โตชิบา ตอกย้ำผู้นำด้านเครื่องใช้ไฟฟ้า คว้าตำแหน่ง “แบรนด์ไมโครเวฟอันดับ 1”

โตชิบา ไทยแลนด์ ตอกย้ำความเป็นผู้นำในผลิตภัณฑ์ไมโครเวฟ ด้วยการคว้าตำแหน่ง “Japan's No.1 Microwave Brand” จากการจัดอันดับของ Euromonitor International ในรายงาน Consumer Appliances 2025 edition ในประเทศญี่ปุ่น ในประเทศไทยโตชิบาถือครองส่วนแบ่งการตลาดผลิตภัณฑ์กลุ่มไมโครเวฟ อันดับ 1 เช่นเดียวกัน     

นางสาวเสาวณีย์ สิราริยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด กล่าวว่า ตลาดไมโครเวฟเป็นตลาดค่อนข้างใหญ่ นับเป็นผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องครัวที่มีอัตราการเติบโตต่อเนื่องมาตลอด ผู้บริโภคมีความต้องการใช้มากขึ้น เนื่องจากช่วยอำนวยความสะดวกในการอุ่นอาหาร ทำอาหารได้  และในแง่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ ก็จะมีความหลากหลายขึ้น ไม่เพียงแค่ใช้สำหรับการอุ่นอาหาร แต่รวมถึงการทำอาหารได้หลากหลายประเภท ด้วยฟังก์ชันการทำงานทั้งแบบการอบ การย่าง การนึ่ง รวมไปถึงการทำขนมประเภทต่างๆ ทั้งแบบร้อนและแบบเย็น ยิ่งปัจจุบันที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบไวไฟ ช่วยควบคุมการทำงานได้สะดวกยิ่งขึ้น สำหรับโตชิบา บริษัทแม่ได้เริ่มต้นผลิตไมโครเวฟเชิงพาณิชย์ (Commercial Microwave) ครั้งแรกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1959 ที่ประเทศญี่ปุ่น กว่า 66 ปี ที่พัฒนาเทคโนโลยีด้านนี้มา

“การได้รับการจัดอันดับให้เป็นแบรนด์ไมโครเวฟอันดับ 1 ของญี่ปุ่น และการถือครองส่วนแบ่งการตลาดไมโครเวฟอันดับ 1 ในประเทศไทย ถือเป็นความภาคภูมิใจอีกขั้น และเป็นอีกหนึ่งหลักฐานยืนยันถึงความเชื่อมั่นที่ผู้บริโภคมีต่อโตชิบา ทั้งในเรื่องคุณภาพ ความทนทาน และนวัตกรรม ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านฟังก์ชันการใช้งานและดีไซน์สมัยใหม่ ความสำเร็จนี้ ไม่เพียงแต่ครองตำแหน่งผู้นำในแง่ของคุณภาพ แต่ยังสะท้อนถึงส่วนแบ่งการตลาดที่แข็งแกร่งที่สุด โตชิบาจะเดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ พร้อมมุ่งมั่นส่งมอบคุณภาพที่เหนือกว่าให้กับทุกครอบครัว”

โตชิบามุ่งเน้นการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายและใส่ใจในรายละเอียดทุกด้าน ตั้งแต่การเลือกใช้วัสดุคุณภาพสูง การออกแบบที่ใช้งานง่าย เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกได้ตามความต้องการและไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน และไม่เพียงแค่ไมโครเวฟที่มีฟังก์ชันอุ่นร้อน แต่ยังผลิตไมโครเวฟที่มีฟังก์ชันอื่นๆ ควบคู่ด้วย เช่น Healthy Air Fry ที่สามารถทอดแบบไร้น้ำมัน กระจายความร้อนได้ดีเพื่อให้อาหารสุกทั่วถึงกรอบอร่อย Crispy Grill ที่ส่งความร้อนไปยังอาหารได้โดยตรงอย่างสม่ำเสมอ ทำให้อาหารกรอบนอกและชุ่มฉ่ำภายใน Auto Menu เมนูอัตโนมัติที่ใช้งานง่ายเพียงกดปุ่มเดียวก็ทำอาหารได้อย่างง่ายดาย ดีไซน์ Black Glass Design ที่สะท้อนความเรียบหรู สามารถเข้ากับทุกสไตล์ห้องครัวได้อย่างลงตัว รวมไปถึงยังได้รับฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ห้าดาว

ชาร์ป จับมือ UVET ชูนวัตกรรม “Pet-friendly Innovation” ผู้นำเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง

ชาร์ปฯ เดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นแก่คนรักสัตว์ หรือ Pet Family ด้วยการประกาศความร่วมมือกับโรงพยาบาลสัตว์ยูเว็ท (UVET Animal Hospital) ภายใต้แนวคิด “Pet-friendly Innovation” เพื่อนำเสนอนวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาวะและบรรยากาศที่ดีต่อสัตว์เลี้ยง พร้อมตอกย้ำการเป็นแบรนด์ผู้นำด้านเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง

หัวใจของความร่วมมือครั้งนี้คือการนำนวัตกรรมเฉพาะของชาร์ป เช่น เทคโนโลยีพลาสม่าคลัสเตอร์ไอออน (Plasmacluster Ion) ที่ช่วยลดเชื้อรา ไวรัสและแบคทีเรียได้ถึง 99.9% รวมถึงช่วยลดสารก่อภูมิแพ้และกลิ่นไม่พึงประสงค์ รวมถึงเทคโนโลยีลดเสียงรบกวน ซึ่งมีความสำคัญต่อสุขภาพและความสบายของสัตว์เลี้ยง มาประยุกต์ใช้ร่วมกับองค์ความรู้ด้านการดูแลสุขภาพสัตว์จากทีมสัตวแพทย์ของ UVET

