บีโอไอ เปิดฉาก THECA 2025 ดันไทยสู่ระบบนิเวศอิเล็กทรอนิกส์ครบวงจรแห่งเอเชีย

BOI เปิดฉากงาน Thailand Electronics Circuit Asia 2025 (THECA 2025) อย่างยิ่งใหญ่ ตอกย้ำบทบาทประเทศไทยจาก "ฐานการผลิต" สู่ "ผู้นำระบบนิเวศอิเล็กทรอนิกส์ครบวงจรของเอเชีย" พร้อมผนึกกำลังสมาคมแผ่นวงจรพิมพ์ไทย (THPCA) และสมาคมแผ่นวงจรพิมพ์ฮ่องกง (HKPCA) เชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกด้วยแนวคิด “How to Build Effectively a Future Electronic Ecosystem”  รวบรวมผู้ประกอบการจากทั้ง 3 กลุ่มหลัก ในระบบนิเวศอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ กว่า 250 องค์กรชั้นนำจาก 15 ประเทศทั่วโลก คาดว่าจะสามารถสร้างมูลค่าการซื้อขายได้สูงถึง 20,000 ล้านบาท ผ่านกิจกรรมหลัก เช่น การจับคู่เจรจาธุรกิจ การจัดกิจกรรม Networking การจัดประชุมและสัมมนาระดับนานาชาติ การจัดแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยีท่ามกลางผู้เข้าชมงานคาดสูงถึง 7,000 ราย พร้อมไฮไลท์ JOB FAIR PCB 2025 เปิดโอกาสการจ้างงาน กว่า 80,000 ตำแหน่งในภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์

วันที่ 20 สิงหาคม 2568 นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เจ้าภาพการจัดงานเปิดเผยว่า THECA 2025 ไม่ใช่เพียงงานแสดงสินค้า แต่คือสัญลักษณ์แห่งการเปลี่ยนผ่านของประเทศไทยจากบทบาทการเป็นฐานการผลิตไปสู่ “ผู้นำระบบนิเวศอิเล็กทรอนิกส์” ที่ครบวงจรที่สุดในภูมิภาค โดยบีโอไอได้กำหนดยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนที่ครอบคลุม ตั้งแต่มาตรการสิทธิประโยชน์ที่เหมาะสม การส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม การเพิ่มทักษะฝีมือบุคลากร ไปจนถึงการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงระดับโลก ตั้งแต่ปี 2565 – มิถุนายน 2568 มีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เช่น การออกแบบชิป การประกอบชิป การทดสอบเวเฟอร์และแผ่นวงจรรวม การผลิต PCB ไปจนถึงการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวม 517 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนกว่า 7 แสนล้านบาท โดยมีนักลงทุนหลักจากเยอรมัน สหรัฐอเมริกา จีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และฮ่องกง โดยเป็นการลงทุนอุตสาหกรรม PCB 180 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งจะทำให้ไทยครองตำแหน่งผู้ผลิต PCB อันดับ 1 ของอาเซียน และติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก

ในการจัดงานครั้งนี้ บีโอไอ จัดเวที BOI Forum ภายใต้แนวคิด "Building the Future: Investment Policies Shaping Thailand’s Advanced Electronics and Semiconductor Ecosystem" โดยมีเป้าหมายเพื่อรวมพลังของทุกภาคส่วนในระบบนิเวศ ตั้งแต่การออกแบบวงจรรวม (IC), การผลิตและทดสอบเวเฟอร์,การผลิต PCB, การผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ (EMS) ไปจนถึงการประกอบและทดสอบวงจรรวม (IC Packaging and Test) เข้าด้วยกันอย่างครบวงจร โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม PCB ไทย ที่กำลังยกระดับจากผู้ผลิต PCB ชนิดทั่วไป สู่การเป็นผู้พัฒนา PCB ขั้นสูง เช่น HDI PCB, Flexible PCB หรือ Multilayer PCBที่สามารถรองรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับสูง โดยเฉพาะเทคโนโลยี AI

“ปัจจุบันประเทศไทยเป็นฐานการผลิตที่โดดเด่นของหลายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็น Hard Disk Drive, PCB, การประกอบและทดสอบวงจรรวม, การผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ไปจนถึงการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ หากมองไปในอนาคต ไทยมีศักยภาพสูงที่จะเป็นผู้นำระบบนิเวศอิเล็กทรอนิกส์ครบวงจรของภูมิภาค ที่ครอบคลุมทั้งการเป็นฐานการผลิต การออกแบบ การวิจัยและพัฒนา การเชื่อมโยงซัพพลายเชน และการเป็นที่ตั้งของสำนักงานภูมิภาค หรือ Regional Headquarters ของบริษัทชั้นนำจากทั่วโลก ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ไทยบรรลุเป้าหมายนี้ได้คือ การพัฒนาบุคลากร และยกระดับผู้ประกอบการไทย ให้มีทักษะและองค์ความรู้ในเทคโนโลยีที่สูงขึ้นด้วย” นายนฤตม์ กล่าว

นายพิธาน องค์โฆษิต นายกสมาคมแผ่นวงจรพิมพ์ไทย ในฐานะผู้จัดงาน THECA 2025 กล่าวถึงความสำเร็จของการจัดงานว่า ปีนี้ถือเป็นครั้งแรกที่สามารถรวมเครือข่ายห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) และระบบนิเวศอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Ecosystem) ไว้ได้อย่างครบวงจร ตั้งแต่วัตถุดิบ เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรการผลิตและประกอบ ไปจนถึงบริการทดสอบและมาตรฐานสากล รวมกว่า 250 บริษัทจากทั่วโลก ได้แก่ประเทศไทย จีน ไต้หวัน ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย สิงคโปร์ อังกฤษ สหรัฐอเมริกา เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และสเปน คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานจากทั่วโลกกว่า 7,000 ราย บนพื้นที่จัดแสดงกว่า 12,000 ตารางเมตร

ภายในงานยังมีการจัดสัมมนาเชิงลึก 46 หัวข้อ โดยวิทยากรและผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำกว่า 68 ครอบคลุม 5 ประเด็นสำคัญที่แสดงถึงศักยภาพของไทยในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมระดับโลก ได้แก่

1) Quantum & Semiconductor การยกระดับโครงสร้างพื้นฐานรองรับยุคควอนตัม

2) AI with PCB การใช้ AI พัฒนาและผลิต PCB ให้มีความแม่นยำและเร็วขึ้น

3) Digital Twin & Simulation การลดต้นทุนการผลิตด้วยระบบจำลองขั้นสูง

4) Sustainability & Supply Chain การพัฒนาอย่างยั่งยืน ยืดหยุ่น และตอบโจทย์ ESG

5) Education & Design การสร้างคน สร้างองค์ความรู้ ตั้งแต่ระดับออกแบบจนถึงประกอบจริง พร้อมข้อเสนอความร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรมกับสถาบันการศึกษา

รวมทั้ง JOB FAIR PCB 2025 ที่เปิดโอกาสให้แรงงานทักษะสูงกว่า 80,000 อัตราได้จับคู่กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์จากทั่วโลก

นายแคนิส ชุง (Mr. Canice Chung) นายกสมาคมแผ่นวงจรพิมพ์ฮ่องกง ผู้จัดงานร่วม กล่าวว่า
ความร่วมมือระหว่างสมาคมแผ่นวงจรพิมพ์ฮ่องกง สมาคมแผ่นวงจรพิมพ์ไทย และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ต่อเนื่องเป็นปีที่สอง สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ร่วมในการยกระดับอุตสาหกรรม PCB ของเอเชีย งาน THECA 2025 ซึ่งขยายตัวเกือบสองเท่าจากปีแรก แสดงถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของประเทศไทยในฐานะทั้งศูนย์กลางการผลิตและเชื่อมสู่ตลาดเอเชีย ด้วยการลงทุนและการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ไทยกำลัง
ก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางแห่งนวัตกรรมอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมเน้นย้ำว่าความร่วมมือจากผู้แสดงสินค้าและผู้เข้าร่วมงานจะเป็นกุญแจสำคัญในการบุกตลาดใหม่ พัฒนาเทคโนโลยีล้ำสมัย และสร้างมาตรฐานใหม่ที่ยั่งยืนในระดับโลก

