“นร.ไทย” เจ๋ง!!! นำใบอ้อยมาทำเครื่องประดับ “วิจิตราภรณ์” อีกแนวช่วยลดฝุ่น PM 2.5

นโยบายสนับสนุนลดฝุ่นของรัฐบาล นร.ไทย เจ๋ง!!! นำใบอ้อยมาทำเครื่องประดับ “วิจิตราภรณ์” อีกแนวช่วยลด PM 2.5

วันนี้ (22 กุมภาพันธ์ 2568) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะครูและนักเรียนในระดับ ป.6 – ม.3 โรงเรียนบ้านข่อยสูง อ.ตรอน จ.อุตรดิตถ์ ร่วมกันสร้างผลงาน เครื่องประดับศิราภรณ์ วิจิตราภรณ์ ที่สวยงามอลังการ และสามารถใช้ได้จริง ในการสวมใส่เครื่องประดับแต่งกายการแสดง การร่ายรำ หรือศิลปวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่สำคัญคือ เครื่องประดับเหล่านี้ทำมาจากใบอ้อย ซึ่งเป็นวัสดุเหลือทิ้งจากการทำไร่อ้อยในพื้นที่ นายคารม กล่าวว่า อ้อยเป็นพืชเศรษฐกิจหลักในพื้นที่และปลูกเป็นลำดับต้น โดยเฉพาะในช่วงนี้ หรือตั้งแต่เดือน พ.ย.-ก.พ. เป็นฤดูเก็บเกี่ยว มีใบอ้อยเหลือทิ้งจำนวนมาก ซึ่งเดิมเกษตรกรก็จะเผา ก่อให้เกิดมลพิษ เป็นสาเหตุของฝุ่น PM 2.5 ครูและนักเรียนจึงช่วยกันคิด นำวัสดุเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ โดยประดิษฐ์เป็น “เครื่องประดับไทยจากใบอ้อย” ซึ่งใบอ้อย มีคุณสมบัติเหนียว ทน และยึดเกาะได้ดี เป็นการนำใบอ้อยมาหั่น ตำให้ละเอียด นำไปผสมกับแป้งข้าวเจ้าที่ต้มกับน้ำให้จับตัวเป็นก้อน นวดผสมกับผงแคลเซียม ปูนยาแนว ทิชชู และใบอ้อย นวดให้เข้ากัน เท่านี้ก็จะได้ดินไว้สำหรับกดลาย เวลาจะใช้ก็นำดินที่ผสมแล้วกดลงในแม่พิมพ์ตามลวดลายที่ต้องการ แล้วนำไปติดบนโครง หรือตัวเรือนเครื่องประดับ นำไปตากแดดให้แห้ง แล้วลงสีน้ำมัน สีทอง ปิดทองคำเปลว และประดับตกแต่งเพชรพลอย เท่านี้ก็จะได้ชิ้นงานวิจิตรสวยงาม ทั้งนี้ ยังเป็นการช่วยลดปัญหาการเผาอ้อยในพื้นที่ ตามนโยบายของรัฐบาล และยังช่วยส่งเสริมให้นักเรียนเห็นคุณค่าและประโยชน์ของใบอ้อย เป็นการประหยัดงบประมาณการเช่า ซึ่งการเช่าต่อครั้งชุดราคาค่อนข้างสูง และยังสร้างรายได้ระหว่างเรียนด้วย จากการปล่อยเช่าเครื่องประดับดังกล่าว หัวใจสำคัญในการคิดค้นทำสิ่งประดิษฐ์ คือ ลดการเผา ลด PM 2.5 ไม่ให้เกินมาตรฐาน สร้างสุขภาพที่ดี

นอกจากนี้พบว่า ปัจจุบันผู้ที่ประดิษฐ์เครื่องประดับไทยเริ่มมีน้อยลง เพื่อให้เด็ก ๆ รุ่นใหม่ ได้สืบสานงานศิลป์ที่เป็นมรดกของชาติให้เยาวชนได้ศึกษา ต่อยอด และสามารถนำเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างรายได้ ที่สำคัญใช้วัตถุดิบที่มีเป็นจำนวนมากในชุมชน โดยไม่ต้องซื้อหาแต่อย่างใด และยังสามารถสร้างอาชีพอีกด้วย หากกลุ่มอาชีพ หรือหน่วยงานที่สนใจเรียนรู้ ยินดีเผยแพร่องค์ความรู้ดังกล่าวสู่ชุมชน ติดต่อได้ที่ เพจ โรงเรียนบ้านข่อยสูง อ.ตรอน จ.อุตรดิตถ์

“รัฐบาลชื่นชมแนวคิดของคณะครูและเด็กไทย มีความคิดสร้างสรรค์ มีศักยภาพ มีความคิดที่ทันสมัย คิดครอบคลุมถึงนโยบายของรัฐบาลในปัจจุบัน ทั้งเรื่องของ ซอฟต์พาวเวอร์ และมาตรการช่วยลด PM 2.5 ในต่างจังหวัด รัฐบาลพร้อมสนับสนุนเยาวชนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การประกอบอาชีพ รวมถึงด้านอื่น ๆ ให้เด็กไทยเติบโตอย่างมีคุณภาพและมีความภูมิใจในตัวเอง” นายคารม กล่าว

