“ทหาร-ป่าไม้” ผนึกกำลังบุกรวบ “ช่างไม้เถื่อน”ลักลอบแปรรูป “ประดู่ยักษ์”คาบ้าน พื้นที่ศรีสะเกษ

“ทหาร-ป่าไม้” ผนึกกำลังบุกรวบ “ช่างไม้เถื่อน”ลักลอบแปรรูป “ประดู่ยักษ์”คาบ้าน พื้นที่ศรีสะเกษ

เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทหารกองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 โดย หน่วยเฉพาะกิจที่ 3  ร่วมกับตำรวจ สภ.กันทรอม เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาไม้ที่ ศก.1 ร่วมกันลงพื้นที่ตรวจสอบบ้านเลขที่ 330 หมู่ที่ 1 ต.กันทรอม อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ หลังจากได้รับแจ้งจากสายข่าวว่า ที่บ้านหลังดังกล่าวมีการลักลอบทำไม้และแปรรูปไม้หวงห้าม เพื่อทำการค้าและส่งขายให้กับนายทุน จึงได้ร่วมกันเข้าตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุ พบ นายเข็มเพ็ชร สุพงษ์ อายุ 56 ปี เจ้าของบ้าน พร้อมของกลาง ไม้ประดู่ขนาดใหญ่ จำนวน 1 ท่อน ปริมาตร 2.95 ลูกบาศก์เมตร ค่าภาคหลวง 236 บาท ค่าเสียหายของรัฐ 737,000 บาท พร้อมเลื่อยโซ่ยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง ยี่ห้อ Makita สีฟ้า (ไม่มีหมายเลขเครื่อง และหมายเลขแผ่นบังคับโซ่) ขนาดบาร์ 38 นิ้ว จำนวน 1 เครื่อง สายไฟสีดำ ขนาด 2x2.5 ยาว 23 เมตร จำนวน 1 เส้น เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อกล่าวหาว่า ทำไม้และแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ป่าไม้ พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา11, มาตรา48 และมาตรา69 จากนั้นได้ควบคุมตัวผู้ต้องหา นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.กันทรอม เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย  ส่วนของกลางไม้ประดู่ และเลื่อยโซ่ยนต์ไฟฟ้า ได้นำเก็บไว้ที่ หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ศก.1 อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ เพื่อดำเนินการต่อไป.

เอสไอจีร่วมกับองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากลอย่างต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 3 เชื่อมโยงและปกป้องภูมิทัศน์ป่าไม้ที่สำคัญในประเทศไทย

เอสไอจีร่วมกับองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากลอย่างต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 3 เชื่อมโยงและปกป้องภูมิทัศน์ป่าไม้ที่สำคัญในประเทศไทย

ความร่วมมือกับองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (World Wide Fund For Nature) สวิตเซอร์แลนด์ และที่สำนักงานประเทศไทย (WWF Switzerland and Thailand) ในครั้งนี้ เอสไอจีได้ริเริ่มโครงการเพื่อเชื่อมโยงและปกป้องภูมิทัศน์ป่าไม้ที่สำคัญในประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการป่าไม้และการเชื่อมโยงในภูมิทัศน์ เทือกเขาตะนาวศรี พื้นที่ลุ่มน้ำสงครามตอนล่าง และกลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่ป่าทั้งหมด 60,000 เฮกตาร์ หรือเทียบเท่า 375,000 ไร่ โครงการนี้เป็นโครงการเพื่อปกป้องและดูแลป่าไม้และความหลากหลายทางชีวภาพโครงการที่สามของบริษัท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งภายใต้โปรแกรม Forests Forward ต่อจากที่ดำเนินการแล้วใน เม็กซิโก และ มาเลเซีย

นายวัชรพงศ์ อึงศรีสวัสดิ์ ผู้อำนวยการเขตประเทศไทย ลาว พม่าและกัมพูชา เอสไอจี กล่าวว่า “ความร่วมมือระหว่างเรากับ WWF สวิตเซอร์แลนด์ เปิดโอกาสให้เอสไอจีสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อป่าไม้และชุมชนโดยรอบที่พึ่งพาอาศัยป่าไม้ ในโครงการความร่วมมือครั้งที่สามนี้ มีเป้าหมายเพื่อเชื่องโยงและปกป้องภูมิทัศน์ป่าไม้ที่สำคัญในประเทศไทย ที่มีความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายทางชีวภาพ โครงการนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเอสไอจีในการดูแลป่าไม้อย่างมีความรับผิดชอบและสอดคล้องกับเป้าหมายสำหรับการฟื้นฟูในอนาคต เพื่อให้มันใจว่าเราสามารถช่วยเหลือผู้คนและโลกใบนี้ให้มีความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น”

ป่าไม้ของประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของความหลากหลายทางชีวภาพอินโด-เมียนมาร์ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ป่าไม้ผืนนี้เป็นบ้านของสัตว์ป่าหลากหลายชนิด รวมถึงเสือลายเมฆ เสือโคร่ง ช้างเอเชีย และกล้วยไม้หลากหลายสายพันธุ์ที่หลายชนิดกำลังตกอยู่ในอันตราย การตัดไม้ทำลายป่าและการเติบโตของที่อยู่อาศัยเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อความหลากหลายทางชีวภาพนี้

ป่าไม้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนทุกชีวิตบนโลก และเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจของเอสไอจี เพราะเป็นแหล่งผลิตเยื่อไม้ที่เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตกระดาษสำหรับบรรจุภัณฑ์ของเอสไอจี  ความร่วมมืออย่างเข้มแข็งของภาคเอกชนจึงมีความสำคัญต่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าไม้จากความสูญเสียและเสื่อมโทรม สำหรับโครการ Forests Forward ขององค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล เป็นการดำเนินการของบริษัทเพื่อประโยชน์ต่อธรรมชาติ สภาพภูมิอากาศ และผู้คน บริษัทต่าง ๆ ที่เข้าร่วมโครงการ Forests Forward ต้องยึดมั่นต่อเป้าหมายเกี่ยวกับการจัดหาวัตถุดิบอย่างมีความรับผิดชอบ การจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน และการลงทุนในภูมิทัศน์ของป่าไม้

ตั้งแต่ปี 2564 เอสไอจีได้จัดหากระดาษจากป่าไม้ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากองค์กรพิทักษ์ป่าไม้ ( FSC- Certified) เท่านั้น ซึ่งรับประกันได้ถึงมาตรฐานขั้นสูงในการจัดการป่าไม้อย่างมีความรับผิดชอบ รวมถึงการสนับสนุนความหลากหลายทางชีวภาพและชุมชน โครงการใหม่นี้สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของเอสไอจี ในการสร้าง ฟื้นฟู ปกป้อง และการจัดการพื้นที่ป่าไม้เพิ่มเติม 650,000 เฮกตาร์ หรือราว 4.062 ล้านไร่ภายในปี 2573

โครงการใหม่นี้มีเป้าหมายหลัก 3 ประการ:

เพื่อรักษาแนวชายขอบของป่าไม้ที่จำเป็นต่อการเชื่อมโยงและความสมบูรณ์ของระบบนิเวศป่าไม้

เพื่อเสริมสร้างพื้นที่อนุรักษ์ที่มีอยู่และสนับสนุนการกำหนดพื้นที่คุ้มครองใหม่

เพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการออกแบบ ประยุกต์ใช้ และติดตามการอนุรักษ์ รวมถึงการมอบโอกาสและทางเลือกในการเลี้ยงชีพ