ดร.ดวงเด็ด ย้วยความดี ผู้อำนวยการ ฝ่ายอุตสาหกรรมการแสดงสินค้านานาชาติ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ กล่าวสนับสนุนว่า THECA 2025 เป็นกลไกสำคัญตามยุทธศาสตร์ระยะ 20 ปีของทีเส็บ ที่มุ่งขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยกิจกรรมไมซ์สู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยงาน THECA 2025 ตอบโจทย์ทุกมิติ ทั้งการสร้างรายได้จากผู้เข้าร่วมงานและนักลงทุนต่างชาติ การยกระดับองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีชั้นสูงผ่านเวทีสัมมนาเชิงลึก ตลอดจนการเชื่อมโยงธุรกิจจากทั่วโลกสู่ห่วงโซ่อุปทานของไทยอย่างครบวงจร ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์หลักในการ “ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมายผ่านไมซ์” รวมถึงการผลักดันงานไมซ์เกิดใหม่อย่างมั่นคงและ การสร้างแบรนด์ไมซ์ไทยให้โดดเด่นในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยีและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในคลัสเตอร์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศอย่างแท้จริง 

การจัดงานครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
 (องค์การมหาชน) บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ออโรเม็กซ์ จำกัด และ บริษัท มิตซูบิชิอีเล็คทริค แฟคทอรี่ ออโตเมชั่น (ประเทศไทย) จำกัด

“THECA 2025 ไม่ใช่แค่การโชว์นวัตกรรม แต่คือ Ecosystem Enabler ที่เชื่อมโยงองค์ความรู้ การลงทุน และแรงงานในอุตสาหกรรม PCB และ PCBA ให้ก้าวสู่เวทีโลก ด้วยมาตรฐาน ESG และแนวคิดอุตสาหกรรมสีเขียวที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญ” นายพิธาน กล่าว

บีโอไอจับมือญี่ปุ่น ย้ำความเชื่อมั่นประเทศไทย เดินหน้าลงทุนเพิ่มโลกการค้ายุคใหม่

บีโอไอ พบนักลงทุนญี่ปุ่น นำโดยเจโทร และหอการค้าญี่ปุ่น ย้ำความเชื่อมั่นประเทศไทย เดินหน้าขยายการลงทุน โดยเฉพาะ 5 สาขาหลักคือ ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร อาหาร และผลิตภัณฑ์โลหะ ควบคู่การสนับสนุนสตาร์ตอัปและอุตสาหกรรมสีเขียว พร้อมปรับตัวในโลกการค้ายุคใหม่ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

วันที่ 14 ส.ค.68 นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า บีโอไอได้พบหารือกับ นายอาเบะ อิจิโระ ประธานเจโทร กรุงเทพฯ (JETRO Bangkok) และ Chief Representative for ASEAN และนายซาโต้ ฮิโรยาสุ ประธานหอการค้าญี่ปุ่นในประเทศไทย (JCC) พร้อมคณะผู้บริหารเจโทรและหอการค้าญี่ปุ่น โดย JETRO และ JCC ได้นำเสนอผลสำรวจนักลงทุนญี่ปุ่นในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 และแนวโน้มการดำเนินธุรกิจของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย ขณะที่บีโอไอได้นำเสนอความคืบหน้าของนโยบายและมาตรการส่งเสริมการลงทุนด้านต่าง ๆ รวมทั้งการพัฒนาระบบการให้บริการและการอำนวยความสะดวกสำหรับนักลงทุนญี่ปุ่น

โดยจากผลการสำรวจล่าสุดของ JETRO-JCC จะเห็นว่า นักลงทุนญี่ปุ่นมองแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในทิศทางที่ดีขึ้น และยังให้ความเชื่อมั่นในการขยายการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนีแนวโน้มเศรษฐกิจได้ปรับตัวดีขึ้นจาก -11 ในช่วงครึ่งหลังปี 2567 มาอยู่ที่ -7 ในช่วงครึ่งปีแรกปี 2568 และคาดว่าจะปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ -2 ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ สะท้อนถึงสัญญาณฟื้นตัว แม้ยังมีความกังวลเรื่องผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และการแข็งค่าของเงินบาท โดยบริษัทญี่ปุ่นจำนวนมากยังสนใจลงทุนต่อเนื่องในไทย โดยเฉพาะใน 5 สาขาหลักคือ ยานยนต์โดยเฉพาะรถยนต์ไฮบริด อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร อาหาร และผลิตภัณฑ์โลหะ นอกจากนี้ ยังจะมีการลงทุนในสาขาอื่นๆด้วย เช่น สิ่งทอ เคมีภัณฑ์ ดิจิทัล ธุรกิจบริการ รวมไปถึงการเข้ามาลงทุนของกลุ่มสตาร์ตอัป และการยกระดับไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียว

สำหรับการประชุมกับกลุ่มนักลงทุนญี่ปุ่นครั้งนี้  เป็นการหารือต่อเนื่องจากการประชุมร่วมกับสถานทูตญี่ปุ่น เจโทร และหอการค้าญี่ปุ่น ภายใต้คณะอนุกรรมการร่วมไทย-ญี่ปุ่น ว่าด้วยการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ตามข้อตกลงการค้าไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งบีโอไอเป็นหน่วยงานหลักที่ได้จัดงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจ โดยญี่ปุ่นได้ชื่นชมการทำงานของภาครัฐไทยในการอำนวยความสะดวกแก่ภาคธุรกิจ เช่น การจัดตั้งศูนย์ One Stop Service ของบีโอไอ การพัฒนาระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-tax) ของกระทรวงการคลัง การขยายบริการใบอนุญาตทำงานอิเล็กทรอนิกส์ (e-work permit) ของกรมการจัดหางาน การเร่งรัดการจดสิทธิบัตรต่างๆของกรมทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น

“ญี่ปุ่นเป็นมิตรแท้ของไทยมายาวนาน ถือเป็นนักลงทุนรายสำคัญและมีการลงทุนสะสมสูงที่สุดในประเทศไทย ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในโลกการค้ายุคใหม่ ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา บีโอไอร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ออกมาตรการสนับสนุนนักลงทุนญี่ปุ่นในหลายด้าน เพื่อให้ธุรกิจญี่ปุ่นในไทยสามารถปรับตัวกับความท้าทายใหม่ ๆ และแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น มาตรการส่งเสริมการยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไปสู่เทคโนโลยีใหม่ มาตรการส่งเสริมกลุ่มรถยนต์ไฮบริด มาตรการส่งเสริมการใช้ Local Content สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้า การจัดตั้งศูนย์ Thailand Investment and Expat Service Center (TIESC) ซึ่งเป็นวันสต็อปเซอร์วิสแห่งใหม่ การเตรียมกลไกพลังงานสะอาดสำหรับบริษัทญี่ปุ่นที่ต้องการ Go Green และล่าสุดได้ออกมาตรการอำนวยความสะดวกในการย้ายเครื่องจักรจากกัมพูชามาที่ไทย ซึ่งจะช่วยบริษัทญี่ปุ่นหลายรายที่มีฐานการผลิตเชื่อมโยงสองประเทศ ให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง” นายนฤตม์ กล่าว

นายอาเบะ อิจิโระ ประธานเจโทร กรุงเทพฯ กล่าวย้ำว่า ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ นักลงทุนญี่ปุ่นยังคงเดินหน้าดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โดยขยายช่องทางจำหน่ายสินค้าทั้งในและต่างประเทศ โดยเจโทรจะมุ่งส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างไทย–ญี่ปุ่น รวมถึงการสนับสนุนอุตสาหกรรมไทย-ญี่ปุ่น ให้ทำงานร่วมกัน โดยการจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจและกิจกรรมอื่น ๆ ที่จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนระหว่างสองประเทศ

สำหรับการลงทุนจากญี่ปุ่นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2558 - มิถุนายน 2568) มีการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจำนวน 2,620 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 7 แสนล้านบาท โดยส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ ตามลำดับ

#บีโอไอ #ญี่ปุ่น #เจโทร #การค้ายุคใหม่ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

ประเด็นร้อนเศรษฐกิจรอบวัน 8 ส.ค.68

ประเด็นร้อนเศรษฐกิจรอบวัน 8 ส.ค.68 

-สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ออกหลักเกณฑ์กำหนดมาตรฐานและมาตรการเพื่อป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสำหรับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลร่วมผิดชอบความเสียหาย หากละเลยไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรฐานที่กำหนดจนเป็นเหตุให้ลูกค้าได้รับความเสียหาย ตาม พ.ร.ก.อาชญากรรมทางเทคโนโลยีฯ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 สิงหาคม 2568

