กสทช.งานเข้า! ต่อสัญญารองเลขาฯผิดระเบียบ-ทรูค้านพิรงรองปฏิบัติหน้าที่

จับตาสองเรื่องร้อนในการประชุม กสทช. พุธที่ 7 พฤษภานี้ กรณีรองเลขาฯต่อสัญญาผิดกฎหมายและจดหมายคัดค้านไม่ให้พิรงรองร่วมลงมติในวาระบริษัทเครือทรู

วันที่ 6 พฤษภาคม 2568 คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ยังคมีเรื่องให้จับตามองอย่างต่อเนื่อง หลัง สส.ไอซ์ รัชนก จากพรรคประชาชนโพสต์ตั้งคำถามพร้อมชำแหละข้อมูลรัวๆ ทั้งเรื่องออฟฟิศใหม่มูลค่า 2.6 พันล้าน ของสำนักงาน กสทช. ที่ร้างก่อสร้างมากว่า 3 ปี ประธาน กสทช. ขาดคุณสมบัติ การฮั้วอำนาจครอบงำองค์กรระหว่างประธานกับรักษาการเลขาฯ และการไม่มีเลขาธิการตัวจริงมาเกือบ 5 ปีแล้ว

อีกเรื่องสำคัญที่ สส.รัชนก ตั้งคำถามเกี่ยวกับความไม่ชอบมาพากลในสำนักงาน กสทช. ผ่านเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว คือ การต่อสัญญาจ้างรองเลขาฯ ที่น่าจะผิดกฎหมายและกำลังมีผลเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม นี้เป็นต้นไป ที่น่าสนใจก็คือ เป็นสัญญาจ้างของ นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล ซึ่งโดยตำแหน่งจริงๆ เป็นรองเลขาธิการ สายงานยุทธศาสตร์และกิจการองค์กร แต่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรักษาการเลขาธิการ กสทช. (กรณีไม่มีผู้ดำรงตำแหน่ง) ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2563 แทนนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ อดีตเลขาธิการฯ ที่ลาออกไปสมัครบอร์ด กสทช. แต่เมื่อสรรหาไม่ได้เลยผันตัวไปเล่นการเมือง 

ในแพจของ สส.ไอซ์ รัชนก ระบุว่า ตามสัญญาจ้างแล้ว นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล จะสิ้นสุดสัญญาจ้างในวันที่ 30 เมษายน 2568 แปลว่า ตามกฎหมายเมื่อถึงเวลา นายไตรรัตน์จะต้องออกจากตำแหน่ง ซึ่งการจะต่อสัญญาจ้างตำแหน่งรองเลขานั้น เลขาตัวจริงต้องเป็นผู้พิจารณาเท่านั้น หรือ ถ้าจะจ้างใครเป็น พนักงานประจำ ก็ต้องให้เลขาตัวจริงเป็นผู้พิจารณาอีกเช่นกัน

อีกทั้งได้ทราบข้อเท็จจริงจากเอกสารว่า มีรองเลขาท่านหนึ่งได้ออก “คำสั่งที่อาจจะมิชอบด้วยกฎหมาย” ให้นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล ได้บรรจุเป็นพนักงานประจำหรือก็คือจะเกษียณก็ตอนอายุ 60 ปี เพื่อที่เมื่อถึงเวลาจะได้ไม่หลุดจาก ตำแหน่งรักษาการเลขา แต่รองเลขาท่านนั้นไม่ได้มีอำนาจที่จะแต่งตั้งได้ ต่อมาเหมือนรองเลขา ท่านนั้นเพิ่งรู้สึกตัว จึงออกหนังสือ ด่วนที่สุด "ลับ" ที่ สทช. 2400/47 วันที่ 9 ตุลาคม 2567 เรื่อง ขอให้ติดตามยกเลิกคำสั่ง กสทช ที่ 1019/2567 (เลขหนังสือคำสั่งแต่งตั้งที่อาจจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย)”

นอกเหนือไปจากการไม่มีผลทางกฎหมายเพราะผู้เซ็นได้ขอยกเลิกคำสั่งไปแล้ว ตลอดจนความไม่ชอบด้วยกฎหมายจากการที่รองเลขาฯ คนหนึ่งไปออกคำสั่งที่เกินอำนาจที่สามารถทำได้ (ออกคำสั่งนอกเหนือไปจากการปฏิบัติงานเฉพาะอย่างแทนในตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. ตามคำสั่งสำนักงาน กสทช. ที่ ๑๐๑๙/๒๕๖๗ ที่ได้รับมอบหมาย) แล้ว ยังมีข้อมูลอีกส่วนที่สส.รัชนกยังขุดไปไม่ถึง คือ ในการเข้าสู่ตำแหน่งรองเลขาฯ แบบพนักงานประจำดังกล่าว บอร์ด กสทช.ชุดก่อนยังมีมติกำหนดไว้ชัดเจนด้วยว่าจะต้องมีหลักเกณฑ์ในการประเมินที่ได้รับความเห็นชอบจากกรรมการ กสทช. และเมื่อผ่านการประเมินต้องได้รับความเห็นชอบจาก กสทช.ด้วย ซึ่งเป็นไปตามระเบียบ กสทช. ว่าด้วยการบริหารงานบุคคล พ.ศ.๒๕๖๕ ข้อ ๒๙ ที่การแต่งตั้งรองเลขาธิการ กสทช. ต้องผ่านความเห็นชอบจาก กสทช.

แต่ในกรณีนี้ เมื่อประธาน กสทช. ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ถูกกรรมการทวงถามและเสนอขอให้บรรจุวาระการประชุม กสทช. เรื่อง การออกคำสั่งฯ ดังกล่าว เพื่อให้สำนักงาน กสทช.ชี้แจงขั้นตอนการดำเนินการในการออกคำสั่งดังกล่าวให้ กสทช. ได้ร่วมกันพิจารณาความชอบด้วยกฎหมายของการออกคำสั่งฯ ว่าถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบฯ ที่เกี่ยวข้องและเป็นการละเมิดอำนาจ กสทช.หรือไม่ แต่ประธาน กสทช. ไม่อนุมัติให้มีการบรรจุวาระดังกล่าว โดยชี้แจงว่าสำนักงาน กสทช. ได้ดำเนินการถูกต้องตามระเบียบ ประกาศ หลักเกณฑ์ และคำสั่งที่เกี่ยวข้องแล้ว

จึงน่าสนใจยิ่งว่า ในการประชุมในวันที่ 7 พฤษภาคมนี้ นายไตรรัตน์จะยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปหรือไม่ ภายใต้อำนาจทางกฎหมายอะไร และประธาน กสทช.จะอธิบายเรื่องนี้อย่างไรต่อกรรมการซึ่งอาจจะไม่สบายใจที่จะต้องติดร่างแหในการทำผิดกฎหมายไปด้วย เพราะเรื่องนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่อยู่ที่ ปปช.

อีกประเด็นที่น่าจับตาเช่นกัน คือการที่บริษัททรูมีหนังสือมาคัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต อันสืบเนื่องจากคดีที่มีการฟ้องร้องในศาลอาญาทุจริตประพฤติมิชอบกลาง และมีคำพิพากษาในศาลชั้นต้นว่ามีความผิดในฐานประพฤติมิชอบ ให้ลงโทษจำคุก 2 ปี แต่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการยื่นอุทธรณ์

ในกรณีนี้ มีรายงานข่าวว่าทางประธาน กสทช. ได้มีการเกษียณหนังสือฉบับดังกล่าวเข้ามาในการประชุมอนุกรรมการที่ปรึกษากฎหมายของ กสทช. เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา และทางประธานอนุกรรมการ คือ ศาสตราจารย์พิเศษ จรัญ ภักดีธนากุล ไม่ได้นำเข้าสู่การพิจารณาเพราะเห็นว่ายังไม่ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการ กสทช. จึงเป็นไปได้สูงว่าจะมีการบรรจุวาระเพื่อพิจารณาในการประชุมกรรมการ กสทช. ครั้งต่อไปในวันพุธที่ 7 พฤษภาคมนี้

มีรายงานข่าวจากสื่อมวลชนต่างๆว่า คณะอนุกรรมการที่ปรึกษากฎหมาย ของ กสทช. มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า การจะคัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการตาม พรบ.วิธีปฏิบัติราชการปกครอง จำเป็นต้องเป็นคู่กรณีโดยตรงเท่านั้น ซึ่งตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ บริษัท ทรูดิจิทัล ซึ่งเป็นโจทก์ฟ้อง ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง ไม่ได้เป็นผู้รับใบอนุญาตจาก กสทช. และเป็นคนละนิติบุคคลกับบริษัทในเครืออีกหลายบริษัทที่รับใบอนุญาตจาก กสทช. ยิ่งไปกว่านั้น ยังต้องพิจารณาตามเรื่องหรือวาระที่จะคัดค้านเป็นกรณีๆไป

เปิดโฉมอนุฯที่ปรึกษากฎหมายกสทช. ก่อนลงมติว่า "พิรงรอง" มีสิทธิพิจารณาเกี่ยวกับบ.ในเครือทรูคอร์ป หรือไม่ 1 พ.ค.นี้

รวมกูรูและขุนพลกฎหมายเพียบ ทั้งราชบัณฑิต อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลปกครอง อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม อธิบดีศาล อัยการสูงสุด อดีตเจ้ากรมพระธรรมนูญ และศาสตราจารย์ทางกฎหมายเลื่องชื่อ

วันที่ 29 เมษายน 2568 แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) เปิดเผยว่า ในวันพฤหัสบดีที่ 1 พ.ค. 2568 จะมีการประชุมคณะอนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ซึ่งจะมีการพิจารณาระเบียบวาระเกี่ยวกับการคัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของ ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กสทช.ด้านกิจการโทรทัศน์ ว่าจะสามารถร่วมทำหน้าที่กรรมการร่วมพิจารณาระเบียบวาระเกี่ยวกับบริษัทในเครือทรู คอร์ปอเรชั่น ได้หรือไม่

กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากการที่บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด ผู้ให้บริการแอปพลิเคชั่นทรูไอดี เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เมื่อปี 2566 โดยกล่าวหาว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีที่สำนักงาน กสทช. มีการออกหนังสือแจ้งไปยังผู้รับอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ จำนวน 127 ราย ซึ่งอาจทำให้ผู้ได้รับอนุญาตเข้าใจว่าโจทก์เป็นผู้ทำผิดกฎหมาย และอาจส่งผลให้ผู้รับอนุญาตอาจระงับเนื้อหารายการต่าง ๆ ที่โจทก์นำไปออกอากาศ ต่อมา ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้มีคำสั่งประทับรับฟ้องคดี เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2567 และเมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2568 ได้มีคำพิพากษาสั่งจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา แต่ ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง      ได้รับอนุญาตให้ประกันตัว และอยู่ระหว่างการอุทธรณ์คดี และได้ปฏิบัติหน้าที่กสทช.มาอย่างต่อเนื่อง

