MDES และ ETDA ผนึกกำลัง DGC สปป.ลาว ผลักดันความร่วมมือวางแนวทางกำกับแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างเป็นธรรม

ในโลกที่การคลิกเพียงหนึ่งครั้งสามารถเชื่อมต่อผู้คนข้ามพรมแดน แพลตฟอร์มดิจิทัลจึงกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจและสังคมอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ในขณะที่อิทธิพลของแพลตฟอร์มเติบโตแบบไร้ขอบเขต แนวทางกำกับดูแลระดับภูมิภาคที่ชัดเจนในอาเซียนยังมีความท้าทายที่จะตอบโจทย์ยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยปัญหาอย่างข่าวปลอม การหลอกลวงออนไลน์ อัลกอริทึมที่ไม่โปร่งใส หรือการเก็บข้อมูลผู้ใช้อย่างไร้การควบคุม

นี่คือจุดเริ่มต้นของ “ASEAN Workshop on Regional Recommendations for Digital Platform Regulation” เวทีหารือเชิงนโยบายระดับภูมิภาคที่จัดขึ้น ณ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 4–5 กันยายน 2568 โดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ร่วมมือกับศูนย์บริหารรัฐบาลดิจิทัล (Digital Government Center: DGC) กระทรวงเทคโนโลยีและการสื่อสาร (Ministry of Technology and Communications: MTC) สปป.ลาว ในฐานะเจ้าภาพร่วม

การประชุมครั้งนี้เป็นความพยายามแรกของอาเซียนในการผลักดันข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อวาง “แนวทางร่วมระดับภูมิภาค” ว่าด้วยการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยมีผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียนเข้าร่วม พร้อมด้วยผู้แทนจากสำนักงานเลขาธิการอาเซียน และผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และองค์การยูเนสโก

จุดเด่นสำคัญที่สุดของเวทีนี้ นอกเหนือจากการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างประเทศ ยังมีการนำเสนอผลการศึกษาของ ETDA ศูนย์รัฐบาลดิจิทัล สปป.ลาว และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ว่าด้วยภูมิทัศน์ของแพลตฟอร์มดิจิทัล และการกำกับดูแลในอาเซียนเปรียบเทียบกับประสบการณ์ของภูมิภาคอื่น และมีการนำเสนอร่างข้อเสนอเบื้องต้นอย่างเป็นทางการครั้งแรกบนเวทีนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อวางหมุดหมายให้กับความร่วมมือระยะยาวของภูมิภาคในการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และเชื่อมโยงกันได้

เราไม่สามารถกำกับแพลตฟอร์มได้โดยประเทศเดียว

ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของไทย กล่าวสะท้อนโจทย์ใหญ่ที่สุดของการกำกับดูแลในยุคนี้อย่างตรงไปตรงมาว่า แพลตฟอร์มดิจิทัลจำนวนมากไม่มีตัวตนทางกายภาพในประเทศที่ให้บริการ ซึ่งทำให้การกำกับดูแลโดยรัฐชาติแต่ละประเทศ โดยเฉพาะประเทศขนาดเล็ก กลายเป็นเรื่องที่ยากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งตัวอย่างแนวทางของสหภาพยุโรปในการสร้างกติกากลาง และความร่วมมือกันของประเทศสมาชิกซึ่งทำให้เสียงของสหภาพยุโรปมีน้ำหนักมากขึ้นในการเผชิญกับแพลตฟอร์มข้ามชาติขนาดใหญ่

ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ กล่าว่า การกำกับภายในประเทศเองก็ซับซ้อนเช่นกัน เนื่องจากกฎระเบียบเกี่ยวกับแพลตฟอร์มไม่ได้อยู่ในมือกระทรวงเพียงกระทรวงเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับหน่วยงานกำกับดูแลเฉพาะด้าน เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือแม้แต่กรมการขนส่งทางบก ยิ่งตอกย้ำความจำเป็นของการประสานระหว่างหน่วยงานด้านดิจิทัลกับหน่วยงานอื่น

คุณวรรณภา พรมมัธยันต์ รองอธิบดีศูนย์บริหารรัฐบาลดิจิทัล กระทรวงเทคโนโลยีและการสื่อสารแห่ง สปป.ลาว กล่าวว่าอ ไม่มีประเทศใดสามารถรับมือกับภัยจากแพลตฟอร์มได้ลำพัง โดยเฉพาะเมื่อภัยคุกคามอย่าง misinformation หรือ online scam ล้วนเคลื่อนที่ข้ามพรมแดน

ข้อเสนอจากงานวิจัย: จุดเริ่มต้นของความร่วมมือในภูมิภาคอาเซียน

ข้อเสนอจากการศึกษา ครอบคลุมหลายมิติ เช่น การจัดให้มี market inquiry หรือการศึกษาตลาดเชิงลึกในด้านการแข่งขันทางการค้าของแพลตฟอร์ม การสร้างฐานข้อมูลสินค้าหรือบริการที่ไม่ปลอดภัยในระดับอาเซียน การกำหนดนโยบาย “Know Your Business Customer (KYBC) สำหรับผู้ขายใน marketplace การส่งเสริมบทบาทของแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ในการยกระดับความโปร่งใสโดยเฉพาะในประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคอย่างมีนัยสำคัญ ตลอดจนการพัฒนาความร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อรับมือและบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับภัยคุกคามที่ข้ามพรมแดน เช่น online scams เป็นต้น

