PRAPAT พบนลท. “นครปฐม” ตอกย้ำศักยภาพผู้นำธุรกิจ Cleaning Hygiene Solutions 

วันที่ 22 เมษายน 2568 บริษัท พีรพัฒน์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ PRAPAT นำโดย นายสืบพงศ์ เกตุนุติ ประธานบริษัท, นางสาวรุ่งทิพย์ มีแม่นวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนายนวพล แย้มจั่น ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน พร้อมด้วย ดร.สมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ และนายมุฒิชัย อรุณเรืองอร่าม ผู้อำนวยการฝ่าย บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM นำเสนอกลยุทธ์และศักยภาพในการเติบโตของบริษัท ในฐานะผู้นำธุรกิจ Cleaning Hygiene Solutions ในตลาดอุตสาหกรรม Hospitality, Healthcare & Food Industry ทั้งในประเทศและกลุ่มประเทศ CLMV ให้กับนักลงทุนจังหวัดนครปฐม ณ โรงแรม ไมด้า แกรนด์ ทวารวดี จังหวัดนครปฐม 

PRAPAT พบนักลงทุน “นครปฐม” ตอกย้ำศักยภาพผู้นำธุรกิจ Cleaning Hygiene Solutions 

PRAPAT พบนักลงทุน “นครปฐม” ตอกย้ำศักยภาพผู้นำธุรกิจ Cleaning Hygiene Solutions 

บริษัท พีรพัฒน์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ PRAPAT นำโดย นายสืบพงศ์ เกตุนุติ ประธานบริษัท, นางสาวรุ่งทิพย์ มีแม่นวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนายนวพล แย้มจั่น ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน พร้อมด้วย ดร.สมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ และนายมุฒิชัย อรุณเรืองอร่าม ผู้อำนวยการฝ่าย บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM นำเสนอกลยุทธ์และศักยภาพในการเติบโตของบริษัท ในฐานะผู้นำธุรกิจ Cleaning Hygiene Solutions ในตลาดอุตสาหกรรม Hospitality, Healthcare & Food Industry ทั้งในประเทศและกลุ่มประเทศ CLMV ให้กับนักลงทุนจังหวัดนครปฐม ณ โรงแรม ไมด้า แกรนด์ ทวารวดี จังหวัดนครปฐม เ

AOT จัดงานเปิดโอกาสทองนักลงทุนรุกพื้นที่ศักยภาพสูงรอบท่าอากาศยานทั่วประเทศ

AOT เตรียมจัดงาน “AOT Property Showcase: The Six Pillars of Opportunity” เปิดโอกาสทองนักลงทุนรุกพื้นที่ศักยภาพสูงรอบท่าอากาศยานทั่วประเทศ

AOT จัดงาน "AOT Property Showcase: The Six Pillars of Opportunity" เพื่อเชิญชวนนักลงทุนและผู้ประกอบการภาคเอกชน ร่วมงานพร้อมนำเสนอโอกาสการลงทุนพัฒนาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบริเวณท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งทั่วประเทศ ตอกย้ำวิสัยทัศน์การขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น Aviation Hub แห่งภูมิภาค ในวันอังคารที่ 29 เมษายน 2568 ณ ห้อง Harmony Grand Ballroom ชั้น 2 BDMS Connect Center, Movenpick BDMS Wellness Resort Bangkok

การจัดงาน "AOT Property Showcase: The Six Pillars of Opportunity" ครั้งนี้ถือเป็นการเปิดโอกาสครั้งสำคัญที่นักลงทุนและผู้ประกอบการที่สนใจพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ บนพื้นที่แปลงขนาดใหญ่ใกล้บริเวณท่าอากาศยาน จะได้ร่วมพัฒนาโครงการกับ AOT เช่าที่ดินประกอบธุรกิจ และเลือกซื้อบ้านโดยรอบ
ท่าอากาศยาน บนที่ตั้งของท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่ง ประกอบด้วย ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต เชียงใหม่ หาดใหญ่ และ แม่ฟ้าหลวง เชียงราย ซึ่งเป็นที่ดินราชพัสดุ และทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ AOT ซึ่งทุกทำเลล้วนเป็นทำเลยุทธศาสตร์ที่มีศักยภาพสูง พร้อมรองรับการพัฒนาหลากหลายรูปแบบ อาทิ โครงการเชิงพาณิชย์ ศูนย์กระจายสินค้า ธุรกิจโลจิสติกส์ หรือธุรกิจบริการต่างๆ โดยงานนี้เป็นการจัดงานครั้งแรกของทาง AOT ที่ได้นำที่ดินโดยรอบบริเวณท่าอากาศยานถึง 6 แห่ง มาเปิดให้ชมพร้อมกัน