วันที่ 3 กันยายน 2568 นายซูเฮย์ อาราอิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาร์ป ไทย จำกัด กล่าวว่า เทรนด์ Pet Family  ในประเทศไทยมีแนวโน้มการเติบโตของตลาดสัตว์เลี้ยงอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยหลักมาจากกลุ่มผู้ที่เลี้ยงสัตว์ต่างมองเห็นสัตว์เลี้ยงของตัวเองเป็น “คนในครอบครัว”  จากข้อมูลศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่าจำนวนแมวเลี้ยงเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 28% ต่อปี และสุนัขเพิ่มขึ้น 19% ต่อปี ระหว่างปี 2564–2567* พร้อมค่าใช้จ่ายด้านการดูแลที่สูงขึ้น ชาร์ปเล็งเห็นว่าผลิตภัณฑ์ของเราสามารถตอบโจทย์กลุ่ม Pet Family ได้จริง ทั้งด้านสุขภาพ ความสะดวกสบาย และคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น

โดยความร่วมมือครั้งนี้จะไม่เพียงมุ่งเน้นที่การนำเสนอนวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาวะและบรรยากาศที่ดีต่อสัตว์เลี้ยงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างองค์ความรู้ให้กับเจ้าของสัตว์เลี้ยง ผ่านกิจกรรมให้ความรู้ แคมเปญพิเศษ และการเข้าถึงนวัตกรรมที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของบ้านที่มีสัตว์เลี้ยง

“เรายังมีโซลูชั่นอีกมากมาย ที่พร้อมตอบสนองความต้องการของคนรักสัตว์เลี้ยง ส่งเสริมให้ชาร์ปเป็นตัวเลือกแรกในใจของผู้ที่มองหาเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง”  นายโอกาจิมะ กล่าว

น.สพ.วรพล พิสิษฐ์พงศ์พัทธ์ (หมอวอลล์) สัตวแพทย์ประจำศูนย์โรคผิวหนังและภูมิแพ้ (Dermatology and Allergy Clinic) โรงพยาบาลสัตว์ยูเว็ท(UVET Animal Hospital) กล่าวว่า ยูเว็ท เกิดจากความมุ่งมั่นของกลุ่มสัตวแพทย์ที่มีประสบการณ์ และมีเป้าหมายที่อยากให้สัตว์เลี้ยงอันเป็นที่รักของทุกคน ได้เข้าถึงการรักษาที่ดี มีคุณภาพ ในราคาที่เอื้อมถึง โดยมีแนวคิดการทำงานแบบ Pet - Centric หรือการให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงเป็นศูนย์กลาง 

“คุณภาพอากาศและความเงียบสงบถือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่หลายคนมองข้าม แต่มีผลโดยตรงต่อสุขภาพและความสุขของสัตว์เลี้ยง ความร่วมมือกับชาร์ปจะช่วยให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงมีทางเลือกในการดูแลที่ครบถ้วนมากขึ้น ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์และองค์ความรู้”

โรงพยาบาลสัตว์ยูเว็ท มีบริการด้านสัตว์เลี้ยงอย่างครบวงจร อาทิ ศูนย์อุบัติเหตุและฉุกเฉิน, ศูนย์ภาพวินิจฉัย, ศูนย์โรคติดเชื้อ, ศูนย์กระดูกและข้อ, ศูนย์หัวใจและหลอดเลือด, ศูนย์สัตว์เลี้ยงสูงวัย, ศูนย์รักษาโรคทั่วไป, ศูนย์โรคผิวหนัง, ศูนย์สัตว์เลี้ยงชนิดพิเศษ(Exotic pets), ศูนย์ส่องกล้อง และศูนย์โรคตา ปัจจุบันมี 7 สาขา ประกอบด้วย สาขาบางนา, สาขารังสิต, สาขารามคำแหง, สาขารามอินทรา, สาขาเกษตร, สาขาเจริญนคร และสาขาโชคชัย 4  โดยทุกสาขาเปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง

สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ ชาร์ปมาพร้อมกับโปรโมชั่นพิเศษ สำหรับลูกค้า UVET เช่น ส่วนลดเครื่องฟอกอากาศ เครื่องดูดฝุ่น และเครื่องลดความชื้น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของสัตว์เลี้ยงและเจ้าของอย่างรอบด้าน

LG Subscribe จัดงานประกาศรางวัล ฉลองความสำเร็จการเป็นผู้นำธุรกิจ Subscription สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า

บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ แอลจี (LG) ตอกย้ำการเป็นผู้นำธุรกิจ Subscription สำหรับอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน จัดงานมอบรางวัล LSM Award ประจำปี 2568 เพื่อร่วมฉลองความสำเร็จให้กับตัวแทนขายอิสระ (LG Subscribe Lifestyle Planner หรือ LP) และผู้จัดการตัวแทนขายอิสระ (LG Subscribe Lifestyle Sales Manager หรือ LSM) ผู้มีผลงานโดดเด่นในการนำเสนอบริการ LG Subscribe หรือบริการแบ่งชำระเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบรายเดือน พร้อมการดูแลและรับประกันตลอดอายุสัญญา เพื่อส่งมอบนวัตกรรมเพื่อชีวิตที่ดีกว่าให้กับผู้บริโภค โดยงานนี้ไม่เพียงเป็นการฉลองความสำเร็จให้กับตัวแทนของ LG Subscribe เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความสำเร็จของ LG Subscribe ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศไทย หลังมียอดสมาชิก Subscriber ทะลุมากกว่า 10,000 คนภายใน 9 เดือนนับตั้งแต่เปิดตัว อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งของบริการนี้ทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอีกด้วย

นายซองฮัน จอง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "LG Subscribe ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในประเทศเกาหลีใต้ และเรากำลังเห็นแนวโน้มความสำเร็จเดียวกันนี้ในประเทศไทย โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา เรามีผู้ใช้บริการ LG Subscribe มากกว่า 10,000 คน และตั้งเป้าจะเพิ่มเป็น 30,000 คนภายในสิ้นปีนี้ และความสำเร็จนี้เกิดขึ้นได้เพราะการร่วมแรงร่วมใจกันจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะทีมตัวแทนขายอิสระ LG Subscribe (LG Subscribe Lifestyle Planner หรือ LP) และผู้จัดการตัวแทนขายอิสระ (LG Subscribe Lifestyle Sales Manager หรือ LSM) เราจึงจัดงาน LSM Award ขึ้นเพื่อแสดงความขอบคุณในตัวแทนทุกท่านที่ทุ่มเทส่งมอบบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า เราหวังว่าบริการของเราจะช่วยให้ผู้บริโภคมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ ตามสโลแกน Life’s Good. ของแอลจี"

แอลจีถือได้ว่าเป็นผู้นำรายแรกและรายเดียวของโลกในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ที่นำเสนอโมเดลธุรกิจแบบ Subscription ซึ่งครอบคลุมเครื่องใช้ไฟฟ้าหลากหลายประเภท ตั้งแต่เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ รวมถึงมอบบริการดูแลเครื่องใช้ไฟฟ้าจากผู้เชี่ยวชาญ ด้วยสินค้าในระดับพรีเมียม บริการดูแลหลังการขายจากผู้เชี่ยวชาญที่วางใจได้ และแผนการจ่ายรายเดือนที่ยืดหยุ่น LG Subscribe ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากประเทศต่างๆ ไม่เพียงเกาหลีใต้ และไทย แต่ยังรวมถึงมาเลเซีย และไต้หวันอีกด้วย เพื่อตอบรับการเติบโตที่เพิ่มขึ้น แอลจีจึงได้สนับสนุนและเตรียมความพร้อมให้กับตัวแทนขาย โดยการจัดการอบรมให้ความรู้ ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์และการบริการ เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถวางแผนค่าใช้จ่ายและเลือกผลิตภัณฑ์และบริการได้คุ้มค่า และตอบโจทย์ความต้องการและไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตได้มากที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ในการใช้งานและความสะดวกสบายเป็นสำคัญ 
  

นอกจากนี้ แอลจียังเตรียมเดินหน้าขยายธุรกิจเพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภค โดยล่าสุด แอลจีเพิ่งเปิดศูนย์ LG Subscribe ครบวงจร 3 แห่งในจังหวัดเชียงใหม่ นครราชสีมา และอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และตั้งเป้าเปิดศูนย์บริการให้ครบ 6 แห่งภายในเวลา 1 ปี พร้อมขยายเครือข่ายหน้าร้าน LG Subscribe จากปัจจุบันราว 30 แห่งให้เป็น 150 แห่งทั่วประเทศ เพื่อให้มียอดผู้ใช้บริการมากกว่า 30,000 คนภายในสิ้นปี ทั้งหมดนี้ เพื่อผลักดันให้ LG Subscribe เป็นผู้นำสำหรับทางเลือกใหม่ที่มอบความคุ้มค่าและสะดวกสบายในการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าให้กับผู้บริโภค ในยุคของ Subscription Era เช่นในปัจจุบัน ตามสโลแกน LG has Everything, Good Product, Good Price, Good Care ซับ LG รวมคุ้มให้คุณครบ จ่ายคุ้ม คุ้มครองครบ ครบเครื่องคุณภาพ 

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการ LG Subscribe ได้ทาง https://www.lg.com/th/subscribe/ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ข้อมูลแอลจี โทร. 02-057-5757 และติดตามข่าวสารล่าสุดได้ทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ LG Global และอินสตาแกรม lg_thailand

"กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์" จับมือซัมซุง ผ่อนเครื่องใช้ไฟฟ้าราคาเบาๆ นานสูงสุด 60 เดือน

กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ จับมือซัมซุง ผ่อนเครื่องใช้ไฟฟ้าราคาเบาๆ นานสูงสุด 60 เดือน

กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ จับมือซัมซุง มอบสิทธิพิเศษสุดคุ้ม สำหรับสมาชิกบัตรเครดิตกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ วีซ่า แพลทินัม, เอ็กซ์ยู บัตรเครดิต ดิจิทัล และบัตรกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ รับสิทธิผ่อนเครื่องใช้ไฟฟ้าซัมซุงรุ่นยอดนิยมที่ร่วมรายการ อาทิ ทีวี, ตู้เย็น, เครื่องซักผ้า, แอร์, เครื่องฟอกอากาศ, โฮมเธียเตอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน ได้ง่าย ๆ ในราคาสบายกระเป๋า ผ่อนเริ่มต้นเพียงเดือนละ 302 บาท ด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 0.75% ต่อเดือน นานสูงสุด 60 เดือน (เทียบเท่าอัตราดอกเบี้ย 15.71% - 16.24% ต่อปี) ที่ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายซัมซุงทั่วประเทศ ตั้งแต่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 – 31 ธันวาคม 2568 (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ณ จุดขาย ข้อมูลเพิ่มเติม https://bit.ly/FC-AVAP-SS25 ทั้งนี้ สินเชื่อส่วนบุคคล : อัตราดอกเบี้ยปกติ 25% ต่อปี, กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้ตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 15%-25% ต่อปี 

"เพาเวอร์บาย" รุกตลาดซัมเมอร์ ส่งแคมเปญ “Summer ลดร้อนแรง แอร์ BTU ละบาท” กระตุ้นตลาดแอร์-เครื่องใช้ไฟฟ้า