ดร. สลิลธร ทองมีนสุข นักวิชาการอาวุโสของ TDRI กล่าวว่า เราเห็นชัดว่าประเทศต่าง ๆ มีความตื่นตัวในการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้าน online fraud และการเฝ้าระวังภัยจากอัลกอริทึมมากขึ้น การสร้างกลไกความร่วมมือในเรื่องนี้จะเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมจากแนวทางภูมิภาค และอธิบายว่า “ข้อเสนอจากงานวิจัยครั้งนี้ ไม่เพียงสะท้อนภาพรวมของสภาพแวดล้อมทางกฎหมายและแนวนโยบายในประเทศต่าง ๆ เท่านั้น แต่ยังเน้นไปที่การสร้างความร่วมมือและแนวทางร่วมกันในการแก้ไขปัญหาที่ "ยืดหยุ่นและค่อยเป็นค่อยไป” (phased and flexible cooperation) เพื่อให้ประเทศสมาชิกสามารถเลือกหยิบไปปรับใช้ตามลำดับความสำคัญของแต่ละประเทศ

จากเวทีหารือสู่กลไกระดับภูมิภาค: อาเซียนกำลังเดินหน้าอย่างเป็นรูปธรรม

ในช่วงท้ายของเวทีหารือ ตัวแทนจาก ETDA ซึ่งรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพร่วมในโครงการนี้กับ สปป.ลาว ได้กล่าวถึงแผนการดำเนินงานต่อจากนี้ โดยระบุว่า การจัดทำร่างข้อเสนอจากผลการศึกษา และจะเข้าสู่กระบวนการรับฟังความคิดเห็นทั้งในประเทศไทยและสมาชิกอาเซียน จากนั้นจะมีการสรุปและจัดทำเป็นรายงานฉบับสมบูรณ์เพื่อส่งต่อให้สำนักงานเลขาธิการอาเซียนพิจารณาเผยแพร่ต่อไป

Mr. Hazremi Hamid ตัวแทนจากสำนักเลขาธิการอาเซียนสะท้อนว่า สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่เนื้อหาของข้อเสนอเท่านั้น หากคือ “เส้นทางนำไปปฏิบัติ” ที่เชื่อมโยงข้อเสนอเหล่านี้กับกรอบความร่วมมือของอาเซียนที่มีอยู่แล้วอย่าง DEFA (Digital Economy Framework Agreement) และ ADM2030 (ASEAN Digital Masterplan 2030) ทั้งนี้ DEFA ซึ่งมีบทบัญญัติว่าด้วยการแข่งขัน ความปลอดภัยออนไลน์ ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และประเด็นเกิดใหม่อย่าง AI ซึ่ง DEFA จะกลายเป็นกลไกที่สำคัญของการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลของอาเซียนต่อไป

และเพื่อเป็นการผลักดันอย่างต่อเนื่อง อีกหนึ่งเวทีสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นคือ ASEAN-UNESCO Multistakeholder Forum on the Governance of Digital Platform ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงวันที่ ๒๐ - ๒๒ ตุลาคมนี้ โดยประเทศไทย จะร่วมเป็นเจ้าภาพกับยูเนสโก (UNESCO) สำนักงานเลขาธิการ และ European University Institute (EUI) เพื่อเปิดพื้นที่ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม มีส่วนร่วมให้ความเห็นต่อแนวทางการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลดังกล่าว ทั้งในแง่ของประสิทธิภาพ ความเป็นธรรม และการบังคับใช้จริง

จุดตั้งต้นของอาเซียนเพื่ออนาคตดิจิทัลที่ยั่งยืน

เมื่อเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียนเติบโตแบบก้าวกระโดด และแพลตฟอร์มดิจิทัลมีลักษณะที่ข้ามพรมแดน การขาดความร่วมมือย่อมเสี่ยงทำให้ประเทศสมาชิกต้องรับมือกับความท้าทายเพียงลำพัง

เครื่องมือต่างๆ ในระดับภูมิภาคอาเซียน แม้ไม่ได้มีลักษณะเป็นกฎหมายชุดเดียวที่ใช้กับทุกประเทศ แต่อาจเริ่มต้นจากการตกลงร่วมกันในหลักการ แล้วค่อย ๆ สานต่อสู่โครงสร้างความร่วมมือที่ยืดหยุ่น เชื่อมโยง และเข้มแข็งขึ้นตามลำดับ

การประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้จึงเป็นจุดตั้งต้นของการสร้างความร่วมมือกันของภูมิภาค ซึ่งจะกลายเป็นแนวทางนำไปสู่ระบบนิเวศดิจิทัลที่มีความเชื่อมั่น โปร่งใส และคุ้มครองผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง

ETDA นำทีมกำกับดูแลกฎหมาย DPS เปิดเวที "แพลตฟอร์มดิจิทัล" แจ้งข้อมูลประกอบธุรกิจ แบบ One-On-One ครั้งแรก

วันที่ 4 สิงหาคม 2568 สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA (เอ็ตด้า) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นำทีมกำกับดูแลกฎหมาย DPS เดินหน้าแคมเปญ ‘DPS Trust Every Click’ เปิดเวที “การประชุมเพื่อทราบผลการตรวจสอบข้อมูลและหลักฐานเกี่ยวกับการแจ้งข้อมูลการประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลและข้อมูลรายปี” สร้างความเข้าใจและความร่วมมือกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล กว่า 70 บริการ  ในการร่วมตรวจสอบข้อมูล แก้ไขจุดคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการจัดการและแจ้งข้อมูลการประกอบธุรกิจ ภายใต้กฎหมาย DPS ที่แพลตฟอร์มต้องทำต่อเนื่องทุกปี พร้อมเปิดห้อง ‘Platform Clinic Zone’ ให้คำปรึกษาแบบ One-on-One กับเจ้าหน้าที่โดยตรง