จุดเด่นของงาน คือ การให้ข้อมูลที่ดินโดยรอบท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งโดยละเอียด เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการลงชื่อเพื่อเดินทางไปร่วมชมที่ดินในสถานที่จริง และปิดท้ายด้วยการเสวนาพิเศษหัวข้อ "โอกาสทองอสังหาริมทรัพย์ของ AOT ก้าวสู่การเป็น AVIATION HUB" โดยได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิ
ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง นำโดย คุณยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ กรรมการอิสระและประธานกรรมการบริหารความเสี่ยง ทอท. ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT และ ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการโครงการ TDRI Economic Intelligence Service พร้อมร่วมรับฟังข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญ อาทิ โอกาสเข้าถึงทำเลยุทธศาสตร์ระดับพรีเมียมที่มีศักยภาพการเติบโตสูง, ทรัพย์สินที่มีความพร้อมด้านสาธารณูปโภคและระบบโลจิสติกส์ครบครัน, โอกาสในการสร้างธุรกิจที่เชื่อมโยงกับระบบขนส่งทางอากาศระดับนานาชาติ, การสนับสนุนจากภาครัฐในการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์, การนำเสนอข้อมูลแบบเจาะลึกผ่านแนวคิด "The Six Pillars of Opportunity"

การจัดงานครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ AOT ในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สิน สร้างรายได้ให้องค์กร และส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศผ่านการเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนร่วมลงทุนในทรัพย์สินที่มีศักยภาพสูง ผู้เข้าร่วมงานจะได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับโอกาสการลงทุนในรูปแบบต่างๆ อาทิ ธุรกิจพาณิชยกรรม โลจิสติกส์ และธุรกิจบริการ พร้อมสัมผัสศักยภาพของพื้นที่ผ่านบูธ Showcase ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่ง

AOT จึงขอเชิญนักลงทุน ผู้ประกอบการ และผู้สนใจเข้าร่วมงาน AOT Property Showcase: The Six Pillars of Opportunity ในวันอังคารที่ 29 เมษายน 2568 เวลา 09:30 – 12:00 น. ณ Harmony Grand Ballroom ชั้น 2 BDMS Connect Center ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและลงทะเบียนสำรองที่นั่งเข้าร่วมงานได้ที่ Line Official Account : https://lin.ee/rWBrKhe อีเมล์ : aotproperty@thegoodsun.net 

                                                                                                                                               

  __________________________________________________________________________

“JPARK” ให้การต้อนรับนักลงทุน สมาชิก Stock focus on Tour โชว์วิสัยทัศน์ทางธุรกิจ

“JPARK” ให้การต้อนรับนักลงทุน สมาชิก Stock focus on Tour โชว์วิสัยทัศน์ทางธุรกิจ

นายสันติพล เจนวัฒนไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายสุดวิณ ปัญญาวงศ์ขันติ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินและบัญชี  บริษัท เจนก้องไกล จำกัด (มหาชน) “JPARK” ให้การต้อนรับคณะนักลงทุน สมาชิก Stock focus on Tour ในโอกาสเข้าเยี่ยมชมกิจการและร่วมให้ข้อมูลภาพรวมธุรกิจ โดยบริษัทตั้งเป้าจะขยายพื้นที่ จำนวนช่องจอดรถใหม่เพิ่มเป็นจำนวน 50,000 ช่องจอด จากสิ้นปี 2567 ที่ทำได้ 42,000 ช่องจอด เป้าหมายการขยายใน กลุ่มพื้นที่สนามบิน, โรงพยาบาล, อาคารสำนักงาน, ตลาด และสวนสาธารณะ

