"สนค." วิเคราะห์การค้า Fair Trade โลกโตต่อเนื่องตามเทรนด์การพัฒนาที่ยั่งยืน

สนค.ศึกษารูปแบบการค้าที่เป็นธรรม (Fair Trade) ที่หลายประเทศทั่วโลกมีการนำมาใช้ ชี้แม้ตลาดยังโตน้อยแต่จับตาโตต่อเนื่องตามเทรนด์การพัฒนาที่ยั่งยืน หวังเป็นช่องทางสร้างโอกาสใหม่ให้สินค้าเกษตรไทยมีมูลค่าสูงขึ้น ตลอดจนเป็นเครื่องมือสร้างความเป็นธรรมและโปร่งใสต่อการค้าสินค้าเกษตร 

เมื่อวันที่ 13 ม.ค.68 นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค. ได้ศึกษาและติดตามสถานการณ์ มาตรการ และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการค้า เพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการไทยใช้ประโยชน์ในการสร้างโอกาสและปรับตัวต่อการค้า พบว่า ปัจจุบันหลายประเทศเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการเสริมสร้างระบบการค้าที่เป็นธรรม (Fair Trade) ที่จะช่วยสร้าง
ความโปร่งใสในกระบวนการการค้า ทำให้เกษตรกรและผู้ผลิตได้ผลตอบแทนที่เหมาะสม รวมถึงผู้บริโภคได้รับสินค้าที่มีคุณภาพ ตลอดจนตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืนใน 3 มิติ ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม 

สำหรับการค้าที่เป็นธรรม (Fair Trade) เป็นแนวคิดที่นิยามโดย The International Fair Trade Charter  หมายถึง ความร่วมมือทางการค้าที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเจรจา ความโปร่งใส และความเคารพซึ่งกันและกัน เพื่อสร้างความเสมอภาคทางการค้าระหว่างประเทศ เน้นการเพิ่มมูลค่าทางการค้าให้แก่สินค้า การจัดสรรผลประโยชน์อย่างเป็นธรรมตลอดห่วงโซ่คุณค่า และการส่งเสริมการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การกำหนดราคาขั้นต่ำที่เป็นธรรม การจัดสรรเงินพิเศษเพื่อพัฒนาชุมชน การสร้าง
ความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทาน และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกร เป็นต้น 

โดยข้อมูลจากองค์กรแฟร์เทรดสากล (Fairtrade International) เปิดเผยว่า ในปี ค.ศ. 2022 ประเทศที่มีผู้ผลิตที่ได้รับการรับรองตราสัญลักษณ์ Fairtrade มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ โกตดิวัวร์ เปรู โคลอมเบีย อินเดีย และเคนยา และสินค้าที่ได้รับการรับรอง Fairtrade ที่มีปริมาณการค้าสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กล้วย (730,176 ตัน) โกโก้ (232,847 ตัน) กาแฟ (231,188 ตัน) อ้อยน้ำตาล (169,042 ตัน) และผลไม้สด (102,698 ตัน)  มูลค่าการค้าที่เกษตรกรหรือผู้ผลิตได้รับเพิ่มจากราคาขายสินค้าปกติ (Fairtrade Premium) คิดเป็นจำนวนเงิน 222.8 ล้านยูโร (หรือ 230.3 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นประมาณ 7,820.8 ล้านบาท)   เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 10.5% มีการเติบโต CAGR ประมาณ 4.4% ต่อปี โดยมาจากพื้นที่ (1) ลาตินอเมริกันและแคริบเบียน 62.3% (2) แอฟริกา (31.1%) และ (3) เอเชีย (6.6%) สำหรับสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม (Fairtrade Premium) สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กาแฟ (สัดส่วน 42.9%, 95.6 ล้านยูโร) โกโก้ (23.7%, 52.8 ล้านยูโร) กล้วย (17.1%, 38.2 ล้านยูโร) อ้อยน้ำตาล (4.6%, 10.3 ล้านยูโร) ดอกไม้และพืชพันธุ์ (3.4%, 7.6 ล้านยูโร) และอื่นๆ (8.3%, 18.3 ล้านยูโร) ตลาดที่มีมูลค่าการค้าปลีกสินค้าที่ได้รับการรับรอง Fairtrade สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ สหราชอาณาจักร เยอรมนี และสหรัฐอเมริกา 

สำหรับประเทศไทย ในปี ค.ศ.2022 มีสินค้าที่ได้รับการรับรอง Fairtrade จาก FLOCERT  จำนวน 3 ชนิด ได้แก่ ข้าว (95.3%) ผลไม้สด (3.3%) และ สมุนไพร ชาสมุนไพร และเครื่องเทศ (1.4%) โดยสามารถสร้าง Fairtrade Premium เพิ่มได้กว่า 220,707 ยูโร (หรือ 228,168.4 เหรียญสหรัฐ  คิดเป็นประมาณ  7.7 ล้านบาท)  (ปริมาณสินค้า  7,270.0 ตัน หรือ 7,270,000 กิโลกรัม) จากข้าว (61.7%) และผลไม้สด (38.3%) ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ประกอบการด้านการเกษตรที่ขึ้นทะเบียนจำนวน 35 ราย 

ทั้งนี้ตัวอย่างประเทศที่นำแนวคิด Fair Trade มาใช้แล้วได้แก่ สหรัฐอเมริกา ออกข้อบังคับเรื่องความโปร่งใสในการทำสัญญาและการแข่งขันของผู้เลี้ยงสัตว์ปีก (Transparency in Poultry Grower Contracting and Tournaments) โดยกำหนดให้เปิดเผยข้อมูลผู้เลี้ยงและผู้ค้าสัตว์ปีกมีชีวิต รวมถึงระบบการชำระเงินและการปรับปรุงทุน (Poultry Grower Payment Systems and Capital Improvement Systems) (อยู่ระหว่างปรับปรุงหลังจากรับฟังข้อคิดเห็นเมื่อเดือนสิงหาคม 2567) 

สหราชอาณาจักร ประกาศแผนส่งเสริมความเป็นธรรมในห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตร ภายใต้กฎหมาย Agriculture Act 2020 โดยกำหนดเงื่อนไขที่ชัดเจนในสัญญาระหว่างผู้ผลิตและผู้ซื้อ เช่น การยกเลิก ระยะเวลาของสัญญา และการกำหนดราคาที่โปร่งใส รวมถึงได้ออกข้อบังคับ Fair Dealing Obligations (Milk) Regulations 2024 (FDOM24) ใช้ในสินค้านมแล้ว และอยู่ระหว่างดำเนินการออกข้อบังคับสำหรับสุกร และไข่ 

สหภาพยุโรป เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ได้แก้ไขระเบียบองค์กรตลาดร่วมด้านสินค้าเกษตร (Common Market Organizations: CMOs) และร่างกฎระเบียบใหม่ว่าด้วยการบังคับใช้ข้ามพรมแดนเพื่อต่อต้านการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม โดยให้มีการทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรและจัดตั้งกลไกไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างเกษตรกรและผู้ซื้อ เพื่อลดความขัดแย้งและสร้างความเป็นธรรมในการเจรจา 

ฝรั่งเศส ออกกฎหมาย EGAlim3 จะมีผลบังคับใช้เดือนเมษายน 2568 เพื่อสร้างสมดุลในความสัมพันธ์ระหว่างเกษตรกรผู้ผลิต (Suppliers) กับผู้จัดจำหน่าย (Distributors) ในอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร โดยเฉพาะการคุ้มครองเกษตรกรผู้ผลิตกับผู้ค้าปลีกขนาดใหญ่ เช่น กำหนดช่วงเวลาการเจรจาระหว่างเกษตรกรผู้ผลิตกับผู้จัดจำหน่ายทุกปี (1 ธันวาคม – 1 มีนาคม) หากไม่เป็นไปในช่วงเวลาดังกล่าว สามารถ
บอกเลิกสัญญาได้โดยถือว่าไม่ผิดสัญญา นอกจากนี้ กำหนดให้สถาบันการศึกษาและสุขภาพของรัฐ ต้องจัดซื้อผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนอย่างน้อย 50% รวมถึงสินค้า Fair Trade 

การส่งเสริมการค้า Fair Trade เป็นโอกาสทางการค้าที่สอดรับกับเทรนด์การค้ายั่งยืน โดยข้อมูลการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภค Voice of the Consumer Survey 2024 จาก PricewaterhouseCoopers รายงานว่า ปัจจัยด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคเลือกสินค้า ดังนี้ 
• ผู้บริโภคยินดีจ่ายราคาสูงกว่าค่าเฉลี่ย 9.7% สำหรับสินค้าที่ผลิตหรือจัดหามาอย่างยั่งยืน 
• ผู้บริโภค 20% เลือกสินค้าจากผู้ประกอบการที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม และ 17% เลือกสินค้าจากการมีส่วนร่วมของชุมชน 
• ผู้บริโภคเต็มใจจ่ายสินค้าที่ผลิตจากผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียงด้านจริยธรรม เช่น สิทธิมนุษยชน เป็นต้น สูงกว่าราคาเฉลี่ยของสินค้าปกติที่ประมาณ 1-5%

ผอ.สนค.กล่าวทิ้งท้ายว่า ปัจจุบันการค้า Fair Trade ยังเป็นการค้าเฉพาะกลุ่ม แต่มีความสอดคล้องกับกระแสโลกเรื่องความยั่งยืน จึงคาดว่าในอนาคตการค้า Fair Trade จะเติบโตเพิ่มขึ้น เป็นโอกาสของเกษตรกรและผู้ประกอบการไทยที่จะขายสินค้าเกษตรได้ในราคาสูงขึ้น ทั้งนี้ การผลักดันให้เกิดแนวทางสนับสนุนการค้า Fair Trade และสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการผลิต การค้า และการบริโภคสินค้าที่มาจากการค้าที่เป็นธรรมไม่เพียงช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่นำไปสู่ความเท่าเทียมในสังคม การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ตลอดจนการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภาคเกษตรกรรม
 