 

กิจกรรมภายใต้เป้าหมายเหล่านี้ เชื่อมโยงและฟื้นคืนให้ป่าไม้กลับมาอุดมสมบูรณ์ และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการกลับมาของสัตว์ใหญ่  การปรับปรุงความเชื่อมโยงของที่อยู่อาศัยเพื่อช่วยช้างที่กระจายตัวในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ การฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าไม้ในบริเวณแหล่งน้ำ การกำหนดพื้นที่คุ้มครอง การรักษาสิทธิการใช้ที่ดินสำหรับชุมชน และการส่งเสริมวนเกษตรและการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ

 

รัฐพล พิทักษ์เทพสมบัติ รองผู้อำนวยการฝ่ายอนุรักษ์ และผู้อำนวยการส่วนงานกลุ่มป่าไม้ องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล สำนักงานประเทศไทย (WWF Thailand) กล่าวว่า “ความร่วมมือกับเอสไอจีช่วยให้องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากลประจำประเทศไทย มีโอกาสในการปกป้อง อนุรักษ์ และฟื้นฟูพื้นที่ป่าไม้ที่มีความสำคัญระดับโลก 3 แห่งในประเทศไทย การสนับสนุนครั้งนี้จะช่วยให้เราสามารถฟื้นฟูป่าที่เสื่อมโทรมได้โดยตรง รวมถึงทำงานร่วมกับรัฐบาลและชุมชนในการกำหนดพื้นที่คุ้มครองใหม่เพื่อทำการอนุรักษ์และเชื่อมโยงป่าไม้ของเรา รวมถึงสนับสนุนการอยู่อาศัยตามธรรมชาติของสัตว์ป่ารวมถึง เสือ กระทิง  และช้างเอเชีย”

 

ทิม โครนิน ผู้นำโครงการ Forests Forward องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล กล่าวว่า “เราต้องการความร่วมมือจากภาคเอกชน สำหรับการเป็นผู้นำในการจัดการกับวิกฤตด้านสภาพภูมิอากาศและความหลากหลายทางชีวภาพ และป่าไม้ บทบาทในการเป็นผู้นำนี้เป็นมากกว่าการหยุดยั้งความเสียหาย แต่รวมถึงการฟื้นฟูสิ่งที่สูญเสียไปด้วย นอกจากนี้ยังรวมถึงการก้าวไปไกลกว่าห่วงโซ่อุปทานของบริษัท เพื่อสนับสนุนการดำเนินการเพื่อฟื้นฟูป่าไม้ในพื้นที่ที่มีความต้องการมากที่สุด ภายใต้การสนับสนุนการทำงานในประเทศไทยเอสไอจีกำลังแสดงให้เห็นถึงการดำเนินงานและการสร้างแรงบันดาลใจเพื่อเป็นต้นแบบให้ธุรกิจอื่นได้ศึกษา”

วรุณา จับมือ ทรูมันนี่ และ แอสเซนด์ บิท ผลักดันป่าไม้ไทยสู่ความยั่งยืน ร่วมนำร่องคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้

ทรูมันนี่ ผู้นำด้านบริการการเงินดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ บริษัท แอสเซนด์ บิท จำกัด ผู้ให้บริการเทคโนโลยีบล็อกเชนชั้นนำ เดินหน้าขยายความร่วมมือด้านความยั่งยืนล่าสุดประกาศความร่วมมือกับ บริษัท วรุณา (ประเทศไทย) จำกัด หรือ วรุณา (VARUNA) ผู้เชี่ยวชาญด้านการขับเคลื่อนคาร์บอนอย่างยั่งยืน ในกลุ่มบริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด หรือ เออาร์วี (ARV) เปิดตัวโครงการนำร่องคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ ผ่านแอปทรูมันนี่ให้คนไทยสามารถเข้าถึงและมีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจก อย่างโปร่งใสตรวจสอบได้ และยั่งยืน
 
โดยความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นการสานต่อบริการซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยการปล่อยคาร์บอน ผ่านโครงการที่พัฒนาภายใต้มาตรฐาน T-VER (Thailand Voluntary Emission Reduction Program - โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจของประเทศไทย) ซึ่งมุ่งเน้นให้ผู้ใช้งานทรูมันนี่สามารถมีส่วนร่วม ในการสนับสนุนการปลูกป่าไทยได้อย่างสะดวกและปลอดภัย โดยที่ผ่านมามีผู้ใช้งานแอปทรูมันนี่ซื้อ คาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นจำนวน 5,800 ตันคาร์บอน หรือเทียบเท่ากับใช้ต้นไม้กว่า 386,000 ต้น (ข้อมูล ณ 20 เมษายน 2568)
 
ภายใต้ความร่วมมือนี้ ผู้ใช้งานสามารถสนับสนุนการปลูกป่าไม้ไทยผ่านโครงการที่ได้รับการขึ้นทะเบียนกับ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก(TGO) อย่างถูกต้อง ครอบคลุมพื้นที่ป่าในจังหวัดแพร่ ได้แก่ สวนป่าขุนแม่คำมี สวนป่าวังชิ้น และสวนป่าแม่ยม-แม่แปง โดยมีองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ และบริษัท วรุณา (ประเทศไทย) จำกัด ผู้พัฒนาโครงการ ตั้งแต่การสำรวจพื้นที่ การวางแผนการปลูก การดูการเติบโตของต้นไม้ ประเมินคาร์บอนเครดิต และตรวจสอบโครงการ โดยใช้แพลตฟอร์มและเทคโนโลยีเข้าร่วมสนับสนุน

นายอภินันท์ ดาบเพ็ชร ผู้อำนวยการฝ่ายการเติบโตของวอลเล็ทแพลตฟอร์ม บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด และกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซนด์บิท จำกัด กล่าวว่า “ทรูมันนี่ และ แอสเซนด์ บิท ภายใต้เครือ แอสเซนด์กรุ๊ป ต่างมุ่งมั่นที่จะใช้ศักยภาพของ เทคโนโลยีบล็อกเชนสาธารณะ เชื่อมโยงและสนับสนุนคนไทยในด้านความยั่งยืน โดยล่าสุดเราได้ร่วมมือกับวรุณา เปิดโอกาสให้ ผู้ใช้งานทรูมันนี่มีส่วนร่วมในการร่วมลดคาร์บอนผ่านโครงการป่าไม้ในไทยด้วยการซื้อคารบอนเครดิตผ่านแอปทรูมันนี่ได้อย่างง่ายๆ และโปร่งใส เพราะสามารถตรวจสอบได้ โดยความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นการนำ ร่องโครงการสนับสนุนความยั่งยืนด้าน ป่าไม้ภายในประเทศและวางรากฐานสู่การขยายผลในอนาคต
 
นางสาวพณัญญา เจริญสวัสดิ์พงศ์ ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท วรุณา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “วรุณา มุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนอนาคตสีเขียวที่ยั่งยืน และสร้างประโยชน์สูงสุดต่อพื้นที่เกษตรและป่าไม้รวมถึงสิ่งแวดล้อม ของประเทศไทย ความร่วมมือกับทรูมันนี่และแอสเซนด์ บิท ในครั้งนี้จะช่วยให้คนไทยเข้าถึงการมีส่วนร่วมด้าน สิ่งแวดล้อมได้ในวงกว้างผ่านแอปพลิเคชันที่ใช้งานอยู่แล้ว พร้อมร่วมผลักดันการลดก๊าซเรือนกระจก สู่เป้าหมาย SDG 13 Climate Action และร่วมรักษ์โลกไปด้วยกัน”