เพาเวอร์บาย ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เดินหน้ากระตุ้นตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าช่วงซัมเมอร์ รับอุณหภูมิที่พุ่งสูง คาดว่าไตรมาส 2 จะยังคงคึกคักต่อเนื่อง ล่าสุดเปิดตัวแคมเปญ “Summer ลดร้อนแรง แอร์ BTU ละบาท” มอบดีลสุดคุ้มให้ผู้บริโภคชาวไทยสามารถเข้าถึงเครื่องปรับอากาศในราคาสุดพิเศษ พร้อมโปรโมชั่นลดสูงสุด 70%, ผ่อน 0% นาน 10 เดือน และสิทธิพิเศษอีกมากมาย ตั้งแต่วันนี้ถึง 7 มิถุนายน 2568 ครอบคลุมทุกแพลตฟอร์ม ทั้งที่เพาเวอร์บายทุกสาขาทั่วประเทศและช่องทางออนไลน์ นอกจากนี้ เพาเวอร์บายยังจับมือ กฟผ. เปิดโครงการ “ล้างแอร์ฉลากเบอร์ 5” มอบส่วนลดค่าล้างแอร์ 200 บาท รวม 15,000 สิทธิ์ เสริมความคุ้มค่า และบริการครบวงจร ตอบโจทย์ผู้บริโภคทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ 10 มี.ค.68 นางสาวศิวาพร สัมมุตถี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายจัดซื้อออมนิชาแนล บริษัท เพาเวอร์บาย จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เปิดเผยว่า “ทุกปีช่วงซัมเมอร์เป็นช่วงเวลาที่ตลาดเครื่องปรับอากาศ พัดลม และตู้เย็นมีความคึกคักที่สุด จากปัจจัยอุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับภาพรวมตลาดเครื่องปรับอากาศของไทยในปี 2567 มีมูลค่ารวมกว่า 32,100 ล้านบาท โดยช่วงพีคของยอดขายอยู่ในเดือนเมษายน – พฤษภาคม ในขณะที่อัตราการเข้าถึงเครื่องปรับอากาศของครัวเรือนไทยอยู่ประมาณ 40% จากข้อมูลดังกล่าว บริษัทฯ เล็งเห็นว่าตลาดเครื่องปรับอากาศไทยยังมีโอกาสขยายตัวได้อีก ซึ่งกลุ่มเป้าหมายหลักประกอบด้วยผู้ที่ซื้อเครื่องปรับอากาศเป็นเครื่องแรก การเปลี่ยนรุ่นใหม่ และการติดตั้งเพิ่มเติมภายในบ้าน โดยขนาดเครื่องปรับอากาศยอดนิยมคือ 12,000 BTU เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของครอบครัวยุคใหม่ ส่วนผู้บริโภคกลุ่มพรีเมียมจะให้ความสนใจเครื่องปรับอากาศขนาด 18,000 BTU ขึ้นไป รวมถึงแอร์ฝังฝ้าแบบ 4 ทิศทาง

ทั้งนี้ เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น เพาเวอร์บาย ได้จับมือกับแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำ เตรียมสต๊อกสินค้าให้เพียงพอโดยเฉพาะรุ่นที่ได้รับความนิยม และผลิตภัณฑ์รุ่นล่าสุดที่มาพร้อมความโดดเด่นด้วยนวัตกรรม และฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ เช่น ระบบกรองฝุ่น PM 2.5 ที่ช่วยปรับคุณภาพอากาศให้สะอาดยิ่งขึ้น และเทคโนโลยีอินเวอร์เตอร์ที่ช่วยประหยัดพลังงาน นอกจากนี้ สินค้าคลายร้อนประเภทอื่นๆเช่น พัดลมไอเย็น พัดลมทาวเวอร์ และตู้เย็นขนาดต่างๆก็ได้รับความนิยมสูงขึ้นในช่วงนี้เช่นกัน พร้อมกันนี้ได้นำเสนอโปรโมชั่นสุดพิเศษทั้งช่องทางออนไลน์และหน้าร้านทั่วประเทศ ตอบโจทย์ลูกค้าที่มองหาความคุ้มค่าและคุณภาพในช่วงหน้าร้อนนี้”

นางสาวพัชราภรณ์ วรยิ่งยง ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานวางแผนธุรกิจการตลาดและกลุ่มผลิตภัณฑ์การเงิน บริษัท เพาเวอร์บาย จํากัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า “เพาเวอร์บาย เดินหน้ากระตุ้นตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้ารับซัมเมอร์ คาดว่าในไตรมาส 2 จะยังคงคึกคักต่อเนื่องจากต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งได้รับแรงหนุนจากมาตรการ easy e-receipt ของภาครัฐ ล่าสุดเปิดตัวแคมเปญ “Summer ลดร้อนแรง แอร์ BTU ละบาท” มอบโปรโมชั่นสุดคุ้มทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ ตั้งแต่วันนี้ถึง 7 มิถุนายน 2568 เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายของผู้บริโภคให้ได้ช้อปแบบจุใจตลอด 3 เดือน โดยมอบส่วนลดสูงสุด 70% และดีลพิเศษมากมาย อาทิ:

ช้อปเครื่องปรับอากาศในราคาสุดว้าว! เริ่มต้นเพียง BTU ละบาท

รับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 5,000 บาท สำหรับรุ่นที่ร่วมรายการ

นำเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่า แลกรับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 10,000 บาท

สมาชิก The1 แลกคะแนนลดเพิ่ม 12.5%

ผ่อน 0% นาน 10 เดือน และรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 40,000 บาท กับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ

รับคูปองบริการล้างแอร์ฟรีตลอดปี มูลค่าสูงสุด 1,800 บาท

รับฟรี! พัดลมสไลด์ขนาด 16 นิ้ว เมื่อซื้อเครื่องปรับอากาศรุ่นที่ร่วมรายการ

ไม่เพียงเท่านี้ เราได้เตรียมบริการที่รวดเร็วทันใจ จัดส่งด่วนภายในวันเดียวกันสำหรับกรุงเทพฯ และปริมณฑล พร้อมบริการติดตั้งและรื้อถอนฟรี นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถร่วมกิจกรรมสนุกๆ เช่น วิ่งคลายร้อนลุ้นรางวัลพิเศษ ที่ร้านเพาเวอร์บาย สาขาเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า และร่วมเล่นเกมสุดคลูรับของรางวัลมากมายที่เพาเวอร์บาย 16 สาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม – 20 เมษายน 2568”

เพิ่มความคุ้มค่า! เพาเวอร์บาย จับมือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จัดโครงการ “ล้างแอร์ฉลากเบอร์ 5” เพื่อช่วยลดการใช้พลังงานและเพิ่มคุณภาพอากาศภายในบ้าน โดยมอบส่วนลดล้างแอร์มูลค่า 200 บาท จำนวน 15,000 สิทธิ์ สำหรับเครื่องปรับอากาศติดผนังขนาดไม่เกิน 24,000 BTU จำกัดครัวเรือนละ 1 สิทธิ์/เครื่อง โดยผู้ที่สนใจสามารถรับสิทธิ์ได้ง่าย ๆ เพียงแสดงบัตรประชาชนและบิลค่าไฟ 1 เดือน ของปี 2568 พร้อมรับสิทธิพิเศษจาก เพาเวอร์บาย รับคูปองส่วนลด 100 บาท สำหรับซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ตามเงื่อนไขที่กำหนด ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม – 15 มิถุนายน 2568 หรือจนกว่าสิทธิ์จะหมด โดยสามารถลงทะเบียนรับสิทธิ์ได้ที่เพาเวอร์บายทุกสาขา หรือ Line@Powercare

ช้อปคลายร้อนกับแคมเปญ “Summer ลดร้อนแรง แอร์ BTU ละบาท” ได้แล้ววันนี้ถึง 7 มิถุนายนนี้ ที่ร้านเพาเวอร์บายทุกสาขา ทั่วประเทศ หรือช่องทางออนไลน์ เว็ป https://www.powerbuy.co.th/th/page/summer-sale-2025 และ แอปพลิเคชัน http://bit.ly/PowerBuyApp สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เพาเวอร์บาย คอลล์เซ็นเตอร์ 1324 Line @powerbuy, เฟซบุ๊ก Power Buy

 


 

SharkNinja เครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ดังสัญชาติอเมริกาบุกไทย เปิดตัวครั้งแรกที่เพาเวอร์บาย

เพาเวอร์บาย ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เปิดบ้านต้อนรับ SharkNinja แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำจากอเมริกาอย่างเป็นทางการในประเทศไทย เตรียมสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้ผู้บริโภคไทยได้สัมผัสประสบการณ์นวัตกรรมคุณภาพจากแบรนด์ระดับโลกที่ตอบโจทย์การ  ใช้งานในชีวิตประจำวัน พร้อมแต่งตั้ง บริษัท พีบี โลจิสติก จำกัด เป็นผู้จัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย โดยมีแผนลุยตลาดในไตรมาสแรกของปี 2568 ร่วมกับเพาเวอร์บาย ซึ่งจะวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทั้งในร้านเพาเวอร์บาย 20 สาขาในกรุงเทพฯ และจังหวัดท่องเที่ยว รวมถึงบนแพลตฟอร์มออนไลน์

SharkNinja บริษัทชั้นนำระดับโลกด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์และพัฒนาเทคโนโลยี โดดเด่นด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานในการสร้างสรรค์นวัตกรรมล้ำสมัยเพื่อผู้บริโภคทั่วโลก ตั้งแต่จุดเริ่มต้นในฐานะผู้บุกเบิกตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้า จนเติบโตเป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมและความเชื่อถือจากผู้บริโภคในหลายประเทศ ด้วยยอดขายสุทธิกว่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และสิทธิบัตรกว่า 4,500 ฉบับ จากทั่วโลก SharkNinja ยังคงเดินหน้าสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีศูนย์พัฒนานวัตกรรมระดับโลกถึง 5 แห่ง และผลิตภัณฑ์กว่า 33 ประเภท ที่ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวัน

มร.อุได คุนซรู ประธานกรรมการ SharkNinja APAC กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ เพาเวอร์บาย ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์      ล้ำสมัยของ SharkNinja สู่ผู้บริโภคในไทยอย่างเป็นทางการ สำหรับความร่วมมือครั้งนี้เป็นกลยุทธ์การเติบโตของเราในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยมุ่งเน้นการส่งมอบโซลูชันที่ยอดเยี่ยมของ Shark และ Ninja ให้ผู้บริโภคที่ชื่นชอบผลิตภัณฑ์เข้าถึงได้ในวงกว้างยิ่งขึ้น เราเชื่อมั่นว่า เพาเวอร์บาย ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านค้าปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้าของไทยที่มีความเข้าใจในความต้องการของผู้บริโภคเป็นอย่างดี และมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่ง จะเป็นพันธมิตรสำคัญที่ช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายในการขยายตลาดในภูมิภาคนี้ได้อย่างแน่นอน”

นายสุวิณ โกษีอํานวย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เพาเวอร์บาย จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เปิดเผยว่า “เพาเวอร์บายรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เปิดตัว SharkNinja แบรนด์ชั้นนำระดับโลกที่ได้รับการยอมรับด้านนวัตกรรมในประเทศไทย อีกทั้งยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับเพาเวอร์บาย พร้อมตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ โดยสินค้า Shark และ Ninja จะวางจำหน่ายในไตรมาสแรกของปี 2568 ที่ เพาเวอร์บาย 20 สาขา ในกรุงเทพ และจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญ อาทิ พัทยา, ภูเก็ต, หาดใหญ่, ขอนแก่น และชลบุรี เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัวในรูปแบบ Shop in Shop ที่สาขาหลัก ได้แก่ เซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัล เวสเกต และเซ็นทรัล ลาดพร้าว พร้อมวางแผนขยายสาขาเพิ่มเป็น 40 สาขาภายในสิ้นปีนี้ รวมทั้งช่องทางออนไลน์ด้วย ทั้งนี้ได้คัดสรรผลิตภัณฑ์ล้ำสมัยและได้รับความนิยมมาให้ช้อปครบทั้ง 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ Shark Home นำเสนอเครื่องดูดฝุ่นไร้สายระดับพรีเมียม Shark Beauty: ไดร์เป่าผมสุดล้ำ ที่มีพรีเซ็นเตอร์ชื่อดัง ฮันโซฮี นักแสดงสาวเกาหลีที่มาร่วมสร้างแรงบันดาลใจ และ Ninja Kitchen: ผลิตภัณฑ์เครื่องครัวอัจฉริยะ อาทิ หม้อทอดไร้น้ำมันที่สามารถทำอาหาร 2 เมนูในเวลาเดียวกัน, เครื่องปั่น, เตาปิ้งย่างไฟฟ้า, เครื่องทำไอศกรีม และเตาอบ เป็นต้น”