#สนค #ข่าววันนี้ #FairTrade #การค้า #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

"สนค." ชวนถอดรหัสการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าไทย-จีน

"สนค." ชวนถอดรหัสการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าระหว่างไทยกับจีนด้วย Data Analytics Dashboard บนเว็บไซต์ คิดค้า.com พบว่า ไทยใช้สิทธิประโยชน์ในการส่งออกทุเรียนไทยเป็นมูลค่าสูงที่สุด ขณะที่จีนใช้สิทธิประโยชน์ส่งออกรถยนต์ไฟฟ้ากลับมาที่ไทยภายใต้กรอบความตกลงทางการค้าอาเซียน-จีน

เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2567 นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค. ได้วิเคราะห์สถานการณ์การขอใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าระหว่างไทยและจีนในปี 2566 เพื่อวิเคราะห์ความคุ้มค่าของการใช้ประโยชน์จากความตกลงทางการค้าที่มีอยู่ พร้อมแนะให้ผู้ประกอบการไทยใช้ประโยชน์จากความตกลงทางการค้าให้มากขึ้น ปัจจุบันไทยและจีนอยู่ภายใต้ความตกลงทางการค้าร่วมกันทั้งหมด 2 ฉบับได้แก่ ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2547 โดยลดอัตราภาษีนำเข้าระหว่างกันครอบคลุมสินค้ามากกว่าร้อยละ 90 ของรายการสินค้าที่มีการค้าระหว่างกัน (Tariff lines) และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา โดยลดอัตราภาษีนำเข้าระหว่างประเทศสมาชิกครอบคลุมสินค้าร้อยละ 65 ของรายการสินค้าที่มีการค้าระหว่างกัน

โดย สนค. พบว่าสัดส่วนมูลค่าการขอใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าต่อมูลค่าการส่งออก/นำเข้าของไทยสูงกว่าจีน แต่หากพิจารณาเฉพาะมูลค่าขอใช้สิทธิพบว่าจีนมีการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าในมูลค่าที่สูงกว่าไทย จากข้อมูลการขอใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าปี 2566 ไทยมีมูลค่าการขอใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้า
ที่ร้อยละ 60 ของมูลค่าการส่งออกรวม เทียบกับจีนที่ขอใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าอยู่ที่ร้อยละ 32 อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในมิติของมูลค่า จีนมีมูลค่าการขอใช้สิทธิประโยชน์ 22,905 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่ามูลค่าการขอใช้สิทธิประโยชน์ของไทย ซึ่งอยู่ที่ 20,578 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบสินค้าที่มีมูลค่าการขอใช้สิทธิสูงที่สุดของแต่ละประเทศ พบว่าไทยใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าในสินค้าทุเรียนสดสูงที่สุด ขณะที่จีนใช้สิทธิประโยชน์สูงที่สุดในรถยนต์ไฟฟ้า โดยประเทศไทยใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าในการส่งออกทุเรียน (HS 0810.60) เป็นมูลค่า 4,021 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 100 ของมูลค่าส่งออกสินค้าดังกล่าว ขณะเดียวกันจีนใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าส่งออกรถยนต์ไฟฟ้า (HS 8703.80) เป็นมูลค่า 2,464 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 97 ของมูลค่าการนำเข้าสินค้าดังกล่าวจากจีน ดังนั้น หากเปรียบเทียบเฉพาะสินค้าสำคัญอันดับ 1 ของทั้งสองประเทศ ไทยสามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าในมูลค่าที่สูงกว่าจีน

ทั้งนี้ความตกลงทางการค้าระหว่างไทย-จีนมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันของไทย โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าเกษตรที่ไทยมีความได้เปรียบ เช่น ทุเรียน และมันสำปะหลัง และจะเห็นได้ว่าไทยสามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงทางการค้าระหว่างไทยและจีนได้ค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตาม ไทยยังมีโอกาสที่จะขยายการใช้ประโยชน์จากสิทธิประโยชน์ทางการค้าได้มากขึ้น ด้วยการสร้างความเข้าใจและการรับรู้ให้กับผู้ส่งออกไทยเกี่ยวกับการใช้สิทธิประโยชน์จากกรอบความตกลงทางการค้า รวมถึงการใช้ Data Analytics Dashboard บนเว็บไซต์คิดค้า.com เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์และวางแผนทางการค้าได้อย่างแม่นยำ

ผอ.สนค. ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า เว็บไซต์ “คิดค้า.com” เป็นศูนย์รวมข้อมูลเศรษฐกิจการค้าเชิงลึกที่สำคัญของประเทศ ประกอบด้วยข้อมูลเชิงลึกรายสินค้า รวมทั้งมิติการค้าทั้งระหว่างประเทศและภายในประเทศ เพื่อเป็นเครื่องมือไว้ใช้งานวิเคราะห์ติดตามสถานการณ์การค้าได้อย่างเจาะลึกและทันต่อสถานการณ์การค้าในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยใช้แนวคิด Big Data Analytics วิเคราะห์และประมวลผลหลายมิติ หลากมุมมอง โดย “คิดค้า.com” มี Data Analytics Dashboard เผยแพร่แล้วรวม 4 หัวข้อ ได้แก่ ข้อมูลเชิงลึกด้านการค้าสินค้าเกษตร (Agriculture Trade Dashboard) ข้อมูลเชิงลึกด้านเศรษฐกิจระดับจังหวัด (Province Economy Dashboard) ข้อมูลเชิงลึกด้านเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ (Global Trade and Economy Dashboard) และข้อมูลเชิงลึกด้านโลจิสติกส์ (Logistic Dashboard) 

#สนค #ข่าววันนี้ #เอฟทีเอ #จีน #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

 

สนค.ถกเข้มพัฒนาแดชบอร์ดธุรกิจบริการโลจิสติกส์สู่การเป็นศูนย์กลางระบบฐานข้อมูลด้านธุรกิจโลจิสติกส์ของประเทศ

สนค.ถกเข้มพัฒนาแดชบอร์ดธุรกิจบริการโลจิสติกส์สู่การเป็นศูนย์กลางระบบฐานข้อมูลด้านธุรกิจโลจิสติกส์ของประเทศ

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังเป็นประธานในการประชุมเพื่อรับฟังความเห็นเกี่ยวกับแดชบอร์ดธุรกิจบริการโลจิสติกส์ (2 สิงหาคม 2567) ว่าหนึ่งในภารกิจสำคัญของ สนค. คือ การเป็นศูนย์กลางระบบข้อมูลสารสนเทศเชิงลึกด้านเศรษฐกิจการค้า โดยปัจจุบัน สนค. เผยแพร่ข้อมูลด้านเศรษฐกิจการค้าบนเว็บไซต์ คิดค้า.com เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงข้อมูลเศรษฐกิจการค้าที่สำคัญของประเทศได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น 

โดย สนค.ได้จัดทำแดชบอร์ดธุรกิจบริการโลจิสติกส์ เพื่อรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับภาคบริการโลจิสติกส์อย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น ดัชนีค่าบริการขนส่งสินค้าทางถนน จำนวน ความสามารถและผลประกอบการธุรกิจโลจิสติกส์ในไทย สถิติการนำเข้าส่งออกผ่านการขนส่งรูปแบบต่าง ๆ ตลอดจนสถานการณ์แรงงานด้านธุรกิจบริการโลจิสติกส์ เป็นต้น สำหรับนำไปใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์ วางแผน และกำหนดนโยบาย แผนงาน และกลยุทธ์ทางธุรกิจ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์และบริบทด้านการแข่งขันของโลก โดยมุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายผู้ใช้ข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์และกำหนดนโยบาย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาควิชาการ ทั้งนี้ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการปรับปรุงเพื่อให้ข้อมูลมีความทันสมัยและสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้งาน โดยได้เชิญหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนกว่า 70 หน่วยงาน เข้าร่วมการหารือถึงการพัฒนาและปรับปรุงฐานข้อมูลดังกล่าว โดยคาดหวังว่าแดชบอร์ดธุรกิจบริการโลจิสติกส์นี้จะเป็นศูนย์กลางระบบฐานข้อมูลด้านธุรกิจโลจิสติกส์ของประเทศ ที่มีความครอบคลุมรอบด้าน ตรงตามความต้องการ และเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งานมากที่สุด 

ทั้งนี้จากสถิติการจดทะเบียนนิติบุคคลกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าของผู้ประกอบการธุรกิจโลจิสติกส์ พบว่า ปัจจุบัน มีจำนวนนิติบุคคลรวม 43,595 ราย โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 มีจำนวนนิติบุคคลเพิ่มขึ้นสุทธิ 1,548 ราย ซึ่งชี้ให้เห็นว่าผู้ประกอบการโลจิสติกส์ยังเพิ่มขึ้น แต่ต้นทุนโลจิสติกส์ของไทยยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก โดยในปี 2565 ต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศไทยมีมูลค่ารวม 2.382 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 13.7 ต่อ GDP และคาดการณ์ว่า ในปี 2566 สัดส่วนต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศไทยจะอยู่ที่ร้อยละ 13.3 - 13.8 ต่อ GDP อย่างไรก็ดี ข้อมูลย้อนหลังที่แสดงในแดชบอร์ดธุรกิจบริการโลจิสติกส์ ของ สนค. ยังคงชี้ให้เห็นว่า สัดส่วนต้นทุนโลจิสติกส์ต่อ GDP ของไทย มีแนวโน้มลดลงในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งเคยมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 16.71 ในปี 2545 และสูงที่สุดในปี 2543 เมื่อเริ่มจัดทำข้อมูล ที่ระดับร้อยละ 19.47 ต่อ GDP แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการในการบริหารจัดการเพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์ของไทยในระดับหนึ่ง ถึงกระนั้น การจัดอันดับดัชนีวัดประสิทธิภาพโลจิสติกส์ระหว่างประเทศของ World Bank ในปี 2566 ไทยอยู่อันดับที่ 34 จาก 139 ประเทศทั่วโลก แสดงให้เห็นว่า ไทยยังมีช่องว่างในการพัฒนาธุรกิจโลจิสติกส์ และจำเป็นต้องมีข้อมูลเพื่อช่วยพัฒนาธุรกิจบริการโลจิสติกส์ให้เข้มแข็งและแข่งขันได้