หลังจากศาลมีคำสั่งประทับรับฟ้อง บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมกันยื่นคำร้องคัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ ส่งไปยังศาลอาญาคดีทุจริตฯเพื่อให้ศาลสั่งระงับการปฏิบัติหน้าที่ กสทช. และประธานอนุกรรมการด้านกิจการโทรทัศน์ ของ ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง ไว้ชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา แต่เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2567 ศาลได้มีคำสั่งยกคำร้องดังกล่าว และในวันเดียวกัน ทั้งสองบริษัท ยังได้ส่งหนังสือคัดค้านไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่พิจารณาวาระใดๆที่เกี่ยวกับกลุ่มบริษัททรูฯ มาถึง ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง และประธาน กสทช. ที่สำนักงานกสทช.ด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อได้มีการนำหนังสือดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมบอร์ด กสทช. พบว่ามีประเด็นปัญหาเกี่ยวกับหนังสือมอบอำนาจของทั้งสองบริษัท บอร์ด กสทช.เสียงข้างมากจึงมีมติไม่รับพิจารณาหนังสือคัดค้านฉบับดังกล่าว และหนังสือคัดค้านยังขาดความชัดเจนว่าเกี่ยวกับสิทธิของผู้คัดค้านในการคัดค้านเรื่องที่จะมีการพิจารณาทางปกครองในวาระการพิจารณา เนื่องจากเนื้อหาของคำคัดค้านเป็นการกล่าวในลักษณะคาดการณ์ล่วงหน้าแบบเหมารวม เป็นเหตุให้ขาดความชัดเจนในการพิจารณาเหตุแห่งการคัดค้านตามมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ที่โดยปกติจะต้องพิจารณาเป็นกรณีๆไป

ภายหลังศาลมีคำพิพากษา แม้ว่าคดีจะยังไม่สิ้นสุด แต่ในการประชุม กสทช. ครั้งที่ 5/2568 (ต่อเนื่อง) วันที่ 19 และ 21 ก.พ. 2568 เมื่อถึงการพิจารณาระเบียบวาระที่ 5.2 สัญญาการใช้โครงข่ายโทรคมนาคมระหว่าง การไฟฟ้านครหลวง กับบริษัท ทรูมูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัดฯ ศ.คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการที่ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรองฯ จะมีสิทธิร่วมพิจารณาระเบียบวาระเกี่ยวกับบริษัทในเครือทรูหรือไม่ ซึ่งตามข้อมูลจากแหล่งข่าว ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรองให้เหตุผลว่า กสทช. ได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 11/2567 ไม่รับพิจารณาหนังสือคัดค้านลงวันที่ 2 เมษายน 2567 ไปแล้ว ดังนั้น หนังสือคัดค้านดังกล่าวจึงเป็นที่ยุติ และตามกฎกระทรวงฉบับที่ 7 ประธาน กสทช. จะหยิบยกประเด็นแห่งการคัดค้านขึ้นมาเองไม่ได้ และชี้แจงว่าตนไม่มีสภาพร้ายแรงตามมาตรา 16 (1) แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ เนื่องจากขณะนี้คำพิพากษายังไม่ถึงที่สุด อีกทั้งผู้พิพาทในคดีกับผู้รับอนุญาตที่อยู่ในระเบียบวาระการพิจารณาเป็นคนละนิติบุคคลกัน ประกอบกับวาระที่พิจารณาไม่เกี่ยวกับประเด็นที่พิพาทในคำพิพากษา ไม่ได้ส่งผลต่อรูปคดี แต่เป็นการทำหน้าที่ตามกฎหมายในการกำกับดูแลผู้รับใบอนุญาตจากกสทช.

ในวันดังกล่าว ผู้อำนวยการสำนักกฎหมายและคดี สำนักงานกสทช.แจ้งต่อที่ประชุมว่า เนื่องจากกสทช. พิรงรองได้ชี้แจงไปแล้วว่าตนไม่มีสภาพความไม่เป็นกลางอย่างร้ายแรงด้วยเหตุผลดังกล่าว ดังนั้น จึงยังไม่มีกรณีที่จะต้องพิจารณาตามมาตรา 16 แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง ส่วน กสทช. ด้านกฎหมาย ได้ให้ความเห็นว่า กสทช. พิรงรองต้องออกจากห้องประชุม เพื่อให้กรรมการที่เหลือลงมติว่า กสทช. พิรงรองมีสภาพร้ายแรงหรือไม่ ขณะที่กรรมการอีกสองคนไม่เห็นว่ามีความจำเป็นต้องเข้าสู่กระบวนการลงมติดังกล่าว ท้ายที่สุด ที่ประชุม กสทช. จึงประนีประนอมกันโดยมีมติให้หารือต่ออนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมายของกสทช.ซึ่งมีกำหนดประชุมพิจารณาวาระนี้ในวันพฤหัสที่ 1 พ.ค. 2568

ทั้งนี้ อนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยประธาน กสทช. เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2567 เป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายที่มีชื่อเสียงและมีประสบการณ์สูงมาก ประกอบด้วย 

1. ศาสตราจารย์พิเศษ จรัญ  ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรมและผู้พิพากษาศาลยุติธรรม ประธานอนุกรรมการ (เสนอชื่อโดย กสทช. พล.อ.ท. ดร. ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ)

2. ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.บวรศักดิ์  อุวรรณโณ อดีตรองประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ กรรมการคณะกรรมการกฤษฎีกา อดีตศาสตราจารย์ประจำภาควิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อนุกรรมการ (เสนอชื่อโดย ศ.คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช.)​

3. ศาสตราจารย์พิเศษ เข็มชัย  ชุติวงศ์​ อดีตอัยการสูงสุด อนุกรรมการ (เสนอชื่อโดยประธาน กสทช.)

4. ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล  นิติไกรพจน์ อดีตศาสตราจารย์ประจำภาควิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ​อนุกรรมการ (เสนอชื่อโดย กสทช. รศ. ดร. ศุภัช ศุภชลาศัย)

5. ศาสตราจารย์ ดร.สมคิด  เลิศไพฑูรย์ อดีตศาสตราจารย์ประจำภาควิชากฎหมายมหาชน และอดีตคณบดี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ​อนุกรรมการ (เสนอชื่อโดย กสทช.ศุภัช)

6. ศาสตราจารย์ ดร.จตุรนต์  ถิระวัฒน์​ ราชบัณฑิต ประเภทวิชานิติศาสตร์ สาขาวิชากฎหมายระหว่างประเทศ สำนักธรรมศาสตร์และการเมือง ปัจจุบัน เป็นผู้อำนวยการศูนย์กฎหมายระหว่างประเทศ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อนุกรรมการ (เสนอชื่อโดย กสทช. รศ.สมภพ ภูริวิกรัยพงศ์)

7. พลเอก เชิดชัย อังศุสิงห์​ อดีตเจ้ากรมพระธรรมนูญ อนุกรรมการ (เสนอชื่อโดย กสทช. พล.ต.อ. ดร. ณัฐธร เพราะสุนทร)

8. พลตำรวจตรี ปิยะวัฒน์  บุญยืนอนนต์ ​รองประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตร เพิ่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการทำความตกลงทางกาค้าเสรี สภาผู้แทนราษฎร อนุกรรมการ (เสนอชื่อโดย กสทช.ณัฐธร)

9. พันตำรวจเอก ดร.ศิริพล  กุศลศิลป์วุฒิ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล อนุกรรมการ (เสนอชื่อโดย กสทช. ศ.กิตติคุณ ดร. พิรงรอง)

10. นายประวิทย์  ลี่สถาพรวงศา อดีตกรรมการ กสทช. อนุกรรมการ (เสนอชื่อโดย กสทช.สมภพ)

11. นายวราวุธ  ศิริยุทธ์วัฒนา อดีตรองประธานศาลปกครองสูงสุด ​อนุกรรมการ (เสนอชื่อโดย กสทช.พิรงรอง)

12. นายวีรพล  ปานะบุตร อดีตรองอัยการสูงสุด ​อนุกรรมการ (เสนอชื่อโดย กสทช.ต่อพงศ์ เสลานนท์)

13. นายเพิ่มสิน  วิชิตนาค รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการยุติการดำเนินคดีแพ่งและอนุญาโตตุลาการ สำนักงานอัยการสูงสุด ​อนุกรรมการ (เสนอชื่อโดย กสทช.ต่อพงศ์)

14. นางพงษ์สวาท  กายอรุณสุทธิ์​ ปลัดกระทรวงยุติธรรม อนุกรรมการ (เสนอชื่อโดย กสทช.ธนพันธุ์)

 จึงต้องจับตาดูกันต่อไปว่านักกฎหมายระดับกูรูเหล่านี้จะมีการพิจารณาว่าอย่างไร เพราะประเด็นเกี่ยวกับคำพิพากษาของศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง กับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐในกรณีของกสทช.พิรงรอง เป็นที่ถูกจับตากันอย่างกว้างขวางในสังคม

หากอนุกรรมการที่ปรึกษากฎหมายของกสทช.พิจารณาว่าบริษัทใดๆในกลุ่มบริษัททรูคือคู่กรณีกับกสทช.พิรงรอง ทั้งๆที่ผู้ฟ้องคือ บริษัททรูดิจิทัล เป็นคนละนิติบุคคลกันและไม่ใช่ผู้รับใบอนุญาตในการกำกับดูแลของกสทช. ก็จะเปิดช่องให้มีการลงมติในกรรมการ 7 คนว่าจะให้ กสทช.พิรงรองอยู่ร่วมประชุมต่อได้หรือไม่ ซึ่งจำเป็นต้องได้เสียงมากกว่าสองในสามของกรรมการทั้งหมด และด้วยความแตกแยกในบอร์ดกสทช. ในปัจจุบันก็น่าจะเป็นเรื่องที่ยากมากทีเดียว

นักวิชาการกฎหมาย ชวนจับตาคำตัดสินคดี “ไตรรัตน์” ฟ้อง 4 บอร์ดกสทช. ชุดเดียวกับคดี “ทรูไอดี”ฟ้อง “พิรงรอง”

นักวิชาการกฎหมาย ชวนจับตาวันที่ 8 เมษายนนี้ ศาลอาญาทุจริตประพฤติมิชอบกลาง ตลิ่งชัน นัดฟังคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 155/2566 ซึ่งศาลคำฟ้องเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2567 เป็นคดีที่ รักษาการเลขาธิการ กสทช. นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล ฟ้องกรรมการ กสทช. จำนวน 4 คน ว่ากลั่นแกล้งตน ซึ่งในนี้มี กสทช.พิรงรอง รามสูต รวมอยู่ด้วย จากกรณีที่บอร์ดเสียงข้างมากมีมติให้เปลี่ยนตัวรักษาการเลขาฯ สืบเนื่องจากกรณีการอุดหนุนลิขสิทธิ์การถ่ายทอดฟุตบอลโลก 2022 จำนวน 600 ล้านบาท ที่การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ไม่ปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงกับสำนักงาน กสทช.