นางสาวจิตสถา ศรีประเสริฐสุข รองผู้อำนวยการ ETDA  เปิดเผยว่า จากการดำเนินงานด้านกำกับดูแล ภายใต้กฎหมาย DPS (Digital Platform Services) หรือ พ.ร.ฎ. การประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต้องแจ้งให้ทราบ พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา ETDA ในฐานะหน่วยงาน Regulator ได้รับความร่วมมือจากหลายแพลตฟอร์มดิจิทัลในการแจ้งข้อมูลการประกอบธุรกิจ ตามที่กฎหมายฉบับนี้กำหนดอย่างต่อเนื่อง รวมกว่า 1,920 บริการ (ข้อมูล ณ วันที่ 4 ส.ค. 68) ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลที่แพลตฟอร์มแจ้งเข้ามาที่ระบบของ ETDA อย่างละเอียด พบว่า หลายบริการยังมีการแจ้งข้อมูลที่มีความคลาดเคลื่อนหรือข้อมูลไม่ครบถ้วนอยู่บ้าง ดังนั้น เพื่อให้แพลตฟอร์มดิจิทัลสามารถดำเนินการแจ้งข้อมูลการประกอบธุรกิจได้อย่างถูกต้องครบถ้วน ตามที่กฎหมายกำหนด ETDA ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแล จึงนำทีมกำกับดูแลกฎหมาย DPS เปิดเวที “การประชุมเพื่อทราบผลการตรวจสอบข้อมูลและหลักฐานเกี่ยวกับการแจ้งข้อมูลการประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลและข้อมูลรายปี” เพื่อชี้แจงถึงสาระสำคัญของกฎหมาย รวมถึงสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเงื่อนไขและข้อกำหนดของการแจ้งข้อมูลการประกอบธุรกิจที่แพลตฟอร์มดิจิทัลที่ให้บริการแก่คนไทยมีหน้าที่ต้องดำเนินการก่อนเริ่มให้บริการและต้องรายงานข้อมูลรายปีอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องทุกปี  พร้อมเปิดห้อง ‘Platform Clinic Zone’ ให้คำปรึกษาแบบ One-on-One กับเจ้าหน้าที่ด้านการกำกับดูแลโดยตรง เพื่อเปิดโอกาสให้แต่ละแพลตฟอร์มสามารถสอบถามข้อสงสัยได้โดยตรง พร้อมรับคำแนะนำเชิงลึกในแต่ละประเด็น ทั้งใน ด้านข้อกฎหมาย การดำเนินธุรกิจ และการปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงาน ช่วยให้เกิดความเข้าใจได้อย่างตรงจุดมากขึ้น

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลการประกอบธุรกิจที่ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลได้นำส่งเข้าสู่ระบบรับแจ้งของ ETDA พบความคลาดเคลื่อนของข้อมูลหลักๆ 6 ประเด็น ได้แก่ 1. แจ้งประเภทบริการไม่ตรงกับลักษณะการดำเนินธุรกิจจริง 2. แจ้งลักษณะการให้บริการตามมาตรา 16 (1) ไม่ตรงกับลักษณะการดำเนินธุรกิจจริง 3. ระบุรายได้และมูลค่าธุรกรรม ไม่สอดคล้องกันกับโมเดลธุรกิจ เช่น กรอกข้อมูลรายได้เป็นศูนย์ หรือไม่สัมพันธ์กับข้อมูลที่มีอยู่ 4. ระบุสัดส่วนของรายได้จากการให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลในราชอาณาจักรต่อรายได้จากการให้บริการแพลตฟอร์มทั้งหมดของผู้ประกอบธุรกิจไม่สอดคล้องลักษณะการดำเนินธุรกิจจริง 5. แจ้งประเภทและจำนวนผู้ใช้บริการ หรือผู้ให้บริการที่เกี่ยวข้อง ไม่ครบ  6. แจ้ง URL ผิดหรือไม่สามารถตรวจสอบได้ เป็นต้น โดยเบื้องต้น ETDA ก็ได้เปิดโอกาสให้แพลตฟอร์มดิจิทัล ตรวจสอบข้อมูลตามประเด็นที่ตรวจพบ และเร่งดำเนินการชี้แจงข้อมูลตามแบบฟอร์มที่กำหนดให้ ซึ่งมีทั้ง “การยืนยันข้อมูลเดิม แก้ไขข้อมูลใหม่ หรือชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัย” พร้อมส่งแบบฟอร์มกลับมายัง ETDA ภายในวันที่ 13 สิงหาคม 2568 นี้ จากนั้นทีมกำกับดูแลจะดำเนินการตรวจสอบและติดตามผลการดำเนินการอีกครั้ง หากยังพบความไม่ครบถ้วนหรือถูกต้อง ก็จะมีคำสั่งให้แก้ไข หากพบว่า แพลตฟอร์มไม่ปฏิบัติตามหรือเพิกเฉยต่อคำสั่งของสำนักงาน ก็จะมีบทลงโทษตามกฎหมายต่อไป ทั้งการสั่งหยุดดำเนินธุรกิจหรือเพิกถอนการรับแจ้งในที่สุด

อย่างไรก็ตาม การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ มีแพลตฟอร์มดิจิทัลเข้าร่วมทั้งหมด 70 บริการ ทั้งแพลตฟอร์มไทยและต่างประเทศ สะท้อนให้เห็นว่า ระบบนิเวศแพลตฟอร์มในไทย เชื่อมโยงกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต่างประเทศได้เป็นอย่างดี และงานนี้ไม่ใช่การตรวจสอบเอกสารข้อมูล เพื่อมุ่งบังคับใช้กฎหมาย แต่เป็นการสร้างกระบวนการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐกับแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน เพื่อเป็นรากฐานสำคัญในการยกระดับกลไกการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลให้ก้าวหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง ตรวจสอบได้ เพราะการแจ้งข้อมูลการประกอบธุรกิจฯ ที่ถูกต้องและเชื่อถือได้ คือจุดเริ่มต้นของการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างยั่งยืน

สนใจติดตามประกาศ และคู่มืออื่นๆ ภายใต้กฎหมาย DPS เพิ่มเติม ที่ https://www.etda.or.th/th/regulator/Digitalplatform/law.aspx สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ อีเมล:  sv-dps@etda.or.th โทรศัพท์ 02-123-1234 ต่อ ทีมกำกับดูแลกฎหมาย DPS ติดตามความเคลื่อนไหวของ DPS Trust Every Click ได้ที่เพจ ETDA Thailand

ADSX 2025 ผนึก ผปก.นานาชาติ เชื่อมโลกการค้าบนแพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก ADSX2025 รวมผู้เล่นระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซจาก 15 ปท. กว่า 200 บ.