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า การประชุมรับฟังความเห็นครั้งนี้สำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ในการสร้างการรับรู้ และได้รับความเห็นที่มีประโยชน์ต่อการปรับปรุงพัฒนาแดชบอร์ดธุรกิจบริการโลจิสติกส์ และการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องของ สนค. ซึ่ง สนค. จะนำความเห็นที่ได้รับในการประชุมครั้งนี้ มาใช้พัฒนาแดชบอร์ดธุรกิจบริการโลจิสติกส์ให้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้งานและมีประสิทธิภาพสูงขึ้นต่อไป ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถเข้าใช้งานแดชบอร์ดดังกล่าวได้ผ่านทางเว็บไซต์ คิดค้า.com

#ข่าววันนี้ #สนค #แดชบอร์ด #โลจิสติกส์

 

 

สนค.ชี้ภาพอนาคต Plant-Based Food เพิ่มมูลค่า เพิ่มรายได้ หนุนเศรษฐกิจยั่งยืน

"สนค." ชี้ภาพอนาคต Plant-Based Food เพิ่มมูลค่า เพิ่มรายได้ หนุนเศรษฐกิจยั่งยืน

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังงานสัมมนานำเสนอผลการจัดทำภาพอนาคตสินค้าอาหารจากพืช (Plant-Based Food) ภายใต้โครงการจัดทำภาพอนาคตสินค้าเกษตรสำคัญของประเทศไทย เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2567 ณ โรงแรม
สวิสโซเทล กรุงเทพ รัชดา โดยสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ร่วมกับ มูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) ดำเนินโครงการฯ เพื่อชี้ให้เห็นถึงภาพอนาคตสินค้า Plant-Based Food ของไทย ซึ่งจะทำให้สามารถวางแผนและออกแบบนโยบายได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ

โดยสินค้า Plant-Based Food มีแนวโน้มเติบโตเร็วทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ข้อมูลจาก Euromonitor ระบุว่า ในช่วงปี 2562 – 2567 มูลค่าตลาด Plant-Based Food ทั่วโลก มีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ร้อยละ 10.5 และในปี 2567 คาดว่าจะมีมูลค่าตลาดประมาณ 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับประเทศไทย Krungthai Compass (2020) คาดการณ์ว่า ในปี 2567 จะมีมูลค่า 45,000 ล้านบาท มีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้น (CAGR) อยู่ที่ร้อยละ 10 ใกล้เคียงกับอัตราการเติบโตของตลาดโลก โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนมาจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภค ที่ตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และจริยธรรมที่มีต่อสัตว์มากขึ้น อีกทั้งการสนับสนุนจากภาครัฐที่ส่งเสริมให้เกิดความก้าวหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิต ประกอบกับในโลกยุคดิจิทัลที่การสื่อสารสะดวกรวดเร็ว เพิ่มการรับรู้และยอมรับสินค้าชนิดใหม่ ๆ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยขับเคลื่อนอื่นๆที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับสินค้า Plant-Based Food อาทิ จำนวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้น ความแปรปรวนของสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหาร การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การพัฒนาเทคโนโลยีการเกษตรและเทคโนโลยีการแปรรูปอาหารที่ก้าวหน้า

ทั้งนี้จากการศึกษา พบว่า ภาพอนาคตสินค้า Plant-Based Food ของไทย มีหลายฉากทัศน์ ซึ่งฉากทัศน์ของอนาคตที่เป็นไปได้ (Probable Future) คือ ไทยเป็นแหล่งวัตถุดิบอาหารเพื่อสุขภาพของโลก เป็นแหล่งเพาะปลูกที่อุดมสมบูรณ์ มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตภาคการเกษตร รวมทั้งเทคโนโลยีและนวัตกรรมแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรให้เป็นวัตถุดิบสำหรับผลิต Plant-Based Food ที่ผู้ประกอบการเข้าถึงได้ เพื่อยกระดับและสร้างโอกาสทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ

นอกจากนี้ ยังมีอนาคตทางเลือก (Alternative Future) อีก 3 ฉากทัศน์ ได้แก่ 1) ฉากทัศน์ธุรกิจท่องเที่ยวเชิงเทศกาล วัฒนธรรม และเกษตรยั่งยืน คือ การเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเทศกาล วัฒนธรรม และเกษตรที่มีสิ่งแวดล้อมยั่งยืน โดยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจของ Plant-Based Food ผ่านการจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ 2) ฉากทัศน์ธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ คือ ไทยเป็นแหล่งของธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งในประเทศไทยเติบโตและเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง สามารถต่อยอดไปสู่การส่งออกไปยังต่างประเทศ และ 3) ฉากทัศน์ของสินค้าอาหารแปรรูป Plant-Based Food ซึ่งเป็นภาพอนาคตที่ไทยมีความสมบูรณ์และยั่งยืน มีภาคการเกษตรที่ทันสมัย รองรับความต้องการ Plant-Based Food ที่เพิ่มขึ้นในตลาดโลก ตอบสนองต่อประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค

อย่างไรก็ตาม ห่วงโซ่อุตสาหกรรมอาหาร Plant-Based Food ไทย ยังคงต้องได้รับการส่งเสริมและพัฒนาอย่างรอบด้าน ทั้งด้านการผลิตและแปรรูป ด้านการตลาด ด้านการวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรม ด้านฐานข้อมูล ด้านการลงทุน และด้านกฎหมาย เพื่อสร้างความเข้มแข็งทางการค้าสินค้าเกษตร สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรของไทย และเพื่อให้ประเทศไทยสามารถเป็นศูนย์กลางอาหาร Plant-Based Food ที่สำคัญของโลก 

นายพูนพงษ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ในการสัมมนาครั้งนี้ นอกจากการนำเสนอภาพอนาคต Plant-Based Food ของไทยแล้ว ยังเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้ซักถาม แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ตลอดจนข้อเสนอแนะต่อภาพอนาคตฯ เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาสินค้า Plant-Based Food 
วางแผนต่อยอดและดำเนินนโยบายสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ สนค. จะเผยแพร่รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการจัดทำภาพอนาคตสินค้าเกษตรสำคัญของประเทศไทย กรณีศึกษาสินค้าอาหารจากพืช (Plant-Based Food) ผ่านทางเว็บไซต์ สนค. (http://www.tpso.moc.go.th) เพื่อให้ผู้ที่สนใจนำไปใช้ประโยชน์ได้ต่อไป

#ข่าววันนี้ #สนค #PlantBasedFood #เพิ่มมูลค่า 

 

"สนค." ติดตาม OTT บริการรูปแบบใหม่ ขยายโอกาสทางการตลาดให้สินค้าและบริการไทย

สนค.ติดตามสถานการณ์ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจดิจิทัลที่ส่งผลต่อโอกาสทางการค้าสินค้าอุตสาหกรรมและธุรกิจบริการ พบบริการ OTT เติบโต สอดรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคและผู้ประกอบการให้ความนิยมสื่อออนไลน์หรือผ่านแพลตฟอร์ม OTT เพิ่มขึ้น ช่วยขยายโอกาสทางการตลาดให้กับสินค้าและบริการไทย

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัลและโครงสร้างพื้นฐานทางอินเตอร์เน็ต ก่อให้เกิดธุรกิจบริการรูปแบบใหม่ บริการหนึ่งที่น่าสนใจคือ Over-the-top (OTT) เป็นการให้บริการเนื้อหา หรือที่ในปัจจุบันนิยมเรียกว่า คอนเทนต์ (Content) อาทิ ภาพยนตร์ ซีรีส์ รายการโทรทัศน์ และรายการเสียง (podcast) ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ อาทิ YouTube Netflix Wetv Viu iflex Spotify และ Line TV ทั้งนี้ หากเป็นบริการที่เผยแพร่ทั้งภาพและเสียงผ่านอินเตอร์เน็ต จะเรียกว่า OTT TV