“นายกฯอิ๊งค์” สั่ง “ปภ.ช” จัดการฝุ่น พร้อมวางแผนรับมือถึงต้นปี 69

นายกฯ สั่งการ ปภ.ช 6 ข้อ จัดการฝุ่นปีนี้อย่างต่อเนื่อง พร้อมวางแผนรับมือถึงต้นปี‘69 แม้ปัจจุบันสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ดีขึ้น จากสภาพอากาศและการใช้มาตรการควบคุมเด็ดขาด

วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษากองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (ปภ.ช.) เปิดเผยว่า กรมควบคุมมลพิษ ได้รายงานสถานการณ์ฝุ่นควัน PM2.5 ตามค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ณ เวลา 07.00 น. วันนี้ (20 ก.พ. 2568) พบว่าในพื้นที่ภาคเหนือ สามารถตรวจวัดได้ในช่วง 22.7 - 53.0 มคก./ลบ.ม. // ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สามารถตรวจวัดได้ในช่วง 19.7 - 44.3 มคก./ลบ.ม. // ภาคตะวันออก สามารถตรวจวัดได้ในช่วง 12.1 - 40.3 มคก./ลบ.ม. // ภาคกลางและภาคตะวันตก สามารถตรวจวัดได้ในช่วง 14.5 - 62.3 มคก./ลบ.ม. // และภาคใต้ สามารถตรวจวัดได้ในช่วง 7.4 - 15.1 มคก./ลบ.ม. ส่วนในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล สามารถตรวจวัดได้ในช่วง 15.4 - 37.3 มคก./ลบ.ม. ซึ่งภาพรวมส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ระดับดี - เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ โดยมี 17 จังหวัด ที่มีฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐาน อาทิ เชียงใหม่ ลำพูน พิษณุโลก พิจิตร สิงห์บุรี ลพบุรี ปราจีนบุรี สระแก้ว และยโสธร ทั้งนี้ จากการคาดการณ์คุณภาพอากาศ และการวิเคราะห์ปัจจัยทางด้านอุตุนิยมวิทยา 1 - 2 วันข้างหน้า (21 - 22 ก.พ. 68) พบว่า ปริมาณฝุ่นละอองมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในหลายพื้นที่

 

ขณะที่สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ได้รายงานผลการตรวจวัดจุดความร้อน (Hotspot) พบว่า  วานนี้ (19 ก.พ. 68) มีจุดความร้อนเกิดขึ้นในประเทศไทย 362 จุด ลดลงจากวันก่อนกว่า 300 จุด โดยจังหวัดที่มีจุดความร้อนสูงสุด คือ จังหวัดตาก พบถึง 37 จุด และส่วนใหญ่ยังคงเกิดในพื้นที่ป่า ส่วนจุดความร้อนในประเทศเพื่อนบ้าน พบสูงสุด คือ เมียนมา จำนวน 1,789 จุด รองลงมา คือ กัมพูชา 1,365 จุด ลาว 436 จุด และเวียดนาม 84 จุด

 

สำหรับมาตรการควบคุมเพื่อลดปัญหาฝุ่นควันนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาล ได้การรายงานสถานการณ์หีบอ้อยในภาคอุตสาหกรรมน้ำตาลทราย มีอ้อยเข้าหีบถึงวันนี้ 71,141,987.555 ตัน หีบอ้อยทั้งหมด 1,038,966.995 ตัน/วัน เป็นหีบอ้อยสด 917,467.425 ตัน/วัน เป็นอ้อยเผาไฟ 121,499.570 ตัน นับเป็นร้อยละ 11.69 ของอ้อยเผาไฟต่อวัน โดยสัดส่วนปริมาณหีบอ้อย ณ วันที่ 18 ก.พ. 2568 อยู่ที่อ้อยสด 85.42% ต่อ อ้อยเผาไฟ 14.58% ซึ่งจากข้อมูลข้างต้นจะพบว่า การเผาอ้อยมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง เปรียบเสมือนการลดพื้นที่เผาลงได้แล้วกว่า 3.85 ล้านไร่ เมื่อเทียบกับฤดูการผลิต 2561/2562

 

ขณะที่กรมการขนส่งทางบก วานนี้ ได้มีการตรวจรถวัดควันดำทั่วประเทศ จำนวน 1,021 คัน พบมีค่าควันดำเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด จำนวน 25 คัน ส่งผลให้สถิติสะสมของการตรวจรถควันดำทั่วประเทศได้ดำเนินการไปแล้วทั้งสิ้น 66,230 คัน มีค่าควันดำ 874 คัน โดยได้สั่งห้ามใช้รถด้วยการพ่นข้อความ “ห้ามใช้” จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

 

ด้านสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการตรวจยานพาหนะควันดำ วานนี้ ทั้งหมด 3,836 ครั้ง จับกุม 280 ราย ตักเตือนและให้คำแนะนำ 2,658 ครั้ง และดำเนินการตรวจสอบผู้ลักลอบเผาในพื้นที่ทางการเกษตร และเผาในที่โล่งแจ้งแล้ว 418 ครั้ง จับกุม 6 ราย ให้คำแนะนำ ตักเตือน 5,964 ราย

 

นอกจากนี้ ในช่วงท้ายของการประชุม นายจิรายุ กล่าวว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ฝากข้อสั่งการ 6 ข้อ มาถึงที่ประชุมในวันนี้ว่า

1.ขอให้ทุกหน่วยงานยังคงมาตรการดูแลแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองอย่างต่อเนื่อง

2.ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมกันบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกับผู้ที่ทำผิดและลักลอบเผา

3.ขอให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม บูรณาการการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน รวมถึงกองทัพ ในการดูแลพื้นที่ป่า ทั้งการตรวจตราและดับไฟ