นอกจากนี้ ยังได้เตรียมโปรโมชั่นพิเศษช่วงเปิดตัว ทั้งส่วนลดสูงสุด 37% และสิทธิพิเศษมากมาย อาทิ ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน กับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ สมาชิกเดอะวัน แลกรับส่วนลดเพิ่ม 12.5% เลือกช้อปสินค้า Shark และ Ninja ได้ที่เพาเวอร์บายทั้ง 20 สาขา และเว็บไซต์ www.powerbuy.co.th หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพาเวอร์บาย คอลล์เซ็นเตอร์ 1324 Line @powerbuy, เฟซบุ๊ก Power Buy

"การเปิดตัว SharkNinja ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของเพาเวอร์บายในการนำเสนอนวัตกรรมระดับโลกสู่ตลาดไทย เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มองหาผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัย และมีประสิทธิภาพ เรามั่นใจว่าแบรนด์ SharkNinja จะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคชาวไทยอย่างแน่นอน” นายสุวิณกล่าวสรุป

"ทรัมป์" เริ่มสงครามการค้ารอบใหม่ ส่งออกไทยเสี่ยง อิเล็กทรอนิกส์-ยาง-เครื่องใช้ไฟฟ้า-เฟอร์นิเจอร์

"ทรัมป์" เริ่มสงครามการค้ารอบใหม่ ส่งออกไทยเสี่ยง อิเล็กทรอนิกส์ ยาง เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์

เมื่อวันที่ 4 ก.พ.68 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า โดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มเดินหน้ามาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยเป้าหมายกลุ่มแรกอยู่ที่ แคนาดา เม็กซิโก และจีน แม้ว่าจะมีการขยายเวลาการเก็บภาษีแคนาดาและเม็กซิโกออกไป 30 วัน หลังทั้งสองประเทศสามารถเจรจาบรรลุข้อตกลงในเบื้องต้นหลายข้อเกี่ยวกับความมั่นคงชายแดน การปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ในรอบนี้เป็นเครื่องมือที่มีขอบเขตมากกว่าการค้า โดยใช้ต่อรองประเทศคู่ค้าให้ยอมเจรจาตามเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ต่อสหรัฐฯ มากขึ้น อาทิ นโยบายส่งกลับผู้อพยพที่ผิดกฎหมาย แก้ปัญหาภัยคุกคามจากยาเฟนทานิล ดึงเม็ดเงินลงทุนกลับประเทศ ส่งเสริมภาคธุรกิจและการผลิตในประเทศ เสริมสร้างความมั่นคงของชาติ ซึ่งแตกต่างจากครั้งแรกที่มีวัตถุประสงค์เพียงต้องการสร้างความเป็นธรรมทางการค้าให้แก่สหรัฐฯ

โดยสหภาพยุโรป เวียดนาม รวมถึงไทย มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกใช้เครื่องมือภาษีนำเข้าเพื่อต่อรองผลประโยชน์กับสหรัฐฯ ในลำดับถัดไป ซึ่งดูจากยอดมูลค่าการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ และสัดส่วนการพึ่งพิงตลาดส่งออกสหรัฐฯ เทียบกับ Nominal GDP โดยแคนาดาและเม็กซิโก พึ่งพิงตลาดส่งออกสหรัฐฯ ถึง 28.6% และ 18.2% ต่อ Nominal GDP ตามลำดับ สะท้อนถึงอำนาจการต่อรองของสหรัฐฯ ที่มากกว่า ในขณะที่จีนมียอดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงสุด

อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ คาดว่าจะส่งผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านแรงกดดันต่อเงินเฟ้อสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น จากราคานำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น โดยอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ห่วงโซ่อุปทานการผลิตกว่าครึ่งหนึ่งนำเข้ามาจากเม็กซิโกและแคนาดา และอุตสาหกรรมพลังงานของสหรัฐฯ ที่มีสัดส่วนการนำเข้าน้ำมันปิโตรเลียมจากแคนาดาและเม็กซิโกอยู่ที่ 63% ของการนำเข้าน้ำมันปิโตรเลียมทั้งหมดของสหรัฐฯ ซึ่งจะมีผลต่อทิศทางเงินเฟ้อที่ลงช้า และอาจส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายได้น้อยกว่าที่ประเมิน ขณะที่การพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยคงขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในประเทศมากกว่า

สำหรับผลกระทบต่อประเทศไทย ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า สงครามการค้าครั้งนี้จะสร้างผลกระทบต่อภาพรวมการค้าโลกและส่งผลต่อเนื่องมายังการส่งออกไทย ดังนี้
1)ผลกระทบโดยตรงจากการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ลดลง โดยสินค้าที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ มากที่สุด ได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน โซลาร์เซลล์ ยางล้อ เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น เนื่องจากมีมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก และค่อนข้างมีความยืดหยุ่นต่อราคา 

2)ผลกระทบทางอ้อมจากการส่งออกไปตลาดโลกได้น้อยลงจากการแข่งขันกับสินค้าจีนในตลาดโลกที่รุนแรงขึ้น อาทิ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ของเล่น เป็นต้น เนื่องจากเป็นสินค้าที่ไทยมีข้อได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบต่ำเมื่อเทียบกับจีน และเป็นสินค้าที่จีนมีมูลค่าการส่งออกสูง นอกจากนี้การส่งออกไทยไปจีนก็คาดว่าจะลดลงในกลุ่มที่มีความเกี่ยวเนื่องกับห่วงโซ่อุปทานการผลิตของจีน ได้แก่ ยาง พลาสติก ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น

อย่างไรก็ดี ข้อสรุปยังขึ้นกับการเจรจา ซึ่งในกรณีที่มีการเลื่อนระยะเวลาการขึ้นภาษีนำเข้ากับไทยออกไป ส่งออกไทยอาจได้อานิสงส์สั้นๆจากการส่งออกไปสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นเพื่อแทนที่การนำเข้าจากเม็กซิโก แคนาดา และจีน ที่โดนขึ้นภาษีไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ยางรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น

#ทรัมป์ #สงครามการค้า #ข่าววันนี้ #เครื่องใช้ไฟฟ้า #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

งานแสดงสินค้าเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น-งานแสดงสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สร้างมูลค่ากว่า 4,100 ล้านบาท