ผอ.สนค. ระบุว่า การรับชมคอนเทนต์ผ่าน OTT มีความยืดหยุ่น และตอบสนองต่อรูปแบบการดำเนินชีวิตของผู้บริโภคในปัจจุบันได้มากกว่าการรับชมโทรทัศน์แบบเดิม เนื่องจากผู้ใช้บริการสามารถเลือกรับชมคอนเทนต์ประเภทที่ต้องการ และสามารถรับชมในเวลาและสถานที่ที่สะดวก ผู้ใช้บริการสามารถรับชมผ่านอุปกรณ์หรือโทรศัพท์ที่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ โดยที่ไม่ต้องติดตั้งอุปกรณ์เสริม ซึ่งมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรม OTT เติบโตอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากการจำกัดการเดินทาง โดยให้ทำงานที่บ้าน (Work From Home) และปิดสถานที่ที่มีประชาชนหนาแน่น โดยเฉพาะโรงภาพยนตร์ และสถานบันเทิง ทำให้ผู้บริโภคต้องหันมารับชมคอนเทนต์และสื่อต่างๆผ่านอินเตอร์เน็ตแทน ซึ่งข้อมูลจากรายงาน ‘The Future of TV 2022’ ที่จัดทำโดยบริษัทด้านการตลาด The Trade Desk ร่วมกับบริษัทที่ปรึกษา KANTAR ชี้ให้เห็นว่า คนไทยราว 26 ล้านคน รับชมรายการโทรทัศน์ผ่านแพลตฟอร์ม OTT และใช้เวลาไปกับแพลตฟอร์มดังกล่าวมากถึง 1.4 พันล้านชั่วโมงต่อเดือน ซึ่งถือว่าสูงมาก และคนไทยยังมองว่า การรับชมรายการใน OTT TV มีความสะดวกสบายไม่ยุ่งยากเหมือนการรับชมผ่านสื่อโทรทัศน์หรือเคเบิลทีวี และสามารถรับชมได้ตลอดเวลาที่ต้องการ นอกจากนี้ รายงาน Digital Stat 2021 จากบริษัทด้านการตลาด We Are Social พบว่า คนไทยร้อยละ 99 มีพฤติกรรมชอบดูวิดีโอออนไลน์ และร้อยละ 69 มีรูปแบบการดำเนินชีวิตที่พึ่งพาโลกออนไลน์ โดยมีพฤติกรรมการใช้งานเพื่อความบันเทิงต่างๆเช่น การฟังเพลง การใช้งานโซเซียลมีเดีย เล่นเกม และอัดคลิปวิดีโอ

สำหรับผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม OTT ในไทยมีรายได้จากค่าโฆษณาและ/หรือค่าบริการหรือค่าสมาชิกเพิ่มขึ้น ซึ่งเห็นได้จากจำนวนโฆษณาทาง OTT ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทด้านวิจัยการตลาด Neilsen และสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย ระบุว่า ในปี 2565 ค่าโฆษณาผ่านอินเตอร์เน็ต มีมูลค่า 25,729 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2564 ร้อยละ 3.89 และในปี 2566 เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.71 เป็น 28,999 ล้านบาท นอกจากนี้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้เปิดเผยข้อมูลจำนวนบัญชีของคนไทยที่ใช้บริการ OTT TV ในปี 2566 พบว่า จำนวนบัญชีผู้ใช้บริการในรูปแบบดังกล่าวมีเพิ่มขึ้นถึง 10.92 ล้านบัญชี และคาดไว้ว่าในปี 2567 จะมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นเป็น 12.72 ล้านบัญชี แสดงให้เห็นว่า ผู้ประกอบการอื่นให้ความสำคัญกับการโฆษณาทาง OTT เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันผู้บริโภคเข้าถึงสื่อผ่าน OTT เพิ่มขึ้น ทำให้การเผยแพร่เนื้อหาและโฆษณาผ่าน OTT เป็นช่องทางที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างกว้างขวางและสะดวกรวดเร็วมากขึ้น

ผอ.สนค. กล่าวทิ้งท้ายว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัลและการเติบโตของ OTT ส่งผลต่อทุกภาคส่วน ทั้งภาคอุตสาหกรรม บริการ และพฤติกรรมของผู้บริโภค อีกทั้งยังเป็นโอกาสให้ผู้ผลิตสื่อดิจิทัลคอนเทนต์ ละคร ซีรีส์ ภาพยนตร์ และ Home entertainment ต่าง ๆ สามารถเผยแพร่หรือนำเสนอคอนเทนต์ที่มีเนื้อหาหลากหลาย และมีช่องทางการนำเสนอคอนเทนต์เพิ่มมากขึ้น สำหรับภาครัฐและผู้ประกอบการอาจพิจารณานำเสนอหรือโฆษณาสินค้า บริการ สถานที่ท่องเที่ยว รวมถึงศิลปะและวัฒนธรรม โดยสอดแทรกในสื่อและคอนเทนต์ที่เผยแพร่ผ่าน OTT ซึ่งเป็นโอกาสทางการค้าและเป็นช่องทางที่สามารถสร้างการรับรู้สินค้าและบริการ และเข้าถึงผู้บริโภคได้หลากหลายกลุ่มทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้สามารถเผยแพร่วัฒนธรรมของไทยควบคู่ไปพร้อมกับการนำเสนอสินค้าและบริการได้ 

#สนค #OTT #ข่าววันนี้ #สื่อดิจิทัลคอนเทนต์ 

 

 

"สุชาติ" มอบนโยบาย สนค.เน้นเร่งวิเคราะห์สินค้าส่งออกตามความต้องการตลาด-มุ่งสนับสนุนภาคเอกชนรับการค้ายุคใหม่

"สุชาติ" มอบนโยบาย สนค.เน้นเร่งวิเคราะห์สินค้าส่งออกตามความต้องการตลาด-มุ่งสนับสนุนภาคเอกชนรับการค้ายุคใหม่

นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ มอบนโยบายในการทำงานให้แก่คณะผู้บริหารสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โดยให้เร่งผลักดันการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์ เจาะลึกการศึกษาและจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเชิงรุกด้านเศรษฐกิจการค้าที่มุ่งเพิ่มมูลค่าและขยายตลาดส่งออก รวมทั้งวิเคราะห์ผลกระทบทางการค้าใหม่ๆทั้งความเสี่ยงและโอกาส เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับเตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบ ปรับตัวเพื่อแสวงหาโอกาส ตลอดจนยกระดับการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอกเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน โดยนโยบายสำคัญ 5 ด้าน ดังนี้

ด้านที่ 1: ยึดแนวทางปฎิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาล และรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์

เร่งดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์และเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยเร่งขับเคลื่อนภารกิจของหน่วยงาน ยึดแนวทางตามนโยบายรัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ และช่วยสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานปฏิบัติอื่นๆทั้งภายในและภายนอกกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงภาคเอกชน เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายด้านเศรษฐกิจการค้าบรรลุผลสำเร็จ สามารถแก้ปัญหาความเดือดร้อนและสร้างประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม 

ด้านที่ 2: วิเคราะห์แนวทางการผลักดันการส่งออก “สินค้าระดับรอง” สู่การส่งออกที่เพิ่มขึ้น

ปัจจุบันการส่งออกในแต่ละหมวด ยังกระจุกตัวอยู่แค่บางสินค้าเท่านั้น ทำให้การส่งออกของไทยที่ผ่านมาไม่สามารถขยายตัวได้อย่างเต็มศักยภาพ จึงจำเป็นต้องผลักดันสินค้าศักยภาพที่จะเป็นสินค้าระดับรอง ซึ่งเป็นสินค้าที่ยังมีมูลค่าส่งออกน้อย แต่กลับเป็นสินค้าที่เติบโตได้ดีมาตลอด มีความต้องการจากตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเป็นสินค้าที่สร้างมูลค่าเพิ่มในตัวได้ เช่น สินค้าเกษตร ยังมีศักยภาพในการส่งออกกาแฟ กล้วยไม้ สารสกัดจากสมุนไพร ฯลฯ สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ยังมีศักยภาพที่จะส่งเสริมผลิตภัณฑ์จากข้าว ผักผลไม้กระป๋อง ผักผลไม้ แปรรูป น้ำผลไม้/น้ำผัก ไอศกรีม คราฟต์ช็อกโกแล็ต ฯลฯ ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่เป็นการส่งออกของธุรกิจชาวต่างชาติ แต่ยังมีสินค้าของธุรกิจคนไทยที่ควรส่งเสริมให้มีศักยภาพ เช่น เครื่องประดับ เครื่องนุ่งห่ม เครื่องหนัง เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ บำรุงผิว เครื่องใช้ในครัวเรือน ของตกแต่ง ฯลฯ ให้ สนค.ศึกษาแนวทาง หรือกลยุทธ์การผลักดันสินค้าระดับรอง เพื่อทำให้การส่งออกยังสามารถเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้ต่อไป

ด้านที่ 3: เจาะลึกการศึกษาและจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเชิงรุกให้สอดคล้องและทันต่อสถานการณ์ปัจจุบัน
สนค. มีการศึกษาและจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายด้านเศรษฐกิจการค้า ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญช่วยสนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานภายในกระทรวงพาณิชย์ หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนอื่นๆ ผู้ประกอบการ เกษตรกร และประชาชนทั่วไปใช้เป็นข้อมูลและแนวทางประกอบการกำหนดนโยบายและมาตรการเพื่อปฏิบัติงานของภาครัฐ และการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจของภาคเอกชน ทั้งนี้ให้ สนค.มุ่งเน้นเจาะลึกการศึกษาและวิเคราะห์เพื่อจัดทำข้อเสนอเชิงรุก รวมทั้งศึกษาผลกระทบต่างๆให้สอดคล้องและเท่าทันสถานการณ์ปัจจุบัน และเป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจของภาคธุรกิจและประชาชนเพื่อสร้างและขยายโอกาสทางการค้า และพร้อมรับมือความเสี่ยงจากผลกระทบได้อย่างทันท่วงที