คึกคัก! ครั้งแรกในไทย ADSX 2025 ผนึกกำลังผู้ประกอบการนานาชาติ เชื่อมโลกการค้า บนแพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก Asia DigiCommerce Services Expo 2025 (ADSX2025) เปิดฉากอย่างเป็นทางการ นับเป็นเวทีระดับนานาชาติ ครั้งแรกในไทย! รวมผู้เล่นในระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซจาก 15 ประเทศ กว่า 200 บริษัท ร่วมแสดงศักยภาพด้านการค้า  โลจิสติกส์ ดิจิทัล และบริการข้ามพรมแดน  ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

วันที่ 23 มิถุนายน 2568 นางสาวอาบี ลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิเอ็กซ์ เอ็กซโป จำกัด ผู้บริหารการจัดงาน “Asia DigiCommerce Services Expo 2025 ” กล่าวว่า เพื่อเป็นระบบนิเวศแห่งนวัตกรรมที่เชื่อมโยงผู้เล่นสำคัญทั่วภูมิภาคเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์ม อีคอมเมิร์ซ ดิจิทัลเพย์เมนต์ โลจิสติกส์ หรือบริการ AI เพื่อโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ และสร้างแรงบันดาลใจที่จะผลักดันภูมิภาคเอเชีย ให้กลายเป็นผู้นำในเศรษฐกิจดิจิทัล ทั้งนี้ จากมูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซในเอเชียคาดว่าจะเติบโตกว่า 6.3 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี 2030 และ ตลาดไทยเองเติบโตเฉลี่ยปีละ 15-20% โดยมี SME กว่า 3 ล้านราย เข้าสู่โลกดิจิทัล งานนี้นับเป็นโอกาสแก่ผู้ประกอบการไทย เชื่อมยังโลกการค้า บนแพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก พร้อม ชูแนวคิด “Connected, Efficient, and Future-Ready” ในการพัฒนาเศรษฐกิจการค้าแห่งอนาคต
ทีเส็บหนุนเต็มกำลัง ยกระดับไทยสู่เวทีแสดงศักยภาพด้านไมซ์และอีคอมเมิร์ซ

คุณสราญโรจน์ สุทัศน์ชูโต รองผู้อำนวยการและรักษาการผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ เผยงานนี้ตอกย้ำบทบาทของประเทศไทย ในฐานะศูนย์กลางอีคอมเมิร์ซและนวัตกรรมระดับโลก การจัดงาน ADSX 2025 เป็นอีกหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนถึงศักยภาพของไทย ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทรัพยากรบุคคล และนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชน ทั้งนี้ การรวมตัวของผู้ประกอบการจากทั่วโลกในการจัดแสดงสินค้านี้ จะช่วยสร้างมูลค่าให้กับอุตสาหกรรมไมซ์ (MICE) และส่งเสริมเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

DIPROM เร่งขับเคลื่อนนโยบายอุตสาหกรรม 5.0 ผ่านงานแสดงดิจิทัลระดับนานาชาติ

นายดุสิต อนันตรักษ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า งาน ADSX 2025 ถือเป็นเวทีสำคัญที่แสดงถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการผลักดันผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะกลุ่ม SME ให้สามารถปรับตัวและแข่งขันได้ในยุคดิจิทัลอย่างยั่งยืน กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมมุ่งสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของภาคการผลิตไทยสู่ “SME ดิจิทัล” ผ่านการยกระดับเทคโนโลยี เช่น AI, IoT, Automation และการใช้แพลตฟอร์ม E-commerce ตลอดจนการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล (Upskill & Reskill) และการเชื่อมโยงธุรกิจกับตลาดต่างประเทศผ่านเครือข่ายพันธมิตร พร้อมเน้นว่าแนวทางดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนประเทศสู่ “อุตสาหกรรม 5.0” ที่ผสมผสานเทคโนโลยีกับศักยภาพของมนุษย์ โดยงานนี้ไม่เพียงเป็นพื้นที่แสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยี แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้จับคู่ธุรกิจ แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และสร้างความร่วมมือกับผู้เล่นระดับสากลในระบบนิเวศดิจิทัลอย่างแท้จริง

จับตา! ไทยสู่ศูนย์กลาง “การค้าไร้พรมแดน” แห่งอาเซียน

งาน Asia DigiCommerce Services Expo 2025 ครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นพื้นที่แห่งโอกาสของผู้ประกอบการไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นเวทีสำคัญในการยกระดับประเทศไทยสู่การเป็น “ศูนย์กลางการค้าไร้พรมแดน” (Borderless Trade Hub) ด้วยจุดแข็งด้านโลจิสติกส์ เทคโนโลยี และนโยบายส่งเสริมที่เอื้อต่อการเติบโตในเศรษฐกิจยุคดิจิทัล ซึ่งภายในงาน มีการจัดแสดงนวัตกรรมนานาชาติ จากผู้นำด้านอีคอมเมิร์ซ โลจิสติกส์ และเทคโนโลยี อาทิ

• AirMate: ผู้บุกเบิกโซลูชันอากาศระดับโลก เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะจากเยอรมัน พร้อมการรับรองระดับโลก

• Asia Global: โลจิสติกส์ห่วงโซ่ความเย็น ลดการสูญเสียระหว่างขนส่งได้ถึง 35% ด้วยแพลตฟอร์มดิจิทัลแบบ 4-in-1 รวมบริการโลจิสติกส์ การชำระเงิน และการจัดการเข้าด้วยกันอย่างครบวงจร    

