"บีโอไอ" เคาะลงทุน Data Center 6 หมื่นล้าน พร้อมขยายมาตรการกระตุ้นลงทุน เร่งฟื้นเศรษฐกิจ

บอร์ดบีโอไอ ไฟเขียวลงทุน Data Center 2 โครงการใหญ่ ของบริษัทในเครือ Google และ GDS มูลค่ารวมกว่า 6 หมื่นล้านบาท และอนุมัติบริษัท เฉิงยี่ เทคโนโลยี ผู้ผลิตวัตถุดิบสำคัญ PCB อันดับ 2 ของโลก ลงทุนกว่า 6,000 ล้านบาท พร้อมออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัย และต่ออายุมาตรการกระตุ้นการลงทุนโครงการขนาดใหญ่เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจต่อเนื่องถึงปี 2568  

เมื่อวันที่ 1 พ.ย.67 นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนกิจการ Data Center 2 โครงการใหญ่ มูลค่ารวมกว่า 60,000 ล้านบาท ประกอบด้วยบริษัท ควอตซ์ คอมพิวติ้ง จำกัด ในเครือ Google มูลค่าลงทุน 32,760 ล้านบาท และบริษัท ดิจิทัลแลนด์ เซอร์วิสเซส จำกัด ในเครือ GDS มูลค่าลงทุน 28,000 ล้านบาท

สำหรับโครงการ Data Center ของบริษัท ควอตซ์ คอมพิวติ้ง ในเครือ Alphabet Inc. (สหรัฐอเมริกา) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google เป็นการลงทุนตามแผนธุรกิจที่ Google ได้ประกาศระหว่างการพบนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567 ว่าจะสร้าง Data Center และ Cloud Region แห่งใหม่ในประเทศไทย ด้วยมูลค่าเงินลงทุนเฟสแรก 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะเป็นศูนย์ Data Center แห่งที่ 5 ในเอเชียของ Google ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี มีแผนเปิดให้บริการในช่วงต้นปี 2570 

ส่วนโครงการ Data Center ของบริษัท ดิจิทัลแลนด์ เซอร์วิสเซส ในเครือ GDS ซึ่งเป็นผู้ให้บริการ Data Center ชั้นนำระดับโลก ที่ให้บริการทั้งในประเทศจีนและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยโครงการใหม่ในประเทศไทย ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี มีแผนเปิดให้บริการในปี 2569

โดยทั้งสองโครงการจะเป็น Data Center ขนาดใหญ่ระดับ Hyperscale ที่มีขีดความสามารถในการประมวลผลสูง และสามารถรองรับการขยายตัวของการใช้บริการ Cloud Services ทั้งจากผู้บริโภคและภาคธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีอัตราการใช้บริการออนไลน์และการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลในสัดส่วนที่สูง รวมทั้งมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G, Cloud Computing, Internet of Things (IoT) และ AI เพื่อต่อยอดธุรกิจและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กร รวมทั้งไทยยังสามารถเป็นฐานในการให้บริการ Data Center แก่ประเทศอื่นๆ เนื่องจากอยู่ในทำเลที่ตั้งที่สะดวกต่อการเชื่อมต่อกับประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นตลาดที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

“กระแสการลงทุนในกิจการ Data Center ในประเทศไทยยังมีอย่างต่อเนื่อง การตัดสินใจลงทุน Data Center ขนาดใหญ่ของบริษัทระดับโลกทั้งสองโครงการนี้ เป็นการตอกย้ำศักยภาพของประเทศไทย ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศ รองรับการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัลของทั้งภาคธุรกิจและองค์กรภาครัฐ อีกทั้งยังช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น Digital Innovation Hub ของภูมิภาคอาเซียนด้วย” นายนฤตม์กล่าว

ทั้งนี้ ปัจจุบันมีโครงการลงทุนในกิจการ Data Center และ Cloud Service ได้ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวม 47 โครงการ มูลค่าลงทุนกว่า 173,000 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนจากบริษัทรายใหญ่ทั้งสัญชาติอเมริกัน ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ญี่ปุ่น อินเดีย และไทย นอกจากนี้ บอร์ดบีโอไอยังได้อนุมัติให้การส่งเสริมลงทุนโครงการผลิตวัตถุดิบตั้งต้นสำคัญของแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) อย่าง Prepreg และ Copper Clad Laminate (CCL) มูลค่าลงทุน 6,150 ล้านบาท ของบริษัท เฉิงยี่ เทคโนโลยี โดยเป็นผู้ผลิตอันดับ 2 ของโลก ซึ่งตัดสินใจเข้ามาลงทุนในไทย เพราะมองเห็นแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรม PCB ในประเทศไทย โดยมีกลุ่มลูกค้าหลักเป็นผู้ผลิต PCB รายใหญ่ เช่น KCE, APEX, MFLEX เป็นต้น การลงทุนของเฉิงยี่ เป็นข้อต่อสำคัญในการสร้างซัพพลายเชนของอุตสาหกรรม PCB ที่กำลังจะเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวใหม่ของประเทศไทย โดยโครงการนี้จะตั้งที่จังหวัดฉะเชิงเทรา และจะมีการจ้างงานบุคลากรไทยกว่า 200 คน 

ขณะเดียวกันที่ประชุมบอร์ดบีโอไอ ยังได้เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและสนับสนุนให้ฟื้นฟูธุรกิจได้โดยเร็ว โดยจะยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรที่นำเข้ามาทดแทนเครื่องจักรที่เสียหาย รวมถึงอนุญาตให้ตัดบัญชีเครื่องจักรและวัตถุดิบที่ได้รับความเสียหายหรือสูญหายจากน้ำท่วม โดยไม่มีภาระภาษีอากร โดยต้องยื่นเอกสารเข้ามาที่บีโอไอภายใน 6 เดือน นับจากวันที่ออกประกาศ หรือหากเป็นกรณีประสบอุทกภัยหลังวันที่ออกประกาศ ให้ยื่นเอกสารภายใน 6 เดือน นับจากวันที่สิ้นสุดสถานการณ์อุทกภัย

นอกจากนี้ บอร์ดบีโอไอยังได้ขยายระยะเวลาและปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุน 4 มาตรการสำคัญที่จะสิ้นสุดในปี 2567 ได้แก่ มาตรการรักษาและขยายฐานการผลิตเดิม (Retention and Expansion Program) มาตรการส่งเสริมการย้ายฐานธุรกิจแบบครบวงจร (Relocation Program) มาตรการกระตุ้นการลงทุนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยให้ขยายเวลาทั้ง 4 มาตรการถึงสิ้นปี 2568 และได้ปรับปรุงเงื่อนไขของมาตรการกระตุ้นการลงทุนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยเพิ่มมูลค่าเงินลงทุนจริงขั้นต่ำจาก 1,000 เป็น 2,000 ล้านบาท เพื่อเร่งให้เกิดการลงทุนขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่องในประเทศไทย

#บีโอไอ #DataCenter #ข่าววันนี้ #สยามรัฐออนไลน์ #ภาษี #สยามรัฐ #ลงทุน

 

"บีโอไอ" ไฟเขียว Equinix ลงทุน 1.6 หมื่นล้านบาท ย้ำไทยหมุดหมาย Data Center ระดับโลก            

บริษัท Data Center ชั้นนำระดับโลก แห่ปักหมุดลงทุนไทย รองรับการขยายตัวของธุรกิจดิจิทัลและ AI ในไทยและภูมิภาค ตอกย้ำยุทธศาสตร์พัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของรัฐบาล บีโอไอเผยล่าสุด Equinix ยักษ์ใหญ่ Data Center จากสหรัฐ ประกาศแผนลงทุนในไทย 16,500 ล้านบาทใน 10 ปี เสริมศักยภาพไทยศูนย์กลางดิจิทัลของ CLMVT โดยยอดส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจ Data Center และ Cloud Service พุ่งสูงกว่า 1.7 แสนล้านบาท

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา เราเห็นกระแสการลงทุนในไทยของบริษัทยักษ์ใหญ่ในกิจการ Data Center ระดับโลกอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนในกิจการ Data Center และ Cloud Service รวม 47 โครงการ มูลค่าลงทุนกว่า 173,000 ล้านบาท ล่าสุดบริษัท Equinix ผู้ให้บริการ Data Center แบบ Colocation อันดับ 1 ของโลก จากประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันมี Data Center ให้บริการมากกว่า 260 แห่ง ใน 72 เมืองทั่วโลกได้ประกาศแผนการลงทุน Data Center ในประเทศไทย มูลค่ารวมกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 16,500 ล้านบาท) ในระยะ 10 ปีข้างหน้า ซึ่งบีโอไอได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนโครงการในเฟสแรกมูลค่ากว่า 7,180 ล้านบาทแล้ว โดยจะเปิดให้บริการในปี 2570