งานแสดงสินค้าเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น 2567 และงานแสดงสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 2567 ประสบความสำเร็จ สร้างมูลค่ากว่า 4,100 ล้านบาท

ปิดฉากไปแล้วด้วยความสำเร็จ สำหรับงานแสดงสินค้าเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น 2567 (Bangkok RHVAC 2024) และงานแสดงสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 2567 (Bangkok E&E 2024) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-7 กันยายน 2567 ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค ด้วยจำนวนผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างประเทศที่เข้าร่วมแสดงสินค้าทั้งสิ้น 316 ราย 807 คูหา โดยได้รับผลการตอบรับเป็นอย่างดีจากทั้งผู้ประกอบการไทยและผู้ซื้อ/ผู้นำเข้า/นักธุรกิจชาวต่างประเทศที่เดินทางมาเข้าเยี่ยมชมงานตลอด 4 วันของการจัดงาน  รวมจำนวน 9,121 ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.95 จากการจัดงานครั้งที่ผ่านมา (ปี 2565) รวมชาวไทยและชาวต่างประเทศ จาก 51 ประเทศ ที่สำคัญ ได้แก่ จีน อินเดีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เวียดนาม ไต้หวัน เมียนมา เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย และสามารถสร้างรายได้เข้าประเทศเป็นมูลค่าการสั่งซื้อรวมทั้งสิ้นกว่า 4,134 ล้านบาท แบ่งเป็นมูลค่าการสั่งซื้อทันทีกว่า 34 ล้านบาท และคาดการณ์มูลค่าการสั่งซื้อภายใน 1 ปี 4,100 ล้านบาท พบกันอีกครั้งในงาน Bangkok RHVAC 2026 และ Bangkok E&E 2026

ศุลกากรขานรับนโยบายเร่งด่วน บุกค้นโกดังพบเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่มี มอก.

ศุลกากรขานรับนโยบายเร่งด่วน บุกค้นโกดังพบเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่มี มอก. อย่างต่อเนื่อง และเข้มงวดป้องกันทุเรียนสวมสิทธิ์ 

วันนี้ (30 สิงหาคม 2567) นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าราคาต่ำ สินค้าไม่มีคุณภาพและไม่ได้มาตรฐานเข้ามาจำหน่ายในประเทศ กรมศุลกากรจึงได้ขานรับนโยบาย โดยนายธีรัชย์ อัตนวานิช อธิบดีกรมศุลกากร ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรเข้มงวดกวดขันในการป้องกันและปราบปรามการนำเข้ามาเพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ได้รับอนุญาตให้นำเข้ามาเพื่อจำหน่ายจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ซึ่งที่ผ่านมา กรมศุลกากรได้มีการขอหมายศาลเข้าตรวจค้นจับกุมสินค้าไม่ได้มาตรฐานจากโกดังที่เก็บสินค้าเพื่อรอการจำหน่ายได้เป็นจำนวนมาก และยังมีการเพิ่มอัตราสุ่มเปิดตรวจตู้คอนเทนเนอร์สินค้า เพื่อป้องกันมิให้สินค้าที่อาจไม่ได้มาตรฐานผ่านออกจากอารักขาของกรมศุลกากรก่อนได้รับการอนุญาตจาก สมอ. กระทรวงอุตสาหกรรม อีกด้วย

โดยเมื่อวันที่ (23 สิงหาคม 2567)  กรมศุลกากร โดยกองสืบสวนและปราบปราม ได้รับการข่าวว่ามีสินค้าไม่ได้มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) และไม่ผ่านพิธีการศุลกากร เก็บอยู่ในโกดังที่เก็บสินค้าเพื่อรอการจำหน่าย ในพื้นที่ตำบลอ้อมน้อย อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร จึงได้ขอหมายศาลเข้าตรวจค้นจับกุม ผลการตรวจค้น พบสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือน มีเมืองกำเนิดต่างประเทศ อาทิ หม้อหุงข้าว หม้ออบลมร้อน พัดลม รวมจำนวน 1,165 ชิ้น มูลค่ากว่า 624,500 บาท ซึ่งสินค้าดังกล่าวเป็นสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) และไม่พบเอกสารหลักฐานการผ่านพิธีการศุลกากร กรณีนี้เป็นความผิดตามมาตรา 242 และ 246 ประกอบมาตรา 166 และ 167 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง

โฆษกกรมศุลกากร กล่าวต่ออีกว่า ถึงแม้การตรวจค้นจับกุมในครั้งนี้ จะพบจำนวนสินค้าและมูลค่าไม่มากแต่หากสินค้าเหล่านี้นำไปจำหน่ายยังท้องตลาดย่อมเป็นอันตรายต่อประชาชน อีกทั้งการจำหน่ายสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานในราคาที่ต่ำนี้ ยังส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงต่อผู้ประกอบการสุจริตที่ผลิตและจำหน่ายสินค้าที่ได้มาตรฐานอีกด้วย ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก โดยได้มีการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มมาตรการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจังและเข้มข้นมากขึ้น สำหรับกรมศุลกากร นอกจากการลงพื้นที่ตรวจค้นตามโกดัง หรือที่พักสินค้าที่สงสัยว่ามีสินค้าไม่ได้มาตรฐานเหล่านี้แล้วยังได้ทำการอายัดสินค้า ณ ท่า/ที่ที่นำเข้าเพื่อรอผลการพิจารณาอนุญาตจาก สมอ. เป็นจำนวนมากอีกด้วย หากสินค้าที่อายัดไว้นั้นไม่ได้คุณภาพตามที่ สมอ. กำหนด จะสั่งให้ดำเนินการส่งกลับไปยังประเทศต้นทางตามแนวทางที่ สมอ. กำหนดต่อไป 

สำหรับในปีงบประมาณ 2567 (1 ตุลาคม 2566 – 30 สิงหาคม 2567) กรมศุลกากรมีสถิติการจับกุมสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ทั้งสิ้น 27 คดี จำนวน 242,966 ชิ้น มูลค่ารวม 69.17 ล้านบาท 