ทั้งนี้บริษัทได้ดำเนินการตามแผนกลยุทธ์ดังนี้ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานผ่านการสร้างอาคารจอดรถบนที่ดินเช่าระยะยาว ได้แก่ อาคารจอดรถ เจปาร์คกาญจนสุข และโครงการอาคารจอดรถที่ศูนย์การแพทย์ กาญจนาภิเษก เพื่อเสริมสร้างรายได้ที่ยั่งยืน, การปรับปรุง ระบบการจองที่จอดรถ และชำระเงินระบบอัตโนมัติ เพื่อลด ต้นทุนการดำเนินงานและเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ณ ห้องประชุม The Mitr-ting Room Samyan Mitrtown Hall ชั้น 5

 

"ยูโอบี" เผยกลยุทธ์การลงทุนเสริมความแข็งแกร่งให้นักลงทุนท่ามกลางความ ไม่แน่นอนของเศรษฐกิจทั่วโลก

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย จัดงานสัมมนาการลงทุนปี 2568 โดยให้ข้อมูลเชิงลึกและกลยุทธ์การลงทุนท่ามกลางสภาวะตลาดที่มีความผันผวน แนะนำสร้างพอร์ตการลงทุนที่แข็งแกร่งผ่าน Core Investment ผ่านกลยุทธ์กระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย (Multi-asset) และตราสารหนี้ระดับ Investment grade เพื่อตอบโจทย์วัตถุประสงค์ทางการเงินในระยะยาว นอกจากนี้ ในงานสัมมนายังได้แนะนำถึงโอกาสในการลงทุน โดยเน้นกลยุทธ์ที่มุ่งสร้างรายได้ผ่านการลงทุนในหุ้นคุณภาพดีที่มีเงินปันผลเพื่อสร้างรายได้ประจำที่มั่นคง และการใช้ประโยชน์จากนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อคว้าโอกาสในการลงทุนที่หลากหลาย

โดยแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปี 2568 จะมีความไม่แน่นอนและความผันผวนที่สูงขึ้นจากการกลับมาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ การดำเนินนโยบายที่เปลี่ยนไปจะส่งผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก ผลกระทบด้านเงินเฟ้อที่คาดว่าจะได้รับแรงกดดัน โดยเฉพาะจากภาษีการค้า สิ่งสำคัญที่นักลงทุนต้องติดตามคือการบังคับใช้ภาษีสินค้านำเข้า ที่มีการเปลี่ยนแปลงและมีการประกาศจากโดนัลด์ ทรัมป์อย่างต่อเนื่อง โดยเราคาดว่าจะเริ่มเห็นความชัดเจนในรายละเอียดมากขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2568 และคาดว่าจะดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบภายในครึ่งแรกของปี 2569 

แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยยังคงมีความยืดหยุ่นแม้จะเผชิญกับความท้าทายจากภายนอก

การคาดการณ์ผลิตภัณฑ์รวมในประเทศของประเทศไทยคาดว่าจะเติบโตร้อยละ 2.9 ในปี 2568 โดยได้รับแรงหนุนจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวนมากและความคาดหวังในการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ดีขึ้น นายเอ็นริโก้ ทานูวิดจายา นักเศรษฐศาสตร์ Global Economics and Market Research กลุ่มธนาคารยูโอบี กล่าวว่า “เม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโต แม้ว่าการท่องเที่ยวจะทำได้ไม่ดีนักในปีที่แล้ว การปรับปรุงนโยบายวีซ่าและการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการส่งออกน่าจะเป็นสิ่งที่สนับสนุนการฟื้นตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการส่งออกสินค้าไปยังภูมิภาค แทนที่สหรัฐฯ เราคาดการณ์ว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยว 37.5 ล้านคน การส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 และเพิ่มงบประมาณอัดฉีดมากกว่าร้อยละ 4.5 อย่างไรก็ตาม ความท้าทายต่างๆ เช่น หนี้ครัวเรือนที่สูงและความสามารถในการชำระหนี้ที่ยังคงจำกัด การฟื้นตัวในประเทศไทยได้รับแรงผลักดันจากภาคบริการเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะนำไปสู่การเติบโตในปี 2568”