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถซื้อคาร์บอนเครดิตอย่างสะดวก และโปร่งใสด้วยบล็อกเชน ผ่านแอปพลิเคชัน ทรูมันนี่ ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถชดเชยคาร์บอนได้ในราคาเริ่มต้นเพียง 39 บาทสำหรับโครงการในไทย โดยสามารถเลือกแพ็กเกจได้ตามต้องการ (7, 30 หรือ 90 วัน) ระบบจะตัดเงินจากบัญชีทรูมันนี่ เพื่อซื้อและเบิร์นโทเคนคาร์บอนเครดิตที่ผ่านการรับรองมาตรฐานระดับสากล โดยทุกธุรกรรมจะถูกบันทึกไว้บน เครือข่ายบล็อกเชนสาธารณะ (Polygon) ในรูปแบบ NFT เพื่อความโปร่งใส ตรวจสอบได้และลดต้นทุนเมื่อเทียบกับบริการชดเชย คาร์บอนรูปแบบเดิมหลายเท่าตัวสร้างประสบการณ์ที่ง่าย สะดวก และเข้าถึงได้สำหรับผู้ใช้งานทุกกลุ่ม ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://tmn.app.link/CARBON_CREDIT

"ศักดา วิเชียรศิลป์" ชี้สถานการณ์ "น้ำท่วมใหญ่" สะท้อนวิกฤติป่าไม้ไทย

 

เมื่อวันที่ 19  ธ.ค.67 นายศักดา วิเชียรศิลป์  ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง จากปรากฎการณ์เอลนีโญ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์กับรายการ “เคลียร์คัด ชัดเจน” ทางสถานีโทรทัศน์ ช่อง 11 ถึงสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้น ว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ และที่จะเกิดต่อไปในอนาคต จะมีแนวโน้มที่รุนแรงมากขึ้น โดยส่วนตัวไม่ได้แปลกใจต่อเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่เกิดขึ้นเช่นนี้ เนื่องจากตนเป็นคนที่ทำหน้าที่รักษาป่ามาก่อน เป็นข้าราชการกรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ทั้งสามกรมนี้ดูเรื่องป่าทั้งหมด ตนเข้าใจดีถึงเรื่องระบบนิเวศน์ ว่าในอดีตประเทศไทยมีพื้นที่ป่า เกือบ 60 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ  แต่วันนี้จากตัวเลขพบว่าเราเหลือพื้นที่ป่าอยู่เพียง 31 เปอร์เซ็นต์ แต่ตนก็ยังไม่แน่ใจว่าใน 30กว่าเปอร์เซ็นต์นี้ ยังไม่เห็นหน่วยงานที่ระบุจะสามารถแยกออกเป็นรายจังหวัดได้หรือไม่

ตอนที่ตนเป็นข้าราชการ เป็นอดีตผอ.สำนักป้องกันและปราบปราม ของกรมอุทยานฯ เคยนั่งเฮลิคอปเตอร์ในการตรวจป่า ตนเคยบินดูทุกจังหวัด ตั้งแต่นราธิวาสจนถึงแม่ฮ่องสอน เราจะเห็นว่าข้างในฉากหน้าของป่าที่เรามองเห็นผ่านถนนนั้น ข้างในจะมีสวนยาง หรือสวนข้าวโพดแทบทั้งหมด  คนที่บุกป่าจะมีฉากเอาไว้ คนที่ไปทางราบจะมองไม่เห็น และถ้าเรานั่งเครื่องบิน เราก็จะเห็นเขาหัวโล้นเต็มไปหมด ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าไม่ว่าพื้นที่ใดก็มีการบุกรุก แผ่วถาง เพื่อทำการเกษตรเกือบหมด

ตั้งแต่ตนรับราชการมาก็มีนโยบายของรัฐหลายครั้ง ทำให้เราเสียพื้นที่ป่า วันนี้อยากบอกพี่น้องประชาชน ได้ทราบว่า เราดีใจ ที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดน้ำท่วมที่ปทุมธานี และนครศรีธรรมราช เกิดต้นซุง เศษไม้ ใบไม้ถล่มลงมา และมีผู้เสียชีวิต จากนั้นอีกราว 3-4เดือน มีการประกาศยกเลิกสัมปทาน การทำไม้ทั้งประเทศ เมื่อปี2532 โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อปี 2531 สมัยนั้นมีพรรคการเมืองหนึ่งซึ่งเป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ก็เลยถือโอกาสปิดป่า ประชาชน ที่อยู่ในเมือง ในกทม.ดีใจ แต่สำหรับตนเองแล้วไม่ได้ดีใจเลย ในขณะนั้นเป็นข้าราชการกรมป่าไม้  เนื่องจากสัมปทานทำไม้ นั้นมีผู้รับสัมปทานทำไม้ มีเงื่อนไขว่าคุณต้องดูแลพื้นที่ป่าที่รับสัมปทานทั้งหมด ในเวลานั้นถ้าจำไม่ผิด ผู้ที่ได้รับสัมปทานทั่วประเทศมีทั้งหมด 300-400 ราย ดังนั้นเมื่อมีคำสั่งให้ปิดสัมปทานทั้งหมด ในครั้งนั้น ทำให้คนงานในแต่ละสัมปทาน ตกงานและไม่รู้จะไปไหน จากนั้นจึงมีการถางป่าเกิดขึ้นตามมา ซึ่งวันนั้นเจ้าหน้าที่รัฐเองก็ไม่พร้อม

นายศักดา กล่าวต่อว่า ผลที่เกิดขึ้นตามมาในครั้งนั้น เมื่อปิดป่าในปี 2532 ต่อมาในปี 2536 พบว่ามีพื้นที่ป่าที่ถูกบุกรุกทั้งสิ้น 44 ล้านไร่ จากการที่มีมติครม.วันที่ 4 พ.ค.2536 กรมป่าไม้ มอบพื้นที่ที่ถูกแผ่วถาง ให้กับสำนักงานปฏิรูปที่ดิน (สปก.) นำไปปฏิรูปที่ดิน ให้สปก.นำไปให้ชาวบ้าน 44 ล้านไร่ ถามว่าที่จากไหน ก็คือที่จากแปลงสัมปทานทำไม้ ซึ่งไม่ใช่ป่าเสื่อมโทรม คนที่ไม่รู้ ก็ดีใจที่ปิดป่า แต่คนที่อยู่ในป่า เขาก็บุกรุกถางป่าต่อ เมื่อทำไม้ไม่ได้ ก็เผา และยึดที่ดินหลังจากนั้นกรมป่าไม้ ก็ต้องมอบพื้นที่ ให้ชาวบ้านตามมติครม. ในครั้งนั้น วันที่ 4 พ.ค.2536 ให้สปก.ไปจัดสรร นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่ง เราหมดไปแล้ว 44 ล้านไร่ โดยก่อนหน้านี้ กรมป่าไม้ ก็มอบที่ให้กับสปก.ไปหลายสิบล้านไร่แล้วให้ไปจัดสรร  อย่าลืมว่ากรมป่าไม้กับสปก.อยู่ภายใต้กระทรวงเกษตรฯด้วยกัน แต่มาแยกกันเมื่อปี 2545