เหตุที่มาของการฟ้องดังกล่าว สืบเนื่องมาจากการลงมติของกรรมการ กสทช. 4 คนได้แก่ พลอากาศโท ดร. ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ รองศาสตราจารย์ ดร.ศุภัช ศุภชลาศัย ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต และ รองศาสตราจารย์ ดร.สมภพ ภูริวิกรัยพงศ์ ซึ่งเป็นเสียงข้างมาก ให้เป็นไปตามข้อเสนอในรายงานของคณะอนุกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีลิขสิทธิ์บอลโลก ที่เห็นว่า การกระทำของนายไตรรัตน์อาจเป็นการกระทำที่เข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ประกาศที่เกี่ยวข้อง มติที่ประชุมของ กสทช. รวมทั้งข้อเสนอของการกีฬาแห่งประเทศไทย ที่ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) ตลอดจนบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) ที่การกีฬาแห่งประเทศไทย ทำกับสำนักงาน กสทช.  ทางอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯดังกล่าวจึงเสนอให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย นายไตรรัตน์ และให้เปลี่ยนตัวรักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. จนกว่าการสอบสวนจะจบสิ้น เพื่อไม่ให้มีการยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐานและกระบวนการ 

อนึ่ง ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสำนักงาน กสทช. กับการกีฬาแห่งประเทศไทยระบุชัดเจนว่า ในการรับเงินสนับสนุนเงินจากกองทุน กทปส. 600 ล้านบาท การกีฬาแห่งประเทศไทยมีหน้าที่บริหารจัดการให้ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ทุกประเภทของ กสทช. ถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลกได้ และการกีฬาแห่งประเทศไทยก็รับทราบก่อนลงนามใน MOU แล้วว่า ทางสำนักงาน กสทช. มีเงื่อนไขสำคัญเกี่ยวกับกฎ must have / must carry เพื่อให้ผู้รับใบอนุญาตออกอากาศได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม  

อย่างไรก็ดี หลังจากลงนามใน MOU กับสำนักงาน กสทช.เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2565 การกีฬาแห่งประเทศไทยได้ทำบันทึกข้อตกลงเพิ่มเติม ลงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2565 กับ บริษัท ทรูโฟร์ยู สเตชั่น จำกัด, บริษัท ทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด และบริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด และมอบสิทธิในการถ่ายทอดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 ให้กับกลุ่มทรูแลกกับการสนับสนุนเงิน 300 ล้านบาท โดยการกีฬาแห่งประเทศไทยให้เหตุผลว่ามีเงินไม่พอซื้อค่าลิขสิทธิ์บอลโลกซึ่งสูงถึง 1,200 ล้านบาท จึงต้องรับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากองค์กรภาคเอกชนหลายแห่งรวมทั้งกลุ่มทรูด้วย การทำบันทึกข้อตกลงในภายหลังส่งผลให้ผู้รับใบอนุญาตประเภทเคเบิลทีวี ทีวีดาวเทียม และไอพีทีวีต้องจอดำ ไม่สามารถถ่ายทอดการแข่งขันบอลโลกได้ เนื่องจากได้รับแจ้งจากกลุ่มทรูว่าเป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย ซึ่งในรายงานสอบข้อเท็จจริงชี้ให้เห็นว่า นายไตรรัตน์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นรักษาการเลขาฯ กสทช.เป็นผู้แจ้งการกีฬาแห่งประเทศไทยว่าสามารถทำ MOU เพิ่มเติมกับกลุ่มทรูได้ ซึ่งขัดแย้งกับ MOU ที่ได้ตกลงมาก่อนหน้ากับสำนักงาน กสทช. 

แหล่งข่าวที่ศาลอาญาทุจริตประพฤติมิชอบกลาง เปิดเผยว่า องค์คณะผู้พิพากษาในคดีนี้ ซึ่งจะมีคำพิพากษาในวันที่ 8 เมษายน เป็นองค์คณะเดียวกับที่พิพากษาจำคุกไม่รอลงอาญา ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต จากการฟ้องของ บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด ในคดีทรูไอดี ซึ่งเป็นที่สนใจของสาธารณชนอย่างกว้างขวาง 

นอกจากนี้ ผู้พิพากษาซึ่งเป็นเจ้าของสำนวนยังเป็นคนเดียวกันกับที่พิจารณาคดีหมายเลขดำที่ อท 199/2565 อันเป็นการฟ้องกรรมการ กสทช.ว่าประพฤติมิชอบจากการอนุมัติให้ควบรวมกิจการทรู-ดีแทค ซึ่งในคดีดังกล่าว ศาลได้ยกฟ้องตั้งแต่ยังไม่ได้ไต่สวนมูลฟ้อง โดยเห็นว่า กรรมการ กสทช. ทำถูกต้องตามกฎหมายแล้วทุกประการ 

เสวนา ครป.บี้นายกฯ หยุดถ่วงเวลาอุ้มประธานกสทช.เสี่ยง ม.157 ชี้มีเบื้องหลัง ตั้งธงฟ้องปิดปาก "พิรงรอง"

ผู้สื่อข่าวรายงานจากหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เมื่อวันเสาร์ที่ 8 มี.ค.ที่ผ่านมา เครือข่ายประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ได้จัดเวทีเครือข่ายประชาธิปไตย (ครั้งที่ 6) เรื่อง "ทุนผูกขาดกับการแทรกแซงองค์กรภาครัฐชำแหละ กสทช.และข้อเสนอจากภาคประชาชน" เนื่องในวันสตรีสากล โดยได้ย้อนรอยถึงคำพิพากษาศาลที่ให้จำคุก "กสทช.พิรงรอง" เป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ซึ่งภาคประชาชนหลายองค์กรต่างจับตาเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ซึ่งถือว่าเข้าข่ายเป็นการฟ้องเพื่อปิดปากผู้ปกป้องสิทธิประโยชน์ของประชาชน ขณะที่คำพิพากษาฉบับสมบูรณ์ที่ออกมาเห็นได้ชัดว่า มีความไม่สมบูรณ์ก่อให้เกิดการวิพากษ์ในวงกว้าง และมีความโน้มเอียงที่จะเป็นการคุกคามการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระ พร้อมบี้นายกฯ ฟันปมประธาน กสทช.ขาดคุณสมบัติ หากยังไม่ดำเนินการใด ๆ โดยปล่อยให้มีการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบมากว่า 8 เดือน เรื่องนี้ ถ้ามีการร้อง ป.ป.ช. นายกรัฐมนตรีอาจหลุดจากตำแหน่ง
 
นางลัดดาวัลย์ ตันติวิทยาพิทักษ์ ประธานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวว่า อาจารย์พิรงรองเป็นผู้หญิงหนึ่งเดียวที่ได้รับคัดเลือกให้เป็น กสทช. ต้องยืนหยัดต่อสู้อยู่เพียงลำพัง และก็มีชะตากรรมที่ไม่ต่างจาก น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ อดีต กสทช.อีกคนที่ก็โดนกระทำจนต้องพ้นตำแหน่งมาแล้ว เพราะกลุ่มทุนผูกขาดทุนการเมืองพยายามเล่นงาน

ส่วนความพยายามในการสกัดกั้นและหยุดการทำหน้าที่ของ กสทช.พิรงรอง โดยเฉพาะที่มาจากตัวประธานกสทช.ด้วยนั้น ก็น่าคิดว่าตัวประธาน กสทช.คือ ศ.คลินิกนพ.สรณบุใบชัยพฤกษ์ ก็มีปัญหาในเรื่องขาดคุณสมบัติการเป็นกรรมการ กสทช.มาตั้งแต่แรก ซึ่งเรื่องนี้ทาง ครป.เองก็เข้าร่วมยื่นเรื่องร้องเรียนต่อวุฒิสภาเพื่อให้ตรวจสอบเรื่องมาตั้งแต่แรก โดยผลการตรวจสอบของกรรมาธิการ วุฒิสภาก็ออกมาชัดเจนว่า ขณะได้รับแต่งตั้งให้เป็น กสทช.นั้น.นพ.สรณ ยังคงเป็นพนักงานของมหาวิทยาลัยและยังเป็นลูกจ้างอิสระรับเงินเดือนเอกชนอยู่ มีหลักฐานเสียภาษี ภงด.90 ชัดเจน ซึ่งล่าสุดเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เลขา ครป.ยังได้ยื่นเรื่องต่อนายกฯเพื่อให้เร่งรัดเนินการเรื่องนี้ แต่เรื่องกลับยังคงนิ่งเงียบชี้ให้เห็นถึงกลุ่มทุนที่เข้าแทรกแซงองค์กรอิสระชัดเจน

น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.)กล่าวว่า ความพยายามในการกำจัด กสทช.พิรงรองออกจาก กสทช.นั้นเป็นการประสานความร่วมมือระหว่างกลุ่มทุนผูกขาด ทุนการเมืองและสำนักงาน กสทช.ที่เป็นลูกน้องในองค์กรด้วย เพราะเกรงว่าข่าวสารต่างๆที่หลุดออกมาปรากฏในสื่อในเรื่องไม่ชอบมาพากลทั้งหลายอาจหลุดมาจาก กสทช.พิรงรอง จึงอยากกำจัดให้พ้นทางไป เห็นได้จากพอบริษัทเอกชนไปฟ้องศาลก็รีบขอให้ศาลสั่งให้ กสทช.พิรงรองหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที แต่เมื่อไม่ได้ก็พยายามหาทางฟ้องเพื่อหวังให้ถูกตัดสินจำคุกโดยไม่รอลงอาญาเพื่อหวังจะให้ติดคุกให้ได้ แม้เพียง 1 วันก็เอาเพราะจะมีผลให้ต้องพ้นจากตำแหน่งทันที
 
ขณะที่กรณีคุณสมบัติของประธาน กสทช.ก็เห็นได้ชัดว่ามีกระบวนการช่วยเหลือกันในทุกวิถีทางที่จะถ่วงเวลาไม่ให้ประธานหลุดจากตำแหน่ง ทั้งจากกลุ่มทุนผูกขาดและการเมือง เพราะแม้มีผลตรวจสอบในเรื่องคุณสมบัติของประธานกสทช.ออกมาชัดเจนว่าขาดคุณสมบัติมาตั้งแต่แรก แต่ฝ่ายการเมืองยังคงพยายามถ่วงเวลาเอาไว้ เพื่อเป้าหมายบางประการ

รสนา กล่าวย้ำว่า หากประธานกสทช.ต้องพ้นจากตำแหน่งเพราะขาดคุณสมบัติมาตั้งแต่แรกเสมทอนไม่เคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็น กสทช.มาก่อนจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่ประธานดำเนินการไว้ในอดีตจะกลายเป็นโมฆะทั้งหมดใช่หรือไม่ โดยเฉพาะกรณีอนุมัติการควบรวมกิจการสื่อสารเมื่อเดือน มี.ค.66 ก็อาจต้องโมฆะลงไปด้วย เพราะขณะนั้นเสียงก้ำกึ่งกัน 2:2 โดย กสทช.2 คนคัดค้าน อีก 2 คน เห็นด้วย แต่เลี่ยงไปใช้คำว่ารับทราบรายงานควบรวม ทำให้ประธาน กสทช.ต้องออกเสียงดับเบิ้ลโหวต 2 ครั้งจนชนะไป
 