คำแนะนำด้านการลงทุนเชิงกลยุทธ์สำหรับนักลงทุน
ในระหว่างงานสัมมนา ทีมที่ปรึกษาด้านการลงทุนของยูโอบีได้เน้นย้ำความสำคัญของการสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีความยืดหยุ่น เพื่อรับมือกับความผันผวนจากความไม่แน่นอนจากนโยบาย โดยแนะนำให้นักลงทุนจัดสรรเงินลงทุนในตราสารหนี้ระดับ Investment Grade เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงและลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน นอกจากนี้ ยูโอบียังแนะนำให้ใช้กลยุทธ์การลงทุนในหลายสินทรัพย์ (Multi Asset) เพื่อกระจายความเสี่ยงและคว้าโอกาสการสร้างผลตอบแทนจากสินทรัพย์ ภูมิภาค และภาคอุตสาหกรรมที่หลากหลาย

นายเอเบล ลิม Head of Wealth Management Advisory and Strategy กลุ่มธนาคารยูโอบี ให้คำแนะนำสำคัญในการจัดการกับความผันผวนในตลาดระยะสั้น โดยเน้นกลยุทธ์ในการสร้างรายได้ การกระจายการลงทุนเพื่อรับมือกับความผันผวนของตลาด และการใช้ประโยชน์จากนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ เขากล่าวว่า "ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงเช่นนี้ ควรมุ่งเน้นไปที่บริษัทที่มีความมั่นคงในระยะยาว ซึ่งเป็นบริษัทที่มีโอกาสผิดนัดชำระหนี้น้อยกว่า กลยุทธ์หลักสามประการที่ต้องให้ความสำคัญคือการสร้างรายได้ การจัดการความผันผวน และการใช้ประโยชน์จากนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์”

กลยุทธ์ด้านรายได้ เช่น การลงทุนในบริษัทที่จ่ายเงินปันผลซึ่งมีกระแสเงินสดที่มั่นคงและงบดุลที่แข็งแกร่ง โดยเน้นไปที่บริษัทที่มีผลกำไร และจ่ายเงินปันผล มีผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่แข็งแกร่ง และรักษาระดับหนี้ให้ต่ำ เนื่องจากบริษัทเหล่านี้สามารถทนต่อความผันผวนของตลาดได้ นอกจากนี้ แนวโน้มของอุตสาหกรรมการเงินในประเทศที่พัฒนาแล้วยังเป็นไปในทางบวก เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรยังคงน่าสนใจ และคุณภาพสินทรัพย์ยังคงดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความผันผวนของตลาดที่อาจเกิดขึ้น การกระจายความเสี่ยงยังคงเป็นกุญแจสำคัญ เช่น อาเซียนมีโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการค้าระหว่างประเทศและการกระจายห่วงโซ่อุปทาน

นอกจากนี้ ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ทรัพย์ปลอดภัยที่สำคัญ เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงยามที่มีความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์
การใช้ประโยชน์จากนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ คาดว่า ภาคการเงินจะได้รับประโยชน์จากการผ่อนคลายข้อบังคับ ทำให้ธนาคารและสถาบันการเงินสามารถจัดสรรเงินทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านการขยายธุรกิจ การจ่ายเงินปันผล และการซื้อหุ้นคืน การลดภาษีของบริษัทจะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจ ซึ่งจะสนับสนุนการเติบโตของตลาดโดยรวม