-บอร์ดบีโอไอเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือนักลงทุนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ให้สิทธิประโยชน์ช่วยสนับสนุนย้ายฐานผลิตมาไทย ระบุปัญหาชายแดนกระทบต้นทุนขนส่งโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ และซัพพลายเชนอุตสาหกรรมหลัก นอกจากนี้ บอร์ดไฟเขียวลงทุน 4 โครงการ มูลค่ากว่า 2.6 หมื่นล้านบาท

-สมาคมธนาคาร ระดมทุกแบงก์ออกสินเชื่อเพื่อการเปลี่ยนผ่านเฟสแรก 5,000 ล้านบาท ดอกเบี้ยอัตราพิเศษ หนุนให้ภาคอุตสาหกรรมเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

 

บีโอไอไฟเขียวมาตรการช่วยนักลงทุนได้รับผลกระทบชายแดนไทยกัมพูชา พร้อมอนุมัติโครงการลงทุนใหม่ 2.6 หมื่นล้านบาท

บอร์ดบีโอไอ เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือนักลงทุน ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ให้สิทธิประโยชน์ช่วยสนับสนุนย้ายฐานผลิตมาไทย ระบุปัญหาชายแดนกระทบต้นทุนขนส่งโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ และซัพพลายเชนอุตสาหกรรมหลัก นอกจากนี้ บอร์ดไฟเขียวลงทุน 4 โครงการ มูลค่ากว่า 2.6 หมื่นล้านบาท

วันที่ 8 ส.ค.68 นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ซึ่งมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้เห็นชอบ “มาตรการส่งเสริมการลงทุนกรณีได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา” เพื่อช่วยเหลือนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติที่ได้รับผลกระทบจากการปิดด่านพรมแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลกระทบต่อเส้นทางการขนส่งสินค้า ต้องเปลี่ยนเส้นทางหรือรูปแบบการขนส่งสินค้า ทำให้ระยะเวลาและต้นทุนการขนส่งของผู้ประกอบการสูงขึ้นอย่างมาก

โดยในช่วงที่ผ่านมา บีโอไอได้หารือกับกลุ่มนักลงทุนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ซึ่งมีบริษัทหลายรายที่ผูกซัพพลายเชนเชื่อมโยงระหว่างสองประเทศ เช่น โรงงานในไทยส่งวัตถุดิบไปยังกัมพูชา เพื่อนำไปประกอบบางส่วน แล้วส่งกลับมาไทยเพื่อผลิตเป็นชิ้นส่วนที่มีความซับซ้อน หรือผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูป ตรวจสอบและจัดชุดก่อนส่งให้ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ ผ่านศูนย์กระจายสินค้าในไทย เมื่อมีการปิดด่านบริเวณชายแดน จึงส่งผลต่อการขนส่งวัตถุดิบและสินค้า ทำให้ต้องเปลี่ยนไปขนส่งผ่านประเทศเวียดนามและลาว หรือเปลี่ยนมาใช้การขนส่งทางเรือหรืออากาศ ที่มีข้อจำกัดมาก ใช้เวลานาน ต้นทุนสูงขึ้นมาก และมีภาระในการบริหารสต็อกวัตถุดิบและสินค้าในภาวะที่มีความไม่แน่นอนสูง ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังอุตสาหกรรมหลักอื่น ๆ ที่ต้องใช้ชิ้นส่วนจากโรงงานเหล่านี้ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า นักลงทุนหลายรายจึงได้แจ้งบีโอไอ ถึงความจำเป็นที่ต้องวางแผนย้ายฐานผลิตหรือเครื่องจักรบางส่วน กลับมาที่ไทยโดยเร็ว      

ทั้งนี้บีโอไอ จึงได้นำเสนอมาตรการส่งเสริมการลงทุนกรณีได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ในครั้งนี้ เพื่อช่วยสนับสนุนนักลงทุนที่ต้องการย้ายฐานการผลิตจากกัมพูชามายังไทย ซึ่งจะทำให้ฐานการผลิตหลักในประเทศไทยดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง โดยจะให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรใช้แล้วในทุกกรณี และเงินลงทุนในเครื่องจักรใช้แล้วที่มีอายุไม่เกิน 10 ปี จะให้นับเป็นวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ถึงร้อยละ 100 ของเงินลงทุน สำหรับสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ทั่วไป

สำหรับในกรณีเป็นการย้ายเครื่องจักรบางส่วนมาใช้งานรวมกับโครงการที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนอยู่เดิม หากระยะเวลานำเข้าเครื่องจักรเดิมสิ้นสุดไปแล้ว บีโอไอจะอนุญาตให้นำเข้าเครื่องจักรเฉพาะที่ย้ายมาจากกัมพูชา เป็นเวลา 1 ปี นับตั้งแต่ยื่นขอแก้ไขโครงการ ทั้งนี้ นักลงทุนต้องเสนอแผนการย้ายฐานผลิตจากกัมพูชา และยื่นคำขอภายในสิ้นปี 2569

“จากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีการปิดด่านพรมแดน ส่งผลให้เกิดอุปสรรคในการขนส่งวัตถุดิบและชิ้นส่วน โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนที่มีฐานผลิตเชื่อมโยงระหว่างสองประเทศ ต้องแบกรับต้นทุนโลจิสติกส์ที่เพิ่มสูงขึ้นมาก ใช้เวลาขนส่งนานขึ้นหลายเท่า และกระทบการผลิตของอุตสาหกรรมอื่น ๆ เป็นลูกโซ่ บีโอไอจึงเร่งออกมาตรการ เพื่อเปิดทางให้ผู้ประกอบการสามารถย้ายฐานผลิตจากกัมพูชามายังไทยได้ เพื่อรักษาความต่อเนื่องของซัพพลายเชน และสนับสนุนให้ไทยเป็นฐานผลิตหลักของภูมิภาค” นายนฤตม์ กล่าว

นอกจากนี้ ที่ประชุมบอร์ดบีโอไอ ยังได้อนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุน 4 โครงการใหญ่ มูลค่าลงทุนรวม 26,891 ล้านบาท ได้แก่

1.บริษัท เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป จำกัด ดำเนินธุรกิจผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง เช่น อาหารแมว ภายใต้แบรนด์สมาร์ทฮาร์ทและมี-โอ ตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมของบริษัท เอ็ม. ไทย เอสเตท จำกัด จังหวัดสมุทรปราการ มูลค่าลงทุน 3,536 ล้านบาท

2.บริษัท วายุ เพาเวอร์ จำกัด ผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ตั้งอยู่ที่จังหวัดชัยภูมิ มูลค่าลงทุน 3,834 ล้านบาท โดยจำหน่ายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. ขนาด 78 เมกะวัตต์

3.บริษัท อีสานพลังงานสะอาด จำกัด ผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ตั้งอยู่ที่จังหวัดมุกดาหาร มูลค่าลงทุน 6,504 ล้านบาท โดยจำหน่ายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. ขนาด 90 เมกะวัตต์

4.บริษัท ซิง ต๋า สตีล คอร์ด (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้ผลิตลวดเหล็กทนแรงดึงสูง (Ultimate Tensile Strength) วัตถุดิบสำหรับยางล้อรถยนต์เท่านั้น ซึ่งบริษัทแม่ Xingda เป็นผู้ผลิตลวดเสริมยางล้อ อันดับ 5 ของโลก ตั้งอยู่ในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดชลบุรี มูลค่าลงทุน 13,017 ล้านบาท มีแผนจ้างแรงงานไทยกว่า 1,400 คน

#บีโอไอ #ส่งเสริมการลงทุน #ชายแดนไทยกัมพูชา #ลงทุนในไทย #มาตรการบีโอไอ #เศรษฐกิจไทย #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้

 

บีโอไอ นำนักลงทุนชั้นนำระดับโลกพบนายกฯ ย้ำความเชื่อมั่น ไทยเดินเกมรุก รับคลื่นการลงทุน