นายศักดา กล่าวต่อว่า เมื่อปี 2541 มีมติครม.รองรับในลักษณะเช่นนี้อีก ว่าคนที่อยู่ในป่าอีกประมาณ 5ล้านไร่ ให้เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ ตรวจสอบสอบพิสูจน์สิทธิ์ก่อน ที่ประชาชนเรียกกันว่าตามมติครม. 2541 บอกว่าให้ประชาชนอยู่ได้ แสดงให้เห็นว่าเมื่อผ่านไป อีกราว5ปี มีการเสียพื้นที่ป่าไปอีก ต่อมาปี 2557 หลังจากนั้นอีก 15-16ปี มีมติครม.เหมือนลักษณะเดียวกับปี 2541 ให้ประชาชนอยู่ในป่าได้อีก เท่ากับว่าเราเสียพื้นที่ป่าไม่ต่ำกว่า 50-60ล้านไร่ ประเทศไทยมีพื้นที่ป่า มี 320ล้านไร่ ดังนั้นเราเสียพื้นที่ป่า 15-16 เปอร์เซ็นต์ ของ320ล้านไร่ เพื่อไปทำการเกษตร

นายศักดา กล่าวต่อว่า ในส่วนของพื้นที่ทำกิน หากเป็นที่ราบ หรือการจัดโซนนิ่งเมื่อปี 2535 แต่วันนี้ไม่มีการจัดโซนแล้ว ทั้งชาวบ้านและนายทุนที่ไปบุก ก็ไม่มีโซนพื้นที่ป่าแล้วทั้งที่มีกฎหมายบอก แต่ในการกระทำนั้นมันไม่ได้ เพราะในพื้นที่ ที่มีชาวบ้านเข้าไปบุกรุก จะมีเจ้าหน้าที่เข้าไปขับไล่ ไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเจ้าหน้าที่ไม่ไปจับ เขาก็ไปบุกรุกใหม่ พอหน้าแล้งก็จุดไฟเผาป่า วันนี้เราประกาศพื้นที่อนุรักษ์ ประมาณเกือบ70-80 ล้านไร่ แต่ขอให้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์บินดู

ยกตัวอย่างง่ายๆเหตุการณ์น้ำท่วมที่ปัตตานีกับกับยะลา จุดนั้นอยู่ใกล้กับอุทยานแห่งชาติเขาบูโด ซึ่งตนเองเคยอยู่ปัตตานี เคยบินดูแล้ว พบว่าด้านบนเป็นสวนยางหมดแล้ว เขาสูงจากระดับน้ำทะเล 500-600 เมตร ข้างบนเป็นสวนยางหมด ดังนั้นเมื่อฝนตกจึงไม่มีอะไรบังเลย น้ำก็ไหลลงตามร่อง จึงเจอปัญหาดินโคลนถล่ม น้ำฝนไหลลงเร็ว ลงมาที่ห้วย หนอง คลองบึง ซึ่งเมื่อก่อนจะเก็บน้ำได้ดี  เพราะป่าไม่ถูกทำลาย แต่เมื่อมีโคลนดินถล่มลงมา ก็เกิดการตื้นเขิน พอฝนตกลงมามาก ก็เกิดการเอ่อล้น ไปท่วมบ้านเรือน ซึ่งจะใช้เวลาหลังฝนตกผ่านไปแล้วไม่เกิน 3 วัน น้ำก็จะไหลไปหมด แต่ถ้าพื้นที่จุดนั้นมีการสร้างถนนหนทาง หรือผังเมืองไม่ดี ก็จะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้น้ำขังนาน แต่ถ้ามีต้นไม้ มีป่า โดยธรรมชาติก็จะอุ้มน้ำของมันเอง

เมื่อถามว่าหากกรมป่าไม้ รับรู้แล้วจะมีการเรียกคืนพื้นที่เพื่อนำไปเป็นพื้นที่ป่าปกติได้หรือไม่ นายศักดา กล่าวว่า โดยหลักการจะเป็นเช่นนั้น แต่โดยประสิทธิภาพแล้วตนไม่เชื่อ เพราะอยู่ดีๆการที่คนไปปลูกยาง ปลูกป่า สมัยคสช.มาใหม่ ๆตอนนั้นตนยังรับราชการอยู่ ก็ตัดเป็นพันๆไร่ เราก็ตัดเอาไม้เล็กไปปลูก ปรากฎว่าชาวบ้านและสังคมต่อว่าเราแล้ว เขาลงทุนปลูกปาล์ม ตั้งมากมาย แต่เราไปตัดไม้ของเขาทิ้ง สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ และในทางกฎหมายเราไม่ด้ทำผิด แม้จะมีคนฟ้องร้องมากมาย แต่ก็ไม่เคยชนะตน ที่ผ่านมาเคยแสดงความเห็นว่าในเรื่องของการปลูกป่าไม้ นั้นอยากให้กรมอุทยานฯ หรือกรมป่าไม้ หรือหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการฟื้นฟูสภาพป่า ควรให้คนท้องถิ่นทำ เพราะเขาอยู่ตรงนั้น แต่ถ้าเอาเจ้าหน้าที่หรือคนในเมืองเข้าไปทำ ปรากฎว่าวันปลูกเราจ้างเขา เพราะเขาได้เงิน แต่เมื่อเรากลับมาแล้วเขาอยากได้พื้นที่คืน จึงบอกมาเสมอว่าการปลูกป่าเป็นเรื่องยาก

เมื่อถามว่ามีทางสำหรับทุกฝ่ายหรือไม่ ทั้งชาวบ้านและการได้พื้นที่ป่าคืนกลับมาด้วย นายศักดา กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ในฐานะที่ตนเข้ามาเป็นนักการเมืองก็พบว่า ยังไม่เห็นว่าเกษตรกรคนไหนที่ปลูกพืชเศรษฐกิจของไทยแล้วจะร่ำรวย  มีกิน มีใช้เลย และในรอบ 2-3ปีพืชผลทางการเกษตร ราคาจะตกลง ด้วยกลไกตลาด การสั่งเข้า ในเชิงพาณิชย์ จนเกิดความเสียหายกับเกษตรกร รัฐก็ต้องเข้าไปช่วย ทุกครั้ง แต่ถ้าสมมติให้พื้นที่ป่ากลับมาเหมือนเดิม เชื่อว่าที่ดินราคาแพงกว่านี้ คนจะไปเที่ยวมากกว่านี้ เหมือนกับที่เขาใหญ่

 

วิบากทำลายป่ายิ่งพาให้โลกร้อน

เข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 ซึ่งเป็นสัปดาห์สุดท้ายของ “การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 29” หรือ “ค็อป29” หรือที่หลายคนเรียกกันจนติดปากว่า “การประชุมโลกร้อน” ซึ่งกำลังมีขึ้น ณ กรุงบากู เมืองหลวงของประเทศอาเซอร์ไบจาน ที่เหล่าบรรดาตัวแทนประเทศและองค์กรต่างๆ กำลังถกกันอย่างหน้าดำคร่ำเครียดเกี่ยวกับวิกฤติภาวะโลกร้อน หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