• Easttop: ระบบโลจิสติกส์ข้ามภูมิภาค สามารถเคลียร์สินค้าภายใน 48 ชั่วโมง ลดสต็อกได้ถึง 30%

• Shenzhen Port: ท่าเรือระดับโลก ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมสีเขียว การให้บริการ LNG bunkeringและโลจิสติกส์เทคโนโลยีขั้นสูง

• Yuehai Global: ผู้นำนวัตกรรมห่วงโซ่อุปทานระดับ Triple-Crown กลไกการค้าสำหรับอนาคต ใช้ AI คาดการณ์ล่วงหน้า 12 สัปดาห์ ปรับเครือข่ายภายใน 72 ชั่วโมง ลดต้นทุนได้ถึง 30%

• หน่วยงานภาครัฐและเอกชน อาทิ DIPROM, MARTECH, TITA, TCMA ต่างร่วมแสดงนวัตกรรมและองค์ความรู้ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง Asia DigiCommerce Services Expo 2025 ยังจัดสัมมนาเจาะลึก โดยมีหัวข้อครอบคลุมตั้งแต่กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ โลจิสติกส์อัจฉริยะ จนถึงเทคโนโลยีฟินเทคและ AI ที่มีผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่

ETDA ย้ำบทบาท Co-Creation Regulator เดินหน้าแคมเปญ “DPS Trust Every Click” บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลปลอดภัย

สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA ภายใต้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตอกย้ำบทบาท Co-Creation Regulator เดินหน้าแคมเปญใหม่! “DPS Trust Every Click” ลุยผนึกกำลังพาร์ทเนอร์ภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ร่วมขับเคลื่อนสร้างมาตรฐาน เพื่อยกระดับบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่โปร่งใส ปลอดภัย น่าเชื่อถืออย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเร่งเครื่องเสริมกลไกการกำกับดูแลตนเอง ผ่าน ‘แนวปฏิบัติ-คู่มือต่างๆ’ ภายใต้ กฎหมาย DPS หรือ Digital Platform Services ให้สามารถนำไปใช้จริงได้อย่างมีประสิทธิภาพไปพร้อมกัน เพื่อสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่คนไทยทุกคนใช้งานได้อย่างมั่นใจ

ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการ ETDA เปิดเผยว่า ปัจจุบัน คนไทยมีความคุ้นเคยและใกล้ชิดกับการทำธุรกรรมออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลมากขึ้นอย่างชัดเจน โดยสะท้อนจากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) คาดการณ์ว่าในปี 2568 การบริโภคภาคเอกชนด้านดิจิทัลจะขยายตัวถึง 7.6% จากปี 2567 ซึ่งสูงกว่าการขยายตัวของการบริโภคโดยรวมของประเทศที่คาดว่าจะอยู่ที่ 3.3% โดยปัจจัยหลักมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาใช้บริการผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลในชีวิตประจำวันมากขึ้น แนวโน้มดังกล่าวยังมีส่วนสำคัญในการผลักดันให้เศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยในปี 2568 คาดว่าจะมีมูลค่ารวมสูงถึง 4.8 ล้านล้านบาท ขยายตัว 7.3% จากปีก่อนหน้า และเติบโตในอัตราที่ สูงกว่า GDP โดยรวมของประเทศถึง 2.6 เท่า อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังคงเผชิญกับปัญหาและความเสี่ยงจากการทำธุรกรรมบนแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง โดยจากสถิติการรับแจ้งเรื่องร้องเรียนปัญหาออนไลน์จาก ศูนย์ช่วยเหลือและจัดการปัญหาออนไลน์ หรือ 1212ETDA (Online Fraud and Complaint Center) พบว่าในปี 2567 (มกราคม-ธันวาคม) มีเรื่องร้องเรียนทั้งหมด 35,358 เรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการถูกหลอกลวงในการซื้อขายออนไลน์ รวมถึงการใช้งานเว็บไซต์ผิดกฎหมาย เช่น เว็บพนันออนไลน์ และเว็บไซต์ที่มุ่งดูดเงินจากผู้ใช้งาน คิดเป็นร้อยละ 74 ของปัญหาทั้งหมด


ดังนั้น เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายที่เกิดขึ้นและขับเคลื่อนกลไกกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ETDA ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลภายใต้บทบาท Co-Creation Regulator ที่ให้ความสำคัญกับการรับฟังความคิดเห็น และการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน จึงเดินหน้าขับเคลื่อนแคมเปญ “DPS Trust Every Click” ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับ แนวปฏิบัติ ประกาศ และคู่มือต่าง ๆ ภายใต้ กฎหมาย DPS ไม่ว่าจะเป็น  คู่มือการพิสูจน์และยืนยันตัวตนของผู้ใช้บริการ คู่มือการดูแลโฆษณาออนไลน์บนแพลตฟอร์มดิจิทัล คู่มือการดูแลการจำหน่ายสินค้าที่ต้องมีมาตรฐานบนแพลตฟอร์ม และ ขมธอ. 32-2565 ว่าด้วยการรวบรวม กลั่นกรอง และเผยแพร่รีวิวของผู้บริโภคบนช่องทางออนไลน์ เป็นต้น ซึ่งล้วนถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการดูแลบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล มุ่งสร้างพื้นที่แห่งความร่วมมือ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุน สร้างความเข้าใจและการประยุกต์ใช้แนวปฏิบัติและคู่มือดังกล่าว ให้สามารถนำไปใช้งานได้จริง ด้วยเป้าหมายคือการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย ความโปร่งใส และความเชื่อมั่น ในบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ผ่านการสร้างกลไก การกำกับดูแลตนเอง (Self-Regulation) ที่ขับเคลื่อนร่วมกันโดยทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม หรือผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่ประชาชนสามารถ “คลิก” ได้อย่างมั่นใจในทุกธุรกรรมออนไลน์ ที่ทุกคนต่างมีส่วนร่วมและเดินหน้าไปพร้อม ๆ กัน