หุ้นขนาดเล็กและกลางในสหรัฐฯ ก็คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการลดภาษี โดยบริษัทเหล่านี้มักจะมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจภายในประเทศเป็นหลัก ทำให้มีการเสี่ยงน้อยกว่าต่อความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ และมีรูปแบบการลงทุนที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ราคาหุ้นของบริษัทขนาดเล็กในปัจจุบันยังน่าสนใจในการสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ ภาคเทคโนโลยีอาจได้รับประโยชน์จากนโยบายการเติบโตของสหรัฐอเมริกาที่สนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจและนวัตกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างไรก็ตาม ผลกระทบของบริษัทและอุตสาหกรรมที่ยังคงต้องติดตามต่อและขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของตลาด

ดิจิทัลช่วยบริหารจัดการความมั่งคั่ง
นายกิดอน เจอโรม เคสเซล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผลิตภัณฑ์เงินฝากและบริหารการลงทุนบุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ได้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของยูโอบีในการผสมผสานความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนกับเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัยเพื่อให้คำแนะนำตามเป้าหมายทางการเงินแก่ลูกค้า “My Wealth Planner” เครื่องมือดิจิทัลที่ออกแบบมาเพื่อช่วยลูกค้าสร้างพอร์ตการลงทุนเฉพาะบุคคล โดย My Wealth Planner ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจสถานะทางการเงินของตน และวางรากฐานในการลงทุนที่ยั่งยืน เครื่องมือนี้จะประมวลผลข้อมูลของนักลงทุนเพื่อประเมินความเสี่ยงและกำหนดกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายทางการเงิน ทำให้ลูกค้าได้รับคำแนะนำการลงทุนที่เหมาะสมและสามารถติดตามความคืบหน้าของพอร์ตการลงทุนของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยฟีเจอร์การบริหารความมั่งคั่งในแอปพลิเคชัน UOB TMRW ช่วยให้ลูกค้าสามารถซื้อ ขาย และสลับกองทุนรวมได้อย่างง่ายดาย พร้อมทั้งเข้าถึงกองทุนต่างประเทศจากสถาบันการเงินชั้นนำระดับโลก เช่น Fidelity International, Goldman Sachs Asset Management, J.P. Morgan Asset Management, PIMCO และ UOB Asset Management การพัฒนานี้ช่วยเพิ่มศักยภาพการลงทุนให้ลูกค้าสามารถบริหารจัดการการลงทุนได้โดยตรงจากโทรศัพท์มือถือ
 

บอร์ด TFM ไฟเขียวแตกพาร์จาก 2.00 บาทต่อหุ้น เป็น 1.00 บาทต่อหุ้น เพิ่มจำนวนหุ้นอีกเท่าตัว เพิ่มสภาพคล่องพร้อมดึงนักลงทุน

“บอร์ด TFM” ไฟเขียวแตกพาร์เหลือ 1.00 บาทต่อหุ้น จากเดิมหุ้นละ 2.00 บาทต่อหุ้น เพิ่มสภาพคล่องและดึงดูดนักลงทุนให้เข้าถึงได้มากยิ่งขึ้น โดยหลังเปลี่ยนพาร์จำนวนหุ้นจดทะเบียนจะเพิ่มขึ้น 500,000,000 หุ้น เป็น 1,000,000,000 หุ้น โดยการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่กระทบต่อทุนจดทะเบียน ทุนชำระแล้วและสัดส่วนการถือหุ้นในปัจจุบัน”

เมื่อวันที่ 14 ก.พ.68 บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำและอาหารสัตว์เศรษฐกิจของไทย แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 1/2568 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 อนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 4 เมษายน 2568 เพื่อพิจารณาอนุมัติ การเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นสามัญ จากเดิม 2.00 บาทต่อหุ้น เป็น 1.00 บาทต่อหุ้น เพื่อเพิ่มสภาพคล่องของหุ้นสามัญของบริษัท พร้อมทั้งดึงดูดนักลงทุนให้สามารถเข้าถึงหุ้นได้มากยิ่งขึ้น