โดยหนึ่งในสาเหตุปัจจัยที่กล่าวถึงในวงประชุม นอกเหนือจากผลกระทบของการใช้พลังงานจากซากฟอสซิล เช่น น้ำมัน และถ่านหิน เป็นต้นแล้ว ก็ยังมีการพูดถึงการตัดไม้ทำลายป่า อันเป็นหนึ่งในสาเหตุปัจจัยที่ทำให้วิกฤติภาวะโลกร้อนทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น พร้อมกับส่งผลกระทบทำให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติต่างๆ เลวร้ายหนักขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคลื่นอากาศร้อน ภัยแล้ง ปรากฏการณ์ไฟป่า อุทกภัยน้ำท่วมสูงฉับพลัน อันรวมไปถึงดินโคลนถล่ม สำหรับ พื้นที่ประเทศที่ถูกน้ำท่วมสูงฉับพลันที่ไม่มีต้นไม้มาปกคลุนพื้นผิวหน้าดิน อาทิเช่น เหตุมหาอุทกภัยที่บังเกิดขึ้นในสเปนที่เพิ่งผ่านพ้นมา เป็นต้น ที่นอกจากถูกน้ำท่วมจนจมบาดาลแล้ว ก็ยังถูกดินโคลนถล่มอย่างย่อยยับในหลายพื้นที่ด้วยกัน

น้ำท่วมและดินโคลนถล่มในสเปนครั้งล่าสุด (Photo : AFP)

ทั้งนี้ ก่อนหน้าที่จะมีการประชุม “ค็อป29” ทางกลุ่มที่เคลื่อนไหวรณรงค์ด้านสภาพภูมิอากาศโลก ก็ได้ปล่อยรายงาน “การประกาศประเมินป่าไม้ 2024 (พ.ศ.2567)” ออกมา เพื่อบอกบ่งชี้ถึงสถานการณ์ป่าไม้ตามผืนป่าของภูมิภาคต่างๆ ของโลกในช่วงที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไร

ในรายงานก็ระบุถึง สถานการณ์ของป่าไม้ตามผืนป่าต่างๆ ทั่วโลกในปี 2023 (พ.ศ. 2566) โดยบอกว่า ผืนป่าทั่วโลกถูกทำลายไปเป็นพื้นที่มากกว่าที่ประมาณการไว้ก่อนหน้าถึงร้อยละ 45 ด้วยกัน หรือเป็นจำนวนมากกว่าที่ประมาณการไว้ถึงเกือบครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว และตัวเลขร้อยละ 45 ดังกล่าว ก็มิใช่ว่าจะมากกว่าการประมาณการแบบปีต่อปี แต่เป็นประมาณการที่คาดไว้จนถึงปี 2030 (พ.ศ. 2573) เลยทีเดียว ที่ทางกลุ่มผู้ศึกษาติดตามสถานการณ์ผืนป่าทั่วโลกข้างต้น ต้องการให้ยุติการตัดไม้ทำลายป่าทั่วโลกอีกด้วย

ภาพมุมสูงแสดงการตัดไม้ทำลายป่าโดยอุตสาหกรรมไม้แปรรูปในประเทศแห่งหนึ่ง (Photo : AFP)

จะเรียกว่า ผืนป่าถูกทำลายไปเป็นจำนวนมากกว่าที่คาดคิดไว้เป็นอย่างมากก็ว่าได้ ในหลายพื้นที่ของภูมิภาคโลกต่างๆ ด้วยกันไม่ว่าจะเป็นแอฟริกา เอเชีย ยุโรป อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้หรือละตินอเมริกา รวมไปถึงหมู่เกาะต่างๆ ในย่านทะเลแคริบเบียน

โดยรายงานการประกาศประเมินป่าไม้ 2024 ระบุว่า ผืนป่าทั่วโลกในช่วงปี 2023 ที่ผ่านมานั้น ถูกทำลายไปคิดเป็นพื้นที่มากถึง 15.7 ล้านเอเคอร์ หรือราวกว่า 39.72 ล้านไร่ ซึ่งเป็นเนื้อที่ที่เกือบๆ เท่ากับ “ประเทศไอร์แลนด์” เลยทีเดียว โดยประเทศไอร์แลนด์ มีเนื้อที่ประมาณกว่า 43.92 ล้านไร่

ทั้งนี้ เนื้อที่ผืนป่าทั่วโลกที่ถูกทำลายไปแล้วดังกล่าว ก็เกินระดับที่มากกว่าที่กลุ่มผู้ศึกษาติดตามสถานการณ์ผืนป่าประมาณการกันไว้ที่ไม่เกิน 10.9 ล้านเอเคอร์ หรือกว่า 27.57 ล้านไร่ด้วยกัน

ทว่า สถานการณ์ความเป็นจริง กลับกลายเป็นว่า ผืนป่าทั่วโลกถูกทำลายไปมากกว่าที่ประมาณการกันไว้ถึงเกือบครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว คือ ร้อยละ 45

ในจำนวนผืนป่าที่ถูกทำลายไปอย่างมหาศาลข้างต้นนั้น ปรากฏว่า พื้นที่ใน “เขตร้อน (Tropical)” อันเป็นพื้นที่ของบรรดาประเทศที่อยู่ใกล้กับเส้นศูนย์สูตรของโลกเรา ถูกจัดให้เป็นพื้นที่ที่ผืนป่าถูกทำลายมากที่สุด โดยคิดเป็นถึงเกือบร้อยละ 96 จำนวนพื้นที่ผืนป่าทั่วโลกที่ถูกทำลายไปทั้งหมดของเมื่อช่วงปี 2023 (พ.ศ. 2566) คือ 39.72 ล้านไร่เลยทีเดียว

ทั้งนี้ เมื่อผืนป่าถูกทำลายลงไปเป็นอย่างมากเช่นนี้ ก็ส่งผลให้สภาพอากาศในพื้นที่ของบรรดาประเทศในเขตร้อนเลวร้ายหนักขึ้นกว่าเดิม อันเป็นผลจากการที่ไม่มีต้นไม้จากผืนป่า มาช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาสู่ชั้นบรรยากาศ

โดยรายงาน “การประกาศประเมินป่าไม้ 2024” ระบุว่า พื้นที่ในเขตร้อน หรือเส้นศูนย์สูตร มีจำนวนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกปล่อยออกมาสู่ชั้นบรรยากาศ ปริมาณมากถึง 3,700 พันล้านเมตริกตันด้วยกัน ในช่วงรอบปี 2023 ที่ผ่านมา

ภัยแล้ง หนึ่งในผลกระทบจากการตัดไม้ทำลายป่า จนทำให้เกิดภาวะโลกร้อน (Photo : AFP)

พร้อมกันนี้ ในรายงานยังระบุถึงชื่อประเทศที่ต้องได้รับความห่วงใยเป็นพิเศษจากสถานการณ์ดังกล่าว นั่นคือ โบลิเวีย และอินโดนีเซีย

ในรายงานได้แจ้งเตือนว่า โบลิเวียกำลังเผชิญกับอันตรายจากผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากผืนป่าที่ถูกทำลายไปเพิ่มมากขึ้น ซึ่งที่โบลิเวียนั้น มีการทำลายผืนป่าไปมากถึงร้อยละ 351 (351 %) ในระหว่างช่วงปี 2015 – 2023 (พ.ศ. 2558 – 2566) และก็ไม่มีสัญญาณที่บ่งชี้ว่า การทำลายผืนป่าในโบลิเวียจะมีทีท่าจะลดลง หรือมีสถานการณ์ที่ดีขึ้นแต่ประการใด สำหรับ ประเทศที่อยู่ในเขตร้อน (Tropical) ในทวีปอเมริกาใต้ หรือละตินอเมริกาแห่งนั้น