โดยเหตุผลที่ Equinix ได้ตัดสินใจเลือกประเทศไทยเป็นที่ตั้ง Data Center แห่งใหม่ เพื่อรองรับลูกค้าในประเทศไทยและกลุ่มประเทศในเขตภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (CLMVT) มี 3 เหตุผลสำคัญคือ (1) ความพร้อมของไทยในการเป็นศูนย์กลางธุรกิจดิจิทัลของภูมิภาค โดยเฉพาะการเป็น Connecting Hub สำหรับกลุ่ม CLMVT ที่มีประชากรรวมกันกว่า 250 ล้านคน (2) ศักยภาพของตลาดในประเทศที่ขยายตัวสูง จากการเติบโตของเทคโนโลยี AI และความต้องการของภาคธุรกิจในการยกระดับองค์กรไปสู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation) รวมทั้งนโยบายเชิงรุกด้าน Cloud First Policy ที่จะช่วยกระตุ้นดีมานด์จากการสนับสนุนให้ภาครัฐและองค์กรต่างๆใช้เทคโนโลยี Cloud ซึ่งจะส่งผลให้ตลาด Data Center ในไทยขยายตัวมากขึ้น (3) นโยบายส่งเสริมการลงทุนที่ชัดเจนของรัฐบาลและบีโอไอ ประกอบกับโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่มีคุณภาพสูง ทั้งโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เครือข่าย 5G ระบบไฟฟ้าที่มีความเสถียร และสัดส่วนการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอยู่ในระดับสูงกว่าร้อยละ 85 ของประชากรทั้งหมด

“การประกาศลงทุนครั้งใหญ่ในไทยของ Equinix จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลของประเทศไทย ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าถึงโครงข่ายเทคโนโลยีดิจิทัลคุณภาพสูง เพิ่มโอกาสในการสร้างสรรค์สินค้าและบริการใหม่ๆ และช่วยสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นภาคการผลิต การเงิน การค้า การท่องเที่ยว และ Digital Services ต่างๆ นอกจากนี้ Equinix ยังมีแผนถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับบุคลากรไทย โดยผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยเตรียมคนไทยให้พร้อมรับเทคโนโลยีใหม่ๆในอนาคตด้วย” นายนฤตม์ กล่าว

#บีโอไอ #Equinix #DataCenter #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์


 

 

"แพทองธาร” นั่งประธานบอร์ดเซมิคอนดักเตอร์ วางยุทธศาสตร์เชิงรุก ดันไทยขึ้นชั้นผู้นำในภูมิภาค

นายกฯลงนามแต่งตั้งบอร์ดเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ พร้อมนั่งประธานบอร์ดฯเอง เร่งกำหนดยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง พร้อมบูรณาการหน่วยงานรัฐ-เอกชน เร่งพัฒนาบุคลากร สร้างสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการลงทุน เพื่อยกระดับไทยขึ้นแท่นฮับเซมิคอนดักเตอร์ของภูมิภาค

เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2567 นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงแห่งชาติ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2567 โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี เป็นรองประธาน พร้อมแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐและเอกชนมาร่วมเป็นกรรมการ ได้แก่ รมว.ต่างประเทศ รมว.อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รมว.พลังงาน รมว.อุตสาหกรรม เลขาธิการสภาพัฒน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ม.ล.ชโยทิต กฤดากร นายวุฒินันท์ เจียมศักดิ์ศิริ นายศุภกร คงสมจิตต์ โดยมีเลขาธิการบีโอไอ เป็นกรรมการและเลขานุการ

โดยบอร์ดเซมิคอนดักเตอร์ฯ จะทำหน้าที่กำหนดทิศทางนโยบาย และเป้าหมายในการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง (Semiconductor and Advanced Electronics) พร้อมทั้งจัดทำแผนแม่บท (Roadmap) ของการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เป็นรูปธรรมและครอบคลุมในทุกมิติ ทั้งด้านการส่งเสริมการลงทุน การกำหนดสิทธิประโยชน์ที่เหมาะสม การพัฒนาบุคลากรทักษะสูงทั้งในระดับอุดมศึกษาและอาชีวศึกษา การพัฒนา Supply Chain และการพัฒนาระบบนิเวศที่จำเป็นต่อการสร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรม นอกจากนี้ บอร์ดเซมิคอนดักเตอร์ฯ จะมีหน้าที่ในการพิจารณาแผนงานและโครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ รวมทั้งการบูรณาการและติดตามประเมินผลการดำเนินงานให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ถือเป็นอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ในระดับโลก ซึ่งมีการแข่งขันดึงดูดการลงทุนระหว่างประเทศที่รุนแรง เนื่องจากเป็นหัวใจสำคัญของหน่วยประมวลผลและผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีขั้นสูงเกือบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน ยานยนต์ไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ เครื่องมือแพทย์ ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ รวมถึงเทคโนโลยี AI ต่างๆ โดยอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง มีแนวโน้มการเติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญ และจะทวีความสำคัญมากขึ้นในอนาคต จากการแข่งขันทางเทคโนโลยีระหว่างประเทศ

สำหรับการแต่งตั้งบอร์ดเซมิคอนดักเตอร์ฯ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ที่จะทำให้ประเทศไทยมียุทธศาสตร์และแผนพัฒนาอุตสาหกรรมที่ชัดเจน ช่วยเติมเต็มห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทย นอกจากนี้การที่นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญ โดยเป็นประธานบอร์ดฯ ด้วยตนเอง สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงของภูมิภาค อีกทั้งจะช่วยให้การประสานนโยบายและมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐเป็นไปอย่างมีเอกภาพ มีเป้าหมายร่วมกัน และเกิดความรวดเร็วในการทำงาน ซึ่งเป็นหัวใจของการแข่งขันในเวทีโลก

#เซมิคอนดักเตอร์ #บีโอไอ #ข่าววันนี้ #สยามรัฐออนไลน์ #แพทองธาร #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

"บีโอไอ" เปิดตัวเลขลงทุน 9 เดือน พุ่งทะลุ 7.2 แสนล้าน สูงสุดรอบ 10 ปี ผุดฐานอุตสาหกรรมใหม่ 

"บีโอไอ" เผยยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุน 9 เดือน ปี 2567 เติบโตต่อเนื่อง ทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน โดยมีจำนวน 2,195 โครงการ เงินลงทุนกว่า 7.2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% นำโดยกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ ทั้งเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ดิจิทัล ยานยนต์ไฟฟ้า และพลังงานหมุนเวียน ยอดส่งเสริมลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) สิงคโปร์อันดับหนึ่ง ตามด้วยจีนและฮ่องกง ผลของการดึงลงทุนเชิงรุก ท่ามกลางกระแสย้ายฐานผลิตโลก หนุนตัวเลขลงทุนปี 2567 พุ่งสูงสุดรอบ 10 ปี

เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2567 นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม - กันยายน 2567) ตัวเลขคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน โดยมีจำนวน 2,195 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 46 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าเงินลงทุนรวม 722,528 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 42 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นยอดลงทุนที่สูงสุดในรอบ 10 ปี สะท้อนถึงศักยภาพและพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดีของประเทศไทย รวมทั้งความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อนโยบายรัฐบาลและมาตรการสนับสนุนของรัฐ ตลอดจนการดึงดูดการลงทุนเชิงรุกของรัฐบาลและบีโอไอ ได้ทำให้เกิดการลงทุนโครงการใหญ่ในอุตสาหกรรมใหม่ๆจำนวนมากเช่น เซมิคอนดักเตอร์และแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ ยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน และพลังงานหมุนเวียน นอกจากนี้ รัฐบาลยังเร่งพัฒนาระบบนิเวศและปัจจัยที่จะส่งผลต่อการลงทุนในห้วงเวลาสำคัญที่มีกระแสเคลื่อนย้ายฐานการผลิตโลก เช่น การพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะรองรับเทคโนโลยีใหม่ กลไกจัดหาพลังงานสะอาดในราคาที่เหมาะสม พื้นที่รองรับอุตสาหกรรมใหม่ ๆ การปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อการลงทุน เป็นต้น

โดยกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า มูลค่า 183,444 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ ดิจิทัล มูลค่า 94,197 ล้านบาท ยานยนต์และชิ้นส่วน มูลค่า 67,849 ล้านบาท เกษตรและแปรรูปอาหาร มูลค่า 52,990 ล้านบาท ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ มูลค่า 34,341 ล้านบาท โดยกิจการที่มีการลงทุนสูงและอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น

