยู่ ตามนโยบายกระทรวงพาณิชย์ ล่าสุดได้รับรายงานจากนายนิษณะ ทวีพาณิชย์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงปารีส ฝรั่งเศส ถึงการสำรวจตลาดอีคอมเมิร์ซสินค้าแฟชั่นที่จำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ และโอกาสในการส่งสินค้าแฟชั่นไทยเข้าไปจำหน่าย

ทั้งนี้ทูตพาณิชย์ได้รายงานข้อมูลของสมาพันธ์ผู้ประกอบการค้าอีคอมเมิร์ซแห่งฝรั่งเศส (FEVAD) ระบุว่า ภาพรวมตลาดการค้าออนไลน์ประจำปี 2024 ทั้งการจำหน่ายสินค้าและการให้บริการมีมูลค่า 175,000 ล้านยูโร จากจำนวนธุรกรรมทั้งหมด 2.6 พันล้านรายการ ในส่วนของยอดขายสินค้า มีมูลค่า 66,900 ล้านยูโร ใกล้เคียงกับระดับสูงสุดที่เคยทำได้ในปี 2021 ที่ 67,000 ล้านยูโร หลังจากที่มูลค่าการขายสินค้าอยู่ในระดับทรงตัวตลอดช่วงสองปีที่ผ่านมา และผู้บริโภคชาวฝรั่งเศสจำนวน 41.6 ล้านคน ได้ทำการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ เพิ่มขึ้น 2.2 ล้านคน เมื่อเทียบกับปี 2023 โดยมีจำนวนการซื้อเฉลี่ย 62 รายการต่อคนต่อปี และมีมูลค่าเฉลี่ยต่อการซื้ออยู่ที่ 68 ยูโร ซึ่งใกล้เคียงกับระดับของปีก่อนหน้า โดยมูลค่าและจำนวนการซื้อขายสินค้าออนไลน์ในฝรั่งเศสที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนั้น พบว่า ผู้บริโภคสินค้าออนไลน์กว่า 60% นิยมซื้อสินค้าในหมวดหมู่แฟชั่นและเครื่องแต่งกายเป็นหลัก ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ยอดนิยม เช่น Shein, Temu และ Amazon และแนวโน้มดังกล่าวส่งผลให้สัดส่วนการซื้อขายสินค้าแฟชั่นและเครื่องแต่งกายผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้นเป็น 23% จาก 21% ในปี 2023 คิดเป็นมูลค่ารวม 7.7 พันล้านยูโร

นอกเหนือจากเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายแล้ว สินค้าประเภทอื่นที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภคชาวฝรั่งเศสบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ได้แก่ รองเท้า 49% ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายและความงาม 47% และของเล่น 43% โดยสินค้ามือสอง ยังเป็นสินค้าอีกหนึ่งประเภทที่ได้รับความนิยม โดยพบว่าผู้บริโภคออนไลน์ 51% มีพฤติกรรมเลือกซื้อสินค้ามือสอง และในจำนวนนั้น 39% เป็นสินค้าประเภทแฟชั่นและเสื้อผ้ามือสอง

ส่วนแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าออนไลน์ในปี 2024 ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสามอันดับแรก ได้แก่ อันดับที่ 1 เว็บไซต์ Amazon มีปริมาณผู้เข้าชม 41.05 ล้านคนต่อเดือน (36.88 ล้านคน ปี 2023) อันดับที่ 2  เว็บไซต์ Leboncoin  มีปริมาณผู้เข้าชม 29.63 ล้านคนต่อเดือน (27.57 ล้านคน ปี 2023)ซึ่งขายสินค้ามือสองเป็นหลักและได้รับความนิยมเป็นอย่างมากสำหรับประกาศขายหรือให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ อันดับที่ 3 เว็บไซต์ E.Leclerc แพลตฟอร์มออนไลน์ของห้างค้าปลีก E.Leclerc มีปริมาณผู้เข้าชม 20.58 ล้านคนต่อเดือน (16.63 ล้านคน ปี 2023)  ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นสองอันดับจากอันดับที่ 5 ในปีก่อนหน้าคาดการณ์ว่าความนิยมในการซื้อขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ในฝรั่งเศส จะยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยเฉพาะการทำตลาดผ่านสื่อออนไลน์ดังเช่น Tiktok  Facebook  Instagram ยังคงเป็นอาวุธสำคัญที่ช่วยในการส่งเสริมการขายได้เป็นอย่างดี ซึ่งปัจจุบันผู้บริโภคฝรั่งเศส 75% สามารถเข้าถึงสื่อต่าง ๆ เหล่านี้ได้ ดังนั้นผู้ประกอบการไทยควรพิจารณานำเสนอสินค้าหรือบริการผ่านช่องทางเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น และการใช้ภาษาท้องถิ่นในการสื่อสารจะช่วยเพิ่มโอกาสทางการขายได้เป็นอย่างดี

โครงการส่งเสริม Soft Power ด้านอาหารไทย ยกระดับผู้ประกอบการ 15 รายสู่ตลาดออนไลน์อย่างมีคุณภาพ

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กองพัฒนาดิจิทัลอุตสาหกรรม และความร่วมมือกับสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ISMED) เปิดโครงการ “กิจกรรมพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารด้วย Digital Marketing (Empowering Community Restaurant)” ปีงบประมาณ 2568 โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือพัฒนาทักษะและศักยภาพของผู้ประกอบการด้านอาหารผ่านเครื่องมือ Digital Marketing และสื่อ AI ให้เกิดการสร้างแบรนด์ การสื่อสารออนไลน์ และขยายช่องทางขายอย่างมีประสิทธิภาพ

ผู้ประกอบการ 15 รายที่ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ ประกอบด้วยร้านอาหาร 5 ราย และผู้ผลิตอาหาร/แปรรูป 10 ราย จากทั่วประเทศ ซึ่งได้รับการอบรมเชิงลึก ได้แก่ การเขียน Prompt คอนเทนต์, การใช้แพลตฟอร์มออนไลน์, การวัดผลการตลาด พร้อมรับคำปรึกษาและมีโอกาสเข้าใจ Soft Power ด้านอาหารอย่างแท้จริง

รายชื่อและรายละเอียดผู้ประกอบการจำนวน 15 รายแบ่งเป็น 2 กลุ่มได้แก่

ผู้ประกอบการกลุ่มร้านอาหาร/คาเฟ่

1. จันทร์เดอคาเฟ่ (Chaan de Café) – คาเฟ่และพื้นที่จัดงานแต่งงาน/อีเวนต์ ในจังหวัดปทุมธานี เติบโตด้วยกิจกรรมออนไลน์ที่สร้าง engagement สูง

2. บ้านสีเขียวฟาร์มแอนด์ฟู้ด บายสวนผักคุณตู่ (Suan Pak Khun Tu) – ร้านฟาร์มสไตล์โฮมเมด ใส่ใจวัตถุดิบจากสวน สดใหม่ และใช้ภาพสื่อออนไลน์สร้างเรื่องราว

3. อยุธยาริเวอร์รีต (Ayutthaya Retreat) – คาเฟ่/ร้านอาหารและที่พักบรรยากาศเรือนไทยริมสระน้ำในอยุธยา ใช้แพลตฟอร์มรีวิวดึงนักท่องเที่ยว

4. Park Kret (พาร์คเกร็ด) – Club & Café ริมแม่น้ำเจ้าพระยา สร้างคอนเทนต์เน้นจุดเด่นท้องถิ่น เช่น ปลาจุ่ม สรรสร้าง Storytelling ทางโซเชียล

5. สิงห์ฟู้ดส์ จำกัด (Sing Foods Co., Ltd.) – ร้าน “ระเบียงทะเล” และซอสปรุงรส ส่งต่อรสชาติจากครัวร้านสู่ครัวบ้าน ผ่านสื่อออนไลน์และรีวิวลูกค้า