เช่นเดียวกับ สถานการณ์ผืนป่าที่ถูกทำลายในอินโดนีเซีย ที่ปรากฏว่า เดิมทีในระหว่างช่วงปี 2020 – 2022 (พ.ศ. 2563 – 2565) ก็หนักหนาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่เมื่อปีที่แล้วที่ผ่านมา สถานการณ์ก็สาหัสสากรรจ์ยิ่งกว่าเก่าจนเป็นที่น่ากังวลอย่างยิ่ง สำหรับ สถานการณ์การทำลายผืนป่าในประเทศในเขตศูนย์สูตรของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออุษาคเนย์แห่งนี้

ทั้งนี้ ในการทำลายผืนป่าของอินโดนีเซีย ที่ทวีความรุนแรงหนักขึ้น เมื่อช่วงปีที่แล้ว ก็อาจจะเป็นผลพวงมาจากโครงการย้ายเมืองหลวง จากกรุงจาการ์ตา ไปยังนครหลวงนูซันตารา ทางตะวันออกของเกาะบอร์เนียว ที่แต่เดิมอุดมสมบูรณ์ไปด้วยผืนป่า จนเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด รวมถึงลิงอุรังอุตัง ลิงจมูกยาว และเสือลายเมฆ เป็นต้น เมื่อก่อสร้างเมืองหลวง แน่นอนว่า ก็ย่อมต้องทำลายผืนป่าที่มีอยู่ดั้งเดิมไป

ผืนป่าในนูซันตารา บนเกาะบอร์เนียว ขณะกำลังถูกถางไป เพื่อใช้สร้างเมืองใหม่ของเมืองหลวงอินโดนีเซีย (Photo : AFP)

นอกจากนี้ ผืนป่าได้ถูกทำลายไปเพราะฝีมือมนุษย์เพื่อกิจการต่างๆ แล้ว เช่น การก่อสร้างสิ่งสาธารณูปโภคพื้นฐาน อย่างถนนหนทาง เมืองใหม่ การขยายพื้นที่ทางการเกษตรจนต้องถางป่า อุตสาหกรรมตัดไม้เพื่อนำมาเป็นท่อนซุงเพื่อใช้เป็นวัสดุสำหรับสิ่งปลูกสร้างแล้ว ผืนป่าหลายแห่งก็ยังถูกทำลายจากภัยธรรมชาติเอง อันได้แก่ ไฟป่า เช่นที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของภูมิภาคอเมริกาเหนือ และยุโรป ซึ่งผืนป่าที่ถูกทำลายเหล่านี้ ล้วนเป็นปัจจัยทำให้สถานการณ์ของวิกฤติภาวะโลกร้อนเลวร้ายหนักขึ้นเป็นเงาตามตัว

ไฟป่า หนึ่งในภัยธรรมชาติที่แต่ละปีทำลายผืนป่าไปเป็นจำนวนมาก (Photo : AFP)

สจป.3 (ลำปาง) ร่วมกิจกรรม ให้ความรู้ด้านโครงการพระราชดำริ ชลกร รุกขกร

สจป.3 (ลำปาง) ร่วมกิจกรรม ให้ความรู้ด้านโครงการพระราชดำริ ชลกร รุกขกร และการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  นายสัญญา แก้วธรรมานุกูล ผู้อำนวยการส่วนโครงการพระราชดำริและกิจการพิเศษ สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 3 (ลำปาง) กรมป่าไม้  พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ เข้าร่วมกิจกรรมสร้างจิตสำนึกชลกรและรุกขกร โครงการฟื้นฟูและพัฒนาป่าไม้บริเวณพื้นที่อ่างเก็บน้ำแม่นึงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดลำปาง โดยมี นายจรินทร์ กันตี เจ้าพนักงานป่าไม้อาวุโส หัวหน้าโครงการฯจัดกิจกรรมสร้างจิตสำนึกชลกรและรุกขกร โดยราษฎรบ้านปลายนา ต.ทุ่งกว๋าว อ.เมืองปาน เข้าร่วมกิจกรรม ให้ความรู้ด้านโครงการพระราชดำริ ชลกร รุกขกร และการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ณ หอประชุมบ้านปลายนา หมู่ที่ 7 ตำบลทุ่งกว๋าว อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง

ป่าไม้แม่ฮ่องสอน สนธิกำลัง บุกจับไม้เถื่อน ในท้องที่ บ้านแม่จ๋า ต.ห้วยโป่ง และบ้านแม่จ๋าน้อย ต.ผาบ่อง

สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้แม่ฮ่องสอน สนธิกำลังกับ อุทยานแห่งชาติน้ำตกแม่สุรินทร์ ทหาร ตำรวจตระเวนชายแดน ตำรวจภูธรสภ.ห้วยโป่ง และ ฝ่ายปกครอง บุกจับไม้เถื่อน เป็นไม้สักทอง ไม้ประดู่และไม้กระยาเลย ในท้องที่ บ้านแม่จ๋า ต.ห้วยโป่ง และบ้านแม่จ๋าน้อย ต.ผาบ่อง อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน ได้ของกลางเพียบ 

เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2567 นายเกษม คำมา ผอ.สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 สาขาแม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 8 ส.ค.2567 ที่ผ่านมา ทางสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 สาขาแม่ฮ่องสอน ได้สนธิกำลังกับ หน่วยเฉพาะกิจสิงหนาท , กองร้อย ตชด.336 ปางหมู และอุทยานแห่งชาติน้ำตกแม่สุรินทร์ นำกำลังเข้าปิดล้อมตรวจค้นบ้านเป้าหมายในพื้นที่หมู่บ้านแม่จ๋า หมู่ 12 ต.ห้วยโป่ง อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน เป้าหมายคือ บ้านเลขที่ 82 บ้านแม่จ๋า หมู่ที่ 12 ตำบลห้วยโป่ง อำเภอเมือง ฯ จากการตรวจค้นพบไม้ประดู่แปรรูปซุกใต้ถุนบ้าน 4 แผ่น และ บริเวณในพื้นที่ใกล้เคียงอีก 5 แผ่น รวมเป็น 9 แผ่น ปริมาตร 1.04 ลบ.เมตร และ ไม้สักแปรรูป จำนวน 43 แผ่น ปริมาตร 0.86 ลบ.เมตร

นอกจากนั้นชุดปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ยังได้ทำการตรวจยึดไม้กระยาเลย ในพื้นที่ บ้านแม่จ๋าน้อย หมู่ 6 ต.ผาบ่อง อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน และสามารถยึดไม้สักแปรรูป จำนวน 51 แผ่น ปริมาตร 0.80 ลบ.ม. และไม้พลวง ( กระยาเลย ) แปรรูป จำนวน 13 แผ่น ปริมาตร 0.31 ลบ.ม.