4.ขอให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดำเนินมาตรการงดการรับซื้อสินค้าเกษตรที่ผ่านการเผา และระงับสิทธิ์เกษตรกรที่ฝ่าฝืน ต่อเนื่อง

5.ขอให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ดำเนินการจัดการต้นตอการเกิดฝุ่นในพื้นที่เขตเมืองอย่างเคร่งครัด

6.ขอให้หน่วยงานจัดเตรียมแผน รับมือฝุ่น ปลายปี 2568 ถึง ต้นปี 2569 เพื่อเตรียมแผนการทำงานเชิงรุกไว้ล่วงหน้า

ปภ.ช เผยฝุ่นอีสาน-ใต้ดีขึ้น หลังทั่วประเทศคุมเข้ม "ห้ามเผา"

ปภ.ช. เผยฝุ่นอีสาน-ใต้ดีขึ้น หลังทั่วประเทศคุมเข้ม "ห้ามเผา" ล่าสุดจับมือเผาพื้นที่เกษตรแล้ว 28 ราย

วันนี้ (5 กุมภาพันธ์ 2568) น.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะตัวแทนที่ปรึกษากองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (ปภ.ช.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ค่าฝุ่นทั่วประเทศหลายจุดแนวโน้มดีขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสาน และภาคใต้ ขณะที่ภาคเหนือตอนบนมีค่าฝุ่นเพิ่มขึ้นและเกินเกณฑ์มาตรฐาน

 

  น.ส.ศศิกานต์ เปิดเผยว่า ขณะนี้มีการประกาศ “ห้ามเผา” ใน 50 จังหวัดทั่วประเทศ ทำให้แนวโน้มจุดความร้อนในประเทศไทยลดลง โดย สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและ ภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ จิสด้า รายงานจุดความร้อนในประเทศไทย 506 จุด ส่วนใหญ่พบในพื้นที่ปลูกอ้อย ภาคตะวันตก ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดย 5 ลำดับแรกได้แก่ จังหวัดตาก กาญจนบุรี นครราชสีมา ลพบุรี เพชรบูรณ์ ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชายังมีจุดความร้อนสูงถึง 1,329 จุด

 

“สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รายงานผลการบังคับใช้กฎหมายในฐานความผิดที่เกี่ยวกับมลพิษทางอากาศ มีการตรวจสอบยานพาหนะควันดำ 6,107 ครั้ง โดยสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้ 266 ราย ส่วนในพื้นที่ กทม. ตรวจสอบ 546 ครั้ง จับกุมพร้อมสั่งแก้ไข 258 ราย ขณะที่การตรวจสอบการลักลอบเผาในพื้นที่เกษตร ได้จับกุมผู้กระทำความผิดแล้ว 28 ราย”

 

 น.ส.ศศิกานต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปภ.ช. ขอความร่วมมือทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือกับมาตรการต่าง ๆ ที่ออกมาทั้งการงดเผาในพื้นที่เกษตร การนำรถยนต์เข้ารับการตรวจสภาพเพื่อลดการปล่อยมลพิษ รวมทั้งร่วมกันแจ้งเบาะแสการลักลอบเผาได้ทางสายด่วน ปภ. 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง

 

 

สถานการณ์ฝุ่นวันนี้เริ่มดีขึ้น บกปภ.ช. ย้ำรณรงค์ "หยุดเผา หยุดฝุ่น" ต่อเนื่อง 

สถานการณ์ฝุ่นวันนี้เริ่มดีขึ้น บกปภ.ช. ย้ำรณรงค์ "หยุดเผา หยุดฝุ่น" ต่อเนื่อง - จังหวัดประกาศห้ามเผาเพิ่มเป็น 47 จังหวัด คาดการณ์ 7-8 ก.พ. รับมือฝุ่นอีกระลอก 

วันนี้ (4 ก.พ. 68) เวลา 10.00 น. ณ ห้องกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) อาคาร 3 ชั้น 5 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายสหรัฐ วงศ์สกุลวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นประธานการประชุมกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เพื่อติดตามสถานการณ์และการแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) โดยมีผู้บริหาร ปภ. และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมฯ โดยภาพรวมสถานการณ์ฝุ่นวันนี้ดีขึ้น และให้พื้นที่เพิ่มมวลชนร่วมรณรงค์หยุดเผา หยุดฝุ่น เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีอย่างต่อเนื่อง

นายสหรัฐ วงศ์สกุลวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในฐานะประธานการประชุมกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากการติดตามสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) พบว่า ในวันนี้สถานการณ์ฝุ่นภาพรวมของประเทศดีกว่าขึ้นกว่าเมื่อวาน โดยพื้นที่ใจกลางกรุงเทพมหานครมีสถานการณ์ที่ดีขึ้นและเริ่มกลับสู่เกณฑ์มาตรฐาน ส่วนภาคใต้คุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์ดีทุกจังหวัด เช่นเดียวกับภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่สถานการณ์ฝุ่นดีขึ้นเนื่องจากมีมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางเข้ามาทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือทำให้อากาศเปิดและลดฝุ่นในพื้นที่ได้เป็นอย่างมาก ส่วนภาคเหนือตอนบนสถานการณ์ฝุ่นอยู่ในระดับที่ค่อนข้างดี จะมีพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างที่ยังมีค่าเฉลี่ยของฝุ่นอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงโดยเฉพาะบริเวณจังหวัดสุโขทัยและพิษณุโลก สำหรับแนวโน้มสถานการณ์ในห้วงถัดไปคาดการณ์ว่าในช่วงวันที่ 7-8 กุมภาพันธ์ 2568 จะมีลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดมาทำให้สถานการณ์ฝุ่นในช่วงดังกล่าวมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีกครั้ง จึงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด 