ด้านที่ 4: เสริมแกร่ง "SMEs - เกษตรกร" เฟ้นหาตัวจริงดันส่งออก และใช้นวัตกรรมภาคเกษตร
เพื่อกระจายรายได้และความเจริญทางเศรษฐกิจ ต้องสนับสนุน SMEs ให้มีบทบาทในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศเพิ่มขึ้น โดยให้ สนค. ศึกษาแนวทางการส่งเสริม SMEs ท้องถิ่นในระดับจังหวัดและชุมชน เพื่อพัฒนาให้สามารถส่งออกได้มากขึ้น โดยอาจใช้กลไกพาณิชย์จังหวัดร่วมมือกับหน่วยงานระดับพื้นที่ เฟ้นหา SMEs ตัวจริง เพื่อจับคู่ธุรกิจแบบตัวต่อตัว (B2B) กับคู่ค้าและผู้นำเข้าที่มีศักยภาพ ผลักดันการส่งออกสินค้าชุมชน สินค้า-อัตลักษณ์ท้องถิ่น และสินค้า GI สู่ตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ขอให้ศึกษาแนวทางการสร้างและพัฒนานวัตกรรม (Innovation) ด้านการเกษตร ที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตต่อไร่ รวมถึงเครื่องมือและเทคโนโลยี การผลิตเชิงอุตสาหกรรมการเกษตร เพื่อพลิกโฉมเกษตรกรรมแบบดั้งเดิม สู่เกษตรนวัตกรรม ทั้งหมดนี้มุ่งหวังให้ SMEs ไทยแข่งขันได้ในตลาดโลก และเพื่อให้เกษตรกรไทยมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

ด้านที่ 5: ยกระดับการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน
ให้ สนค.ยกระดับการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก โดยเฉพาะกระทรวงที่ดูแลด้านเศรษฐกิจ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและปากท้องของประชาชนอาทิ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงแรงงาน ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือและการสนับสนุนด้านวิชาการ และการเผยแพร่ข้อมูลด้านเศรษฐกิจการค้าที่เป็นประโยชน์ เพื่อชี้นำทิศทางเศรษฐกิจการค้าไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดความซ้ำซ้อนของปฏิบัติงาน ซึ่งถือเป็นการสนับสนุนให้เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่สอดประสานกันตามนโยบายภาพใหญ่ของรัฐบาล

โดยการประกอบธุรกิจค้าในยุคนี้มีความท้าทายอย่างยิ่ง ต้องเผชิญกับประเด็นหรือปัจจัยใหม่ๆที่อาจส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมทางการค้าแบบพลวัตมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วแทบจะตลอดเวลา และจะมีความซับซ้อนมากขึ้นเนื่องจากถูกยึดโยงด้วยปัจจัยที่เกี่ยวเนื่องกันจากหลากหลายมิติความสัมพันธ์ ดังนั้นการนำนโยบายสำคัญทั้ง 5 ด้าน ไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าของประเทศ และช่วยสนับสนุนทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน รวมทั้งประชาชนที่เกี่ยวข้องให้สามารถกำหนดนโยบาย และมาตรการที่เป็นแนวทางการปฏิบัติ และวางแผนการดำเนินกิจกรรมด้านเศรษฐกิจการค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขอให้คณะผู้บริหาร ข้าราชการ และบุคลากรของ สนค.ในฐานะหน่วยงานวิชาการที่เป็นมันสมอง (Think Tank) ของกระทรวงพาณิชย์ รับมอบนโยบายเพื่อนำไปปฏิบัติ ร่วมแรงร่วมใจขับเคลื่อนการดำเนินงาน ตามนโยบายของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์อย่างเต็มความสามารถ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าของไทยให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืนต่อไป 

#สนค #ข่าววันนี้ #สุชาติชมกลิ่น #กระทรวงพาณิชย์ #การค้ายุคใหม่

 

"สนค." สนับสนุน Gamification เครื่องมือใหม่ในการพัฒนาองค์กร-ขีดแข่งขันการค้า

สนค.ศึกษา Gamification การทำงานและการค้ารูปแบบใหม่ ที่ช่วยพัฒนาประสิทธิภาพพร้อมกับความบันเทิง แนะผู้ประกอบการปรับตัวรองรับพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ ออกแบบการดำเนินงานและการตลาดให้เหมือนเล่นเกม กระตุ้นการทำงาน สร้างการมีส่วนร่วมและเครือข่าย สร้างโอกาสขยายทางธุรกิจ ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้า

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.)กระทรวงพาณิชย์ ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและความบันเทิงในกระบวนการทำงานและการค้ามากขึ้น ซึ่งทำให้พนักงานและผู้บริโภครู้สึกสนุก กระตุ้นประสิทธิภาพในการทำงาน และดึงดูดความสนใจมากขึ้น แนวทางนี้เรียกว่า เกมมิฟิเคชั่น (Gamification) หมายถึง การออกแบบกิจกรรม หรือกระบวนการทำงาน ให้มีรูปแบบเหมือนการเล่นเกม (Game) ซึ่งนิยมนำมาใช้กับการปฏิบัติงานหรือกิจกรรมที่ต้องทำซ้ำ หรือต้องทำอย่างต่อเนื่อง อาทิ การให้บริการลูกค้า การบริหารจัดการสินค้าคงคลัง และการฝึกอบรมพัฒนาบุคลากร การทำงานที่มีรูปแบบเหมือนกับการเล่นเกมจะทำให้พนักงานรู้สึกสนุก และอยากมีส่วนร่วมกับงานมากขึ้น โดยอาจเพิ่มความน่าสนใจโดยมีการให้คะแนน รางวัล หรือผลตอบแทน ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม 

นายพูนพงษ์ อธิบายว่า การเปลี่ยนรูปแบบของการทำงานหรือกิจกรรมให้เหมือนกับการเล่นเกม สามารถทำได้ 7 รูปแบบ ดังนี้ (1) คะแนนและเหรียญตรา (Badges) โดยผู้เล่นแต่ละคนจะได้รับคะแนนเมื่อทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายได้สำเร็จ และผู้ที่ได้รับคะแนนมากที่สุดในแต่ละภารกิจหรือในช่วงเวลาที่กำหนด จะได้รับมอบเหรียญตรา อาทิ เหรียญตราบุคคลตัวอย่างประจำเดือน (2) กระดานคะแนน ที่แสดงลำดับคะแนนของผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรม จะช่วยสร้างบรรยากาศและกระตุ้นให้เกิดการแข่งขัน (3) ความก้าวหน้าและลำดับขั้น คือ คุณสมบัติ เกณฑ์ ศักยภาพ และประสบการณ์ ที่จำเป็นต่อการเลื่อนลำดับหรือตำแหน่งให้สูงขึ้น (4) รางวัล เป็นปัจจัยที่จูงใจให้เข้าร่วมกิจกรรม และสร้างกำลังใจในการเล่นเกม อาทิ ของขวัญ ส่วนลดสินค้าหรือบริการ วันหยุดเพิ่มเติม หรือการเข้าถึงสิทธิพิเศษ (5) บทบาทสมมติ คือ การออกแบบเหตุการณ์สมมติสำหรับภารกิจการทำงานหรือการซื้อสินค้าหรือบริการ รวมถึงกำหนดบทบาทและความสัมพันธ์ของตัวละคร อาทิ การผจญภัยในการเจรจาธุรกิจ (6) อวตาร (Avatar) ภาพกราฟิกที่ผู้เล่นใช้แทนภาพลักษณ์จริงของตนเองในเกม เพื่อให้พวกเขากล้าแสดงความคิดเห็นและความรู้สึก และ (7) การสร้างพันธมิตร โดยออกแบบกติกาที่ให้ผู้เล่นสามารถร่วมกลุ่มกันเองได้ ซึ่งจะช่วยสร้างความสัมพันธ์และเครือข่ายใหม่ที่มีสมาชิกที่มีความเชี่ยวชาญต่างกัน 

โดยการประยุกต์ Gamification ในกระบวนการทำงาน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานได้ บริษัทหลายแห่งจึงเริ่มประยุกต์ใช้เกมกับการฝึกอบรมพนักงาน และใช้สำหรับสร้างประสบการณ์ที่ดีในการทำงาน โดยบริษัทจัดหางาน ZIPPIA ได้ศึกษาผลของการใช้ Gamification พบว่า ร้อยละ 90 ของพนักงานเห็นว่า Gamification ทำให้ประสิทธิผลของงานดีขึ้น และร้อยละ 72 ของพนักงาน เห็นว่า Gamification ช่วยกระตุ้นให้พวกเขาปฏิบัติตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย และมีความกระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้น

สำหรับในต่างประเทศ บริษัทหลายแห่งได้ประยุกต์ใช้ Gamification กับการฝึกอบรมพนักงาน อาทิ Cisco พัฒนาโปรแกรมฝึกอบรมบุคลากร Aspire ที่เหมือนกับการเล่นเกมที่จำลองรูปแบบวิถีชีวิตของมนุษย์ (Simulation) อาทิ การปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า การขายสินค้าหรือบริการ และการจัดการทรัพย์สิน Microsoft จัดกิจกรรมควบคุม ประเมินผล และให้คำแนะนำแก่พนักงาน และให้รางวัลกับพนักงานที่มีผลการดำเนินงานดีเยี่ยม เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ต่อยอดด้วยตนเอง กิจกรรมนี้ส่งผลให้พนักงานขาดงานลดลง ร้อยละ 12 และพนักงานมีพลังและตั้งใจที่จะพัฒนาผลงานให้ดีขึ้น ร้อยละ 78 Deloitte ให้พนักงานแข่งขันกันทำภารกิจ พร้อมทั้งจัดทำกระดานคะแนน เหรียญตรา และรางวัล โดยรางวัลของผู้ชนะ คือ สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลขององค์กรที่อยู่ในชั้นความลับที่สูงขึ้น กิจกรรมนี้ทำให้พนักงานต้องการเข้าทำงานในสำนักงานเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 47 และ IBM จัดทำโครงการฝึกอบรมที่ประกอบด้วยกิจกรรมแข่งขันของผู้เข้าร่วม และมีรางวัลคือเหรียญตราดิจิทัล ซึ่งการให้เหรียญตราดิจิทัลทำให้พนักงานสนใจเข้าร่วมโครงการมากขึ้น และมีพนักงานที่ผ่านการอบรมเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 226 