สำหรับการตรวจยึดไม้สักทอง ไม้ประดู่ และ ไม้กระยาเลย ได้ของกลางประกอบด้วย ไม้ประดู่ 9 แผ่น ไม้สักทอง 94 แผ่น และไม้กระยาเลย 13 แผ่น ดังกล่าวเนื่องจากได้รับการแจ้งเบาะแสจากราษฎรในพื้นที่ ที่พบเห็นพฤติกรรมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นการทำลายป่าไม้อย่างต่อเนื่อง จึงได้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ทำให้สามารถจับกุมไม้ของกลางได้เป็นจำนวนมาก
          

ป่าไม้ชุมพร รุดสอบลักลอบตัดไม้พะยูงพื้นที่สาธารณะแลกเงินแสน พร้อมแจ้งความเอาผิด

นายก อบต.ท่าข้าม หน่วยรักษาป่า ลงพื้นที่ตรวจสอบ ตอต้นไม้พะยูงขนาดใหญ่ 5 ต้น บนที่ดินสาธารณะ นำหลักฐานแจ้งความดำเนินคดี หลังนายทุนหลอกผู้นำชุมชนทำประชาคมหมู่บ้านขอมติตัดขาย ซื้อแค่แสนเดียว
           

จากกรณีมีนายทุนแก๊งค้าไม้พะยูงข้ามชาติ เข้ามาในพื้นที่หลอกให้ผู้นำชุมชนทำประชาคมหมู่บ้านเพื่อขอมติตัดต้นพะยูงขนาดใหญ่มีอายุ 20 ปี จำนวน 5 ต้น ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามหายากมีราคาแพง ที่อยู่บนที่ดินสาธารณะริมถนนสายท่าข้าม-หัวว่าว หมู่ 7 ตำบลท่าข้าม อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร แต่นายทุนหลอกรับซื้อแค่ 1 แสน ขณะที่มีราคาขายตามท้องตลาดเกือบ 2 ล้าน ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ที่ไม่สามารถทำประชาคมหมู่บ้านขอมติตัดไม้หวงห้ามดังกล่าวได้
         

ความคืบหน้ากรณีดังกล่าว เมื่อเวลา 17.00 น.วันที่ 12 ก.ค.67 นายปิยวัฒน์ ศรีมาลา นาย อบต.ท่าข้าม นายอุปกรณ์ ศิริมงคล หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ชพ.10 (จันทึง) ชุดปฏิบัติการพิเศษป่าไม้ชุมพร เจ้าหน้าที่ปกครองท้องถิ่น กว่า 20 คน ลงพื้นที่จุดตัดต้นไม้พะยูง ที่ถูกตัดขายให้กับนายทุน ซึ่งยังมีหลักฐานเป็นตอต้นพะยูงขนาดใหญ่จำนวน 5 ต้น และกิ่งพะยูงที่ถูกตัดทิ้งไว้จำนวนมาก และได้ทำการรังวัดตอไม้พะยูง โดยตอต้นที่ 1 วัดขนาดได้ 94.4 เซ็นติเมตร ต้นที่ 2 วัดขนาดได้ 85.2 เซ็นติเมตร ต้นที่ 3 วัดขนาดได้ 80.3 เซ็นติเมตร ต้นที่ 4 วัดขนาดได้ 90.4 เซ็นติเมตร ต้นที่ 5 วัดขนาดได้ 92.5 เซ็นติเมตร โดยเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบและบันทึกภาพไว้เป็นหลักฐาน
         

นายปิยวัฒน์ ศรีมาลา นาย อบต.ท่าข้าม กล่าวว่ากรณีที่เกิดขึ้นตนเพิ่งจะรู้ตอนเป็นข่าวว่ามีผู้นำชุมชนได้เรียกประชุมชาวบ้านทำประชาคมขอมติตัดต้นพะยูงจำนวน 5 ต้น ที่อยู่ริมถนน ขายให้กับพ่อค้าจำนวน 1 แสนบาท ซึ่งเป็นพื้นที่อยู่ในความดูแลของ อบต.ท่าข้าม โดยไม่ได้มีสอบถามหรือมาปรึกษากับตนเลย ซึ่งจากการสอบถามผู้นำชุมชนและชาวบ้านต่างก็บอกว่ามีความหวังดี เพื่อต้องการนำเงินเข้าบัญชีหมู่บ้าน แต่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ซึ่งก็ต้องว่ากันไปตามกระบวนการของกฎหมายต่อไป
         

ด้าน นายอุปกรณ์ ศิริมงคล หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ชพ.10 (จันทึง) กล่าวว่าตนก็เพิ่งมารู้เรื่องนี้จากข่าวที่สื่อนำเสนอ จึงได้ประสานหน่วยงานรับผิดชอบในท้องถิ่น ลงพื้นทีมาตรวจสอบร่วมกันในวันนี้ กรณีที่เกิดขึ้นตนก็ขอฝากแจ้งเตือนไปยังผู้นำหมู่บ้าน ผู้นำชุมชน ว่าไม้พะยูงเป็นไม้หวงห้ามตามกฎหมาย และขึ้นอยู่ในที่ดินสาธารณะ หรือตามป่าเขาก็ตาม ซึ่งไม่ใช่ที่ดินสวนบุคคล จึงไม่สามารถทำประชาคมหมู่บ้านเพื่อตัดไม้ดังกล่าวได้ ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย จะต้องถูกดำเนินคดี
         

หลังจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ได้ตรวจสอบหลักฐานจุดเกิดเหตุ ถ่ายภาพ วัดตอไม้พะยูง ได้ลงบันทึกหลักฐาน จากนั้นได้เดินทางไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.ท่าแซะ ดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดต่อไป
           

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่เกิดขึ้นถือเป็นกลยุทธ วิธีการของแก๊งนายทุนค้าไม้พะยูงข้ามชาติ โดยการเข้าไปสำรวจในพื้นที่เป้าที่มีต้นพะยูงอยู่ในที่ดินสาธารณะ จากนั้นก็จะเข้าไปหา ผู้ใหญ่ กำนัน หรือผู้นำชุมชนในหมู่บ้าน ใช้อุบายอ้างว่าสามารถทำประชาคมหมู่บ้านขอมติ ตัดต้นไม้พะยูงขายนำเงินเข้ากองทุนหมู่บ้านได้อย่างไม่ผิดกฎหมาย โดยจะหลอกซื้อในราคาถูกหลักแสนบาท แล้วนำไปขายข้ามชาติได้หลายล้านบาท ที่ผ่านมาแก๊งค้าไม้พะยูงได้หลอกตัดไม้พะยูงในลักษณะดังกล่าวในพื้นที่ อ.ปะทิว อ.ท่าแซะ และอีกหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ด้วย
 

ทสจ.อุตรดิตถ์-ป่าไม้ ร่วมจัดกิจกรรม โครงการร่วมใจภักดิ์ รักษ์ป่า เฉลิมพระเกียรติในหลวง

ทสจ.อุตรดิตถ์-ป่าไม้ ร่วมจัดกิจกรรม โครงการร่วมใจภักดิ์ รักษ์ป่า เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 

เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  ที่บริเวณสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดอุตรดิตถ์  นายมรกต อินทรภู่ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด(ทสจ.)อุตรดิตถ์  พร้อมนายนเรศ นนท์คลัง ผอ.ศูนย์ป่าไม้อุตรดิตถ์  สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 3 (ลำปาง) กรมป่าไม้  นำข้าราชการ พนักงาน  เจ้าหน้าที่ สนง.ทสจ.อุตรดิตถ์ , ศูนย์ป่าอุตรดิตถ์ ร่วมจัดกิจกรรมโครงการร่วมใจภักดิ์ รักษ์ป่า เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567  โดยส่วนกลางถ่ายทอดสัญญาณจากอุทยานแห่งชาติน้ำตกสามหลั่น จังหวัดสระบุรี   โดยมีพลตำรวจเอกพัชรวาท  วงษ์สุวรรณ   รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม   เป็นประธานพิธี

 นายบัญชา เชาวรินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี ให้การต้อนรับ นายเถลิงศักดิ์  เพ็ชรสุวรรณ  รองปลัดกระทรวงทรัพยาการธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อธิบดีทุกกระทรวง , สส.ในพื้นที่ และ  ข้าราชการสังกัด ทส.  เข้าร่วมงาน ฯ  ในส่วนของจังหวัดอุตรดิตถ์  ได้ร่วมกันปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว โดย สพช.อต. สนับสนุนกล้าไม้เพื่อปลูก จำนวน 72 กล้า

“ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “ ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการแก่ประชาชนชาวไทย ความว่า "เราจะสืบสาน รักษาและต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป" สะท้อนให้เห็นถึงพระราชปณิธาน และพระราชหฤทัยอันแน่วแน่ในการทรงงาน เพื่อจะสืบสาน รักษา และต่อยอดโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยให้ความสำคัญและห่วงใยในเรื่องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทรงพระราชทานแนวพระราชดำริ พระราชทานคำแนะนำ ตลอดจน พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่

นอกจากนี้ ทรงพระราชทานแนวพระราชดำริให้ดำเนินโครงการในลักษณะต่าง ๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน ในอีกหลายพื้นที่ทั่วประเทศ กระทรวงฯ และทุกภาคส่วน ขอน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ สืบสานพระราชปณิธานด้วยความจงรักภักดี น้อมนำแนวพระราชดำริในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มาใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงฯ ให้บรรลุเป้าหมาย เพื่อสร้างสรรค์คุณประโยชน์ให้แก่ประชาชน และประเทศชาติ สืบไป

นอกเหนือจาก 2 โครงการที่ ทส. ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการในนามรัฐบาล คือ โครงการ 72 ล้านต้น พลิกฟื้นผืนป่า เฉลิมพระเกียรติฯ และโครงการแหล่งน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้ง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ 72 แห่ง เฉลิมพระเกียรติฯ ที่ได้มีการเปิดตัวโครงการไปแล้ว ทส. ได้ดำเนินโครงการและกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ อีก 17 โครงการ อาทิ โครงการ 72 พื้นถิ่นพรรณไม้ เฉลิมพระเกียรติฯ โครงการบำรุงรักษาต้นไม้ เฉลิมพระเกียรติฯ โครงการรวมใจภักดิ์ รักษ์ป่า เฉลิมพระเกียรติฯ โครงการสารคดีตามรอยเสด็จฯ ในผืนป่าอนุรักษ์ เฉลิมพระเกียรติฯ โครงการฟื้นฟูป่าต้นน้ำคลองแม่ข่า เฉลิมพระเกียรติฯ โครงการรวมใจภักดิ์ อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เฉลิมพระเกียรติฯ โครงการเสริมสร้างระบบนิเวศและแหล่งน้ำสำหรับช้างป่า เฉลิมพระเกียรติฯ โครงการรักษาต่อยอดฟื้นฟูบ่อน้ำบาดาลในพื้นที่ทุรกันดาร พื้นที่ชายขอบ เฉลิมพระเกียรติฯ โครงการจัดนิทรรศการทรัพยากรธรณี เฉลิมพระเกียรติฯ โครงการปวงประชารวมพลังร่วมใจรักษ์แหล่งน้ำ เฉลิมพระเกียรติฯ โครงการภาคีเครือข่ายร่วมใจลดก๊าซเรือนกระจก เฉลิมพระเกียรติฯ โครงการปลูกไม้ดีมีค่า 72 แห่ง เฉลิมพระเกียรติฯ โครงการส่งเสริมความรู้ สืบสานอนุรักษ์ทรัพยากรพืชอย่างยั่งยืน เฉลิมพระเกียรติฯ โครงการสร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์จากพรรณไม้ทรงปลูก เฉลิมพระเกียรติฯ โครงการจัดกิจกรรมเนื่องในวันพื้นที่ชุ่มน้ำโลก เฉลิมพระเกียรติฯ และโครงการจัดทำหนังสือ “ต้นไม้ทรงปลูกในรัชกาลที่ 10” และ “ซากดึกบรรพ์ขึ้นทะเบียนสมบัติชาติ”

ชัยภูมิ จนท.ป่าไม้ ตรวจลาดตระเวน ประจันหน้าหมีควาย โผล่ตะปบกัดขย้ำหัวเฉียดตาย 

(18พ.ค.67)เหตุเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าภูเขียว ประจันหน้ากับหมีควายโผล่ตะปบ กัดขย้ำหัวเฉียดตายบนเทือกเขาป่าภูเขียว ขณะกำลังออกลาดตะเวนพื้นที่ครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อก่อนค่ำวานที่ผ่านมา(17)เวลา 17.30 น.ขณะที่เจ้าหน้าที่ทีมป้องกันภัย เทศบาลทุ่งลุยลาย ต.ทุ่งลุยลาย อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ ได้รับแจ้งจากนายสุขสันต์ ชาติทหาร นายกเทศมนตรีตำบลทุ่งลุยลาย ได้ออกรับผู้ได้รับบาดเจ็บเจ้าหน้าที่ป่าไม้ถูกหมีกัดบนเทือกเขาภูเขียว ส่งโรงพยาบาลคอนสาร อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ พื้นที่เกิดเหตุที่บริเวณใกล้ๆสำนักงานป่าไม่หน่วยศาลาพรมทุ่งกะมัง พบเจ้าหน้าป่าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว พากันแบกหามลำเรียงผู้ได้รับ บาดเจ็บ ถูกหมีควายขนาดใหญ่ ได้ใช้ขาหน้าตะปบจากด้านหลัง ที่หน้าอกและไหล่ เลือดอาบหลัง ลงมาจากเขา มาให้ปฐมพยาบาลก่อนนำตัวผู้ได้รับบาดเจ็บส่งโรงพยาบาลคอนสาร 

ขณะที่นายวิชานนท์ แสนผาลาหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว เผยว่า จากการสอบถามนายดนัย คำแก้ว อายุ 39 ปี ที่อยู่ 105/2 ม.5 ต.บ่อไทย อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าภูเขียว (ทุ่งกะมัง) ผู้ได้รับบาดเจ็บทราบว่าระหว่างนำกำลัง จนท.เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว ออกลาดตระเวนในพื้นที่รับผิดชอบอยู่นั้นได้ถูกหมีควายขนาดใหญ่ รอบเข้ามาทำร้ายตะปบเข้าทางด้านหลังและบริเวณหน้าอกและไหล่ซ้ายจน ทำให้ผู้ได้รับบาดเจ็บล้มลงที่พื้นก่อนจะกัดขย้ำเข้าที่บริเวณใบหน้า และสะโพก 

จนเป็นแผลเวอวะเลือดอาบร่าง หลังเกิดเหตุเพื่อนร่วมงานที่เดินทางไปด้วยกัน และเห็นเหตุการณ์ ได้เข้าช่วยกันวิ่งเข้ามาใช้ไม้ตีขับไล่หมีที่กำลังกัดฝั่งเขียวออกจากสะโพกนายดนัย ผู้ได้รับบาดเจ็บ หมีควายได้วิ่งหายเข้าไปในป่าหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ได้หามลำเลียงนายดนัย ผู้ได้รับบาดเจ็บลงจากเทือกเขาภูเขียว ส่งให้กู้ชีพทุ่งลุยลาย นำส่งถึงโรงพยาบาลคอนสาร ขณะนี้อาการปลอดภัยแล้ว ในส่วนของการช่วยเหลือเบื้องต้นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว รับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลทั้งหมด ได้อยู่ระหว่างติดต่อประสานงานกับกรมอุทยาน แห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เพื่อขอรับเงินช่วยเหลือ ตามระเบียบต่อไป