ผู้ประกอบการกลุ่มผู้ผลิต/แปรรูปอาหาร

1. บริษัท พาวเวอร์9 เทรดดิ้ง จำกัด (Power 9 Trading Co., Ltd.) – ขายส่งผลิตภัณฑ์อาหารทั่วไปจากสมุทรสาคร ใช้กลยุทธ์แพ็กเกจจิ้งดึงดูดด้วย AI และเข้าร่วมแสดงในงาน Foodism Show 2024

2. บริษัท ริน อินเตอร์ฟู้ด จำกัด (Rin Interfood Co., Ltd.) – ผู้แปรรูปอาหารทะเล (อบแห้ง/รมควัน/หมัก) จากสมุทรสาคร สร้างมูลค่าอาหารโบราณ เช่น ปลาเค็ม พร้อมเปลี่ยนโฉมด้วยการตลาดออนไลน์

3. บริษัท สยาม ดีไลท์ กรุ๊ป จำกัด (Siam Delight Group Co., Ltd.) – ผู้ผลิตขนมไทยของฝาก เช่น ทองม้วนในนนทบุรี ขยายตลาดผ่าน ห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศและส่งออก

4. บริษัท ดีไลท์ 88 จำกัด (Delight 88 Co., Ltd.) – ผู้ผลิตก๋วยจั๊บญวน “จั๊บจั๊บ” ในอุบลราชธานี ขายภาพห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ ผ่านโครงการ SME และเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งในประเทศด้านออนไลน์

5. บริษัท สุคันธา ไทยสแน็ค จำกัด (Sukatha Thai Snack Co., Ltd.) – ผู้ผลิตส่งออกข้าวตังจากเพชรบุรี (OTOP) ใช้แคมเปญออนไลน์และ gift basket สุขภาพ

6. บริษัท ชาเขียว จำกัด (Green Tea Co., Ltd.) – ผู้ผลิตกาแฟ ชา และชาสมุนไพรพร้อมดื่มในชลบุรี ภายใต้แบรนด์ “เรนอง” ผ่านนวัตกรรมสูตรชาและเป็นสมาชิก Thailand Trust Mark ส่งออกไปทั่วโลก

7. ห้างหุ้นส่วนจำกัด ฟาร์มจิ้งหรีดชุติกาญจน์ (Chutikan Cricket Farm) – เลี้ยงและแปรรูปจิ้งหรีดเป็นผงโปรตีนและข้าวเกรียบ ได้มาตรฐาน GAP, อย. และเข้าถึงตลาดอาหารทางเลือก

8. บริษัท ฟาเธอร์ แมน กรุ๊ป จำกัด (Father Man Group Co., Ltd.) – ผู้ผลิตอาหาร/ขนมพื้นบ้านจากสุโขทัย ได้รับรางวัลธรรมาภิบาลดีเด่นแห่งปี 2568 ขณะใช้เส้นทางดิจิทัลสร้างแบรนด์

9. บริษัท สยายปีกบิน จำกัด (Syaipigbin Co., Ltd.) – ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์รังนก ผลิตในนครศรีธรรมราช ขยายช่องทางผ่านสื่อออนไลน์

10. บริษัท กระบี่ฟู้ดส์แอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (Krabi Foods and Marketing Co., Ltd.) – ผลิตภัณฑ์สัตว์ปีก/เนื้อสัตว์แปรรูปในกระบี่ เช่น “หมูฮ้อง” ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เข้าถึงผู้บริโภค

โครงการนี้สะท้อนนโยบายเชิงรุกของรัฐในการส่งเสริม Soft Power ด้านอาหาร ด้วยการฝึกทักษะจริงผ่าน Digital Marketing และ AI ให้ผู้ประกอบการ “ทำเป็น–ทำจริง–วัดผลได้” พร้อมสร้างความเชื่อมโยงจากครัวท้องถิ่นสู่หวงโซ่อาหารสากลอย่างเข้าถึงได้และมีมาตรฐาน โดยสามารถดูรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมได้ที่ https://youtu.be/1iwlAnuTAe0

 

 

อินโดนีเซียโอกาสใหม่ สำหรับผู้ประกอบการชิ้นส่วนรถยนต์ของไทย

แม้อินโดนีเซียจะมีจุดแข็งในอุตสาหกรรมต้นน้ำด้านวัตถุดิบอย่างแร่นิกเกิลและอุตสาหกรรมกลางน้ำในส่วนของการผลิตเซลล์แบตเตอรี่ แต่ยังคงพึ่งพาการนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์และระบบอิเล็กทรอนิกส์สำคัญที่อยู่ในอุตสาหกรรมกลางน้ำสำหรับป้อนการผลิตรถยนต์ EV ในประเทศ

วันที่ 1 กันยายน 2568 ผู้ประกอบการไทยมีโอกาสส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์ EV ที่ไทยยังมีส่วนแบ่งตลาดน้อยและมีศักยภาพในการแข่งขันไปยังอินโดนีเซีย เช่น เซมิคอนดักเตอร์ และเครื่องแปลงไฟฟ้า ขณะที่ต้องเร่งยกระดับศักยภาพการผลิตสินค้าอีกหลายกลุ่ม หากต้องการช่วงชิงส่วนแบ่งตลาด เช่น วงจรรวมอิเล็กทรอนิกส์ มอเตอร์ไฟฟ้า อุปกรณ์ควบคุมและจ่ายไฟฟ้า ซึ่งหากไทยสามารถขยายส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มสินค้าข้างต้นได้เป็น 8%  จากเดิม 2% จะช่วยดันให้มูลค่าส่งออกในสินค้ากลุ่มนี้เพิ่มขึ้นเป็นราว 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะเดียวกันไทยควรรักษาส่วนแบ่งตลาด
ในสินค้าที่มีการส่งออกไปยังอินโดนีเซียในระดับสูงแต่เริ่มสูญเสียส่วนแบ่งตลาด เช่น ส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์ ยางรถยนต์ และวงจรไฟฟ้า

Krungthai COMPASS แนะนำภาครัฐควรเร่งส่งเสริม R&D พัฒนาแรงงานเฉพาะทาง ในสินค้าที่ไทยยังแข่งขันได้จำกัด รวมถึง Smart Auto Parts ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต สนับสนุนการลงทุนในเทคโนโลยีผ่านสิทธิประโยชน์ต่างๆ ควบคู่กับการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ ขณะที่ผู้ประกอบการไทยควรเร่งยกระดับประสิทธิภาพการผลิตและหาโอกาสขยายบทบาทในห่วงโซ่อุปทาน EV อินโดนีเซีย รวมทั้งประเทศอื่นๆ ที่มีศักยภาพในการขยายส่วนแบ่งตลาด

กรมพัฒนาชุมชน ต่อยอด "พัฒนาเยาวชนรุ่นใหม่ต่อเนื่อง" ปี 2 สู่การเป็นผปก.มืออาชีพ

ก้าวเข้าสู่ปีที่ 2 การเพิ่มทักษะและเสริมสร้างประสบการณ์ให้กับเยาวชน ทั้งยังพัฒนาศักยภาพเยาวชน ให้สามารถเป็นผู้ผลิตผู้ประกอบการ OTOP รุ่นใหม่ ที่จะสืบสานและต่อยอดภูมิปัญญาผ้าไทยและงานหัตถกรรม ให้เป็นไปตามแนวพระดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก”กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการพัฒนาชุมชน จัดกิจกรรมการประกวดสุดยอดผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (New Gen 2025) ระดับประเทศ ตามโครงการพัฒนาศักยภาพเยาวชนด้านผ้าไทยและงานหัตถกรรม หัตถศิลป์ สู่การเป็นผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (New Gen 2025) พร้อมจัดพิธีมอบรางวัลให้แก่ผู้ชนะการประกวดฯ และมอบใบประกาศนียบัตรให้กับเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการฯ

นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย มอบหมายให้นายสยาม ศิริมงคล อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลกิจกรรมการประกวดสุดยอดผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (New Gen 2025) ระดับประเทศ  โดยมีนายสุรพล แก้วอินธิ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นและวิสาหกิจชุมชน กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ของโครงการฯ พร้อมทั้งที่ปรึกษาโครงการ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญและทรงคุณวุฒิ จากหลากหลายสาขาวิชาชีพเข้าร่วมงาน ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าไทย นักออกแบบดีไซเนอร์ผ้าไทยที่มีชื่อเสียง  ได้แก่ นายธนันท์รัฐ ธนเสฏฐการย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าไทย และที่ปรึกษาผ้าไทยใส่ให้สนุก คุณภูภวิศ กฤตพลนารา นักออกแบบ เจ้าของแบรนด์ ISSUE ดร.กรกลด คำสุข รองคณบดีฝ่ายวิชาการและรักษาการแทน ผู้อำนวยการสำนักวิชาการสร้างสรรค์ วิทยาลัยอุตสาหกรรมสร้างสรรค์มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ ผศ.ดร.รวิเทพ มุสิกะปาน ประธานหลักสูตร แฟชั่น สิ่งทอ และเครื่องตกแต่ง  วิทยาลัยอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

นายวิชระวิชญ์ อัครสันติสุข นักออกแบบ เจ้าของแบรนด์ WISHARAWISH ผศ.ดร.นัดดาวดี บุญญะเดโช ประธานหลักสูตรแฟชั่น สิ่งทอ และเครื่องตกแต่ง วิทยาลัยอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ดร.ฐิศิรักน์ โปตะวณิช อาจารย์ประจำวิชาเอก การจัดการธุรกิจไซเบอร์ วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ดร.กิติศักดิ์ เยาวนานนท์ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายพัฒนากายภาพ วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ นายธนาวุฒิ ธนสารวิมล นักออกแบบ เจ้าของแบรนด์ TANDT และ อาจารย์ภทรฤน พงษ์ประสิทธิ์ อาจารย์ประจำหลักสูตรแฟชั่น สิ่งทอ และเครื่องตกแต่งวิทยาลัยอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ ร่วมเป็นคณะกรรมการตัดสินรอบชิงชนะเลิศ ระดับประเทศ โดยมีเยาวชนที่ผ่านการคัดเลือกผลงานการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เข้าสู่การประกวดฯ ระดับประเทศ จำนวน 40 ราย/ชิ้นงาน จากผู้เข้าประกวดที่ทำผลงานกว่า 120 ราย/ชิ้นงาน

นายสยาม ศิริมงคล อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ประธานในพิธีมอบรางวัลและประกาศนียบัตร กล่าวว่า กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการที่จะส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพให้กับเยาวชนรุ่นใหม่ที่มีความสนใจ ในการพัฒนาศักยภาพและพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมทั้งการอนุรักษ์ สืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อให้สามารถขึ้นทะเบียน OTOP เป็นผู้ผลิต ผู้ประกอบการ รุ่นใหม่เพิ่มมากขึ้น และจะส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายดังกล่าวได้สืบสานและต่อยอดภูมิปัญญาผ้าไทยและงานหัตถกรรม หัตถศิลป์ และเป็นไปตามแนวพระดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ผ่านการจัดกิจกรรมประกวดสุดยอดผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (New Gen 2025) ระดับประเทศ ในครั้งนี้ กรมการพัฒนาชุมชน ได้รับเกียรติ จากผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าไทย ดีไซเนอร์นักออกแบบที่มีชื่อเสียง  ที่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีผลงานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ร่วมเป็นคณะกรรมการพิจารณาผลงานของเยาวชน และตัดสินการประกวดผลงานฯ ในครั้งนี้ด้วย

นายสยาม กล่าวต่ออีกว่า จากแนวพระดำริโครงการผ้าไทยใส่ให้สนุก ของสมเด็จพระพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรมฯ นี้ จึงได้น้อมนำแนวพระดำริมาปรับปรุงความรู้ที่ท่านพระราชทานในหลายๆเรื่อง และที่พระราชทานผ่านคณะกรรมการที่ปรึกษาหลายท่านที่ร่วมกิจกรรมในวันนี้ น้องเยาวชนทุกคนก็น้อมนำแนวพระดำริมาเผยแพร่และปฏิบัติ ส่งต่อแนวพระดำริได้มุ่งหวังให้การต่อเนื่องสืบสานและต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น จากอดีตถึงปัจจุบัน และปัจจุบันสู่อนาคต ทั้งนี้ คณะกรรมการได้คัดเลือกตัวอย่างผลงานที่ดีจากผู้เข้าประกวดทั้ง 40 ผลงาน

อย่างไรก็ตามน้องๆ เยาวชน จะได้รับประสบการณ์และองค์ความรู้จากโครงการรวมถึงได้รับความรู้จากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลาย กรมการพัฒนาชุมชน หวังว่าพวกเราทุกคนทั้งหลายจะร่วมกันสืบสานแนวพระดำริสมเด็จพระพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา และไปใช้และช่วยในการขับเคลื่อนโครงการผ้าไทยใส่ให้สนุก ทั้งน้องๆเยาวชนและบุคลากรในสังกัดกรมการพัฒนาชุมชนต่อไปด้วย

กรมการพัฒนาชุมชน ยืนยันและมุ่งมั่นว่าจะทำงานกับเยาวชนต่อไปและเปิดพื้นที่ให้กับน้องๆ ตั้งแต่ต้นน้ำ ปลายน้ำและจะปรับปรุงให้ดีขึ้น ตั้งแต่ต้นน้ำไม่ว่าจะเป็นการจำหน้ายผลิตภัณฑ์ Onsite และOnline เพื่อเปิดช่องทางใหม่ๆให้กับน้องๆ และคาดหวังว่าจะเปิดโอกาสให้กับน้องเยาวชนมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในด้านหัตถศิลป์ และหัตถกรรมต่างๆ หวังว่าจะช่วยให้เยาวชนได้พัฒนาฝีมือและนำไปพัฒนาผลงานของตนเอง กรมการพัฒนาชุมชน จะอยู่เคียงข้างกับเยาวชนและเป็นหัวเลี้ยวหัวแรง ในการดำเนินงานกิจกรรมแบบนี้ต่อไป

 

“หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาศักยภาพเยาวชนด้านผ้าไทยและงานหัตถกรรม หัตถศิลป์ สู่การเป็นผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (New Gen 2025) ทั้ง 120 ราย จะได้รับการพัฒนาและเติบโตขึ้นเป็นผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP รุ่นใหม่ สร้างรายได้ และขอให้ทุกท่านร่วมแรงร่วมใจกันน้อมนำแนวพระดำริ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ตามโครงการ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ช่วยผลักดัน ส่งเสริมและกระตุ้นผ้าไทยให้มีความทันสมัยสู่สากล เป็นที่นิยม ในทุกเพศทุกวัย และเกิดความยั่งยืนต่อไป” นายสยาม กล่าว