โดยภายหลังเปลี่ยนแปลงพาร์ จะส่งผลให้บริษัทมีหุ้นจดทะเบียนเพิ่มขึ้น 500,000,000 หุ้น จากเดิมจำนวน 500,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 2.00 บาท เป็นจำนวน 1,000,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท ซึ่งจะส่งผลให้จำนวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายถือครองอยู่เพิ่มขึ้นในอัตราส่วน 1 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 2 หุ้นสามัญใหม่

NER ชวนนักลงทุนร่วมพูดคุยและชมความก้าวหน้าของอุตฯยางพาราไทยครบวงจรทุกมิติ ในงาน FTI EXPO 2025 

NER ชวนนักลงทุนจร่วมพูดคุยและชมความก้าวหน้าของอุตฯยางพาราไทยครบวงจรทุกมิติ ในงาน FTI EXPO 2025 

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน)หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่าย ยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ กลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในและต่างประเทศ เชิญชวนนักลงทุนและผู้สนใจร่วมพูดคุยและชมความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมยางพาราไทยแบบครบวงจรในทุกมิติ  ได้ที่บูธ NER (B24) ภายในงานจัดโชว์แสดงสินค้ามากมาย อาทิ ต้นยาง แผ่นยาง และกิมมิก อื่นๆ รวมทั้งสินค้าที่เป็นของดีจังหวัดบุรีรัมย์ด้วย ในงาน FTI EXPO 2025 งานรวมสุดยอดอุตสาหกรรมไทย จัดโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-15 ก.พ. 2568 เวลา 10.00 - 18.00 น. ณ Hall 6 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

MOTHER ฮอต! นักลงทุนจองซื้อ IPO ล้นหลาม ปักธง เข้าเทรด mai 11 ก.พ.นี้

MOTHER ปิดจองซื้อหุ้น IPO หมดเกลี้ยง 86 ล้านหุ้น นักลงทุนแห่จองซื้อคึกคัก มั่นใจศักยภาพธุรกิจ เร่งเดินหน้าตามแผนระดมทุนเพิ่มโอกาสการเติบโตก้าวกระโดด คาดลงสนามเทรดตลาด mai วันแรก 11 กุมภาพันธ์นี้ 

เมื่อวันที่ 30 ม.ค.68 นายสัมฤทธิ์ชัย ตั้งหะรัฐ กรรมการผู้จัดการ วาณิชธนกิจ บริษัท พาย แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ MOTHER ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคและบริโภค ภายใต้ชื่อ “Mother Supermarket และ Mother Marche” รวม 20 สาขา ในจังหวัดกระบี่ พังงา และสุราษฎร์ธานี พร้อมศูนย์กระจายสินค้าในจังหวัดกระบี่ และสุราษฎร์ธานี เปิดเผยว่า การเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ของ MOTHER จำนวน 86 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท ราคาเสนอขายหุ้นละ 1.40 บาท ที่เปิดให้จองซื้อเมื่อวันที่ 27 – 29 มกราคม 2568 นักลงทุนให้ความสนใจเข้าจองซื้อเต็มจำนวนตั้งแต่วันแรก สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัท ศักยภาพการเติบโต และโอกาสในอนาคต โดยคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) วันที่ 11 กุมภาพันธ์นี้  ในหมวดธุรกิจบริการ โดยใช้ชื่อหลักทรัพย์ว่า “MOTHER”

“จุดแข็งของ MOTHER ที่ดำเนินธุรกิจมามากกว่า 40 ปี ด้วยผู้ก่อตั้งและทีมผู้บริหารมากประสบการณ์ในอุตสาหกรรมค้าปลีก ตั้งอยู่ในจังหวัดท่องเที่ยวที่สำคัญในภาคใต้ มีศูนย์กระจายสินค้าในพื้นที่ โดดเด่นด้วยรูปแบบสาขาและการบริการ สินค้ามีความหลากหลายทั้งแบรนด์ไทยและต่างประเทศแตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นๆ ในพื้นที่ สามารถตอบรับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในพื้นที่ รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างประเทศ ให้เข้าถึงสินค้าที่มีคุณภาพสูงในราคาที่คุ้มค่า นับเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้ MOTHER สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ตามภาวะเศรษฐกิจประเทศและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เติบโต” 