ขณะที่บริษัทไทยประยุกต์ใช้ Gamification ทั้งในการตลาดและการดำเนินงาน อาทิ Lineman ร่วมกับ Coca-Cola จัดแคมเปญ “อร่อยซ่าแดนซ์สุดคุ้ม ลุ้นซ่ากับ K-POP” ในปี 2566 กระตุ้นการใช้แพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี โดยเชิญชวนให้ผู้ใช้งานเล่นเกมเพื่อลุ้นรับส่วนลดค่าอาหารสูงสุด และรับเมนูพิเศษฟรีจากร้านค้าที่เข้าร่วมกิจกรรม TOYOTA จัดแคมเปญ “ลดเปลี่ยนโลก กับโตโยต้า” ให้ผู้ใช้บริการเล่นเกมทำภารกิจ ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในชีวิตประจำวัน โดยให้ผู้เล่นทำกิจกรรม 5 ประเภท ได้แก่ ลดการใช้พลาสติก ลดการใช้พลังงาน เดินทางอย่างยั่งยืน เพิ่มพื้นที่สีเขียว และบริโภคอย่างยั่งยืน เพื่อสะสมคะแนน และรับของรางวัล ธนาคาร UOB ดำเนินโครงการ “Smart Business Transformation Program” ประจำปี 2565 ซึ่งเป็นโครงการฝึกอบรมด้านการตลาดออนไลน์ ที่ประยุกต์เกมร่วมกับพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioural Science) ในกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดโครงการ อาทิ การสร้างฐานลูกค้า การสร้างรายได้ และการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับผู้ใช้บริการ และ The Mall Group ใช้กลยุทธ์การค้าปลีกผสมกับความบันเทิง (Retailtainment) ในปี 2562 ที่ให้ผู้บริโภคเล่นเกมออนไลน์บนโทรศัพท์มือถือ “The Lucky Monsta Hunt ล่านิ้วล็อค ช้อปพลีชีพ” เพื่อสะสมเหรียญ และค้นหารางวัล บัตรกำนัล ส่วนลดพิเศษ หรือของสมนาคุณ กลยุทธ์นี้ทำให้ผู้ซื้อใช้เวลาในห้างสรรพสินค้านานขึ้น ถึงร้อยละ 20

ผอ.สนค. กล่าวทิ้งท้ายว่า การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมและการดำเนินชีวิตของคนรุ่นใหม่ ส่งผลต่อผู้ประกอบการ ที่จำเป็นต้องพัฒนาทั้งกระบวนการดำเนินงานและการให้บริการลูกค้า ซึ่ง Gamification เป็นแนวทางใหม่ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับหลายกิจกรรม อาทิ กระบวนการทำงาน การฝึกอบรม การตลาด และการสร้างความพันธ์กับลูกค้า เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการทำงาน สร้างโอกาสทางการค้า ตลอดจนพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการให้เพิ่มขึ้น

#สนค #Gamification #เครื่องมือใหม่ในการพัฒนาองค์กร #ข่าววันนี้ #กระทรวงพาณิชย์

 

สนค.เปิดตัว “คิดค้า Briefing” ช่วยผู้ประกอบการเข้าใจ-เข้าถึงข้อมูล ศก.การค้าง่ายขึ้นผ่าน Data Storytelling

สนค.เปิดตัว “คิดค้า Briefing” ช่วยผู้ประกอบการเข้าใจและเข้าถึงข้อมูลเศรษฐกิจการค้าง่ายขึ้นผ่าน Data Storytelling นำร่อง “จับชีพจรส่งออกไทย”

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า เปิดเผยว่าได้ให้ความสำคัญกับการให้บริการข้อมูลด้านการพาณิชย์เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้ประกอบการในการแข่งขันของประเทศ ตามแนวนโยบายของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยพัฒนาและต่อยอดบริการข้อมูลเศรษฐกิจการค้าบนเว็บไซต์คิดค้า.com เพื่อนำเสนอข้อมูลเศรษฐกิจการค้ารูปแบบใหม่ สำหรับให้ผู้ประกอบการและประชาชนสามารถเข้าใจและเข้าถึงข้อมูลเศรษฐกิจการค้าเชิงลึกได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นข้อมูลในการตัดสินใจเชิงนโยบายและการตัดสินใจทางธุรกิจ ให้เท่าทันสถานการณ์การค้าโลกยุคใหม่

โดย สนค.ในฐานะที่เป็นหน่วยงานรับผิดชอบด้านการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ซึ่งประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับจัดทำนโยบายทางการค้าให้สอดรับกับบริบทโลกยุคใหม่และศักยภาพของธุรกิจและการค้าไทยได้ขยายผลการใช้ประโยชน์ข้อมูลการค้าเชิงลึกให้ผู้ประกอบการในทุกระดับสามารถใช้ประโยชน์ และเข้าถึงประเด็นสำคัญทางการค้าได้อย่างง่าย สะดวกและรวดเร็ว จึงต่อยอด คิดค้า.com โดยเปิดตัว “คิดค้า Briefing” ย่อยข้อมูลเศรษฐกิจการค้าเชิงลึกให้เข้าใจง่ายในรูปแบบ Data storytelling โดยนำร่องเปิดตัวงานแรกในหัวข้อ “จับชีพจรส่งออกไทย” ซึ่งประกอบด้วยการนำเสนอเรื่องราว 3 ส่วน ได้แก่

1.สำรวจสถานการณ์การส่งออกไทยในปัจจุบันโดยนำเสนอความสำคัญของภาคการส่งออกต่อเศรษฐกิจไทยซึ่งปัจจุบันการส่งออกสินค้าไทยมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจถึงร้อยละ58 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ และสามารถเห็นถึงพัฒนาการในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาการส่งออกของไทยเติบโตมาอย่างไร รวมถึงนำเสนอโครงสร้างสินค้าและตลาดส่งออกของไทยในปัจจุบัน เช่น ปัจจุบันตลาดส่งออกไทยส่วนใหญ่อยู่ในภูมิภาคเอเชียคิดเป็นร้อยละ 61 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทย เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าใจถึงภาพรวมทิศทางการค้าระหว่างประเทศของไทย 

2.สำรวจเจาะลึกสินค้าและตลาดส่งออกสินค้าไทย ชวนหาคำตอบว่าสินค้าใดเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของไทย ปัจจุบันสินค้าใดเป็นสินค้าส่งออกไทยดาวรุ่ง และสินค้าใดที่ต้องเฝ้าระวัง โดยประเมินจากแนวโน้มการเติบโตของสินค้าในปีปัจจุบัน สามารถเจาะรายกลุ่มสินค้าที่สนใจได้ เช่น สินค้าเกษตร สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร และสินค้าอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ยังมาหาคำตอบว่าตลาดคู่ค้าสำคัญของไทยมีประเทศใดบ้าง และแนวโน้มการส่งออกมีทิศทางเป็นอย่างไร แต่ละทวีปมีประเทศไหนเป็นคู่ค้าสำคัญบ้าง เพื่อให้ประชาชนและผู้ประกอบการที่สนใจเข้าใจสถานการณ์การส่งออกไทยในรายสินค้าและรายตลาด สำหรับวางแผนหาโอกาสและเตือนภัยได้อย่างทันสถานการณ์

3.สรุปสถานการณ์การค้ารายประเทศ นำเสนอสถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศของไทยรายประเทศคู่ค้าให้เห็นภาพรวมภายในหน้าเดียว โดยย่อยข้อมูลเศรษฐกิจการค้าให้เห็นภาพชัดเจนและเข้าใจง่าย ประกอบด้วย สถานการณ์เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าโดยเปรียบเทียบกับไทย เช่น ขนาดเศรษฐกิจ จำนวนประชากร  และรายได้ประชากรเฉลี่ยต่อหัว เพื่อให้ผู้ใช้งานเห็นถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า และสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศของไทยกับประเทศคู่ค้า เช่น แนวโน้มมูลค่าการส่งออก-นำเข้าในปัจจุบัน สินค้าส่งออกไทยที่สำคัญ และรูปแบบการขนส่งสินค้าที่เหมาะสม เป็นต้น เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าใจภาพการส่งออกของไทยในตลาดที่สนใจ

นายพูนพงษ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ปัจจุบันข้อมูลกับการค้ามีความสำคัญมาก เพื่อใช้ในการกำหนดทิศทางหรือกลยุทธ์ของธุรกิจ ให้เท่าทันสถานการณ์การค้าโลกยุคใหม่ และตรงความต้องการตลาดมากยิ่งขึ้นอีกด้วย  ทำให้ทุกคนเห็นความสำคัญของการเก็บข้อมูลและการนำข้อมูลมาใช้ในงานด้านต่าง ๆ ซึ่งในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ จะเน้นการนำระบบ Big Data มาวิเคราะห์ประมวลผลเพื่อการบริหารนโยบายเชิงรุกและการให้บริการข้อมูลการค้าเชิงลึกกับผู้ประกอบการและประชาชน โดยหวังว่าเมื่อมีข้อมูลที่มีคุณภาพและเป็นระบบจะสามารถคาดการณ์ (Prediction) และเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning) ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการค้าได้ สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจสามารถเข้ามาใช้บริการข้อมูลการค้าเชิงลึก ที่เว็บไซต์ “คิดค้า.com” ซึ่งจะนำเสนอเนื้อหาใหม่ ๆ ต่อเนื่องตลอดช่วงปี 2567 โดยที่ผ่านมาได้เผยแพร่ข้อมูลเชิงลึกด้านสินค้าเกษตร (Agriculture Dashboard) ข้อมูลเชิงลึกด้านเศรษฐกิจระดับจังหวัด (Province Dashboard) ข้อมูลเชิงลึกด้านการค้าระหว่างประเทศ (Global Demand Dashboard) และข้อมูลเชิงลึกด้านธุรกิจโลจิสติกส์ (Logistics Dashboard)