นายสุรพล แก้วอินธิ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นและวิสาหกิจชุมชน กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมการพัฒนาชุมชน ได้ดำเนินงานโครงการพัฒนาศักยภาพเยาวชนด้านผ้าไทยและงานหัตถกรรม หัตถศิลป์ สู่การเป็นผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (New Gen 2025) เป็นปีที่ 2 ประกอบด้วยการจัดอบรมให้ความรู้กับเยาวชน รุ่นใหม่ อายุระหว่าง 13 – 25 ปี ที่มีความสนใจ ในการศึกษาเรียนรู้ และมุ่งมั่นสืบสาน ภูมิปัญญาผ้าไทยและพัฒนาต่อยอดภูมิปัญญาด้านผ้าไทยและงานหัตถกรรมในพื้นที่ 4 ภูมิภาค จำนวน 122 ราย และได้รับการพัฒนา ศักยภาพ ทักษะ องค์ความรู้ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อให้สามารถขึ้นทะเบียนเป็นผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP รายใหม่ สืบสานและต่อยอดภูมิปัญญา งานหัตถกรรม หัตถศิลป์ และเป็นไป ตามแนวพระดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” โดยมีผลิตภัณฑ์  ที่ได้รับการพัฒนาจากโครงการฯ ทั้งสิ้นจำนวน 122 ผลิตภัณฑ์ ในวันนี้ กรมการพัฒนาชุมชน ได้จัดกิจกรรมประกวดสุดยอดผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (New Gen 2025) ระดับประเทศ มีเยาวชนที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมประกวดผลงานฯ ทั้งสิ้นจำนวน 40 ราย โดยมีผู้ที่ชนะการประกวดฯ และได้รับรางวัล ประกอบด้วย 

- โล่รางวัลชนะเลิศ จำนวน 1 รางวัล พร้อมรับเงินรางวัล 30,000 บาท ได้แก่ นางสาวภัทรชุอร นาโควงค์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร

- โล่รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 จำนวน 1 รางวัล พร้อมรับเงินรางวัล 20,000 บาท ได้แก่ นายธนวัน ภูมิแสนโคตร 

แบรนด์ Thonnawan museum

- โล่รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 จำนวน 1 รางวัล พร้อมรับเงินรางวัล 10,000 บาท ได้แก่ นายยุทธนา จารุตัน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

- โล่รางวัลชมเชย เงินรางวัล ๆ ละ 5,000 บาท ดังนี้

1. นายอามีน มะแซ กลุ่มสัมมาชีพทำผ้าบาติกบ้านนํ้าใส

2. นายเบญญสิทธิ์ จงเจริญ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

- รางวัลพิเศษจากคณะกรรมการ เงินรางวัล ๆ ละ 5,000 บาท ดังนี้

1. นายณัฐภัทร อินทร์หัวย่าน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

2. นางสาวกนกพร ธรรมวงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

3. นายมูฮำหมัดฮาฟิส บินมะ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย

- รางวัลขวัญและกำลังใจ เงินรางวัล ๆ 2,000 บาท

1. นางสาวพาณิภัส กูลหลัง กลุ่มเลครามคราฟ

2. นายสกลราช แสงใส กลุ่มผ้าทอลายมงคลมนตราธิกาญจน์

3. นายทวีทรัพย์ ยินดีรัมย์ กลุ่มทอเสื่อกกบ้านหนองบัว

4.นายภัทรพล จันทร์โสภา  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน  

5.นายปรเมธ เจริญวาที มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ทั้งนี้ ผลงานต้นแบบของเยาวชนที่ผ่านการพัฒนาตามโครงการฯ จะได้นำไปจัดแสดงในรูปแบบ POP Up ระหว่างวันที่ 17 ถึง 21 กันยายน 2568 ณ Q STADIUM ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ กรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์โครงการในโอกาสต่อไป

“จตุพร-สุชาติ” ลุยตลาดพลอยจันทบุรี ฟังเสียงผปก.เร่งหาตลาดใหม่ ดันสู่มหานครอัญมณีโลก

วันที่ 24 สิงหาคม 2568 นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ลงพื้นที่จังหวัดจันทบุรี เพื่อติดตามสถานการณ์การค้าอัญมณีและเครื่องประดับ โดยได้เยี่ยมชมการซื้อขายพลอย ณ ตลาดกลางพลอยนานาชาติ และประชุมหารือกับผู้ประกอบการ ณ ศูนย์ส่งเสริมอัญมณีและเครื่องประดับจันทบุรี อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี บรรยากาศการลงพื้นที่เต็มไปด้วยความคึกคัก นายจตุพรและนายสุชาติได้พบปะพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนอย่างเป็นกันเอง พร้อมเยี่ยมชมการเจียระไนพลอยโดยช่างฝีมือในท้องถิ่น รวมถึงห้องปฏิบัติการวิเคราะห์และวิจัยอัญมณีของมหาวิทยาลัยบูรพา ซึ่งเป็นศูนย์กลางด้านมาตรฐานการตรวจสอบที่เทียบเท่าระดับสากล สร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ซื้อทั้งในและต่างประเทศ เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ที่ผ่านมา

นายจตุพร กล่าวว่า จันทบุรีถือเป็น “เมืองหลวงแห่งอัญมณีของโลก” ที่มีชื่อเสียงยาวนาน แต่ปัจจุบันเผชิญความท้าทายจากปัญหาวัตถุดิบขาดแคลน ซึ่งต้องนำเข้าจากประเทศโมซัมบิกและประเทศอื่นๆ ขณะที่ตลาดหลักอย่างจีนชะลอตัวหลังวิกฤตโควิด-19 และยังมีมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่ส่งผลกระทบต่อการค้า ทำให้ภาคเอกชนจำเป็นต้องหาตลาดใหม่ๆ รองรับ

“รัฐบาลพร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการเต็มที่ ทั้งการเปิดตลาดใหม่ การส่งเสริมผ่านงานแสดงสินค้าอย่าง Bangkok Gems & Jewelry Fair รวมถึงการมอบหมายให้ทูตพาณิชย์ทั่วโลกช่วยหาทั้งตลาดและวัตถุดิบใหม่ เราต้องการให้เมื่อคนพูดถึงอัญมณี ต้องนึกถึงจันทบุรี และผลักดันจังหวัดนี้ให้เป็นมหานครแห่งอัญมณีอย่างแท้จริง” นายจตุพร กล่าว

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ยังกล่าวถึงนโยบาย “ไทยทำ ไทยใช้ ไทยช่วยไทย” และ “พาณิชย์พึ่งได้” ที่มุ่งช่วยเหลือประชาชนทุกภาคส่วน ทั้งในเรื่องสินค้าเกษตร เช่น ทุเรียนและลำไยที่เป็นพืชเศรษฐกิจหลักของจันทบุรี รวมถึงการแก้ปัญหาโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำและการกัดเซาะชายฝั่ง เพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตที่ดีให้เกษตรกร

ด้านนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า สิ่งที่ทำให้จันทบุรีโดดเด่นไม่ใช่วัตถุดิบเท่านั้น แต่คือทักษะฝีมือการเจียระไนของแรงงานไทย ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับโลก รัฐบาลจึงต้องเข้ามาช่วยดูแลให้แรงงานฝีมือมีรายได้ที่เหมาะสม และรักษามาตรฐานการผลิตไว้ เพื่อให้ตลาดพลอยไทยยังคงเป็นที่ยอมรับและแข่งขันได้ในระยะยาว พร้อมย้ำว่ากระทรวงพาณิชย์จะเร่งผลักดันการขยายตลาดไปยังจีน ยุโรป และตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีกำลังซื้อสูง

นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมฯ ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง ทั้งการจัด Roadshow ในหัวเมืองสำคัญ การเชิญผู้ซื้อจากต่างประเทศเข้ามาในจันทบุรี การฝึกอบรมด้านการออกแบบและการตลาดออนไลน์ รวมถึงการประสานงานกับผู้นำเข้ารายใหญ่ในสหรัฐฯ ที่แสดงความสนใจลงทุนในไทยเพราะเล็งเห็นศักยภาพด้านแรงงานฝีมือ ซึ่งถือเป็นจุดแข็งที่คู่แข่งไม่สามารถเลียนแบบได้

ด้านผู้ประกอบการในพื้นที่ยังได้เสนอแนวทางเพิ่มเติม อาทิ การสนับสนุนการจัดแสดงสินค้าที่ต่างประเทศ การเชิญผู้ซื้อที่มีศักยภาพมาเยือนจันทบุรี และการส่งเสริมภาพลักษณ์ผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ เช่น การขึ้นบอร์ดแนะนำ “พลอยจันทบุรี” ที่สนามบิน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและผู้ซื้อ

“สิ่งที่เราต้องการคือการขับเคลื่อน ‘จันทบุรีโมเดล’ ให้เป็นรูปธรรม โดยจังหวัดและทุกภาคส่วนต้องร่วมกันสร้างโรดแมปเพื่อผลักดันให้จันทบุรีก้าวสู่มหานครอัญมณีโลกอย่างยั่งยืน” นายจตุพร กล่าว

“ผู้ประกอบการ-นักวิชาการ” ขอบคุณรัฐบาลปลดล็อก ม. 32 พร้อมจี้ยกเลิกมาตรการห้ามขายเหล้าบ่าย 2-5 โมงเย็น

“ผู้ประกอบการ-นักวิชาการ” ขอบคุณรัฐบาลปลดล็อก ม. 32 พร้อมประสานเสียงหนุนยกเลิกมาตรการห้ามขายเหล้าบ่าย 2-5 โมงเย็น กระตุ้นเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยวให้เดินหน้าได้จริง

จากกรณีที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาข้อเรียกร้องของภาคธุรกิจให้ยกเลิกการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลา 14.00-17.00 น. และวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ซึ่งต้องคำนึงถึงความปลอดภัยและการป้องกันไม่ให้เยาวชนเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว เมื่อวันที่ 11 ก.พ. โดยมีกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่ม การท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร และการบริการ ร่วมกันยื่นหนังสือถึงรัฐบาลในวันเดียวกัน เพื่อสนับสนุนและขอให้รัฐบาลพิจารณาปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเร่งด่วนนั้น

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2568 สภาผู้แทนราษฎรยังมีมติเห็นชอบผ่านร่าง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นการปลดล็อกมาตรา 32 อนุญาตให้สามารถโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสม ทำให้ประชาชนทั่วไปหากถ่ายรูป ติดเหล้า-เบียร์ จะไม่ถูกดำเนินคดี ถือเป็นสองก้าวสำคัญในการผ่อนคลายกฎหมายควบคุมแอลกอฮอล์ของประเทศไทยที่เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าล้าหลังและไม่สอดคล้องกับบริบทเศรษฐกิจยุคใหม่และถือเป็นการช่วยผลักดันการท่องเที่ยวซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม เสียงร้องขอจากภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการ และนักวิชาการยังคงดำเนินต่อไป โดยเฉพาะในประเด็น “การยกเลิกมาตรการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลา 14.00–17.00 น.” ที่ยังเป็นข้อเรียกร้องสำคัญที่รัฐบาลกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการผ่อนคลายกฎหมายเพิ่มเติม เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการส่งเสริมเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และความปลอดภัยทางสังคม โดยในวันนี้ (11 เมษายน 2568) ตัวแทนจากภาคผู้ประกอบการและนักวิชาการที่ขับเคลื่อนการปฏิรูปกฎหมายดังกล่าว ได้รวมตัวกันแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนในการสนับสนุนข้อเรียกร้องนี้ก่อนเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญของประเทศที่ผู้ประกอบการพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ

น.ส.ประภาวี เหมทัศน์ เลขาธิการสมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจคราฟท์เบียร์ กล่าวว่า ตนเป็นหนึ่งในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สามารถบอกได้ว่าในที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯ ส่วนใหญ่นั้นมีความเห็นตรงกันว่ากฎหมายนี้ไม่มีประโยชน์ แม้อาจจะมีฝ่ายรณรงค์ต้านเหล้าบางส่วนที่ยังอยากให้คงกฎหมายนี้ไว้อยู่บ้างเพราะเชื่อว่ากฎหมายนี้ทำให้มีการซื้อขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์น้อยลง และมีการบริโภคที่น้อยลง แต่สิ่งนี้เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะประชาชนทั่วไปก็ยังซื้อตุนกันไว้ได้ แต่ผู้ที่ได้รับอุปสรรคจากกฎหมายนี้โดยตรงคือนักท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

น.ส.ประภาวี กล่าวต่อไปว่า หากมีการยกเลิกการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลา 14.00-17.00 น. ตนในฐานะเป็นผู้ประกอบการคราฟเบียร์ต้องตอบว่าผลที่จะเกิดขึ้นนั้นไม่ได้เกิดกับธุรกิจเครื่องดื่มคราฟท์เบียร์โดยตรง แต่จะเกิดกับธุรกิจที่เกี่ยวข้องมากกว่า อาทิ ร้านคราฟท์เบียร์หรือร้านอาหารที่ซื้อเบียร์ไปขาย หรือช่องทางต่างๆ ในห้าง ซึ่งตนไม่คิดว่ายอดขายคราฟท์เบียร์จะเพิ่มขึ้น แต่คิดว่าผลกระทบในเชิงบวกที่จะเกิดขึ้นก็คือ ประการแรก กฎหมายที่ปรับปรุงจะทำให้ผู้บริโภคมีความสะดวก, ประการที่สอง ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวได้มากขึ้น นักท่องเที่ยวต่างชาติมาผู้ค้าขายก็ไม่ต้องมาคอยตอบคำถามว่าทำไมซื้อขายในช่วงบ่ายไม่ได้, ประการที่สาม เมื่อก่อนนี้ร้านอาหาร ร้านคราฟท์เบียร์ส่วนใหญ่เปิดกลางคืน กล่าวคือเปิด 5 โมง ปิดเที่ยงคืน แต่หากกฎหมายห้ามขายเปลี่ยน ก็มีโอกาสที่ค่านิยมหรือว่าพฤติกรรมในการบริโภคของคนจะเปลี่ยน เช่น หากผู้ประกอบการเปิดร้านเร็วขึ้น เปิดขายมื้อเที่ยง ปิดสองทุ่ม เพราะว่าใช้เวลาของร้านได้เต็มที่แล้ว ผู้บริโภคก็กินเสร็จไว กลับบ้านได้ไว มีทางเลือกในการเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะ เป็นต้น

“นอกจากนี้ประเทศไทยเราก็ต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ได้แก่ การห้ามขายเครื่องดื่มให้แก่ผู้ที่มีอายุต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด และการดื่มไม่ขับ พร้อมกับปลูกฝังค่านิยมการดื่มอย่างมีความรับผิดชอบและการดื่มไม่ขับให้เกิดเป็นวัฒนธรรม ซึ่งประเด็นเหล่านี้ผู้ประกอบการพร้อมให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามภาครัฐอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด” น.ส.ประภาวี กล่าว

นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย กล่าวว่า ตนเห็นด้วยกับข้อเสนอให้ยกเลิกการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลา 14.00-17.00 น. ที่รัฐบาลกำลังพิจารณาอยู่ กฎหมายห้ามขายนี้เป็นกฎหมายที่ออกมานานแล้ว อาจเหมาะสมกับยุคสมัยนั้น ทว่าในปัจจุบัน คนที่รู้ว่ามีกฎหมายนี้อยู่ก็มีการปรับตัว อาทิ เมื่อลูกค้าไปรับประทานอาหารในห้างแล้วดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เมื่อถึงเวลาบ่าย 2 กฎหมายห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บังคับใช้ ลูกค้าก็ไม่ได้รับความสะดวก แต่หากกฎหมายนี้ถูกยกเลิกไป ลูกค้าก็จะมีความสะดวกในการรับประทานอาหาร โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาจากต่างประเทศ

“ร้านอาหารเป็นสถานที่ที่ปลอดภัย เป็นสถานที่ที่ปกปิดมิดชิด การดื่มอยู่ในการควบคุมได้ มันไม่ใช่การไปดื่มบนหลังรถหรือริมถนนข้างทาง แต่เป็นการดื่มในสถานที่ที่มีการจัดระเบียบอย่างเหมาะสมและปลอดภัย นอกจากนี้การยกเลิกกฎหมายห้ามขายก็จะช่วยเรื่องการท่องเที่ยวด้วย ตอนที่กฎหมายห้ามขายออกมา ประเทศไทยเรายังไม่ได้พึ่งพาการท่องเที่ยวสูงขนาดนี้ ตอนนี้บริบทของสังคมเปลี่ยนไปแล้ว ข้อเสนอให้มีการยกเลิกการห้ามขายช่วง 14.00-17.00 น. น่าจะเป็นข้อเสนอที่ง่ายที่สุด ดีที่สุด ทำได้เลย ที่จะอยู่ในความไม่ขัดแย้งของใคร และสร้างประโยชน์ให้กับการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาว” นางฐนิวรรณ กล่าว

นางฐนิวรรณ กล่าวต่อไปว่า ในฐานะที่ตนนั้นไม่มีผลประโยชน์กับเรื่องแอลกอฮอล์เพราะร้านอาหารนั้นมีกำไรส่วนใหญ่จากการขายอาหาร ตนมองว่าการสร้างสมดุลให้กับกฎหมายและนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต้องคำนึงถึงบริบททุกด้าน ทั้งสาธารณสุข ความปลอดภัยบนท้องถนน ความรุนแรงที่เกิดจากการดื่ม เศรษฐกิจ ฯลฯ ทั้งนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอดก็คือการบังคับใช้กฎหมายในประเทศไทยยังไม่ได้เข้มแข็ง มีผู้ที่หลีกเลี่ยงกฎหมาย มีการจ่ายใต้โต๊ะ ตนอยากเห็นการบังคับใช้กฎหมายอย่างบริสุทธิยุติธรรมจากผู้บังคับใช้กฎหมายจริงๆ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาที่เกี่ยวข้องได้

ด้าน ผศ.ดร.เจริญ เจริญชัย นักวิซาการด้านเทคโนโลยีอาหารและเครื่องดื่ม ผู้เสนอร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ... และรองประธานคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า การยกเลิกการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลา 14.00-17.00 น. เป็นหนึ่งในสิ่งที่ฝ่ายต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องเห็นร่วมกัน โดยขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติฯ ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของวุฒิสภา ซึ่งเพิ่งจะผ่านวาระที่ 1 ไป คาดว่าต้องใช้เวลาอีกซักพักหนึ่งจึงจะเข้าสู่การพิจารณาวาระที่ 2 และ 3 โดยอาจเป็นเดือนกรกฎาคม

“การยกเลิกมาตรการห้ามขายช่วงบ่ายนั้นติดที่ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 253 ปี พ.ศ.2515 ซึ่งเป็นที่มาของมัน ตามกระบวนการที่ได้คุยกัน การยกเลิกจะออกเป็นประกาศคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลังจากที่พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีผลบังคับใช้และยกเลิกประกาศคณะปฏิวัติดังกล่าว ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวจากฝั่งรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมานั้นทำให้เชื่อได้ว่า พรรคเพื่อไทยมีนโยบายผ่อนคลายตรงนี้เพื่อผลักดันเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับภาคธุรกิจ” ผศ.ดร.เจริญ กล่าว

นอกจากนี้ ผศ.ดร.เจริญ ยังกล่าวถึงประเด็นมาตรา 32 ซึ่งเป็นเนื้อหาสำคัญของพระราชบัญญัติฯ นี้ ด้วยว่า ตนรู้สึกยินดีที่สภาผู้แทนราษฎรพิจารณามาตรานี้และมีมติให้ปลดล็อคการห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ความเปลี่ยนแปลงนี้มาจากนโยบายของรัฐบาลอีกเช่นกัน โดยในที่ประชุมกรรมาธิการฯ ที่ผ่านมานั้นการคุยเรื่องมาตรา 32 ออกมาแบบเข้มงวด มีการล็อคองค์ประกอบต่างๆ ไว้ในพระราชบัญญัติฯ ส่วนรัฐบาลนั้นต้องการให้มีการผ่อนคลาย จึงเสนอร่างแก้ไขเข้ามาและชนะโหวตในสภาไป ซึ่งตนก็เห็นด้วยมาตรา 32 นั้นเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย ผู้ประกอบการใหญ่ก็ได้ รายย่อยก็ได้

“หากรัฐบาลที่จะกล้าทำแบบนี้ยาก รัฐบาลที่จะฝ่ากระแสคนดีออกมาทำแบบนี้ ส่วนสว.นั้นก็มีทั้งส่วนที่ไม่เห็นด้วยและที่เห็นด้วยกับเรา ซึ่ง สว.จะมีบทบาทมากน้อยแค่ไหนในการพิจารณากฎหมายตัวนี้ จะมีการแก้ไขเนื้อหาหรือไม่ เราต้องจับตาดูกระบวนการนี้กันต่อไป” ผศ.ดร.เจริญ กล่าวทิ้งท้าย

ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ ผู้ประกอบการ และผู้บริโภค ร่วมถกประเด็น Hot!!  OTT โอกาสของคนไทยที่รอคนเข้าใจ

เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 68 จากประเด็นกรณีพิพาทเรื่อง OTT จนมีการฟ้องร้องกรรมการกสทช. ถึงอำนาจในการกำกับดูแลOTT ที่ปัจจุบันยังไม่มีการกำกับดูแลนั้น   BT Beartai ได้เปิดเวทีเสวนา “OTT โอกาสของคนไทยที่รอคนเข้าใจ” โดยเชิญผู้เกี่ยวข้องมาฉายภาพให้เห็นการพัฒนาเทคโนโลยี รูปแบบธุรกิจและพฤติกรรมการรับชมคอนเทนต์ของคนไทยที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

อาจารย์สืบศักดิ์ สืบภักดี นักวิชาการโทรคมนาคม เลขาธิการสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันการหลอมรวมของเทคโนโลยี ทำให้พฤติกรรมการรับชมรายการโทรทัศน์ของผู้ชมเปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่แค่คนไทย แต่เป็นวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นทั่วโลก ที่ผู้ชมหันมารับชมรายการผ่านอินเทอร์เน็ต แอปพลิเคชั่น หรือที่เรียกว่า OTT ที่ย่อมาจาก Over The Top โดยมีแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมอย่าง NETFLIX DISNEY+ VIU เป็นต้น

“ที่ผ่านมา คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มีบทบาทหน้าที่ในการกำกับดูแลโทรทัศน์ภาคพื้นดิน ซึ่งเดิมเป็นระบบอนาล็อก มี 6 ช่อง แต่พอตั้งกสทช.ได้จัดประมูลทีวีดิจิทัล เพิ่มจำนวนเป็น 36 ช่อง และมีการรับชมผ่านจานดาวเทียม เรียกว่าทีวีดาวเทียมอีกเป็น 100 ช่อง พอมีเทคโนโลยี 3G 4G เกิดการรับชมผ่านกล่องรับสัญญาณที่เรียกว่า IPTV ปัจจุบันมีเครื่องรับโทรทัศน์ที่เป็นสมาร์ททีวีสามารถรับชมได้ทุกแพลตฟอร์ม รวมถึงการรับชมรายการผ่านมือถือก็ได้ ทำให้ OTT ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ”

อาจารย์สืบศักดิ์ เล่าถึงความแตกต่างของบริการ OTT (Over-the-Top) และ IPTV (Internet Protocol Television) ว่าเป็นบริการรับชมเนื้อหาผ่านอินเทอร์เน็ตที่มีความแตกต่างกัน ทั้งในแง่ของการเข้าถึง เทคโนโลยี และข้อกำหนดด้านกฎหมาย IPTV คือผู้ขออนุญาตต้องมีกล่องรับสัญญาณ ( set top box ) เพื่อต่อสายสัญญาณเข้ากับเครื่องรับโทรทัศน์ ผู้ขออนุญาตจะต้องมีโครงข่ายเป็นของตัวเอง  เครื่องรับสัญญาน จะรับสัญญาณได้เฉพาะที่มาจากโครงข่ายตัวเองเท่านั้น ไม่สามารถรับจากโครงข่ายอื่นได้

ขณะที่ OTT ต่างจาก IPTV คือ OTT ไม่ต้องมีกล่องรับสัญญาณแบบเดิม แต่เป็นแอพพลิเคชั่น เป็นการส่งสัญญาณผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต และส่งสัญญาณเป็นData  เป็นแพลตฟอร์มที่เปิดให้ใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ตจากผู้ให้บริการใดก็ได้ โดยผู้ใช้บริการเพียงดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น ดังนั้น OTT จึงสามารถเผยแพร่สัญญาณไปได้ทุกโครงข่ายมือถือ  ซึ่งจุดเปลี่ยนทีสำคัญคือปัจจุบัน เครื่องรับโทรทัศน์ทุกเครื่องเป็น สมาร์ททีวี ดังนั้นจึงสามารถรองรับแอพพลิเคชั่น OTT ได้ทุกค่าย โดยไม่จำกัดเครือข่าย

อาจารย์สืบศักดิ์ ยังให้ข้อมูลถึงประเภทกิจการกระจายเสียงและแพร่ภาพ ว่า สรุปให้ฟังง่ายๆคือ ประเภทที่ 1 คือโทรทัศน์ภาคพื้นดิน มีการกำกับดูแล ถ้าอยากทำต้องไปขอใบอนุญาต ประเภทที่ 2 คือ โทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ซึ่งปัจจุบันกสทช.ก็มีการจัดระเบียบ ถ้าจะทำช่องที่ออกอากาศในประเทศไทยผลิตในไทยต้องไปขออนุญาต ประเภทที่ 3 คือ IPTV  ซึ่งเป็นเทคโนโลยี IPTV ต้องใช้เน็ตค่ายที่ระบุ  ซึ่งต้องไปขออนุญาตกสทช. และต้องควบคุณคุณภาพได้ มีระเบียบในการกำกับเพื่อให้มีคอนเทนท์คุณภาพ   ส่วน OTT สามารถมาในรูปแอป  ไม่จำเป็นต้องมาเป็นกล่อง อาจมาเป็นรูปแอปที่เราโหลดเองในมือถือ หรืออยู่ใน Smart TV  ก็ได้  ซึ่งใข้เน็ตค่ายไหนก็ได้ ปัจจุบันยังไม่ต้องขออนุญาต ยังไม่มีหลักเกณฑ์

สืบศักดิ์ กล่าวว่า กสทช. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลได้ปรับบริบทการกำกับดูแลตามพัฒนาการของเทคโนโลยี แต่สำหรับ OTT หลายประเทศยังไม่มีหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแล รวมทั้งประเทศไทย หลายประเทศอยู่ระหว่างการศึกษา ซึ่งต้องยอมรับว่าปัจจุบันบริบทผู้บริโภคเปลี่ยนไป ภูมิทัศน์สื่อเปลี่ยนไป เทคโนโลยีเข้ามาทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น การมีหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแล และการส่งเสริม เส้นบางๆ ตรงนี้ต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน เพื่อสร้างให้เกิดความสมดุล

“ไทยเป็นประเทศเล็ก ๆ OTT อาจเป็นโอกาสให้ผู้ผลิตรายการสามารถไปแข่งขันในแพลตฟอร์มใหญ่ ๆ ได้ ดังนั้นการกำกับดูแลต้องดูว่าปฏิบัติได้หรือเปล่า ถ้าออกกฎ ต้องปฏิบัติได้ ไม่เช่นนั้นคนไทยเสียโอกาสไปแข่งขันในเวทีโลก ขณะเดียวกัน ต้องยอมรับว่า OTT เป็นโอกาสของช่องทีวีที่จะเพิ่มผู้ชมที่จะเข้ามารับชมคอนเทนท์ของช่องได้เพิ่มมากขึ้น และ OTT เป็นสื่อที่ทำให้อุตสาหกรรมไทยสู้กับต่างประเทศได้”

อย่างไรก็ตาม สืบศักดิ์ เห็นว่า กิจการที่ต้องมีการกำกับดูแล เช่น ด้านการเงิน มีธนาคารแห่งประเทศไทย กิจการโทรทัศน์ก็มีกสทช. แต่องค์กรกำกับดูแล ไม่ใช่กำกับอย่างเดียวแต่มีบทบาทต้องดูแล ส่งเสริมให้ธุรกิจมีการเติบโตด้วย กรณี OTT ไม่ใช่แค่เป็นแพลตฟอร์มรับชมรายการทีวีอย่างเดียว แต่ยังเป็นแอปพลิเคชั่นที่ให้บริการเรียกรถได้ สั่งอาหารได้ หากจะกำกับดูแลต้องกำหนดรายละเอียดให้ชัดเจน เป็นธรรมและใช้บังคับกับ OTT ทั้งไทยและต่างประเทศด้วย และไม่ง่าย ต้องมีการศึกษาอย่างละเอียด รอบคอบ เพื่อให้ธุรกิจสามารถแข่งขันและเติบโตได้

OTT โอกาสของคอนเทนต์ไทย

คุณระวี ตะวันธรงค์ ที่ปรึกษาสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ และอดีตผู้บริหารสื่อ มองว่า OTT เป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมโทรทัศน์ในประเทศ เป็นโอกาสของผู้ผลิตรายการ เพราะที่ผ่านมา ช่องทางในการรับชมรายการโทรทัศน์มีจำกัด ผู้ผลิตรายการต้องเสนอรายการให้แต่ละช่องพิจารณา แต่วันนี้ OTT มา มีช่องทางนำเสนอผลงานได้หลากหลาย ไม่ต้องเสียค่าเช่าเวลาแพงๆ เหมือนในอดีต ถือเป็นผลดีต่อผู้ผลิตรายการ แต่ผลเสีย คือเทคโนโลยีพัฒนาการเร็วกว่ากฎหมาย การกำกับดูแลเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลก แต่ภาครัฐมองเห็นโอกาส เข้ามาส่งเสริม จะเกิดประโยชน์ต่อประเทศ และทำให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันได้ และควรมีการส่งเสริมให้ OTT มีมาตรฐานในการกำกับดูแลกันเองได้ โดยการกำกับดูแลต้องทำเท่าที่จำเป็นเท่านั้น

“ข้อมูลล่าสุด การเก็บภาษีจากแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างประเทศ เพียงไตรมาสเดียว เก็บภาษีได้ 20,000 ล้านบาท คิดดูว่าถ้าภาครัฐมีการส่งเสริม OTT ในประเทศ เอาเงินมาจ่ายให้กับผู้ผลิตโดยตรง จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโต จีดีพีขยายตัวได้ ปัจจุบันโลกวิ่งเร็วมาก ผู้ชมวิ่งตามไม่ทัน ในสิงคโปร์แทนที่จะกำกับดูแลปิดกั้นไม่ให้เข้าถึงคอนเทนต์เหล่านี้ เขาหันกลับมาให้ความรู้คนในประเทศ สร้างความฉลาดทางดิจิทัลตั้งแต่เด็ก เพื่อให้รู้เท่าทันสื่อดิจิทัล”

เช่นเดียวกับ คุณวรฤทธิ์ นิลกลม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ๙ หน้า โปรดักชั่น จำกัด ผู้ผลิตซีรีส์วาย บอยเลิฟ ให้ความเห็นว่า การผลิตคอนเทนท์ ผ่าน OTT ทุกวันนี้ เป็นเวทีให้ผู้ผลิตรสามารถแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ และได้รับการยอมรับจากประเทศต่าง ๆ กว้างขึ้น จากการเข้าถึงแพลตฟอร์ม OTT ได้ง่าย และมีความหลากหลาย  ทำให้ผู้ชมมีทางเลือกในการเสพสื่อ ขณะที่ในด้านแง่ธุรกิจ ช่วยทำให้อุตสาหกรรมเติบโต เกิดความคิดสร้างสรรค์ในการผลิตเนื้อหารายการ การควบคุมมีได้เท่าที่จำเป็น แต่มองว่าผู้บริโภคทุกวันนี้มีความฉลาดในการเลือกเสพสื่อมากขึ้น

นอกจากนี้ OTT ยังเป็นแพลตฟอร์มที่ทำให้เกิดโอกาสใหม่ ๆ ด้วยจำนวนผู้ชมที่มีความชัดเจน เม็ดเงินโฆษณาก็จะวิ่งเข้ามา และสามารถสื่อกับกลุ่มเป้าหมายโดยตรง ด้วยเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาและบริการที่หลากหลาย

ขณะที่ คุณภวดล สุวรรณศรี ในฐานะตัวแทนผู้บริโภค ให้ความเห็นว่า OTT เป็นช่องทางรับชมรายการโทรทัศน์ที่สะดวก สบาย และสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ชมได้ดีกว่า  ดูที่ไหน  เวลาไหนก็ได้ แค่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต ดังนั้นมองว่า OTT เป็นทางเลือกให้สามารถรับชมรายการฟรีทีวีได้สะดวก โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งการมีโฆษณาคั่นเข้ามาผู้ใช้บริการรับทราบว่าเป็นสิ่งปกติของบริการ

จากเวทีเสวนาเห็นตรงกันว่า OTT คือโอกาสและทางเลือกของทั้งประเทศ ทั้งผู้ประกอบการ ผู้ผลิตคอนเทนท์ และผู้บริโภค ซึ่งหากจะมีการกำกับดูแลก็จะต้องสร้างสมดุลทั้งกำกับและดูแลส่งเสริม OTT คนไทยเพื่อสร้างโอกาสให้เกิดการแข่งขันอย่างเท่าเทียมระหว่างคนไทยและต่างชาติ และต้องพิจารณาให้เท่าทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ชมและทุกภาคส่วนโดยรวม   

EXIM BANK จับมือ ป.ป.ช. และ CAC เปิดตัวนวัตกรรมการเงินด้านธรรมาภิบาลครั้งแรกของโลก เสริมสภาพคล่องผปก.ไทยสู่ระดับสากล

EXIM BANK จับมือสำนักงาน ป.ป.ช. และ CAC เปิดตัวนวัตกรรมทางการเงินด้านธรรมาภิบาลครั้งแรกของโลก เสริมสภาพคล่องและลดต้นทุนทางธุรกิจแก่ผู้ประกอบการไทยที่ได้มาตรฐานสากล

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) และแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) โดยสมาคมสถาบันกรรมการบริษัทไทย สนับสนุนให้ภาคเอกชนไทยที่มีกระบวนการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันภายในองค์กรตามมาตรฐานสากล ได้รับโอกาสเข้าถึงบริการทางการเงินที่ช่วยลดต้นทุนทางธุรกิจ มีสภาพคล่องเพิ่มสูงขึ้นพร้อมเริ่มต้นหรือขยายธุรกิจ สู่เวทีการค้าโลกอย่างมีธรรมาภิบาลและยั่งยืน ภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือการขับเคลื่อนธรรมาภิบาลและบรรษัทภิบาล ระหว่างสำนักงาน ป.ป.ช. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ  

ในโอกาสนี้ EXIM BANK เปิดตัวบัตรเงินฝากสีขาวและสินเชื่อสีขาวที่เรียกว่า “White Certificate of Deposit” และ “White EX” ตามลำดับ ซึ่งนับเป็นผู้นำนวัตกรรมทางการงเงินด้าน Governance แห่งแรกของโลก โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมมาตรฐานการกำกับดูแลภายในองค์กร โดยเฉพาะด้านการต่อต้านคอร์รัปชันและความโปร่งใสทางธุรกิจ โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนของไทยที่ได้มาตรฐานหรือการรับรอง โดย ISO หรือ CAC

• บัตรเงินฝากสีขาว (White Certificate of Deposit) วงเงินรวม 5,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 3 อายุ คือ ระยะเวลา 3 เดือน อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.15 ต่อปี ระยะเวลา 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.20 ต่อปี และระยะเวลา 12 เดือน อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.25 ต่อปี 
• สินเชื่อ White EX หรือโครงการ EXIM เงินทุนสีขาว สนับสนุนผู้ประกอบการที่พร้อมร่วมต่อต้านทุจริตคอร์รัปชัน โดย EXIM BANK ให้การสนับสนุน ดังนี้ 
  - “White Starter” สำหรับใช้ในกิจการของผู้ประกอบการ SMEs ที่เข้าร่วมกิจกรรมต่อต้านคอร์รัปชันกับ EXIM BANK วงเงินสูงสุด 20 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยพิเศษ เริ่มต้นร้อยละ 5.60 ต่อปี ใน 6 เดือนแรก พร้อมลดค่าธรรมเนียมสินเชื่อ 
  - “White Intermediate” สำหรับผู้ประกอบการที่ได้แสดงเจตนารมณ์เข้าร่วม CAC (CAC Declared 1 ดาว) และอยู่ระหว่างการขอรับรอง CAC Certified (2 ดาว) หรืออยู่ระหว่างการขอรับรองมาตรฐาน ISO ที่เกี่ยวข้องกับธรรมาภิบาลและการกำกับดูแลกิจการที่ดี สามารถขอรับการสนับสนุนสินเชื่ออเนกประสงค์ หรือสินเชื่อเพื่อการลงทุน อัตราดอกเบี้ยพิเศษ เริ่มต้น 4.75% ต่อปี ในปีแรก วงเงินสูงสุด 50 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาผ่อนชำระคืนสูงสุด 5 ปี
  - “White Advanced” สำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรอง CAC Certified (2 ดาว) หรือได้รับรอง CAC Change Agent (3 ดาว) ตลอดจนผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 37001 หรือมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง EXIM BANK พร้อมสนับสนุนเงินทุนเพื่อใช้ในกิจการ วงเงินสูงสุด 100 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นตลอดปีแรก 3.75% ต่อปี ผ่อนชำระคืนสูงสุด 7 ปี

“นับเป็นครั้งแรกของโลก โดยมี EXIM BANK เป็นผู้นำ ร่วมกับสำนักงาน ป.ป.ช. และ CAC เพื่อกระตุ้นให้ภาคธุรกิจไทยดำเนินกิจการอย่างโปร่งใสและมีธรรมาภิบาล ควบคู่กับการขับเคลื่อนการเติบโตทางสิ่งแวดล้อมและสังคม ด้วยนวัตกรรมเพื่อการระดมทุนสีขาวและสินเชื่อสีขาว ที่มีอัตราดอกเบี้ยพิเศษต่ำสุด 3.75% ต่อปี ผ่อนชำระคืนสูงสุด 7 ปี ให้แก่กิจการที่ได้รับการรับรอง CAC หรือ ISO ขั้นสูง เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมีรากฐานด้านความโปร่งใสในการกำกับดูแลภายในองค์กร นำไปสู่การสร้างสังคมที่มีธรรมาภิบาลและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนต่อไป”