บีโอไอ นำผู้บริหาร 30 บริษัทชั้นนำระดับโลก ลงทุนในไทยกว่า 5.5 แสนล้านบาท เข้าพบรักษาการนายกฯ ตอกย้ำความเชื่อมั่น ประเทศไทยเดินหน้าสนับสนุนการลงทุนอย่างต่อเนื่อง พร้อมเดินเกมเชิงรุก หลังสหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษี ปรับกลไกและนโยบายให้สอดคล้องกับโลกการค้ายุคใหม่ มุ่งดึงบริษัทเป้าหมายขยายฐานในไทย ดันไทยศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาคในทศวรรษหน้า

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์  เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานในการประชุมหารือกับผู้บริหารบริษัทชั้นนำระดับโลก ภายใต้ชื่องาน “Prime Minister Meets Investors: Confidence in Thailand’s Future” ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พร้อมด้วย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้บริหารระดับสูงของภาครัฐ โดยมีผู้บริหารจากบริษัทระดับโลกเข้าร่วม 30 บริษัท จากสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน ไต้หวัน และสิงคโปร์

โดยบริษัทชั้นนำทั้ง 30 ราย ส่วนใหญ่เป็นบริษัทรายใหม่ที่ได้ตัดสินใจเข้ามาขยายการลงทุนขนาดใหญ่ในไทยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีมูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 550,000 ล้านบาท และได้ช่วยสร้างงานให้บุคลากรไทยกว่า 53,000 ตำแหน่ง อยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย 4 สาขาหลัก ได้แก่ 1) เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เช่น Infineon, Analog Devices, Sony Technology, Haier, Foxsemicon  
2) ยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ เช่น Changan, BYD, Sunwoda, Continental 3) ดิจิทัล เช่น Google, Tiktok และ 4) อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพและอาหาร เช่น Mead Johnson, Nestle เป็นต้น

การหารือระดับสูงระหว่างผู้นำรัฐบาลและผู้บริหารของบริษัทชั้นนำระดับโลกในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ภายหลังจากความสำเร็จของทีมไทยแลนด์ในการเจรจาภาษีกับสหรัฐอเมริกา โดยรัฐบาลไทยต้องการสื่อสารให้นักลงทุนต่างชาติได้ทราบถึงความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนนโยบายสนับสนุนการลงทุนอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง ท่ามกลางความท้าทายจากภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน

นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้ใช้เวที “PM Meets Investors” เน้นย้ำต่อกลุ่มนักลงทุนว่า รัฐบาลไทยพร้อมเดินหน้าเชิงรุก มุ่งเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาสในการยกระดับความแข็งแกร่งของระบบนิเวศทางธุรกิจในประเทศ ผ่านมาตรการและกลไกสนับสนุนต่าง ๆ

“รัฐบาลมีความมุ่งมั่นในการรักษาและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศเพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านกฎระเบียบที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ การพัฒนาบุคลากรทักษะสูง โดยเฉพาะสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง, EV, ดิจิทัลและ AI การเตรียมความพร้อมด้านพลังงานสะอาดผ่านกลไก Utility Green Tariff และ Direct Power Purchase Agreement (Direct PPA) รวมถึงเร่งขยายความตกลงทางการค้า (FTA) เพื่อเพิ่มโอกาสผลิตภัณฑ์จากไทยเข้าสู่ตลาดโลกได้มากขึ้น การหารือร่วมกับบริษัทชั้นนำในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะผลักดันปัจจัยต่าง ๆ ที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย เพื่อร่วมกันสร้างรากฐานเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ท่ามกลางความผันผวนจากการเปลี่ยนแปลงด้านภูมิรัฐศาสตร์และภาวะเศรษฐกิจโลก” นายภูมิธรรม กล่าว

ด้านนายลิม เหว่ย กอ รองประธานอาวุโสและกรรมการผู้จัดการ บริษัท อินฟินีออน เทคโนโลยีส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความสามารถในการปรับตัว การเปิดรับความร่วมมือ และการเสริมสร้างความไว้วางใจระหว่างภาครัฐและเอกชน ถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ประเทศไทยได้แสดงให้เห็นถึงบทบาทผู้นำในด้านนี้อย่างชัดเจน ผ่านความมุ่งมั่นต่อการสร้างความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ การปฏิรูปกฎระเบียบ และการขับเคลื่อนสู่ยุคดิจิทัล ด้วยวิสัยทัศน์และนโยบายของรัฐบาลไทย

นายเอจิ โคอิซูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัทโซนี่ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในนามของนักลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ขอขอบคุณรัฐบาลไทยสำหรับการเจรจาต่อรองอัตราภาษีนำเข้ากับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ ซึ่งความสำเร็จนี้ช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของไทย

          นายอู๋ เสี่ยวคัง รองประธานบริหาร บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซาท์อีส เอเชีย กล่าวว่า แม้ปัจจุบัน อุตสาหกรรมยังคงเผชิญกับความท้าทายหลากหลายประการ แต่เรายังคงเชื่อมั่นในอนาคตของประเทศไทย และบทบาทสำคัญในฐานะศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาค ฉางอานยังคงมุ่งมั่นดำเนินงานตามโรดแมปที่ได้วางไว้ในการจัดตั้งศูนย์วิศวกรรมระดับภูมิภาค (Regional Adaptive Engineering Center) โดยมีเป้าหมายในการดึงดูดบุคลากรระดับโลกเข้ามาพัฒนาขีดความสามารถด้านเทคนิคในประเทศไทยอย่างยั่งยืน

ขณะที่ นางสาวซู แอน ลิม ผู้อำนวยการฝ่ายรัฐกิจสัมพันธ์และนโยบายสาธารณะ Google Cloud APAC กล่าวว่า กลุ่มอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์เชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทย และพร้อมทำงานร่วมกับรัฐบาลไทย นอกจากนี้ ที่ผ่านมาบริษัทได้พัฒนาคนไทยด้านดิจิทัลและ AI จำนวนกว่า 3.6 ล้านคน เพื่อยกระดับการพัฒนาระบบนิเวศด้านดิจิทัลอย่างจริงจัง

ทั้งนี้ เนื่องจากพลังงานสะอาดมีความสำคัญต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์อย่างมาก บริษัทจึงขอให้รัฐบาลไทยพิจารณาให้การสนับสนุนต่อไป ซึ่งสอดคล้องกับนายวิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า ที่กล่าวว่า เนสท์เล่มีเป้าหมายที่จะใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนร้อยละ 100 ในโรงงานทุกแห่งในประเทศไทยภายในสิ้นปี 2568

ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สกพ.) ได้ให้ความมั่นใจในที่ประชุมว่ากลไกพลังงานสะอาดทั้งรูปแบบ Utility Green Tariff 2 (UGT 2) และ Direct Power Purchase Agreement (Direct PPA) จะพร้อมให้บริการในปีนี้ เพื่อให้ทันกับความต้องการและการเติบโตของอุตสาหกรรมสมัยใหม่อย่างยั่งยืน

BOI ดันเครดิตภาษีสู้กฎ Global Minimum Tax ดึงดูดนักลงทุนข้ามชาติ พร้อมอัดเงินหนุนสตาร์ตอัปเทคโนโลยีล้ำสมัย

"บีโอไอ" ไฟเขียวแก้กฎหมายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ เพิ่มสิทธิประโยชน์รูปแบบใหม่ “เครดิตภาษี” เพื่อแข่งกับประเทศต่าง ๆ ดึงนักลงทุนเป้าหมาย ภายใต้กติกาภาษีใหม่ของ OECD และกระตุ้นให้เกิดการลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีและบุคลากรทักษะสูง พร้อมอนุมัติมาตรการใหม่ เสริมแกร่งสตาร์ตอัปไทยกลุ่ม Deep tech เพิ่มศักยภาพการแข่งขันในระดับสากล

วันที่ 4 ส.ค.68 นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานได้เห็นชอบการแก้ไขพระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย พ.ศ.2560 ที่อยู่ภายใต้บีโอไอ เพื่อเพิ่มเครื่องมือสิทธิประโยชน์รูปแบบใหม่ “เครดิตภาษี” ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันกับประเทศต่างๆในการดึงดูดนักลงทุนเป้าหมาย ภายใต้กติกาภาษีใหม่ของโลก (Global Minimum Tax) อีกทั้งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาเทคโนโลยีและบุคลากรทักษะสูงโดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาเพื่อพิจารณาเป็นเรื่องเร่งด่วนต่อไป