นายเอกพงศ์ โชคชัยวิทัศน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ MOTHER กล่าวว่า ขอขอบคุณนักลงทุนที่เชื่อมั่นในศักยภาพและแผนการลงทุนที่ชัดเจนของบริษัท ทำให้จองซื้อหุ้น IPO จำนวน 86 ล้านหุ้น อย่างล้นหลามเกินความคาดหมาย โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนจำนวนประมาณ 120.40 ล้านบาท จะนำไปใช้ลงทุน(1) ขยายสาขา จำนวน 15 ล้านบาท โดยบริษัทมีแผนขยายสาขาเพิ่มในปีนี้ รวม 3 สาขา ทั้งรูปแบบ Mother Supermarket และ Mother Marche ในพื้นที่ที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวและการลงทุน, (2) ชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน จำนวน 45 ล้านบาท และ (3) นำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ เพื่อเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถการเติบโตของบริษัทอย่างยั่งยืน

“การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ครั้งนี้ นับเป็นก้าวที่สำคัญในการขยายธุรกิจให้แข็งแกร่ง พร้อมสร้าง Brand Awareness บริษัท ให้เป็นที่รู้จักในอุตสาหกรรมค้าปลีกมากยิ่งขึ้น พร้อมต่อยอดธุรกิจใหม่ๆ เพื่อการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต”

รบ.ปลื้ม!นักลงทุนแห่ลงทุนเพิ่ม!คาดสร้างเม็ดเงินมากกว่า 8 แสนล้านบาท

โอกาสไทย 2568 ไทยแลนด์เนื้อหอม..นักลงทุนแห่ลงทุนเพิ่ม! เล็งขอตั้งฐานการผลิตขนาดใหญ่ในอุตฯ อิเล็กทรอนิกส์และดิจิทัล คาดสร้างเม็ดเงินมากกว่า 8 แสนล้านบาท

วันที่ 12 มกราคม 2568 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่ารัฐบาลได้รับรายงานจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอ ว่าแนวโน้มการลงทุนในประเทศไทยในปี 2568 นี้ กำลังมีทิศทางที่สดใส โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีการตั้งเป้าเพิ่มการลงทุนใน 5 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่คาดการณ์ว่าจะสามารถดึงดูดเม็ดเงินการลงทุนมากกว่า 800,000 ล้านบาท

 

คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) พบว่า วันนี้ธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มีการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วงเดือนสิงหาคมถึงสิ้นปี 2567 เป็นจำนวนมาก เช่น PCB คลาวด์ Data Center อีกทั้งยังสนใจลงทุนที่ประเทศไทย ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่เห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพมากและมีความพร้อมในด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล 5G เป็น World-class Data Center และ Cloud Services มีระบบสาธารณูปโภคและโลจิสติกส์ที่ทันสมัย เป็นที่ตั้งฐานการผลิตอิเล็กทรอนิกส์ของบริษัทระดับโลก และเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค

 

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง มีความพร้อมในด้านการค้ากับต่างประเทศ จากการยกระดับการค้าเสรี และกรอบความร่วมมือต่าง ๆ และมีสิทธิประโยชน์สำหรับการลงทุนที่น่าสนใจ เช่น ภาษีและมาตรการทางด้านการเงิน (Financial) ที่เอื้อประโยชน์สำหรับนักลงทุน และครอบคลุมในทุกกระบวนการผลิตของอุตสาหกรรม โดยที่ผ่านมารัฐบาลยังได้ส่งเสริมการผลิตบุคลากรในสาขา STEM เพิ่ม ซึ่งคาดการณ์ในปี 2569 จะมีบุคลากรเพิ่มในสาขาวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์กว่า 3 แสนคน

 

นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนผ่านสีเขียว (Green Transition) และการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน โดยบีโอไอเน้นส่งเสริมการผลิตพลังงานสะอาดทุกรูปแบบ ซึ่ง 3 ปีที่ผ่านมา มีการขอรับการส่งเสริมเป็นเงินลงทุนรวมกว่า 1.8 แสนล้านบาท และเพียงแค่ 9 เดือนแรกของปี 2567 มีเงินลงทุนรวมกันมากกว่า 85,000 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าปี 2565 ถึง 3.7 เท่า