- กิจการ Data Center จำนวน 8 โครงการ เงินลงทุนรวม 92,764 ล้านบาท โดยมีการลงทุนจากบริษัทรายใหญ่สัญชาติอเมริกัน ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง และอินเดีย  

- กิจการผลิตอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ได้แก่ การผลิต Wafer, การออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์,การประกอบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์และวงจรรวม จำนวน 15 โครงการ เงินลงทุนรวม 19,856 ล้านบาท

- กิจการผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) และวัตถุดิบสำหรับ PCB จำนวน 55 โครงการ เงินลงทุนรวม 61,302 ล้านบาท

- กิจการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ จำนวน 13 โครงการ เงินลงทุนรวม 38,973 ล้านบาท

- กิจการผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์ ระบบอัตโนมัติ และเครื่องจักรที่มีความแม่นยำสูง จำนวน 117 โครงการ เงินลงทุนรวม 30,515 ล้านบาท

- กิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน จำนวน 351 โครงการ เงินลงทุนรวม 85,369 ล้านบาท

สำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมจำนวน 1,449 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 66 เงินลงทุนรวม 546,617 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 38 โดยประเทศ/เขตเศรษฐกิจที่มีมูลค่าขอรับการส่งเสริมสูงสุด 5 อันดับแรกได้แก่ สิงคโปร์ 180,838 ล้านบาท จีน 114,067 ล้านบาท ฮ่องกง 68,203 ล้านบาท ไต้หวัน 44,586 ล้านบาท และญี่ปุ่น 35,469 ล้านบาท ทั้งนี้มูลค่าการลงทุนของสิงคโปร์ที่สูงขึ้น ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนที่บริษัทแม่สัญชาติจีนและสหรัฐอเมริกาในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และ Data Center นำบริษัทลูกที่จดจัดตั้งในสิงคโปร์เข้ามาลงทุนในประเทศไทย

ทั้งนี้ในแง่พื้นที่ เงินลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออก 408,737 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ ภาคกลาง 220,708 ล้านบาท ภาคเหนือ 35,452 ล้านบาท ภาคใต้ 25,039 ล้านบาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 23,777 ล้านบาท และภาคตะวันตก 8,812 ล้านบาท ตามลำดับ

นอกจากนี้ การขอรับส่งเสริมตามมาตรการยกระดับอุตสาหกรรม (Smart and Sustainable Industry) ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญที่ช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการรายเดิมให้สามารถปรับตัวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ มีคำขอรับการส่งเสริมจำนวน 287 โครงการ เงินลงทุนรวม 27,318 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนด้านการประหยัดพลังงานและการใช้พลังงานทดแทน รองลงมาคือ ด้านการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและการนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในสายการผลิต

สำหรับการออกบัตรส่งเสริม ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ มีจำนวน 2,072 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 59 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เงินลงทุน 672,165 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 101 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งการออกบัตรส่งเสริมเป็นขั้นตอนที่ใกล้เคียงการลงทุนจริงมากที่สุด โดยปกติบริษัทต่าง ๆ จะเริ่มทยอยลงทุนภายใน 1 - 3 ปี หลังจากออกบัตรส่งเสริม

“ทิศทางการลงทุนในช่วงปลายปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้า ยังคงมีแนวโน้มเติบโต แต่สิ่งที่บีโอไอให้ความสำคัญมากกว่าตัวเลขเม็ดเงินลงทุน คือคุณภาพของโครงการ และประโยชน์ที่คนไทยจะได้รับ ซึ่งตอนนี้เป็นจังหวะเวลาสำคัญของประเทศไทยที่จะสามารถสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ๆเพื่อนำไปสู่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ช่วยต่อยอดฐานอุตสาหกรรมเดิมให้มั่นคง สร้างมูลค่าจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ สร้างงาน สร้างโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการไทย โดยโครงการที่ได้รับอนุมัติจากบีโอไอในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 จะมีการจ้างงานบุคลากรไทยเพิ่มกว่า 1.7 แสนคน จะใช้วัตถุดิบและชิ้นส่วนในประเทศประมาณ 8 แสนล้านบาทต่อปี และจะเพิ่มมูลค่าส่งออกของประเทศอีกกว่า 2 ล้านล้านบาทต่อปี” นายนฤตม์ กล่าว

#บีโอไอ #ข่าววันนี้ #อุตสาหกรรมใหม่ #สยามรัฐออนไลน์ #สยามรัฐ #อีอีซี

 

 

 

 

"บีโอไอ" อนุมัติ "คอนติเนนทอล" ลงทุนเพิ่ม 13,000 ล้านบาท ย้ำไทยฐานผลิตยางรถยนต์ระดับโลก

"บีโอไอ" อนุมัติส่งเสริมลงทุน “คอนติเนนทอล” ผู้ผลิตยางรถยนต์รายใหญ่อันดับ 4 ของโลก จากประเทศเยอรมนี ขยายการลงทุนครั้งใหญ่ที่โรงงานในระยอง มูลค่ากว่า 13,000 ล้านบาท ผลิตยางเรเดียลสมรรถนะสูงเพิ่มอีกปีละ 3 ล้านเส้น รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ในไทยและเอเชียแปซิฟิก ตอกย้ำศักยภาพไทยเป็นฐานการผลิตยางรถยนต์อันดับ 2 ของโลก เพิ่มมูลค่ายางพาราในประเทศ ยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทย

เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2567 นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการพิจารณาโครงการ ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากบอร์ดบีโอไอ ได้อนุมัติคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนโครงการผลิตยางล้อสำหรับรถยนต์และยานพาหนะอื่น ๆ (Radial Tires) ของบริษัท คอนติเนนทอล ไทร์ส (ประเทศไทย) จำกัด มูลค่าลงทุนเพิ่มเติม 13,411 ล้านบาท โดยจะก่อสร้างอาคารโรงงานใหม่และส่วนต่อขยายของโรงงานเดิม ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 จังหวัดระยอง เพื่อขยายกำลังการผลิตยางล้อสำหรับยานพาหนะจากเดิม 4.8 ล้านเส้น เพิ่มอีกปีละ 3 ล้านเส้น รวมเป็นทั้งหมด 7.8 ล้านเส้นต่อปี และจะจ้างงานในพื้นที่เพิ่มเติมกว่า 600 คน เมื่อรวมกับการจ้างงานเดิม 900 คน จะเป็นทั้งหมดกว่า 1,500 คน โดยจะใช้วัตถุดิบหลักจากในประเทศทั้งสิ้น ได้แก่ ยางธรรมชาติและยางสังเคราะห์ ปีละกว่า 1,700 ตัน

โดย คอนติเนนทอลกรุ๊ป ประเทศเยอรมนี เป็นผู้ผลิตยางรถยนต์รายใหญ่อันดับ 4 ของโลกก่อตั้งมานานกว่า 150 ปี ในปี 2566 กลุ่มธุรกิจยางรถยนต์ของบริษัท สามารถสร้างรายได้กว่า 14,000 ล้านยูโร หรือกว่า 5 แสนล้านบาท มีโรงงานผลิตยางรถยนต์ 20 แห่งใน 16 ประเทศทั่วโลก โดยได้เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยเป็นเวลา 15 ปี และได้จัดตั้งโรงงานที่จังหวัดระยองเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา เป็นหนึ่งในโรงงานขนาดใหญ่ในเครือคอนติเนนทัล และเป็นโรงงานที่สามารถบรรลุมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานในระดับสูงที่สุด โดยใช้เครื่องจักรสมัยใหม่ที่ประหยัดพลังงาน มีการใช้ระบบอัตโนมัติในการขนย้ายวัตถุดิบและสินค้า อีกทั้งได้ติดตั้งแผงโซลาร์ขนาด 6.7 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนถึงร้อยละ 13 ของการใช้ไฟฟ้าทั้งหมดในโรงงาน 

ทั้งนี้บริษัท คอนติเนนทอล ไทร์ส ตัดสินใจขยายการลงทุนครั้งนี้ เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์และรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยโรงงานในจังหวัดระยองจะเป็นฐานการผลิตสำคัญ เพื่อจำหน่ายยางล้อให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์และผู้ใช้งานทั่วไปทั้งในกลุ่มรถยนต์นั่ง รถบรรทุกขนาดเล็ก รถจักรยานยนต์ รวมถึงกลุ่มยางรถยนต์เกรดพรีเมียม เช่น รุ่น MaxContact MC7 และยางสมรรถนะสูงสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าจะมีความต้องการยางล้อสมรรถนะสูงและมีความทนทานเป็นพิเศษ เพื่อรองรับระบบส่งกำลังและอัตราเร่งที่แตกต่างจากรถยนต์สันดาปภายใน โดยราคายางรถยนต์ไฟฟ้าจะสูงกว่ายางรถยนต์ทั่วไปถึง 2-3 เท่า

“การขยายลงทุนครั้งใหญ่ของคอนติเนนทอล ตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นต่อศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นฐานการผลิตยางรถยนต์ที่มีคุณภาพและมาตรฐานสูงระดับโลก ทั้งในเรื่องความปลอดภัย และการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ซึ่งตามกติกาใหม่ของโลก เช่น EUDR จะต้องตรวจสอบย้อนกลับไปถึงการทำสวนยางที่ไม่ทำลายป่า เพื่อก้าวสู่วิถีเกษตรยั่งยืน โดยไทยมีความพร้อมในเรื่องนี้ การขยายฐานผลิตยางรถยนต์ในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบยางธรรมชาติ และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยแล้ว ยังจะช่วยเสริมซัพพลายเชนอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยให้มั่นคงและแข็งแกร่งมากขึ้นด้วย” นายนฤตม์กล่าว

สำหรับอุตสาหกรรมยางรถยนต์ เป็นองค์ประกอบสำคัญในซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมยานยนต์ ปัจจุบันประเทศไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออกยางรถยนต์อันดับ 2 ของโลก รองจากจีน ทั้งนี้ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2563 – 2567) มีผู้ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนผลิตยางรถยนต์ จำนวน 41 โครงการ เงินลงทุนรวมกว่า 112,000 ล้านบาท โดยมีผู้ผลิตระดับโลกที่เข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทยแล้ว เช่น มิชลิน (ฝรั่งเศส), บริดจสโตน (ญี่ปุ่น), กู๊ดเยียร์ (สหรัฐอเมริกา), คอนติเนนทัล (เยอรมนี), ซูมิโตโม รับเบอร์ (ญี่ปุ่น), โยโกฮามา ไทร์ (ญี่ปุ่น), จงเช่อ รับเบอร์ (จีน), ปริงซ์ เฉิงซาน ไทร์ (จีน), หลิงหลง (จีน), เซนจูรี่ ไทร์ (จีน), แม็กซิส (ไต้หวัน) เป็นต้น

#บีโอไอ #คอนติเนนทอล #ยางรถยนต์ #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #อุตสาหกรรมยานยนต์

 

 

 

"บีโอไอ" ชูความสำเร็จงาน SUBCON Thailand ภาคตะวันออก ตอกย้ำไทยศูนย์กลางชิ้นส่วนอาเซียน ยอดจับคู่ธุรกิจ 2,800 ล้านบาท

บีโอไอเผยผลสำเร็จงาน SUBCON Thailand : The East 2024 ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 4-6 ก.ย.67 ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาตินงนุช จังหวัดชลบุรี ยอดจับคู่ธุรกิจ 669 คู่ สร้างมูลค่าซื้อขายชิ้นส่วนกว่า 2,800 ล้านบาท พร้อมจับคู่ธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ผ่านกิจกรรม FOTON CP SOURCING DAY ดึงผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยเข้าสู่ซัพพลายเชนยานยนต์สมัยใหม่ ยกระดับอุตสาหกรรมภาคตะวันออก หนุนไทยศูนย์กลางการผลิตและจัดซื้อชิ้นส่วนสำคัญของภูมิภาคอาเซียน

เมื่อวันที่ 10 ก.ย.67 นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยถึงผลการจัดงาน SUBCON Thailand : The East 2024  โดยเกิดจากความร่วมมือระหว่างสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กับสมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย (ไทยซับคอน) และ บริษัท อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายภาคอุตสาหกรรม  ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาตินงนุช พัทยา จังหวัดชลบุรี ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยเกิดการจับคู่ธุรกิจจำนวน 669 คู่ และสร้างมูลค่าเชื่อมโยงธุรกิจกว่า 2,800 ล้านบาท ซึ่งปีนี้มีการขยายพื้นที่เป้าหมายให้ครอบคลุม 8 จังหวัดในภาคตะวันออก ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพที่พร้อมรองรับการลงทุนขนาดใหญ่

ทั้งนี้ SUBCON Thailand : The East 2024 ถือเป็นงานที่รวบรวมผู้ผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรมที่ครบวงจร ซึ่งตลอดระยะเวลา 3 วันของการจัดงานที่ผ่านมา เต็มไปด้วยกิจกรรมสำคัญทั้งเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการรายใหญ่ในพื้นที่ภาคตะวันออก กิจกรรมเจรจาธุรกิจและงานสัมมนาที่ครอบคุลมทุกมิติของภาคการผลิต รวมทั้งกิจกรรม  “FOTON CP SOURCING DAY” ที่บีโอไอร่วมกับ บริษัท โฟตอน ซีพี มอเตอร์ จำกัด โดยเกิดการจับคู่ธุรกิจมากถึง 46 คู่ มูลค่าซื้อขายชิ้นส่วนกว่า 500 ล้านบาท ช่วยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยก้าวสู่ Supply Chain ระดับโลกในอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่

“บีโอไอเดินหน้าสนับสนุนให้เกิดการใช้ชิ้นส่วนอุตสาหกรรมโดยผู้ผลิตชิ้นส่วนคุณภาพในประเทศ เพื่อผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ Supply Chain ระดับโลก งาน SUBCON Thailand : The East 2024 ช่วยเพิ่มโอกาสให้เกิดการเชื่อมโยงผู้ประกอบการไทยในพื้นที่ภาคตะวันออก และเกิดการจัดซื้อวัตถุดิบและชิ้นส่วน พร้อมสร้างความร่วมมือกับบริษัทชั้นนำของไทยและต่างประเทศ ทั้งในด้านการร่วมทุน การจัดซื้อชิ้นส่วน การว่าจ้างผลิต และการแลกเปลี่ยนความรู้ให้เท่าทันเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อยกระดับการผลิตให้ได้มาตรฐาน โดยมีผู้เข้าร่วมงานรวม 5,229 คน มากกว่าปีก่อนหน้าร้อยละ 10 ถือว่าได้รับการตอบรับอย่างดี แสดงให้เห็นถึงความสนใจและความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการไทยและต่างชาติในการเลือกใช้วัตถุดิบและชิ้นส่วนภายในประเทศ” นายนฤตม์ กล่าว

โดยจากความสำเร็จในครั้งนี้ บีโอไอจึงมีแผนจัดงานนี้ เป็นประจำทุกปีควบคู่กับงาน SUBCON Thailand ซึ่งจัดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคมของทุกปี ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพฯ โดยงานครั้งต่อไปจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 – 17 พฤษภาคม 2568 และงาน SUBCON Thailand : The East 2025 จะจัดขึ้นอีกครั้งในวันที่ 3 – 5 กันยายน 2568 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาตินงนุช พัทยา จังหวัดชลบุรี โดยผู้สนใจสามารถติดตามความเคลื่อนไหวและข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้จากกองพัฒนาผู้ประกอบการไทย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ผ่าน https://build.boi.go.th

#บีโอไอ #SUBCONThailand #ศูนย์กลางชิ้นส่วนอาเซียน #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

 

 

บีโอไอผนึกสมาคมไทยซับคอน - อินฟอร์มา จัดงาน "Mira and Subcon Thailand: The East 2024" บูมลงทุนภาคตะวันออก ดันไทยฮับชิ้นส่วนอาเซียน

บีโอไอ จับมือสมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย (ไทยซับคอน) บริษัท อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ พร้อมด้วยเครือข่ายอุตสาหกรรมภาคตะวันออก เปิดงาน "SUBCON Thailand : The East 2024" ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ขนทัพเทคโนโลยีชิ้นส่วนและโซลูชันการผลิตขั้นสูง เชื่อมโอกาสและยกระดับผู้ประกอบการภาคตะวันออก โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องจักร คาดสร้างมูลค่าเชื่อมโยงธุรกิจกว่า 3,000 ล้านบาท พร้อมดันไทย "ศูนย์กลางการผลิตและจัดซื้อชิ้นส่วนในภูมิภาคอาเซียน"

ปัจจุบันภาคตะวันออกถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ทั้งในแง่ของการส่งออก ท่องเที่ยว ตลอดจนภาคการผลิตที่มีการเปิดโรงงานแห่งใหม่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงภาคการลงทุน โดยข้อมูลภาพรวมการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งเม็ดเงินลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว และมาจากอุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้งกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์และชิ้นส่วนด้วยโอกาสและความสำคัญดังกล่าว ทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมรับช่วงการผลิตของประเทศไทย ทั้งจากสมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย (ไทยซับคอน) และอินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ร่วมกันเปิดงาน " Mira and Subcon Thailand: The East 2024" ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยมีเป้าหมายที่สำคัญในการมุ่งสนับสนุนและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคตะวันออก สร้างเครือข่ายและพันธมิตรทางธุรกิจในอุตสาหกรรมสำคัญ ควบคู่ไปกับการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยของภาคการผลิต และนำพาไทยเป็น "ศูนย์กลางการผลิตและจัดซื้อชิ้นส่วนในภูมิภาคอาเซียน"

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า ภาคตะวันออกถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ โดยเฉพาะด้านการลงทุน การค้า และการท่องเที่ยว จากความโดดเด่นของโครงสร้างพื้นฐานที่มีศักยภาพพร้อมรองรับการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือน้ำลึก สนามบินนานาชาติระบบโลจิสติกส์ ระบบโทรคมนาคม ไฟฟ้า ประปา และนิคมอุตสาหกรรม รวมทั้งนโยบายภาครัฐในการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ดังกล่าว โดยภาพรวมการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในภาคตะวันออก ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 มีจำนวน 625 โครงการ เงินลงทุนรวม 211,569 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 46 ของเงินลงทุนทั้งหมดของประเทศ นับว่าภาคตะวันออก เป็นพื้นที่รองรับการลงทุนที่มีมูลค่าสูงที่สุดของประเทศไทย โดยเฉพาะใน 3 คลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป้าหมาย คือ ยานยนต์และยานยนต์ไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์

ทั้งนี้เพื่อเป็นการยกระดับการลงทุนและซัพพลายเชนในพื้นที่ภาคตะวันออก บีโอไอ จึงได้ผนึกกำลังสมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย (ไทยซับคอน) และอินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ พร้อมด้วยภาคีเครือข่าภาคอุตสาหกรรม ร่วมเปิดงาน "SUBCON Thailand : The East 2024" ระหว่างวันที่ 4 - 6 กันยายน 2567 เวลา 09.00 – 17.00 น. ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาตินงนุชพัทยา จ.ชลบุรี  ซึ่งเป็นการจัดงานต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และขยายพื้นที่เป้าหมายให้ครอบคลุม 8 จังหวัดในภาคตะวันออก ซึ่งเป็นภูมิภาคที่เติบโตอย่างต่อเนื่องจากการเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ประกอบกับมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและโลจิสติกส์ สร้างการเชื่อมโยงของอุตสาหกรรมระหว่างจังหวัด บีโอไอจึงได้ร่วมจัดงานครั้งนี้ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเชื่อมโยงอุตสาหกรรมระหว่างผู้ประกอบการรายใหญ่และผู้ผลิตชิ้นส่วนในพื้นที่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการภาคตะวันออกให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น รองรับการลงทุนใหม่ ๆ ที่จะเข้ามา ผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตและจัดซื้อชิ้นส่วนในภูมิภาคอาเซียนอีกทั้งยังสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจแลกเปลี่ยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยของภาคการผลิต เพื่อตอบโจทย์การเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยุคใหม่ที่ต้องมีทั้งความ Smart และ Green

ไฮไลท์ของการจัดงานในครั้งนี้ ได้มีผู้ผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพเข้าร่วม เพื่อเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการรายใหญ่ในพื้นที่ภาคตะวันออก โดยจะมีการจับคู่เจรจาธุรกิจกับผู้ซื้อรายสำคัญกว่า 100 ราย ในส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์ เช่น บริษัท Isuzu, Kawasaki Motors อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เช่น บริษัท Midea, Chicony Power อุตสาหกรรม PCB เช่น บริษัท Sanmina-SCI Systems, Techman Electronic เป็นต้น ซึ่งคาดว่าจะเกิดการจับคู่เจรจาธุรกิจกว่า 600 คู่ และสร้างมูลค่าการเชื่อมโยงธุรกิจกว่า 3,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรม Buyers’ Village แสดงชิ้นส่วนที่ผู้ซื้อมีความต้องการจัดซื้อและจัดหาผู้รับช่วงการผลิต รวมถึงกิจกรรม Sourcing Day ที่บีโอไอจัดร่วมกับ บริษัท โฟตอน ซีพี มอเตอร์ จำกัด เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ซัพพลายเชนของผู้ผลิตรายสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ อีกทั้งยังมีบูธให้คำปรึกษา (Industrial Clinic) และงานสัมมนาเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ในอุตสาหกรรมใหม่และการนำเทคโนโลยีเข้ามายกระดับมาตรฐานการผลิต

นายชนินทร์ ขาวจันทร์ นายกสมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย กล่าวว่า ปัจจุบันพื้นที่ภาคตะวันออกมีนิคมอุตสาหกรรมกว่า 40 แห่ง ซึ่งทางสมาคมฯ เล็งเห็นโอกาสในการส่งเสริมและสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมการผลิต สอดรับกับบทบาทของสมาคมฯ ที่มุ่งสนับสนุนสมาชิกซึ่งเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรมรับช่วงการผลิตให้มีพื้นที่และมีส่วนในการสนับสนุนนักลงทุนในภาคตะวันออกในการผลิตผลิตภัณฑ์ให้แข่งขันได้ในตลาดโลกโอกาสทางการค้า มองหาตลาดใหม่ เพื่อรองรับการเติบโตและการพัฒนาในเขตเศรษฐกิจในภูมิภาคในภูมิภาคนี้ จึงได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการจัดงาน MIRA และ SUBCON Thailand: The East 2024 โดยได้นำภาคีเครือข่ายภาคอุตสาหกรรมร่วมจัดแสดงเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงเพื่อส่งเสริมโอกาสทางธุรกิจ และเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมรับช่วงการผลิตของไทยได้แสดงศักยภาพและคุณภาพของสินค้า ทางสมาคมฯ เชื่อมั่นว่าเวทีนี้จะเป็นก้าวที่สำคัญในการวางรากฐานการยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทยในพื้นที่ภาคตะวันออกให้พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในยุคเศรษฐกิจใหม่

นายมนู เลียวไพโรจน์ ประธานอินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย กล่าวว่า อินฟอร์มาฯ ถือเป็นแกนกลางที่สำคัญในการร่วมสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืนให้กับทุกภาคอุตสาหกรรม โดยการจัดงาน "Mira and Subcon Thailand: The East 2024" ครั้งนี้จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยมีหมุดหมายที่สำคัญในการสร้างโอกาสสำคัญให้กับภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคตะวันออกได้พบปะกับกับผู้ซื้อ ผู้ผลิตและนักลงทุน พร้อมกันนี้ยังมีการจัดแสดงเทคโนโลยี นวัตกรรมและโซลูชั่นการผลิตชั้นสูง ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่สำคัญในการนำพาไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตและจัดซื้อชิ้นส่วนในภูมิภาคอาเซียนในทศวรรษนี้

สำหรับงาน “MIRA and SUBCON Thailand : The East 2024” ได้จัดแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยในด้านผลิตภัณฑ์และโซลูชันด้านการบำรุงรักษา รวมถึงโซลูชันปัญญาประดิษฐ์ เครื่องมือกลและอุปกรณ์ และ ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ประกอบชั้นนำจากภาคอุตสาหกรรม หลากหลายแบรนด์มาจัดแสดง เช่น MITUTOYO, OMRON, THAI ROKUHA และ LERTVILAI รวมถึง MITSUBISHI ELECTRIC FACTORY AUTOMATION ที่ครั้งนี้นำเอาเทคโนโลยี Machine Tools : EDM Wire – Cut ที่โดดเด่นในด้านลดของเสียจากสายการผลิตมาจัดแสดง ทั้งนี้ภายในงานยังนำทีมหุ่นยนต์กู้ภัย IRAP ROBOT จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับภาคอุตสาหกรรม และ นวัตกรรมหุ่นยนต์ Service Robot ที่ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่องกว่า 20 ปี โดยทีมจาก สถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (FIBO) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) มาจัดแสดงพร้อมเปิดเวทีแข่งขันเชื่อมโลหะ โดยสถาบันพัฒนาบุคลากรการเชื่อม (WelDa) พร้อมกันนี้ยังได้รวบรวมเครือข่ายกับนักอุตสาหกรรมและพันธมิตรทางธุรกิจจากนิคมอุตสาหกรรมกว่า 43 แห่ง ครอบคลุมจังหวัดภาคตะวันออก รวมถึงงานสัมมนาหัวข้อที่สำคัญจาก 4 เวทีหลักของงาน (MIRA Theatre / SUBCON THAILAND The East room / I- Factory Stage / Technology Presentation) ที่มีผลต่อทิศทางการผลิตในยุคเศรษฐกิจใหม่อย่าง MIRA Forum ที่รวบรวมความร่วมมือขององค์กรพันธมิตรที่สำคัญ รวมถึงสัมมนาในหัวข้อ “กลยุทธ์ในการจัดซื้อสำหรับนักจัดซื้อยุคใหม่” และไฮไลต์สำคัญ คือ การจับคู่ทางธุรกิจซึ่งได้รับการสนับสนุนของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เพื่อสร้างโอกาสสำคัญให้กับผู้ประกอบการไทย