ปัจจุบัน องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ได้กำหนดกลไกจัดเก็บภาษีขั้นต่ำจากบริษัทข้ามชาติที่มีรายได้ของทั้งเครือ ตั้งแต่ 750 ล้านยูโรต่อปีขึ้นไป (ประมาณ 28,000 ล้านบาท) ซึ่งเดิมอาจได้รับสิทธิพิเศษจากประเทศต่าง ๆ ทำให้อัตราภาษีที่แท้จริง (Effective Tax Rate) ต่ำกว่าร้อยละ 15 โดย OECD กำหนดให้ประเทศที่รองรับการลงทุนหรือประเทศที่บริษัทแม่ตั้งอยู่ สามารถจัดเก็บ “ภาษีส่วนเพิ่ม” เพื่อให้ครบตามเกณฑ์ภาษีขั้นต่ำร้อยละ 15 ได้ ทำให้ประเทศต่าง ๆ ต้องทยอยออกกฎหมายเพื่อเก็บภาษีส่วนเพิ่มกับบริษัทข้ามชาติที่มีสาขาอยู่ในประเทศของตน รวมถึงประเทศไทยที่กระทรวงการคลังได้ออก พ.ร.ก. ภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ. 2567 ซึ่งมีผลใช้บังคับแล้วตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 โดยปัจจุบันมีบริษัทข้ามชาติที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนและเข้าข่ายตามกฎหมายดังกล่าวประมาณ 1,500 ราย รวมทั้งบริษัทใหญ่ของไทยประมาณ 100 ราย ในขณะเดียวกัน ประเทศต่าง ๆ ก็เริ่มทยอยออกมาตรการบรรเทาผลกระทบของ Global Minimum Tax ในรูปแบบที่แตกต่างกันไป

นายนฤตม์ กล่าวอีกว่า เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย และจูงใจให้เกิดการลงทุนอย่างต่อเนื่องบีโอไอจึงเสนอปรับแก้กฎหมายการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ ที่อยู่ภายใต้บีโอไอ เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ใหม่ในรูปแบบเครดิตภาษี (Qualified Refundable Tax Credit: QRTC) ซึ่งเป็นเครื่องมือส่งเสริมการลงทุนตามแนวทางที่ OECD ยอมรับเพื่อให้ประเทศไทยมีเครื่องมือดึงดูดการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ สามารถรักษาฐานการผลิตในอุตสาหกรรมเป้าหมายควบคู่กับการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนใหม่ๆที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง  

โดย “เครดิตภาษี (QRTC)” เป็นการอนุญาตให้นำเงินลงทุนและค่าใช้จ่ายสำคัญที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ เช่น การวิจัยและพัฒนา การสร้างนวัตกรรม การพัฒนาบุคลากรทักษะสูง การยกระดับมาตรฐาน การลงทุนด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ระบบอัตโนมัติ และความยั่งยืน ไปใช้คำนวณเป็นเครดิต ซึ่งเครดิตดังกล่าวสามารถนำไปใช้ชำระภาษีต่างๆแทนเงินสด เช่น ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีส่วนเพิ่ม หรือภาษีอากรอื่นตามที่กระทรวงการคลังกำหนด และหากผู้ได้รับการส่งเสริมใช้เครดิตภาษีนั้นแล้ว แต่ยังมีคงเหลือ สามารถขอคืนเป็นเงินสดได้ภายใน 4 ปี ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด ซึ่งเครดิตภาษีจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากการจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่ม เพิ่มสภาพคล่องให้กับธุรกิจได้ทันที และยังช่วยสนับสนุนให้มีการลงทุนเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันได้อย่างต่อเนื่องออกมาตรการเสริมความแข็งแกร่งสตาร์ตอัปไทย

นอกจากนี้ คณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ ยังเห็นชอบให้ปรับปรุงมาตรการส่งเสริมสตาร์ตอัปที่มีศักยภาพสูง ให้ตอบโจทย์ธุรกิจในช่วงเติบโต (Growth Stage) โดยใช้กลไกการให้เงินสนับสนุนจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ ภายใต้บีโอไอ แก่สตาร์ตอัปในลักษณะ Matching Fund โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องเป็นสตาร์ตอัปที่ได้รับเงินร่วมลงทุนไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท จากกองทุนร่วมลงทุน (Venture Capital: VC) ที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) หรือที่จัดตั้งโดยสถาบันการเงินในประเทศ และบีโอไอจะพิจารณาสนับสนุนในวงเงินไม่เกินกว่ามูลค่าที่่ได้รับจาก VC แต่ทั้งนี้ ไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อรายเพื่อกระตุ้นให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมและมุ่งขยายตลาดไปสู่ต่างประเทศมากขึ้น มาตรการใหม่นี้จะมุ่งเน้นสตาร์ตอัปที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Tech) ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ เกษตรและอาหาร เทคโนโลยีชีวภาพ การแพทย์ หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ การพัฒนาเทคโนโลยี AI และเศรษฐกิจหมุนเวียน (BCG) โดยผู้ได้รับการส่งเสริมจะต้องมีบุคคล/นิติบุคคลสัญชาติไทยถือหุ้นรวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 และกลุ่มผู้ก่อตั้ง (Founder) ต้องถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 

“การปรับปรุง พ.ร.บ. เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ ครั้งนี้ จะทำให้บีโอไอมีเครื่องมือใหม่ที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนทั่วโลก ในยุคที่กติกาการเก็บภาษีขั้นต่ำของ OECD เข้ามามีอิทธิพลกับการตัดสินใจลงทุนระหว่างประเทศของบริษัทยักษ์ใหญ่ โดยเครดิตภาษีหรือ QRTC จะเป็นเครื่องมือที่สอดคล้องกับกฎของ OECD และจะช่วยดึงดูดการลงทุนคุณภาพโดยเฉพาะเม็ดเงินลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนา การสร้างบุคลากรทักษะสูง และการลงทุนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ นอกจากนี้ มาตรการส่งเสริมสตาร์ตอัปที่บอร์ดอนุมัติครั้งนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสและสนับสนุนการเติบโตของสตาร์ตอัปไทย โดยเฉพาะในกิจการที่มีเทคโนโลยีสูงและเป็นจุดแข็งของประเทศ” นายนฤตม์ กล่าว

#BOI #เครดิตภาษี #GlobalMinimumTax #ลงทุนไทย #ฟื้นฟูเศรษฐกิจ #Startupไทย #DeepTech #เทคโนโลยีขั้นสูง #เศรษฐกิจดิจิทัล #ข่าวเศรษฐกิจ

บีโอไอ บุกงานเซมิคอนดักเตอร์อาเซียน ชูศักยภาพไทย ฐานผลิตชิประดับภูมิภาค

บีโอไอ ผนึกกำลังภาคเอกชน ร่วมงานเซมิคอนดักเตอร์อาเซียน "ASEAN Semiconductor Summit 2025" ที่มาเลเซีย ขึ้นเวทีประกาศความพร้อมและศักยภาพของไทย ในการเป็นฐานการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ (ชิป) ชั้นนำของภูมิภาค สร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนจากทั่วโลก พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ ตอกย้ำบทบาทไทยในห่วงโซ่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า บีโอไอ ร่วมกับผู้บริหารสมาคมการค้าอุตสาหกรรมไทยเซมิคอนดักเตอร์ สมาคมแผ่นวงจรพิมพ์ไทย และศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (TMEC) ได้เข้าร่วมการประชุมใหญ่เซมิคอนดักเตอร์อาเซียน (ASEAN Semiconductor Summit 2025) ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเวทีนานาชาติด้านเซมิคอนดักเตอร์ที่สำคัญที่สุดของอาเซียน โดยมีนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เป็นประธาน และมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 500 คนจากทั่วโลก ส่วนใหญ่เป็นผู้บริหารจากบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ สมาคมเซมิคอนดักเตอร์ และหน่วยงานรัฐจากประเทศต่าง ๆ โดยการเข้าร่วมงานของทีมไทยแลนด์ในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อนำเสนอประเทศไทย รวมทั้งแผนพัฒนาระบบนิเวศของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ ให้นักลงทุนจากทั่วโลกรับรู้ว่าประเทศไทยมีความพร้อม และมีศักยภาพสูงในการเป็นฐานการผลิตชิปที่สำคัญของภูมิภาคอาเซียน