"แต่หากประธานกสทช.ต้องหลุดจากตำแหน่งไป เพราะขาดคุณสมบัติมาตั้งแต่แรกย่อมกระทบไปถึงผลโหวตการควบรวมกิจการ "ทรู-ดีแทค"ในครั้งนั้นด้วย นี่ต่างหากคือเหตุผลที่ทำให้กลุ่มทุนผูกขาด ทุนการเมืองพยายามถ่วงเวลาให้ประธานยังคงทำหน้าที่ต่อไป เพื่อจะได้รวมหัวกันช่วงชิงทรัพยากรของชาติไปอยู่ในมือของกลุ่มตน"

นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตประธานกรรมการนโยบาย ThaiPBS กล่าวว่า กสทช.เกิดมาก็เพื่อกำกับดูแลกิจการสื่อสารโทรคมนาคมและกิจการวิทยุโทรทัศน์ให้มีการแข่งขันกันให้มากที่สุดเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค ลดการผูกขาด แต่การเกิด กสทช.ก่อนหน้ายังตามไม่ทันเทคโนโลยีใหม่ๆ แพลตฟอร์มใหม่ๆที่เกิดขึ้นมา อย่างกรณีการให้บริการทรูไอดี ที่ไม่ได้ทำแค่วีดีโอดีมานด์ แต่ยังเอาเนื้อหาดิจิทัลทีวีทั้งหลายเข้ามาแพร่ภาพด้วยโดยสอดแทรกโฆษณาลงไปจนมีผู้บริโภคร้องเรียนกสทช. เมื่อ กสทช.ตั้งอนุกรรมการขึ้นตรวจสอบเรื่องนี้ ก็รู้ตัวดีว่ายังไม่มีอำนาจจะไปกำกับดูแลบริการทรูไอดีที่เป็นบริการOTT จึงต้องกำชับไปยังผู้ให้บริการดิจิทัลทีวีให้ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ กสทช.มีอยู่โดยเคร่งครัด อันเป็นที่มาของคำว่า"ตลบหลัง"ที่ศาลเข้าใจว่าใช้อำนาจในทางที่มิชอบ

นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า คำพิพากษาของศาลที่ผู้ฟ้องไปนำเอารายงานการประชุมภายใน กสทช.มาฟ้อง และหยิบยกคำพูดของ กสทช.บางคำมาเป็นประเด็นโดยศาลใช้คำว่า ข้อต่อสู้ของจำเลยที่มีตำแหน่งเป็นถึงศาสตราจารย์เป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ก่อนจะมีคำพิพากษา ทำให้สังคมคลางแคลงใจและอดคิดไม่ได้ว่า เหตุใดคนระดับศาสตราจารย์ที่ต้องต่อสู้ หอบเอกสารหลักฐานไปให้การในศาล จึงถูกมองว่าหยิบยกเอาข้ออ้างลอยๆ มาต่อสู้ ทั้งๆที่การประชุมอนุกรรมการ กสทช.นั้นมีที่มาที่ไป การควบรวมกิจการโทรคมนาคมที่อาจารย์พิรงรองเคยคัดค้านก่อนหน้านั้นจนเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งและถูกกดดันตามมานั้น ที่จริงยังไปไม่สุด อนาคตการควบรวมกิจการคงไม่หยุดอยู่แค่นี้แน่ยังจะไปไกลกว่านี้อีกมาก
"กรณีฟ้องพิรงรองนั้นมีการตั้งธงเอาไว้ ซึ่งธงที่ว่าก็คือ กสทช.พิรงรองเป็นคนขวางผลประโยชน์ ทำให้ฝ่ายที่เสียผลประโยชน์จากการฉกฉวยเอาเนื้อหาเอาคอนเทนต์คนอื่นไปหากินทำได้ยาก จึงหาทางฟ้องเพื่อเขี่ยพิรงรองออกจาก กสทช."

นายเมธา มาสขาว ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ และรักษาการเลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวว่า มาตรา 20 พ.ร.บ.กสทช. เป็นอำนาจหน้าที่นายกรัฐมนตรี ต้องดำเนินการตรวจสอบรวบรวมหลักฐานส่งกองนิติการ สำนักงานองคมนตรี ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะเป็นเรื่องโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งตามกฎหมาย อำนาจหน้าที่กองนิติการข้อ 2 ก็ระบุไว้ชัดเจนว่า การแต่งตั้งและพ้นตำแหน่ง วุฒิสภามีอำนาจช่วยตรวจสอบตามมาตรา 8 และมาตรา 18 ตามหนังสือตอบจากกฤษฎีกา ที่ นร 0909/117 ตอบนายก 16 ก.ย.2567 นายกรัฐมนตรีจึงต้องดำเนินการตามมาตรา 20 โดยทันที

การที่รองนายกฯ ตอบว่า นายกฯ ทราบเรื่องแล้ว จึงเป็นความผิดสำเร็จ รู้แต่ไม่ทำ เท่ากับว่าปล่อยให้ประธาน กสทช. ปฏิบัติหน้าที่อยู่โดยไม่มีอะไรรองรับ เพราะปกติเมื่อมีมูลหรือข้อเท็จจริงต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที แต่นายกฯ กลับปล่อยให้ทำโดยไม่มีผลการวินิจฉัยยืนยันแต่ประการใด รวมถึงหนังสือตอบจากคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็ไม่ปรากฏคำวินิจฉัยว่าสามารถทำได้ หรือโต้แย้งผลกรรมาธิการเทคโนโลยีฯ แต่ประการใด นายกฯ จึงมีความผิดสำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากยังปล่อยให้ประธาน กสทช. ปฏิบัติหน้าที่อยู่โดยไม่ทำอะไร จะเป็นการร่วมกันกระทำผิดปกปิดแล้วก้าวล่วงพระราชอำนาจ

อีกทั้ง หากปล่อยไว้อาจเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายมาตรา 157 โดยตรง นายกรัฐมนตรีจึงควรเร่งดำเนินการ ส่งผลการตรวจสอบของวุฒิสภา ไปยังสำนักงานองคมนตรีเพื่อพิจารณาและวินิจฉัยข้อเท็จจริงประเด็นดังกล่าวต่อไป แต่ปัจจุบัน นายกรัฐมนตรียังไม่ดำเนินการใด ๆ โดยปล่อยให้มีการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบมากว่า 8 เดือน เรื่องนี้ ถ้ามีการร้อง ป.ป.ช. นายกรัฐมนตรีอาจหลุดจากตำแหน่งได้เลย
 

ประธานทีดีอาร์ไอฯ มองคดี "พิรงรอง" เชื่ออาจสั่นคลอนระบบยุติธรรมในไทย

ประธานทีดีอาร์ไอ ร่ายผลกระทบคดี "พิรงรอง" ส่อเปิดช่องกลุ่มทุนฟ้องปิดปากผู้มีอำนาจ ส่งผลกระทบต่อผู้ทำงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ หน่วยงานรัฐ และหลักนิติรัฐ มองจะส่งผลกระทบระยะยาว ทำให้ผู้เกี่ยวข้องตกเป็นเหยื่อเกมกฎหมาย เชื่ออาจเป็นจุดเปลี่ยนของระบบยุติธรรมไทย 

นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้ออกมาแสดงความเห็นต่อคำตัดสินของศาลในคดีที่ทรู ไอดี ฟ้อง นางสาวพิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยเขาแสดงความกังวลว่า คดีนี้อาจส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งต่อระบบยุติธรรมไทย การทำงานของหน่วยงานรัฐ และบทบาทของผู้ที่ทำงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ 

ความแปลกใจและความเศร้าใจ

ทั้งนี้ตนมีความตั้งใจจะเขียนเกี่ยวกับคำตัดสินของศาลตั้งแต่ได้รับทราบคำพิพากษาฉบับเต็ม แต่เนื่องจากติดภารกิจเดินทางไปต่างประเทศ จึงไม่ได้แสดงความเห็นจนถึงปัจจุบัน ในฐานะนักวิชาการที่ติดตามอุตสาหกรรมโทรคมนาคมและวิทยุ-โทรทัศน์มานาน และยังเป็นพยานของจำเลยในคดีนี้ ดังนี้น จึงรู้สึกทั้งแปลกใจและเศร้าใจกับคำตัดสินที่เกิดขึ้น 

เขา ตั้งข้อสังเกตว่า จำเลยถูกลงโทษทั้งที่การดำเนินการของนางสาวพิรงรองเป็นไปในนามสำนักงาน กสทช. และเป็นไปตามกฎหมายที่มีอยู่ ซึ่งก็คือกฎ Must Carry ที่กำหนดให้ผู้ประกอบการโทรทัศน์ต้องเผยแพร่รายการผ่านผู้ที่ได้รับใบอนุญาตจาก กสทช. เท่านั้น สิ่งที่ทำให้เขากังวลมากที่สุดคือ ศาลเชื่อว่าจำเลยปลอมแปลงเอกสาร ทั้งที่เอกสารดังกล่าวได้รับการรับรองจากคณะอนุกรรมการฯ ที่เกี่ยวข้อง 

ผลกระทบต่อสังคมไทยผลพ่วงจากคดี 

แม้ว่าการพิจารณาของศาลในขั้นอุทธรณ์หรือฎีกาอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เป็นคุณต่อจำเลย เช่น อาจมีการยกฟ้องหรือให้รอลงอาญา แต่ผลกระทบต่อสังคมไทยจากคดีนี้ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว และเป็นเรื่องที่ยากจะย้อนกลับ  นายสมเกียรติระบุว่า มีผลกระทบสำคัญอย่างน้อย 3 ประการที่ต้องพิจารณา: 

1. ผลกระทบต่อผู้ทำงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ 

คดีนี้อาจเป็นแบบอย่างที่ทำให้กลุ่มทุนมองว่า สามารถใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการฟ้องร้องบุคคลที่เห็นต่างได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟ้องร้องหมิ่นประมาทเพื่อปิดปาก (SLAPP) ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในประเทศไทย หลายกรณีได้รับการบันทึกไว้ในหนังสือ *“เมื่อกฎหมายถูกใช้เป็นอาวุธ”* ของสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน แสดงให้เห็นว่ากฎหมายสามารถถูกใช้เพื่อจำกัดสิทธิในการแสดงความคิดเห็นและขัดขวางการทำงานเพื่อสังคม 

2. ผลกระทบต่อการทำงานของหน่วยงานรัฐ 

คดีนี้แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ทำงานในหน่วยงานรัฐอาจต้องเผชิญกับความเสี่ยง หากการตัดสินใจของพวกเขาขัดแย้งกับผลประโยชน์ของกลุ่มทุน อาจมีการฟ้องร้องทางกฎหมายเพื่อสร้างแรงกดดันให้หน่วยงานรัฐต้องปรับเปลี่ยนท่าที หรือแม้แต่ละเลยการพิจารณาประเด็นที่อ่อนไหวเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง 

3. ผลกระทบต่อหลักนิติรัฐและความเชื่อมั่น 

นายสมเกียรติแสดงความกังวลว่า คดีนี้อาจสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของกระบวนการพิจารณาคดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ศาลตัดสินลงโทษจำเลยโดยไม่ให้เหตุผลอย่างชัดเจนว่าเหตุใดจึงไม่เชื่อคำให้การของจำเลย ทั้งที่เป็นคดีอาญา ซึ่งโดยหลักแล้วศาลจะต้องพิจารณาโดยยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย (Beyond a Reasonable Doubt) 

การพิจารณาคดีเสี่ยงต่อระบบยุติธรรม

นายสมเกียรติ ชี้ให้เห็นว่า ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางใช้วิธีไต่สวน ซึ่งแตกต่างจากการพิจารณาคดีอาญาทั่วไปที่ใช้ระบบกล่าวหา (Adversarial System) ที่โจทก์และจำเลยสามารถหักล้างกันได้อย่างเท่าเทียม วิธีไต่สวนนี้เปิดโอกาสให้ศาลมีอำนาจในการกำหนดแนวทางของคดีมากขึ้น แต่หากไม่มีการให้เหตุผลที่ชัดเจนเพียงพอ ก็อาจก่อให้เกิดข้อกังขาต่อการใช้ดุลพินิจของศาล เกียรติยังตั้งคำถามเกี่ยวกับหลักสูตรอบรมของสำนักงานศาลยุติธรรม ที่เปิดโอกาสให้นักธุรกิจเข้าไปมีส่วนร่วมในการอบรมและพบปะกับผู้พิพากษา ซึ่งอาจก่อให้เกิดความไม่โปร่งใสและนำไปสู่ข้อกังวลเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน

ดังนั้นข้อเสนอแนะต่อกระบวนการยุติธรรมไทย ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนักกฎหมาย นักวิชาการ นักสิทธิมนุษยชน และสื่อมวลชน นายสมเกียรติเรียกร้องให้ผู้บริหารของศาลยุติธรรมศึกษาคดีนี้อย่างละเอียด เพื่อพิจารณาว่ามีจุดผิดปกติหรือไม่ และทำไมคดีนี้จึงได้รับเสียงวิจารณ์อย่างกว้างขวาง จึงข้อเสนอให้มีการจัดสัมมนาภายในศาลยุติธรรม เพื่อกำชับให้ผู้พิพากษาให้เหตุผลในการตัดสินคดีอย่างชัดเจน รอบด้าน และเป็นธรรม นอกจากนี้ ยังควรพิจารณาทบทวนหลักสูตรอบรมที่อาจทำให้เกิดข้อกังขาต่อความโปร่งใสของกระบวนการยุติธรรม 

"คดีของนางสาวพิรงรอง รามสูต อาจกลายเป็นคดีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าระบบยุติธรรมไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายสำคัญ ไม่เพียงแต่เรื่องความเป็นอิสระของศาลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสามารถของประชาชนในการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายสาธารณะและต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในสังคม" 

นายสมเกียรติ กล่าวย้ำว่า ระบบยุติธรรมไม่เพียงแต่ต้องทำให้เกิดความยุติธรรมเท่านั้น แต่ต้องทำให้สังคมเชื่อมั่นว่าความยุติธรรมเกิดขึ้นจริง (Justice must not only be done, but must also be seen to be done) และคดีนี้เป็นตัวอย่างสำคัญที่อาจมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อศาลในระยะยาว 

สภาการสื่อมวลชนฯ ยอมรับกรณีศาลอาญาคดีทุจริตฯ ตัดสินจำคุก “ดร.พิรงรอง” กระทบองค์กรวิชาชีพสื่อและวงการสื่อโดยรวม

กรรมการสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ หยิบยกกรณีศาลอาญาคดีทุจริตฯ ตัดสินจำคุก “ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง” ขึ้นมาหารือในที่ประชุม ชี้องค์กรวิชาชีพสื่อและวงการสื่อได้รับผลกระทบหลายเรื่อง ทั้งประกาศ กสทช. เรื่องมาตรการส่งเสริมการรวมกลุ่มฯ และอนาคตอุตสาหกรรมโทรทัศน์ หลังใบอนุญาตทีวีดิจิทัลจะหมดอายุในปี 2572 

เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา นายนพปฏล รัตนพันธ์ เลขาธิการสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2568 ว่า ที่ประชุมได้หยิบยกกรณีศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีคำพิพากษาจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านกิจการโทรทัศน์ขึ้นมาหารือด้วยความห่วงใย ทั้งในแง่ขององค์กรวิชาชีพสื่อ และกสทช. เนื่องจากองค์กรวิชาชีพสื่อและวงการสื่ออาจได้รับผลกระทบหลายเรื่อง เช่น ประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เรื่อง มาตรการส่งเสริมการรวมกลุ่มของผู้รับใบอนุญาต ผู้ผลิตรายการ และผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชนที่เกี่ยวกับกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ซึ่งศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง เป็นผู้ผลักดัน โดย กสทช. จะต้องออกหลักเกณฑ์ต่างๆ เช่น การจดแจ้งและสนับสนุนองค์กรวิชาชีพ ซึ่งอาจจะมีผลทำให้กระบวนการต่างๆ ล่าช้าได้ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการกำหนดอนาคตทีวีดิจิตอล หลังใบอนุญาตกิจการโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิทัล จะหมดอายุในปี 2572 ซึ่งเป็นงานในกำกับโดยตรงของ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง โดยสภาการสื่อมวลชนฯ จะติดตามผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยมอบหมายให้คณะกรรมการจริยธรรมของสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติทำหน้าที่ติดตามและรายงานให้คณะกรรมการสภาการสื่อมวชนแห่งชาติต่อไป

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางมีคำพิพากษาตัดสินจำคุก 2 ปี ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง กรรมการ กสทช. ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ กรณีออกหนังสือแจ้งไปยังผู้ได้รับอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ทุกราย เกี่ยวกับการแพร่เสียงแพร่ภาพผ่านกล่องรับสัญญาณโทรทัศน์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ตและแอปพลิเคชัน True ID อันสืบเนื่องมาจากข้อร้องเรียนของผู้บริโภค ทั้งนี้ ศาลอนุญาตให้ประกันตัวชั่วคราวระหว่างขั้นตอนการอุทธรณ์คดี

"เจ้าพระยา"ชี้บทเรียน"พิรงรอง"เจตนาดีต้องไม่ล้ำเส้นกฎหมาย"

สยามรัฐ ยึดมั่นอุดมการณ์ปกป้องเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ยืนหยัดรับใช้สังคมด้วยจิตสำนึกแห่งความรับผิดชอบ …*…  

สะท้านสะเทือนไปทั่วแวดวงวิชาการด้านสื่อสารมวลชน หลังศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. ด้านกิจการโทรทัศน์ ถูกศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางพิพากษาจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญา กรณีออกหนังสือเตือนผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลเกี่ยวกับการมีโฆษณาแทรกในสัญญาณที่นำไปออกอากาศบนแพลตฟอร์ม TrueID โดยชี้ว่าเป็นการผิดกฎ “Must Carry” และบริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด เจ้าของแพลตฟอร์ม TrueID เห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกลั่นแกล้งและทำให้บริษัทเสียหาย จึงยื่นฟ้องต่อศาล  …*…

กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีแถลงการณ์จากสภาสถาบันนักวิชาการสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทยให้กำลังใจและสนับสนุนศ.ดร.พิรงรอง โดยชี้ว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อปกป้องสิทธิของประชาชนผู้บริโภคสื่อ ขณะทีสถาบันการศึกษาบางแห่งได้มีการจัดเสวนาในเรื่องเดียวกันนี้ จนนำไปสู่กระแสเรียกร้องในโลกโซเชียลให้ภาคส่วนต่างๆ ออกมายืนเคียงข้าง ศ.ดร.พิรงรอง  …*…  

กระนั้น ในอีกมุมหนึ่ง แม้ไม่มีใครสงสัยในเจตนาของศ.ดร.พิรงรองจนนำมาสู่คดีที่เกิดขึ้น แต่ก็ได้ให้ข้อคิดในเชิงกฎหมายที่ควรนำมาใคร่ครวญด้วยเช่นกัน…*…  

“กรณีกรรมการ กสทช. ท่านหนึ่ง แพ้คดีที่ถูกบริษัทเอกชนฟ้อง เป็นคดีอาญาต่อศาลอาญาทุจริต และศาลมีคำพิพากษาจำคุก 2 ปี ขณะนี้กำลังมีการรณรงค์กันว่า การถูกคำพิพากษาจำคุกจะเกิดข้อจำกัดต่อการปฏิบัติงานคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อประชาชน และเข้าใจผิดต่อสถาบันศาล  โดยผลที่แท้จริงคือ เนื้อตัวของปัญหาก็ไม่ได้แก้ กลับสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมา อาจจะถูกบัณฑิตติเตียนได้ว่า แพ้แล้วพาล กสทช. มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายเฉพาะ รวมทั้งการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะเพื่อประชาชนด้วย การปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวย่อมเป็นหน้าที่ และการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย การที่ศาลพิพากษาจำคุก กรรมการ กสทช. ท่านหนึ่งนั้น ควรต้องทำความเข้าใจร่วมกันว่าการขับเคลื่อนกระแสมวลชนภายใต้ธง SAVE …  นอกจากไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้แล้ว ยังสร้างปัญหาเพิ่มเติมอีกด้วย กรณีเรื่องนี้ กสทช. ควรให้ความสำคัญต่อการตรวจสอบและทบทวนกระบวนการทำงานในการแก้ต่างคดีอาญาว่าครบถ้วนสมบูรณ์ตามควรแก่กรณีที่เกิดขึ้นหรือไม่ เพราะถ้าหากเป็นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ และศาลฟังข้อเท็จจริงได้ ก็ย่อมไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย การที่ศาลพิพากษาจำคุกก็เพราะคดีนั้นศาลรับฟังไม่ได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ ตรงนี้จึงเป็นใจกลางของปัญหาที่ไม่ควรถูกบิดเบือนเบี่ยงเบนไปอย่างอื่น ก็ขอเตือนสติกันไว้ เพื่อไม่ให้ความเสียหายลุกลามไปมากกว่านี้ โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาบางแห่งก็ไม่พึงประพฤติตนเป็นกระต่ายตื่นตูม ออกอาการฮึดฮัด โดยที่ไม่ได้ทราบความจริงของคดีนี้ว่าเป็นอย่างไร”ความเห็นจากนายไพศาล พืชมงคล กูรูกฎหมายระดับแถวหน้า …*…

 ขณะที่ นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระ อธิบายถึงที่มาที่ไปของคดีนี้ให้เข้าใจง่ายๆ ว่าแพลทฟอ์มที่เรียกว่า OTT (Over The Top) คือกล่องสัญญาณรวมเอารายการที่ทีวีดิจิตอล หรือเคเบิ้ลทีวีถ่ายทอดออกมา มารวมไว้เป็นบริการให้ผู้ใช้เปิดเข้าถึงได้ตลอดเวลา  ทำให้ไม่จำต้องเฝ้ารอดูหน้าจอตามเวลาที่ทีวีถ่ายทอดอีกต่อไป OTT แบบนี้มีมากมาย มีทั้งที่ขายสมาชิกภาพ เช่น Netflix หรือเข้าถึงได้โดยเสรีเช่น TrueID   โดยกิจการแบบ OTT นี้อาศัยอินเตอร์เน็ตเป็นถนนขนส่งข้อมูล  ไม่ได้อาศัยคลื่นความถี่ที่กฎหมายไทยถือเป็นทรัพยากรของชาติ  กฎหมาย กสทช.ปัจจุบันจึงยังไม่มีระบบใบอนุญาตมาควบคุมเหมือนทีวี …*…