ภายใต้แคมเปญ ‘DPS Trust Every Click’  จัดเต็มหลากหลายกิจกรรมที่สร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วมกับพาร์ทเนอร์คนสำคัญจากทุกภาคส่วน ที่จะเกิดขึ้นตลอดทั้งปี ทั้ง กิจกรรมเสวนาให้ความรู้ เปิดมุมมองในประเด็นที่เกี่ยวข้อง กิจกรรม Workshop ระดมความคิดเห็น เพื่อร่วมกำหนดทิศทางการดูแล ป้องกัน ตลอดจนแนวทางหรือมาตรฐานที่จะเข้ามายกระดับความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือแก่บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล รวมทั้งการสร้างความตระหนักรู้ให้กับผู้บริโภคเพื่อให้รู้เท่าทันภัยออนไลน์ รู้สิทธิตามกฎหมาย สามารถเข้าถึงการดูแลเยียวยาเมื่อได้รับผลกระทบจากการใช้บริการแพลตฟอร์มได้ทันท่วงที เป็นต้น โดยกิจกรรมภายใต้แคมเปญนี้จะมีทั้งหมด  4 ครั้ง โดยครั้งที่ 1 จะเปิดตัวกิจกรรมภายใต้แนวคิด รวมพลังต้านภัยสินค้าออนไลน์ผิดกฎหมาย–ไร้มาตรฐาน ที่จับมือกับ สภาองค์กรของผู้บริโภค เปิดเวทีเสวนาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง ร่วมกำหนดแนวทางป้องกัน แก้ไข และดูแลการขายสินค้าออนไลน์ที่ไม่ได้มาตรฐานและผิดกฎหมาย เพื่อสร้างพื้นที่ออนไลน์ที่ปลอดภัยเพื่อทุกคน โดยกิจกรรมครั้งแรกจะเกิดขึ้นในวันที่ 30 เมษายนนี้ 

ส่วนกิจกรรมครั้งที่ 2 มาในแนวคิด Ads Screening & Trust – สแกนก่อนคลิก ป้องกันก่อนถูกหลอก มุ่งยกระดับมาตรฐานในการตรวจสอบโฆษณาออนไลน์ โดยเน้นการยืนยันตัวตนของผู้ลงโฆษณา และการกลั่นกรองเนื้อหาที่เผยแพร่ผ่านแพลตฟอร์ม เพื่อลดความเสี่ยงในการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคตกเป็นเหยื่อของโฆษณาหลอกลวง ขณะที่ กิจกรรมครั้งที่ 3 จะเป็นกิจกรรมว่าด้วยเรื่องการยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานบนแพลตฟอร์ม อย่าง ‘ไรเดอร์’ เพื่อให้เกิดแนวทางกลางในการดูแลสิทธิประโยชน์ ความเป็นธรรม และความปลอดภัยในการทำงาน  ก่อนปิดท้ายกิจกรรมสุดท้ายของปี กับ การออกแบบแนวทางการกำกับดูแลร่วมกัน (Co-regulation) เพื่อให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงและสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจดิจิทัล ผ่านการดำเนินงานของ ‘คณะกรรมการร่วม’ ภายใต้กฎหมาย DPS  และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่จะมากำหนดทิศทางเหล่านี้ไปพร้อมกัน

โดยผลลัพธ์จากกิจกรรมที่ที่จัดขึ้นในปีนี้จะถูกนำไปสู่การรวบรวมข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อขับเคลื่อนมาตรฐานตลอดจนแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องสำหรับหน่วยงานและแพลตฟอร์มต่าง ๆ ทั้งในระดับประเทศและระดับสากล ซึ่งการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในกระบวนการนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาต่อยอดสู่แนวปฏิบัติที่สามารถปฏิบัติได้จริงอย่างเป็นรูปธรรมและมีความชัดเจน ที่สำคัญเป็นที่ยอมรับเพราะทุกภาคต่างส่วนร่วมกันกำหนดขึ้น รวมถึงการสร้างระบบของการดูแลที่มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคตได้ ทั้งนี้ กิจกรรม “DPS Trust Every Click” จะจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2568 ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลและประชาชนที่สนใจ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เพจเฟซบุ๊ก ETDA Thailand

SMART โชว์วิสัยทัศน์ปี 67 ปฏิวัติวงการนิติบุคคลเพื่อการอยู่อาศัย งัด 3 กลยุทธ์หลักให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์

บริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด ผู้นำด้านการบริหารนิติบุคคลในประเทศไทย ที่มีประสบการณ์มากว่า  27 ปี บริหารโครงการทั่วประเทศมากที่สุดกว่า 459 โครงการ ทั้งโครงการที่เป็นหมู่บ้าน 346 โครงการ และคอนโด 113 โครงการ ดูแลลูกบ้านมากกว่า 225,000 หลังคาเรือน มากถึง 570,000 คน และเป็นบริษัทแรกที่ได้รับรอง ISO 41001:2018 Facility Management ของประเทศไทย เปิดแผนธุรกิจปี 2567 รีดีฟายน์การบริหารนิติบุคคล ชู 3 กลยุทธ์หลักในการขับเคลื่อน ด้วยแนวคิด “ความอุ่นใจ ไร้กังวล” ยกระดับการดูแลลูกบ้านขั้นกว่า ด้วยการให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัย ยกระดับพันธมิตรอย่างแข็งแกร่งและมั่นคง และเสริมรากฐานการเติบโตของธุรกิจมุ่งสู่อนาคตอย่างยั่งยืน ริเริ่มสร้างหลักสูตรร่วมกับสถาบันการศึกษา ผลิตบุคลากรรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพและตรงสายอาชีพ พร้อมตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการบริหารนิติบุคคลเพื่อการอยู่อาศัย ตั้งเป้าปูพรมกว่า 515 โครงการ ขยายฐานทั่วประเทศ คาดรายได้เพิ่มขึ้น 21%
 