อุตสาหกรรมชิปเติบโต ท่ามกลางสงครามการค้าโลก

ที่ประชุมได้หารือถึงทิศทางของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดยมองว่าเป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตเร็วและมีมูลค่าสูงมาก ปัจจุบันตลาดโลกมีมูลค่ากว่า 6.3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะโตถึงระดับ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2030 เนื่องจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ชิปเป็นองค์ประกอบสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นดาต้าเซ็นเตอร์และ AI ยานยนต์สมัยใหม่ สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์การแพทย์ ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ ซึ่งชิปถือเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ในอนาคต นับตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิดที่โลกประสบภาวะขาดแคลนชิป รวมทั้งสงครามการค้าระหว่างมหาอำนาจ ได้ทำให้เซมิคอนดักเตอร์ กลายมาเป็นอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ระดับโลก ที่ส่งผลต่อทั้งการพัฒนาเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ อีกทั้งเป็นอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูงที่สุดในการแย่งชิงการลงทุนระหว่างประเทศต่าง ๆ

อาเซียนจับมือสร้างซัพพลายเชนและเพิ่มอำนาจต่อรอง 

การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในปัจจุบัน เป็นซัพพลายเชนที่เชื่อมโยงหลายประเทศทั่วโลก ตั้งแต่การออกแบบ การผลิตแผ่นเวเฟอร์และวัตถุดิบต่าง ๆ การประกอบและทดสอบ รวมถึงการผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง โดยกลุ่มอาเซียนมีบทบาทสำคัญมาก เพราะสามารถทำได้ครบวงจร มีมูลค่าส่งออกเซมิคอนดักเตอร์จากอาเซียนกว่า 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐต่อปี คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 4 ของมูลค่าส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก โดยเฉพาะในขั้นตอนการประกอบและทดสอบชิป ซึ่งอาเซียนเป็นฐานสำคัญของโลก โดยประเทศที่เป็นแหล่งผลิตสำคัญ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม ไทย และฟิลิปปินส์ การกระชับความร่วมมือระหว่างอาเซียน เป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยสร้างอำนาจต่อรอง และทำให้ซัพพลายเชนของเซมิคอนดักเตอร์ในภูมิภาคแข็งแกร่ง สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก

ประเทศไทยพร้อมดึงดูดอุตสาหกรรมชิป 

ในงานนี้ เลขาธิการบีโอไอ ได้ขึ้นเวทีกล่าวถึงความพร้อมและความก้าวหน้าของไทยในการดึงดูดอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง โดยชี้ให้เห็นจุดแข็งและปัจจัยพื้นฐานที่ดีของไทย ทั้งด้านสาธารณูปโภค ระบบไฟฟ้าที่เสถียร ศักยภาพด้านพลังงานสะอาด ซัพพลายเชนที่แข็งแกร่ง บุคลากรที่มีคุณภาพ รวมทั้งอุตสาหกรรมปลายน้ำที่กำลังเติบโตสูง โดยเฉพาะในกลุ่ม Power Electronics เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า ดาต้าเซ็นเตอร์ และระบบกักเก็บพลังงาน

ปัจจุบันไทยเป็นฐานผลิต Hard Disk Drive (HDD) ติดอันดับ Top 3 ของโลก โดยมีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ HDD ที่ป้อนให้กับดาต้าเซ็นเตอร์ ฐานผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) ติดอันดับ Top 5 ของโลก จากคลื่นการลงทุนที่เข้ามาไทยในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งการประกอบและทดสอบชิป โดยบริษัทชั้นนำกว่า 10 ราย เช่น NXP, Toshiba, UTAC และ Microchip

นอกจากนี้ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ยังมีบริษัทระดับโลกอีกหลายรายตัดสินใจเข้ามาตั้งฐานในไทย เช่น บริษัท Infineon ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์อันดับ 1 ของเยอรมนี ตัดสินใจเลือกไทยเป็นฐานผลิตชิปประเภท Power Module เป็นแห่งที่ 3 ของโลก ต่อจากเยอรมนีและจีน รวมทั้งการตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา และทดสอบชิปในไทย บริษัท Analog Devices (ADI) จากสหรัฐอเมริกา เข้ามาลงทุนด้านการออกแบบชิป (IC Design) และการทดสอบชิปขั้นสูงในไทย บริษัท Foxsemicon (FITI) ผู้ผลิตอุปกรณ์สำหรับเครื่องจักรผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่จากไต้หวัน ทุ่มเงินกว่า 1 หมื่นล้านบาท ตั้งฐานผลิตในไทยเป็นแห่งที่ 4 ของโลก ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 การลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีผู้ขอรับการส่งเสริมมากถึง 168 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1.08 แสนล้านบาท  

บอร์ดเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ เร่งจัดทำ Roadmap และพัฒนาบุคลากร

เลขาธิการบีโอไอ ได้ชี้ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยที่จะก้าวสู่ฐานอุตสาหกรรมชิปที่โดดเด่นของภูมิภาค โดยรัฐบาลได้จัดตั้ง “คณะกรรมการนโยบายอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงแห่งชาติ” (บอร์ดเซมิคอนดักเตอร์) โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และเลขาธิการบีโอไอ เป็นเลขานุการ
ความคืบหน้าล่าสุดกำลังดำเนินการ 2 เรื่องสำคัญ คือ การจัดทำแผนยุทธศาสตร์เซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ โดยบอร์ดได้ว่าจ้างที่ปรึกษาระดับโลกมาช่วยประเมินขีดความสามารถ กำหนดเป้าหมาย วางแผนพัฒนาระบบนิเวศ แผนดึงดูดการลงทุน และออกแบบมาตรการสนับสนุน โดยคาดว่าจะนำเสนอบอร์ดได้ภายใน 2 เดือนข้างหน้านี้ 

อีกเรื่องที่สำคัญ คือ การเตรียมพร้อมบุคลากร ซึ่งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้ประกาศเป้าหมายสร้างบุคลากรด้านเซมิคอนดักเตอร์ไม่น้อยกว่า 80,000 คน ภายใน 5 ปี โดยปัจจุบัน ได้เริ่มโครงการพัฒนาหลักสูตร Sandbox ระหว่าง 7 บริษัทชั้นนำ ร่วมกับ 15 มหาวิทยาลัยในไทย รวมทั้งการเปิดศูนย์พัฒนากำลังคนด้านเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ (National Semiconductor Training Center) 3 แห่ง ได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร อีกทั้งมีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และไต้หวันด้วย

"ที่ผ่านมา บีโอไอได้ร่วมกับพันธมิตรภายใต้บอร์ดเซมิคอนดักเตอร์ เดินหน้าสร้างความร่วมมือระดับโลกกับองค์กรนานาชาติ ทั้งสถาบันวิจัย สถาบันการศึกษา องค์กรเอกชน โดยเฉพาะสมาคมเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐอเมริกา อย่าง SIA และ SEMI ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของนักลงทุน ขณะเดียวกัน เราได้เดินสายเจรจากับนักลงทุนเป้าหมาย ทั้งในสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน และอินเดีย เพื่อเปิดเกมรุกและฟังความต้องการของภาคเอกชนโดยตรง ทั้งหมดนี้เป็นการทำงานคู่ขนาน ทั้งด้านนโยบายและภาคปฏิบัติ เป้าหมายของเราไม่ใช่แค่ให้ไทยเป็นฐานการผลิตเท่านั้น แต่ต้องมีบทบาทในห่วงโซ่เทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ทั้งระบบในระยะยาวด้วย" นายนฤตม์ กล่าว

 

บีโอไอเผยยอดลงทุนครึ่งปีแรก 2568 พุ่งทะลุ 1 ล้านล้านบาท หนุนไทยขึ้นแท่นศูนย์กลางลงทุนภูมิภาค

บีโอไอ เผยยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนครึ่งแรก ปี 2568 เติบโตต่อเนื่องท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์โลก มูลค่าสูงกว่า 1 ล้านล้านบาท จาก 1,880 โครงการ นักลงทุนไทยและต่างประเทศเดินหน้าขยายลงทุน นำโดยอุตสาหกรรมดิจิทัล อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ สะท้อนศักยภาพของไทยในการเป็นศูนย์กลางการลงทุนที่แข็งแกร่งในภูมิภาค

วันที่ 24 ก.ค.68 นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า แนวโน้มการลงทุนในไทยในปี 2568 ยังเติบโตสูง และได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงครึ่งปีแรก(ม.ค.-มิ.ย.68) มีการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งในด้านจำนวนโครงการและเงินลงทุน ตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุน มีจำนวน 1,880 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 38 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าเงินลงทุนรวม 1,058,225 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 138 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นและบทบาทของไทยในการเป็นศูนย์กลางการลงทุนที่สำคัญในภูมิภาค

กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูง ได้แก่ ดิจิทัล 522,577 ล้านบาท (89 โครงการ) อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า 125,786 ล้านบาท (268 โครงการ) ยานยนต์และชิ้นส่วน 45,195 ล้านบาท (172 โครงการ) การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 42,238 ล้านบาท (191 โครงการ) เกษตรและแปรรูปอาหาร 30,785 ล้านบาท (184 โครงการ) ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ 26,726 ล้านบาท (161 โครงการ) การแพทย์ 18,582 ล้านบาท (68 โครงการ) และการท่องเที่ยว 12,894 ล้านบาท (17 โครงการ) ตามลำดับ

โครงการที่น่าสนใจที่ขอรับการส่งเสริมในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ซึ่งสะท้อนถึงความโดดเด่นของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาคในด้านยานยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ และดิจิทัล มีตัวอย่าง เช่น โครงการลงทุน Data Center ขนาดใหญ่ โครงการขยายการลงทุนของค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นเพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และรถกระบะ การผลิต Power Control Unit (PCU) สำหรับรถยนต์ไฮบริด การผลิตเซลล์แบตเตอรี่เพื่อใช้ในยานยนต์ไฟฟ้าและระบบกักเก็บพลังงาน การผลิตตัวเก็บประจุชนิดพิเศษที่ใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น Notebook, Smartphone และ AI Data Center การประกอบและทดสอบชิป การผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) เป็นต้น

สำหรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมจำนวน 1,369 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 59 เงินลงทุนรวม 737,572 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 132 โดยประเทศ/เขตเศรษฐกิจที่มีมูลค่าขอรับการส่งเสริมสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สิงคโปร์ 246,977 ล้านบาท ฮ่องกง 218,638 ล้านบาท จีน 102,263 ล้านบาท สหราชอาณาจักร 93,726 ล้านบาท และญี่ปุ่น 49,819 ล้านบาท ตามลำดับ ทั้งนี้ เงินลงทุนจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว เกิดจากการลงทุนในกิจการ Data Center ขนาดใหญ่จากสิงคโปร์ ฮ่องกง สหราชอาณาจักร จีน และญี่ปุ่น การลงทุนครั้งนี้จะช่วยยกระดับศักยภาพประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางดิจิทัลของภูมิภาค รองรับอุตสาหกรรมใหม่ เช่น AI และ IoT ทั้งในประเทศและสามารถเชื่อมต่อกับตลาดในภูมิภาคอาเซียน ในด้านพื้นที่ เงินลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออก มีมูลค่า 660,631 ล้านบาท จาก 1,011 โครงการ รองลงมา ได้แก่ ภาคกลาง 333,654 ล้านบาท ภาคใต้ 20,081 ล้านบาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 19,354 ล้านบาท ภาคตะวันตก 11,342 ล้านบาท และภาคเหนือ 4,571 ล้านบาท ตามลำดับ

นอกจากนี้ การขอรับการส่งเสริมตามมาตรการยกระดับอุตสาหกรรมไปสู่ Smart และ Sustainable Industry ซึ่งเป็นการลงทุนปรับปรุงกิจการเดิมให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น มีผู้ให้ความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วงครึ่งแรก ปี 2568 มีคำขอรับการส่งเสริมจำนวน 365 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 99 และมีมูลค่าเงินลงทุนรวม 26,741 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 43 ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนด้านการประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานทดแทน การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การปรับเปลี่ยนเครื่องจักรให้ทันสมัย การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิต

สำหรับการอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุน ในช่วงครึ่งแรก ปี 2568 มีจำนวน 1,504 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 904,063 ล้านบาท โดยประโยชน์ของโครงการที่ได้รับอนุมัติเหล่านี้ คาดว่าจะเกิดการจ้างงานคนไทยกว่า  110,000 ตำแหน่ง มีการใช้วัตถุดิบในประเทศประมาณ 3.6 แสนล้านบาท/ปี คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 42 ของมูลค่าวัตถุดิบทั้งหมด และทำให้มูลค่าส่งออกของประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 7.8 แสนล้านบาท/ปี ขณะที่การออกบัตรส่งเสริม ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ใกล้เคียงการลงทุนจริงมากที่สุด มีจำนวน 1,310 โครงการ เงินลงทุนรวม 652,903 ล้านบาท

“ถึงแม้สถานการณ์โลกจะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความเสี่ยง แต่โลกธุรกิจต้องเดินหน้าต่อไป และ หลายบริษัทจำเป็นต้องมองข้ามความผันผวนในช่วงนี้ แล้วหันมาให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการความเสี่ยงในระยะสั้น ควบคู่ไปกับการวางยุทธศาสตร์การลงทุนในระยะยาว โดยเลือกแหล่งลงทุนที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี มีความพร้อมของระบบสาธารณูปโภคและ Supply Chain มีบุคลากรที่มีคุณภาพ รวมทั้งมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ ซึ่งนักลงทุนชั้นนำจำนวนมากให้ความเชื่อมั่นในศักยภาพและตัดสินใจขยายการลงทุนในประเทศไทย ทำให้สถิติการลงทุนในช่วงครึ่งปีแรกยังเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ทั้งดิจิทัลและเทคโนโลยี AI ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ ยานยนต์และชิ้นส่วน รวมทั้งกลุ่มเกษตร อาหารและพลังงานหมุนเวียน ซึ่งล้วนเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ” นายนฤตม์ กล่าว

#บีโอไอ #ลงทุนไทย #ลงทุนครึ่งปี2568 #ส่งเสริมการลงทุน #เศรษฐกิจไทย #FDI #อุตสาหกรรมดิจิทัล #ยานยนต์ไฟฟ้า #พลังงานหมุนเวียน #ข่าวเศรษฐกิจ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้

 

ประเด็นร้อนเศรษฐกิจรอบวัน 16 ก.ค.68

ประเด็นร้อนเศรษฐกิจรอบวัน 16 ก.ค.68 

-ดัชนีเชื่อมั่นอุตสาหกรรมปรับตัวลดลง ต่ำสุดในรอบ 8 เดือน หลังเจอศึกรอบด้าน ปิดด่านชายแดนกัมพูชา-ขึ้นภาษีสหรัฐฯ-สินค้าต่างชาติทะลัก-การเมืองไม่แน่นอน คาด 3 เดือนข้างหน้าลดลงต่อเนื่อง วอนรัฐบาทเจรจาภาษีทรัมป์สำเร็จ ก่อน 1 ส.ค.68

-นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทยระบุเศรษฐกิจไทยติดกับดักซ้ำซ้อน เงินไหลออก-หนี้ครัวเรือนสูง แนะใช้มาตรการกระตุก ประคองและปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ปลดล็อกความเปราะบาง ใช้ทรัพยากรอย่างตรงจุด

-บีโอไอ ออก 5 มาตรการส่งเสริมลงทุน หนุนผู้ประกอบการไทยปรับตัว รับมือมาตรการภาษีสหรัฐฯ และสงครามการค้าในโลกยุคใหม่ที่มีการแข่งขันสูง มุ่งเสริมศักยภาพผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยเข้าสู่ Supply Chain โลก พร้อมทั้งเร่งกิจกรรมจับคู่สร้างเครือข่ายธุรกิจ ขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ คว้าโอกาสท่ามกลางวิกฤต

 

 

บีโอไอเปิด 5 มาตรการใหม่ หนุนผู้ประกอบการไทยรับมือสงครามการค้าโลก ลดเสี่ยงภาษีสหรัฐฯ

บีโอไอ ระดมออก 5 แพ็กเกจส่งเสริมลงทุน หนุนผู้ประกอบการไทยปรับตัว รับมือมาตรการภาษีของสหรัฐฯ และสงครามการค้า ในโลกยุคใหม่ที่มีการแข่งขันสูง มุ่งเสริมศักยภาพผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยเข้าสู่ Supply Chain โลก พร้อมทั้งเร่งกิจกรรมจับคู่สร้างเครือข่ายธุรกิจ ขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ คว้าโอกาสท่ามกลางวิกฤต  