“แม้วันนี้สถานการณ์ภาพรวมฝุ่นทั้งประเทศจะดีขึ้นแต่ยังคงต้องติดตามสภาพอากาศซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่อาจเพิ่มหรือลดความรุนแรงของฝุ่น บกปภ.ช. ยังคงย้ำทุกหน่วยงานและจังหวัดเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ รวมถึงควบคุมปัจจัยสำคัญที่เป็นแหล่งกำเนิดฝุ่น ได้แก่ การเผาในที่โล่งซึ่งทำให้เกิดจุดความร้อนเพิ่มขึ้น โดยขอให้ทุกจังหวัดวางแผนรับมือสถานการณ์ฝุ่นตามการคาดการณ์เพื่อป้องกันและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะเพิ่มพลังมวลชนในพื้นที่ขับเคลื่อนกิจกรรม Kick off เคาะประตูบ้าน “หยุดเผา หยุดฝุ่น เพื่อคุณ เพื่อเรา” เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชนเกี่ยวกับมาตรการการห้ามเผา และทราบถึงโทษที่จะได้รับ รวมถึงมีส่วนร่วมในการไม่เผา เพื่อสร้างอากาศที่ดีให้กับทุกคน ซึ่งวันนี้เป็นวันที่สองของการรณรงค์เคาะประตูบ้านฯ และมีจังหวัดที่ประกาศห้ามเผาเพิ่มขึ้นเป็น 47 จังหวัด ซึ่งประชาชนมีความตื่นตัว และให้ความร่วมมือกับกิจกรรมดังกล่าวเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังได้ขยายความร่วมมือไปยังสถานประกอบการที่ประกอบกิจการที่ทำให้เกิดควันไฟสร้างความรบกวนและเดือดร้อนให้กับประชาชนในพื้นที่ โดยขอความร่วมมือผู้ประกอบการหยุดกิจการที่มีการเผาที่ก่อให้เกิดฝุ่นควัน และจังหวัดยังได้ออกประกาศห้ามบุคคลทำการเผาในที่โล่ง และ ห้ามเผาโดยเด็ดขาด หากฝ่าฝืนจะมีโทษ ดำเนินคดีตามกฎหมาย ขอฝากประชาชนหากพบเห็นผู้กระทำความผิดให้แจ้งได้ที่ศูนย์ดำรงธรรม ตำรวจ นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ทุกแห่ง เพื่อที่จะได้ร่วมใจกันสร้างอากาศที่ดีคืนพี่น้องประชาชน“ นายสหรัฐ รองอธิบดี ปภ. กล่าว

ในส่วนของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้เตรียมพร้อมสรรพกำลัง เจ้าหน้าที่ และเครื่องจักรกลสาธารณภัย สนับสนุนจังหวัดที่มีสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่น PM 2.5 ในการควบคุมสถานการณ์ แก้ไขปัญหา และบรรเทาผลกระทบที่มีต่อประชาชน ซึ่งปัจจุบันกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ร่วมกับกองทัพบก (ทบ.) ได้ส่งเฮลิคอปเตอร์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย KA-32 ไปประจำการ ณ ฐานปฏิบัติการกองพลทหารราบที่ 7 จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 1 ลำ เพื่อสนับสนุนปฏิบัติการดับไฟป่าในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ 

ทั้งนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจะติดตามสถานการณ์และรายงานข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ให้ประชาชนทราบเป็นระยะ ทาง Facebook กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และ X @DDPMNews หากประชาชนต้องการแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือ สามารถแจ้งเรื่องได้ทางสายด่วนนิรภัย 1784 หรือทางไลน์ “ปภ.รับแจ้งเหตุ 1784” @1784DDPM ได้ตลอด 24 ชั่วโมง" 
 

 เกษตรยโสธรบูรณาการร่วม Kick Off เคาะประตูบ้าน "หยุดเผา หยุดฝุ่น เพื่อคุณ เพื่อเรา" 9 อำเภอ

เกษตรยโสธรบูรณาการร่วมKick Off เคาะประตูบ้าน"หยุดเผา หยุดฝุ่น เพื่อคุณ เพื่อเรา"9 อำเภอ

วันที่ 4 ก.พ.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำนักงานเกษตรจังหวัดยโสธรโดยนายนพดล ผุดผ่องเกษตรจังหวัดยโสธรได้บูรณาการร่วมสำนักงานเกษตรอำเภอในจังหวัดยโสธรทั้ง 9 อำเภอประกอบด้วยอำเภอมหาชนะชัย อำเภอค้อวัง อำเภอคำเขื่อนแก้ว อำเภอป่าติ้ว อำเภอทรายมูลอำเภอกุดชุม อำเภอไทยเจริญ อำเภอเลิงนกทา และอำเภอเมืองยโสธรได้ดำเนินการพร้อมกันในการจัดกิจกรรม Kick Off เคาะประตูบ้าน"หยุดเผา หยุดฝุ่น เพื่อคุณ เพื่อเรา"ซึ่งมีกิจกรรมประกอบด้วย1. แจ้งวัตถุประสงค์และเน้นย้ำ กำนันผู้ใหญ่บ้านท้องที่ ท้องถิ่นประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนทราบผ่านหอกระจายข่าวทุกวัน พร้อมสร้าง ความตระหนักรู้ให้ประชาชนทราบ และมาตรการในการดำเนินการกับผู้ทำการเผา 2. ออกเดินเคาะประตูบ้าน สร้างความตระหนักรู้ให้พี่น้องประชาชนได้ทราบ ถึงผลกระทบของการเผาและข้อดีของการหยุดเผา 3.การไถกลบต่อฟางข้าว 4.มอบธงสัญลักษณ์งดเผาและ5.การลงนามความร่วมมือ MOU งวดเผาในพื้นที่การเกษตร


ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่านอกจากนั้นแล้วในแต่ละพื้นที่ยังได้เดินณรงค์เคาะประตูบ้านเพื่อประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชนได้รับรู้และตระหนักถึงผลกระทบจากการเผาในทุกกรณี


นายอำนาจ ยงยืนเกษตรอำเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธรเปิดเผยว่าในส่วนอำเภอมหาชนะชัยกิจกรรมเคาะประตูบ้าน “หยุดเผา หยุดฝุ่น เพื่อคุณ เพื่อเรา” ได้จัดทำบันทึกข้อตกลง MOU ลดการเผาตอซังข้าว ที่บ้านบูรพา ตำบลบึงแก อำเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธรซึ่งมีจำนวนครัวเรือนที่เข้าร่วมทำ บันทึกข้อตกลง MOU จำนวน 78 ครัวเรือนโดยมีวัตถุประสงค์1. ลดการเผาตอซังข้าวในพื้นที่ และส่งเสริมการใช้แนวทางการไถกลบและการจัดการเศษวัสดุทางการเกษตรอย่างยั่งยืน2. สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับผลกระทบของฝุ่น PM 2.5 ที่เกิดจากการเผา และมาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง3. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ในการป้องกันปัญหามลพิษทางอากาศและรักษาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่อีกด้วย

รบ.เดินหน้าแก้ฝุ่น สั่งเข้มประกาศผู้นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ต้องมีใบรับรองปลอดเผา

“รัฐบาล”เดินหน้าเต็มสูบทุกทางแก้ฝุ่นระยะยาว สั่งเข้มประกาศผู้นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ต้องมีใบรับรองปลอดเผา

วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 11.45 น. นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเร่งดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในทุกมิติ เพื่อลดการสะสมของฝุ่นจากการเผาในแหล่งเพาะปลูกทั้งในและนอกประเทศ ด้วยการสนับสนุนวัตถุดิบทางการเกษตรที่ปราศจากการเผา โดยกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เพื่อกำหนดแนวทางลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 ข้ามพรมแดน  ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการ ที่จะดำเนินการกับข้าวโพด ที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เป็นลำดับแรก  โดยจะออกประกาศกระทรวงพาณิชย์กำหนดมาตรการควบคุมการนำเข้าข้าวโพดจากต่างประเทศ เพื่อป้องกันการนำเข้าข้าวโพดที่มาจากการเผา 

นายอนุกูล กล่าวต่อว่า สำหรับมาตรการที่เตรียมประกาศใช้ ผู้นำเข้าต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กรมการค้าต่างประเทศกำหนด ต้องแสดงเอกสารประกอบการนำเข้า ทั้งแบบฟอร์มการแจ้งข้อมูลประกอบการนำเข้า ตามที่กำหนด เอกสารรับรองจากหน่วยงานผู้มีอำนาจอย่างเป็นทางการ (Competent Authority : CA) ของประเทศผู้ส่งออกว่าสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่นำเข้า เป็นสินค้าที่มาจากแหล่งเพาะปลูกที่ไม่มีการเผา และพิสูจน์ได้ว่า  ผู้เพาะปลูก ผู้ส่งออก ผู้รวบรวมมีระบบการตรวจสอบย้อนกลับ และต้องมีภาพแผนที่แสดงถึงแปลงที่ใช้ในการเพาะปลูกให้ชัดเจน ซึ่งแนวทางทั้งหมดจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ขององค์การการค้าโลก (WTO) และพันธกรณีตาม FTAs รวมทั้งไม่สร้างภาระให้กับผู้ประกอบการ โดยจะเสนอให้คณะกรรมการนโยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) และคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป

ทั้งนี้ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นสินค้าที่ไทยผลิตได้ประมาณ 4 – 5 ล้านตันต่อปี ขณะที่มีความต้องการใช้ประมาณ 8 – 9 ล้านตันต่อปี จึงมีความจำเป็นต้องมีการนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ เมียนมา สปป.ลาว และกัมพูชา ซึ่งที่ผ่านมามีการนำเข้าประมาณปีละ 1.3 - 1.8 ล้านตัน แต่ปี 2567 นำเข้าถึง 2 ล้านตัน เป็นการนำเข้าจากเมียนมา มากที่สุดในสัดส่วนร้อยละ 87 ของปริมาณการนำเข้า รองลงมา คือ สปป.ลาว ร้อยละ 12.61 และ กัมพูชา ร้อยละ 0.39 ตามลำดับ โดยทางกรมการค้าต่างประเทศจะร่วมมือกับทูตพาณิชย์ในเมียนมา เพื่อรวบรวมรายชื่อผู้ส่งออกที่ไม่ใช้การเผา และเจรจาจับคู่ธุรกิจกับผู้ประกอบการไทย รวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประเทศเพื่อนบ้านทราบถึงมาตรการดังกล่าว เพื่อบรรเทาปัญหาฝุ่นควันข้ามพรมแดนซึ่งเป็นประเด็นสำคัญระดับชาติ