พร้อมกันนี้นายแก้วสรรตั้งข้อสังเกตไว้ให้ชวนคิดต่อว่า ใครเป็นที่ปรึกษากฎหมายให้ ศ.ดร.พิรงรอง พามาตายกลางถนนอย่างนี้ได้อย่างไร  คดีนี้เป็นตัวอย่างชัดเจนว่า   ไม่ว่าคุณจะ ฝังใจคิดทำเพื่อมวลมหาผู้บริโภค จนเป็นความสุจริตฝังแน่นอยู่ในใจอย่างไรก็ตาม  แต่ตำแหน่ง กสทช.ที่คุณเข้ามานั่งนั้น   มันมีกรอบกฎหมายรอครอบหัวคุณอยู่เสมอว่า ตัวคุณนั้นไม่มีอำนาจในตัวเอง เรืองแสงด้วยตัวเองไม่ได้  อย่าทำอะไรที่เกินกฎหมายและต้องเที่ยงตรงเสมอภาคทุกครั้ง …*…

 “ถ้ากฎหมายถูกเลือกใช้ได้ตามอำเภอใจ  มันก็ไม่ใช่กฎหมายแล้ว ประเทศไทยเรานี้ มีปัญหาเรื่องความไม่เสมอภาคภายใต้กฎหมายแบบนี้มากจริงๆ นะครับ คุณดูสิ... ขนาดไม่ยอมติดคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุด ก็ยังทำได้เลยเห็นไหม แล้วอย่างนี้บ้านเมืองเราจะไปรอดได้อย่างไร”นายแก้วสรรระบุ …*…

 อย่างไรก็ตาม คดีศ.ดร.พิรงรอง ยังไม่ถึงที่สิ้นสุด ไม่อาจสรุปสุดท้ายได้ในเวลานี้ว่าจะจบลงเช่นใด ทว่า ถือเป็นอุทาหรณ์เตือนใจได้ว่า “ไม่ว่าการกระทำจะมาจากเจตนาดีเพียงใด ก็ต้องไม่ล้ำเส้นกฎหมาย” …*…

ที่มา:เจ้าพระยา (13/2/68)

“กสทช.”ร่อนแถลงการณ์ คลี่ปมเชื่อมโยงพนักงานกับคดี “พิรงรอง”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) ได้ส่งแถลงการณ์ถึงสื่อมวลชน กรณีหลังจากพบว่ามีการเชื่อมโยงบุคคลภายในสำนักงานกับคดีทรูไอดี ฟ้องร้องศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กสทช.ด้านกิจการโทรทัศน์ ซึ่งศาลตัดสินให้จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา มีข้อความดังนี้

"สำนักงาน กสทช. แถลงการณ์ปกป้องสิทธิส่วนบุคคล คุ้มครองพนักงาน สำนักงาน กสทช. ตามความถูกต้องของกฎหมาย"

"ตามที่ศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลางได้มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ลงโทษจำคุก ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต เป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ซึ่งปัจจุบันคดียังไม่สิ้นสุดและยังอยู่ในระยะเวลาของการยื่นอุทธรณ์ตามกระบวนการของกฎหมาย และสืบเนื่องจากข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ปรากฏต่อมาว่ามีบุคคล/กลุ่มบุคคล ได้ดำเนินการอ้างอิงและเชื่อมโยงคดีดังกล่าวกับพนักงานของสำนักงาน กสทช. ด้วยการอ้างอิงให้ปรากฏทั้งชื่อ นามสกุล ตำแหน่งและรูปถ่ายโดยมิชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งประเด็นที่นำไปเชื่อมโยงมิได้เป็นประเด็นแห่งคดี อีกทั้งพนักงานคนดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวข้องหรือปฏิบัติหน้าที่ในช่วงเวลาหรือขณะที่เกิดเหตุตามมูลฟ้อง"

"สำนักงาน กสทช.ขอประณามการกระทำดังกล่าว และขอเรียกร้องให้ผู้ที่นำข่าวหรือข้อมูลดังกล่าวออกสู่สาธารณะ ไม่ว่าด้วยวิธีการใดก็ตาม หยุดการกระทำและดำเนินการลบทำลายข้อมูลที่นำออกเผยแพร่โดยทันที ถึงแม้ว่าจะมีผู้ที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตามในคำพิพากษาของศาล ก็เป็นกระบวนการทางกฎหมายที่ต้องดำเนินการต่อไป แต่มิใช่เหตุผลที่จะก้าวล่วงหรือละเมิดบุคคลหนึ่งบุคคลใด หรือใช้วาจาที่ยุยง ส่งเสริมหรือก่อให้เกิดความเกลียดชังต่อบุคคลที่มิได้เกี่ยวข้องด้วยในประเด็นแห่งคดีนั้น"

พนักงานของสำนักงาน กสทช.ทุกคนมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายในการปฏิบัติหน้าที่ จึงควรได้รับความคุ้มครองภายใต้กฎหมาย เพื่อให้เกิดความปลอดภัยจากการปฏิบัติหน้าที่นั้น

ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของสำนักงาน กสทช. ที่จะยืนหยัดปกป้องสิทธิของพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่ และไม่ถูกตัดสินจากบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดโดยปราศจากข้อเท็จจริงและกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดความยุติธรรมในสังคมต่อไป

“แก้วสรร” แพร่บทความ “มาตรฐานการ ใช้อำนาจหน้าที่” ตามมาตรา ๑๕๗      

                        “มาตรฐานการ ใช้อำนาจหน้าที่”  ตามมาตรา ๑๕๗

                                                                                                           แก้วสรร อติโพธิ

เมื่อวันที่ 10 ก.พ.68 นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระ แพร่บทความเรื่อง “มาตรฐานการใช้อำนาจหน้าที่”  ตามมาตรา ๑๕๗

            ด้วยเห็นว่าบรรดาคำวิจารณ์ต่อคำพิพากษาศาลคดีทุจริต    ให้จำคุกอาจารย์พิรงรอง

รามสูต ๒ ปี ฐานใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่ง       กสทช. โดยมิชอบ ที่กำลังเป็นที่วิพากษ์กัน

ระงมอยู่ในทุกวันนี้นั้น   ยังคลาดเคลื่อนตกหล่น         ไม่เพียงพอต่อการรับรู้โดยสมบูรณ์ของ

สาธารณะ   จำต้องขอวิพากษ์ให้ปรากฏในทำนอง ถาม-ตอบ ไว้ ดังต่อไปนี้

      ๑) ประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๑๕๗

             “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความ

เสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจําคุกตั้ง

แต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ”

      ๒)กฎหมายมีช่องว่าง???

ถาม   TRUE ID ที่อ้างว่า ตนถูกอาจารย์พิรงรอง       ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้ตน

        เสียหายนั้น  เขาเสนอบริการอะไรต่อเราครับ

ตอบ  เขาทำแพลทฟอ์มที่เรียกว่า OTT (Over The Top) คือมีกล่องสัญญาณรวมเอา

        รายการทั้งปวง ที่ทีวีดิจิตอล หรือเคเบิ้ลทีวีถ่ายทอดออกมา มารวมไว้เป็นบริการให้

        เราเปิดเข้าถึงได้ตลอดเวลา  ทำให้เราไม่จำต้องเฝ้ารอดูหน้าจอตามเวลาที่ ทีวีเขา

        ถ่ายทอดอีกต่อไป OTT แบบนี้มีมากมาย มีทั้งที่ขายสมาชิกภาพ เช่น Netflix หรือ

        เข้าถึงได้โดยเสรีเช่น TRUE ID

ถาม   กิจการพวกนี้ไม่ต้องขออนุญาตหรือครับ

ตอบ  กิจการแบบ OTT นี้อาศัยอินเตอร์เน็ตเป็นถนนขนส่งข้อมูล  ไม่ได้อาศัยคลื่นความถี่ 

        ที่กฎหมายไทยถือเป็นทรัพยากรของชาติ  กฎหมาย กสทช.ปัจจุบันจึงยังไม่มีระบบ

        ใบอนุญาตมาควบคุมเหมือนทีวี       ทำให้เถียงกันมาหลายปีแล้วว่ารัฐควรมีอำนาจ

        ควบคุมหรือไม่ อย่างไร 

ถาม   อาจารย์ว่าเราควรมีไหม

ตอบ  อินเตอร์เน็ตมันเป็นทางหลวงของโลกไปแล้ว  คุณจะให้ NETFLIX ที่เป็น OTT ชนิด

        ข้ามชาติข้ามโลก มาขออนุญาต กสทช.ไทย มันเป็นไปไม่ได้  อย่างเก่งบางรัฐเขาก็

        ทำได้แค่ห้ามถ่ายทอดรายการที่มีเนื้อหาต้องห้ามเท่านั้น

ถาม   เมื่อยังไม่มีกฎหมายแล้วมันเกิดคดีระหว่างทรูกับอาจารย์พิรงรองได้อย่างไร

ตอบ  มีผู้มาร้องเรียนต่อ กสทช.ว่า   OTT ของทรู  มีโฆษณาคอยแทรกตอนเปลี่ยนรายการ

        อยู่ด้วยทุกครั้ง  ผู้ร้องอ้างว่าทำอย่างนี้ไม่เป็นธรรมกับผู้บริโภค

ถาม   อ้าว...เมื่อเขาต้องลงทุน เขาก็ต้องโฆษณาหารายได้เป็นธรรมดา   ใจคอคุณจะต้อง

        บริโภคฟรีทุกอย่างเลยหรือ   ไม่ชอบก็ไปดูแพลทฟอร์มอื่นสิครับ

ตอบ  ในชั้นพิจารณาคำร้องทุกข์ TRUE ID นี้   ก็ยุติกันตรงจุดนี้เหมือนกันว่า  เรายังไม่มี

         กฎหมายที่จะควบคุมเขา เรื่องก็เลยยุติไป  แต่ปรากฏว่าอาจารย์พิรงรอง ไม่ยอมยุติ 

         กลับนำปัญหานี้เข้ามาในอนุกรรมการใบอนุญาตโทรทัศน์ที่ตนเป็นประธาน     เพื่อ

         ผลักดันจัดการกับ TRUE ID ให้ได้

       ๓)ยุทธการตลบหลัง!

ถาม   เขาไม่ใช่ทีวี แล้ว กสทช.จะไปจัดการเขาได้อย่างไร

ตอบ  หลังจากถกเถียงกันอยู่นานในที่ประชุมอนุกรรมการกำกับใบอนุญาตโทรทัศน์   อาจารย์พิรงรองก็ผลักดันออกมาจนเป็นความเห็นได้ว่า แม้จะยังไม่มีกฎหมายคุม OTT   แต่เราก็มีอำนาจตามกฎหมาย ทีวี   เตือนไปยังทีวีทั้งหมดทั้ง ดิจิตอลและเคเบิ้ลได้ว่า  คุณจะถ่ายทอดได้ก็แต่เฉพาะช่องทางที่เราอนุญาตไว้  และถ้ามีรายการประเภทบังคับให้ถ่ายทอด ( Must Carry) คุณก็จะให้มีโฆษณาปรากฏด้วยไม่ได้

ถาม   หมายความว่า  จะจัดการให้พวกทีวี ต้องยอมปฏิเสธไม่ให้พวก OTT เอารายการของตนไปใส่กล่องสัญญาณ เช่นนั้นหรือ

ตอบ  ถูกต้องครับ  เมื่อยังไม่มีกฎหมาย OTT เราก็ใช้กฎหมายทีวีนี่แหละ ไป“ตลบหลัง”บีบทีวีทั้งหลายให้ปฏิเสธไม่ให้ถ่ายทอดรายการของตนได้   ซึ่งหลังจากเถียงกันอยู่นานในที่สุดก็ออกมาเป็นหนังสือเตือนถึงทีวี ๑๒๗ เจ้า  เมื่อ ๒๔ กุมภา ๒๕๖๖ จนได้

     ๔)ล้มยักษ์!