 

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเป็นพื้นที่ที่มีความยืดหยุ่นด้านความปลอดภัย (Safety&Resiliency) มีความเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติต่ำ และปลอดความขัดแย้ง มีระบบสาธารณสุขและการศึกษาที่มีมาตรฐาน โดยประเทศไทยมีความเหมาะสมในการเป็นฐานการผลิต PCB อันดับ 1 ของอาเซียน และปัจจุบันติด Top 5 ของโลก โดยปัจจัยต่าง ๆ จะส่งผลให้แนวโน้มการลงทุนในปี 2568 มีทิศทางที่ดีขึ้น ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าจะสร้างเม็ดเงินการลงทุนไม่ต่ำกว่า 8 แสนล้านบาท โดยตั้งเป้าเพิ่มการลงทุนใน 5 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ 1.อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และชิ้นส่วน 2.อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) 3.อุตสาหกรรมดิจิทัล Data Center และ Cloud Region 4.อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต และ 5.อุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน

         

นายจิรายุ กล่าวว่าต่อไปว่า ”จากข้อมูลทิศทางการลงทุนดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงความพร้อมและโอกาสของประเทศไทยสำหรับการลงทุนเพิ่มของนักธุรกิจที่ลงทุนอยู่เดิม และการลงทุนใหม่ที่จะเกิดขึ้น โดยรัฐบาลได้มุ่งเน้นการดำเนินนโยบายเพิ่มการลงทุนในประเทศ สร้างความมั่นใจให้กับผู้ลงทุน เพื่อสร้างประโยชน์และโอกาสให้กับประชาชนไทยควบคู่กับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอีกด้วย“

หุ้นไทยไม่คึกคัก! นลท.เทขาย ไร้ปัจจัยใหม่หนุน ปิดลดลง 3.05 จุด มูลค่าซื้อขาย 2.4 หมื่นล.

ผู้สื่อข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า วันนี้ (26 ธ.ค.67) ดัชนีปิดที่ระดับ 1,397.80 จุด ลดลง 3.05 จุด (-0.22%) โดยดัชนีทำระดับสูงสุด 1,403.45 จุด และระดับต่ำสุด 1,395.40 จุด มูลค่าการซื้อขาย 24,087.54 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 433.71 ล้านบาท

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งตัวไซด์เวย์ในกรอบ และมูลค่าการซื้อขายเบาบาง เนื่องจากยังอยู่ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ซึ่งตลาดหุ้นต่างประเทศส่วนใหญ่ปิดทำการ ทำให้การซื้อขายไม่คึกคัก

ขณะเดียวกันยังไม่มีปัจจัยใหม่ หลังจากตอบรับปัจจัยต่าง ๆ ไปมากแล้ว อีกทั้งดัชนีปรับเพิ่มขึ้นมาในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาค่อนข้างมาก ทำให้วันนี้อาจจะมีการย่อตัวลงเล็กน้อย และเข้าใกล้ช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ ทำให้ภาพของดัชนีเป็นการแกว่งตัวรอปัจจัยใหม่ ส่วนตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่เปิดทำการวันนี้แกว่งตัวในกรอบแคบ

หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด

CCET มูลค่าการซื้อขาย 1,209.94 ล้านบาท ปิดที่ 9.60 บาท    เพิ่มขึ้น 0.50 บาท

CPALL มูลค่าการซื้อขาย 1,072.20 ล้านบาท ปิดที่ 56.50 บาท ลดลง 0.50 บาท

BDMS มูลค่าการซื้อขาย 880.03 ล้านบาท ปิดที่ 24.50 บาท    คงที่

KBANK มูลค่าการซื้อขาย 838.46 ล้านบาท ปิดที่ 157.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท

DELTA มูลค่าการซื้อขาย 771.23 ล้านบาท ปิดที่ 152.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท