โครงการส่งเสริม Soft Power ด้านอาหารไทย ยกระดับผู้ประกอบการ 15 รายสู่ตลาดออนไลน์อย่างมีคุณภาพ

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กองพัฒนาดิจิทัลอุตสาหกรรม และความร่วมมือกับสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ISMED) เปิดโครงการ “กิจกรรมพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารด้วย Digital Marketing (Empowering Community Restaurant)” ปีงบประมาณ 2568 โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือพัฒนาทักษะและศักยภาพของผู้ประกอบการด้านอาหารผ่านเครื่องมือ Digital Marketing และสื่อ AI ให้เกิดการสร้างแบรนด์ การสื่อสารออนไลน์ และขยายช่องทางขายอย่างมีประสิทธิภาพ

ผู้ประกอบการ 15 รายที่ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ ประกอบด้วยร้านอาหาร 5 ราย และผู้ผลิตอาหาร/แปรรูป 10 ราย จากทั่วประเทศ ซึ่งได้รับการอบรมเชิงลึก ได้แก่ การเขียน Prompt คอนเทนต์, การใช้แพลตฟอร์มออนไลน์, การวัดผลการตลาด พร้อมรับคำปรึกษาและมีโอกาสเข้าใจ Soft Power ด้านอาหารอย่างแท้จริง

รายชื่อและรายละเอียดผู้ประกอบการจำนวน 15 รายแบ่งเป็น 2 กลุ่มได้แก่

ผู้ประกอบการกลุ่มร้านอาหาร/คาเฟ่

1. จันทร์เดอคาเฟ่ (Chaan de Café) – คาเฟ่และพื้นที่จัดงานแต่งงาน/อีเวนต์ ในจังหวัดปทุมธานี เติบโตด้วยกิจกรรมออนไลน์ที่สร้าง engagement สูง

2. บ้านสีเขียวฟาร์มแอนด์ฟู้ด บายสวนผักคุณตู่ (Suan Pak Khun Tu) – ร้านฟาร์มสไตล์โฮมเมด ใส่ใจวัตถุดิบจากสวน สดใหม่ และใช้ภาพสื่อออนไลน์สร้างเรื่องราว

3. อยุธยาริเวอร์รีต (Ayutthaya Retreat) – คาเฟ่/ร้านอาหารและที่พักบรรยากาศเรือนไทยริมสระน้ำในอยุธยา ใช้แพลตฟอร์มรีวิวดึงนักท่องเที่ยว

4. Park Kret (พาร์คเกร็ด) – Club & Café ริมแม่น้ำเจ้าพระยา สร้างคอนเทนต์เน้นจุดเด่นท้องถิ่น เช่น ปลาจุ่ม สรรสร้าง Storytelling ทางโซเชียล

5. สิงห์ฟู้ดส์ จำกัด (Sing Foods Co., Ltd.) – ร้าน “ระเบียงทะเล” และซอสปรุงรส ส่งต่อรสชาติจากครัวร้านสู่ครัวบ้าน ผ่านสื่อออนไลน์และรีวิวลูกค้า

ผู้ประกอบการกลุ่มผู้ผลิต/แปรรูปอาหาร

1. บริษัท พาวเวอร์9 เทรดดิ้ง จำกัด (Power 9 Trading Co., Ltd.) – ขายส่งผลิตภัณฑ์อาหารทั่วไปจากสมุทรสาคร ใช้กลยุทธ์แพ็กเกจจิ้งดึงดูดด้วย AI และเข้าร่วมแสดงในงาน Foodism Show 2024

2. บริษัท ริน อินเตอร์ฟู้ด จำกัด (Rin Interfood Co., Ltd.) – ผู้แปรรูปอาหารทะเล (อบแห้ง/รมควัน/หมัก) จากสมุทรสาคร สร้างมูลค่าอาหารโบราณ เช่น ปลาเค็ม พร้อมเปลี่ยนโฉมด้วยการตลาดออนไลน์

3. บริษัท สยาม ดีไลท์ กรุ๊ป จำกัด (Siam Delight Group Co., Ltd.) – ผู้ผลิตขนมไทยของฝาก เช่น ทองม้วนในนนทบุรี ขยายตลาดผ่าน ห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศและส่งออก

4. บริษัท ดีไลท์ 88 จำกัด (Delight 88 Co., Ltd.) – ผู้ผลิตก๋วยจั๊บญวน “จั๊บจั๊บ” ในอุบลราชธานี ขายภาพห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ ผ่านโครงการ SME และเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งในประเทศด้านออนไลน์

5. บริษัท สุคันธา ไทยสแน็ค จำกัด (Sukatha Thai Snack Co., Ltd.) – ผู้ผลิตส่งออกข้าวตังจากเพชรบุรี (OTOP) ใช้แคมเปญออนไลน์และ gift basket สุขภาพ

6. บริษัท ชาเขียว จำกัด (Green Tea Co., Ltd.) – ผู้ผลิตกาแฟ ชา และชาสมุนไพรพร้อมดื่มในชลบุรี ภายใต้แบรนด์ “เรนอง” ผ่านนวัตกรรมสูตรชาและเป็นสมาชิก Thailand Trust Mark ส่งออกไปทั่วโลก

7. ห้างหุ้นส่วนจำกัด ฟาร์มจิ้งหรีดชุติกาญจน์ (Chutikan Cricket Farm) – เลี้ยงและแปรรูปจิ้งหรีดเป็นผงโปรตีนและข้าวเกรียบ ได้มาตรฐาน GAP, อย. และเข้าถึงตลาดอาหารทางเลือก

8. บริษัท ฟาเธอร์ แมน กรุ๊ป จำกัด (Father Man Group Co., Ltd.) – ผู้ผลิตอาหาร/ขนมพื้นบ้านจากสุโขทัย ได้รับรางวัลธรรมาภิบาลดีเด่นแห่งปี 2568 ขณะใช้เส้นทางดิจิทัลสร้างแบรนด์

9. บริษัท สยายปีกบิน จำกัด (Syaipigbin Co., Ltd.) – ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์รังนก ผลิตในนครศรีธรรมราช ขยายช่องทางผ่านสื่อออนไลน์

10. บริษัท กระบี่ฟู้ดส์แอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (Krabi Foods and Marketing Co., Ltd.) – ผลิตภัณฑ์สัตว์ปีก/เนื้อสัตว์แปรรูปในกระบี่ เช่น “หมูฮ้อง” ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เข้าถึงผู้บริโภค

โครงการนี้สะท้อนนโยบายเชิงรุกของรัฐในการส่งเสริม Soft Power ด้านอาหาร ด้วยการฝึกทักษะจริงผ่าน Digital Marketing และ AI ให้ผู้ประกอบการ “ทำเป็น–ทำจริง–วัดผลได้” พร้อมสร้างความเชื่อมโยงจากครัวท้องถิ่นสู่หวงโซ่อาหารสากลอย่างเข้าถึงได้และมีมาตรฐาน โดยสามารถดูรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมได้ที่ https://youtu.be/1iwlAnuTAe0

 

 

สนง.พาณิชย์จ.นครปฐม ชวนเที่ยวงาน “Nakhon Pathom: Food Safety for the World’s Kitchen”

นางสาวอโรชา นันทมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการยกระดับเกษตรทันสมัย ฟื้นฟูครัวไทยสู่ครัวโลกและความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งอาหารไทยได้รับความนิยมทั่วโลกทั้งนี้จังหวัดนครปฐม เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีชื่อเสียงที่เกี่ยวกับอาหารไทยที่เป็นที่รู้จักหลากหลายเมนู

นางสาวอโรชา กล่าวว่า เพื่อเป็นการส่งเสริมอาหารในจังหวัดนครปฐม ทางสำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครปฐม ได้จัดงาน “Nakhon Pathom: Food Safety for the World’s Kitchen” นครปฐม เมืองอาหารปลอดภัยศูนย์กลางนำครัวไทย สู่ครัวโลก ระหว่างวันที่ 13-17 สิงหาคม 2568 บริเวณ ชั้น 1 รอยัล พาร์ค พลาซ่า ศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค เวลา 10.30 น. - 21.00 น. ซึ่งพบกับสินค้าอาหารคุณภาพ ปลอดภัย สะอาด และรสชาติอร่อย  จากจังหวัดนครปฐม กว่า 100 รายการ พิเศษสุดลิ้มลองความอร่อย ชิมเมนูปรุงสดใหม่จากผลิตภัณฑ์นครปฐมผ่านฝีมือเชฟชื่อดัง และช่วงเวลาสุดคุ้มกับกิจกรรมนาทีทอง พร้อมลุ้นรับของรางวัลภายในงานมากมาย มูลค่ากว่า 100,000 บาท 

ดีพร้อม ผลักดันซอฟต์พาวเวอร์อาหารไทย เดินหน้ายกระดับร้านอาหารเชฟชุมชนอาหารถิ่นไทย

ดีพร้อม ผลักดันซอฟต์พาวเวอร์อาหารไทย เดินหน้ายกระดับร้านอาหารเชฟชุมชนอาหารถิ่นไทย หวังสร้างรายได้ชุมชนสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) ผลักดันซอฟต์พาวเวอร์อาหารไทย เดินหน้า “โครงการพัฒนาร้านอาหารเชฟชุมชนอาหารถิ่นไทย (Local Chef Restaurant) ในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออก” ตามนโยบาย “ดีพร้อมคอมมูนิตี้ ที่นี่มีแต่ให้” มุ่งหวังยกระดับร้านอาหารท้องถิ่นที่มีอัตลักษณ์ โดดเด่น และสามารถแข่งขันได้ทั้งในและต่างประเทศ และการสร้างให้เกิดเครือข่ายเชฟชุมชนที่เข้มแข็ง และเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่น

 

    
นายสุรพล ปลื้มใจ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลมุ่งผลักดันยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจที่ตั้งอยู่บนฐานของวัฒนธรรม วิถีชีวิต และความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย ด้วยการประกาศใช้ “ยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ” เป็นนโยบายระดับชาติ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากทุนวัฒนธรรมไทยให้สามารถแข่งขันในระดับสากล ขับเคลื่อนผ่านกลไก One Family One Soft Power (OFOS) ซึ่งมีจุดมุ่งหมายให้ประชาชนในทุกครัวเรือนสามารถใช้ทุนทางวัฒนธรรม วิถีชีวิต และภูมิปัญญาที่มีอยู่แล้วของตนเอง มาสร้างมูลค่า เพิ่มรายได้ และต่อยอดสู่ธุรกิจสร้างสรรค์ สามารถเชื่อมโยงกับตลาดในประเทศและต่างประเทศได้  หนึ่งในตัวอย่างของการขับเคลื่อนที่เห็นผลชัดเจนคือการส่งเสริม ซอฟต์พาวเวอร์ด้านอาหาร ซึ่งเป็นหนึ่งในมิติที่มีศักยภาพสูงสุดของประเทศไทย เป็นจุดแข็งระดับโลก อาหารไทยไม่เพียงแต่ได้รับความนิยมทั่วโลกในแง่รสชาติ แต่ยังเป็นสื่อกลางสำคัญในการถ่ายทอดวัฒนธรรม เรื่องเล่า วิถีชีวิต ความคิดสร้างสรรค์และอัตลักษณ์ท้องถิ่นที่ฝังอยู่ในอาหารทุกจานอย่างชัดเจน  ดังนั้น กิจกรรมพัฒนาร้านอาหารเชฟชุมชนอาหารถิ่นอาหารไทย ในภูมิภาคต่าง ๆ จึงสะท้อนภาพการนำนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ไปสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ ใช้วัฒนธรรมที่เรามีอยู่แล้วในพื้นที่ มาสร้างสรรค์ให้ทันสมัย โดยสร้างพื้นที่ให้เชฟท้องถิ่นและผู้ประกอบการชุมชนได้แสดงศักยภาพ ถ่ายทอดภูมิปัญญา และพัฒนาเมนูพื้นถิ่น ให้สามารถเชื่อมโยงเข้าสู่ตลาดใหม่ ๆ ได้อย่างมั่นคง และกลายเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน 

นายสุรพล ปลื้มใจ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวต่อว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) ขานรับนโยบายการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ไทย (Soft Power) โดยร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายภายใต้คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ ดำเนินโครงการส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์สาขาอาหาร 2 โครงการ ได้แก่

1. โครงการยกระดับหนึ่งหมู่บ้าน หนึ่งเชฟอาหารไทย เป็นการมุ่งพัฒนาองค์ความรู้และทักษะด้านอาหารไทยแก่ประชาชนที่สนใจให้เป็นแรงงานทักษะสูง โดยมีหลักสูตรที่ทันสมัยและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ต่อยอดในการประกอบอาชีพได้เป็นอย่างดี อาทิ อาหารไทยต้นตำรับเพื่อการประกอบอาชีพ อาหารไทยสร้างสรรค์เพื่อสุขภาพขนมหวานไทยประยุกต์ อาหารไทย Street Food พร้อมขายออนไลน์ ฟิวชั่นอาหารไทยกับรสชาติสากล

2. โครงการพัฒนาร้านอาหารเชฟชุมชนอาหารถิ่นไทย (Local Chef Restaurant)” โดยเน้นการพัฒนาศักยภาพร้านอาหารชุมชน (HiddenGem)  จำนวน 100 กลุ่ม บุคลากรได้รับการพัฒนา จำนวน 400 คน ในพื้นที่ 


4 ภูมิภาค ได้แก่ 1) ภาคเหนือ 2) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3) ภาคกลางและภาคตะวันออก และ 4) ภาคใต้ ผ่านการเพิ่มทักษะและองค์ความรู้ในด้านต่าง ๆ อาทิ การคำนวณต้นทุน การบริหารจัดการของเสีย เทคนิคการประกอบอาหารและสร้างสรรค์เมนูใหม่เพื่อนักท่องเที่ยว (เมนูอาหารถิ่น Amazing Thai Taste) นอกจากนี้ ยังยกระดับร้านอาหารเชฟชุมชนสู่ร้านอาหารระดับพรีเมียม การเตรียมความพร้อมร้านอาหารซอฟต์พาวเวอร์ไทยสู่สากล การเชื่อมโยงสู่เทคโนโลยีเพิ่มช่องทางการตลาด โดยเปิดรับสมัครแล้วตั้งแต่บัดนี้ - วันที่ 15 มิถุนายน 2568  ผ่าน www.ofos.thacca.go.th และเริ่มอบรมตั้งแต่สิ้นเดือนนี้เป็นต้นไป

สำหรับการดำเนินงานขับเคลื่อนและผลักดันซอฟต์พาวเวอร์อุตสาหกรรมอาหารทั้ง 2 โครงการนี้ 

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้นำกลไกของซอฟต์พาวเวอร์มาเป็นเครื่องมือในการสร้างคุณค่าและเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าที่โดดเด่น แตกต่าง และตอบโจทย์ตลาด ภายใต้นโยบาย “ดีพร้อมคอมมูนิตี้ ที่นี่มีแต่ให้” ผ่านกลยุทธ์ 4 ให้ ได้แก่ 1. ให้ทักษะใหม่ : ผ่านการอบรมเพื่อเพิ่มพูนองค์ความรู้ พัฒนาเป็นอาชีพและต่อยอดสู่ธุรกิจ 2. ให้เครื่องมือทันสมัย : เสริมศักยภาพด้วยเครื่องมือที่จะช่วยในการแปรรูปและเพิ่มมูลค่าสินค้า 3. ให้โอกาสโตไกล : เข้าถึงตลาด ช่องทางจัดจำหน่าย และการเข้าถึงแหล่งทุน และ 4. ให้ธุรกิจไทยที่ดีคู่ชุมชน สร้างความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการชุมชน และหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน

ซึ่งกิจกรรมในวันนี้ เป็นส่วนของการดำเนินโครงการพัฒนาร้านอาหารเชฟชุมชนอาหารถิ่นไทย (Local Chef Restaurant) ในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออก โดย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้ร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ซึ่งเป็นภาคีเครือข่ายสำคัญที่มีความพร้อมด้านองค์ความรู้และเทคโนโลยี ทั้งในด้านการประกอบอาหารไทย และ Fine Dining มีห้องปฏิบัติการครัวมาตรฐาน ที่สามารถรองรับผู้เข้าอบรม

และสามารถจัดการอบรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อยกระดับเชฟชุมชนให้มีความสามารถในการนำเสนออาหารถิ่นในรูปแบบร่วมสมัย โดยดีพร้อมมุ่งหวังให้มีการยกระดับร้านอาหารท้องถิ่นที่มีอัตลักษณ์ โดดเด่น และสามารถแข่งขันได้ทั้งในและต่างประเทศ และการสร้างให้เกิดเครือข่ายเชฟชุมชนที่เข้มแข็ง และเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่น 

ด้าน รศ. ดร. อนินท์ มีมนต์ ผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ในฐานะ ผู้อำนวยการกิจกรรมพัฒนาร้านอาหารเชฟชุมชนอาหารถิ่นอาหารไทยภาคกลางและภาคตะวันออก กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการพัฒนาร้านอาหารเชฟชุมชนอาหารถิ่นไทย (Local Chef Restaurant) ในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออก มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและยกระดับศักยภาพของร้านอาหารชุมชนและเชฟท้องถิ่น ให้สามารถนำเสนออาหาร ถิ่นไทยอย่างมืออาชีพ ด้วยมาตรฐานการบริการที่ตอบโจทย์ทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดสากล มีเป้าหมายในการยกระดับร้านอาหารชุมชนให้สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว เกิดการจ้างงาน และสร้างรายได้อย่างยั่งยืน และการปูพื้นฐานให้ชุมชนก้าวสู่การเป็น “1 ครอบครัว 1 ทักษะซอฟต์พาวเวอร์” หรือ One Family One Soft Power ซึ่งเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ

ผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการจัดกิจกรรม ได้แก่ การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเชฟชุมชนจำนวนไม่น้อยกว่า 120 คน จำนวนไม่น้อยกว่า 30 กลุ่ม การพัฒนาเมนูอาหารถิ่นยอดนิยมให้เกิดมูลค่าเพิ่มทั้งด้านรสชาติ รูปลักษณ์ และการสื่อสารเรื่องราว การให้คำปรึกษาเชิงลึกและการเชื่อมโยงมาตรฐานอุตสาหกรรมอาหารแก่ผู้ประกอบการ และคาดหวังว่า ร้อยละ 80 ของผู้เข้าร่วมโครงการจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ยไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ทำให้ชุมชนเกิดความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์อาหารของตนเอง เกิดการกระจายรายได้และการท่องเที่ยว เชิงวัฒนธรรมในระดับพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม และเกิดการเชื่อมโยงร้านอาหารชุมชนกับสื่อออนไลน์ โดยอาศัย Food Blogger และ Influencer ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 80,000 คน เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้าง
โดยพื้นที่เป้าหมายของโครงการ จะครอบคลุมพื้นที่ 22 จังหวัดในภาคกลางและภาคตะวันออก 

ได้แก่ กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ พระนครศรีอยุธยา สระบุรี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี นครปฐม ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด ฉะเชิงเทรา นครนายก ปราจีนบุรี และสระแก้ว ซึ่งล้วนมีมรดกอาหารท้องถิ่นอันทรงคุณค่าที่พร้อมจะถูกต่อยอดสู่ตลาดสากล
 

DITP เตรียมจัดงาน "Thai SELECT Royal Gala Night" ยกระดับอาหารไทยและตราสัญลักษณ์ Thai SELECT สู่สากล

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เตรียมจัดงาน "Thai SELECT Royal Gala Night" ในวันพุธที่ 28 พฤษภาคม 2568 ณ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ โดยกราบทูลเชิญ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จเป็นองค์ประธาน เพื่อยกระดับอาหารไทยและตราสัญลักษณ์ Thai SELECT สู่สากล พร้อมการรังสรรค์อาหารไทยสุดพิเศษภายใต้คอนเซ็ปต์ "THE 5 SPIRITS OF THAI TASTE” นำเสนอเอกลักษณ์แห่งรสชาติไทยอันวิจิตรผ่านประสบการณ์กาล่าดินเนอร์สุดประทับใจ

งานอันทรงเกียรตินี้จัดขึ้นเพื่อยกระดับความเชื่อมั่นและส่งเสริมการยอมรับในระดับสากลให้กับ Thai SELECT ตราสัญลักษณ์ที่รับรองคุณภาพและความเป็นต้นตำรับของอาหารไทย ทั้งในส่วนของร้านอาหารที่ให้บริการอาหารรสชาติตามแบบฉบับไทยแท้ รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารไทยสำเร็จรูปที่ผลิตด้วยส่วนผสมและรสชาติที่เป็นมาตรฐานอาหารไทย ซึ่งเป็นหนึ่งใน Soft Power สำคัญของประเทศไทยที่จะเสริมสร้างภาพลักษณ์อันดีงามของอาหารและร้านอาหารไทยในเวทีโลก

ในปี 2568 นี้ กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการยกระดับและปรับภาพลักษณ์ตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ให้เป็นที่แพร่หลายและยอมรับมากขึ้นในระดับสากล ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลให้ด้านการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยด้วยพลังสร้างสรรค์ (Soft Power) เพื่อส่งเสริมการตลาด เศรษฐกิจ และยกระดับภาพลักษณ์ของอาหารไทยให้มีมาตรฐานระดับโลก ทั้งยังได้มีการนำสัญลักษณ์ “ดาวเกียรติยศรูปดอกกล้วยไม้” มาใช้ในการจัดระดับร้านอาหารที่ได้รับตรา Thai SELECT แบ่งออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่ Thai SELECT 3 ดาว, Thai SELECT 2 ดาว, Thai SELECT 1 ดาว และ Thai SELECT Casual

ภายในงาน Thai SELECT Royal Gala Night ผู้เข้าร่วมจะได้สัมผัสความพิเศษของ ห้าจิตวิญญาณแห่งรสชาติไทย ภายใต้แนวคิด "THE 5 SPIRITS OF THAI TASTE” สะท้อนรสชาติหลักของอาหารไทย ได้แก่ เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม และเผ็ด ซึ่งแต่ละเมนูถูกรังสรรค์อย่างพิถีพิถันเพื่อเชิดชูแก่นแท้แห่งรสชาติอาหารไทย โดย สุดยอดเชฟจาก 5 ร้านอาหารชื่อดังในโครงการ Thai SELECT เพื่อส่งมอบประสบการณ์การลิ้มรสอาหารไทยที่น่าประทับใจ สะท้อนเสน่ห์แห่งวัฒนธรรมไทยให้ตราตรึงใจมิรู้ลืม โดยคอร์สอาหารทั้ง 5 ได้แก่ 1) The Awakening Spirit (รสเปรี้ยว) โดย BLUE ELEPHANT 2) The Grounded Spirit (รสเค็ม) โดย Amdang Typhoon Group 3) The Fiery Spirit (รสเผ็ด) โดย Royal Osha  4) The Soulful Spirit (รสมัน) โดย R-HAAN และ 5) The Nostalgic Spirit (รสหวาน) โดย The Artisans Ayutthaya

ยิ่งไปกว่านั้น งาน Thai SELECT Royal Gala Night ยังได้รับเกียรติจาก อีทัน เบอร์นาธ (Ethan Bernath) เชฟ นักเขียน และ Content Creator ชาวอเมริกันรุ่นใหม่ ที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักในวงกว้างจากการขับเคลื่อนวงการอาหารผ่านคอนเทนต์ในโลกออนไลน์ มาร่วมงาน แลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านอาหารไทย ร่วมกับเชฟชื่อดังของไทย พร้อมสัมผัสความสมดุลของร่างกาย จิตใจ และพลังชีวิตผ่านรสชาติอาหารไทยแท้ๆ

งาน Thai SELECT Royal Gala Night ในครั้งนี้จึงเป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับความเชื่อมั่นของตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ในระดับสากล ตอกย้ำมาตรฐานและคุณภาพอันเป็นแก่นแท้ของอาหารไทยสู่สายตาชาวโลก และเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พร้อมเพิ่มโอกาสทางธุรกิจอาหารไทยในต่างประเทศให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ต่อไปในอนาคต

แกร็บฟู้ด จับมือ วธ.ดันซอฟต์พาวเวอร์อาหารไทย ยกย่อง 60 “สุดยอดร้านอาหารแห่งปี” ยกระดับวงการอาหารไทย 

แกร็บฟู้ด จับมือ วธ. ดันซอฟต์พาวเวอร์อาหารไทย ยกย่อง 60 “สุดยอดร้านอาหารแห่งปี” ยกระดับวงการอาหารไทย  ในงานประกาศรางวัล #GrabThumbsUp Awards 2025

จันต์สุดา ธนานิตยะอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย จัดงานประกาศรางวัล #GrabThumbsUp Awards 2025 ภายใต้ธีม “The Power of Your Voice” เพื่อยกย่อง “60 สุดยอดร้านอาหารแห่งปี” ที่ได้รับการการันตีคุณภาพจากพลังเสียงของผู้ใช้บริการ พร้อมเชิดชูเกียรติผู้ขับเคลื่อนวัฒนธรรมและยกระดับวงการอาหารไทย ภายใต้การสนับสนุนของกระทรวงวัฒนธรรม ณ โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ

แกร็บฟู้ด แอปสั่งอาหารอันดับ 1* ในประเทศไทย จัดงานประกาศรางวัล #GrabThumbsUp Awards ประจำปี 2025 ภายใต้ธีม “The Power of Your Voice” เพื่อยกย่อง “60 สุดยอดร้านอาหารแห่งปี” ที่ได้รับการการันตีคุณภาพความอร่อยยกนิ้วจากพลังเสียงของผู้ใช้บริการจริง พร้อมเชิดชูเกียรติผู้ขับเคลื่อนวัฒนธรรมและยกระดับวงการอาหารไทยด้วย 3 รางวัลพิเศษ ได้แก่ “สุดยอดผู้นำซอฟต์พาวเวอร์แห่งปี” กับร้าน Butterbear ผู้สร้างปรากฏการณ์โด่งดังไกลถึงต่างประเทศ “สุดยอดผู้ยกระดับวงการอาหารไทย” ซึ่งมอบให้กับ อัจฉรา บุรารักษ์ เจ้าของร้านอาหารในเครือ iberry Group และ “สุดยอดผู้นำเทรนด์อาหารไทยในระดับสากล” ซึ่งมอบให้ร้าน Khao-Sō-i (ข้าวโซอิ) ผู้เผยแพร่เมนูข้าวซอยไปสู่เวทีโลก เพื่อร่วมส่งเสริมและต่อยอดนโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ด้านอาหาร ซึ่งช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลมีนโยบายในการส่งเสริมการท่องเที่ยวและซอฟต์พาวเวอร์ของไทยเป็นที่รู้จักแพร่หลายไปสู่ระดับนานาชาติ และกระทรวงวัฒนธรรมมีนโยบาย “วัฒนธรรมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ” โดยมีเป้าหมายส่งเสริมคุณค่าและมูลค่า “อาหารไทย” ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่เข้าถึงได้ง่ายและได้รับความนิยมจากผู้คนทั่วโลก ที่สำคัญเป็นการนำทุนทางวัฒนธรรม พัฒนาสู่ทุนทางเศรษฐกิจในการสร้างงานสร้างรายได้ รวมถึงสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศไทย โดยเฉพาะการส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ผ่านอัตลักษณ์ไทยอย่าง “อาหารไทย” ผ่านเวทีประกาศรางวัล #GrabThumbsUp Awards 2025 โดยรางวัลนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบุคลากรในวงการอาหารไทยที่ให้ความสำคัญกับการรักษาคุณภาพ รสชาติและมาตรฐาน แต่ยังเป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จในการยกระดับวงการอาหารไทยสู่ระดับสากลด้วย ในนามของกระทรวงวัฒนธรรม เราขอแสดงความยินดีกับทุกท่านที่ได้รับรางวัลในวันนี้ และขอสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนร่วมแรงร่วมใจสร้างสรรค์และยกระดับอาหารไทยอันทรงคุณค่าต่อไปเพื่อเป็นแรงบันดาลใจและส่งเสริมวัฒนธรรมไทยของเราสู่สากลอย่างต่อเนื่อง

   

นางสาวจันต์สุดา ธนานิตยะอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “งานประกาศรางวัล #GrabThumbsUp Awards 2025 ในปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 4 ภายใต้แนวคิด ‘The Power of Your Voice’ เพื่อตอกย้ำถึงจุดแข็งของซับแบรนด์ #GrabThumbsUp (ร้านอร่อยยกนิ้ว) ที่สะท้อนเสียงและพลังความนิยมของผู้ใช้บริการอย่างแท้จริง โดยร้านอาหารที่ได้รับรางวัลในปีนี้ถือเป็นตัวแทนของคุณภาพและความอร่อยที่ได้รับการการันตีจากผู้ใช้บริการแกร็บฟู้ด ผ่านการพิจารณาอย่างเข้มข้นและครอบคลุมในหลายมิติ ทั้งด้านรสชาติอาหาร คุณภาพในการให้บริการ มาตรฐานในการบริหารจัดการ ชื่อเสียงของร้าน ตลอดจนความนิยม โดยต้องมีคะแนนความพึงพอใจจากผู้ใช้บริการจริงไม่ต่ำกว่า 4.6 (จากคะแนนเต็ม 5) และได้รับการรีวิวในเชิงบวกไม่น้อยกว่า 100 เสียง นอกจากนี้ อีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญคือการเปิดตัว 3 รางวัลใหม่ เพื่อยกย่องผู้ประกอบการร้านอาหารที่ร่วมส่งเสริมวัฒนธรรมและวงการอาหารไทยไปสู่ระดับสากล ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในการผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ผ่านเอกลักษณ์อาหาร ตอกย้ำบทบาทของแกร็บฟู้ดในฐานะแพลตฟอร์มที่สนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนของผู้ประกอบการ และพร้อมเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมอย่างต่อเนื่อง”

   

สำหรับในปีนี้มีร้านอาหาร 844 ร้านจากทั่วประเทศที่ได้รับรางวัลการันตีความอร่อยยกนิ้วจาก #GrabThumbsUp Awards 2025  โดยมี 60 ร้านที่คว้ารางวัล “สุดยอดร้านอาหารแห่งปี” ในหลากหลายสาขา ซึ่งมีไฮไลท์สำคัญ ดังนี้
•    สุดยอดร้านดาวรุ่งมาแรงแห่งปี เป็นของร้าน Oh! Juice เจ้าของเมนูสมูตตี้สุดฮิตที่สร้างกระแสไวรัลบนโลกออนไลน์ ตอบรับเทรนด์ไลฟ์สไตล์คนรักสุขภาพ ซึ่งสร้างยอดขายไปอย่างถล่มทลายจนเติบโตขึ้นกว่า 400% ภายในระยะเวลา 3 เดือน 
•    สุดยอดร้านรัก(ษ์)โลกและสิ่งแวดล้อมแห่งปี เป็นของ Ohkaju ร้านอาหารที่ยึดมั่นในแนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมตั้งแต่การพัฒนาและคัดสรรแหล่งวัตถุดิบถึงการดูแลชุมชน
•    สุดยอดเมนูยอดนิยมแห่งปี ได้แก่ ดูไบช็อกโกแลต (ช็อกโกแลตสอดไส้คูนาฟ่าพิสตาชิโอ) สุดฮอตจาก The Rolling Pinn และทาร์ตไข่สูตรฮ่องกงจากร้าน YOLK อีกหนึ่งเมนูยอดฮิตแห่งย่านบรรทัดทอง
•    สุดยอดแคมเปญการตลาดแห่งปี กับร้าน Guss Damn Good แบรนด์ไอศกรีมสุดครีเอทีฟที่สร้างสรรค์รสชาติใหม่ๆ และการคอลแลปที่น่าตื่นเต้นออกมาเซอร์ไพร์สผู้บริโภคตลอดทั้งปี 
•    สุดยอดร้านเรตติ้งสูงสุดของ GrabFood ตกเป็นของ 1:2 Coffee ร้านกาแฟคุณภาพคับแก้วจากเชียงราย ที่เสิร์ฟกาแฟรสละมุนในราคาที่เข้าถึงได้ การันตีด้วยคะแนนรีวิวถล่มทลาย
•    สุดยอดร้านขายดีแห่งปีบน GrabFood มอบให้กับร้าน Emily's Chicken Noodles เจ้าของเมนูเส้นหมี่ไก่ฉีกซิกเนเจอร์ รสชาติที่ใครได้ลองแล้วเป็นต้องติดใจ 
•    สุดยอดผู้ประกอบการธุรกิจรุ่นใหม่ ได้แก่ วิน เมธวิน โอภาสเอี่ยมขจร ตัวแทนจาก SOURI ร้านขนมขวัญใจสายหวานที่ขึ้นชื่อเรื่องมาการองชิ้นโต โดดเด่นด้วยภาพจำสีพาสเทลน่ากิน เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่เติบโตและขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในปีที่ผ่านมา
•    รางวัลพิเศษที่มอบให้ สุดยอดนักชิมแห่งปีของ GrabFood ได้แก่ อาเล็ก-ธีรเดช เมธาวรายุทธ พระเอกหนุ่มสายฟู้ดดี้เจ้าของช่อง AlekT Official กิ๊ก-อารยา พานิชกุลพูลผล จากเพจ วันนี้กินไรดีวะ กับเอกลักษณ์การพากย์ที่ทำให้หลายคนอยากพุ่งตัวตามไปชิม และ นัท-อภิวิชญ์ เอกธาราวงศ์ ยูทูบเบอร์จากช่องสุดฮอต NutApiwich ที่เดินทางไปลิ้มลองร้านดังทั่วโลก

“รางวัล #GrabThumbsUp Awards ในปีนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพลังเสียงของผู้ใช้บริการอย่างแท้จริง ขอแสดงความยินดีกับทุกท่านที่ได้รับรางวัลในปีนี้ และขอขอบคุณพาร์ทเนอร์ร้านอาหารทุกท่านที่ทุ่มเทพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการให้บริการร่วมกันกับเรามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ประกอบการร้านอาหารอื่นๆ บนแพลตฟอร์มของเรา แกร็บฟู้ดจะเดินหน้าพัฒนาบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการ และสนับสนุนผู้ประกอบการร้านอาหารให้เติบโตพร้อมสร้างโอกาสทางธุรกิจอย่างยั่งยืนในอนาคต” นางสาวจันต์สุดา กล่าวเสริม

ติดตามรายละเอียดเกี่ยวกับรางวัล #GrabThumbsUp Awards 2025 ได้ทางเว็บไซต์ https://www.grab.com/th/campaign/grabthumbsupawards2025/*แอปสั่งอาหารยอดนิยมอันดับ 1 ในไทยปี 2024 โดย Kantar 

ทรู คอร์ปอเรชั่น ผนึก ททท. เปิดโครงการ "ทรูชวนชิม ปี 2" ชู Soft Power อาหารไทย เสริมแกร่งท่องเที่ยวไทย

ทรู คอร์ปอเรชั่น ผนึก ททท. ชู Soft Power "อาหารไทย" เสริมแกร่งท่องเที่ยวไทย เปิดโครงการ "ทรูชวนชิม ทรูทั่วไทย อร่อยทั่วทิศ ปี 2"สร้างประสบการณ์ "Tastetination เที่ยวนี้ กินไหน ตามรอยทรูชวนชิม

วันที่ 27 มี.ค.68 ทรู คอร์ปอเรชั่น เดินหน้าภารกิจนำเทคโนโลยีดิจิทัล ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทย ผนึกกำลัง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวผ่าน Soft Power "อาหารไทย" เสริมจุดเด่นการท่องเที่ยวเชิงอาหาร สร้างรายได้คืนสู่ชุมชนอย่างยั่งยืน และแชร์ความประทับใจสู่สายตาชาวโลก ผ่านโครงการ "ทรูชวนชิม ทรูทั่วไทย อร่อยทั่วทิศ ปี 2" ภายใต้แนวคิด "Tastetination เที่ยวนี้ กินไหน ตามรอยทรูชวนชิม" ยกระดับประสบการณ์ท่องเที่ยวผ่านรสชาติอาหาร เปลี่ยนร้านอร่อยให้เป็นจุดหมายปลายทาง ชวนลูกค้าทุกกลุ่มร่วมตามรอยร้านลับ ร้านเด็ดห้ามพลาด ท่องเที่ยว-ชิม-รีวิว-แชร์ ผ่านเครือข่ายศักยภาพทรู 5G ที่เร็ว แรง ครอบคลุมทั่วไทย พร้อมด้วยสิทธิประโยชน์สุดเอ็กซ์คลูซีฟที่คัดสรรมาจัดเต็มเพื่อลูกค้าทรูและดีแทค ตอบโจทย์ครบจบทุกไลฟ์สไตล์สำหรับนักท่องเที่ยวยุคดิจิทัล ตามปักหมุดร้านเด็ด และเช็คสิทธิพิเศษได้ที่ https://ttid.co/OiLl/TrueGuide2

นางฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า "ปี 2568 เป็นปีที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย มุ่งเน้นส่งเสริม "เสน่ห์ไทย" และ "เมืองน่าเที่ยว" ผ่านแนวคิด 5 MUST DO in Thailand" "Must Taste – Must Try – Must Buy – Must See – Must Seek"  และวันนี้…เรากำลังจะพาทุกท่านเข้าสู่ MUST TASTE - เสน่ห์ไทย ผ่านเมนูเด็ดต้องชิม! ปีที่ผ่านมา ททท. และทรู แนะนำร้านทรูชวนชิม ชี้พิกัดเสน่ห์ไทย Must Taste ผ่านร้านเด็ดต้องชิมของจังหวัด ทั้งร้านเด่น และร้านลับ (Hidden Gems) ใน 55 จังหวัด ซึ่งนักท่องเที่ยวก็จะได้ตามรอยร้านอร่อยการันตีโดยทรูชวนชิม และยังได้สิทธิพิเศษเพิ่ม ถ้าเป็นลูกค้าทรูและดีแทคด้วย ทรูชวนชิม ทรูทั่วไทย อร่อยทั่วทิศ ปี 2 นี้ ททท.และทรู เรามาพร้อมกับแนวคิด Tastetination ซึ่งไม่ได้เป็นแค่แคมเปญร้านอาหาร แต่เป็นการสร้างจุดหมายใหม่ผ่านรสชาติของไทย เราอยากให้ทุกคนตั้งคำถามว่า ‘เที่ยวนี้ กินไหน’ และออกเดินทางเพื่อลองชิมร้านดี ๆ ที่ซ่อนอยู่ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นร้านพื้นบ้าน วิสาหกิจชุมชน หรือร้านลับที่มีเรื่องราวของตัวเอง”ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังคงเป็นพันธมิตรหลักที่ขยายผลโครงการนี้อย่างต่อเนื่อง โดยใช้จุดแข็งของเครือข่าย การสื่อสาร และสิทธิประโยชน์ เพื่อช่วยให้ร้านดี ๆ กลายเป็น Talk of the Town”   

นายฐานพล มานะวุฒิเวช หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการตลาด บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “การท่องเที่ยวเชิงอาหาร” กำลังเป็นเทรนด์สำคัญที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเดินทางของผู้คน ทรู พร้อมสนับสนุนการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย  เชื่อมต่อทุกประสบการณ์การเดินทาง ให้ทุกทริปอร่อย ประทับใจขึ้น คุ้มค่าขึ้น ต่อยอดจากโครงการ “ทรูชวนชิม ทรูทั่วไทย อร่อยทั่วทิศ" ในปีที่ผ่านมาได้รับกระแสตอบรับอย่างดีเยี่ยม สะท้อนให้เห็นว่านักเดินทางให้ความสำคัญกับการ ‘กิน เที่ยวและรีวิว’ มากขึ้น และในปีนี้ทรู ได้ร่วมกับททท.อีกครั้ง เดินหน้าสร้างประสบการณ์การเดินทางที่ไม่ซ้ำใคร เปลี่ยนร้านอร่อยให้เป็นจุดหมายปลายทางใหม่ของการเดินทางผ่านโครงการ ‘ทรูชวนชิมฯ ปี 2’ ซึ่งขยายเส้นทางสู่ 58 จังหวัด ทั้งเมืองหลักและเมืองน่าเที่ยวทั่วไทย ภายใต้แนวคิด ‘Tastetination’ – เที่ยวนี้ กินไหน ตามรอยทรูชวนชิม’  เชื่อมโยงร้านอาหารท้องถิ่นเข้ากับนักเดินทาง และนักชิม อีกทั้งช่วยผลักดัน Soft Power ด้านอาหารไทย  ซึ่งอาหารที่ดีควรได้รับการกล่าวถึง   ร้านที่มีเสน่ห์ควรได้รับโอกาสเป็นที่รู้จัก เปลี่ยนร้านเล็ก ร้านลับ ที่มีเอกลักษณ์  ให้กลายเป็นร้านเด็ด  ร้านดัง เป็น talk of the town ผ่านการสัมผัสประสบการณ์จริงที่ผู้คนอยากบอกต่อและแชร์โมเมนต์ประทับใจสู่สายตาชาวโลกผ่านเครือข่าย ทรู5G ที่ครอบคลุมทั่วประเทศไทย เมื่อเห็นสัญลักษณ์ ‘ทรูชวนชิมฯ” จะการันตีอาหารอร่อย มีคุณภาพ และที่สำคัญมีสัญญาณทรู 5G เร็ว แรง มาพร้อมพร้อมสิทธิประโยชน์สุดเอ็กซ์คลูซีฟให้ลูกค้าทรูและดีแทค ไม่ว่าจะเป็น สวนลดเมนูพิเศษ สแกนรับเน็ต 5GB ฟรี

ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้จากความตั้งใจในการพัฒนา เครือข่ายที่ดี  ซึ่งไม่เพียงแค่เครือข่ายสัญญาณคุณภาพทรู 5G ที่ครอบคลุมทั่วประเทศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเครือข่ายลูกค้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเครือข่ายพันธมิตรด้านร้านอาหาร ที่พัก โรงแรม และระบบขนส่ง  ที่พร้อมมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้นักท่องเที่ยวตลอดการเดินทาง ตอกย้ำความมุ่งมั่นของทรู ผู้นำในการให้บริการด้านการสื่อสารที่ครอบคลุมทั่วประเทศ สิทธิประโยชน์ที่ตอบโจทย์ และโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ตลอดจนเทคโนโลยีล้ำสมัย ที่เสริมให้ทุกภาคส่วนสามารถร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทยอย่างยั่งยืน”

ไฮไลต์ของโครงการ "ทรูชวนชิม ปี 2"

  • แนะนำร้านเด็ดทั่วประเทศ ครอบคลุมทั้งร้านเด่นของท้องถิ่น ร้านลับ คาเฟ่ วิสาหกิจชุมชน โฮมสเตย์ และร้านของฝาก
  • จัดเต็มเน็ตฟรี 5GB เพียงลูกค้าทรูและดีแทคเพียงสแกนป้ายพิเศษ ณ ร้านที่ร่วมมอบสิทธิพิเศษสูงสุด 50%
  • การสนับสนุนร้านอาหารท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จัก ผ่านแพลตฟอร์มของทรูและเว็บไซต์ https://ttid.co/OiLl/TrueGuide2

เที่ยวสงกรานต์นี้ ทรูพร้อมดูแลตลอดการเดินทาง ด้วยเครือข่ายและสิทธิพิเศษ และโครงการ "ทรูชวนชิม" ปี 2 พร้อมสร้างแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ให้กับนักเดินทางและนักชิมทั่วไทย ร่วมตามรอยร้านเด็ดพร้อมรับสิทธิพิเศษได้แล้ววันนี้ผ่านแอปทรูไอดี และดีแทคแอป รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://ttid.co/OiLl/TrueGuide2

#Tastetination #ทรูชวนชิมปี2 #TruexTAT #TrueGuide #ทรูชวนชิม #ทรูทั่วไทยอร่อยทั่วทิศ

ซอฟต์พาวเวอร์อาหารไทย จุดเปลี่ยนสู่ศูนย์กลางอาหารโลก

ประเทศไทยกำลังเดินหน้าเต็มกำลังกับโครงการส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ด้านอาหารภายใต้นโยบาย "One Family One Soft Power" (OFOS) ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อยกระดับศักยภาพด้านอาหารของไทยสู่ระดับโลก ด้วยเป้าหมายชัดเจนในการทำให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางอาหารระดับโลก (Global Food Hub) ภายในปี 2570 

เมื่อเร็วๆนี้ จากที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เปิดตัวโครงการส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ สาขาอาหาร เดินหน้านโยบาย One Family One Soft Power : OFOS สอดรับการส่งเสริมให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางอาหารระดับโลก (Global Food Hub) จากนโยบายดังกล่าว นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบหมายให้ กระทรวงอุตสาหกรรม โดย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ดำเนินโครงการผ่าน 4 กิจกรรมสำคัญ ประกอบด้วย 1) ยกระดับหนึ่งหมู่บ้านหนึ่งเชฟอาหารไทย 2) การพัฒนาร้านอาหารเชฟชุมชน อาหารถิ่นอาหารไทย 3) ยกระดับศูนย์นวัตกรรมอาหารชุมชน และ 4) การส่งเสริมการใช้นวัตกรรมเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มไทยสู่ตลาดโลกอย่างยั่งยืน โดยสานต่อความสำเร็จด้วยแผนงานระยะ 4 ปี (พ.ศ. 2567-2570)

สำหรับ บรรยากาศภายในงานยังได้จัดให้มีการบูรณาการความร่วมมือระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม โดย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) กับ หน่วยงานภาคีเครือข่ายอีก 7 หน่วยงาน ประกอบด้วย 1) สำนักงานปลัดกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 2) คณะกรรมการอาชีวศึกษา 3) กรมอนามัย 4) กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน 5) สถาบันคุณสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) 6) สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ และ 7) สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เพื่อผลักดันซอฟต์พาวเวอร์อาหารไทยให้ก้าวไกลสู่ระดับโลก โดยเฉพาะในด้านการสร้างมาตรฐานคุณภาพอาหาร การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการสนับสนุนการส่งออกสินค้าอาหารไทย

วิสัยทัศน์จากนายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ที่ได้เข้าร่วมในงานเปิดตัวโครงการฯ ครั้งนี้ด้วย

 นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี  ประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษถึงความสำคัญและเป้าหมายของโครงการ โดยเน้นว่า OFOS เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการฝึกอบรมแรงงานทักษะสูง ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ของรัฐบาล

“อาหารไทยเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเรือธง  ด้วยชื่อเสียงด้านรสชาติและเอกลักษณ์ แต่สิ่งที่ยังขาดคือระบบจัดการร้านอาหารไทยและการส่งออกวัตถุดิบไปทั่วโลก” นายแพทย์สุรพงษ์กล่าว พร้อมตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2570 ประเทศไทยจะมีร้านอาหารไทยเพิ่มขึ้น

 การฝึกอบรมและสร้างเครือข่ายเชฟไทย

การฝึกอบรมเชฟ จะเริ่มต้นในปี 2568 ด้วยการอบรมรุ่นแรกจำนวน 1,500 คน และเพิ่มขึ้นเป็น 17,000 คนในปีเดียวกัน รวมถึงเป้าหมายสูงสุด คาดสร้างงานและอาชีพกว่า 75,000 ตำแหน่ง เพิ่มรายได้ให้กับเศรษฐกิจของประเทศกว่า 3,500 ล้านบาท  ภายในปี 2570 ซึ่งหลักสูตรอบรมจะใช้เวลาเพียง 28 วัน มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะปฏิบัติจริง โดยไม่เน้น     วุฒิการศึกษา แต่สร้างความพร้อมในการทำงานจริงทันทีหลังจบการอบรม เพื่อสนับสนุนการเติบโตของร้านอาหารไทยในต่างประเทศ รัฐบาลจะสร้างเครือข่ายความร่วมมือผ่านสถานทูตและทูตพาณิชย์ในประเทศต่างๆ รวมถึงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลออนไลน์เพื่อให้เจ้าของร้านอาหารสามารถค้นหาและติดต่อเชฟไทยได้โดยตรง

นวัตกรรมเพื่ออนาคต: อาหารไทยสู่ตลาดโลก

นอกจากการพัฒนาคน โครงการยังมีแผนที่จะส่งเสริมการส่งออกอาหารสำเร็จรูปพร้อมทานที่ผ่านกระบวนการถนอมอาหารด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ทำให้สามารถเก็บรักษาได้ยาวนานถึง 1-2 ปี ซึ่งจะช่วยขยายตลาดอาหารไทยให้กว้างขึ้นกว่าเดิม

ก้าวสำคัญสู่เศรษฐกิจใหม่

นายแพทย์สุรพงษ์ กล่าวว่า การเปิดตัวโครงส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ สาขาอาหาร ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ เรากำลังเดินหน้าสร้างซอฟต์พาวเวอร์ด้านอาหารไทยให้เป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย ทั้งการสร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างโอกาสให้กับคนไทยทุกคน

สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ สามารถติดต่อผ่านกองทุนหมู่บ้านหรือเว็บไซต์ THACCA (Thailand Creative Content Agency) ซึ่งจะเปิดรับสมัครอย่างเป็นทางการในปี 2568

พาณิชย์ลุยถกผู้บริหาร Overhill Farms Inc. ผู้ผลิตอาหารรายใหญ่จากไทย ดันซอฟต์พาวเวอร์อาหารไทยในตลาดสหรัฐฯ 

พาณิชย์เชิงรุก! ลุยถกผู้บริหาร Overhill Farms Inc. ผู้ผลิตอาหารรายใหญ่จากไทย ดันซอฟต์พาวเวอร์อาหารไทยในตลาดสหรัฐฯ 

เมื่อวันที่ 21 พ.ย.67 นายวรวงศ์ รามางกูร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ได้นำคณะกระทรวงพาณิชย์ มาเยือนที่นครลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา ในช่วงที่ผ่านมา โดยได้หารือกับผู้นำเข้ารายใหญ่และทูตพาณิชย์ในภูมิภาคอเมริกาและลาตินอเมริกา เพื่อติดตามสถานการณ์การค้าในตลาดสหรัฐฯ ทำงานเป็นทีมพาณิชย์เชิงรุก ตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อส่งเสริมปริมาณการส่งออกให้กับผู้ประกอบการไทย พร้อมยกระดับสินค้าไทย อาหารไทยให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นในตลาดต่างประเทศ

โดยตนพร้อมด้วย นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และคณะ ได้เดินทางเข้าเยี่ยมชมโรงงานและหารือกับผู้บริหาร บริษัท Overhill Farms Inc. ซึ่งเป็นธุรกิจในเครือบริษัท CP Foods North America ทำธุรกิจ ผลิตอาหารแช่เยือกแข็ง โดยมี น.ส.ศรีสุดา ถวาย ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ ให้การต้อนรับว่า ได้เดินทางมาเยี่ยมชมการผลิตไก่ทอดกึ่งสุกที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการทำ Orange chicken ซึ่งเป็นเมนูยอดนิยมและขายดีที่สุดของ Panda Express โดยทางโรงงานฯสามารถผลิตได้ 5,000 ปอนด์/ชั่วโมง เพื่อป้อน Panda Express ในฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ ทั้งหมด รวม Alaska และ Hawaii และการผลิตอาหารไทยบรรจุกล่อง (Authentic Asia) เช่น ข้าวซอยไก่ ข้าวราดกระเพราเนื้อ และผัดขี้เมา ส่งขายในห้าง Walmart

“กระทรวงพาณิชย์ ภายใต้การนำของนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ พร้อมทำงานเชิงรุกแก้ไขปัญหาให้กับผู้ประกอบการอย่างเต็มที่ ตามนโยบายของรัฐบาล โดยได้ใช้โอกาสนี้ในการหารือแนวทางความร่วมมือในการส่งเสริมการขยายตลาดสินค้าอาหารของไทย โดยมี CP เป็นบริษัทนำร่องในการใช้สินค้าอาหารเป็น Soft Power ในการทำให้ผู้บริโภคสหรัฐฯ รู้จักอาหารไทย และได้สอบถามถึงสถานการณ์การค้าและการส่งออกสินค้าไทยมาขายในตลาด Mainstream ในสหรัฐฯ ว่ามีปัญหาอุปสรรคอะไรหรือไม่ และต้องการให้กระทรวงพาณิชย์ช่วยเหลืออะไร ซึ่งจะได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด พร้อมเร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป“ นายวรวงศ์ รามางกูร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์กล่าว

สำหรับบริษัท Overhill Farms Inc. มีโรงงานผลิตอาหารในสหรัฐฯ 4 โรง ประกอบด้วย Overhill Farms ในรัฐแคลิฟอร์เนีย (2 โรงงาน) และ Bellisio กับ FSI ในรัฐโอไฮโอ (2 โรงงาน) โดยผลิตให้แก่สินค้าที่เป็น Private Label , Retail Deli , Foodserivce , และ B2B Food เริ่มธุรกิจในปี 1968 (2511) ภายใต้ชื่อ IBM Food ต่อมาในปี 2016 (2559) บริษัท CP Foods ประเทศไทยซื้อ Overhill Farms และในปี 2019 (2562) รวม Overhill Farms เข้ากับ Frozen Specialties Inc. (FSI) และกลายเป็น CP North America มี Anat Julintron เป็น CEO & Vice Chairman มีรายได้ประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2021 (2564)

ส่วนธุรกิจของบริษัท CP ในตลาดอเมริกาเหนือ (สหรัฐฯ และแคนาดา) แบ่งออกเป็น 4 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.ธุรกิจนำเข้ากุ้ง ตั้งอยู่ในรัฐ Maryland โดยสหรัฐฯ เป็นผู้นำเข้ากุ้งรายใหญ่ที่สุดในโลก 2.Bellisio Foods ผลิตสินค้าอาหารแช่แข็งพร้อมรับประทาน โรงงานตั้งอยู่ในรัฐ Ohio 3.Overhill Farms ผลิตสินค้าอาหารแช่แข็งพร้อมรับประทาน ทั้งในรูปแบบ Co-manufacturing ผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ในสหรัฐฯ

#กระทรวงพาณิชย์ #อาหารไทย #ข่าววันนี้ #ซอฟต์พาวเวอร์ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

‘มิตรผล’ ร่วมปั้นเชฟมืออาชีพ มอบทุนการศึกษากว่า 1 ล้านบาทสนับสนุนวงการอาหารไทยก้าวสู่ระดับสากล

มิตรผล ผู้ผลิตน้ำตาลอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 3 ของโลก เดินหน้าต่อยอดโครงการ Future Chef of the World 2024 จากการผนึกกำลังร่วมกับ เดอะ ฟู้ด สคูล แบงคอก ภายใต้กลุ่มบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนการประกอบอาหารนานาชาติชั้นนำ ใจกลางกรุงฯ และบริษัท เบทาโกร จํากัด (มหาชน) เพื่อเฟ้นหาผู้ที่มีใจรักในการทำอาหาร สู่การเป็นเชฟระดับมืออาชีพหน้าใหม่ พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับวงการอาหารในประเทศไทย โดยจัดพิธีมอบทุนการศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรการประกอบอาหารและขนมอบมูลค่ารวมกว่า 1 ล้านบาท ณ สถาบันเดอะ ฟู้ด สคูล แบงคอก  

ภายในงานได้รับเกียรติจาก นายวีระเจตน์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจน้ำตาลประเทศไทย พลังงาน และธุรกิจใหม่ กลุ่มมิตรผลร่วมมอบทุนการศึกษาจำนวน 2 ทุน ทุนละ 534,250 บาท ให้แก่ คุณศุภิสรา กิจวัฒนชัย – ผู้ชนะทุนการศึกษาหลักสูตรศิลปะการทำขนมปังและเบเกอรีนานาชาติ โดยสถาบัน The Food School Bangkok และหลักสูตรการทำเบเกอรีและขนมอบสไตล์อิตาเลียน โดยสถาบัน ALMA – The School of Italian Culinary Arts และคุณเพชราภรณ์ ลาภจรัสแสงโรจน์ – ผู้ชนะทุนการศึกษาหลักสูตรการทำเบเกอรีและขนมอบสไตล์อิตาเลียน โดยสถาบัน ALMA – The School of Italian Culinary Arts  

นายวีระเจตน์ ว่องกุศลกิจ เปิดเผยว่า “ตลอดระยะเวลากว่า 67 ปี ที่มิตรผลเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย เรามุ่งมั่นพัฒนาองค์ความรู้ ผสานความเชี่ยวชาญและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลไทย มาอย่างต่อเนื่อง ด้วยความตั้งใจที่อยากเห็นทุกคนได้เติบโตเคียงข้างกันอย่างยั่งยืน ตามแนวคิด “ร่วมอยู่ ร่วมเจริญ” เราเล็งเห็นถึงศักยภาพของมืออาชีพในอุตสาหกรรมอาหารของประเทศไทย และมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับมาตรฐานของอุตสาหกรรมนี้ให้ก้าวสู่ระดับสากล ผ่านโครงการ “Future Chef of the World 2024” โดยทางมิตรผลหวังว่าโครงการนี้จะเป็นการสร้างโอกาสอันดีให้แก่เชฟรุ่นใหม่ที่มีพรสวรรค์ ได้พัฒนาศักยภาพให้ก้าวสู่การเป็นเชฟและผู้ประกอบการในธุรกิจด้านอาหารระดับมืออาชีพที่พร้อมสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านอาหารใหม่ ๆ เพื่อร่วมยกระดับวงการอุตสาหกรรมอาหารของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมส่งต่อแรงบันดาลใจดี ๆ เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนให้กับเชฟหน้าใหม่ในวงการอาหารต่อไปในอนาคต”

มิตรผล พร้อมจุดประกายไอเดียใหม่ ๆ และตอบโจทย์ทุกความต้องการในทุกมิติให้กับผู้บริโภค คู่ค้า และพันธมิตร ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีอาหารที่ไม่มีวันสิ้นสุด สำหรับผู้ที่สนใจคอร์สเรียนจากทางสถาบันฯ สามารถติดตามกิจกรรมพิเศษจากมิตรผลได้เร็วๆนี้ที่ช่องทางเฟซบุ๊ก : Mitr Phol Sugar

 

คู่ค้าทั่วโลกชื่นชอบ Soft Power อาหารไทย เยี่ยมชมบูธซีพีเอฟ งาน THAIFEX-ANUGA ASIA 2024 คับคั่ง

คณะทูตนานาประเทศ  คู่ค้า และผู้นำหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เยี่ยมชมและชื่นชอบบูธ ของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมแสดง ในงาน THAIFEX-ANUGA ASIA 2024 แนวคิด ครัวของโลกด้วยนวัตกรรมความยั่งยืน หรือ  "Kitchen of the world with Sustainovation"  ด้านนวัตกรรมอาหาร ตอบเทรนด์โลกทั้งด้านการส่งเสริมสุขภาพที่ดี รสชาติอร่อย พร้อมรับผิดชอบต่อสังคมและใส่ใจสิ่งแวดล้อม ส่งออก Soft Power อาหารไทยสู่ผู้บริโภคทั่วโลก

ตั้งแต่วันเปิดงาน นวัตกรรมอาหารที่จัดแสดงทั้ง 6 โซน ได้สร้างความประทับใจให้กับรัฐมนตรี  ผู้บริหารจากหน่วยงานรัฐ และลูกค้าจากทั่วโลกที่มาเยี่ยมชมบูธตั้งแต่วันเปิดงาน ทั้ง นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์   นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ดร.วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการ หอการค้าไทย และประธานคณะกรรมการอาหารแปรรูปและอาหารแห่งอนาคต   รวมทั้งผู้บริหารในเครือฯ นางมาริษา เจียรวนนท์ ผู้ก่อตั้งและประธานโครงการเชฟแคร์ส นายธนิศร์ เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจค้าส่งแม็คโคร ประเทศไทย เป็นต้น

นอกจากนี้ บูธซีพีเอฟได้รับเสียงตอบรับที่ดีและเป็นที่ชื่นชอบของผู้เข้าร่วมงานทั้งคู่ค้า และคณะทูตนานาชาติจากหลายประเทศ ได้แก่ นายฌ็อง-โกลด ปวงเบิฟ (Jean-Claude Poimbœuf) เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย นายปาร์ค ยงมิน (Park Yongmin) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย นายกุสตาโบ อัลแบร์โต มาร์ติโน (Gustavo Alberto Martino) เอกอัครราชทูตอาร์เจนตินา ประจำประเทศไทย นายอาร์ตูร์ ดมอฮอฟสกี (Artur Dmochowski) เอกอัครราชทูตโปแลนด์ประจำประเทศไทย นายเปาโล ดีโอนีซี (Paolo Dionisi) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิตาลีประจำประเทศไทย นายโจนาธาน เดล คิงส์ (HE. Mr. Jonathan Dale Kings) เอกอัครราชทูตนิวซีแลนด์ประจำประเทศไทย นายเดวิด แฮนเซ็น (David Hansen) อุปทูตฯ สถานเอกอัครราชทูตชิลีประจำประเทศไทย พร้อมด้วยท่านทูตพาณิชย์จากสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย และสถานเอกอัครราชทูตสิงคโปร์ประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมชมบูธเพื่อร่วมหารือโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ทั้งการส่งออกอาหารไทยไปทั่วโลก และนำเข้าผลิตภัณฑ์รสชาติอร่อยจากนานาประเทศ

อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า อรมน ทรัพย์ทวีธรรม  กล่าวว่า “นวัตกรรมอาหารของซีพีเอฟ มีความน่าสนใจ ด้วยการเป็นSuperfood ที่คัดสรรมาอย่างดี ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า รวมถึงมีบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงได้รับตราสัญลักษณ์ไทยซีเล็คซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่กระทรวงพานิชย์มอบให้กับผลิตภัณฑ์อาหารที่จะสามารถช่วยส่งเสริมชื่อเสียงให้กับประเทศ และเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก”

บูธซีพีเอฟ ให้ความสำคัญกับการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีทันสมัย ผลิตอาหารได้มาตรฐาน มีคุณภาพ รสชาติอร่อย และหลากหลายเมนู ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจถึงสุขภาพ และความยั่งยืนมากขึ้น  โดยมีผลิตภัณฑ์อาหารโดดเด่นหลากหลาย นำโดย ผลิตภัณฑ์ไก่ซีพีมาตรฐานระดับอวกาศ Space Safety Standard ซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ความปลอดภัยด้านอาหารขององค์การ NASA  รวมถึงสินค้า Thai Cube  จากแบรนด์ Kitchen Joy สินค้าแบรนด์ CP Authentic Asia ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของซีพีเอฟ ในการโปรโมตสินค้าอาหารไทย และอาหารเอเชีย สู่ผู้บริโภคทั่วโลก

งาน THAIFEX – Anuga Asia 2024 จัดถึงวันที่ 1 มิถุนายน 2567 นี้ โดยในงานวันสุดท้ายจะเปิดให้ประชาชนและผู้สนใจไปเลือกซื้อสินค้าคุณภาพราคาพิเศษ ที่บูธซีพีเอฟ ได้ที่หมายเลข 2-U01 อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 2 ศูนย์การค้าอิมแพ็ค เมืองทองธานี ในเวลา 10.00-20.00 น.