ทั้งนี้พร้อมให้ทุกคนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเสริมแกร่งภาคอุตสาหกรรมพื้นที่ภาคตะวันออกร่วมกันในงาน “MIRA and SUBCON Thailand : The East 2024” โดยจัดขึ้นตั้งแต่วันนี้ - 6 กันยายน 2567 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาตินงนุชพัทยา ผู้ที่สนใจสามารถติดตามความเคลื่อนไหวและข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมภายในงานได้ทาง www.mira-event.com

"จี สตีล" และ "จี เจ สตีล" หารือ "บีโอไอ" ขยายลงทุนครั้งใหญ่ 4,500 ล้านบาท ยกระดับอุตสาหกรรมเหล็กไทย

จี สตีล และ จี เจ สตีล ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่หารือบีโอไอ เตรียมขอส่งเสริมลงทุนปรับปรุงสายการผลิตครั้งใหญ่ในรอบ 20 ปี มูลค่ากว่า 4,500 ล้านบาท มุ่งยกระดับศักยภาพการผลิตเหล็กในประเทศไทยก้าวสู่อุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ พร้อมผลักดันไทยสู่ศูนย์กลางการผลิตเหล็กเพื่อส่งออกตลาดอาเซียน-ยุโรป

เมื่อวันที่ 29 ส.ค.67 นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ผู้บริหารของ บมจ.  จี สตีล และ บมจ. จี เจ สตีล ผู้ผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนครบวงจรรายใหญ่ในประเทศไทย ที่ถือหุ้นหลักโดยบริษัท นิปปอน สตีล คอร์ปอเรชั่น จากประเทศญี่ปุ่น ได้เข้าหารือกับบีโอไอ เพื่อลงทุนปรับปรุงสายการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนครั้งใหญ่ในรอบ 20 ปี ด้วยมูลค่าลงทุนกว่า 4,500 ล้านบาท ภายในระยะ 3 ปีข้างหน้า ประกอบด้วยการลงทุนของ บมจ. จี สตีล ที่จังหวัดระยอง 3,000 ล้านบาท และ บมจ. จี เจ สตีล ที่จังหวัดชลบุรี 1,500 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงเครื่องจักรให้ทันสมัย พัฒนาคุณภาพและขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ให้หลากหลายยิ่งขึ้น ยกระดับสายการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้เทคโนโลยีการผลิตเหล็กที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ รวมถึงการพัฒนาระบบจัดการวัตถุดิบเหล็กรีไซเคิลเพื่อลดต้นทุน และเพิ่มความคล่องตัวในกระบวนการผลิต ซึ่งจะช่วยสนับสนุนเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและเศรษฐกิจหมุนเวียนของประเทศ

โดยกลุ่มนิปปอน สตีล คอร์ปอเรชั่น (NSC) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของจี สตีล และ จี เจ สตีล เป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่อันดับ 4 ของโลก ได้ก่อตั้งสายการผลิตแรกในประเทศไทยมากว่า 60 ปี เริ่มจากการผลิตท่อเหล็กก่อนขยายสู่ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ โดยมีบริษัทในเครือกว่า 30 แห่ง มีพนักงานในไทยรวมกันกว่า 8,000 คน และเมื่อปี 2565 ได้เข้าร่วมลงทุนใน บมจ. จี สตีล และ บมจ. จี เจ สตีล ซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของไทย ปัจจุบันกลุ่มบริษัท จี สตีล และ จี เจ สตีล เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเหล็กแผ่นรีดร้อนครบวงจรแห่งเดียวในประเทศไทย และเป็นกลุ่มบริษัทเดียวที่ผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนด้วยเตาอาร์คไฟฟ้า (Electric Arc Furnace) ซึ่งมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนต่ำ และยังเป็นผู้รีไซเคิลเศษเหล็กรายใหญ่ในประเทศไทย ที่ได้รับใบรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก สนับสนุนการก้าวสู่อุตสาหกรรมสีเขียวของไทย และสอดรับกับทิศทางความต้องการผลิตภัณฑ์เหล็กที่ปลดปล่อยคาร์บอนต่ำในตลาดโลก

ทั้งนี้ ประเทศไทยมีการใช้เหล็กต่อคน (Steel consumption per capita) มากที่สุดในอาเซียน คือประมาณ 234 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ปัจจุบันมีผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการผลิตเหล็กในประเทศไทยประมาณ 180 ราย แบ่งเป็นเหล็กทรงยาวประมาณ 100 ราย และเหล็กทรงแบนประมาณ 80 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นการผลิตเหล็กเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง (ร้อยละ 60) รองลงมา ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน (ร้อยละ 20) เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (ร้อยละ 7) เครื่องจักรและอุปกรณ์อุตสาหกรรม (ร้อยละ 5) และบรรจุภัณฑ์ (ร้อยละ 5) และอื่น ๆ (ร้อยละ 3) โดยที่ผ่านมาตลาดเหล็กในประเทศไทยได้รับผลกระทบจากการแข่งขันอย่างรุนแรงจากภาวะ Oversupply และการเร่งระบายเหล็กจากประเทศจีนออกสู่ตลาดโลก การที่กลุ่มจี สตีล และ จี เจ สตีล ตัดสินใจขยายการลงทุนในครั้งนี้ จะเป็นการยกระดับขีดความสามารถและประสิทธิภาพการผลิตของบริษัทเหล็กในประเทศไทย รวมถึงการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อลดการปลดปล่อยคาร์บอน ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญของกติกาการค้าระหว่างประเทศโดยเฉพาะตลาดกลุ่มยุโรปในอนาคต

#ข่าววันนี้ #ผู้ผลิตเหล็ก #จีสตีล #บีโอไอ #จีเจสตีล 

 

 

 

 

 

"บีโอไอ" ไฟเขียว “เวสเทิร์น ดิจิตอล” ลงทุนเพิ่มกว่า 23,000 ล้านบาท ขยายฐานผลิตฮาร์ดดิสก์ครั้งใหญ่ รองรับคลาวด์และดาต้าเซ็นเตอร์

บีโอไอ อนุมัติส่งเสริมการลงทุนโครงการใหญ่ของบริษัท เวสเทิร์น ดิจิตอล (WD) มูลค่ากว่า 23,000 ล้านบาท ขยายฐานผลิต Hard Disk Drive ที่อยุธยาและปราจีนบุรี สะท้อนแนวโน้มอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ทั่วโลกยังเติบโตต่อเนื่อง รองรับการขยายตัของเทคโนโลยีคลาวด์และ Data Center ที่จะมีความต้องการใช้ระบบจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ย้ำไทยผู้นำฐานผลิตฮาร์ดดิสก์ระดับโลกว

เมื่อวันที่ 26 ส.ค.67 นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการพิจารณาโครงการ ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากบอร์ดบีโอไอ ได้อนุมัติคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนของบริษัท เวสเทิร์น ดิจิตอล สตอเรจ เทคโนโลยีส์ (ประเทศไทย) จำกัด ในการขยายกิจการผลิต Hard Disk Drive (ฮาร์ดดิสก์) และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง มูลค่าลงทุน 23,516 ล้านบาท ที่นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และเขตอุตสาหกรรม 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค จังหวัดปราจีนบุรี

โดยบริษัท เวสเทิร์น ดิจิตอล (Western Digital: WD) เป็นผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์รายใหญ่ระดับโลก สัญชาติอเมริกัน ที่ผ่านมาได้เข้าซื้อกิจการในธุรกิจจัดเก็บข้อมูลของบริษัทชั้นนำหลายแห่ง เช่น Fujitsu, Hitachi, SanDisk และ Komag ทำให้ปัจจุบันบริษัท WD มีส่วนแบ่งตลาดโลกอยู่กว่าร้อยละ 40 โดย WD ได้เข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตหลักในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2540 และขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง มีการจ้างงานกว่า 28,000 คน โดยไทยเป็นโรงงานผลิตฮาร์ดดิสก์เพียงแห่งเดียวที่มีการประกอบขั้นสุดท้ายและทดสอบ

นอกจากการผลิตฮาร์ดดิสก์แล้ว บริษัท เวสเทิร์น ดิจิตอล ยังได้ทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยอีกหลายอย่าง เช่น การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับฮาร์ดดิสก์ การพัฒนาบุคลากรในหลายรูปแบบทั้งโครงการสหกิจศึกษาในสาขา STEM และโครงการ Talent Mobility การใช้พลังงานหมุนเวียนในโรงงาน การพัฒนาโรงงานอัจฉริยะจนได้รับรางวัล Global Lighthouse Network และการพัฒนา SMEs ไทยในด้าน Smart Factory เป็นต้น

สำหรับการขยายการลงทุนครั้งใหญ่ของบริษัท เวสเทิร์น ดิจิตอล ในครั้งนี้ ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก โดยคาดว่าจะเพิ่มมูลค่าการส่งออกอีกกว่า 2 แสนล้านบาทต่อปี จะมีการจ้างงานบุคลากรไทยเพิ่มอีกกว่า 10,000 คน และจะสร้างประโยชน์ต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง โดยจะมีการใช้วัตถุดิบในประเทศ เช่น แผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCBA) ชิ้นส่วนโลหะและพลาสติก ชุด Power Supply เป็นต้น รวมมูลค่ากว่า 81,000 ล้านบาทต่อปี คิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 45 ของมูลค่าวัตถุดิบทั้งสิ้น

ทั้งนี้แนวโน้มอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ของโลกยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการขยายตัวของระบบคลาวด์และ Data Center รวมทั้งเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทั้ง Generative AI และ 5G ที่จะทำให้เกิดความต้องการใช้ระบบจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยประเทศไทยเป็นฐานการผลิตหลักของอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ของโลก ปัจจุบันร้อยละ 80 ของฮาร์ดดิสก์ทั้งโลกถูกผลิตจากประเทศไทย โดยเฉพาะผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์รายใหญ่อย่าง WD และ Seagate ซึ่งบริษัท Seagate ก็เพิ่งจะมีการขยายการลงทุนครั้งใหญ่เมื่อปี 2566 ด้วยมูลค่าเงินลงทุนกว่า 16,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2558 – มิถุนายน 2567) มีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์และชิ้นส่วน จำนวน 42 โครงการ มูลค่าลงทุนรวมกว่า 82,600 ล้านบาท

#บีโอไอ #เวสเทิร์นดิจิตอล #ฮาร์ดดิสก์ #ดาต้าเซ็นเตอร์

 

 

 

 

 

 

"MIRA และ SUBCON Thailand : The East 2024" ดันไทยสู่ศูนย์กลางการผลิตและจัดซื้อชิ้นส่วนในภูมิภาคอาเซียน เสริมแกร่งผู้ประกอบการภาคตะวันออก

บีโอไอ ผสานความร่วมมือ สมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย (ไทยซับคอน) และอินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทยเดินหน้าจัดงาน " MIRA และ SUBCON Thailand : The East 2024" เสริมแกร่งผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคตะวันออก ย้ำเป้าหมายดันไทยสู่ "ศูนย์กลางการผลิตและจัดซื้อชิ้นส่วนในภูมิภาคอาเซียน"วางเป้าขนทัพ โซลูชันการผลิตขั้นสูง คาดสร้างมูลค่าการเชื่อมโยงธุรกิจกว่า 3,000 ล้านบาท พร้อมเปิดประตูต้อนรับนักอุตสาหกรรม ระหว่างวันที่ 4 - 6 กันยายน 2567 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาตินงนุชพัทยา จังหวัดชลบุรี

ภาพรวมการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 เติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน โดยมีคำขอรับการส่งเสริม 1,412 โครงการ เงินลงทุนรวม 458,359 ล้านบาท โดยเงินลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออก คิดเป็นร้อยละ 46 ของมูลค่าเงินลงทุนทั้งหมด ซึ่งมูลค่าดังกล่าวเกิดจากการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้ายานยนต์และชิ้นส่วน และปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ตัวเลขข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่าพื้นที่ภาคตะวันออกยังคงเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพ และเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในฐานะหน่วยงานหลักในการส่งเสริมการลงทุน พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมรับช่วงการผลิตของประเทศไทยอย่าง สมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย (ไทยซับคอน) และอินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย พร้อมเดินหน้าสานต่อการจัดงาน" SUBCON Thailand : The East 2024" ขึ้นมาเป็นปีที่ 3 เพื่อตอกย้ำหมุดหมายที่สำคัญ คือ สนับสนุนและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคตะวันออก สร้างเครือข่ายและพันธมิตรทางธุรกิจในอุตสาหกรรมสำคัญ ควบคู่ไปกับการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยของภาคการผลิต ยกระดับศักยภาพผู้ผลิตไทย ผลักดันไทยสู่การเป็น "ศูนย์กลางการผลิตและจัดซื้อชิ้นส่วนในภูมิภาคอาเซียน" นอกจากนี้ ยังมีงาน MIRA ที่จัดควบคู่กับงาน SUBCON Thailand: The East มาโดยตลอด เพื่อแสดงเทคโนโลยีการผลิต ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ เทคโนโลยีด้านการบำรุงรักษา ซึ่งสามารถตอบโจทย์ให้กับนักอุตสาหกรรมได้อย่างครบวงจร ณ จุดเดียว

นายนฤชา ฤชุพันธุ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เปิดเผยว่า  สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) พร้อมด้วย สมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย (ไทยซับคอน) และอินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย สานต่อการจัดงาน "SUBCON  Thailand : The East 2024" เพื่อเป็นเวทีแสดงศักยภาพของอุตสาหกรรมรับช่วงการผลิตของประเทศไทย ควบคู่งาน MIRA ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าและบริการครบวงจรที่รวบรวมเทคโนโลยีด้านการบำรุงรักษาของภาคอุตสาหกรรม เทคโนโลยีหุ่นยนต์อุตสาหกรรม ระบบอัตโนมัติ และโซลูชันอุตสาหกรรมจากผู้ผลิตชั้นนำทั่วโลกมาไว้ในที่แห่งนี้พร้อมการแสดงชิ้นส่วนอุตสาหกรรม และเวทีเจรจาจับคู่ธุรกิจที่ครบวงจรที่สุดในพื้นที่ภาคตะวันออก

           

โดยงาน SUBCON  Thailand : The East 2024 ปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 3 ทั้งนี้ ตลอดการจัดงาน SUBCON  Thailand ในพื้นที่ภาคตะวันออกที่ผ่านมามุ่งส่งเสริมให้กับผู้ผลิตชิ้นส่วนใน 3 จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา สำหรับปีนี้มีความพิเศษ โดยบีโอไอมุ่งขยายการรับรู้และการเข้าถึงกลุ่มนักอุตสาหกรรมครอบคลุมพื้นที่ทุกจังหวัดในภูมิภาคตะวันออก เนื่องจากภาคตะวันออก เป็นฐานการผลิตของภาคอุตสาหกรรมในอีกหลากหลายประเภทที่สำคัญและเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ในการพัฒนาอุตสาหกรรม
ของประเทศ

“ภาคตะวันออกถือได้ว่าเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ในการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ โดยการจัดงาน SUBCON  Thailand : The East 2024 มุ่งที่จะให้เป็นเวทีแห่งการยกระดับภาคอุตสาหกรรมการผลิตแห่งภาคตะวันออก โดยจัดควบคู่กับงาน MIRA ซึ่งเป็นงานรวบรวมเทคโนโลยีและโซลูชั่นต่างๆมาอยู่ภายใต้งานเดียว ภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจต่าง ๆ เช่น การจับคู่เจรจาธุรกิจ และกิจกรรม Sourcing Day ที่บีโอไอร่วมกับ บริษัท โฟตอน ซีพี มอเตอร์ จำกัด เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ซัพพลายเชนของผู้ผลิตรายสำคัญในอุตสาหกรรมเป้าหมาย นอกจากนี้ งาน SUBCON Thailand : The East 2024 ยังมุ่งสนับสุนนให้เกิดการใช้ชิ้นส่วนอุตสาหกรรมที่ผลิตโดยผู้ผลิตชิ้นส่วนคุณภาพในประทศ เพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยในพื้นที่ภาคตะวันออกได้สร้างความร่วมมือกับบริษัทชั้นนำจากต่างประเทศ ทั้งในมิติ การผลิต การถ่ายทอดเทคโนโลยี การจัดซื้อชิ้นส่วนจากในประเทศ ตลอดจนร่วมทุน เพื่อสร้างความพร้อมรองรับการก้าวสู่อุตสาหกรรม 5.0 และเสริมแกร่งให้กับผู้ผลิตชิ้นส่วนไทย โดยภายในงานคาดว่าจะเกิดการเชื่อมโยงทางธุรกิจในอุตสาหกรรมภาคการผลิตอย่างครอบคลุมในทุกห่วงโซ่อุปทาน และมีการประมาณการว่าจะมีผู้ซื้อรายใหญ่กว่า 100 ราย เกิดการจับคู่เจรจาธุรกิจกว่า 600 คู่ ซึ่งจะสร้างมูลค่าการเชื่อมโยงธุรกิจกว่า 3,000 ล้านบาท” นายนฤชากล่าว