นอกจากนั้น จากกรณีที่มีข่าวว่าอาจมีการลักลอบนำเข้าทุเรียนเพื่อสวมสิทธิ์ส่งออกไปยังต่างประเทศนั้น อธิบดีกรมศุลกากรยังได้สั่งการให้เพิ่มความเข้มงวด เฝ้าระวังและปราบปรามทุเรียนลักลอบนำเข้าที่ไม่ได้คุณภาพ และไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างถูกต้องตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคชาวไทย และอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์/ชื่อเสียงทุเรียนส่งออกของไทย หากมีการสวมสิทธิ์ส่งออกไปยังต่างประเทศ รวมถึงเป็นการสร้างความเป็นธรรมให้เกษตรกรไทยอีกด้วย

ศุลกากรขานรับนโยบายเร่งด่วน บุกค้นโกดังพบเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่มี มอก.อย่างต่อเนื่อง-เข้มงวดป้องกันทุเรียนสวมสิทธิ์ 

ศุลกากรขานรับนโยบายเร่งด่วน บุกค้นโกดังพบเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่มี มอก. อย่างต่อเนื่อง และเข้มงวดป้องกันทุเรียนสวมสิทธิ์ 

เมื่อวันที่ 30 ส.ค.67 นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าราคาต่ำ สินค้าไม่มีคุณภาพและไม่ได้มาตรฐานเข้ามาจำหน่ายในประเทศ กรมศุลกากรจึงได้ขานรับนโยบาย โดยนายธีรัชย์ อัตนวานิช อธิบดีกรมศุลกากร ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรเข้มงวดกวดขันในการป้องกันและปราบปรามการนำเข้ามาเพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ได้รับอนุญาตให้นำเข้ามาเพื่อจำหน่ายจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ซึ่งที่ผ่านมา กรมศุลกากรได้มีการขอหมายศาลเข้าตรวจค้นจับกุมสินค้าไม่ได้มาตรฐานจากโกดังที่เก็บสินค้าเพื่อรอการจำหน่ายได้เป็นจำนวนมาก และยังมีการเพิ่มอัตราสุ่มเปิดตรวจตู้คอนเทนเนอร์สินค้า เพื่อป้องกันมิให้สินค้าที่อาจไม่ได้มาตรฐานผ่านออกจากอารักขาของกรมศุลกากรก่อนได้รับการอนุญาตจาก สมอ. กระทรวงอุตสาหกรรมอีกด้วย

โดยเมื่อวันที่ 23 ส.ค.67 กรมศุลกากร โดยกองสืบสวนและปราบปราม ได้รับการข่าวว่ามีสินค้าไม่ได้มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) และไม่ผ่านพิธีการศุลกากร เก็บอยู่ในโกดังที่เก็บสินค้าเพื่อรอการจำหน่าย ในพื้นที่ตำบลอ้อมน้อย อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร จึงได้ขอหมายศาลเข้าตรวจค้นจับกุม ผลการตรวจค้น พบสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือน มีเมืองกำเนิดต่างประเทศ อาทิ หม้อหุงข้าว หม้ออบลมร้อน พัดลม รวมจำนวน 1,165 ชิ้น มูลค่ากว่า 624,500 บาท ซึ่งสินค้าดังกล่าวเป็นสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) และไม่พบเอกสารหลักฐานการผ่านพิธีการศุลกากร กรณีนี้เป็นความผิดตามมาตรา 242 และ 246 ประกอบมาตรา 166 และ 167 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2560 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง

โฆษกกรมศุลกากร กล่าวต่ออีกว่า ถึงแม้การตรวจค้นจับกุมในครั้งนี้ จะพบจำนวนสินค้าและมูลค่าไม่มาก แต่หากสินค้าเหล่านี้นำไปจำหน่ายยังท้องตลาดย่อมเป็นอันตรายต่อประชาชน อีกทั้งการจำหน่ายสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานในราคาที่ต่ำนี้ยังส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงต่อผู้ประกอบการสุจริตที่ผลิตและจำหน่ายสินค้าที่ได้มาตรฐานอีกด้วย ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก โดยได้มีการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มมาตรการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจังและเข้มข้นมากขึ้น สำหรับกรมศุลกากร นอกจากการลงพื้นที่ตรวจค้นตามโกดัง หรือที่พักสินค้าที่สงสัยว่ามีสินค้าไม่ได้มาตรฐานเหล่านี้แล้วยังได้ทำการอายัดสินค้า ณ ท่า/ที่ที่นำเข้าเพื่อรอผลการพิจารณาอนุญาตจาก สมอ. เป็นจำนวนมากอีกด้วย หากสินค้าที่อายัดไว้นั้นไม่ได้คุณภาพตามที่ สมอ. กำหนด จะสั่งให้ดำเนินการส่งกลับไปยังประเทศต้นทางตามแนวทางที่ สมอ. กำหนดต่อไป 

สำหรับในปีงบประมาณ 2567 (1 ตุลาคม 2566 – 30 สิงหาคม 2567) กรมศุลกากรมีสถิติการจับกุมสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ทั้งสิ้น 27 คดี จำนวน 242,966 ชิ้น มูลค่ารวม 69.17 ล้านบาท 

นอกจากนั้น จากกรณีที่มีข่าวว่าอาจมีการลักลอบนำเข้าทุเรียนเพื่อสวมสิทธิ์ส่งออกไปยังต่างประเทศนั้น อธิบดีกรมศุลกากรยังได้สั่งการให้เพิ่มความเข้มงวด เฝ้าระวังและปราบปรามทุเรียนลักลอบนำเข้าที่ไม่ได้คุณภาพ และไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างถูกต้องตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคชาวไทย และอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์/ชื่อเสียงทุเรียนส่งออกของไทย หากมีการสวมสิทธิ์ส่งออกไปยังต่างประเทศ รวมถึงเป็นการสร้างความเป็นธรรมให้เกษตรกรไทยอีกด้วย

#ศุลกากร #ข่าววันนี้ #เครื่องใช้ไฟฟ้าไม่มีมอก #ทุเรียนสวมสิทธิ์