นายสุวัฒน์ กุลไพจิตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SMART) เปิดเผยว่า ในปี 2567 แม้ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย GDP จะปรับตัวอยู่ที่ 2.7% แต่ในทางกลับกันตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังคงมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า โดยคาดว่าจะมีที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ เพิ่มขึ้น 13.7% โดย SMART ได้วางเป้าหมายการเติบโตที่สอดคล้องกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยด้วยจำนวนโครงการที่เพิ่มขึ้นถึง 515 โครงการ หรือ 19% จากปีที่แล้ว และตั้งเป้าของรายได้เพิ่มขึ้น 21% เพื่อยังคงรักษาความเป็นที่หนึ่งในใจของลูกบ้าน 2 ปีซ้อน

โดยในปีนี้ SMART มีแผนในการขับเคลื่อนธุรกิจนิติบุคคลเพื่อการอยู่อาศัยด้วยความเข้าใจถึงปัญหาและความต้องการของลูกบ้านอย่างแท้จริง ภายใต้แนวคิด “ความอุ่นใจ ไร้กังวล” ที่จะเปลี่ยนการดูแลลูกบ้านและสังคมการอยู่อาศัยแบบเดิมอย่างสิ้นเชิง มีความทันสมัย ได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพสูงสุด มุ่งเน้นการให้บริการที่โปร่งใสและตอบสนองความต้องการของลูกบ้าน พร้อมการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ทำให้ลูกบ้านรู้สึกอุ่นใจและปลอดภัยในทุกมิติของการอยู่อาศัย พร้อมเดินหน้ารุกขยายฐานไปตามโครงการหัวเมืองทั่วประเทศไทยด้วย 3 กลยุทธ์หลักได้แก่

1.เป็นผู้นำการให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัย (Be leader in digital platform for living solution)

-เทคโนโลยี Manless Property Management และระบบ KATSAN Monitoring System ที่ SMART เลือกเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลความความปลอดภัย ซึ่งการทำงานของระบบเหล่านี้จะมี team monitoring ที่คอยดูแลผ่าน Dashboard
-Blinkemerge ระบบ IOT Sensor ที่จะเข้ามาช่วยในเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลบริหาร โครงการอย่างยั่งยืนจากการตรวจสอบที่แม่นยำของระบบ ขจัดความผิดพลาดที่อาจเกิดจาก Human Error พร้อมแจ้งเตือนเมื่อพบสถานะความผิดปกติตลอด 24 ชั่วโมง และสามารถมอนิเตอร์ระบบผ่าน Dashboard ได้แบบ Real Time ซึ่งหากเกิดเหตุฉุกเฉินภายในโครงการ จะมีทีม Red Alert Support จากส่วนกลาง พร้อมเข้า standby ช่วยเหลือลูกบ้านได้อย่างรวดเร็ว

-SMART NITI & Committee Dashboard ที่พัฒนาขึ้นมาใช้ทำงานร่วมกันระหว่างนิติบุคคล - ทีมซัพพอร์ตส่วนกลาง เพื่อให้คณะกรรมการสามารถเข้าตรวจสอบการทำงานของนิติบุคคลประจำโครงการได้แบบ Real Time
-แอปพลิเคชัน SMART WORLD ซึ่งถูกพัฒนาด้วยทีมงานของ SMART โดยตั้งอยู่บนแพลตฟอร์มของ AWS ที่ปลอดภัยและแข็งแกร่งที่สุดในโลก ทำให้ข้อมูลของลูกค้าปลอดภัย และยังเป็นแอปพลิเคชันที่มีผู้ใช้งานเยอะที่สุดถึงกว่า 120,000 ยูสเซอร์ เป็น Active user ต่อเดือนสูงถึง 69% และมีฟีเจอร์ให้บริการลูกบ้านใช้กว่า 40  ฟีเจอร์ 

2.ยกระดับพันธมิตรอย่างแข็งแกร่งและมั่นคง ผนึกกำลังเพื่อส่งมอบการบริการที่เหนือกว่า (1+1=3 Build Strong & Committed partnership) 
-SMART คัดสรรพันธมิตรที่มีคุณภาพเข้ามาเพื่อการดูแลลูกบ้านแบบขั้นกว่า สามารถซัพพอร์ตลูกบ้านได้ครอบคลุมทุกกลุ่มไลฟ์สไตล์ผ่านการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำกว่า 60 แบรนด์ อาทิ ธนาคารกรุงศรี, 7-Eleven, LINE MAN, ALive Powered by AIA และ Tops Online พร้อมมอบสิทธิพิเศษรวมมูลค่ากว่า 49 ล้านบาท จากยอดจำนวนที่ลูกบ้านรับสิทธิ 15,000 Redemptions และจัดเต็มกับพาร์ทเนอร์บริการเรื่องบ้าน ที่มีมากถึง 23 คู่ค้า และมียอดการสั่งซื้อสูงถึง 23,000 ออเดอร์ รวมมูลค่ากว่า 28 ล้านบาท อีกทั้งยังมีพันธมิตรซัพพอร์ตระบบการทำงานในหลายส่วน เช่น ระบบของวิศวกรรม ระบบด้านความปลอดภัย ระบบเรื่องของ data หรือเทคโนโลยี ระบบการเงิน เป็นต้น เพื่อการบริการนิติบุคคลอย่างมีประสิทธิภาพ 
 