 “รัฐบาลมุ่งสร้างมาตรฐานสินค้านำเข้าและส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ของไทยในการค้าระหว่างประเทศ โดยสนับสนุนการจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ส่งออกที่ปลอดการเผากับผู้นำเข้าที่ต้องการสินค้าเกษตรคุณภาพ สำหรับมาตรการดังกล่าว จะเริ่มจากข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ก่อนขยายสู่สินค้าเกษตรอื่น ๆ เพื่อช่วยส่งเสริมทั้งเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกันอย่างสมดุล ซึ่งจะพิจารณาผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่ใช้ข้าวโพดอย่างรอบด้านเพื่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด” นายอนุกูล กล่าว

“รบ.”แนะเลี่ยงออกกำลังกายกลางแจ้ง ยึดหลัก “1 เช็ก 3 เปลี่ยน 1 ประเมิน”

“รัฐบาล”แนะเลี่ยงออกกำลังกายกลางแจ้ง ยึดหลัก ‘1 เช็ก 3 เปลี่ยน 1 ประเมิน‘ เตือนการสวมหน้ากาก N95 ขณะออกกำลังกาย อาจทำให้หายใจไม่ทัน


วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 12.00 น. นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่ากระทรวงสาธารณสุข ได้แนะนำวิธีการออกกำลังกายกลางแจ้งอย่างปลอดภัยในช่วงที่ค่าฝุ่น PM2.5 กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก โดยแนะนำให้ยึดหลัก “1 เช็ก 3 เปลี่ยน 1 ประเมิน” ดังนี้ 

“1 เช็ก” เช็กค่าฝุ่นก่อนออกกำลังกาย หากค่าฝุ่นสูงกว่า 37.5 มคก./ลบ.ม (สีส้ม) ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพควรหลีกเลี่ยง ส่วนประชาชนทั่วไปให้เลี่ยงการออกกำลังกายกลางแจ้งช่วงเช้า บริเวณริมถนน หรือบริเวณที่มีการก่อสร้าง หากสูงกว่า 75 มคก./ลบ.ม (สีแดง) ให้ออกกำลังกายในอาคารแทน

“3 เปลี่ยน” คือ เปลี่ยนเวลามาออกกำลังกายในช่วงบ่ายหรือเย็น เปลี่ยนสถานที่จากกลางแจ้งเป็นในร่ม และเปลี่ยนรูปแบบจากการออกกำลังกายหนัก เช่น วิ่ง ปั่นจักรยาน เป็นต้น มาเป็นการออกกำลังกายเบา ๆ

 “1 ประเมินตนเอง” ก่อนและระหว่างออกกำลังกายทุกครั้ง หากมีอาการผิดปกติ เช่น ไอ หายใจลำบาก แน่นหน้าอก ให้งดหรือหยุดออกกำลังกายทันที

ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนประเมินค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) ดังนี้ 1) ค่า AQI อยู่ที่ 0-60 ถือว่าปลอดภัยในการออกกำลังกายกลางแจ้ง (Outdoor) 2) ค่า AQI 60-100 สามารถออกกำลังกายได้ แต่ลดความถี่ออกกำลังกายกลางแจ้งลง 3) ค่า AQI 100-150 แนะนำให้เข้า ยิม หรือว่ายน้ำในสระว่ายน้ำระบบปิด และ 4) ค่า AQI เกินกว่า 150 แม้ออกกำลังกายในร่ม ก็จำเป็นต้องมีเครื่องกรองอากาศ สำหรับการใส่หน้ากากอนามัยชนิด N95 ขณะออกกำลังกายซึ่งมีความหนา ที่ส่วนใหญ่จะใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมหรือการใส่ขณะพ่นสีที่ต้องมีทั้งหน้ากากครอบตาด้วย อาจทำให้หายใจไม่ทัน ซึ่งการใส่หน้ากากอนามัย ที่มีความหนาขณะออกกำลังกาย จะทำให้ระบบหัวใจและหลอดเลือดทำงานหนักมากขึ้นและอาจเป็นอันตรายในคนที่มีโรคประจำตัว 

“การออกกำลังกายกลางแจ้งในช่วงมีฝุ่น PM 2.5 จำเป็นต้องคำนึงถึงสุขภาพและคุณภาพอากาศเป็นหลัก ขอให้ใช้ดุลพินิจ โดยคำนึงถึงการออกกำลังกายที่ปลอดภัยและเหมาะสม และติดตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างสม่ำเสมอ” นางสาวศศิกานต์ ระบุ

ข่าวดี! อีก 2 วันลมแรงช่วยพัดฝุ่นกระจายตัวดีขึ้น

ดาวเทียมพบฝุ่นหนักในอาเซียน เมียนมา ลาว กัมพูชา มาเลเซีย หลายประเทศทะลุ 190 ส่วนไทยอีก 2 วันมีลมแรงช่วยพัดฝุ่นกระจายตัวดีขึ้น ด้าน ปภ.ช.สั่งพรุ่งนี้ ดีเดย์-ทุกหน่วยทั่วประเทศเคาะประตูบ้าน “ห้ามเผา” ฝ่าฝืนจับสถานเดียว

 

วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 14.00 น. นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษากองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (ปภ.ช.) เปิดเผยว่า ในวันนี้(อาทิตย์ที่ 2 ก.พ.) ปภ.ช. ได้รายงานถึงสถานการณ์ฝุ่น เมื่อเวลา 7.00น.วันนี้ พบว่าหลายพื้นที่มีค่าฝุ่น PM2.5 อยู่ในระดับที่ต้องเฝ้าระวังโดยภาคเหนือเกินค่ามาตรฐาน 14 พื้นที่ ตรวจวัดได้ 10.9 - 59.0 มคก./ลบ.ม. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 34.5 - 73.0 มคก./ลบ.ม. ภาคกลางและตะวันตก เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 27.5 - 81.4 มคก./ลบ.ม. ภาคตะวันออก เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 34.7 - 72.5 มคก./ลบ.ม. ภาคใต้ เกินค่ามาตรฐาน 1 พื้นที่ ตรวจวัดได้ 19.5 - 43.2 มคก./ลบ.ม. กรุงเทพมหานครและปริมณฑล สถานีตรวจวัดของกรมควบคุมมลพิษ ร่วมกับ กทม. พบค่าฝุ่นเกินมาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 39.6 - 71.7 มคก./ลบ.ม. 

 

ทั้งนี้ ปภ.ช.ขอให้ประชาชนเฝ้าระวังสุขภาพ ลดเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้ง สำหรับผู้ที่ต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ รวมทั้งผู้ที่อยู่ในบริเวณค่าฝุ่นสูงมีผลกระทบต่อสุขภาพ (พื้นที่สีแดง) ควรลดระยะเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง ถ้ามีอาการทางสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์ทันที โดยสามารถติดตามสถานการณ์ผ่านทางเว็บไซต์ Air4Thai.com และ airbkk.com แอปพลิเคชัน Air4Thai และ AirBKK

 

สำหรับสถานการณ์ฝุ่นควันในสัปดาห์นี้จะมีต่อเนื่องไปจนถึงวันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์นี้ เนื่องจากมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงที่ลงมาปกคลุมประเทศไทย ทำให้ศักยภาพในการระบายอากาศต่ำลง จากนั้นจะมีลมจากภาคเหนือและภาคใต้พัดเข้ามาทำให้สถานการณ์จะคลี่คลาย 

 

ขณะที่ดาวเทียมตรวจพบค่าฮอตสปอตในประเทศภูมิภาคอาเซียน อาทิ เมียนมา ลาว กัมพูชาและมาเลเซียมีจุด Hot Spot เพิ่มสูง ขึ้นในช่วงสองวันที่ผ่านมา ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับประเทศไทยที่มีลมนิ่งทำให้เกิดค่าฝุ่นสะสม ทำให้วันนี้ เวลา 13.00 น. ค่าฝุ่นในหลายประเทศในภูมิภาคบางเมืองตรวจค่าฝุ่นสูงกว่า 190 AQI

 

ส่วนในวันพรุ่งนี้ (จันทร์ที่ 3 ก.พ.) เวลา 10.00 น. ปภ.ช.ได้มีข้อสั่งการไปยังทุกจังหวัดให้จัดกิจกรรม Kick Off เคาะประตูบ้าน “ห้ามเผา” เพื่อเป็นการประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันทุกพื้นที่ โดยใช้กลไกท้องถิ่นลงพื้นที่เคาะประตูบ้านประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจและปลูกจิตสำนึกให้กับประชาชน ร่วมกันไม่เผาเพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคน ขณะที่ได้มีการกำชับให้ฝ่ายป้องกันและปราบปรามบังคับใช้กฎหมายดำเนินการจับกุม ผู้เผาอย่างเคร่งครัด

 

นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้กรมควบคุมมลพิษ ร่วมกับกองบังคับการตำรวจจราจร กรมการขนส่งทางบก ปรับปรุงการบังคับใช้กฎหมายตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก และ พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 เพิ่มมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจออกคำสั่ง “ห้ามใช้ชั่วคราว” ให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองยานพาหนะที่มีควันดำเกินมาตรฐานต้องนำรถไปปรับปรุงแก้ไข และนำรถมายกเลิกคำสั่งภายในระยะเวลา 15 วัน หากเพิกเฉยไม่แก้ไขจะถูกยกเลิกทะเบียนในการใช้ยานพาหนะ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันในเขตเมือง และขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการภูธรจังหวัดแต่ละจังหวัดกวดขันจับกุมรถที่ปล่อยควันดำซึ่งเป็นหนึ่งในต้นเหตุสำคัญของปัญหาฝุ่น PM 2.5“ นายจิรายุ กล่าว

 

 

ข่าวดี ในอีก48ชั่วโมง “คนกรุง” ใกล้จะพ้นทุกข์เรื่อง “ฝุ่น” ชี้อาจจะเป็นปีหนึ่งที่อากาศดีที่สุด

เพจเฟสบุ๊ก ฝ่าฝุ่น โพสต์ข้อความระบุว่า

ข่าวดี อันดับ 1 สำหรับกรุงเทพฯ

สายลมยาว 48ชม ที่จะมาถึงกรุงเทพในวันที่ 3กพ68 เวลา 1400น นั้น NOAA HYSPLIT  พยากรณ์ว่าจะเป็นลมใต้ทั้งหมด   หมายความว่าฝุ่นรอบนี้นั้นจะไม่สูงมากเหมือนกับที่เห็นเหมือนอาทิตย์ก่อน

กรุงเทพฯและปริมณฑลใกล้จะพ้นทุกข์ฝุ่นในฤดูฝุ่นปีนี้แล้ว   อาจจะเป็นปีหนึ่งที่อากาศดีที่สุดก็ได้นะครับ   เดี๋ยวมาลองดูผลสอบอีกสัก 1 เดือนกัน

สธ.เผยฝุ่น PM 2.5 เพิ่มอัตราเสียชีวิตทั้งโรคปอด มะเร็ง หัวใจ

สธ.เผยฝุ่น PM 2.5 เพิ่มอัตราเสียชีวิตทั้งโรคปอด มะเร็ง หัวใจ ย้ำเช็กค่าฝุ่น สวมหน้ากากป้องกัน โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง

       วันนี้ (30 มกราคม 2568) ที่ ศูนย์ข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพ ฝุ่น PM 2.5 กระทรวงสาธารณสุข ดร.นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ด้านการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 พร้อมด้วย พญ.เปี่ยมลาภ แสงสายัณห์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ หัวหน้ากลุ่มงานอายุรศาสตร์ปอด สถาบันโรคทรวงอก และ นพ.ศุภกร ตุลย์ไตรรัตน์ นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี แถลงแนวทางการดูแลสุขภาพจากสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 โดย ดร.นพ.วรตม์ กล่าวว่า ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ วันนี้มีจังหวัดที่มีค่าฝุ่นอยู่ในระดับสีส้ม เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ (37.6 - 75 มคก./ลบ.ม) เพิ่มขึ้นจาก 16 จังหวัด เป็น 31 จังหวัด โดยคาดการณ์ว่าในสัปดาห์หน้าสถานการณ์ฝุ่นจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระดับสีส้ม ทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก แนะนำให้ตรวจสอบค่าฝุ่นอย่างต่อเนื่องและปฏิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด

         “สำหรับการแจกหน้ากากอนามัยให้กับประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ระหว่างวันที่ 28-29 มกราคม 2568 หน่วยบริการสาธารณสุขทั่วประเทศได้กระจายหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ 234,498 ชิ้น และหน้ากากชนิด N95 จำนวน 41,182 ชิ้น นอกจากนี้ สปสช. ยังแจ้งให้กรุงเทพมหานครและองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งใช้งบกองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ และกองทุนหลักประกันสุขภาพกรุงเทพมหานคร ในการแก้ไขปัญหาด้านสาธารณสุขและลดผลกระทบต่อสุขภาพให้กับประชาชนจากฝุ่น PM 2.5 ด้วย” ดร.นพ.วรตม์กล่าว

       ด้าน พญ.เปี่ยมลาภ กล่าวว่า ฝุ่น PM 2.5 มีขนาดที่เล็กมากจึงสามารถซึมผ่านเข้าสู่ปอดได้ง่าย ทำให้เกิดการอักเสบและอักเสบเรื้อรังในปอด โดยอันตรายเกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกที่สัมผัสฝุ่นไปจนถึง 7 วันหลังสัมผัส อาการที่พบบ่อยคือ เคืองตา เหนื่อยหอบ มีการกำเริบของโรคเดิม ไอ มีเสมหะ จาม และมีน้ำมูก ทั้งนี้ มีข้อมูลจากการศึกษาพบว่า ฝุ่น PM2.5 ส่งผลให้อัตราการเสียชีวิตในผู้ป่วยโรคปอดเพิ่มขึ้น 6% ผู้ป่วยโรคมะเร็ง 8% และผู้ป่วยโรคหัวใจ 4% ดังนั้นในช่วงที่มีค่าฝุ่นในระดับสีเหลือง หรือมากกว่า 25 มกค./ลบ.ม. ขึ้นไป แนะนำให้สวมหน้ากาก N95 หรือหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ 2 ชั้น เลี่ยงกิจกรรมนอกบ้านเมื่ออากาศปิดหรือไม่มีลม โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง

        ด้าน นพ.ศุภกร กล่าวว่า จากข้อมูลการให้บริการคลินิกมลพิษออนไลน์ช่วงวันที่ 23-29 มกราคม 2568 มีผู้ป่วยเข้ารับบริการ 1,564 ราย ส่วนใหญ่มีอาการระบบทางเดินหายใจ รองลงมา คือ หู คอ จมูก, ตา, ผิวหนัง และระบบหัวใจและหลอดเลือด โดยผู้ป่วยร้อยละ 31.2 มีอาการรุนแรง คือ แน่นหน้าอก หายใจลำบาก หายใจมีเสียงหวีด และเหนื่อยง่าย ทั้งนี้ ประชาชนเข้าใช้บริการคลินิกมลพิษออนไลน์ ได้ที่ Line id : @pm2.5 หรือ Application และ Line OA หมอพร้อม ซึ่งสามารถตรวจสอบค่าฝุ่น/คุณภาพอากาศและแจ้งเตือนหากค่าสูงเกินมาตรฐาน หรือตั้งค่าพื้นที่เพื่อรับการแจ้งเตือนค่าฝุ่น ประเมินอาการและรับคำแนะนำในเบื้องต้น หรือกรอกประวัติเพื่อเข้าพบและรับคำปรึกษาจากแพทย์โดยตรง รวมทั้งประเมินความรอบรู้ ติดตามข้อมูลข่าวสารต่างๆ เกี่ยวกับมลพิษ โดยพบว่าผู้ใช้บริการมีความพึงพอใจทั้งด้านการเข้ารับบริการแบบ online และ onsite การให้คำปรึกษา และการติดตามอาการ สูงถึงร้อยละ 98