ออมสิน ประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท 0.25% มีผล 15 ส.ค.นี้ กระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระบบ

ออมสิน ประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท 0.25% มีผล 15 ส.ค.นี้ กระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระบบ

วันที่ 14 ส.ค.68 นายวีระชัย อมรถกลสุเวช รองผู้อำนวยการธนาคารออมสินอาวุโส รักษาการผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินพร้อมเดินหน้าเคียงข้างประชาชนและภาคธุรกิจไทย โดยประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.25% ต่อปี สอดคล้องกับมติคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เพื่อช่วยลดภาระทางการเงิน เพิ่มสภาพคล่อง และสนับสนุนการปรับตัวของผู้ประกอบการและประชาชน การปรับลดครั้งนี้เป็นการสานต่อมาตรการช่วยเหลือที่ธนาคารได้ริเริ่มมาก่อนหน้านี้ ซึ่งได้เคยนำร่องลดดอกเบี้ยเงินกู้มาแล้ว 2 ครั้ง ในปี 2568 เพื่อบรรเทาผลกระทบจากต้นทุนทางการเงินและกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในวงกว้าง ทั้งยังสะท้อนการยึดมั่นในแนวทาง “ธนาคารเพื่อสังคม” ที่พร้อมปรับลดกำไรให้อยู่ในระดับเหมาะสม เพื่อขยายความสามารถในการช่วยเหลือภารกิจทางสังคมได้มากขึ้น

ธนาคารออมสินจึงประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท ดังนี้

- อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำสำหรับลูกค้ารายย่อย (MRR) ลดเหลือ 6.295% ต่อปี
- อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำสำหรับลูกค้าสินเชื่อรายใหญ่ (MLR) ลดเหลือ 6.325% ต่อปี 
- อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำสำหรับลูกค้าใช้วงเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) ลดเหลือ 6.095% ต่อปี 

ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทั้ง 3 ประเภทของธนาคาร (MRR / MLR / MOR) ยังคงต่ำที่สุดในระบบ
เมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่

ทั้งนี้ ธนาคารจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเดิม เพื่อให้ผู้ฝากยังได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมตามภารกิจส่งเสริมการออม ควบคู่กับการสนับสนุนให้เศรษฐกิจปรับตัวรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศที่กระทบกำลังซื้อและความสามารถในการแข่งขัน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป หรือจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง

#ธนาคารออมสิน #ลดดอกเบี้ย #MRR #MLR #MOR #เศรษฐกิจไทย #สภาพคล่อง #เงินกู้ #ข่าวเศรษฐกิจ #สนับสนุนธุรกิจ 

ธอส. เติมวงเงินกู้ผ่านสินเชื่อซ่อม-แต่ง Plus รสูงสุดรายละ 3 แสนบาท ดบ.เริ่มต้นเพียง 1.00% ต่อปีเท่านั้น

ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) พร้อมดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงการคลัง อัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ผ่านสินเชื่อซ่อม – แต่ง และสินเชื่อซ่อม – แต่ง Plus ให้กู้เพิ่มรวมวงเงินสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท / ราย โดยวงเงิน 100,000 บาทแรก อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 1.00% ต่อปี สำหรับลูกค้าปัจจุบันของธนาคารที่ต้องการกู้เพิ่มเพื่อปรับปรุง ต่อเติม หรือซื้ออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัย อาทิ รีโนเวทบ้านใหม่ เปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าใหม่ หรือ ติดตั้ง Solar Roof  ยื่นกู้ง่ายๆ โดยไม่ต้องจดทะเบียนการจำนองเพิ่มที่สำนักงานที่ดิน เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้กับลูกค้าที่มีประวัติการผ่อนชำระหนี้ดีจำนวนกว่า 400,000 ราย มั่นใจส่งผลบวกต่อระบบเศรษฐกิจในระยะสั้นได้ ผู้ที่สนใจสามารถยื่นกู้ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

วันที่ 26 พฤษภาคม 2568 นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ตามนโยบายรัฐบาล และกระทรวงการคลังที่ต้องการให้ ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ เป็นกลไกหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ และจัดทำมาตรการช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัยให้คนไทย ซึ่ง ธอส. ดำเนินงานโดยไม่มุ่งเน้นกำไรสูงสุด แต่ดำเนินการตามพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” จัดทำสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อแบ่งเบาภาระของลูกค้าและประชาชน 

ล่าสุด ธอส. ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ย MRR ธอส. อยู่ในระดับต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินของรัฐอื่น และที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้ ธอส. จัดทำสินเชื่อซ่อม – แต่ง กรอบวงเงิน 5,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปีเพียง 1.00% ต่อปี ให้กู้เพื่อต่อเติม ซ่อมแซม หรือซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัย วงเงินให้กู้ต่อรายต่อหลักประกันสูงสุด 100,000 บาท ซึ่งได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นจำนวนมาก

ดังนั้นเพื่อให้ลูกค้าได้มีวงเงินกู้เพิ่มขึ้น ธอส. จึงจัดสรรกรอบวงเงิน 5,000 ล้านบาท เพื่อเติมวงเงินกู้ให้กับลูกค้าเพิ่มอีก 200,000 บาท / ราย ผ่านสินเชื่อซ่อม - แต่ง Plus ที่อัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1 – 3 เท่ากับ 1.99% ต่อปี และปีที่ 4 – 5 เท่ากับ 3.50% ต่อปี สำหรับลูกค้าปัจจุบันของ ธอส. ทำนิติกรรมสัญญาและผ่อนชำระเงินกู้กับธนาคารมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี วงเงินกู้เดิมภายใต้หลักประกันสูงสุด ไม่เกิน 5 ล้านบาท มีประวัติการผ่อนชำระสม่ำเสมอทุกเดือนไม่น้อยกว่า 1 ปี สามารถขอกู้เพิ่มเพื่อปรับปรุง ต่อเติม หรือซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัย อาทิ รีโนเวทบ้านใหม่ เปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าใหม่ หรือติดตั้ง Solar Roof  ซึ่งการกู้เพิ่มดังกล่าวลูกค้าไม่ต้องจดทะเบียนการจำนองเพิ่มที่สำนักงานที่ดิน เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับลูกค้า ทำให้ ธอส. มั่นใจว่าลูกค้าได้รับความสะดวกในการยื่นกู้ 

“จากข้อมูลของ ธอส. พบว่ามีลูกค้าที่มีประวัติการผ่อนชำระหนี้ดี สามารถกู้เพิ่มภายใต้โครงการสินเชื่อซ่อม - แต่ง และสินเชื่อซ่อม - แต่ง plus จำนวนกว่า 400,000 ราย วงเงินกู้สูงสุดรายละ 300,000 บาท กรอบวงเงินรวม 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็น สินเชื่อซ่อม - แต่ง วงเงิน 100,000 บาทแรก อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.00% ต่อปี และสินเชื่อซ่อม - แต่ง Plus วงเงิน 200,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 1.99% ต่อปี โดยเชื่อว่ายังคงได้รับความสนใจจากลูกค้า และเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจในระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายกมลภพ กล่าว

ลูกค้าที่สนใจสามารถยื่นคำขอกู้ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ  หรือ G H Bank Call Center โทร.0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสาร
ของธนาคารได้ที่ Application : GHB ALL GEN และ www.ghbank.co.th 

"BBL" นำร่องลดดอกเบี้ยเงินกู้-เงินฝากประจำ มีผลวันนี้

BBL นำร่องลดดอกเบี้ยเงินกู้-เงินฝากประจำ มีผลตั้งแต่วันนี้

ธนาคารกรุงเทพ [BBL] ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินฝาก โดยมีผลตั้งแต่วันนี้ (8 พ.ค.)

ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.05-0.10%

- อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ปรับลดลงมาที่ 6.75% หรือลดลง 0.075% จากเดิมที่ 6.75%

- อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) ปรับลดลงมาที่ 7.00% หรือลดลง 0.10% จากเดิม 7.10%

- อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ปรับลดลงมาที่ 6.90% หรือลดลง 0.05% จาก 6.95%

 

ลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3-36 เดือน 0.15-0.30%

- อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน ปรับลงมาที่ 0.85% หรือลดลง 0.15% จาก 1%

- อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 4 เดือน ปรับลงมาที่ 1.30% หรือลดลง 0.20% จาก 1.50%

- อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 6 เดือน ปรับลงมาที่ 0.90% หรือลดลง 0.20% จาก 1.10%

- อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 7 เดือน ปรับลงมาที่ 1.35% หรือลดลง 0.30% จาก 1.65%

- อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน ปรับลงมาที่ 1.25% หรือลดลง 0.20% จาก 1.45%

- อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 24 เดือน ปรับลงมาที่ 1.55% หรือลดลง 0.15% จาก 1.70%

- อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 36 เดือน ปรับลงมาที่ 1.55% หรือลดลง 0.20% จาก 1.75%

 

SME D Bank ประกาศลดดบ.เงินกู้สูงสุด 0.25% คู่เสิร์ฟสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำคงที่ ลดภาระเพิ่มศักยภาพธุรกิจ

SME D Bank ขานรับนโยบายรัฐบาล ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงสูงสุด 0.25% ต่อปี  ตั้งแต่วันที่ 6 มี.ค. 2568  เป็นต้นไป ช่วยลดภาระให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี  อีกทั้ง ตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก เพื่อประโยชน์ของผู้ฝาก  พร้อมเสิร์ฟ Soft Loan ดอกเบี้ยต่ำเพียง 3%ต่อปี คงที่ตลอด 3 ปีแรก สนับสนุนยกระดับเพิ่มศักยภาพ ธุรกิจอยู่รอดและเดินหน้าได้ต่อเนื่อง

นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank   กล่าวว่า จากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ต่อปี จาก 2.25% ต่อปี เป็น 2.00% ต่อปี เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ดังนั้น SME D Bank ในฐานะสถาบันการของรัฐ ที่มีภารกิจหลักในการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน ขานรับนโยบายรัฐบาล ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงสูงสุด 0.25% ได้แก่ ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR)  ลด 0.25% จาก 7.80 ลดลงเหลือ 7.55% ต่อปี , สำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ลด 0.15% จาก 7.80% ต่อปี ลดลงเหลือ 7.65% ต่อปี และประเภทเงินกู้ขั้นต่ำ (MLR) ลด 0.10% จาก 7.40% ต่อปี เหลือ 7.30% ต่อปี มีผลตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม 2568  เป็นต้นไป เพื่อช่วยลดภาระให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง อีกทั้ง ช่วยกระตุ้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวมในช่วงที่ยังมีปัจจัยท้าทายจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ  ขณะเดียวกัน ยังจะตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก เพื่อประโยชน์แก่ผู้ฝาก กลุ่มหน่วยงาน องค์กร กลุ่มนิติบุคคล สถาบัน หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน  มีทางเลือกในการหาแหล่งฝากเงินผลตอบแทนสูง ที่มีความมั่นคงและปลอดภัยสูงสุด

นอกจากการลดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวแล้ว ธนาคารยังจัดเตรียมสินเชื่อ Soft Loan ช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งทุนในอัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษ เพียง 3%ต่อปี คงที่ตลอด 3 ปีแรก ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจ ผ่าน 3 โครงการสินเชื่อที่จะช่วยลดภาระ เพิ่มสภาพคล่อง และเพิ่มศักยภาพให้สามารถดำเนินธุรกิจได้ต่อเนื่อง ได้แก่ 1.สินเชื่อ “SME Green Productivity” สนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ต้องการติดตั้งระบบอุปกรณ์ ปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต เครื่องจักร อุปกรณ์ เพื่อใช้พลังงานสะอาด และมุ่งสู่อุตสาหกรรมสีเขียว วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท   2.สินเชื่อ "ปลุกพลัง SME"   สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายเล็กที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 2 ล้านบาท นำไปใช้ลงทุน ขยาย ปรับปรุงกิจการ หรือปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจ รวมถึง หมุนเวียน และเสริมสภาพคล่องในธุรกิจ วงเงินกู้ต่อรายสูงสุด 1.5 ล้านบาท และ 3.สินเชื่อ "Beyond ติดปีก SME" สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีรายได้ต่อปีมากกว่า 2 ล้านบาทขึ้นไป นำไปเสริมสภาพคล่อง ลงทุน ขยาย ปรับปรุงกิจการ ปรับเปลี่ยนทรัพย์สินหรือเครื่องจักร เพื่อเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจ  วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาท  ควบคู่บริการด้านการพัฒนา ผ่านแพลตฟอร์ม “DX by SME D Bank” (dx.smebank.co.th)  เสริมแกร่งธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ครบถ้วนในจุดเดียว ทั้งด้านแหล่งความรู้ ที่ปรึกษาธุรกิจ ตลอดจนช่องทางขยายตลาด และเพิ่มรายได้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357

ธ.ก.ส. ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ สูงสุดร้อยละ 0.25 เริ่ม 7 มี.ค.68

ธ.ก.ส. ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงสูงสุดร้อยละ 0.25 ตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายโดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าประเภทเงินเกินบัญชี (MOR) ลงร้อยละ 0.25 เหลือร้อยละ 6.625 ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ลงร้อยละ 0.15 ต่อปี เหลือร้อยละ 6.725 ต่อปี เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยให้กับเกษตรกรลูกค้ารายย่อย ธ.ก.ส. และสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยให้มีผลตั้งแต่7 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป

เมื่อวันที่ 4 มี.ค.2568 นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายทางการเงิน (กนง.) มีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 2.25 ต่อปี มาอยู่ที่ร้อยละ 2.00 ต่อปี นั้น ธ.ก.ส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ จึงพร้อมปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายและสอดรับกับนโยบายรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาหนี้สินอย่างยั่งยืน โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงสูงสุดร้อยละ 0.25 ต่อปี ประกอบด้วยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ลดลงร้อยละ 0.15 ต่อปี จากร้อยละ 6.875 ต่อปี มาอยู่ที่ร้อยละ 6.725 ต่อปี เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยให้กับเกษตรกรลูกค้ารายย่อย ธ.ก.ส. และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าประเภทเงินเกินบัญชี (MOR) ลดลงร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 6.875 ต่อปี มาอยู่ที่ร้อยละ 6.625 ต่อปี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป

อย่างไรก็ตาม ธ.ก.ส. พร้อมดูแลปัญหาหนี้สินเกษตรกรลูกค้าแบบครบวงจร ควบคู่กับการส่งเสริมการออมเงินเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินอย่างยั่งยืน ผ่านผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ ของ ธ.ก.ส. อาทิ มาตรการพักชำระหนี้ลูกหนี้รายย่อยตามนโยบายรัฐบาล การเติมสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ ร้อยละ 4 ต่อปี ผ่านสินเชื่อเพื่อเกษตรกรรุ่นใหม่ New Gen & Young Smart Farmer และอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 ต่อปี หรือล้านละร้อย ผ่านสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย ระยะที่ 2 และสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล เช่น สินเชื่อเงินด่วนคนดีสำหรับ อสส. และ อสม. และสินเชื่อเงินด่วนกึ่งแสน นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการออมเงินผ่านผลิตภัณฑ์เงินฝากของ ธ.ก.ส. อาทิ สลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดหยกจักรพรรดิ และเงินฝากออมทรัพย์พิเศษ ระยะเวลาฝาก 8 เดือน ที่ให้ผลตอบแทนสูงกับ “เงินฝากทองพันชั่ง” ฝากขั้นต่ำครั้งละ 100,000 บาท รวมฝากสูงสุดไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี (เทียบเท่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำร้อยละ 2.35 ต่อปี) โดยรับดอกเบี้ยล่วงหน้าทันทีในวันที่ฝากเงิน บุคคลธรรมดาไม่เสียภาษีดอกเบี้ยเงินฝาก

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเปิดบัญชีและฝากเงินได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปถึง 31 มีนาคม 2568 หรือเมื่อรับฝากเต็มวงเงิน

อุดรธานี แก๊งเงินกู้ดอกเบี้ยโหดสาดเลือดหน้าร้านขู่ลูกหนี้จบด้วยดีเจ้าหนี้เปิดใจไม่เอาแล้วลูกหนี้แบบนี้จะได้รู้เงินมันซื้อคน

ที่จ.อุดรธานี แก๊งเงินกู้ดอกเบี้ยโหดปาเลือดในหน้าร้านขู่ขู่ลูกหนี้ฐานไม่จ่ายเงิน วันนี้ตร.เรียกทั้งสองฝ่ายมาคุยกัน  จบด้วยดี เจ้าหนี้แทนที่จะได้เงิน กับต้องเสียเงินค่าเสียหาย 4,000 แก่ลูกหนี้ฐานปาเลือดใส่ร้าน เจ้าตัวเปิดใจ ฝากถึงลูกหนี้จะยืมแล้วอย่าเหนียวหนี้ เป็นหนี้คนแล้วก็จ่ายหน่อยก็ดี ยืมแล้วไม่มีก็อย่าไปรับปาก ตอนนี้จะได้รู้เงินมันซื้อคน ไม่ขอยุ่งกับลูกหนี้แบบนี้อีกแล้ว

วันนี้ (4 ม.ค.68) จากกรณีสองแม่ลูกเปิดร้านนวดและเสริมสวยในชุมชนหนองเตาเหล็ก ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี ถูกแก๊งเงินกู้ดอกเบี้ยโหดปาดเลือดและปาไข่ใส่ร้าน เห็นเป็นเลือดสีแดงสดๆ หน้าร้านเสริมสวยและร้านนวดแห่งหนึ่ง โดยผู้เป็นแม่และลูกสาวตกใจเมื่อแก๊งเงินกู้ขู่แบบนี้ แจ้งความดำเนินคดีให้ถึงที่สุด โดยมีคลิปหลักฐานภาพถ่ายเลือดสีแดงสดอยู่หน้าร้าน คลิปเจ้าหนี้เถียงกันกันลูกหนี้สองแม่ลูกอย่างหน้าดำคล่ำเครียดเรื่องหนี้ที่ยืมมา ยอดเงิน 9,000 บาท เจ้าหนี้ขู่ต้องจ่ายหมด ลูกหนี้ก็ไม่ยอม สุดท้ายตกลงกันไม่ได้ และคลิปเสียงที่ถูกเจ้าหนี้ขู่บอกว่า “มึ..อย่าให้ก..หน้าเจอแล้วกันอิ.... อยู่ในอุดร ก..ก็โตในอุดรเกิดในอุดร อย่าให้ก..เจอในอุดรแล้วกันหลบดีๆ ชาดหมา ก..จะบอกมึงงงให้ ใช้ชีวิตให้มีความสุขแล้วกัน อิ..ทอง โดยวันนี้ตร.ชุดสืบสวนได้เรียกทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้มาพูดคุยกัน สุดท้ายตกลงกัน จบได้ด้วยดี แทนที่เจ้าหนี้จะได้เงิน ปรากฏว่า เจ้าหนี้ต้องจ่ายค่าเสียหายฐานปาเลือดใส่หน้าร้าน ลูกหนี้จำนวน 4,000 บาท ส่วนลูกหนี้ก็ได้ถอนแจ้งความไม่เอาเรื่องเอาราวเจ้าหนี้  แต่ตร.จะได้ติดตามเจ้าของเงินกู้มาดำเนินคดีข้อหา ปล่อยเงินกู้ตามที่กฎหมายกำหนดต่อไป

ลูกหนี้สาว บอกว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นสาเหตุที่หนูไปกู้หนี้นอกระบบมา มีพี่ที่รู้จักแนะนำมา หนูไปกู้ยอด 5,000 บาท ได้เงินมา 3,000 บาท เราก็จ่ายมาเรื่อยๆ ตามวันที่กำหนด แล้วเราก็กู้เอามาหมุนอีก จ่ายไปเรื่อยๆ จนยอดสุดท้ายยอด 3,000 หนูไม่ไหวแล้ว หนูก็บอกว่าขอจ่ายต้น 3,000 ได้ไหมแต่เขาไม่ยอม เจรจาหลายครั้งไม่เป็นผล เขาก็ด่าเสียๆ หายๆ แถมส่งข้อความมาข่มขู่ ตามรังควาน แต่ที่ครั้งที่รุนแรงที่สุดคือปิดป้ายประจาน ปาไข่ เราก็ไม่ได้อะไร ต่อมาปาเลือดสดๆ หน้าร้าน เราก็ตกใจแบบนี้ก็ไม่ไหวแล้ว จึงไปแจ้งความ วันนี้ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว เจ้าหนี้เขายอมจ่ายค่าเสียายปาเลือด ติดป้ายประจาน แบบนี้จะไม่กู้เงินดอกเบี้ยโหดแบบนี้อีกแล้ว จำจนเข็ดหลาบจริงๆ