3.เสริมรากฐานการเติบโตของธุรกิจมุ่งสู่อนาคตอย่างยั่งยืน (Enabling Long Term Business Growth) ด้วยแนวคิด People Sustainability, Energy Saving และ Platform Enhancement 
-People Sustainability SMART มีการพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะทั้งทางด้าน Soft skill และ Hard skill อยู่เสมอนอกจากนี้ยังวางรากฐานสร้างกำลังคนให้มีศักยภาพในสายงานบริหารนิติบุคคล ด้วยการพัฒนาสร้างหลักสูตรร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา เพื่อรองรับตลาดแรงงานและได้บุคลากรที่มีความพร้อมและความเชี่ยวชาญในด้านการบริหารนิติบุคคลเพื่อการอยู่อาศัยภายใต้ Concept “SMART สร้างคน สร้างงาน” รวมไปถึง กิจกรรม “SMART A Love To Give ให้การศึกษา ให้โอกาส ให้ความฝันที่เป็นจริงได้” ที่ SMART ได้มอบโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็กนักเรียนในชุมชน จ.จันทบุรี อีกด้วย
-Energy Saving การใช้ Data Driven Energy Platform จาก Blinkemerge เข้ามาช่วยวิเคราะห์ลักษณะการใช้ไฟฟ้าของอาคารชุดได้ทั้งโครงการ เพื่อประเมินการใช้ไฟฟ้าได้อย่างเหมาะสม และลดค่าใช้จ่ายให้แก่นิติบุคคล
-Platform Enhancement การพัฒนาระบบให้บริการลูกบ้านโดยมีการใช้ SMART AI Platform เข้ามาช่วยซัพพอร์ตการทำงานของนิติบุคคล โดยนิติฯ สามารถนำข้อมูล ความรู้จาก AI เข้ามาช่วยตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายและวิศวกรรม ไปตอบลูกบ้านได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการพัฒนา SMART Finance ให้สามารถรายงานสถานะการเงินของโครงการแบบ Realtime ผ่าน Dashboard และ CRM platform ซึ่งถูกพัฒนาเพื่อให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลของลูกบ้าน ติดตามและรายงานผลต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการจัดเก็บข้อมูลที่มีความปลอดภัยสูง 

“นอกจากนั้นแล้ว SMART ยังให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ในโครงการ ผ่านกิจกรรม SMART Neighbor Club และการสนับสนุนธุรกิจ SME ของลูกบ้าน ทุกการดำเนินการเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นของ SMART ในการเป็นมากกว่าผู้ให้บริการนิติบุคคล และยังคงรักษาความเป็นที่ 1 ในใจลูกบ้าน” คุณสุวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย 

PLANET เซ็นเอ็มโอยูพันธมิตร NT ผนึกกำลังให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล

PLANET เซ็นMOU เป็นพันธมิตร NT  เดินหน้าให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล (Digital Platform as a service) ภายใต้ Edge Data Center ในแต่ละภูมิภาค แก่หน่วยงานรัฐและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง หลังเล็งเห็นความเป็นไปได้ทางต้านตลาดและด้านเทคนิคในการขยายฐานลูกค้าใหม่ บิ๊กบอส "ประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์" มั่นใจ ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว จะทำให้บริษัทฯสามารถเพิ่มโอกาสในการให้บริการกับหน่วยงานต่างๆของภาครัฐได้มากขึ้น

นายประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANET  เปิดเผยว่า บริษัทฯและ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ได้พิจารณาและเล็งเห็นถึงความเป็นไปได้ในการร่วมมือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ จึงได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือร่วมกัน ในโครงการการให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล (Digital Platform as a service) ภายใต้ Edge Data Center โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยสู่โมเดล Thailand 4.0 ตามนโยบายของรัฐบาลอย่างมีประสิทธิภาพ และใช้เทคโนโลยีในการขับเคลื่อนการดำเนินการ ยกระดับชีวิตของประชาชนอย่างเท่าเทียม

ทั้งนี้จะร่วมกันศึกษาเพื่อพัฒนา Edge Data Center ในแต่ละภูมิภาค เพื่อใช้ในการรวบรวม,จัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล สำหรับการให้บริการแก่หน่วยงานรัฐและหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสนับสนุนการเชื่อมโยงเครือข่ายสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เทคโนโลยีระบบ Cloud Computing ในการให้บริการแบบครอบคลุมทั้งประเทศอย่างเท่าเทียม รวมถึงร่วมกันส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาหน่วยงานรัฐโดยใช้ Digital Platform as a service เพื่อการเปลี่ยนผ่านเป็น Digital Government

ขณะเดียวกันจะส่งเสริมสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจและสังคม โดยการส่งเสริมเอกชนรายย่อยและกลุ่มสตาร์ทอัพ (Start-Up) ให้เข้มแข็งผลักดันให้เกิด Developer Platforms ภายในประเทศ และร่วมกันพัฒนาบุคคลากรของทั้งสองฝ่ายให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยี Edge Data Center และ Smart Solution Platform

"PLANET และ NT ได้พิจารณาและเล็งเห็นความเป็นไปได้ทางต้านตลาดและด้านเทคนิคในการขยายฐานลูกค้าใหม่โดยเน้นที่กลุ่มตลาดเฉพาะจึงได้จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฉบับนี้ขึ้น” นายประพัฒน์กล่าว

นายประพัฒน์กล่าวอีกว่า ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว จะทำให้บริษัทฯสามารถเพิ่มโอกาสในการให้บริการกับหน่วยงานต่างๆของภาครัฐได้มากขึ้น เนื่องจาก บริษัทฯเป็นผู้ประกอบธุรกิจที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยี การให้คำปรึกษาทางธุรกิจและการบริการทั้งด้านการสื่อสารโทรคมนาคมแบบครบวงจร,ระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูล,ระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิดพร้อมด้วยระบบวิเคราะห์เชิงลึก (Artificial Intelligence),Internet of Things (IOT),Big Data และ Data Center,Cloud Computing/laaS/SssS/PaaS,Telemedicine เป็นต้น