ถาม   เขาเตือนมาเป็นการทั่วไป ตามการตีความกฎหมายของเขา ถูกผิดอย่างไรก็ไปให้

         ศาลปกครองชี้ขาดได้  ทำไมทรูมาฟ้องเป็นคดีอาญาเอาถึงติดคุก ๒ ปีแบบนี้

ตอบ  มันมีการออกหนังสือเตือนฉบับที่สองเตือนซ้ำมาอีกครั้ง เมื่อ ๓ กุมภา ๒๕๖๖  ครั้งนี้

         เติมความมาอีกว่า การถ่ายทอดทีวีผ่านช่องทางอื่นเช่น OTT นั้น OTT ดังกล่าวต้อง

         ได้รับอนุญาตด้วย  จากนั้นก็เลยระบุถึงTRUE ID โดยเจาะจงเลยว่า รายนี้ยังใม่ได้ขอ

         อนุญาต จึงเรียนมาให้ทุกท่านทราบและทำตามกฎหมายโดยเคร่งครัดด้วย

         พอออกหนังสือเตือนเติมมาอย่างนี้แล้ว  อาจารย์พิรงรอง ก็สั่งให้แก้ไขรายงานการ

         ประชุมเพิ่มความลงไปอีกว่าที่ประชุมมีมติให้ระบุ กรณี TRUE IDลงไปในคำเตือนด้วย

ถาม   เห็นศาลระบุว่า รายงานส่วนที่เติมนี้เป็นความเท็จ  คือที่ประชุมไม่ได้มีมติเช่นนั้นเลย

ตอบ  ครับ  คดียังได้ความจากเทปประชุมอีกนะครับว่า  อาจารย์พิรงรอง พูดว่า งานนี้เรา

        ต้องเตียมตัว ”ล้มยักษ์”  พอศาลถามว่า “ยักษ์”ในที่นี้คือใคร   อาจารย์ก็รับกับศาลว่า

        ตนหมายถึง TRUE ID  เรื่องมันก็เลยชัดเจนต่อศาลว่า   กสทช.คนนี้ใช้อำนาจหน้าที่

        ครั้งที่สองนี้ เพื่อมุ่งจัดการกับกล่องสัญญาณของทรูโดยเฉพาะ   

        ทรูเขาเห็นว่า อยู่ดีๆมาหยิบเฉพาะกล่องสัญญาณของเขารายเดียว มาระบุว่ายังไม่ได้

        รับอนุญาตได้อย่างไร  ทั้งๆที่ก็รู้ดีว่า กสทช.ยังไม่มีประกาศรับอนุญาตกล่องสัญญาณ

        OTT เลย  การระบุชื่อเขาขึ้นมาลอยๆในคำเตือนอย่างนี้  ยังผลทำให้ทีวีช่องต่างๆ พา

        กันไม่ไว้วางใจที่จะตกลงกับ TRUE ID อีกต่อไป   ทรูเขาก็เลยอ้างความเสียหายนี้มา

        ฟ้อง ๑๕๗  ในที่สุด

ถาม   เทปรายงานการประชุมที่ว่านี้    ฝ่ายต่อต้านเอ็นจีโอ ใน กสทช.ต้องส่งมาให้ TRUE

        แน่ๆเลย

ตอบ  ผมพอรู้จักคนใน กสทช.อยู่บ้าง ได้เช็คกับเขาแล้วพบว่า   เทปนี้ปรากฏขึ้นในศาลเอง

        ครับ เพราะชั้นแรกทรูฟ้อง ผอ.ที่ลงนามในหนังสือ เท่านั้น  ผอ.คนนี้ก็เลยต้องเอา

        เทปมาแสดงต่อศาลว่า ตนทำตามคำสั่งของประธานที่สั่งไว้อย่างนี้   ทรูเลยหันมา

        ฟ้องอาจารย์พิรงรองในที่สุด

    ๕)“ความผิด” ตามคำพิพากษา

ถาม   สรุปแล้วหนังสือเตือนฉบับนี้  ผิดพลาดจากกฎหมายอย่างไร

ตอบ  ที่ชัดเป็นข้อแรก  คือการตีความกฎหมายทีวีไปตลบหลังจัดการกับ OTT อย่างนี้มันมี

        ประเด็นต้องเถียงกันได้อีกมาก ว่า ทำได้โดยชอบหรือไม่  ซึ่งเรื่องสำคัญอย่างนี้ต้อง

        ผ่านมติ กสทช.ก่อน  อนุกรรมการที่คุมทีวีไม่มีอำนาจชี้ขาดเองเตือนเองได้เลย  ตรง

จุดนี้นับเป็นพฤติการณ์ล้ำหน้าชัดเจน

ถาม   แล้วการแต่งรายงานประชุมเป็นเท็จล่ะครับ

ตอบ  นั่นแสดงถึงความไม่สุจริต  จะเอาให้ได้ดั่งใจตนให้จงได้  ทั้งๆที่ในที่ประชุมไม่ได้มี

         มติอย่างนั้น  และค้านกันไว้ระงมว่าทำไม่ได้ ถูกฟ้องได้   ก็ไม่ยอมเชื่อ   

ถาม   แล้วใครยอมออกหนังสือเตือนเป็นทางการ ในนาม กสทช.

ตอบ  เป็นระดับ ผอ.เท่านั้น  เพราะระดับรองเลขา กสทช.  ไม่ยอมลงนาม รู้ทัน พากันติด

        ราชการต่างประเทศ หรือต่างจังหวัดกันหมด   มี ผอ.ใจถึง ยอมอยู่คนเดียว ท่านก็

        เลยโดนฟ้องไปด้วย

ถาม   ลำพังออกหนังสือเตือนโดยไม่ผ่านมติ กสทช. ไม่ผ่านมติอนุกรรมการ ก็ติดคุกผิด

        ๑๕๗ เลยหรือครับ

ตอบ  มันมีองค์ประกอบข้อสองมาสมทบว่า   นี่ไม่ใช่ความผิดพลาดเท่านั้น  แต่มันมีเจตนา

        พิเศษยืนอยู่ในใจ ทำไปเพื่อจะให้ TRUE ID เขาเสียหาย   การทำรายงานการประชุม

        เป็นเท็จ ดื้อดึงเติมคดี TRUE ID ลงไปในหนังสือเตือนฉบับที่สอง  ด้วยคำรับว่าจะ

        “ล้มยักษ์”นั้น มันแสดงชัดเจนว่า   งานนี้ไม่ใช่คำเตือนทั่วไปเพื่อแก้ปัญหาทั่วไป 

        หากแต่มุ่งจะจัดการกับทรูเท่านั้นจริงๆ  

        แม้ภายหลังจากที่เกิดเป็นคดีแล้ว จะมีการเตือนเพิ่มเติมไปถึง OTT ของ AIS เพื่อให้

        ดูดีขึ้นเที่ยงธรรมขึ้นก็ตาม   แต่นั่นก็สายเกินการไปเสียแล้ว

ถาม   ตกลง อาจารย์เห็นว่า ศาลอาญาคดีทุจริตไม่ได้ใช้มาตรา ๑๕๗ โดยพร่ำเพื่อ อย่างที่

         เขาวิพากษ์กันใช่ไหมครับ

ตอบ   “ตัวการกระทำ” มันนอกกฎหมายจริงๆ  ส่วน “ตัวคน” ก็มีเจตนาทำไปเพื่อจะให้เขา

         เสียหายชัดเจน  ถ้าเป็นผม ผมก็ไม่เห็นทางจะตัดสินเป็นอย่างอื่นได้   ไม่ทราบจริงๆ

         ว่าใครเป็นที่ปรึกษากฎหมายของอาจารย์   พามาตายกลางถนนอย่างนี้ได้อย่างไร

         คดีนี้เป็นตัวอย่างชัดเจนว่า   ไม่ว่าคุณจะ ฝังใจคิดทำเพื่อมวลมหาผู้บริโภค จนเป็น

         ความสุจริตฝังแน่นอยู่ในใจอย่างไรก็ตาม  แต่ตำแหน่ง กสทช.ที่คุณเข้ามานั่งนั้น  

         มันมีกรอบกฎหมายรอครอบหัวคุณอยู่เสมอว่า ตัวคุณนั้นไม่มีอำนาจในตัวเอง เรือง

         แสงด้วยตัวเองไม่ได้  อย่าทำอะไรที่เกินกฎหมายและต้องเที่ยงตรงเสมอภาคทุกครั้ง 

ถาม   ความเสมอภาคที่ว่านี้ ถ้าจะเปรียบเทียบก็เข้าทำนองว่า นโยบายกวาดล้างซ่องของ

         ท่านผู้กำกับนั้น ถูกต้องก็จริง  แต่ท่านจะประกาศออกมาเพื่อจ้องจับอยู่ซ่องเดียว

         ไม่ได้ ใช่มั้ยครับ

ตอบ   ถูกต้อง...ถ้ากฎหมายถูกเลือกใช้ได้ตามอำเภอใจ  มันก็ไม่ใช่กฎหมายแล้ว ประเทศ

         ไทยเรานี้ มีปัญหาเรื่องความไม่เสมอภาคภายใต้กฎหมายแบบนี้มากจริงๆ นะครับ

         คุณดูสิ... ขนาดไม่ยอมติดคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุด ก็ยังทำได้เลยเห็นไหม แล้ว

         อย่างนี้บ้านเมืองเราจะไปรอดได้อย่างไร?????                                 

                                       ...............................