วันที่ 16 ก.ค.68 นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ตั้งแต่รัฐบาลสหรัฐอเมริกา เริ่มประกาศนโยบายเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวล ประกอบกับสถานการณ์การแข่งขันทางธุรกิจในประเทศมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา บีโอไอได้หารือกับกลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อเข้าใจปัญหาและหาแนวทางบรรเทาผลกระทบ โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ซึ่งมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้ออกมาตรการชุดใหญ่ ภายใต้ชื่อว่า “มาตรการส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการไทย เพื่อรองรับโลกยุคใหม่” เพื่อตอบโจทย์ 2 เรื่องสำคัญ คือ (1) สนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และเสริมสร้าง Supply Chain ในประเทศให้แข็งแกร่ง พร้อมรองรับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น และ (2) ลดความเสี่ยงจากมาตรการการค้าของสหรัฐอเมริกา และจัดระเบียบการลงทุนในบางสาขา เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ และรักษาสมดุลในการแข่งขันทางธุรกิจให้เหมาะสม โดยมี 5 มาตรการย่อย ดังนี้ 

มาตรการที่ 1  มาตรการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SMEs ไทย ปรับปรุงประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยกำหนดสิทธิประโยชน์พิเศษสำหรับ SMEs ไทย ที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ให้สามารถลงทุนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ เช่น การปรับเปลี่ยนเครื่องจักรให้ทันสมัย การใช้ระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีดิจิทัลช่วยยกระดับกิจการ การประหยัดพลังงาน การยกระดับสู่มาตรฐานสากล รวมทั้งการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ โดยเพิ่มสิทธิประโยชน์แก่ SMEs ไทยเป็นพิเศษ จากเดิมยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี ในวงเงินร้อยละ 50 ของเงินลงทุนในการปรับปรุงประสิทธิภาพ ปรับเพิ่มขึ้นเป็นยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี ในวงเงินร้อยละ 100 ของเงินลงทุนในการปรับปรุงประสิทธิภาพ

มาตรการที่ 2  มาตรการส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนในประเทศไทย (Local Content) สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยมีช่องทางการขายที่กว้างขวางขึ้น และสามารถเชื่อมต่อกับบริษัทต่างชาติเพื่อเข้าสู่ Supply Chain ระดับโลก ผ่านการกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อจูงใจให้บริษัทต่าง ๆ ใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ โดยกำหนดเงื่อนไขให้บริษัทจะต้องได้รับการรับรอง Made in Thailand (MiT) จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งต้องใช้วัตถุดิบและชิ้นส่วนในประเทศตามสัดส่วนที่กำหนด คือ การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV ไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของมูลค่าวัตถุดิบทั้งหมด รถยนต์ไฟฟ้าแบบ PHEV ร้อยละ 45 ชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า ร้อยละ 15 และเครื่องใช้ไฟฟ้า ร้อยละ 40 โดยจะได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล ร้อยละ 50 เพิ่มเติมอีก 2 ปี จากเกณฑ์ปกติ มาตรการนี้จะทำควบคู่กับกิจกรรมจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการรายใหญ่กับผู้ผลิตชิ้นส่วนไทย เช่น งาน SUBCON Thailand และ Business Matching ที่มียอดจับคู่ธุรกิจกว่า 20,000 ล้านบาทต่อปี และกิจกรรม Sourcing Day ที่บีโอไอจัดร่วมกับบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์

มาตรการที่ 3  การเพิ่มความเข้มข้นในการพิจารณากระบวนการผลิตที่เป็นสาระสำคัญ สำหรับบางกิจการที่มีความเสี่ยงต่อการสวมสิทธิ และอาจได้รับผลกระทบจากมาตรการการค้าของสหรัฐฯ เช่น กิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์โลหะ สิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์ กระเป๋า เป็นต้น โดยกำหนดเป็นเงื่อนไขชัดเจนว่า ต้องมีกระบวนการผลิตที่เป็นสาระสำคัญ โดยมีการแปรสภาพวัตถุดิบหลักเป็นผลิตภัณฑ์อย่างเพียงพอ เช่น มีการเปลี่ยนพิกัดศุลกากรอย่างน้อยในระดับ 4 หลัก เพื่อให้การผลิตเพื่อส่งออกของไทยเป็นที่ยอมรับและเกิดประโยชน์ต่อประเทศชัดเจนมากยิ่งขึ้น

มาตรการที่ 4  การจัดระเบียบการลงทุนในบางสาขา เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ และรักษาสมดุลในการแข่งขันทางธุรกิจให้เหมาะสม ดังนี้ (1) กิจการที่ใช้เทคโนโลยีไม่สูง และมีความเสี่ยงต่อมาตรการการค้าของสหรัฐฯ โดยยกเลิกการส่งเสริมผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์ อุปกรณ์เสริมและอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ รวมทั้งกำหนดหุ้นไทยข้างมากในกิจการผลิตเฟอร์นิเจอร์ กระเป๋า และสิ่งพิมพ์  (2) กิจการที่มีปริมาณผลิตเกินความต้องการ (Oversupply) และกระทบกับผู้ผลิตในประเทศ โดยยกเลิกการส่งเสริมผลิตเหล็กขั้นปลาย เช่น เหล็กทรงยาวทุกชนิด เหล็กแผ่นรีดร้อน เหล็กแผ่นหนา ท่อเหล็ก และกิจการตัดโลหะ  (3) กิจการที่มีความเสี่ยงด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือชุมชน เช่น การผลิตผลิตภัณฑ์โลหะ เคมีภัณฑ์ พลาสติก การรีด ดึง หล่อหรือทุบโลหะ โดยงดให้สิทธิถือครองที่ดินเพื่อประกอบกิจการ เพื่อให้กิจการเหล่านี้ต้องไปตั้งในนิคมอุตสาหกรรมและได้รับการกำกับดูแลที่รัดกุมมากขึ้น

มาตรการที่ 5  การปรับปรุงเงื่อนไขการจ้างงานบุคลากรต่างชาติ เพื่อสร้างโอกาสการจ้างงานในประเทศ และกระตุ้นให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้แก่บุคลากรไทยมากขึ้น โดยกำหนดว่า หากเป็นกิจการผลิตที่มีการจ้างงานทั้งบริษัทตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป จะต้องมีการจ้างบุคลากรไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 นอกจากนี้ ยังได้กำหนดรายได้ขั้นต่ำของบุคลากรต่างชาติที่จะขอใช้สิทธิด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงานกับบีโอไอ เช่น ถ้าเป็นระดับผู้บริหาร ต้องมีรายได้ไม่น้อยกว่า 150,000 บาทต่อเดือน และระดับผู้เชี่ยวชาญ ไม่น้อยกว่า 50,000 บาทต่อเดือน เพื่อให้สามารถคัดกรองบุคลากรต่างชาติที่มีทักษะสูงให้เข้ามาช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มแก่เศรษฐกิจไทยได้ดียิ่งขึ้น

นอกจากนี้ บีโอไอ กำลังเตรียมเสนอมาตรการเพิ่มเติม เพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ อีกทั้งทำให้ประเทศไทยยังคงสามารถแข่งขันกับประเทศต่างๆในการดึงดูดการลงทุน โดยจะเน้นอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ และเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น กลุ่มอาหาร ผลิตภัณฑ์ยาง ชิ้นส่วนยานยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักร อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น

“สงครามการค้าโลกที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง ทั้งจากภาษีที่สูงขึ้น กฎกติกาการค้าใหม่ๆ การแข่งขันกับสินค้านำเข้า การเข้ามาของการลงทุนต่างชาติและและเทคโนโลยีใหม่ๆที่อาจส่งผลกระทบกับอุตสาหกรรมดั้งเดิม ประเทศไทยจำเป็นต้องวางยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจและการลงทุนให้เหมาะสม เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมเดิม ควบคู่กับการสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ๆที่จะเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะยาว บีโอไอจึงได้ออกมาตรการใหม่หลายด้าน เพื่อมุ่งจัดระเบียบการลงทุน พร้อมกับหนุนให้ผู้ประกอบการไทยเร่งปรับตัว เพื่อคว้าโอกาสการเติบโตในโลกการค้ายุคใหม่” นายนฤตม์ กล่าว

#บีโอไอ #มาตรการลงทุน #สงครามการค้าโลก #ภาษีสหรัฐ #ผู้ประกอบการไทย #ลงทุนไทย #SupplyChain #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์