ทางด้านนายปังปอน อายุ 21 ปี เจ้าหนี้ เผยว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเพราะลูกหนี้มายืมผมก่อน มายืม 2 ครั้ง ครั้งแรก 3,000 บาท ครั้งที่ 2 3,000 ตัดยอดไป 3,000 บาท รวมเป็น 9,000 บาท ตัดต้นตัดดอกเหลือประมาณ 5,000 บาทส่วนที่ผมเอาเลือดไปหาที่หน้าร้าน ผมโกรธครับ โกรธเพราะว่ากู้ไปแล้วไม่จ่ายเงินผม อย่างน้อยก็จ่ายให้มันครบที่เอามาก็ยังดี ดีกว่าไม่จ่ายเลย นี่คือเหตุผลที่ผมโกรธ ถ้าจ่ายไม่ได้จ่ายเดือนละ 500 1,000 บาทก็ได้ แต่นี่ไม่จ่ายเลย วันนี้ผมมาตกลงกับลูกหนี้แล้ว โดยตร.เรียกมา ผมต้องเสียเงินค่าเสียหายบ้านหลังละ 2,000 บาทที่ไปปาเลือด รวมเป็นเงิน 4,000 บาท ก็ยอมจ่ายเขาก็ถอนแจ้งความ ก็ถือว่าโอเคผมรับได้

ผมก็จะได้รู้ว่าเรื่องนี้ สอนให้เรารู้ว่า เงินมันซื้อคน เราจะได้รู้ว่านิสัยคนเป็นแบบนี้ต่อไปผมจะไม่ยุ่งกับลูกหนี้แบบนี้แล้ว เงินกู้ก็จะปล่อยต่อไป อยากจะฝากถึงลูกหนี้ว่า เป็นหนี้คนจ่ายเขาหน่อยก็ดี ไม่มีก็บอก ไม่ได้ก็บอกดีๆ ไม่จำเป็นต้องไปด่าเขามาแจ้งความ ผมก็พูดกับเขาดีๆ  ยืมเขาแล้วไม่ม่จ่ายก็อย่ารับปาก ถ้าไม่ได้ก็ค่อยพูดกันอีกทีและพูดดีๆ ไม่ใช่ไม่มี ไม่หนีไม่จ่าย แบบนี้ หัวอกเจ้าหนี้กล่าวตอนท้าย

ธอส.ขานรับนโยบายรัฐบาลน้ำท่วมภาคใต้ ออกมาตรการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้ลูกค้าและประชาชน

ธอส.พร้อมดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล จัดทำมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกค้าและประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ที่ประสบปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติ ฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ผ่าน “โครงการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือที่อยู่อาศัยที่ได้รับผลกระทบจากสาธารณภัย” จำนวน 2 มาตรการ และ “มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ ปี 2567” จำนวน 5 มาตรการ โดยลูกค้าสามารถติดต่อ ณ สาขาธนาคารอาคารสงเคราะห์ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส.ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” โดยตลอดระยะเวลากว่า 71 ปี ได้ทำให้คนไทยมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองมาแล้วมากกว่า 4.6 ล้านครอบครัว พร้อมอยู่เคียงข้างลูกค้าและประชาชนในยามประสบภัยมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นในสถานการณ์ที่พี่น้องชาวภาคใต้กำลังประสบปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่ ธอส. จึงพร้อมดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลและพร้อมให้ความช่วยเหลือลูกค้าและประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวอย่างเต็มที่ ผ่าน  “โครงการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือที่อยู่อาศัยที่ได้รับผลกระทบจากสาธารณภัย” จำนวน 2 มาตรการ และ “มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ ปี 2567” จำนวน 5 มาตรการ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 

โครงการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือที่อยู่อาศัยที่ได้รับผลกระทบจากสาธารณภัย จำนวน 2 มาตรการ ประกอบด้วย 

1.สำหรับลูกค้าปัจจุบัน  : ลดเงินงวดและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เป็นระยะเวลา 1 ปี โดยพักชำระหนี้นาน 3 เดือน  พร้อมลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เหลือ 0% ต่อปี 3 เดือนแรก และเดือนที่ 4 – 12 คิดอัตราดอกเบี้ยเพียง 2.00% ต่อปี พร้อมลดเงินงวดลง 50% ของเงินงวดที่ชำระในปัจจุบัน โดยเมื่อครบระยะเวลาให้ความช่วยเหลือ ลูกค้าสามารถกลับไปใช้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เดิมต่อไป
 
2.สำหรับลูกค้าปัจจุบัน และลูกค้าใหม่ : กู้เพิ่มเพื่อซ่อมแซม หรือปลูกสร้างทดแทนหลังเดิม วงเงินกู้สูงสุดต่อรายต่อหลักประกันไม่เกิน 2 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเดือนที่ 1 – 3 เท่ากับ 0% ต่อปี พร้อมปลอดชำระเงินงวด, อัตราดอกเบี้ยเดือนที่ 4 – 24 เท่ากับ 2.00% ต่อปี, อัตราดอกเบี้ยปีที่ 3 เท่ากับ MRR-3.30% ต่อปี (3.24% ต่อปี), ปีที่ 4 เท่ากับ MRR-2.40% ต่อปี (4.14% ต่อปี) และปีที่ 5 จนถึงตลอดอายุสัญญา กรณีลูกค้ารายย่อย เท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี, ลูกค้าสวัสดิการ เท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี และกู้เพื่อซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัย เท่ากับ MRR (อัตราดอกเบี้ย MRR ของ ธอส. ปัจจุบันเท่ากับ 6.545% ต่อปี) ระยะเวลาการกู้ 40 ปี กู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระเริ่มต้นเพียง 3,100 บาท เท่านั้น พิเศษ!ฟรีค่าธรรมเนียมประเมินราคาหลักประกัน (1,900 – 2,800 บาท) และค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการจำนองไม่เกิน 1% ของวงเงินจำนอง เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนอีกด้วย

มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ ปี 2567 จำนวน 5 มาตรการ ประกอบด้วย 

มาตรการที่ 1 : สำหรับลูกค้าสถานะ NPL ที่หลักประกันได้รับความเสียหาย ให้ประนอมหนี้ระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี 6 เดือน โดยคิดอัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี นาน 6 เดือนแรก และไม่ต้องชำระเงินงวด จากนั้นเดือนที่ 7-18 อัตราดอกเบี้ย 1.00% ต่อปี โดยให้ผ่อนชำระเงินงวดไม่น้อยกว่าดอกเบี้ยรายเดือน และเมื่อครบระยะเวลาประนอมหนี้ ให้กลับมาใช้อัตราดอกเบี้ยตามสิทธิเดิมก่อนที่จะใช้มาตรการนี้

มาตรการที่ 2 : สำหรับลูกค้าสถานะ NPL ที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้ ให้ประนอมหนี้เป็นระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี โดยคิดอัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี นาน 6 เดือนแรก และผ่อนชำระเงินงวดเพียง 1,000 บาท (ตัดเงินต้นทั้งหมด) จากนั้น เดือนที่ 7-12 อัตราดอกเบี้ย 1.00% ต่อปี โดยให้ผ่อนชำระเงินงวดไม่น้อยกว่าดอกเบี้ยรายเดือน บวกอีก 100 บาท และเมื่อผ่อนชำระครบระยะเวลาประนอมหนี้ ให้ลูกค้ากลับมาใช้อัตราดอกเบี้ยตามสิทธิเดิมก่อนที่จะใช้มาตรการนี้

มาตรการที่ 3 : สำหรับลูกค้าสถานะบัญชีปกติและสถานะ NPL ที่เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวร ให้ผ่อนชำระ โดยใช้อัตราดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี ตลอดระยะเวลาที่คงเหลือ (พิจารณาเป็นรายกรณี)

มาตรการที่ 4 : สำหรับลูกค้าสถานะบัญชีปกติและสถานะ NPL หากที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหายทั้งหลัง และไม่สามารถซ่อมแซมได้ ให้ปลอดหนี้ในส่วนของราคาอาคาร และให้ผ่อนชำระต่อเฉพาะในส่วนของที่ดินที่คงเหลือเท่านั้น (พิจารณาเป็นรายกรณี)

มาตรการที่ 5 : พิจารณาสินไหมเร่งด่วน (Fast Track) สำหรับลูกค้าที่ทำกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัย ซึ่งคุ้มครองภัยธรรมชาติกับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารจัดให้ พิจารณาจ่ายค่าสินไหมให้กับลูกค้าที่ประสบภัยทุกราย อย่างเร่งด่วนเป็นกรณีพิเศษ โดยผู้เอาประกันสามารถแจ้งความเสียหายโดยใช้ภาพถ่าย จ่ายตามความเสียหายจริงไม่เกิน 20,000 บาท และสำหรับลูกค้าที่มีกรมธรรม์เริ่มความคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 เพิ่มความคุ้มครองภัยธรรมชาติตามความเสียหายจริงอีกไม่เกิน 30,000 บาท ต่อปี (รายละเอียดและเงื่อนไขเป็นไปตามกรมธรรม์) 

สำหรับลูกค้าที่ประสงค์ขอรับบริการ “โครงการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือที่อยู่อาศัยที่ได้รับผลกระทบจากสาธารณภัย” สามารถติดต่อได้ที่สาขาของ ธอส. ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2568 และลูกค้าที่ประสงค์ขอรับบริการ “มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ ปี 2567” ในมาตรการที่ 1-4 สามารถติดต่อได้ที่สาขาของ ธอส. ตั้งวันนี้ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2567 และมาตรการที่ 5 ติดต่อได้ที่สาขาของ ธอส. ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส.ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ 
G H Bank Call Center โทร.0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ Application : GHB ALL GEN และ  www.ghbank.co.th

#ธอส #น้ำท่วมภาคใต้ #ลดผลกระทบ #เงินกู้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #สินเชื่อ

 

"คลัง" อัปเดตแก้หนี้นอกระบบ อนุมัติแล้ว 1,024 ล้านบาท ช่วยลูกหนี้กว่า 21,463 ราย

"คลัง" อัปเดตแก้หนี้นอกระบบ อนุมัติแล้ว 1,024 ล้านบาท ช่วยลูกหนี้กว่า 21,463 ราย

เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2567 นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ความคืบหน้าของการดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ของกระทรวงการคลัง ที่ร่วมกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ผ่านมาตรการสินเชื่อต่างๆได้แก่ โครงการสินเชื่อธนาคารประชาชน สินเชื่อเพื่อชำระหนี้สินนอกระบบ สินเชื่อกองทุนหมุนเวียนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ยากจน รวมถึงมาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือและรองรับลูกหนี้นอกระบบที่ลงทะเบียนแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ

โดยผลการดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566 - 24 ตุลาคม 2567 มีประชาชนที่เป็นหนี้นอกระบบ ได้รับอนุมัติให้ความช่วยเหลือทางการเงินไปแล้ว 21,463 ราย ยอดอนุมัติรวมทั้งสิ้น 1,024.97 ล้านบาท สำหรับเจ้าหนี้นอกระบบ กระทรวงการคลัง ได้ส่งเสริมให้มีการประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัด ภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) เพื่อเป็นช่องทางให้เจ้าหนี้นอกระบบ สามารถเข้ามาประกอบธุรกิจให้บริการสินเชื่อได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

ทั้งนี้ปัจจุบัน มีนิติบุคคล (บริษัทจำกัด หรือห้างหุ้นส่วนจำกัด) ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ และเปิดดำเนินการแล้ว 1,145 ราย ใน 75 จังหวัด และ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2567 มีการอนุมัติสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ให้กับประชาชนรายย่อยสะสม ทั้งสิ้น 4,614,023 บัญชี เป็นจำนวนเงินรวม 44,723 ล้านบาท โดยเป็นยอดสินเชื่อคงค้าง 368,429 บัญชี เป็นจำนวนเงินรวม 7,102.59 ล้านบาท

#คลัง #หนี้นอกระบบ #ข่าววันนี้ #เงินกู้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ออมสิน

 

 

"ธนาคารกรุงเทพ" ปรับลดดอกเบี้ยทั้งเงินกู้และเงินฝาก มีผล 24 ต.ค.67

ธนาคารกรุงเทพปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินกู้และเงินฝาก มีผลตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคม 2567

นายสุวรรณ แทนสถิตย์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก โดยอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อปรับลดลงสูงสุด 0.20% สำหรับเงินกู้อัตราดอกเบี้ยเอ็มแอลอาร์ / MLR (Minimum Loan Rate) หรืออัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา ลดลง 0.20% เป็น 6.90% ต่อปี ส่วนอัตราดอกเบี้ยเอ็มโออาร์ / MOR (Minimum Overdraft Rate) หรืออัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (Minimum Overdraft Rate) ลดลง 0.20% เป็น 7.35% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยเอ็มอาร์อาร์ / MRR (Minimum Retail Rate) หรืออัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดีปรับลดลง 0.05% เป็น 7.00% ต่อปี ก่อนหน้านี้ ธนาคารกรุงเทพก็ได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MRR ไปแล้ว 0.25% ตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน เพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาภาระหนี้และต้นทุนทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการ

ขณะที่ส่วนเงินฝากลูกค้าบุคคลธรรมดา อัตราดอกเบี้ยเงินฝากสะสมทรัพย์ เป็น 0.25 - 0.30% ต่อปี เงินฝากประจำ 3 เดือน เป็น 1.00% ต่อปี เงินฝากประจำ 6 เดือน เป็น 1.10% ต่อปี เงินฝากประจำ 12 เดือน เป็น 1.45% ต่อปี เงินฝากประจำ 24 เดือน เป็น 1.70% ต่อปี และเงินฝากประจำ 36 เดือน เป็น 1.75% ต่อปี ส่วนเงินฝากสะสมทรัพย์ e-Saving วงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท 1.50% ต่อปี และวงเงินส่วนที่เกิน 1 ล้านบาท 0.45% ต่อปี

#ธนาคารกรุงเทพ #ลดดอกเบี้ย #ข่าววันนี้ #เงินกู้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

 

"ทรู คอร์ปอเรชั่น" ปิดดีลเงินกู้ความยั่งยืน มูลค่า 141.3 พันล้านเยน ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารต่างประเทศชั้นนำ

วันที่ 25 กันยายน 2567 บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยี ชั้นนำอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 1 ของโลกด้านความยั่งยืน ด้วยคะแนน DJSI 2023 สูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน ประสบความสำเร็จในการปิดดีลเงินกู้ที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability-Linked Syndicated Loan) เป็นครั้งแรก มูลค่ารวม 141.3 พันล้านเยน (ประมาณ 33 พันล้านบาท) เพื่อนำเงินที่ได้ไปชำระคืนหนี้เดิม (Refinancing) และถือเป็นบริษัทแรกของไทยในกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม-เทคโนโลยี ที่ได้รับสินเชื่อความยั่งยืนดังกล่าว

การปิดดีลเงินกู้ที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนครั้งแรกของทรู คอร์ปอเรชั่นนี้ เป็นการเข้าสู่ตลาดเงินเยนของญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก และเป็นสินเชื่อความยั่งยืนสกุลเงินเยนที่บริษัทไทยได้รับการสนับสนุนจากธนาคารญี่ปุ่นและธนาคารต่างประเทศชั้นนำมากที่สุด  บริษัทฯ จึงตัดสินใจขยายวงกู้เพิ่มขึ้นจากเริ่มแรก 109.9 พันล้านเยน เป็น 141.3 พันล้านเยน เพื่อนำเงินที่ได้ไปชำระคืนหนี้เดิม

ทรู คอร์ปอเรชั่น เป็นบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีรายแรกของไทยที่ได้รับวงเงินกู้ซึ่งเชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability-Linked Syndicated Loan) และถือเป็นก้าวสำคัญในการมุ่งสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนของบริษัท  อีกทั้งวงเงินกู้ที่ได้รับนี้ยังมีความเชื่อมโยงและสอดคล้องกับเป้าหมายการบริหารทางการเงินและการลดต้นทุนของบริษัท  สำหรับเกณฑ์การวัดผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนสำคัญ 2 ประการ ได้แก่  (1) การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope 1 และ Scope 2 และ (2) การเพิ่มการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในสถานีฐาน ตอกย้ำความมุ่งมั่นของทรู คอร์ปอเรชั่นในการมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ใน Scope 1 และ Scope 2 ภายในปี 2573 และมุ่งสู่เป้าหมาย ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 ตามแนวทาง Science-Based Target Initiative (SBTi)

วงเงินกู้ที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนของทรู คอร์ปอเรชั่นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจมาโดยตลอด รวมถึงเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล โดยในปี 2566  ทรู คอร์ปอเรชั่นได้รับคะแนนสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลก จากทั้งหมด 166 บริษัทในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมสำหรับการประเมินความยั่งยืนขององค์กรโดย S&P Global เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน   วงเงินกู้สกุลเงินเยนเชื่อมความยั่งยืนนี้เป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นระยะยาวในการเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนและการนำเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น ปัญญาประดิษฐ์ มาใช้เพื่อลดการใช้พลังงานของบริษัท

นางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัท มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ธนาคารชั้นนำทั้งของญี่ปุ่นและต่างประเทศให้การสนับสนุนอย่างดียิ่งสำหรับวงเงินกู้สกุลเงินเยนที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนในครั้งนี้  และถือเป็นอีกก้าวสำคัญของทรู คอร์ปอเรชั่น ในการขยายฐานการระดมเงินไปยังตลาดต่างประเทศที่มีสภาพคล่องสูงและอัตราดอกเบี้ยเหมาะสม ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารการเงิน ลดความเสี่ยงตลอดจนเพิ่มความคล่องตัวทางการเงิน  อีกทั้งยังสอดคล้องและส่งเสริมเป้าหมายของทรู คอร์ปอเรชั่น ในฐานะบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยี ชั้นนำอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 1 ของโลกด้านความยั่งยืน

ทรู คอร์ปอเรชั่นมุ่งเน้นการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนผ่านการยกระดับประสบการณ์ลูกค้า การเติบโต และผลประโยชน์จากการควบรวม  ทั้งนี้ เรามั่นใจว่าปี 2567 จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงสู่การเติบโตที่มีกำไร ในขณะที่ปี 2568 จะเป็นปีแห่งการทำกำไรอย่างยั่งยืนและการสร้างคุณค่าให้กับลูกค้า อุตสาหกรรม ตลาด และประเทศไทยโดยรวม การเติบโตอย่างยั่งยืนนี้มาจากผลประโยชน์จากการควบรวม  การมีวินัยทางการเงิน การควบคุมต้นทุน การใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับบริการให้ลูกค้าพึงพอใจสูงสุด และการให้ความสำคัญสูงสุดกับคุณภาพเครือข่าย

วงเงินกู้ที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของทรู คอร์ปอเรชั่นนี้ เป็นการร่วมปล่อยกู้จากกลุ่มธนาคารชั้นนำ โดยมี Bank of China (Hong Kong) Limited, BNP Paribas (ดำเนินการผ่านสาขาสิงคโปร์), DBS Bank Ltd, Mizuho Bank, Ltd., Natixis สาขาสิงคโปร์, Oversea-Chinese Banking Corporation Limited, Standard Chartered Bank (Singapore) Limited และ Sumitomo Mitsui Banking Corporation เป็นผู้จัดการสินเชื่อร่วม (Mandated Lead Arrangers and Bookrunners) Mizuho Bank, Ltd. ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานการจัดอันดับเครดิตกับบริษัทจัดอันดับเครดิต JCR ของญี่ปุ่น และ Sumitomo Mitsui Banking Corporation ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานด้านความยั่งยืน