        

นิเทศจุฬาฯ เปิดเวทีถก 'พิรงรอง Effect' มอง OTT ระเบิดเวลาที่ยังไร้การควบคุมจากกสทช

นิเทศจุฬาฯ เปิดเวทีถก 'พิรงรอง Effect' มอง OTT ระเบิดเวลาที่ยังไร้การควบคุมจากกสทช.-รัฐ เตรียมทุบอุตสาหกรรมสื่อไทย ขาดหางเสือกำหนดทิศทางหากสิ้นสุดใบอนุญาตปี 72 ระบุการฟ้องร้องที่เกิดขึ้นทำเจ้าหน้าที่รัฐไม่กล้าปกป้องประชาชน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 7 ก.พ.68 ที่ผ่านมา  คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดงานสัมมนาในหัวข้อ พิรงรอง Effect ทิศทางกำกับดูแลและคุ้มครองผู้บริโภคสื่อต่อจากนี้

นายปรีดา อัครจันทโชติ คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเปิดงานเสวนาว่า การฟ้องร้องดำเนินคดีในลักษณะนี้ ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรอิสระในฐานะที่พึ่งของประชาชนในการพิทักษ์สิทธิที่ประชาชนพึงมี เป็นอุปสรรคสำคัญต่อเสรีภาพในการแสดงออก ขัดขวางการวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นสังคมโดยพยพยพยามทำให้เกิดความกดดันและความกลัว

ดังนั้น คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงขอแสดงจุดยืนของคณะฯ สนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของนางสาวพิรงรอง ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต ยึดมั่นในหลักการ และปกป้องผลประโยชน์สูงสุดของสาธารณะต่อไป

ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ เปิดเผยว่า ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา สังคมไทยจับตามองคดีหนึ่งที่กลายเป็นประเด็นร้อนแรง สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของกฎหมายในการจัดการข้อพิพาท และแนวทางในการแสวงหาความยุติธรรม ซึ่งหลักการสำคัญของกฎหมาย โดยอัญเชิญแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งพระราชทานไว้เกี่ยวกับบทบาทของกฎหมายว่า กฎหมายเป็นเพียงเครื่องมือในการแสวงหาความยุติธรรม มิใช่ตัวความยุติธรรมโดยแท้

ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง กล่าวว่า การบังคับใช้กฎหมายต้องคำนึงถึง เจตนารมณ์ บริบท และผลกระทบ ที่จะเกิดขึ้น ไม่ใช่แค่ตีความตัวบทตามอักษรเพียงอย่างเดียว หากยึดติดเพียงตัวหนังสือโดยไม่คำนึงถึงสาระสำคัญ อาจทำให้ความยุติธรรมหล่นหายไป

"หลายกรณีที่มีการนำคดีขึ้นสู่ศาล ไม่ได้มีเป้าหมายแค่แพ้หรือชนะ แต่ยังมีผลข้างเคียงอื่นๆ ที่แฝงอยู่ เช่น การแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน หรือผลกระทบทางสังคม นักกฎหมายต้องระวังอย่าให้ตัวเองเป็นเพียงกลไกในการดำเนินคดีที่เบี่ยงเบนจากเส้นทางของความยุติธรรม ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง กล่าว

ด้าน น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ อดีตกรรมการ กสทช.และ ผู้ร่วมก่อตั้ง Co-fact Thailand กล่าวว่า ประเด็นดังกล่าวนี้สร้างแรงกระเพื่อมในเชิงสิทธิและความเป็นส่วนตัว แต่ยังเปิดโปงปัญหาเชิงโครงสร้างของกระบวนการยุติธรรม กสทช. และอนาคตของอุตสาหกรรมสื่อและโทรคมนาคมไทย

คำพิพากษาที่เกิดขึ้นกระตุ้นให้สังคมตั้งคำถามถึงหลักนิติธรรม (Rule of Law) และมาตรฐานความยุติธรรมในระบบกฎหมายไทย นักกฎหมายหลายฝ่ายมองว่า คดีนี้ควรเป็นจุดเริ่มต้นของการถกเถียงเชิงโครงสร้าง เพื่อให้เกิดการปฏิรูปที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงการปล่อยให้เป็นกระแสชั่วคราวแล้วจางหายไป

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญ คือ บทบาทของ กสทช. ที่ถูกตั้งคำถามอย่างหนักเรื่องความโปร่งใสและประสิทธิภาพในการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมและสื่อ การที่สังคมตื่นตัวกับบทบาทขององค์กรนี้ถือเป็นเรื่องดี เพราะ กสทช. ถูกวิพากษ์วิจารณ์มานานเรื่องธรรมาภิบาลและการดำเนินงานที่ไม่ตอบโจทย์ยุคดิจิทัล กรณีนี้เป็นสัญญาณเตือนว่าถึงเวลาต้องมีการตรวจสอบและปรับปรุงบทบาทขององค์กรกำกับดูแลนี้อย่างจริงจัง

ขณะเดียวกัน อนาคตของอุตสาหกรรมสื่อและโทรคมนาคมไทยก็กำลังเผชิญจุดเปลี่ยนสำคัญ ธุรกิจโทรทัศน์แบบดั้งเดิมกำลังถูกแทนที่ด้วยแพลตฟอร์ม OTT และ Streaming Online แต่ยังไม่มีมาตรการกำกับดูแลที่ชัดเจน ขณะที่โครงสร้างโทรคมนาคมของประเทศต้องเร่งพัฒนาให้ทันต่อยุค 5G, 6G และ AI ซึ่งเป็นรากฐานของเศรษฐกิจดิจิทัล หากยังปล่อยให้เกิดความล่าช้าและการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ประเทศไทยอาจเสียโอกาสครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมนี้

"แม้ว่ากระแสคดีของ กสทช.พิรงรอง จะถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง แต่เกมนี้ยังไม่จบ ความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงต้องเกิดขึ้นจากการติดตามและกดดันให้มีการปฏิรูปอย่างเป็นรูปธรรม การต่อสู้ครั้งนี้เพิ่งเริ่มต้น และจะเป็นบทพิสูจน์สำคัญของความเป็นธรรมและอนาคตของสื่อสารมวลชนไทย" น.ส.สุภิญญา กล่าว

ทั้งนี้ รองศาสตราจารย์ ดร.ณรงค์เดช สรโฆษิต อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า กรณีดังกล่าว ไม่เพียงแต่เป็นคดีที่ผิดปกติจากแนวทางปกติที่ควรเป็นเรื่องของศาลปกครอง แต่ยังเปิดคำถามสำคัญเกี่ยวกับกลไกทางกฎหมายและการใช้อำนาจรัฐ

โดยปกติ หากเห็นว่าคำสั่งของเจ้าหน้าที่รัฐไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประชาชนสามารถใช้กระบวนการทางกฎหมายได้หลายช่องทาง เช่น การอุทธรณ์ภายในหน่วยงาน การฟ้องศาลปกครองเพื่อเพิกถอนคำสั่ง หรือการเรียกค่าเสียหายจากรัฐ แต่ในกรณีนี้กลับถูกดำเนินคดีในศาลอาญา ซึ่งเป็นลักษณะที่ไม่พบได้บ่อย ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับกระบวนการและวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของคดี

ข้อสังเกตสำคัญ คือ คดีนี้ฟ้องร้องตัว กสทช. ในขณะที่ผู้มีอำนาจเซ็นจดหมายหรือเป็นผู้สั่งการจริงๆ กลับไม่มีความชัดเจนว่าควรเป็นผู้รับผิดหรือไม่ สิ่งนี้ทำให้เกิดความแปลกประหลาดในทางกฎหมาย เพราะตามหลักความรับผิดทางอาญา ผู้ที่ออกคำสั่งและลงนามในเอกสารทางราชการควรเป็นผู้ที่รับผิดชอบโดยตรง แต่คดีนี้กลับมุ่งเป้าไปที่องค์กรกำกับดูแล ทำให้เกิดข้อกังขาว่าอาจเป็นแนวทางใหม่ในการข่มขู่เจ้าหน้าที่รัฐให้ไม่กล้าปฏิบัติหน้าที่

ผลกระทบของคดีนี้อาจส่งผลไกลกว่า กสทช. เพราะในอนาคตเจ้าหน้าที่รัฐอาจลังเลที่จะดำเนินงานด้านกำกับดูแลที่กระทบต่อกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ หากความเสี่ยงในการถูกฟ้องร้องมีมากขึ้น เช่น หน่วยงานที่ควบคุมมลพิษอาจหลีกเลี่ยงการเอาผิดโรงงานที่ปล่อยสารพิษ หรือเจ้าหน้าที่กำกับดูแลสื่ออาจไม่กล้าออกมาตรการควบคุมโฆษณาที่ละเมิดสิทธิผู้บริโภค

นอกจากนี้ นายระวี ตะวันธรงค์ ที่ปรึกษาสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ กล่าวว่า ปัจจุบันธุรกิจ OTT (Over-the-Top) หรือแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง เช่น YouTube, Netflix และ Prime Video กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ขณะที่ กฎหมายไทยยังไม่มีมาตรการกำกับดูแลที่ชัดเจน ทำให้เกิดปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งในแง่ของการแข่งขันทางธุรกิจและการควบคุมเนื้อหาภายในประเทศ

OTT แตกต่างจาก IPTV (Internet Protocol Television) ซึ่งเป็นบริการส่งสัญญาณภาพและเสียงผ่านอินเทอร์เน็ตที่มีกฎหมายรองรับ แต่ OTT นั้นพัฒนามาไกลเกินกว่าที่กฎหมายเดิมจะควบคุมได้ ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา กสทช. ได้ศึกษาแนวทางการกำกับดูแล OTT และจัดทำร่างข้อกำหนดขึ้นเรียบร้อยตั้งแต่ปี 2566 แต่จนถึงปัจจุบัน ร่างดังกล่าวยังไม่ถูกเสนอเข้าสู่ที่ประชุม กสทช. ทำให้ OTT สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้โดยไม่มีข้อบังคับใดๆ

ปัญหาสำคัญคือ OTT ไม่มีการจดทะเบียนในประเทศไทย ซึ่งหมายความว่าหน่วยงานรัฐไม่มีอำนาจกำกับดูแลโดยตรง ทั้งในเรื่องของเนื้อหาและโฆษณา แตกต่างจากประเทศอื่น เช่น อังกฤษ และออสเตรเลีย ที่มีกลไกปรับดูแลตามบริบททางวัฒนธรรมของประเทศตนเอง การปล่อยให้ OTT เติบโตแบบไร้การกำกับดูแลนี้ ส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อธุรกิจทีวีดิจิทัลอย่างหนัก

หนึ่งในผลกระทบสำคัญ คือ ทีวีดิจิทัลที่กำลังรอการต่อสัญญาในปี 2572 ซึ่งต้องมีการตัดสินใจเกี่ยวกับการประมูลใหม่ในปี 2570 อย่างไรก็ตาม เจ้าของช่องโทรทัศน์ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีแนวทางดำเนินธุรกิจต่อไปอย่างไร เนื่องจาก OTT ดึงเม็ดเงินโฆษณาออกจากโทรทัศน์แบบดั้งเดิมอย่างต่อเนื่อง

ค่าโฆษณาบน OTT มีราคาถูกกว่า ทำให้ธุรกิจต่างๆ หันไปลงโฆษณากับแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น ผลที่ตามมาคือ รายได้ของทีวีดิจิทัลลดลงอย่างต่อเนื่อง อาจถึงขั้นไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนพนักงาน และหากไม่มีมาตรการรองรับ อุตสาหกรรมสื่อดั้งเดิมของไทยอาจถึงจุดล่มสลาย

"กสทช. จะเริ่มกำกับดูแล OTT กี่โมง และแนวทางที่ชัดเจนจะเกิดขึ้นเมื่อไร เพราะหากยังคงปล่อยให้ธุรกิจ OTT เติบโตโดยไม่มีมาตรการควบคุม ขณะที่ทีวีดิจิทัลยังติดอยู่กับกรอบกฎหมายเดิม ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสื่อสารมวลชนไทยอาจรุนแรงกว่าที่คาดการณ์" นายระวี กล่าว