นายชนินทร์ ขาวจันทร์ นายกสมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันในพื้นที่ภาคตะวันออกมีโครงการลงทุนเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งนี่ถือเป็นโอกาสสำคัญของผู้ประกอบการไทยในการขยายผลทั้งกับคู่ค้าและนักลงทุน โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ภาครัฐเร่งสนับสนุน โดยที่ผ่านมาบทบาทสำคัญของสมาคมฯ เราคือแกนกลางในการเชื่อมโยงผู้ประกอบการไทยให้มีพื้นที่และสร้างความได้เปรียบที่สำคัญในการสร้างโอกาสทางการค้า มองหาตลาดใหม่ ซึ่งขณะนี้มีกลุ่มสมาชิกแล้วกว่า 400 บริษัท และการเป็นส่วนหนึ่งของการจัดงาน "MIRA และ SUBCON Thailand : The East 2024" ร่วมกับบีโอไอและอินฟอร์มาฯ สมาคมฯเชื่อมั่นว่าจะกระตุ้นความเชื่อมโยงทางธุรกิจในการจัดหาชิ้นส่วนอุตสาหกรรมระหว่างผู้ผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรมในท้องถิ่นกับผู้ซื้อในภาคตะวันออก ได้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้การจัดงานปีที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดีและการจัดงานในปีนี้ทางสมาคมฯ พร้อมนำภาคีเครือข่ายภาคอุตสาหกรรมร่วมจัดแสดง เรามั่นใจว่าเวทีการจัดงานนี้ จะเป็นการวางรากฐานที่สำคัญในการยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทยในพื้นที่ภาคตะวันออกพร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในยุคเศรษฐกิจใหม่

โดยในยุคที่การแข่งขันทางการค้าอุตสาหกรรมสูงขึ้น การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในโซนพื้นที่ตะวันออก ถือเป็นทางเลือกและโอกาสที่ดีในการเข้าถึงตลาดใหม่ๆที่มีศักยภาพยังสามารถพบปะกับผู้ซื้อจากหลากหลายอุตสาหกรรมชิ้นส่วน ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนโลหะ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนงานพลาสติก อุตสาหกรรมชิ้นส่วนหุ่นยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องจักกล ครอบคลุมไปถึงอุตสาหกรรมชิ้นส่วนที่ใช้ในงานอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ที่เชื่อมโยงไปถึงโซลูชั่นด้านการบำรุงรักษา จะเป็นประโยชน์กับสมาชิกและนักอุตสาหกรรมที่ต้องการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มโอกาสทางการค้ามากขึ้น ครั้งนี้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมได้มีความพร้อมในการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าเป็นอย่างมาก โดยมีการวางแผนจัดเตรียมนำเสนอผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วน และเป็นผู้ประกอบการจากบริษัทชั้นนำที่มีประสบการณ์จากการออกบูธงาน SUBCON Thailand มาแล้ว ด้วยสมาชิกสมาคมฯ เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนในอุตสาหกรรมต่างๆที่มีสมาชิกมากกว่า 400 บริษัท และเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนที่มีศักยภาพ ทางสมาคมฯจึงขอเรียนเชิญนักอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการ มาร่วมเยี่ยมชมงานแสดงสินค้าในครั้งนี้ ท่านจะได้เห็นถึงแนวโน้มของตลาดเทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในหลากหลายอุตสาหกรรม พร้อมมาร่วมสร้างเครือข่ายของอุตสากรรมและสร้าง Connection ให้กว้างขวางยิ่งขึ้นที่งานนี้

นายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป - ประเทศไทย อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ กล่าวว่าที่ผ่านมา อินฟอร์มาฯ ทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนเพื่อร่วมสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืนให้กับทุกภาคอุตสาหกรรม โดยการทำงานร่วมกับบีโอไอและสมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทยผ่านการจัดงาน SUBCON Thailand กว่า 18 ปี และการต่อยอดไปยังพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ผ่านการจัดงาน MIRA และ SUBCON EEC โดยจัดต่อเนื่องมาแล้ว 2 ปี ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีและเป็นการวางฐานรากที่สำคัญในการสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการไทยในพื้นที่ภาคตะวันออกได้พบปะกับกับผู้ซื้อ ผู้ผลิตและนักลงทุน พร้อมกันนี้ยังมีการจัดแสดงเทคโนโลยี นวัตกรรมและโซลูชันการผลิตชั้นสูง อินฟอร์มาเชื่อมั่นว่าการจัดงาน "MIRA and SUBCON Thailand : The East 2024" จะสร้างโอกาสสำคัญให้กับภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคตะวันออกอย่างเข้มแข็ง สานต่อเป้าหมายในการนำพาไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตและจัดซื้อชิ้นส่วนในภูมิภาคอาเซียนในทศวรรษนี้

สำหรับการจัดงาน "MIRA and SUBCON Thailand : The East 2024" ยังคงชูจุดแข็งในการจัดแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยในด้านผลิตภัณฑ์และโซลูชันด้านการบำรุงรักษา รวมถึงโซลูชันปัญญาประดิษฐ์ เครื่องมือกลและอุปกรณ์ และ ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ประกอบชั้นนำจากภาคอุตสาหกรรม หลากหลายแบรนด์มาจัดแสดง เช่น MITUTOYO, OMRON, THAI ROKUHA และ LERTVILAI รวมถึง MITSUBISHI ELECTRIC FACTORY AUTOMATION ที่ครั้งนี้นำเอาเทคโนโลยี Machine Tools : EDM
Wire - Cut ที่โดดเด่นในด้านลดของเสียจากสายการผลิตมาจัดแสดง ทั้งนี้ภายในงานยังนำทีมหุ่นยนต์กู้ภัย IRAP ROBOT จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับภาคอุตสาหกรรม และ นวัตกรรมหุ่นยนต์ Service Robot ที่ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่องกว่า 20 ปี โดยทีมจาก สถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (FIBO) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) มาจัดแสดงพร้อมเปิดเวทีแข่งขันเชื่อมโลหะ โดยสถาบันพัฒนาบุคลากรการเชื่อม (WelDa) พร้อมกันนี้ยังได้รวบรวมเครือข่ายกับนักอุตสาหกรรมและพันธมิตรทางธุรกิจจากนิคมอุตสาหกรรมกว่า 43 แห่ง ครอบคลุมจังหวัดภาคตะวันออก รวมถึงงานสัมมนาหัวข้อที่สำคัญจาก 4 เวทีหลักของงาน (MIRA Theatre / SUBCON THAILAND The East room / I- Factory Stage / Technology Presentation) ที่มีผลต่อทิศทางการผลิตในยุคเศรษฐกิจใหม่อย่าง MIRA Forum ที่รวบรวมความร่วมมือขององค์กรพันธมิตรที่สำคัญ รวมถึงสัมมนาในหัวข้อ "กลยุทธ์ในการจัดซื้อสำหรับนักจัดซื้อยุคใหม่" และไฮไลต์สำคัญ คือ การจับคู่ทางธุรกิจซึ่งได้รับการสนับสนุนของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เพื่อสร้างโอกาสสำคัญให้กับผู้ประกอบการไทย

ทั้งนี้มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งสู่การเสริมแกร่งภาคอุตสาหกรรมพื้นที่ภาคตะวันออกร่วมกันในงาน "MIRA and SUBCON Thailand : The East 2024" โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-6 กันยายน 2567 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาตินงนุชพัทยา ผู้ที่สนใจสามารถติดตามความเคลื่อนไหวและข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมภายในงานได้ทาง www.mira-event.com