 

สนค.เสนอมุมมองการศึกษาไทย เพื่อตอบโจทย์การค้าและการลงทุน

สนค.เสนอมุมมองการศึกษาไทย เพื่อตอบโจทย์การค้าและการลงทุน

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ระบุว่า จากการค้าและการลงทุนในปัจจุบันที่มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รวมไปถึงการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ทำให้แรงงานจำเป็นต้องอาศัยทักษะและกระบวนการคิดที่ตอบสนองต่อตลาดแรงงานในปัจจุบัน ซึ่งในส่วนของภาคการค้าและการลงทุน มีเสียงสะท้อนที่เรียกร้องให้มีการปรับปรุงระบบการศึกษา เพื่อให้ประเทศสามารถผลิตแรงงานที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการแต่ละภาคส่วนได้อย่างเต็มที่ ขณะที่บางส่วนมองว่าแรงงานของไทยยังมีจำนวนที่ไม่เพียงพอในบางอุตสาหกรรม ผลสำรวจความต้องการแรงงานในโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ปี 2565 พบว่า มีภาวะขาดแคลนแรงงานฝีมือโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเครื่องจักรและยานยนต์ และอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ รวมกันมากถึง 12,000 ตำแหน่ง แม้ว่าในรายงานการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยของ IMD ปี 2566 จะแสดงให้เห็นถึงคะแนนในด้านอัตราการเติบโตของกำลังแรงงานในระยะยาวที่ดีขึ้น แต่มีการระบุความเสี่ยงว่าไทยอาจประสบปัญหาแรงงานทักษะที่ไม่เพียงพอในภาคบริการ ในขณะที่คู่แข่งด้านการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศต่างเร่งการพัฒนาด้านแรงงานทั้งในแง่ของจำนวนและคุณภาพ ซึ่งในอนาคตอาจทำให้การดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศของไทยทำได้ยากขึ้น และเป็นความท้าทายที่อาจส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ทั้งนี้เมื่อย้อนดูคุณภาพการศึกษาของไทยซึ่งเป็นต้นทางการผลิตแรงงาน จากผลการประเมินสมรรถนะของนักเรียนมาตรฐานสากล (Programme for International Student Assessment หรือ PISA) ในแต่ละประเทศซึ่งจัดทำโดย OECD ประจำปี 2565 พบว่า คะแนนของเด็กไทยต่ำลงในทุกหมวด ทั้งคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการอ่าน และหากเทียบเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน ระดับคะแนนของไทยยังต่ำกว่าสิงคโปร์ เวียดนาม และมาเลเซีย ทั้งยังมีทิศทางที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวิเคราะห์ปัญหาของระบบการศึกษาไทย จะพบคุณลักษณะสำคัญคือ การผลิตบุคลากรที่ไม่ตรง หรือไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด เกิดขึ้นจากค่านิยมที่ให้ความสำคัญกับการเข้าศึกษาในสายสามัญมากกว่าสายอาชีวะ ประกอบกับภาพลักษณ์ในเชิงลบที่มีต่อผู้เรียนในสายอาชีวะ ทำให้ความต้องการศึกษาในสายอาชีวะลดลง ส่งผลให้ไทยขาดแคลนแรงงานในสายอาชีวะจำนวนมาก ไม่สามารถรองรับการขยายตัวของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามายังประเทศไทย รวมถึงมีความเสี่ยงที่อาจขาดแคลนแรงงานบางสาขาในอนาคต ตลอดจนขาดการยกระดับบุคลากรการศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจการใช้เทคโนโลยีในการสอนให้เพิ่มสูงขึ้น โดยผลการศึกษาของสมาคมนานาชาติที่ทำหน้าที่ประเมินผลด้านการศึกษา ซึ่งเป็นโครงการศึกษาภายใต้การดำเนินงานของสหประชาชาติ หรือ ICILS พบว่า สัดส่วนของครูที่มีการใช้อุปกรณ์ ICT ในห้องเรียนของไทย อยู่ที่ร้อยละ 51 ของจำนวนครูทั้งประเทศ ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวของไทยอยู่ต่ำกว่าเกาหลีใต้ (ร้อยละ 76) ฮ่องกง (ร้อยละ 79) และออสเตรเลีย (ร้อยละ 90) 

โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัญหาในระบบการศึกษาไทย ส่งผลต่อการค้าและการลงทุนที่เกิดขึ้นมีดังนี้ (1) ขาดแรงงานทักษะใหม่ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2565 พบว่า ไทยมีผู้ทำงานจริงเพียง 39.6 ล้านคน จากประชากร 66.1 ล้านคน ขณะที่ผลสำรวจด้านแรงงานของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนในปี 2565 พบว่า ไทยยังขาดแคลนแรงงานภาคอุตสาหกรรมในทุกระดับการศึกษา โดยผลสำรวจด้านแรงงานจากผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน พบว่า มีความต้องการแรงงานในภาคอุตสาหกรรม จำนวนทั้งสิ้น 168,992 คน แบ่งออกเป็นความต้องการแรงงานในระดับปริญญาตรีขึ้นไป 29,037 คน ระดับ ปวช.-ปวส. 38,079 คน ระดับ ป.6-ม.6 96,786 คน และอื่น ๆ อีก 5,090 คน สะท้อนว่าระบบการศึกษาของไทยยังพัฒนาแรงงานได้น้อยกว่าความต้องการของตลาดอยู่มากพอสมควร (2) ผู้ประกอบการต่างชาติเผชิญระดับค่าแรงสูงในสายงานที่ขาดแคลน มีการแย่งตัวแรงงานด้วยการแข่งขันด้านค่าแรง ทำให้ต้นทุนการประกอบการสูงขึ้น และอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนเลือกลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านที่มีจำนวนแรงงานในสายงานที่เกี่ยวข้องมากกว่า (3) แรงงานที่มีลักษณะการทำงานซ้ำๆ อาจถูกแทนที่ด้วยระบบการทำงานอัตโนมัติ และอาจส่งผลให้ตัวเลขการจ้างงานรวมของประเทศลดลง และ (4) การศึกษาที่ขาดคุณภาพส่งผลต่อปัญหาความเหลื่อมล้ำ เพราะมีผลิตภาพต่ำ และมีทักษะที่ไม่หลากหลาย ทางเลือกในการประกอบอาชีพจึงมีน้อย เป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ

นายพูนพงษ์ฯ กล่าวต่อว่า การศึกษานับเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ เพราะเป็นการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ในระยะยาว ทั้งยังต้องใช้เวลาในการพัฒนาพอสมควร ไม่สามารถสร้างหรือปรับเปลี่ยนได้ในเวลาอันสั้น ควรต้องเร่งพัฒนาการศึกษาตั้งแต่วันนี้เพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมในประเทศ ผ่านแนวทางในการพัฒนาดังต่อไปนี้ (1) สำรวจความต้องการของอุตสาหกรรม ว่ามีความต้องการในแต่ละสาขามากน้อยแตกต่างกันอย่างไร อุตสาหกรรมใดที่จะเป็นอนาคต และคำนวณระดับความต้องการเพื่อนำไปออกแบบหลักสูตรส่งเสริมผู้เรียนต่อไป (2) เพิ่มกิจกรรมการเรียนรู้และปฏิบัติการนอกห้องเรียน เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนเข้าใจภาพรวมของการทำงาน และเลือกเรียนทักษะให้ตรงกับวัตถุประสงค์ในการพัฒนาตนเองต่อไปได้อย่างถูกต้อง (3) พัฒนาบุคลากรทางการศึกษาให้พร้อมถ่ายทอดทักษะใหม่ โดยผู้ถ่ายทอดต้องมีความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริง และต้องเข้าใจการประยุกต์ใช้ในเชิงธุรกิจ จึงจะพัฒนาผู้เรียนได้อย่างถูกต้องและนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในเชิงพาณิชย์ 

(4) เพิ่มระดับการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการพัฒนา เพื่อให้นโยบายและการปฏิบัติสอดคล้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน (5) สถาบันการศึกษาทั้งระดับมหาวิทยาลัยและอาชีวะ  ต้องมีหลักสูตรการสอนเพื่อสร้างทักษะให้สอดคล้องกับความต้องการในเศรษฐกิจยุคดิจิทัล หรือ Smart Labor จึงจะสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัจจุบันเข้ากับการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถสร้างผลิตภาพและทำงานร่วมกับเทคโนโลยีได้โดยไม่สูญเสียคุณค่าความสำคัญ และ (6) ปรับทัศนคติและคุณภาพของการศึกษาในสายอาชีพ แม้ที่ผ่านมาไทยจะสามารถยกระดับของอาชีวศึกษาจนประสบความสำเร็จแล้วผ่านความสำเร็จในโครงการ EEC Type A Model ซึ่งส่งเสริมให้แรงงานสายอาชีวะจากสถาบันการศึกษา สามารถพัฒนาตนเองจนกลายเป็นแรงงานคุณภาพที่มีระดับรายได้สูง แต่มุมมองที่มีต่อสถาบันอาชีวศึกษา กลับพบว่าสังคมยังมีทัศนคติในเชิงลบ ส่งผลให้ผู้ปกครองหรือผู้เรียนไม่ให้ความสนใจเข้าศึกษาในสายอาชีพ ซึ่งจำเป็นต้องปรับปรุงภาพลักษณ์อย่างเร่งด่วน เพื่อสร้างทัศนคติและคุณภาพที่ดีในการศึกษาสายอาชีวะ เพิ่มจำนวนผู้เรียนเพื่อป้องกันปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่จะเข้าสู่อุตสาหกรรมในอนาคต 

 

สนค.หนุนรัฐและเอกชน ผนึกกำลังรับมือการเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจดิจิทัล

สนค.เผยการเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัล การทำงานอัตโนมัติด้วยเครื่องจักร และการเข้าสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล มีทั้งโอกาส ความท้าทาย และสร้างความเหลื่อมล้ำ ชี้จะมีผลกระทบต่อการจ้างงาน ธุรกิจที่ปรับตัวได้จะมีโอกาสเติบโตเพิ่มขึ้น แนะรัฐและเอกชนต้องผนึกกำลังร่วมมือพัฒนาทักษะแรงงาน พัฒนากฎหมายให้เอื้อต่อการทำธุรกิจ สนับสนุนการใช้ฐานข้อมูลทำธุรกิจและกำหนดนโยบายภาครับ  

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด ต้นทุนการเข้าถึงอุปกรณ์หรือข้อมูลข่าวสารที่ลดต่ำลง เป็นแรงกระตุ้นสำคัญที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจในรูปแบบดั้งเดิมถูกขับเคลื่อนไปสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัลที่ไม่พึ่งพาพื้นที่ทางกายภาพเหมือนอดีต ส่งผลให้รูปแบบการดำเนินธุรกิจตลอดจนรูปแบบการจ้างงานเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นโอกาสของผู้ที่สามารถเข้าถึงและปรับตัวใช้เทคโนโลยีดังกล่าวสร้างหรือพัฒนาและต่อยอดธุรกิจ ในขณะเดียวกันเป็นความท้าทายสำหรับภาคประชาชน และภาคธุรกิจที่ไม่สามารถเข้าถึงหรือปรับตัวได้ทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วดังกล่าว ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมไทย ขณะเดียวกัน ยังเป็นโอกาสและความท้าทายของภาครัฐในการเตรียมความพร้อมสร้างโครงสร้างพื้นฐานและอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างเท่าเทียมกัน รวมถึงหาแนวทางบูรณาการร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเข้ามาลดความเหลื่อมล้ำเดิมที่มีอยู่
 

สำหรับปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่เศรษฐกิจดิจิทัลได้แก่ การขยายตัวของเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม (Platform economy) โดยธุรกิจที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วในทศวรรษที่ผ่านมา ล้วนเป็นธุรกิจที่เกิดบนเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม อาทิ บริการขนส่ง ที่พัก การซื้อขายออนไลน์ และเครือข่ายสังคม เป็นต้น โดยส่วนใหญ่มีลักษณะร่วมกันคือเป็น “ธุรกิจแพลตฟอร์ม” ที่ไม่ได้ผลิตสินค้าและบริการด้วยตนเอง แต่ทำหน้าที่เป็น “ตัวกลาง” และโยกย้าย “ตลาด” ที่เคยเป็นพื้นที่ทางกายภาพเข้าสู่โลกดิจิทัล ตลอดจนทำหน้าที่ “จับคู่” ผู้ซื้อและผู้ขาย ธุรกิจดังกล่าวสร้างการเปลี่ยนแปลงต่อการใช้แรงงาน อาทิ แรงงานที่ทำงานบนระบบคลาวด์โดยไม่ยึดโยงกับพื้นที่ทางกายภาพ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานที่ใช้ทักษะสูง เป็นต้น นอกจากนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังเป็นตัวเร่งให้ธุรกิจแพลตฟอร์เติบโตอย่างรวดเร็วอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งยังมีการทำงานอัตโนมัติโดยเครื่องจักร (Automation) ซึ่งไม่จำกัดเฉพาะในภาคการผลิตอุตสาหกรรม แต่รวมไปถึงการนำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆเช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้กับการบริหารงาน ซึ่งจะเป็นปรากฏการณ์ที่พบได้ทั่วไปนับจากนี้ เนื่องจากมีความสามารถในการวิเคราะห์ที่แม่นยำ ทั้งนี้ ในปัจจุบันแม้จะมีเพียงทักษะบางประการที่จะถูกทดแทนด้วยการทำงานอัตโนมัติโดยเครื่องจักรได้ แต่ในอนาคตอาจมีการพัฒนาเทคโนโลยีให้เครื่องจักรทำงานแทนคนในทักษะต่างๆมากขึ้น

ขณะเดียวกัน การก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data - driven economy) พัฒนาการทางเทคโนโลยีได้เพิ่มศักยภาพให้กับข้อมูล ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ได้แก่ 1) พัฒนาการของเทคโนโลยีในการเก็บข้อมูล Technological device ที่เข้าถึงง่าย ผนวกกับการเชื่อมโยงผ่านอินเตอร์เน็ต ทำให้ปัจจุบันสามารถเก็บข้อมูลได้หลากหลายและตลอดเวลา เช่น ข้อมูลการใช้รถยนต์ ข้อมูลสุขภาพ ข้อมูลการใช้งานเครื่องใช้ในบ้าน เป็นผลให้ลักษณะของข้อมูลเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตที่ต้องพึ่งพาการสำรวจ และนำไปสู่การเกิดขึ้นของฐานข้อมูลขนาดใหญ่ 2) พัฒนาการของเทคโนโลยีในการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นในต้นทุนที่ลดต่ำลง และ 3) พัฒนาการของเทคโนโลยีในการเชื่อมโยงและกระจายข้อมูล ทำให้การนำเสนอข้อมูลมีประสิทธิภาพมากขึ้นและอยู่ในรูปแบบที่สามารถส่งผ่านข้อมูลได้ง่ายโดยปราศจากต้นทุน ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล

นายพูนพงษ์กล่าวอีกว่า การเปลี่ยนแปลงเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลในประเด็นดังกล่าวข้างต้น มีนัยต่อความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ในด้านต่างๆที่สำคัญได้แก่ การจ้างงาน จากการศึกษาของ McKinsey & Company กล่าวว่า การใช้เครื่องจักรอัตโนมัติจะช่วยเพิ่มผลิตภาพการผลิตขึ้นอีกประมาณร้อยละ 0.8-1.4 รวมทั้งลักษณะงานที่มีรูปแบบการทำงานที่ทำซ้ำๆจะมีโอกาสถูกทดแทนด้วยเครื่องจักรหรือ AI มากกว่าร้อยละ 50 ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อแรงงานที่อาจถูกเลิกจ้าง นอกจากนี้ การขยายตัวของธุรกิจแพลตฟอร์มที่ไม่จำเป็นต้องมีสถานที่ขายสินค้าจะเปลี่ยนรูปแบบการจ้างงานที่ต้องการแรงงานที่มีทักษะด้านเทคโนโลยีมากขึ้น ขณะที่ด้านความสามารถทางการแข่งขัน ธุรกิจที่สามารถเข้าถึงและปรับตัวในการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาต่อยอดธุรกิจจะมีโอกาสเติบโตสูง โดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย ระบุว่า ธุรกิจที่สามารถปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีมีโอกาสเติบโมากกว่าเดิมร้อยละ 5 ต่อปี ในทางกลับกัน ธุรกิจที่ไม่สามารถปรับตัวได้มีโอกาสเติบโตลดลงเหลือเพียงร้อยละ 2.8 ต่อปี ด้านการกำหนดนโยบายสาธารณะ ประเทศไทยสามารถใช้การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีด้านข้อมูล เช่น Big data มาช่วยกำหนดนโยบายสาธารณะเพื่อลดความเหลื่อมล้ำได้ โดยเฉพาะนโยบายที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาที่ต้องใช้การเก็บรวบรวมข้อมูลจำนวนมาก รวมทั้งการประมวลผลด้วยปัญญาประดิษฐ์ อย่างไรก็ตาม การนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ประกอบการกำหนดนโยบายสาธารณะจำเป็นต้องบูรณาการข้อมูลร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน

“จากประเด็นการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและนัยยะต่อความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ภาครัฐและเอกชนจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ทั้งการพัฒนาทักษะแรงงานให้มีความพร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลง พร้อมรองรับเทคโนโลยี จัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น กฎหมายที่เอื้อต่อการพัฒนา การชำระเงินออนไลน์ที่ปลอดภัย การกำกับดูแลเพื่อรองรับการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลง และรักษาความเป็นธรรมระหว่างธุรกิจบนเศรษฐกิจดิจิทัลและธุรกิจดั้งเดิม ปรับปรุงระบบสวัสดิการ เพื่อรองรับแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงการจัดตั้งกองทุนประกันสังคมสำหรับแรงงานดิจิทัลแยกต่างหาก และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อกำหนดนโยบายพัฒนาศักยภาพด้านการวิเคราะห์ข้อมูลในการกำหนดนโยบายภาครัฐ สนับสนุนการสร้างฐานข้อมูลร่วมกับภาคเอกชน เพื่อส่งเสริมศักยภาพของฐานข้อมูลใหญ่ และควรให้ข้อมูลดังกล่าวสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม”นายพูนพงษ์กล่าว

อย่างไรก็ตามนอกจากความท้าทายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงเพื่อมุ่งสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ยังคงมีความท้าทายอื่นๆที่ประเทศไทยต้องเผชิญ อาทิ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังจากการระบาดของโควิด-19 และการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ซึ่ง สนค.จะกล่าวถึงในโอกาสถัดไป